LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 1

07:02

 

“ระหว่างผู้หญิงเซ็กซี่กับผู้หญิงน่ารัก ชอบแบบไหนมากกว่าเหรอคะ” 


เสียงหวานจากหญิงสาวผมยาวดำขลับตัดกับผิวหน้าขาวละเอียดที่ละเลียดแต้มสีจุดต่างๆบนใบหน้าอย่างบรรจงและฉาบริมฝีปากด้วยสีแดงฉ่ำวาวเอ่ยถาม ตากลมโตสวมคอนแทคเลนส์สีเทาจ้องสลับสองชายหนุ่มหน้าตาดีมีแววเจ้าชู้ตัวสูงใหญ่มีรอยสักตามร่างกาย โดยมีหญิงสาวแต่งหน้าคล้ายกันอีกสองคนนั่งมองไปยังสองหนุ่มนั้นอย่างสนใจด้วยลืมไปด้วยซ้ำว่ามีชายหนุ่มตัวกลมสวมเสื้อมีฮู้ดคลุมลงมาปิดหน้านั่งดูดน้ำส้มปั่นแก้วใหญ่เงียบๆอยู่ตรงนั้นร่วมชั่วโมงแล้ว
 

นั่นเป็นอีกครั้งที่ชเว จุนซอ นักศึกษาปีสี่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกออกแบบนิเทศศิลป์ ผู้มีรูปลักษณ์แตกต่างจากเพื่อนโดยสิ้นเชิงกลายเป็นส่วนเกินในการนัดบอดโดยปริยาย 


ชั่วเวลาที่ได้แต่ดูดน้ำส้มปั่นเหลือก้นแก้ว ตากลมสีชามองผ่านหน้าต่างใสของร้านออกไปยังท้องถนนยามค่ำก็หงุดหงิดจนออกอาการ ทว่าความหัวร้อนของเจ้าตัวหาใช่เกิดจากการเมินเฉยจากสาวสไตล์เกาหลีหน้าขาวปากแดงเพราะเจ้าตัวมีสาวในฝันผิวสีแทนมีรอยสักดูเซ็กซี่และอบอุ่นอยู่ในใจแล้ว


แต่เหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถเก็บความขุ่นมัวได้เนื่องจากเพื่อนซี้ตัวใหญ่คะยั้นคะยอให้เขาช่วยมาร่วมงานนัดบอดที่ขาดคนเพราะเพื่อนอีกคนไม่สบายโดยจะให้ค่าตอบแทนเป็นการเลี้ยงหมูย่างชุดใหญ่แต่เขากลับไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำส้มปั่นแก้วใหญ่มาร่วมชั่วโมงแล้ว


อันที่จริงเขาไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ออกจะเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่ความหิว ความง่วงและการโดนหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผลเป็นสามสิ่งที่ทำให้เขาโมโหง่ายมาก


หลังถอยปากออกจากหลอดที่ดูดน้ำจนเกลี้ยงแก้วและเมื่อละสายตาจากหน้าต่างกลับมายังโต๊ะตัวเองก็ไม่มีทีท่าว่าเพื่อนจะยุติการสนทนาที่เต็มไปด้วยการหยอกล้อคุยเล่นเสียที คนที่นั่งเงียบอยู่นานจึงตัดสินใจหยิบกระเป๋าสะพายลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูร้านเพื่อไปหาอะไรมาเติมกระเพาะที่ส่งเสียงครวญประท้วงแต่ยังไม่ทันจะพ้นจากร้านข้อมือผอมซึ่งซ่อนใต้เสื้อแขนยาวหลายชั้นกลับถูกมือแข็งคว้าไว้


“ตัวใหญ่ มึงจะไปไหน” เสียงทุ้มถามขึ้นจากเบื้องหลังเรียกให้เหลียวไปหา


“เซเว่น” คนตัวสูงเพียงไหล่ตอบกลับเงยหน้ามองหน้าหล่อมีแนวกรามขึ้นเป็นสันคมของชายหนุ่มตัวใหญ่หนาสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้นอวดมัดกล้ามที่มีรอยสักพาดข้อมือมาถึงต้นแขนกับกางเกงยีนส์ขายาวพอดีตัวที่เสริมให้ดูผึ่งผายต่างจากอีกฝ่ายไปหลายขุม


“ไปทำไรเซเว่น”


“ไปหาไรกิน”


“แน่ใจว่าไปหาอะไรกิน ไม่ใช่ว่างอนพวกกูเลยจะชิ่งหรอกใช่มั้ย...ถ้าโกรธก็บอกกูมาตรงๆ ไม่ใช่ชิ่ง รอบก่อนมึงก็แบบนี้ หายไปไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ ปล่อยกูหาแทบตาย พอโทรไปบ้านมึง แม่มึงบอกมึงหลับแล้วเฉย”


