LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 9

09:23



ถุงกระสอบผ้าป่านบรรจุกากกาแฟที่กองอยู่บนเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟถูกจัดเรียงลงตะกร้าหวายสี่เหลี่ยมจนแน่นก่อนที่ชายหนุ่มตัวผอมบางสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวโคร่งสีฟ้าสลับลายทางยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์ทับด้วยผ้ากันเปื้อนจะยกตะกร้าที่มีกากกาแฟจัดเรียงไว้ตรงพื้นด้านหลังเคาน์เตอร์รอจำหน่ายต่อให้กับเจ้าของร้านผลิตเครื่องสำอางค์ออแกนิคที่ฮิมชานเป็นคนหามาเพื่อเพิ่มรายได้จนเสร็จก็กลับมายืนประจำหลังเคาน์เตอร์คิดเงินและชงเครื่องดื่มอย่างเคย


ยองแจทอดสายตาออกไปยังด้านนอกร้านอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าเรียวนั้นขาวซีดดุจเดียวกับกระดาษคงมีเพียงดวงตาคู่สวยที่แม้ซ่อนไว้หลังแว่นตาไร้ค่าสายตาก็ไม่อาจปกปิดรอยบวมช้ำจากการร้องไห้และนอนไม่หลับถึงสองวันติดกัน


คืนก่อนและเมื่อคืนเขาได้ยินเสียงกระแทกผนังอย่างแรงๆอยู่หลายที ในตอนแรกที่ได้ยินเขาสะดุ้งตะกายจากเตียงเกือบจะวิ่งออกไปข้างนอกดูว่าเพื่อนร่วมบ้านออกไปเมาหนักแล้วกลับมาทำร้ายตัวเองอีกหรือเปล่า หากพอฉุกคิดได้ว่าหัวใจที่บอบช้ำจากความคาดหวังหนักหนาเกินจะเยียวยาใครได้เลยกลับมานอนดังเก่าพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา


ตอนนี้เขาต้องการเวลาให้หัวใจได้หยุดพักสักครู่เพื่อให้กลับมามีแรงพอจะประคองเก็บความเจ็บปวดทั้งหมดไว้จนสามารถแสร้งยิ้มออกมาเหมือนไม่เป็นอะไรได้เช่นก่อน ทว่าความห่วงกังวลถึงผู้เป็นต้นตอของปัญหาทำให้เขารู้สึกทรมานจนแทบหายใจไม่ออก


เขารู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดที่หลบหน้าอยู่แบบนี้ แต่การร้องไห้ให้เห็นต่อหน้าในสภาวะที่ตัวเองไม่พร้อมทั้งกายทั้งใจแบบนี้มันจะก่อปัญหาและสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายขึ้นไปอีก


...เท่านี้ก็รู้สึกเกลียดตัวเองอยู่แล้ว อย่าให้ต้องกลายเป็นภาระทางความรู้สึกให้ใครลำบากใจจนนึกเกลียดความอ่อนแอของตัวเองมากกว่าเดิมอีกเลย


เสียงกระดิ่งตรงประตูเป็นสัญญาณการมาเยือนของลูกค้าเรียกให้เจ้าของร้านหนุ่มหลุดจากความคิดคำนึงกลับสู่ความเป็นจริงพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มกว้างต้อนรับการมาถึงของลูกค้าชายหญิงทั้งวัยรุ่นและสูงอายุ แม้หัวใจจะพังทลายแค่ไหนก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด


เครื่องดื่มร้อนเย็นแก้วแล้วแก้วเล่ากับขนมหวานอีกหลายชิ้นถูกนำเสิร์ฟไปเรื่อยๆ ทำให้สมองเลือนเรื่องที่ยึดติดลงได้บ้าง ทว่าในนาทีที่เงยหน้าจากการเช็ดผงกาแฟบนเคาน์เตอร์เพราะเสียงกระดิ่งตรงประตูซึ่งดังขึ้นเป็นครั้งที่หกในรอบวันพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่งที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากลับสะพายกระเป๋าหนังเดินตรงมาหา


ดวงหน้าหล่อระคนน่ารักที่เคยสดใสเป็นอาจิณมาบัดนี้กลับหม่นหมองทรุดโทรมเหมือนคนทำงานหนักไม่ได้หยุดพัก แม้แต่แววตาที่ทอดมองทั้งที่ริมฝีปากเหยียดกว้างกลับเศร้ายิ่ง


ชั่วนาทีที่อีกฝ่ายหยุดยืนห่างจากเคาน์เตอร์ไปเพียงสุดแขนเอื้อม ดวงตาบวมช้ำกลับกระตุกแรงและร้อนผ่าวจนต้องเบือนหนีไปหยิบผ้าปิดปากสีดำในลิ้นชักออกมาคาดปิดด้วยหวังว่า ความทุกข์จะไม่เผยออกไปให้ได้เห็น


“อรุณสวัสดิ์” เสียงนุ่มทุ้มฟังอ่อนล้าเอ่ยทักทาย ทว่าเจ้าของร้านกลับก้มหน้าซ่อนตาที่ช้ำบวมโดยไม่ตอบรับใดๆ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่ายังโกรธทำให้สมองโล่งลืมคำอธิบายที่เตรียมมาทั้งคืนได้แต่ยืนเงียบอยู่หลายนาทีกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าขวางทางลูกค้าที่ต่อคิวรออยู่จึงสั่งเครื่องดื่ม


“ขอวานิลลาลาเต้ร้อนแก้วหนึ่ง” เขาเลือกเมนูเครื่องดื่มที่จำได้ว่าเจ้าของร้านเคยแนะนำเมื่อครั้งแรกที่พบกันว่ามันหวานน้อยและปริมาณคาเฟอีนต่ำเหมาะกับคนไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟ


“หกพันห้าร้อยวอนครับ” เจ้าของร้านบอกหยิบธนบัตรที่ยื่นมาใส่ในเครื่องคิดเงินและหยิบใบเสร็จพร้อมเงินทอนส่งให้โดยไม่มองหน้า 


แดฮยอนเม้มริมฝีปากกำเงินทอนแน่นก่อนจะผละจากเคาน์เตอร์ไปยังโต๊ะว่างริมหน้าต่างแล้วหยิบแมคบุ๊กในกระเป๋าออกมาต่อสายนั่งทำงานพลางมองไปยังเจ้าของร้านที่ง่วนอยู่กับการรับลูกค้าและทำเครื่องดื่มเพียงลำพังอยู่เช่นนั้นหลายนาทีจึงลุกจากเก้าอี้เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ที่ตอนนี้ร้างลูกค้าต่อคิวแต่มีเครื่องดื่มกับขนมรอเสิร์ฟอยู่ในถาดหลายใบ


“ให้ฉันช่วยมั้ย” เจ้าตัวอาสา หากเจ้าของร้านยังวางเฉยเพียงหยิบถาดเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ไปเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าอยู่หลายรอบผ่านหน้าเขาไปเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ ทำให้ผู้หวังดีคอตกเดินกลับไปนั่งที่เก่า เปิดไฟล์งานขึ้นมาเพื่อจะเขียนเพลงประกอบละครด้วยจิตใจฟุ้งซ่านกระทั่งเห็นกาแฟที่ตนสั่งถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะจึงรวบรวมกำลังยิ้มให้


“ขอบคุณนะ” คำนั้นเอ่ยมาประโยคแรกและเงียบไปอึดใจจึงต่อ “ต่อไปถ้าฉันไม่ต้องเข้าห้องอัดร้องไกด์เพลงหรือมีงานทำดนตรีที่ต้องเข้าสตูดิโอกับห้องอัด ฉันจะมานั่งทำงานที่นี่นะ”


หลังบอกความประสงค์เรียบร้อย อีกฝ่ายคล้ายไม่ได้ยินเสียงเพียงวางทิชชู่ไว้ข้างถ้วยกาแฟที่นำมาได้ก็หันหลังเดินกลับไปประจำที่เก่าปล่อยให้คนตั้งใจมาขอโทษถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้...จะให้เข้าไปวอแวตีเนียนจนหายโกรธเหมือนที่เคยทำกับคนอื่นก็กลัวจะไม่ได้ผล หนำซ้ำถูกเกลียดหนักกว่าเดิมเขาคงได้แย่ไปกว่าเดิมแน่เลยจำใจต้องปล่อยเลยตามเลยและเริ่มทำงานทั้งที่ไม่มีสมาธิด้วยใจพะวงอยู่กับความเฉยชาที่ได้รับ


...มันทั้งอึดอัดและทรมานใจที่ได้เห็นหน้าแต่ไม่อาจได้รับความสนใจเหมือนเคย...


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกคราพลางจิบกาแฟด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่หน้าจอแมคบุ๊กเลยไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าของร้านที่แอบมองตนเองอยู่เป็นพักๆ อย่างอดกลั้น รอจนลูกค้าซาลงจึงเปิดประตูเคาน์เตอร์เดินไปในห้องเก็บของหลังร้านและทรุดลงนั่งกอดเข่าร้องไห้ออกมาอีก


...เมื่อกี้เขาเห็นหลังมือทั้งสองข้างของแดฮยอนบนแป้นคียบอร์ดที่มีถลอกปอกเปิกทั่วจนเห็นผิวเนื้อแดงด้านใน

...รอยแผลจากการทำร้ายตัวเองอย่างนั้นนั่นทำให้เขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการทำใจยอมรับสถานะเพื่อน...


ความเจ็บปวดจากความเป็นห่วงที่ยากจะอธิบายกัดกร่อนในใจจนนึกอยากจะแกล้งทำไม่รู้อะไรแล้วเดินยิ้มออกไปบอกว่า อำเล่นเหมือนที่เคยทำในบางครั้งกับครอบครัว หากก็รู้ว่า เขาในตอนนี้ไม่สามารถมองอีกฝ่ายได้เต็มตาโดยไม่ร้องไห้ออกมา


ความผิดของแดฮยอนไม่มีอะไรมากไปกว่าข้อหาอารมณ์ร้อน แต่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพียงเพราะเขายังทำใจยอมรับความผิดหวังไม่ได้ และนั่นทำให้เขารู้สึกเกลียดความเห็นแก่ตัวของตัวเอง


ยองแจใช้เวลาร้องไห้เงียบๆไม่นานก็เดินออกจากห้องเก็บของไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำพลางมองตัวเองในกระจกที่หูตาแดงไปหมดจึงหยิบแว่นที่เสียบในกระเป๋าออกมาสวมแล้วกลับไปหลังเคาน์เตอร์แสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการมีอยู่หรือการเดินมาสั่งกาแฟเป็นถ้วยที่สองของเพื่อนร่วมบ้าน


คนที่สำนึกผิดไม่ยอมลุกไปไหนเลยนอกจากห้องน้ำจนใกล้ปิดร้านและยังอาสาช่วยเก็บร้านอย่างกล้าๆกลัวๆหากเมื่อเห็นความนิ่งของฝ่ายตรงข้ามจึงยอมเก็บของออกไปยืนรอด้านหน้าร้านหวังว่า พอเก็บของเสร็จอีกคนคงจะออกมา ปรากฏว่ารออยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าจะเห็นแม้แต่เงาเลยกลับไปบ้านเพื่อจะพบว่า เพื่อนร่วมบ้านของตัวเองกลับเข้าห้องนอนไปแล้ว คงมีเพียงตุ๊กตาลูกไก่ที่เขาซื้อไว้เมื่อสองวันก่อนถูกหยิบมาตั้งบนโต๊ะวางโทรทัศน์แทนที่จะถูกเก็บในห้องนอนผู้ที่เขาตั้งใจซื้อมาฝากเหมือนตุ๊กตาตัวอื่นๆที่เคยให้ แม้แต่เมล็ดกาแฟที่ถ่อไปไกลซื้อฝากก็ยังวางอยู่ในครัวดังเดิม