“คุณอี จงฮวา ใจคอมึงจะเอาเรื่องนี้มาด่าอีกแล้วเหรอ มึงแม่งจำไม่ได้ใช่มะ วันนั้นกูบอกแล้วนะว่า กูทำงานส่งอาจารย์ยังไม่ได้นอน แต่พวกมึงก็เสือกลากมาดื่มกับสาว...พอกูขอกลับก็ไม่ให้กลับ บอกแค่รอแป้บแต่สามชั่วโมงเข้าไปแล้วมึงยังแป้บไม่จบสักที ใครมันจะรอ กูก็กลับดิ”  ฝ่ายถูกเพื่อนขุดเรื่องเก่าที่เกิดเมื่อสองสามเดือนก่อนมาพูดตอบกลับ แม้จะถูกฮู้ดคลุมไปครึ่งหน้าแต่ฟังจากน้ำเสียงก็ทำให้รู้ว่าเริ่มโมโห


“รอบก่อนกูไม่นับก็ได้ แต่รอบนี้มึงโกรธอะไรถึงจะหนีไปเซเว่น”


“ตอนแรกกูก็ไม่โกรธมึงหรอก...พอมึงพูดขึ้นมานี่กูชักโกรธแล้วเนี่ย”


“โกรธอะไรก็พูดสิวะ ไม่ใช่หนี” จงฮวาหรือที่หลายคนในคณะเรียกด้วยนามแฝงในการรับงานกราฟฟิคว่า โจทา ยังคงถาม 


มือที่จับข้อมือขาวที่โผล่พ้นจากแขนเสื้อซึ่งผอมแห้งผิดต่างจากขนาดตัวชัดเจนพยายามดึงให้ทั้งร่างขยับมาหาตัวเอง ฝ่ายที่รู้ว่าถ้าถูกเพื่อนลากกลับไปได้โดนอุ้มตัวลอยพากลับไปนั่งเหมือนที่เคยแน่เลยพยายามขืนตัวจนสะบัดแขนหลุดคว้าเสาร้านได้ก็กอดไว้แน่น


จงฮวาเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนั้นอีกฝ่ายตัวเท่าๆกับเขาแต่ไม่รู้ทำไมพออยู่มัธยมปลายมันกลับสูงใหญ่เหมือนยักษ์ไปซะได้ แถมมันยังเป็นคนเดียวที่ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กตลอด ทั้งดูแลเรื่องเรียน เรื่องอาหารการกิน แถมคอยหางานฟรีแลนซ์กราฟฟิคให้ช่วยทำ เวลาทำงานดึกกลับบ้านไม่ทันก็ให้ไปค้าง คอยสังเกตอาการของเขาทุกอย่าง 


เรื่องที่แย่อย่างเดียวของจงฮวา คือ ชอบจัดการความโกรธหรือเอาแต่ใจตัวเองของเขาด้วยการอุ้มแบกให้ตกใจเหมือนเขาเป็นเด็กประถมอะไรอย่างนั้น


...ถึงคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันจะหวีดลั่นบอกน่ารักทุกครั้งแต่เขาไม่ชอบคำว่าน่ารักอะไรนั่นเลย...


“กูไม่ได้หนี กูจะออกไปซื้อของกิน" 


“ที่นี่ก็มีของกิน ทำไมมึงไม่สั่ง จะออกไปเซเว่นทำไมอีก”


“จะให้กูสั่งห่าอะไรที่นี่ แต่ละเมนูแม่งแพงฉิบหาย กูก็บอกแต่แรกแล้วว่ากูมีเงินติดกระเป๋าอยู่หมื่นวอน หิวข้าวด้วย แต่มึงบอกจะเลี้ยงหมูย่างกูก็เลยมา พอมามึงก็โยนน้ำส้มให้กูแดกทั้งชั่วโมงแก้วเดียว”จุนซอร้องบอกเสียงดัง ถึงขนาดที่ทำให้ลูกค้าโต๊ะอื่นในร้านหันมามองจนทั้งคนเกาะเสาและคู่กรณีต้องโค้งขอโทษและลดเสียงลง


“แล้วไม่บอกว่าหิวล่ะ”


“กูเห็นมึงกับซอกฮวีคุยเพลินเลยไม่อยากขัด”


“หิวก็บอกได้ กูจะได้หาอะไรให้กิน”


“ตอนแรกกูกะว่าถ้าออกไปหาไรกินเสร็จกลับมาตอนสามทุ่มแล้วมึงกับซอกฮวียังคุยไม่จบอีก กูจะกลับบ้าน”


“อะไร...แค่สามทุ่มมึงจะกลับบ้านแล้วเนี่ยนะ จะรีบไปไหน เมื่อวานกว่าจะกลับตั้งห้าทุ่มกว่า” คนตัวใหญ่กว่าถามพลางขมวดคิ้วด้วยปกติก็เห็นอีกฝ่ายอยู่โยงถึงตีสองตีสามได้


“กูไม่ได้อยากกลับบ้านดึกพร่ำเพรื่อโดยเฉพาะกลับดึกเพราะรอพวกมึงมานัดบอดทั้งที่กูแค่อยากแดกหมูฟรี”


“เฮ้ย...อย่าเพิ่งกลับดิ รออีกแป้บนึง เดี๋ยวแลกเบอร์อะไรกันเสร็จก็แยกย้ายแล้ว”


“ดูทรงไอ้ซอกฮวีมันทำเป็นปัดผมแต่ไปลูบแก้มสาวตะกี้ กูว่าไม่น่าแยกกันเร็วๆนี้หรอก” เสียงอุ่นลากยาวหลังประเมินแววตาและอากัปกิริยาของเพื่อนสนิทอีกคนที่มีต่อสาวสวยชุดแดง


ถึงจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องผู้หญิง เคยคบหาได้คนก็โดนทิ้งเพราะสาวเจ้าคิดคบเขาเพื่อหาทางเข้าหาเพื่อน ถึงอย่างนั้นการได้มานัดบอดบ่อยๆเลยพอรู้วิธีอ่อยสาวของเพื่อนอยู่บ้าง


...พวกแม่งเจ้าชู้ เปลี่ยนสาวควงบ่อยกว่าเขาหาเปลี่ยนเมนูข้าวที่กินในโรงอาหารมหาวิทยาลัยเสียอีก...


“ไอ้ซอกฮวีมันอาจไปต่อแต่กูไม่ได้ไปด้วยนะเว้ย...กูขอแค่สิบนาที ถ้ามึงยอมรอนะนอกจากกูจะเลี้ยงหมูย่างมึงแล้วกูจะพามึงไปหาคนที่มึงชอบด้วย”


“ใคร”


“จะใคร ถ้าไม่ใช่คนที่มึงชอบมาตั้งนาน คนที่มึงยอมไปนั่งอยู่ร้านกาแฟตอนค่ำๆเพื่อจะได้เห็นเขาแค่สองสามนาที” เพียงคำใบ้ของหลุดออกมาให้ได้ยิน คนที่ซ่อนตัวใต้ฮู้ดคลุมหน้าก็ผงะหัวขึ้นเงยมองฝ่ายที่สูงกว่าตรงหน้าอีกครั้ง


“พี่นาเรเหรอ” ชื่อของใครคนหนึ่งเอ่ยเบาราวกับเป็นชื่อของบุคคลสำคัญอย่างยิ่ง


“เออ”


“จริงอ่ะ...มึงไม่ได้อำกูใช่มะ” คำถามอย่างกระตือรือร้นนั้นมาพร้อมกับมือเล็กที่ปลดจากการเกาะเสามาจับชายเสื้อเชิ้ตของเพื่อนแทน


“จริง”


“แล้ว...แล้วมึงไป...มึงหา...เอ๊ย มึงทำยังไงถึงนัดพี่เขาได้” ความตื่นเต้นทำให้เจ้าตัวตะกุกตะกักอยู่นานกว่าจะถามสิ่งที่ต้องการถามในใจออกมาได้


“พอดีกูเคยไปสักที่ร้านพี่เขา พอคุยกันพี่เขาเห็นว่าเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันก็เลยลากกูเข้ากรุ๊ปคาทกพวกชอบสัก ทีนี้พี่เขาบอกว่าหาคนไปทำงานพิเศษคอยดูแลร้าน กูบอกพี่เขาไปว่า มีเพื่อนหางานพิเศษทำอยู่ เขาก็เลยอยากให้กูพามึงไปเจอเขา”


“มึงบอกชื่อกูไปเหรอ แล้ว...แล้วเขาจำกูได้ไหม มึงเล่าให้พี่เขาฟังไหมว่ากูกับเขาเคยเจอกันตอนที่พี่เขามาเป็นวิทยากรแนะแนวสายอาชีพที่โรงเรียนน่ะ”


“เล่า...แต่พี่เขาจำไม่ได้หรอก” จงฮวานว่าพลางส่ายหน้า “ตกลงว่าไง มึงจะรอหรือไม่รอ”


“รอดิ...แต่กูขอไปหาอะไรกินก่อนได้ปะ”


“หิวขนาดนั้นเลย...เอานี่ไปแดกรองท้องก่อนแล้วกัน” ห่อช็อกโกแลตแท่งจากในกระเป๋าเสื้อถูกยื่นมาหาและคนได้รับก็คว้ามาแกะกินอย่างหิวโหยทำให้เจ้าของช็อกโกแลตอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบหัวใต้ฮู้ดไว้


“เนี่ยเพราะมึงเป็นอย่างเงี้ยคนอื่นถึงมองว่ามึงเป็นเด็ก”


“ถ้าเป็นเด็กแล้วได้แดกฟรีบ่อยๆก็โออยู่นะมึง...ประหยัดดี”


“แม่ง ไอ้ขี้งก ไปๆ กลับไปนั่งที่เดิม เดี๋ยวกูพาไปหาสาวในฝันมึงให้” 