ชายหนุ่มสูดลมหายใจยกมือลูบหน้าปะจมูกอย่างสิ้นหวัง ได้แต่หยิบกระดาษออกมาเขียนข้อความแปะบนประตูข้างกระดาษอีกหลายแผ่นที่เขาเขียนติดไว้เผื่อเจ้าของห้องจะอ่าน จากนั้นจึงเริ่มทำความสะอาดห้องและเข้าครัวไปเคลียร์อาหารในตู้เย็นที่หมดอายุเพราะอีกคนไม่ยอมกินทิ้งจึงได้ฤกษ์อาบน้ำกลับเข้าห้องเขียนเพลงรักแสนเศร้าทั้งคืนจนเช้าอีกวัน


วันเวลาแห่งความทรมานระหว่างกันดำเนินไปอย่างโหดร้ายนานหลายวันเสียจนบางคืนหัวใจของทั้งคู่คล้ายถูกฉีกขาด กระนั้นแดฮยอนยังไม่ละความพยายามในการอยู่โยงในการกาแฟหรือแม้แต่เลือกดักทางออกของร้านกาแฟเผื่อจะได้กลับบ้านมาพร้อมกันทั้งที่รู้ว่าถึงจะดักทางไหนเจ้าของร้านก็เลือกออกไปอีกทางได้เสมอ


กระทั่งเช้าวันอาทิตย์ซึ่งเคยเป็นวันปิดทำการของร้านกาแฟ Vi ses หากวันนี้ร้านกลับเปิดต้อนรับลูกค้าเหมือนปกติ ขณะที่เจ้าของร้านเก็บใบเสร็จค่าขนมหวานที่สั่งจากเจ้าข้างนอกทำมาขายในร้าน...ลูกค้าผู้ถูกหมางเมินเป็นประจำกลับคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางเคร่งเครียดก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินตรงมายังเคาน์เตอร์ด้วยอาการเสยผมอย่างคนทำตัวไม่ถูกอยู่พักหนึ่งจึงเริ่มพูด


“วันนี้ฉันคงอยู่รอนายจนปิดร้านไม่ได้นะ แต่ไม่ใช่เพราะฉันเบื่ออะไรหรอกนะ แค่ฉันต้องไปแคสติ้งละครเวทีน่ะ คือ ก่อนหน้านี้เพื่อนของบอสฉันเขาเป็นหุ้นส่วนบริษัทการแสดงระหว่างเกาหลีกับจีน แล้วเขาจะจัดแสดงละครเวที แล้วก็มีนักแสดงกับนักร้องดังๆไปร่วมแสดงด้วย แต่เขาขาดพวกนักแสดงประกอบ บอสของฉันเขาเลยบอกให้ฉันลองส่งคลิปร้องเพลงจากฉากหนึ่งในละครเวทีส่งไปเมื่อเดือนก่อน เมื่อกี้เขาเพิ่งโทรมาเรียกให้ไปแคสติ้งต่อหน้าอีกรอบ ถ้าผ่านรอบนี้ล่ะก็ ฉันก็จะได้แสดงเรื่องนี้ด้วย” คนตัวสูงอธิบายความยืดยาวแล้วกลืนน้ำลายแลเจ้าของร้านอย่างหวาดๆ พอเห็นความนิ่งเลยถอนหายใจแล้วว่า 


“แต่คนเก่งๆก็ไปแคสก็เยอะเหมือนกัน อย่างว่าแหละพวกเบื้องหลังอย่างเรา พอมีโอกาสจะได้ไปเบื้องหน้า ได้รู้จักกับคนดังที่อาจมีลู่ทางดีๆให้เราได้ ใครก็ต้องคว้าไว้ก่อน ฉันเองก็เป็นหนึ่งในพวกนั้นแหละ แต่มันก็กังวล แบบว่าความสามารถของฉันอาจไม่พอสำหรับคนที่คัดเลือกเขาก็ได้” 


ถ้อยคำบอกความวิตกด้วยเสียงที่ไม่ใคร่จะมั่นใจเหมือนอย่างเคย ทำให้คนที่ล้างไม้ล้างมืออยู่ในอ่างล้างจานหลังเคาน์เตอร์ไม้เม้มริมฝีปาก...แม้ในใจความเจ็บปวดจะยังไม่ทุเลา ทว่าความห่วงใยที่กักเก็บไว้ไม่อาจแสดงออกนานเป็นอาทิตย์ประจวบกับการได้เห็นสภาพที่ย่ำแย่เหลือกำลังทำให้เขายอมอ่อนลง


หัวใจที่หลงรักใครสักคนเนิ่นนาน การตัดใจหรือยอมรับสถานะที่ไม่อาจพัฒนาในเวลาเพียงสั้นๆนั้นไม่มีวันเป็นไปได้ กระนั้นความโลภที่ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต รวมกับความสงสารหรือแม้แต่ความทุกข์จากรอยทรมานของคนที่ตนเองรักทำให้ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจเก็บกลืนความเศร้าไว้ลำพัง


ตากลมปรายยังใบหน้าของเพื่อนร่วมบ้านเสี้ยวนาทีราวกับกำลังทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองทางความรู้สึกของตนเองด้วยคิดว่า ถ้าลองเห็นหน้าได้สักครู่ก็อาจจะพอมองหน้าได้เต็มตาในคราต่อไป ทว่าในชั่วนาทีสั้นๆที่ตากลมเหลือบประสานเข้ากับดวงตาของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางอิดโรยเพราะอดนอนจากการตรากตรำทำงานทั้งคืนเพื่อจะได้ไม่ฝันจนทำเสียงดัง อีกทั้งยังกินอะไรไม่ค่อยลงนิ่งงันเกือบจะหลุดยิ้มดีใจออกแต่ต้องกลั้นไว้ด้วยกลัวว่าการยิ้มของตนอาจเป็นเหตุผลให้สถานการณ์ตึงเครียด


...แค่ไม่ทำเหมือนเขาไร้ตัวตนก็ดีเท่าไรแล้ว...


“ขอบคุณนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณนั้นสั่นเครือและเงียบไปครู่หนึ่งจึงว่า “ถ้าฉันเสร็จจากแคสก่อนสองทุ่ม ฉันจะกลับมารอนายที่นี่อีกนะ”


สิ้นคำชายหนุ่มได้แต่มองรอการตอบสนองจากคนที่ก้มหน้าง่วนกับอะไรบางอย่างตรงเคาน์เตอร์อยู่สองสามนาทีก่อนจะหักใจเดินกลับไปเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าและเดินออกจากร้านไป โดยไม่รู้เลยว่า ขณะที่ประตูกระจกเคลื่อนปิดลงมีสายตาของใครคนหนึ่งทอดไปหาด้วยแววตาที่มีน้ำอุ่นใสคลอหน่วย


...พรุ่งนี้เขาจะพยายามเป็นยองแจคนที่เป็นได้แค่เพื่อนของแดฮยอนเท่านั้น...

...ถึงแม้มันจะยากและอาจทำให้หัวใจที่พังอยู่แล้วยับเยินมากกว่าเดิม 

...แต่เขาจะยอมเป็นคนแบกรับมันเอาไว้

...ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน ถ้ายังอยากได้ความเอาใจใส่ แม้จะเป็นสิ่งที่มอบให้กับคนอื่นๆด้วยก็ตาม

...ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องการความอุ่นจากดวงตะวันดวงนั้น เพียงแค่ขอเวลาพักแค่อีกวัน

...แค่วันเดียวจริงๆ...
--------------------------------------------------------------------------------------
บานประตูเปิดขึ้นในความมืดพาแสงจากไฟทางเดินลอดเข้ามาพร้อมกับเสียงสัญญาณที่ดังขึ้นกระทั่งประตูปิดลงดังเก่าจึงเงียบลง มือของผู้มาถึงคลำหาสวิตซ์ไฟจนบ้านกลับสู่ความสว่างก่อนที่รองเท้าจะถูกถอดเก็บข้างรองเท้าเจ้าของบ้านที่วางอยู่ก่อนแล้ว


แดฮยอนเหลือบตายังนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาตีสองสิบห้านาทีก็ถอนหายใจ จากนั้นจึงลากเท้าพาสังขารอ่อนล้าของตนเองไปหยุดหน้าประตูที่มีกระดาษแปะจนเต็มเพื่อเขียนข้อความฝากถึงเช่นคืนก่อนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านอนแผ่หราบนเตียง


ใครจะคิดว่าการแคสติ้งบทตัวประกอบในละครเวทีเรื่องฟรีดราจะมีนักร้อง นักแสดง คนเบื้องหลังที่คุ้นหน้าคุ้นตาและไม่เคยพบกันมาก่อนเข้าร่วมเยอะมากขนาดที่เขาไปถึงตอนเก้าโมงเช้ากว่าแคสติ้งรอบสองเสร็จก็ปาเข้าไปค่อนวัน โชคดีที่กรรมการพอใจในความเศร้าหดหู่ที่กลั่นจากชีวิตจริงจนไม่เหมือนกำลังแสดงจนเขาผ่านเข้าไปแคสติ้งรอบที่สามร่วมกับคู่แข่งอีกยี่สิบห้าคนโดยรอผลไฟนอลอีกทีเดือนหน้า


ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองเพดานสีขาวของห้องอย่างกลัดกลุ้ม ไม่ใช่เพราะกลัวผลการตัดสินใจของคณะกรรมการเพราะอย่างไรก็ได้ทำเต็มที่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้กังวลยังหนีไม่พ้นเจ้าของบ้านเช่นเดิม


...วันนี้ยองแจมองเขาด้วย...

...นั่นคือสัญญาณที่ดีใช่หรือเปล่า...

ร่างสูงพลิกกายนอนตะแคงหันหน้าไปยังตุ๊กตาลูกไก่บนโต๊ะทำงานที่เขาตั้งใจซื้อมาให้เป็นการไถ่โทษ  พลางเอื้อมหยิบตุ๊กตาแมวสีดำตัวใหญ่บนหัวเตียงที่ได้รับร่วมกับเทียนหอมและน้ำมันหอมระเหยจากเจ้าของบ้านในวันเกิดของตัวเขาเอง


การ์ดอวยพรรูปแมวน่ารักคล้องอยู่กับป้ายยี่ห้อเขียนไว้ด้วยหมึกสีชมพูบอกไว้ว่า...มีความสุขมากๆนะ รักษาสุขภาพด้วย หวังว่าของพวกนี้จะทำให้หลับฝันดี...


ทั้งที่มีเพื่อนพ้องพี่น้องกระทั่งเจ้านายให้ของขวัญและคำอวยพรมากมาย หากข้อความในการ์ดจากลายมือยองแจที่เขาเก็บอย่างดีในสตูดิโอทำงานเป็นสิ่งที่เขาจำได้ขึ้นใจเหมือนการ์ดอวยพรที่แม่และยายเคยมอบให้


“ขอโทษนะ” เขารำพันออกมาพลางคิดถึงอ้อมกอดยามได้โอบร่างผอมไว้ในอ้อมแขนรวมทั้งริมฝีปากที่เคยสัมผัสเบาบนหน้าผากกระทั่งความนุ่มหอมของเรือนผมที่มือเคยลูบกล่อม


...นางฟ้าจะให้อภัยเขาได้หรือเปล่า...