คนตัวใหญ่ว่าพาดแขนแข็งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อลงบนไหล่ที่หนาด้วยชั้นของผ้าหลายชิ้นที่เพื่อนสวมอยู่พากลับไปที่เก่า โดยมีสายตาของชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเชิ้ตสีขาวคลายกระดุมเม็ดบนกับกางเกงผ้าสีดำที่เหลียวมาหาทั้งคู่ด้วยสายตาไม่ชอบแล้วกระซิบฝากคำกับหญิงสาวสวยสวมเดรสสั้นสีดำสักครู่ทั้งคู่ก็ลุกออกจากร้านไป
--------------------------------------------------------
ประตูกระจกของร้านหมูสามชั้นเจ้าดังประจำเลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงจ้อแจ้ของอาหารที่นาบบนกระทะร้อนและเสียงสนทนาของลูกค้าที่นั่งกันแน่นขนัด แม้เวลาจะล่วงถึงสามทุ่มครึ่งแล้วแต่ลูกค้ายังคงเดินเข้าเดินออกประหนึ่งร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งที่ร้านเปิดถึงห้าทุ่มเท่านั้น


จงฮวาเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะด้านในสุดโดยมีเพื่อนเกาะเสื้อเดินตามหลังก่อนที่ชายหนุ่มสวมแว่นตาไว้หนวดดูใจดีจะกวักมือเรียกให้มาหาและทั้งสองไปถึงโต๊ะได้หญิงสาวผิวแทนตัดผมสั้นย้อมสีเทาสวมเสื้อแขนยาวทับด้วยเดรสแขนกุดยาวสีดำก็เงยหน้าสวยเฉี่ยวจากคีบหมูลงจานมาหาด้วยรอยยิ้มกว้างที่มีจิวอลูมิเนียมเจาะอยู่ข้างปาก


“สวัสดีครับพี่ ขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีรถมอไซด์ผมลมยางหมด กว่าจะหาปั๊มเติมลมได้ต้องเข็นหาตั้งนาน”


“ไม่เป็นไร เราไม่ได้ตั้งใจจะมาสายสักหน่อย” เสียงอ่อนโยนติดแหบฟังมีเสน่ห์ที่ผู้หญิงน้อยคนนักจะมีทำให้คนที่ถูกเพื่อนตัวใหญ่บังจนมิดรู้สึกเขิน


จุนซอไม่เคยลืมครั้งแรกที่พบกับรุ่นพี่ที่มีอายุห่างกันเป็นสิบๆปีคนนี้เลย ตอนนั้นพี่นาเรมาแนะแนววิชาชีพให้กับเด็กมัธยมต้นที่สนใจจะเรียนต่อสายอาชีวะหรือเอาดีทางด้านออกแบบซึ่งมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่พี่เขายังคงเป็นรักแรกพบและสาวในฝันของเขามาตลอด


ด้วยรอยยิ้มอุ่นรวมทั้งการได้ยินได้ฟังเรื่องของพี่เขาจากใครต่อใครมาก็มากทำให้รู้ว่า พี่เขาเป็นสาวแกร่งที่สู้ชีวิตมานับไม่ถ้วนกว่าจะมีวันนี้ได้ กระนั้นพี่เขาก็ยังเป็นอาสาสมัครคอยให้คำแนะนำแก่นักเรียนที่ยากไร้ให้มุ่งเรียนทางสายอาชีพและยังไปทำงานช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆอยู่เรื่อยๆ แต่เพราะไม่มีโอกาสได้ติดต่อกัน  อย่างดีก็แค่เข้าไปดูอินสตาแกรมพี่เขาบ้างเพราะไม่กล้ากดติดตาม เพราะส่วนใหญ่เขาจะเข้าไปส่องผลงานศิลปินกับลงรูปโมจิ หมาที่เขาเลี้ยงไว้ พอได้ยินเพื่อนบอกพิกัดร้านเสื้อผ้าและร้านสักของพี่เขาเลยไปนั่งรอที่ร้านกาแฟใกล้หวังแค่จะได้เห็นหน้าสองสามนาที


จะให้เข้าไปทำทีเป็นลูกค้าก็ไม่กล้าเพราะเสื้อผ้าสไตล์เฟมินิสต์ที่พี่เขาขายไม่ใช่สิ่งที่เขาสวมได้ ส่วนการสักสำหรับคนกลัวเวลาเห็นเข็มทิ่มบนเนื้อตัวเองขนาดเป็นลมตอนตรวจเช็กกรุ๊ปเลือดมาก่อนคงเป็นเรื่องยาก



...พอได้เห็นใกล้ๆ พี่เขาโครตสวยเลย...


“ผมพาเพื่อนคนที่บอกพี่ไว้มาแล้วนะครับ...มันชื่อจุนซอ” คนเป็นเพื่อนบอกแล้วดึงคนที่อยู่ข้างหลังให้มายืนข้างกัน


ชายหนุ่มเอ่ยทักทายพร้อมแนะนำตัวอย่างแข็งขันจากนั้นจึงโค้งตัวลงอย่างสุภาพแต่กลายเป็นหัวกระแทกโต๊ะเข้าอย่างจังส่งเสียงดังระดับที่ทั้งร้านหันมามอง


“โอ๊ยตาย...เราเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของผู้มากวัยกว่าทั้งคู่ร้องถามอย่างเป็นห่วง


“ไม่ครับ...ไม่เป็นไร” เจ้าตัวปฏิเสธยกมือมาลูบหน้าผากปรอยๆ ทั้งที่เจ็บและอายแต่ต้องฝืนแมนทำไม่รู้สึก


“ไอ้โง่ ทำไมมึงไม่เอาฮู้ดออกก่อน” จงฮวานด่าไปคำอย่างเป็นห่วงแล้วดึงฮู้ดที่คลุมปิดหน้าปรกตามาตลอดออกก่อนที่เรือนผมสั้นสีดำตัดและหน้าขาวละเอียดจะปรากฏให้เห็น


ผู้ใหญ่ทั้งสองในโต๊ะมองหน้าเรียวที่ประกอบด้วยนัยน์ตากลมสีชาเหมือนกวางประดับแพขนตาหนารับกับจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากได้ทรงสวยเคลือบสีแดงอ่อนบ่งบอกถึงว่าไม่ใช่พวกสูบบุหรี่เหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน 


...หน้านั้นละม้ายคล้ายบางคนที่ทำให้ทั้งคู่ต้องจ้องอยู่นาน...


“เราหน้าเหมือนคนรักของน้องพี่เลย” คำถามจากรุ่นพี่สาวผ่านริมฝีปากออกมาให้ได้ยิน


“จริงเหรอครับ”


“ถึงจมูกจะโด่งกว่าก็เถอะแต่ก็เหมือนกันอยู่...เราชื่ออะไรนะ ชเว จุนซอใช่ไหม”


“ครับ”


“นามสกุลชเวเหมือนกันด้วย แต่ชื่อจุนฮงน่ะ...เขาเคยอยู่อังกฤษมาก่อน เรามีญาติอยู่อังกฤษบ้างไหม บางทีเขาอาจจะเป็นญาติกับเราก็ได้”


ฝ่ายถูกถามฟังคำจากคนตรงหน้าพลางเหลือบตาสูงคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่แม่เคยเล่าถึงญาติโกโหติกาตัวเองให้ฟังก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีอยู่


“เหมือนว่าจะมีนะครับ แต่เป็นญาติแบบห่างมากๆ เดี๋ยวยังไงผมจะไปลองถามดูว่ามีญาติชื่อจุนฮงไหม”


“เออ เธอ บอกน้องให้นั่งลงก่อนมั้ย ยืนคุยอย่างนี้น้องมันเมื่อยตาย” ชายหน้าตาใจดีอีกคนบอกก่อนที่ผู้มาใหม่จะได้นั่งโดยคนตัวเล็กเลือกจะนั่งข้างพี่ชายใจดีเพื่อจะได้เห็นหน้าสาวในฝันตัวเองถนัดตา


“จงฮวาบอกผมว่าพี่หาคนไปช่วยเฝ้าร้าน ที่ร้านมีลูกค้าเยอะมากเลยเหรอครับ”


“ใช่จ้ะ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะมาก มีจากต่างประเทศมาสักกันด้วย ช่วงนี้ตัวพี่ก็อยู่ร้านตอนกลางคืนบ่อยๆไม่ไหวด้วย เลยไม่มีใครคอยรับลูกค้าน่ะ”


“นอกจากผมแล้วมีคนอื่นสมัครหรือยังครับ”


“ก็มีนะแต่ดูทรงแล้วไม่ค่อยจะเหมาะกับงานต้อนรับเท่าไหร่”


“ถ้างั้นรับผมไปทำงานเลยก็ได้นะครับ หน้าผมเนี่ยขนาดทำตาดุแล้วเด็กยังหัวเราะเลยครับ แถมตอนนี้ผมก็เรียนปีสี่แล้วเลยไม่ค่อยจะมีเรียน นอกจากทำพอร์ตไว้สมัครงานกับทำโปรเจคจบ ผมก็ว่างยาวเลยครับ”


“ค่าแรงเราแพงหรือเปล่า ถ้าแพงพี่ไม่มีจ่ายหรอกนะ”


“ไม่แพงหรอกครับ...พี่ให้เท่าไหร่ผมก็เอา”


“ฮ่าๆ ใจดีจัง พูดแบบนี้ไม่กลัวพี่กดค่าแรงเหรอ”


“ผมรู้ว่าพี่ไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”


“ไอ้หนูเอ๊ย...พี่เขาไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้นหรอกนะ” ชารุว่าพลางหัวเราะทำให้คนถูกเรียกหันไปยิ้มกว้างตอบ “จริงๆพวกพี่อยากได้คนที่ยืดหยุ่นหน่อย เพราะบางทีพี่อาจต้องเรียกให้มาเฝ้าร้านกะทันหัน”


“สบายครับ” 


“นี่อยากทำจริงๆใช่มั้ย...ถ้าเราไปทำงานพิเศษร้านอื่นน่าจะได้เงินเยอะกว่านะ” 


“ผมอยากหาประสบการณ์น่ะครับ แบบว่าผมชอบศิลปะด้านสักเหมือนกัน เผื่อผมจะได้ไอเดียดีๆไปใช้กับงานกราฟฟิค”


“โอเค งั้นก็ตกลง พี่จะรับเราทำงานพิเศษที่ร้าน”


“จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ”


“แต่อาจต้องมีสอนงานก่อนวันหนึ่ง...วันนั้นพี่คงไม่ได้ให้ค่าแรงแต่จะเลี้ยงข้าวแทน ถ้าเรารับได้ล่ะก็ พี่ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเรากับไอดีคาทกหน่อยนะ”


“นี่ครับ” มือเล็กล้วงหยิบกระเป๋าตังค์ในกระเป๋าเสื้อหยิบนามบัตรของตัวเองสำหรับใช้รับงานฟรีแลนซ์ส่งให้และรับนามบัตรที่อีกฝ่ายยื่นกลับมาถือไว้ในมือ 


“พรุ่งนี้ถ้าเราสะดวกแวะมาที่ร้านเลยก็ได้ จะได้ดูว่าร้านพี่เป็นยังไง พี่จะได้สอนงานเราเลย”


“พรุ่งนี้เหรอครับ”


“จ้ะ ถ้าไม่สะดวกก็...”