ลมหายใจอุ่นพ่นผ่านริมฝีปาก...ความทรมานและความคิดถึงอย่างลึกซึ้งกัดกร่อนให้ผุดลุกจากเตียงหยิบมือถือเลื่อนดูข้อความเก่าที่ยังไม่ขึ้นอ่านแต่อย่างใดจึงพิมพ์ข้อความราตรีสวัสดิ์ต่อไปหาคนอีกห้องแล้วทิ้งโทรศัพท์กลับไปประจำหลังแมคบุ๊กเขียนเพลงและแต่งทำนองแสนเศร้าออกมาอีก โดยไม่รู้เลยว่าในอีกห้องนอนหนึ่งนั้นเจ้าของบ้านยังคงนอนมองกล่องแจ้งเตือนข้อความที่เด้งขึ้นมาบนจอโทรศัพท์มือถือ


ยองแจสูดลมหายใจลึกขณะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ด้วยใจละล้าละลังก่อนที่จะมีข้อความส่งเข้ามาอีก หากครั้งนี้กลับเป็นข้อความจากพี่ชายที่ละม้ายเป็นพ่อคนที่สามส่งมาถามเรื่องของฝากและพี่ชายสมัยเด็กที่ทำให้ริมฝีปากพอจะคลายเป็นยิ้มได้บ้าง


...อย่าคิดมากเกินไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามหัวใจเราเลือก...

...ถ้ามันเหนื่อยหรือเจ็บเกินไป มาหาพี่ได้เสมอ...

...ฝันดีนะ ตัวเล็ก...


ในเวลาที่ต้องการกำลังใจให้ผ่านพ้น ถึงแม้จะมีครอบครัวคอยห่วงใยให้อุ่นใจแต่ในบางเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะให้ครอบครัวล่วงรู้ ความห่วงใยของฮิมชานกับฮยอนอูทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวเกินไป


ความจริงเขายังมีพี่ยงกุกอีกคนเป็นที่พึ่งทางใจและให้ความช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่อยู่เสมอ แต่เขารู้ดีว่า หากได้เจอกับพี่ชายคนนั้นเข้าล่ะก็คงหนีไม่พ้นหลุดเผยความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนร่วมบ้านออกไปซึ่งเขาไม่อยากให้ใคร นอกจากฮยอนอูรู้ถึงความรู้สึกนั้น อีกทั้งแดฮยอนยังเคยชอบแก้วตาดวงใจของพี่เขาด้วย ถึงแม้ยงกุกจะเป็นคนมีเหตุผลและเด็ดขาด หากถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุนฮง เขาไม่แน่ใจว่าวิธีจัดการจะเป็นอย่างไร


...ในบางครั้งรอยยิ้มของพี่ยงกุกกลับน่ากลัวยิ่งกว่าตอนวางเฉย...


คนตัวผอมถอนหายใจผุดลุกไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนใหม่อีกครา ทว่าความกังวลที่ฝังตัวอยู่ทำให้หลับๆตื่นๆอยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า ก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากห้องไปทำกิจวัตรประจำวันและสิงอยู่ในร้านกาแฟตั้งแต่เช้ามืด โดยใช้เวลาช่วงที่ยังไม่เปิดร้านรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้ตนเองมีกำลังใจแข็งแกร่งมากพอจะยอมรับสถานะของตนเองที่มีต่อใครอีกคนที่อีกพักคงเดินทางมาถึง


ยองแจมองเงาสะท้อนของตัวเองที่กำลังยิ้มในกระจกบานเล็กตรงเคาน์เตอร์เพื่อที่ถึงเวลาจะได้ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงเปิดร้านต้อนรับลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาจากโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่งกว่าที่เพื่อนร่วมบ้านจะหอบข้าวของเข้ามาสั่งกาแฟและพูดถึงการต้องเข้าออฟฟิศไปส่งเดโมเพลงทำให้มาช้าก่อนจะไปนั่งตรงโต๊ะประจำริมหน้าต่าง


คนตัวสูงอ่านอีเมล์ที่เพื่อนส่งมาขอให้ช่วยไปสอนเปียโนแทนอาทิตย์หน้าสองวันพลางถอนหายใจเพราะไม่คิดว่าตนเองจะสามารถไปทำงานไกลโดยทิ้งทุกอย่างให้คาราคาซังเช่นนี้ได้ ช่วงเวลาที่เอนจากพนักพิงหลังของเก้าอี้มาวางศอกบนโต๊ะกุมขมับอย่างกลัดกลุ้มกลับมีเสียงหนึ่งที่ทำให้เขาชะงักนิ่ง


“รู้มะว่า ที่นี่มีโปรโมชั่นดื่มกาแฟครบสิบแก้ว ฟรีหนึ่งแก้วน่ะ”


แดฮยอนกระพริบตาปริบเงยหน้าไปยังเจ้าของร้านที่สวมแว่นตากำลังเสิร์ฟวานิลลาลาเต้ที่มีบัตรกระดาษประทับตราปั๊มรูปใบไม้ครบสิบดวงเสียบอยู่ในจานรองลงบนโต๊ะ...ต่างฝ่ายต่างสบสายตากันอยู่เช่นนั้นหลายนาทีกว่าที่คนถือสถานะลูกค้าและเพื่อนร่วมบ้านจะเลียริมฝีปากหลุดยิ้มน้อยๆออกมาพร้อมกับตาที่เริ่มแดง


“นาย...นายหายโกรธฉันแล้วใช่ไหม” เสียงทุ้มสั่นเครือเอ่ยขณะจ้องคนตัวผอมตรงหน้าอย่างหวาดๆ


“ก็...อย่าทำอีกแล้วกัน” 


“จริงนะ...ไม่ได้โกรธฉันแล้วใช่ไหม ไม่ได้โกรธฉันแล้วแน่นะ” อีกคนยังละล่ำละลักถาม 


“ถ้านายยังเซ้าซี้อีก ฉันจะโกรธใหม่อีกรอบก็ได้”


“ไม่ๆ อย่า...อย่าทำแบบนั้นนะ”


“งั้นก็เลิกถามสักทีว่าโกรธอยู่หรือเปล่า แล้วก็เก็บบัตรสะสมไว้ด้วย ครั้งหน้าก็เอามาใช้จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ากาแฟ” เจ้าของร้านว่าพลางยู่ปากอย่างไม่ชอบใจเหมือนเคยทำให้อีกฝ่ายใจชื้น มือที่วางบนโต๊ะเกือบจะเอื้อมไปจับมือของคนพูดแต่ก็เกรงจะทำให้ไม่พอใจเลยชักกลับมากำไว้แน่น


ฉันแลกเป็นอย่างอื่นได้มั้ย ไอ้โปรโมชั่นดื่มกาแฟครบสิบแก้วได้กาแฟฟรีนี่ ฉันไม่อยากได้หรอก สิ่งที่ฉันอยากได้คือรอยยิ้มที่นายเคยมีให้ฉันต่างหาก”  ประโยคถามนั้นเจือแววเว้าวอนทั้งดวงตาและน้ำเสียง ทำให้เจ้าของร้านถอนหายใจแล้วเหยียดริมฝีปากออกพอเป็นพิธี


“ไม่เอายิ้มแบบนี้”


“โอ๊ย เรื่องมาก” อีกคนแว้ดอย่างรำคาญแต่ก็ยอมยิ้มกว้างให้ใหม่จนตาหยีอยู่เป็นนาทีก็เบะปากใส่คนร้องขอที่เท้าคางยิ้มแป้นมองอยู่ด้วยตาเป็นประกาย “พอใจยังอ่ะ”


“อืม” ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงในคอเอาแต่ยิ้มจ้องเจ้าของร้านแทบไม่กระพริบตาอยู่นานเหมือนแมวที่กำลังดีใจเพราะเจ้าของให้อภัยในความผิดที่ก่อไว้จนถูกด่าเข้าให้


“เป็นบ้าหรือไง ยิ้มอยู่ได้”


“นายไม่ชอบให้ฉันยิ้มเหรอ” คำถามนั้นมาพร้อมกับแววตาละห้อยหา


“เปล่าซะหน่อย”


“ถ้านายไม่ชอบให้ฉันยิ้มล่ะก็ นายบอกฉันได้นะ ฉันจะพยายามไม่ยิ้มอีก ฉันจะพยายามไม่ทำอะไรที่นายไม่ชอบ...จริงๆนะ ถ้านายไม่ชอบให้ฉันทำอะไร ฉันจะไม่ทำ แต่บางทีฉันก็ไม่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่เพราะนายไม่พูด ครั้งหน้าถ้านายไม่พอใจแล้วไม่อยากพูด นายจะต่อยฉันเลยก็ได้”


เจ้าของร้านมองความเศร้าบนใบหน้าหล่อน่ารักเหมือนแมวของเพื่อนร่วมบ้าน...ถ้อยคำที่แสดงถึงความเอาใจใส่นั้นทำให้หัวใจคนได้ยินกลับรู้สึกเจ็บจางๆ หากก็แกล้งโวยวายกลบเกลื่อน


“ฉันไม่ได้หัวรุนแรงขนาดไม่พอใจใครก็ไปไล่ต่อยเขาหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่ชอบไปต่อยตีอะไรกับใครด้วย ทำไมคนเราต้องไปมีเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวล่ะ ถ้าเป็นในเกมก็ว่าไปอย่าง”


“นายเล่นเกมด้วยเหรอ”


“เล่น...”


“เล่นกับใครอ่ะ”


“เล่นกับพี่ยองวอน พี่ยงกุกแล้วก็มีพี่ยงนัมด้วย”


“พี่ยงนัมที่ว่านี่...คงไม่ใช่ฝาแฝดของพี่ยงกุกเขาหรอกใช่ไหม”


“เอ้า รู้จักด้วยเหรอ”


“รู้สิ...พี่เขาเป็นเพื่อนพี่ซองวอน ฉันเคยไปดื่มด้วยอยู่หลายครั้งอ่ะ แต่พี่เขาเป็นคนแบบห่ามๆมากเลยนะ นายไปรู้จักเขาได้ไง หรือว่าพี่ยงกุกเขาแนะนำให้รู้จัก”


“ไม่ใช่หรอก ฉันรู้จักเพราะพี่ฮิมชานพาพี่เขาไปออกทริปถ่ายรูปด้วยน่ะ แต่พี่เขาพูดตรงพูดแรงมากเลยแถมใช้มึงกู สบถบ่อยๆตลอดเลย”


“แล้วนายโอเคใช่มั้ย”


“ถ้าตัดเรื่องพูดไป จริงๆพี่เขาก็ใจดีแหละ ถ้าเป็นในเกมนี่พี่เขาสายบู๊ เล่นเก่งเว่อ แต่เดี๋ยวนี้พวกพี่เขาทำงานทำการยุ่งไม่ว่างสักคน พอไม่มีทีมเล่นด้วยก็ไม่อยากเล่นก็เลยเปลี่ยนมาดูซีรี่ย์แทน”


“ถ้านายอยากเล่นเกมล่ะก็ ให้ฉันเล่นด้วยก็ได้นะ”


“ไม่เอาหรอก นายเองก็เป็นพวกทำงานจนดึกดื่น วันไหนได้หยุดก็ออกไปข้างนอก ไม่มีเวลาจะมานั่งเล่นกับฉันหรอก อีกอย่างท่าทางนายดูเล่นเกมกาก ฉันไม่ชอบเล่นเกมแล้วแพ้ ถ้าฉันแพ้ ฉันจะหงุดหงิดทั้งวัน”


“ก็สอนสิ ฉันจะได้หัดเล่นจนไม่กาก”


“สอนไม่ไหวหรอก ฉันเป็นพวกสอนอะไรใครไม่รู้เรื่อง ต้องเขียนเอาแต่ทักษะเล่นเกมมันไม่ใช่ว่าอ่านแล้วจะเก่งด้วย” คนตัวผอมบอกด้วยท่าทางปกติพลางชะโงกลงมาดูจอแมคบุ๊กราวกับไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน “โอ๊ะ นายกำลังทำเพลงอยู่เหรอ งั้นฉันไม่กวนล่ะ ไปดีกว่า”