“พรุ่งนี้กี่โมงครับ”


“สักหกโมงเย็นได้มั้ย”


“ได้ครับ”


“โอเค...ดิวงานเรียบร้อย มากินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวพวกพี่เลี้ยงพวกเราสองคนเอง” พี่ใหญ่ใจดีสรุปงานและเริ่มจัดการอาหารมื้อเย็นของตัวเองต่อ ทั้งวงจัดแจงปิ้งหมูและอร่อยกับเครื่องเคียงแต่คนที่เห็นจะมีความสุขที่สุดคงไม่พ้นชายหนุ่มตัวเล็กที่อ้วนกลมจากการใส่เสื้อหนาหลายชั้น


...นับจากนี้แต่ละวันคงเป็นวันที่เขามีความสุขมากแน่ๆ...
------------------------------------------------------------------------------
เสียงร้องคอรัสเป็นบทเพลงคล้ายบทสวดต้อนรับมัจจุราชคลออยู่ในร้านอาหารยูโรเปี้ยนที่ตกแต่งในสไตล์ลอฟท์ผสมโกธิคซึ่งสีดำผสมม่วงถูกเลือกใช้เป็นสีหลักของร้านลามไปถึงเฟอร์นิเจอร์กระทั่งภาชนะใส่อาหารให้ความรู้สึกแปลกและน่ากลัวในคราวเดียว ทว่าชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมลงจนเห็นเนินกล้ามอกแกร่งแข็งแว่บๆทุกคราที่ขยับตัวกลับโยกหัวเบาตามบทเพลงด้วยชอบบรรยากาศหลอกหลอนนั่น


หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลคาราเมลดัดลอนอ่อนตรงปลายสวมเดรสสีดำรัดรูปอวดหุ่นสวยและผิวขาวเนียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบตาที่สวมคอนแทคเลนส์สีน้ำตาลเพื่อให้ตาโตใหญ่แต้มสีของเครื่องสำอางบนหน้าไว้อย่างประณีตแลสวยไร้ที่ติดทอดมองไปผมยุ่งจากการเสยและใบหน้าเรียวยาวเข้มคมหล่อเหลาไว้แทบไม่วางตา


“กินข้าวเสร็จแล้ว มีที่ไหนที่คุณอยากไปอีกหรือเปล่าคะ” เสียงหวานหยดขานคำถามขณะชายตาท้าทายหา


“คุณอยากไปไหนล่ะ” เสียงเข้มต่ำติดแหบทรงเสน่ห์นั้นเอ่ยถามพร้อมกับนัยน์ตาเรียวคมจะจ้องตรงมาด้วยประกายกล้ามีนัยเชิญชวนอยู่ในที “บางทีอาจจะเป็นบ้านคุณ”


“ทำไมคืนนี้เราไม่ไปบ้านคุณแทนล่ะคะ” 


“บ้านผมคงไม่สะดวกเท่าไหร่”


“ที่ว่าไม่สะดวกเพราะมีใครรออยู่หรือเปล่าคะ” สาวเจ้าลากเสียงหวานด้วยยิ้มสวย


“ถ้ามีก็ดีสิ...ผมก็อยากกลับบ้านไปเจอคนที่อยากเจอเหมือนกัน เสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีผู้หญิงคนที่ผมอยากให้รอผมกลับบ้านเลยสักคน”


“ให้ฉันเป็นให้มั้ยคะ”


“คุณต้องทำให้ผมอยากยกตำแหน่งนั่นให้คุณก่อน” 


ประโยคนั้นมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากเรียกให้ฝ่ายตรงข้ามเหยียดยิ้มก่อนทั้งคู่จะเรียกเช็กบิลแล้วเดินออกจากร้านยังรถยนต์ทรงสปอร์ตสีดำด้านที่จอดริมถนนห่างไปไม่ถึงห้าร้อยเมตร ความมืดยามค่ำคืนโรยตัวครอบคลุมแม้มีแสงไฟจากร้านรวงและผู้คนยังเดินสัญจรแต่ชายหนุ่มกลับโน้มร่างสูงใหญ่ของตนพาริมฝีปากบางจรดลงบนริมฝีปากอิ่มเคลือบสีเชอร์รี่ฉ่ำๆบดขยี้แล้วดูดกลืนอย่างเร่าร้อนโดยไม่แยแสกระทั่งสายตาใคร


คนตัวกลมที่เดินยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีมาตามทางเดินชะงักฝีเท้าในตอนที่มองเห็นสองหนุ่มสาวจูบกันดูดดื่มข้างรถอย่างหวาดๆ ได้แต่คิดว่า กรุงโซลนี่มันเมืองคู่รักที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ชั่วขณะที่กำลังคิดตาคมของฝ่ายชายกลับตวัดมาหาทำให้เจ้าตัววิ่งตื๋อหนีทันทีก่อนที่คู่รักจะขึ้นรถและทะยานออกจากที่จอดไป
-------------------------------------------------------------------------------------
ประตูสีขาวของห้องชุดกลางใจเมืองเปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา...เขาสลัดรองเท้าหนังไปบนชั้นไม้ตรงพื้นข้างผนังอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงก้าวเท้าขึ้นไปบนพื้นยกระดับอันเป็นส่วนภายในของบ้านผ่านโถงทางเดิน ห้องครัวและห้องนั่งเล่นตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ถัดจากห้องนอนพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยับยู่ยี่เปื้อนรอยลิปสติกโยนใส่ตะกร้าผ้าใช้แล้วที่มีผ้าอัดจนล้น


ชายหนุ่มเท้ามือบนอ่างล้างหน้าทรงกลมสีขาวบนเคาน์เตอร์แผ่นปูนเปลือยแล้วมองตรงไปในกระจกวงกลมที่สะท้อนภาพของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งหน้าคมเข้มตาเรียวดุผู้มีมัดกล้ามแน่นหนาทุกสัดส่วนจากการออกกำลังสร้างกล้ามเนื้ออย่างหนักนานปี เอวสอบที่มีวีเชฟสวยถูกบังไว้ด้วยขอบบ็อกเซอร์และกางเกงขายาวนั้นทั้งสมบูรณ์แบบและเย้ายวน


...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่ผ่านเข้ามา ต่างพอใจในหุ่นและลีลาบนเตียงของเขา...


เรื่องตลกของชายโสดวัยสามสิบหน่อยๆที่หน้าตาดีและหน้าที่การงานอย่างเขาก็คือ แม้จะมีผู้หญิงให้เลือกนับสิบแต่ไม่มีใครที่เขาคิดอยากลงหลักปักฐานด้วยสักคน...


บัง ยงนัมผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรห้องชุดราคาแพงลิบและเจ้าของร่างกายอันแข็งแกร่งซึ่งสะท้อนในกระจกหยิบยาสีฟันบีบลงบนแปรงสีดำที่วางบนผ้าขนหนูสีขาวข้างอ่างและเริ่มทำความสะอาดฟันที่ผ่านการดุนดันดูดดื่มกับหญิงสาวสวยตั้งแต่เมื่อคืนถึงรุ่งสางของอีกวัน


...กลิ่นน้ำหอมของเจ้าหล่อนยังติดตัวเขาอยู่เลย...


เขาง่วนอยู่กับการแปรงฟันพักเดียวก็โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกลับสั่นอย่างแรง เมื่อหยิบมาดูหน้าจอก็เห็นชื่อ น้องเวร ปรากฏอยู่ พอกดรับสายก็ได้ยินเสียงแหบลึกที่ละม้ายเสียงของตนเองลอดมา


“เมื่อคืนมึงหายหัวไปไหนมา”


“ถามเหมือนกูเป็นเด็กเลยเนาะ...กูจะไปไหนก็เรื่องของกูน่า ทีมึงหายไปอยู่บ้านสวนกับเมียเด็กมึงกูยังไม่ถามเลยว่าทำห่าอะไรกันที่นั่นบ้าง” เขาบ้วนฟองยาสีฟันในปากลงอ่างแล้วตอบ


“เอ้า ไอ้เหี้ย กูถามมึงดีๆมาเรียกเบบี้โรสอย่างนั้นได้ไง”


“ทำไมกูจะเรียกไม่ได้ ก็เด็กนั่นเป็นเมียเด็กมึงจริงๆนี่หว่า” 


“ปากมึงแม่ง ถ้ากูอยู่ใกล้ๆกูจะเอาตีนกูยัดปากมึง” 


“นี่กูเป็นพี่มึงนะ จะเอาตีนมายัดปากกูเพราะเด็กนั่นเลยเหรอ”


“แก่กว่ากูแค่กี่นาทีทำมาพูด...ถ้ามึงไม่อยากโดนตีนกูยัดปากก็หัดพูดจากับเบบี้โรสดีๆหน่อย อย่างน้อยก็คิดซะว่า เขาเป็นคนรักกู ให้เกียรติกันหน่อยมันนะตายหรือไง” ปลายสายสวนกลับเสียงแข็งไร้แววล้อเล่น ฝ่ายได้ยินการปกป้องเด็กในปกครองของน้องชายฝาแฝดอย่างออกหน้าออกตากระทั่งน้ำเสียงก็เบะปากออกอย่างรำคาญ


ครอบครัวเขามีพี่น้องด้วยกันสามคน ประกอบด้วยพี่สาวคนโตผู้ประกอบอาชีพดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าและช่างสักที่มีคนรักเป็นชายแสนดีที่แม้จะยังไม่จัดพิธีแต่งงานแต่ก็กำลังจะมีข่าวดีในเร็ววันนี้ มีตัวเขาเองที่ยังโสดสนิทไร้คนควงและน้องชายฝาแฝดอายุต่างกันไม่กี่นาทีที่ผ่ามีเมียเป็นเด็กผู้ชายสวยเหมือนผู้หญิงแต่ปากหมายิ่งกว่าอะไรดี 


...วันแรกที่เห็นหน้าเด็กนั่น แค่รับฝีปากกับมันก็เกลียดแม่งตั้งแต่วันนั้น...