พลันข้อมือผอมกลับถูกมือแข็งคว้าไว้ไม่ให้เดินต่อและเมื่อหันกลับมาก็เห็นเจ้าของมือลุกจากเก้าอี้ยืนอยู่ตรงหน้า ตากลมเหลือบยังใบหน้าของคนตัวสูงกว่าที่กำลังยิ้มด้วยแววตาอ่อนแรงและแสนเศร้า 


“ฉันจะจำมันไว้”


“ฮะ”


“ถึงนายจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉันจะจำเรื่องที่เราทะเลาะกันครั้งนี้ไว้” ประโยคนั้นเริ่มขึ้นตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาวจึงต่อ “ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี แต่ฉันทรมานจริงๆนะที่เราไม่คุยกัน การที่ได้เห็นนายมองผ่านเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนั้น ใจของฉันมันโครตเจ็บเลย” 


“อา”


“อย่าโกรธฉันแบบนั้นอีกเลยนะ มีอะไรพูดกับฉันหรือต่อยฉันได้...ตอนที่นายไม่รับความหวังดีหรือไม่สนใจฉัน มันเหมือนฉันไม่มีแรงเหลือเลย จนฉันยังคิดด้วยซ้ำว่า ถ้านายไม่พูดกับฉันเป็นเดือนฉันอาจจะตายจริงๆก็ได้ แล้วก็ไอ้เรื่องที่วันนั้นนายพูด มันไม่จริงเลยที่นายบอกว่า นายไม่สำคัญกับฉัน จริงๆแล้วเพราะนายสำคัญกับฉันมากต่างหาก ฉันถึงวงว่านายใช้ชีวิตในวันหนึ่งยังไง จะมีใครทำให้นายหงุดหงิดรำคาญบ้างหรือเปล่า นายจะกินอิ่มนอนหลับ ไม่เจ็บไม่ป่วยใช่มั้ย และถ้านายไม่อยากเป็นเพื่อนสนิทกับฉันก็ไม่เป็นไร นายอยากให้ฉันเป็นแค่รูมเมทก็ได้ สถานะของฉันสำหรับนายแล้วจะเป็นอะไรไม่สำคัญ ฉันเป็นแค่คนซื้อข้าวให้นายกินเฉยๆก็ยังได้” 


ความในใจถูกสารภาพออกไปจนหมดสิ้น ทว่ารอยยิ้มบนดวงหน้าของผู้พูดยังหม่นหมองจนคนตั้งใจฟังทุกคำรู้สึกได้ถึงขอบตาของตนเองที่กำลังร้อนผ่าวก่อนจะทำหัวเราะร่วนกลบเกลื่อน


“นายนี่พูดอะไรเยอะแยะจัง ฉันจับใจความไม่ได้เลยเนี่ย...แต่ถ้านายรู้ว่านายทำผิดและจะไม่ทำอีก ก็ดีแล้วแหละ เพราะฉันก็ขี้เกียจทำเป็นโกรธนานๆเพื่อให้นายสำนึกเหมือนกัน นี่มีอะไรอยากพูดอีกปะ ถ้าไม่มีฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”


“อืม”


“ละก็ถ้ามีลูกค้ามาล่ะก็ บนโต๊ะมีกระดาษกับปากกา ให้เขาเขียนออเดอร์ไว้ เดี๋ยวฉันออกมาจัดการเอง”


“จริงๆให้ฉันช่วยรับออเดอร์ให้ก็ได้นะ”


“ไม่เอา...นายมีงานต้องทำ ก็ทำงานไปเหอะ ลูกค้าร้านฉันมีแต่ลูกค้าประจำ เขารู้หรอกว่าเวลาฉันไม่อยู่ต้องทำยังไง ขืนนายไปวุ่นวาย เขาจะงงเอาเปล่า”


“โอเค” อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำแล้วปล่อยมือที่จับข้อมือผอมไปเข้าห้องน้ำ กระทั่งเห็นเจ้าของร้านกลับมาประจำที่จึงจึงกลับมาจดจ่อกับการทำงานของตัวเองแต่ก็คอยมองไปยังเคาน์เตอร์บ้างนานๆที พอถึงช่วงเที่ยงก็ลุกไปถามถึงอาหารที่อยากกินจะออกไปซื้อมาให้แต่อีกคนหยิบแซนด์วิชแฮมชีสจากในตู้มาเคี้ยวต่อหน้าและยังเผื่อแผ่มาให้เขาได้กิน โดยให้เหตุผลว่าขี้เกียจออกไปซื้อ


ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนได้เวลาปิดร้าน แดฮยอนกดเซฟงานทั้งหมดที่ทำตลอดวันรีบเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อไปช่วยเจ้าของร้านเช็ดทำความสะอาดจนทั่ว พอถึงเวลาที่ต้องออกไปเพราะเจ้าของร้านต้องล็อกประตูด้วยความกลัวทำให้เจ้าตัวรีบขอสิ่งที่ต้องการออกไป


“วันนี้เรากลับด้วยกันนะ อย่าให้ฉันรอแล้วนายก็ออกทางอื่นได้หรือเปล่า” 


“เออ รู้แล้ว” คนตัวเล็กกว่าบอกพลางโบกมือไล่แล้วหยิบกุญแจที่เสียบคาแม่กุญแจออกมาล็อกร้านจากด้านนอกแทนที่จะลงล็อกจากด้านในเพียงอย่างเดียว เมื่อเรียบร้อยอีกคนก็คว้ามือนุ่มมาจับไว้แล้วชวนไปกินข้าวทันทีโดยไม่รอให้อีกคนได้ตั้งตัว


“ฉันเพิ่งมารู้สึกตอนที่เราไม่ได้คุยกันว่า เราไม่เคยกินข้าวแบบนั่งโต๊ะกินด้วยกันจริงๆเลย ถึงฉันจะมีกับข้าวแช่ไว้ในตู้เย็นหรือคอยอุ่นให้นายกินตอนเช้า แต่เราก็ต่างคนต่างกินตลอด เพราะงั้นต่อไปฉันจะกินข้าวกับนายให้บ่อยขึ้น”


ยองแจปรายตายังมือเย็นๆของตนเองถูกกุมเอาไว้ด้วยมืออุ่นอย่างมากของคนตัวสูง...ปากเริ่มขยับเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมาแต่พอเห็นฝ่ายตรงข้ามจ้อถึงร้านอาหารเจ้าอร่อยซึ่งเคยฝากท้องอยู่ประจำให้ฟังเลยเลือกจะเงียบปล่อยให้จูงไปอย่างว่าง่าย


ชั่วขณะที่ได้รับไออุ่นจนฝ่ามือเริ่มคลายเย็น สายตาของคนตัวผอมจับนิ่งบนรอยแผลตกสะเก็ดเป็นแนวยาวตลอดหลังมือจากการทำร้ายตัวเองด้วยความรู้สึกไม่สู้ดี กระทั่งโดนลากเข้าไปในร้านอาหารเกาหลีริมถนนที่ไม่เคยกินมาก่อนด้วยส่วนใหญ่การกินข้าวนอกบ้านจะมีฮิมชานกับยงกุกพาไป ซึ่งแต่ละร้านที่ว่าก็เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่หรือหรูหรา


อาหารร้อนๆที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมให้รับประทาน แต่เพราะมือของคนตัวสูงที่ยังจับมือนุ่มไว้มั่นอย่างไม่มีทีท่าจะปล่อยราวกับกลัวจะหลุดหายไปทำให้หยิบจับช้อนไม่ได้จนต้องเอ่ยปาก


“นี่ ถ้าจับมือฉันไว้แบบนี้แล้วจะกินข้าวยังไงอ่ะ”


“อา...โทษที ฉันลืมไป” คำถามเสมือนคำเตือนให้มือหลุดจากการเกาะกุมพร้อมกับการกินข้าวร่วมโต๊ะเป็นครั้งแรกได้ผ่านพ้นไปโดยต่างฝ่ายต่างกินอย่างหิวโหยเนื่องด้วยกินอะไรไม่ค่อยลงกันมานานกว่าจะออกจากร้านได้ก็เกือบสี่ทุ่มและมืออุ่นของอีกคนก็ยื่นมาจับมือเย็นไว้เหมือนเก่า


ท้องถนนยามค่ำคืนในย่านทำงานแตกต่างจากย่านท่องเที่ยวทำให้บรรยากาศเงียบสงัดและร้างผู้คนเดินขวักไขว่...แดฮยอนจับมือนุ่มเอาไว้แน่นด้วยกลัวความมืดอาจทำให้คนตัวผอมกว่าสะดุด ทว่าในระหว่างที่เดินผ่านสนามเด็กเล่นด้านหน้าอพาร์ตเม้นต์หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเม้นต์ของทั้งคู่ อยู่ๆคนที่ถูกจับมือมาตลอดทางก็เป็นฝ่ายหยุดเดินและรั้งให้อีกฝ่ายชะงักเท้าเหลียวกลับมา


ยองแจเอื้อมมือไปดึงมือข้างที่ว่างของเพื่อนร่วมบ้านมาจับแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งลูบบนรอยแผลตกสะเก็ดเบาๆ พลางเม้มริมฝีปากเพื่อเก็บความเสียใจไว้อยู่เกือบนาทีจึงเงยไปหาคนตรงหน้าที่กำลังเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ


“นายดื่มเหล้าเฉพาะเวลาจำเป็นอย่างเดียวได้หรือเปล่า”


“ฮะ” ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงทำตาโต


“นายไม่เคยสงสัยเหรอว่า ทำไมเนื้อตัวถึงมีแผลที่ไม่รู้สาเหตุอยู่ตลอด”


ประโยคนั้นทำเอาคนตัวสูงกว่าที่ไม่คาดว่าจะถูกถามเช่นนั้นกลอกตาไปมาคล้ายครุ่นคิดหนักเพื่อกลบเกลื่อนความจริงเรื่องที่ตลอดหลายเดือนมานี้ตนเองแกล้งเมากลับมาเพื่อจะได้นอนด้วยกัน


“ก็สงสัยหรอกแต่ฉันคิดว่าคงละเมอฟาดอะไรเข้าเองก็เลยช่างมัน ว่าแต่นายรู้เหรอว่าฉันมีแผลได้ยังไง”


“นายน่ะชอบเมาแล้วทำตัวเองเจ็บๆ แต่นายไม่รู้” เสียงนุ่มเอ่ยเบาเงียบลงเสี้ยววินาทีจึงต่อ “นี่ เรื่องที่นายพูดเมื่อเช้าน่ะ ที่นายบอกว่า ถ้าฉันไม่ชอบอะไรนายจะหยุดทำใช่มั้ย ถ้าฉันบอกว่า ฉันไม่ชอบที่นายเมากลับมาแล้วทำร้ายตัวเองเพราะมันทำให้ฉันเสียใจล่ะก็ นายจะหยุดดื่มเหล้าได้หรือเปล่า”


คำขอร้องอย่างห่วงใยและนิ้วที่ลูบบนสะเก็ดแผลแห้งกรังบนหลังมือนั้นทำให้หัวใจคนฟังสะเทือนไหวถึงขนาดต้องกัดกรามไว้แน่นทั้งที่ยังยิ้มอยู่


“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าคนทำงานวงการบันเทิงจะหาข่าวหรืองานเสริมส่วนใหญ่จากการไปดื่มสังสรรค์พวกนี้ แต่ไม่ต้องไปทุกคืนไม่ได้เหรอ หรืออย่างน้อยไปด้วยแต่ไม่ต้องดื่มจนเมาได้มั้ย ถ้ารู้สึกเหงาขึ้นมาล่ะก็ กลับมาบ้านสิ ฉันรู้ว่าฉันน่าเบื่อแต่ฉันจะทำตัวให้ไม่น่าเบื่อก็ได้ เราจะดูหนังที่นายชอบด้วยกัน หรือถ้านายอยากออกไปกินข้าวข้างนอก ออกไปซื้อของหรือหาแรงบันดาลใจที่ไหน นายให้ฉันไปด้วยก็ได้ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้รำคาญ ถึงฉันจะเป็นเพื่อนที่เอาแต่ใจมากๆ แต่ฉันจะพยายามทำทุกอย่างให้นายไม่เบื่อ ถ้านั่นหมายความว่า นายจะไม่ไปดื่มจนเมาแล้วกลับมาทำร้ายตัวเองอีก” 


สิ้นคำนั้นคนตัวผอมจึงยิ้มกว้างออกมาอีกคราราวกับไม่รู้สึกรู้สาอันใด หากดวงตาหลังแว่นใสกลับฉายแววระทมทุกข์ ยิ่งเปลือกตานั้นกระพริบถี่ด้วยกลัวหยดน้ำตาจะเอ่อออกมาให้เห็นนั้นทำให้อีกคนที่ยืนนิ่งรู้สึกได้ถึงหัวใจที่รวดร้าวของตนเองและอีกฝ่ายที่อยู่ภายใน


แดฮยอนปล่อยมือข้างที่ตนเองเป็นฝ่ายจับสัมผัสเบาบนพวงแก้มที่เย็นจัดจากลมยามค่ำ นัยน์ตากลมกลับคมขึ้นในนาทีที่ทอดลงมายังดวงหน้านวลที่กระจ่างชัดแม้ในความสลัวเสมือนหนึ่งพระจันทร์ทรงกลดในคืนเดือนมืด


“ฉันสัญญาว่า ฉันจะไม่ไปดื่มอีกหรือถ้าจำเป็นต้องดื่มฉันจะพยายามไม่เมากลับมา...ได้โปรดอย่ายิ้มทั้งที่เศร้าอย่างนั้นสิ นายอย่าเศร้าเพราะฉันอีกเลยนะ ความจริงนายไม่ได้น่าเบื่ออะไรเลย แต่เป็นฉันต่างหากที่ไม่เอาไหนถึงทำให้นายเสียใจ ทั้งที่เวลาฉันเห็นนายเศร้ามันทำให้ฉันเจ็บมากแท้ๆ แต่ฉันก็...” ห้วงคำหายไปในตอนท้ายและแทนที่ด้วยการสูดลมหายใจอยู่พักใหญ่ 


“ฉันจะทำตัวให้ดีกว่านี้ ฉันจะไม่ทำให้นายร้องไห้ นายโกรธหรือเหนื่อยอีก...นายมีความหมายกับฉันมากนะ ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหนหรืออยู่กับใคร ในความคิดฉันก็มีแต่เรื่องของนายอยู่ในนั้นเสมอ ฉันจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น ขอแค่นายอย่าเพิ่งเกลียดฉันหรือทิ้งฉันไปเลย” 


ชายหนุ่มบอกพ่นลมร้อนผ่านริมฝีปากแล้วเม้มแน่นสักครู่จึงยิ้มเศร้าออกมาแทนที่พร้อมกับมือใหญ่ที่ลดระดับจากแก้มลงมาจับมือไว้ดังเก่า


...ในความเศร้ามีความอุ่นอบอวลปะปน...

...ในดวงตามีความรักอ่อนโยนแฝงเร้น...

...หากคนขลาดเขลายังไม่เข้าใจความหมายในรักนั้น...


“สัญญานะ” อีกฝ่ายทวงถาม


“สัญญา” คำตอบรับนั้นหนักแน่น “อากาศมันเย็นมากแล้วล่ะ เดี๋ยวนายจะไม่สบาย รีบกลับบ้านกันเถอะ” 


“อืม” คนตัวผอมพยักหน้าขึ้นลงสำทับปล่อยให้เพื่อนร่วมบ้านดึงมือตนเองจนขึ้นมาเดินอยู่ในระดับเดียวกันมุ่งไปยังเส้นทางกลับบ้านเหมือนเช่นทุกคืน แม้คืนนี้จะมีคนที่อยากให้อยู่ด้วยมาตลอดเดินเคียงข้างแต่ข้างในกลับขมขื่น


...ระหว่างเราความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คงเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น...
-------------------------------------------------------------------------------------
เพดานสีขาวเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏในดวงตาของคนที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าโดยไม่ได้หลับ...อาการตาค้างเพราะยังกลัวความฝันร้ายหลอกหลอนแต่ไม่อาจหาเหตุผลไปอ้อนขอนอนกับเจ้าของบ้านด้วยนั้นทำให้แดฮยอนทำได้แค่หลับและลืมตานอนพลิกไปมาอยู่ในความมืดจนสว่าง


ชายหนุ่มลุกจากเตียงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็กข้อความจากเพื่อนที่ทำงานและเจ้านายซึ่งแจ้งเรื่องให้เข้ามาออฟฟิศเพื่ออัดเสียงร้องไกด์เพลงที่ลูกค้าอนุมัติผ่านเมื่อวาน จากนั้นจึงออกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บข้าวของจำเป็นใส่กระเป๋าแล้ววิ่งฉิ่วไปดูรองเท้าของอีกคนที่ยังวางอยู่ถึงเดินลิ่วกลับเข้าครัวเพื่ออุ่นอาหารเช้าสองที่เตรียมไว้


ยองแจเดินออกจากห้องน้ำเช็ดผมเผ้าที่เปียกชื้นด้วยผ้าขนหนูตรงมายังห้องครัวเพื่อชงกาแฟดื่มเพียงแต่ปรับเวลาให้ลงมาเหมือนช่วงก่อนจะเกิดเรื่อง พอเหยียบเท้าผ่านกรอบประตูเข้ามาก็เห็นเพื่อนร่วมบ้านนั่งดื่มนมตรงโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารอุ่นร้อนวางรออย่างรู้เวลา


“อรุณสวัสดิ์” เสียงทุ้มสดใสทักทาย มองเจ้าของบ้านที่เดินเข้ามาอย่างงงๆด้วยรอยยิ้มกว้าง


“ตื่นเช้าจัง มีงานเช้าเหรอ”


“เปล่า...ฉันแค่อยากมาเตรียมข้าวเช้าไว้ให้นายกิน” 


“อา” อีกคนลากเสียงขณะยุ่งอยู่กับการชงกาแฟตรงเครื่องชงกาแฟสดเลยไม่ทันสังเกตว่าใครอีกคนลุกจากเก้าอี้มายืนซ้อนมองอยู่ด้านหลังอย่างสนใจ กระทั่งได้ยินเสียงกระซิบเรียกข้างหูเลยสะดุ้งเหลียวไปดุใส่ “อะไรเนี่ย”


“วันหลังสอนฉันชงกาแฟด้วยเครื่องนี้หน่อยสิ”


“จะให้สอนทำไม ถ้านายอยากดื่มกาแฟตอนเช้า ฉันทำไว้ให้ก็ได้”


“ก็ฉันอยากเป็นคนชงกาแฟให้นาย...นายจะได้ไม่เหนื่อย”


“ไม่ต้องหรอก...ฉันชอบชงของฉันเอง สอนนายให้ทำแล้วรสชาติมันจะเปลี่ยนและเครื่องนี้มันไม่ใช่วอนสองวัน ทำพังนี่ไม่มีปัญญาหาซ่อมเองหรอก ต้องวานพี่ฮิมชานหาให้อีก”


“ฉันก็หาคนซ่อมให้ได้”


“เหอะ...ไอ้คนที่อยู่แต่วงการดนตรีมันไม่เหมือนกับนักธุรกิจหรอก พี่ฮิมชานรู้จักคนเยอะมาก เวลาฉันอยากได้อะไรแค่โทรบอกกริ๊งเดียว สิบนาทีก็รู้ล่ะว่าจะหาได้ที่ไหน บางทีพี่เขาก็ให้คนเอามาหรือเอามาให้เองด้วย”


“พี่ฮิมชานเขาดีกับนายมากจริงๆเนาะ”


“พี่ฮิมชานน่ะถ้าไม่ติดว่าขี้บ่นไปหน่อยก็ดีทุกอย่างแหละ เมื่อก่อนตอนที่นายยังไม่มาเป็นรูมเมทฉันน่ะ ฉันเคยสัญญากับพี่เขาด้วยว่า ถ้าฉันอยู่ถึงสามสิบแล้วยังไม่มีใครและพี่เขายังไม่แต่งงานใหม่ เราจะอยู่ด้วยกันแหละ” คนตัวผอมเอ่ยถึงพี่ชายต่างสายเลือดด้วยรอยยิ้มบางตรงมุมปาก...ยังจำสัญญาที่เกี่ยวก้อยกันในวันที่เขาแทบตายจากการทำรังสีรักษาได้ขึ้นใจ


“ดีเนาะ”


“ไม่ดีหรอก...ฉันอยากให้พี่เขาแต่งงานมีครอบครัวนะ อยากให้พี่เขาเจอคนที่เหมาะกับพี่เขาสักที จริงๆพี่ฮิมชานน่ะขี้เหงามากถึงปากจะบอกว่าไม่เหงา ไม่รู้สึกอะไร โตแล้วแต่ตอนที่มีใครเผลอพูดถึงพี่ฮโยลินหรือพี่ฮโยยอนเข้า พี่เขาดูเศร้ามากเลย”


“เหรอ” คนอดทนฟังตอบแกล้งทำเป็นยิ้มทั้งที่รู้สึกไม่พอใจอย่างประหลาดก่อนจะชวนไปกินข้าว “นายชงกาแฟเสร็จแล้วนิ รีบมากินข้าวสิ เดี๋ยวข้าวเย็นแล้วมันไม่อร่อย”


เจ้าของบ้านพยักหน้าถือกาแฟในถ้วยเซรามิกส์สีชมพูมานั่งแล้วชะเง้อดูอีกข้าวผัดกิมจิกับซุปกระดูกวัวหอมฉุยจึงลงมือกินข้าวด้วยความหิวจึงไม่เห็นสายตาของคนตรงข้ามที่มองอยู่


“นายผอมลง” คำนั้นเรียกให้อีกคนเงยหน้าจากจานข้าวไปหาคนที่เท้าคางข้าวพูนจานแทบไม่ยุบลง “นายผอมมากอยู่แล้วนะ ต้องกินข้าวเยอะๆหน่อยรู้มั้ย”


“นายก็ผอมลงเหมือนกันแหละ”


“ฉันผอมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นายน่ะไม่ค่อยสบาย ถ้าไม่กินข้าวจนผอมแบบนี้มันไม่ดีกับสุขภาพนะ ก่อนหน้านี้ตอนที่เรา...” เสียงนั้นขาดไปคล้ายไม่อยากพูดถึงแต่สุดท้ายก็ต่อจนจบ “...ที่เราทะเลาะกันนายไม่กินข้าวที่ฉันเอามาให้ ฉันเลยไม่แน่ใจว่านายกินข้าวหรือเปล่า” 


“กินสิ...ถ้าไม่กินก็ตายพอดี” เขาปด


“กินแน่นะ...ดีแล้วที่กิน เออ นี่ฉันเตรียมข้าวกลางวันไว้ให้นายแล้วนะ ตอนอยู่ที่ร้านฉันเห็นนายกินแต่แซนด์วิช มันไม่อิ่มท้องหรอก ถ้าไม่อยากออกไปซื้อก็กินข้าวที่ฉันให้ไป แล้วฉันจะทำให้นายเอาไปกินทุกวัน”


“ตัวเองก็ไม่กินข้าวเหมือนกันทำมาบ่นคนอื่น” เจ้าของบ้านว่าเชิดปากขึ้นเหมือนเด็กไม่พอใจอย่างเคยตัว ทำให้คนมองอยู่หลุดหัวเราะเบาออกมา


“ฉันไม่ได้บ่นแค่เป็นห่วง...รู้ไหม ฉันน่ะเวลาที่จะกินข้าว ฉันมักจะคิดเสมอเลยว่านายกินอะไรหรือยัง กินอิ่มหรือเปล่า ฉันถึงส่งข้อความไปถามแต่นายไม่ยอมตอบเลย”


“ก็ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเหมือนนายนี่”


“ไม่ตอบก็อ่านสักหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันจะได้รู้ว่านายเห็นแล้ว”


“รู้แล้ว วันหลังจะอ่านแล้วตอบด้วย”


“อ้อ ลืมบอกไปว่าวันนี้ฉันต้องเข้าออฟฟิศทั้งวัน ต้องอัดเสียงกับมิกซ์เสียงด้วย คงไปที่ร้านกาแฟไม่ได้”


“มีงานก็ไปทำสิ จะมาอยู่ในร้านกาแฟของฉันทำไม”


“ก็ฉันอยากอยู่กับนายที่นั่นด้วย” คนพูดทำตาละห้อยเหมือนแมวโดนเจ้าของงดปลาทู “อา จริงสิ คืนนี้ฉันอาจต้องไปดื่มน่ะ พวกพี่เขาชอบคะยั้นคะยอให้ฉันดื่มเยอะจนเมาด้วย แต่จริงๆที่ฉันยอมดื่มตามที่พี่เขาขอ เพราะฉันไม่เมาแล้วฉันชอบฝันร้ายจนนอนไม่ได้น่ะ เออ ไอ้ตอนที่นายบอกว่า ฉันทำร้ายตัวเอง พอฉันทำลงไปแล้วฉันหลับเลยหรือเปล่า”


ยองแจชะงักมือที่กำลังตักข้าวในจานทันทีที่ได้ยินคำถามเหลือบมองหน้าอีกคนที่ทำเป็นสงสัยอย่างใสซื่อได้แนบเนียนอยู่พักนึงก็ตักข้าวเข้าปากเหมือนไม่ได้ยินเพราะไม่อยากตอบ


“แต่ฉันเคยฝันว่าเรานอนด้วยกัน พอฝันแบบนั้นแล้วก็ไม่เคยฝันร้ายต่อ ฉันคิดว่า ถ้าเรานอนด้วยกันจริงๆ ฉันคงจะไม่ต้องเมาเพราะกลัวฝันร้าย เพราะงั้นเรานอนด้วยกันได้มั้ย”


“ฮะ” เสียงแหลมแวดกลางอากาศอย่างไว “ไม่เอา”


“ทำไมล่ะ นอนด้วยกันไม่ได้เหรอ แค่ให้ฉันนอนด้วย ให้ฉันรู้สึกว่ามีนายอยู่ข้างๆ ให้ฉันนอนบนพื้นแล้วนายนอนบนเตียงก็ได้ อย่างน้อยก็เห็นแก่ผู้ชายตาดำที่นอนไม่หลับและไม่อยากให้มีเหล้ากรอกปากมาทำให้หลับด้วยเถอะ ได้ไหม” ฝ่ายตรงข้ามอ้อนขอขณะเท้าคางกระพริบตาปริบมองมาอย่างเว้าวอนและไม่มีทีท่าจะหยุดจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจ


“ทำไมถึง...” สุดท้ายคนแพ้ทางก็ถอนหายใจ “ให้ไปนอนในห้องด้วยไม่ได้หรอก ถ้าไงนายไปนอนในห้องนั่งเล่นดิ เดี๋ยวฉันดูทีวีเป็นเพื่อนจนนายหลับฉันค่อยกลับห้องก็ได้” 


“จริงนะ...จับมือด้วยได้ไหม” 


“โอ๊ย เยอะเกินไปแล้ว”


“แค่จับมือเองนะ คิดซะว่าฉันเป็นแมวก็ได้”


“ไว้ฉันจะไปคิดทีหลัง”


“นายพูดแล้วนะ...งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวไปสายบอสเขาจะด่าเอา อย่าลืมกินข้าวให้หมด กินเสร็จไว้ในอ่างนะเดี๋ยวฉันกลับมาล้างเอง อย่าลืมข้าวกลางวันในถุงบนตู้เย็น ล่ะก็อ่านข้อความที่ฉันส่งไปหาด้วย” 


“รู้ล่ะ รีบๆไปเลย ชิ่ว” คนตัวผอมโบกมือไล่ปล่อยคนที่เทข้าวใส่กล่องเพื่อเอาติดตัวไปกินที่ทำงานโดยไม่มองจนมาเห็นอีกทีว่าฝ่ายนั้นโน้มตัวเอาหน้ามาหาเสียใกล้ก็สะดุ้งโหย่งช้อนแทบร่วงจากมือเผลอแว้ดใส่ “อะไรอีกเล่า”


“ไปแล้วนะ”


“เออ จะไปก็รีบๆไปเลย”


“จะพยายามรีบกลับมา แล้วพรุ่งนี้ ถ้าไม่ติดอะไรฉันจะไปทำงานที่ร้านนายเหมือนเดิมนะ”


“อืม”


“บาย เด็กอนามัย” เจ้าของมือใหญ่ที่ลูบบนผมนุ่มนั้นเรียกอย่างเอ็นดูอยู่ชั่วนาทีก็ผละไปอย่างเสียไม่ได้


ยองแจยินเสียงสัญญาณประตูปิดที่ลอดเข้ามาพลางถอนหายใจใส่ข้าวผัดกิมจิที่เหลือเพียงครึ่งจานก่อนจะเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มอย่างโรยแรงออกมา จากนั้นจึงเก็บจานไปวางไว้ข้างอ่างล้างแล้วออกไปทำหน้าที่ของตนเองปกติ ตอบข้อความที่ส่งมาย้ำก่อนเที่ยงของเพื่อนร่วมบ้านที่ส่งมาครั้งเดียวเพราะต้องเข้าห้องอัดตลอดวันด้วยอีโมติค่อนแทนการพิมพ์ตอบจนได้เวลาก็ปิดร้านกลับบ้านเหมือนเคย


เมื่อใครคนหนึ่งได้ฤกษ์กลับถึงบ้าน อีกคนกลับเพิ่งผลักประตูออกจากห้องอัดแล้วหายเข้าไปในสตูดิโอส่วนตัวเพื่อเคลียร์งานที่เหลืออีกหน่อยและเมื่อออกมาได้อีกรอบก็เห็นรุ่นพี่คนสนิทยืนรอเพียงลำพังเพื่อไปดื่มด้วยกัน ทันทีที่หย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ในผับเจ้าประจำที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ


บาร์เทนเดอร์วางวิสกี้ Jack Daniel's Single Barrel ที่เหลือครึ่งขวดซึ่งซองวอนใช้อภิสิทธิ์ความสนิทกับเจ้าของร้านฝากไว้ ช่วงเวลาที่คนเป็นรุ่นพี่รุ่นดื่มด่ำกับเสียงเพลงแบ่งปันความรู้และความเหนื่อยยากจากการใช้ชีวิตไปจนถึงเรื่องเพื่อนที่ไม่ได้พบมานานและผู้หญิงที่เลิกราอยู่พักใหญ่ถึงสังเกตว่า รุ่นน้องนั่งถือวิสกี้ที่เหลือติดก้นแก้วเล็กน้อยโดยไม่มีทีท่าจะเติมเพิ่มจึงเปิดปากถาม


“เติมมั้ย”


“ไม่พี่ แก้วเดียวพอ”


“นี่กูเห็นมึงไม่มาดื่มเป็นอาทิตย์ พอมาดื่มกับกูสองคนหน่อยแค่นี้ ดื่มเหล้าไม่เป็นเลยไง” 


“เอาแค่นี้แหละพี่ ผมจะกลับแล้ว”


“อะไรของมึง ปกติต้องสองขวด นี่เหี้ยอะไรแก้วเดียว” คนเป็นพี่ว่าอย่างรู้นิสัยการดื่มของอีกฝ่ายดี


“ผมไม่ได้จะเอาเมา แค่ดื่มให้มีกลิ่นเฉยๆ”


“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย” 


“ผมไม่ได้นอนหลายวันแล้ว วันนี้ผมจะนอน”


“นอนเกี่ยวเหี้ยอะไรกับกลิ่นเหล้า”


“ถ้ามีกลิ่นเหล้า นางฟ้าจะให้ผมนอนกอด” 


“นางฟ้า...นางฟ้าอะไรของมึงวะ” 


“ก็นางฟ้าของผมไง” 


“แฟนน่ะเหรอ มึงมีแฟนใหม่แล้วเหรอ นี่อย่าบอกนะว่าเป็นนางคนสวยช่างทำผมคนนั้นอ่ะ” รุ่นพี่หนุ่มตบโต๊ะเข่าฉาดร้องถามอย่างตื่นเต้น


“ไม่ใช่พี่ เขาไม่ใช่แฟน”


“แต่มึงเรียกเขาว่านางฟ้านะว้อย”  


“ทำไมครับ” 


“คนเราไม่เรียกคนรู้จักหรือเพื่อนธรรมดาที่ไปนอนด้วยว่านางฟ้าหรอกนะ จำไว้ ถ้าเป็นนางฟ้าของมึงได้ เขาต้องเป็นคนมึงชอบ ไม่ใช่ชอบธรรมดาแต่ชอบมากด้วย”


“ที่จริงๆผมก็ชอบเขานะพี่ เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากเลย”


“โวะ ไอ้เหี้ยนี่”


“อ้าว ด่าผมทำไมอะพี่”


“กูเพิ่งพูดไปหยกๆเองนะ มึงนี่แม่งเข้าใจยาก ถ้ามึงอยากหลอกตัวเองก็หลอกไปเลย เชิญ”


“ผมไม่ได้หลอกตัวเองนะพี่ ก็เขาเป็นเพื่อนที่ดีกับผมจริงๆ” 


“โว้ย รำคาญเว้ย ไม่คุยกับมึงแล้ว อยากไปไหนก็ไป” 


“โอเค งั้นผมกลับนะ พี่ดื่มคนเดียวได้ใช่มั้ย หรือจะให้ผมโทรหาใครให้มาดื่มเป็นเพื่อน” คนเป็นน้องถามพลางเก็บกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ที่สวมอยู่


“ไม่ต้อง...แล้วนี่มึงดีกับยองแจหรือยัง ถ้าดีกันแล้ว ครั้งหน้าเอายองแจมาด้วยดิ”


“ไม่” ฝ่ายถูกถามเสียงแข็งใส่อย่างลืมตัวจนคนเป็นพี่ต้องยกมือทั้งสองข้างตั้งฉากเป็นเชิงยอมแพ้เพราะยังจำภาพที่น้องต่อยเพื่อนรุ่นเดียวกันคว่ำได้ติดตา


“ทำไมมึงถึงเป็นงี้อีกแล้ววะ”


“ยองแจเขาไม่ชอบที่แบบนี้ เขาไม่ค่อยสบายด้วย”


“นี่มึงเห็นกูลำยองมากไงวะ กูพาน้องมันไปร้านกาแฟหรือร้านข้าวก็ได้ มึงอย่าหวงเพื่อนดิ มึงไปอยู่ไปค้างบ้านนางฟ้าของมึงได้ ก็ให้ยองแจออกมาเจอรุ่นพี่มันบ้างจะได้ไม่เหงา”


“ผมไม่ได้ไปนอนค้างบ้านคนอื่นนะ” เสียงทุ้มเอ่ยคำจริงจังเสียจนซองวอนสะดุดใจกระทั่งฉุกคิดบางอย่างได้ถึงกับขมวดคิ้วมองคนที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงข้างตนเองอย่างงงงันแล้วเริ่มถามแต่ก็ถามได้ไม่ครบเพราะถูกขัดเสียก่อน


“นี่อย่าบอกนะว่า นางฟ้าของมึง...”


“โอ๊ย สี่ทุ่มแล้วพี่ กลับแล้ว เดี๋ยวดึกเกิน...เออ ผมขอเหล้าพี่แก้วนั่นได้ปะ” คนอ่อนกว่าชี้นิ้วไปยังแก้วที่มีวิสกี้เหลืออยู่


“มึงจะเอาไปทำไร” 


“ผมใช้นิดเดียว” บอกเสร็จเจ้าตัวก็จัดแจงหยิบวิสกี้ทั้งแก้วเทบนเคาน์เตอร์และเอาแขนและชายเสื้อเช็ดมันจนแห้ง


“ไอ้เวรเอ๊ย เหล้าดีๆเททิ้งแล้วเอาเสื้อตัวเองเช็ดทำห่าอะไรวะ”


“ผมดื่มแก้วเดียวกลิ่นมันแรงไม่พอ” 


“ไอ้เหี้ย...มึงนี่แม่ง” ซองวอนด่าออกมาได้คำก็หยุดพยายามคิดสรรคำมาด่าให้หนักหนากว่าที่สบถออกไปแต่ก็คิดไม่ออกเลยได้แต่ฮึดฮัดรำคาญใจ


“ผมไปแล้วนะพี่ จะกลับบ้านไปนอนกับนางฟ้าล่ะ” สิ้นคำคนเป็นน้องก็วางเงินเดินออกจากร้านหายไปด้วยความเร็วเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้านเหมือนอย่างเคย หากตอนที่เดินผ่านหน้าร้านสะดวกซื้อไปพอควรแล้วเขากลับย้อนเข้าไปซื้อเบียร์ออกมาอีกขวดเทใส่มือเช็ดไปตามเนื้อตัวจนแน่ใจว่ามีกลิ่นเพิ่มก็กระดกเบียร์ที่เหลือดื่มและโยนทิ้งในถังขยะค่อยวิ่งต่อไปถึงบ้าน


ชายหนุ่มมองเข้าไปในโถงของบ้านที่ยังเปิดไฟด้วยรอยยิ้มพลางถอดรองเท้าวางลวกๆ เพียงเท้าก้าวถึงตัวบ้านก็ทำเป็นตีหน้าเฉยไม่พูดไม่จาแกล้งทำเป็นสะดุดเท้าตัวเองล้มเสียงดัง กระทั่งเห็นเจ้าของบ้านขยี้ตาโผล่ออกมาจากห้องนั่งเล่นเดินมาใกล้ก็ลุกขึ้นโถมไปกอดไว้แน่น


...สามัญสำนึกไม่อาจต้านทานความรู้สึกโหยหาในอ้อมกอดและสัมผัสอุ่นจากใครอีกคนได้...


“นี่ เป็นอะไรไป เมาอีกแล้วเหรอ อย่าโถมมาแบบนี้สิ นายผอมแต่มีกล้ามเนื้อมันหนักนะ” คนตัวเล็กกว่าร้องขึ้นก่อนจะโดนคนที่เป็นฝ่ายกอดดันให้เดินถอยหลังไปตามทางจนมาถึงห้องนอนที่ไม่รู้ว่าประตูเปิดอยู่ตั้งแต่ตอนไหนเลยถลาถอยได้อีกไม่กี่ก้าวก็ล้มลงบนเตียงพอดี


“ขอฉันกอดหน่อยนะ ฉันจะตายแล้ว” เสียงทุ้มเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ขอเงยหน้ามองคนตัวผอมใต้ร่างที่ตนกอดเอวบางไว้แน่นด้วยตาฉ่ำเมา


“อะไรของนายเนี่ย เป็นอะไร ทำเหมือนเป็นเด็กเลย”  แทนที่จะโกรธเจ้าของบ้านกลับหัวเราะเสียงใสยกมือลูบผมสีอ่อนจากการย้อมที่ยุ่งเหยิงให้กลับเข้าทรงอย่างเอ็นดู “นี่เด็กโข่ง นายจะนอนทับฉันแบบนี้ตลอดไม่ได้นะ มันหนัก ฉันหายใจไม่ออก”


แดฮยอนลืมตาลุกจากอกผอมที่นอนหนุนเมื่อครู่แล้วจับเอวบางด้วยมือแข็งอุ้มและพลิกให้ขึ้นมาอยู่บนกายตนเองก่อนจะวางแขนข้างหนึ่งพาดบนเอว ส่วนมืออีกข้างไล้เบาบนพวงแก้มเนียนของคนตรงหน้าแลดวงตากลมสวยที่เบิกกว้างจากความตกใจ


...เป็นคนผอมแต่แรงเยอะจัง...


“เมาแต่แรงเยอะจัง” เจ้าของบ้านรำพันเบาสบตาที่ปรือมาหาตามประสาคนเมา...แม้นจะไร้รอยยิ้มเหยียดกว้างเช่นปกติ หากประกายอบอุ่นในดวงตารวมถึงสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือกร้านจากการกรำงานทำให้หัวใจนั้นสั่นรัว


...คราปกติแดฮยอนน่ารักอัธยาศัยดีเหมือนแมว ทว่าความนิ่งในยามเมาดูราวกับเสือนั้นมีเสน่ห์มากกว่าหลายเท่า

...แม้จะรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกชอบครอบงำด้วยปลายทางมีเพียงความเจ็บเศร้าแต่เขากลับห้ามตัวเองไม่ได้


“เจ็บเหรอ ขอโทษ” ถ้อยคำจากเสียงทุ้มเข้มว่าพลางขยับมือจากแก้มนวลสัมผัสแนวริมฝีปากอิ่มอย่างทะนุถนอม


“ไม่เจ็บหรอก” คนในอ้อมแขนส่ายหน้าเบา “แต่ไหนสัญญาว่าจะไม่ดื่มจนเมาแล้วไง ทำไมยังดื่มอีกล่ะ”


“เพราะการเมาเป็นทางเดียวที่ฉันจะได้ฝันว่ากอดนาย”


“นายไม่ได้ฝันสักหน่อย”


“ถ้าไม่ได้ฝันล่ะก็...ถ้ามันไม่ใช่ฝัน ตอนฉันไม่เมานายให้ฉันนอนกอดแบบนี้ด้วยได้หรือเปล่าล่ะ”


“นายนี่ชอบถามอะไรที่วันพรุ่งนี้ก็ลืมอยู่เรื่อยเลยเนาะ”  


“ถ้าฉันไม่ลืมล่ะจะให้กอดมั้ย ถ้าให้ฉันจะไปจดไว้จะได้ไม่ลืม”


“ทำแบบนั้นฉันก็ไม่ให้กอดหรอก” 


“เฮ้อ” คนที่ใช้ตัวเองเป็นฐานรองรับน้ำหนักร่างผอมบางถอนหายใจดึงมือข้างที่แนบแก้มเมื่อครู่กลับมาขยี้ผมตนเองจนยุ่งแล้วเสยขึ้นด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ทำไมเล่า ต้องให้ฉันเมาทุกวันเลยเหรอถึงจะได้กอด ไอ้แบบนั้นฉันจะรักษาสัญญาได้ยังไง ในเมื่อฉันนอนได้เฉพาะเวลาที่มีนายให้กอด” 


การบ่นพึมพำถึงอาการนอนไม่หลับของตนเอง นอกเสียจากจะได้กอดนอนอย่างไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ฝ่ายได้ยินเข้าสะกิดใจรู้สึกแปลกถึงขนาดเอ่ยปากถามขึ้น


“เดี๋ยวนะ ที่นายพูดเมื่อกี้ นี่ไม่ได้เมาจริงใช่มะ แกล้งเมาหรือเปล่า” เพียงคำถามเสียงดุหลุดออกมาเหมือนรู้ความจริง อีกฝ่ายกลับเอนหัวลงบนหมอนนอนหลับตาแกล้งทำเหมือนหมดสติไปกลางอากาศ


ยองแจกระพริบตาแลดวงหน้าคนที่ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงานหนักจนหลับเสียดื้อๆอยู่นานก่อนจะจับแขนที่พาดบนเอวตนเองให้พ้นจากตัว แปลกที่แขนนั้นหนักมากจนกำลังเขาคนเดียวไม่สามารถผลักออกไปได้ ถึงจะพยายามออกแรงก็ไร้ประโยชน์เลยจำใจล้มตัวลงนอนแนบหูบนอกแข็งฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกถึงการหลับสนิท


ชั่วเวลาที่ร่างบางนอนแนบอกอุ่นด้วยสติลอยใกล้คล้อยหลับกลับมีเสียงกระซิบนุ่มคล้ายละเมอลอดมาให้ได้ยิน


“นายเป็นคนสำคัญของฉันนะ...สำคัญมากกว่าใครเลย เราไม่ใช่เพื่อนสนิทกันก็ได้แต่นายเป็นคนสำคัญ เป็นนางฟ้าในชีวิตของฉันจริงๆนะ”


“พอฉันยอมเป็นเพื่อน นายกลับบอกว่า เราไม่ใช่เพื่อน...นิสัยไม่ดี” คนตัวผอมว่าหลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกคราก่อนจะแย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มหมองหม่น


...เพราะกลัวจะโกรธเลยไม่ใช่คำว่าเพื่อน ทั้งที่ความหมายในทุกคำที่เรียกขานแปลว่าเพื่อน...


สุดท้ายแดฮยอนก็โอนอ่อนผ่อนตามไปตามความต้องการของเขา สิ่งเหล่านั้นมันคือความเอาใจใส่ ความใจดีที่มีให้เขาและคนอื่นทั่วไป...แต่เขาเต็มใจจะรับมันไว้เพื่อใช้มันเป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ โดยหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่เขาจะสามารถรับน้ำใจได้ในฐานะเพื่อนอย่างแท้จริง


...ไอ้สักวันที่ว่าจะนานแค่ไหนกันนะ...

...จะนานพอสำหรับชีวิตแสนสั้นนี่ของเขาหรือเปล่า 

...เป็นคำถามที่ยากจะตอบตัวเองเหลือเกิน...

------------------------------แวะคุย------------------------------------
 เขาดีกันแล้วแหละแต่หน่วงล่ะเกินเนาะ มันเหมือนกับมีเส้นบางๆกั้นคนทั้งคู่เอาไว้
ด้วยความหลัง ด้วยความไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองมันทำให้ทั้งคู่ไปไหนไม่ได้
ทั้งที่รักกันมากเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าระหว่างทั้งคู่มันคือความรัก

ฮือ อย่าเพิ่งทิ้งเขานะคนอ่าน ดูพัฒนาการตัวละครไปด้วยกานก่อนน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะทุกคน อ่านแล้วเม้น
กับติด #ficlovetoxical ในทวิตเตร์ด้วยเด้อจะได้รู้ว่ามีคนอ่าน
  

You Might Also Like

8 Comments

  1. อหหหหห บทนี้อ่านแล้วเราหน่วงกว่าบทที่แล้วอีก
    จริงๆ เมื่อกี้พิมพ์เม้นท์ไว้ยาวเป็นเรียงความละเครื่องค้าง หายหมด โว้ย ผีสุดๆ (╯°□°)╯︵ ┻━┻

    เริ่มที่พาร์ทแรก โคตรปวดใจกับความคิดและการแสดงออกของยองแจเลยอ่ะ ช็อตที่แบบไม่อยากร้องไห้เลยก้มหน้าหลบเพราะไม่อยากให้การร้องไห้ทำให้สถานการณ์แย่ลงนี่ใจสั่นมาก อยากดึงมากอดแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ ทิ้งแด้มาหาเราได้//เดี๋ยว

    และในส่วนของพาร์ทแดฮยอน (༎ຶ⌑༎ຶ) โห คนกากคือคนกากวันยังค่ำอ่ะ ทำทุกอย่างเพื่อใกล้เขาแต่เขาเมิน วงวารและสงสารในคราวเดียวกัน ตอนที่พยายามมาขอกำลังใจก่อนไปแคสละคุณเค้าหันมานี่เห็นภาพแด้ซ้อนทับเป็นลูกหมากระดิกหาง

    เจ็บสุดก็ตอนยองแจยอมคุยแล้วแดฮยอนเปิดปากพูดทุกอย่างนี่ล่ะ คือความรู้สึกไปทางเดียวกันแล้วแต่การสื่อสารผิดที่ผิดทางเข้าใจไปคนละแบบ หลอกตัวเองไปคนละทาง โอ๊ยยยยย เครียดดดดดดด

    ชอบตอนแด้ขอนอนด้วยทุกประโยคตั้งแต่บอกว่าขอนอนจับมือเป็นแมวก็ได้ยันแกล้งเมามานอนล็อกเขาไว้บนตัว โอ๊ยเขิน

    เป็นกำลังใจให่ตอนต่อไปมาไวๆ นะคะ
    ปล.โฮลินก็สู้ๆ ล่ะ

    ตอบลบ
  2. เมื่อไหรจะรู้ซักที ไอ้ที่คุยๆกันเนี่ยมันใช่ประโยคที่เพื่อนคุยกันมั้ยยยห๊าาาา เเล้วนางฟ้าเนี้ยใช้เรียกเพื่อนหรอห๊าาาา รู้ซะทีๆ จะได้ไม่ต้องเเกล้งเมามาให้เค้ากอด ปวดจายๆ ฮือออออออีกนานเเค่หนายยยจะรู้ใจกันซะที ไรต์สู้สู้ รออยู่ๆ

    ตอบลบ
  3. ถึงจะดีกันแล้วแต่ก็ยังดูซึนอึดอัดแบบบอกไม่ถูก คือไม่เข้าใจทำไมต้องปิดตัวเองให้ติดอยู่กับความรู้สึกที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงขนาดนั้นกันนะ ยองแจเอ๊ยยยยยยยยย แค่นั้ก็ดูไม่ออกเหรอว่าแดฮยอนคนกากมันหลงตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วในแต่ละวันแต่ละการกระทำเนี่ยถ้าสิงร่างได้คงทำไปแล้ว แต่อย่างว่าแหละความรู้สึกของคนที่คิดว่าตัวเองมีปมด้อยแล้วเคยโดนเมินมาก่อนคงไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนหรอดเนอะเพราะกลัวว่าความรู้สึกดีๆที่อีกฝ่ายมีให้มันจะหายไป แต่ก็นะช่วยบอกว่ารักกันซักทีเถอะอินี่ใจจะขาดตายก่อนในความอึดอัดกับสถานการณ์ของสองคนนี้ อย่ามีอะไรที่มันเรียกน้ำตาดราม่ามาเต็มอีกเลยนะ รักกัน ดีกันให้นานๆเลยเถอะขอละนะ pleaseeeeeeeee

    ตอบลบ
  4. คนแกล้งเมานี่ก็สติหลุดเนียนหลับเฉย ชอบฉากเวลาที่แดฮยอนแกล้งเมาสุด ยองแจแบบยอมอ่ะ คือดีย์ มันมีความน่ารักความใกล้ชิด
    เมื่อไหร่เขาจะรู้ความรุ้สึกกันสักที ฮือออออออออออออออ
    ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ขอบคุณไรท์ที่แท็กเราด้วยเวลาอัพฟิคในทวิต แจ้งเตือนขึ้นมาทีไรพอมีเวลาก็รีบพุ่งเข้ามาเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ

    ของที่จะเอาไปแจกหน้าคอนฯเราก็อยากได้นะ(แดแจ) แต่แบบไม่แน่ใจว่าจะได้ไปมั้ย TT สุดท้ายนี้ อยากบอกว่า อยากให้ทำเล่มTvTฮืออ อยากดั่ยย แต่งดีมากจริงๆค่ะ สู้ๆๆๆ

    ตอบลบ
  5. อ่านแล้วจะเป็นลมค่ะ บอกไม่ถูกเลย ลุ้นจะตายอยู่แล้ว จะฟินกับตอนสุดท้ายก็ฟินไม่สุด คือเรื่องนี้บทจะน่ารักก็คือน่ารักมากแต่มันไม่สุดค่ะ เพราะด้วยความค้างคาของความรู้สึกตัวละครหลักทั้งสองคนที่ทำให้เรามีความสุขแบบไม่สุดสักที เหมือนมีอะไรสักอย่างมีดึงความรู้สึกของเหล่าชิปเปอร์ไว้ แบบชอบกันทั้งคู่แต่ก็มีสิ่งกีดกั้น แล้วสิ่งกีดกั้นเหล่านั้นก็คืออดีตของเจ้าตัว ฟีลลิ่งกุมขมับจะบ้าตายแล้ววววว
    คือถ้าแดฮยอนจะทำขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ถอนตัวไม่ขึ้นค่ะ เป็นเราก็คงยอมอยู่ยังงี้ต่อไป แต่ถ้าสักวันหนึ่งมันถึงจุดที่เฮ้ยไม่ไหวแล้วจริงๆ อยากให้คุณยูตะโกนใส่หน้าไปเลยว่า ไม่ไหวแล้วโวยยยยย เลิกทำอย่างนี้สักทีเจ็บจะตายอยู่แล้ว บอกอยู่นั่นแหละว่าเป็นเพื่อน เป็นคนซื้อข้าว ไม่ได้อยากเป็นโวยยยยย เข้าใจไหม ซื่อบื้อเอ๊ยย รึให้แดฮยอนเป็นคนบอกก็ได้ใจกล้าๆหน่อยดอนนนน สักคนเถอะค่ะ อึดอัดจะบ้าตายแล้ว คืนดีกันได้ก็ดีแล้วค่ะ เวลาที่เค้าคุยกันแล้วมันน่ารักมากๆแต่พอแต่ละคนกลับเข้าสู่โลกส่วนตัวปุ๊ปมันแตกต่างกันเกินไปเหมือนหนังคนละม้วน
    ชอบเวลาที่แดฮยอนอ้อนยองแจค่ะ น่ารักมากๆ แล้วก็ตอนที่ยองแจสวมวิญญาณเด็กเอาแต่ใจนี่คือน่ารักที่สุด เหมือนได้ตัวตนของยองแจสมัยก่อนจะสูญเสียความมั่นใจคืนมา ช่วงฉากที่ยองแจจับมือดอนแล้วลูบหลังมือนี่คืออ่านแล้วเจ็บปวดเป็นความสุขแบบหวานปนขม แล้วที่ดอนจับแก้มยองไว้นี่คือเพื่อนที่ไหนเค้าทำกันแบบนี้ ไม่ไหวล้าวววววว บ้าเอ๊ยยย แล้วแบบนี้คนลำบากก็คือน้องสงสารยองแจไปอีก
    บทนี้ทำให้รู้ว่าแดฮยอนเป็นคนขี้หวงมาก นี่ขนาดยองแจพูดถึงพี่ฮิมชานแค่นี้ยังแอบงอนเบาๆ อยากชี้หน้าแล้วบอกหว๊ายยยยยขี้อิจฉานี่หว่า คือถ้าคบกันแล้วดอนจะไม่ขังน้องไว้ใช่ไหมคะ กลัวใจ 5555
    อีกพาร์ท์ที่ชอบคือ ที่ดอนแกล้งเมา ดอนเป็นผู้ชายคนแรกที่เราอยากด่า มารยาค่ะ มีเป็นล้านเล่มเกวียนจริงๆ ร้ายกาจแต่ตลกตอนนางแกล้งเมาเพราะเผลอหลุดปากพูดแล้วไปต่อไม่ถูก ก็คิดได้นะคนเราหลับกลางอากาศซะเลย แหม แต่มือนี่ไม่ปล่อยนะคะ หมั่นไส้จริงๆ เกินไปละเกินไป ไปเข้าคอร์สเลิกกากแล้วมาบอกรักน้องซะแล้วนายน่าจะได้สิทธิ์นอนกอด ถถถถถ
    ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าเราใส่อารมณ์ไปหน่อยมันอินเกินไปนิดนึง แต่ยังไงก็ขอบคุณมากๆสำหรับฟิคนะคะ ^^ เราติดตามตอนต่อไปแบบใจจดจ่อเลยยยย

    ตอบลบ
  6. รออ่านฟิคแดแจอยู่นะคะ ชอบความละเอียดในการอธิบายความรู้สึก อย่างเวลาอธิบายความคิดของยองแจ มันทำให้รู้สึกได้เลยว่ายองแจในฟิคเป็นคนคิดมาก ส่วนตัว เราเป็นคนชอบคิดมากคนนึง พออ่านแล้วมันแบบเฮ้ยมันใช่ !! เหมือนคนเขียนเข้าถึงตัวละครแต่ละตัวจริงๆ เวลาอ่านแล้วมันไม่สะดุด ชอบการบรรยายที่ใช้คำได้สวย อย่างฉากที่หวานๆ ก็ใช้คำที่มันละมุนมาก อ่านแล้วมันสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นของพวกเขาจริงๆ อ่านแล้วอยากมีแฟนเลยอ่ะ ฉากไหนที่กอดกัน อ่านแล้วมันไม่ได้รับรู้แค่ว่ากอด แต่เขียนสื่อออกมาได้ว่าอ้อมกอดนั้นมันอบอุ่น มีความสุขแค่ไหน ฉากเก็บความรู้สึกของแต่ละตัวละครก็เขียนสื่อออกมาให้รู้สึกได้ถึงความอึดอัดข้างใน อ่านไปจุกอกไป หน่วงไปกับตัวละครเลย คอยติดตามสปอยฟิคในทวิตเตอร์อยู่ตลอดเลยนะคะ ชอบฟิคเรื่องนี้มากๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ

    ตอบลบ
  7. ฮือไม่อยากให้หน่วงนานเลย อยากให้เข้าใจกันเร็วๆจัง แต่ก็ต้องดูพัฒนาตัวละครไปก่อนเนอะ TT
    ตอนนี้หวาน ชอบตอนที่แดบอกจะกลับไปนอนกับนางฟ้า ฮือออ ฟินมาก
    คนแต่งเขียนดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่เขียนให้อ่าน เป็นกำลังใจให้นะคะ

    ตอบลบ
  8. โอ้ยยยยที่งี้โง่เชียวเมื่อไหร่จะรู้ตัวสักที หวงกว่าไข่ในหินซะขนาดนั้นยังไม่ยอมรับอีกอิพี่แด้โว้ยยยย(นี่หัวร้อนเพื่อ..) เนี่ยน้องแจเกือบจับได้ว่าแกล้งเมา เอาเนียนๆหน่อยใจพี่จะวายฮ่าๆๆๆยืนยันคำเดิมน้องแจน่ารักทากๆๆพี่อยากบีบแจ้มวันละห้าสิบที
    ชอบฟิคเรื่องนี้มากค่ะไรท์ตอนนี้หาฟิคยากมากเหือดแห้งมากไรท์อย่าเทกันนะคะ เพิ่งได้ตามอ่านแต่ชอบมากจริงๆ ขอบคุณมากค่ะ💛

    ตอบลบ