“โว้ย กูไม่ได้อยากพูดถึงให้เสนียดปากกูหรอก...มึงมีอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีก็วางสายกูจะไปนอน”


“กูไม่มีแต่พี่นาเรมี...เมื่อคืนไปทำเหี้ยอะไรอยู่ทำไมไม่รับสาย พี่เขาโทรหามึงตั้งหลายรอบจนต้องโทรมาถามกูว่ามึงหายไปไหน ปกติมึงกกสาวที่ไหนอยู่ก็รับสายตลอดไม่ใช่ไงหรือสวิงกิ้งหนักเกินเลยสลบคาอกสาวรับสายไม่ได้วะ”


“ไอ้เหี้ยนี่ นอกจากจะไม่เคารพพี่มึงแล้วยังดูถูกกูอีก...ถ้ามึงอยู่นี่กูจะจับมึงกดน้ำชักโครกให้รู้แล้วรู้รอด”


“ตกลงมึงหายหัวไปไหนมา”


“ก็อยู่กับสาวนั้นแหละเพิ่งจะเสร็จกิจเมื่อเช้าเลยไม่ได้เช็กโทรศัพท์”


“กูว่าแล้ว...วันหน้าวันหลังทำห่าไรเสร็จก็เช็กโทรศัพท์ด้วย ไม่ใช่ให้แม่หรือพี่เขาต้องโทรมาถามเอากับกู โทรกันมาตอนดึกๆเบบี้โรสนอนอยู่พอกูขยับรับสายเขาก็ตื่น...กูไม่ชอบให้เขานอนไม่พอมันไม่ดีกับสุขภาพเขา”


“วุ้ย กับเมียเด็กมึงนี่อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้เลย รำคาญจริงเว้ย”


“ยงนัมกูบอกแล้วนะว่าอย่าเรียกคนรักกูแบบนั้น”


“ยงกุกกูว่ากูบอกมึงแล้วนะว่าอย่าพูดถึงเด็กนั่นให้กูได้ยิน”  


“เออ กูไม่ยุ่งกับมึงแล้ว ยังไงโทรกลับพี่นาเรด้วย แค่นี้นะ” ปลายสายกดวางปล่อยให้แฝดพี่ที่เตรียมด่ากลับอ้าปากเก้อก่อนที่เจ้าตัวจะแปรงฟันต่อจนคิดว่าสะอาดดีจึงบ้วนปากแล้วกลั้วปากกับคอต่อด้วยน้ำยาบ้วนปากจึงอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่เปื้อนด้วยคราบไคล เมื่อจัดการล้างและบำรุงหน้าด้วยการตบน้ำยาทั่วแบบลวกๆ พันกายท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูเรียบร้อยก็หยิบโทรศัพท์พร้อมเสื้อผ้าที่วางตรงอ่างออกไปด้านนอก


“ผมเอง...เมื่อวานยงกุกมันบอกว่า พี่โทรหาผม มีอะไรหรือเปล่า คงไม่ใช่ว่าไปอัลตร้าซาวน์แล้วไม่เห็นหลานนะ ผมก็บอกพี่แล้วไม่ใช่เหรอว่า เพิ่งเจ็ดสัปดาห์หลานยังตัวเล็กมาก ต้องรอนานกว่านี้หน่อยถึงจะเห็น” ชายหนุ่มกรอกคำพูดยืดยาวทันทีที่ได้ยินปลายสายกดรับพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเปียกของตัวเองไปมา


“เรื่องนั้นพี่รู้...คุยกับคุณหมอเข้าใจเรียบร้อยแล้ว และพี่ก็ไม่ได้โทรหาแกเพราะเรื่องนี้ด้วย”


“อ้าว ถ้าไม่ใช่แล้วมีอะไรครับ”


“วันนี้ตอนหกโมงว่างหรือเปล่า”


“อืม...” คนถูกถามส่งเสียงในคอขณะครุ่นคิดถึงตารางนัดหมายของตนเองในวันเสาร์ที่ไม่มีอะไรนอกจากตอนสายต้องไปดูกิจการร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ร่วมหุ้นกับเพื่อน ต่อจากนั้นก็เข้าฟิตเนสที่ตัวเองเป็นเจ้าของเพื่อออกกำลังกายและดูบัญชีไปในตัว ตกบ่ายก็มีนัดกินข้าวกับเพื่อนฝูง ส่วนตอนเย็นยังไม่มีโปรแกรมแต่คิดไว้ว่าอาจไปนั่งดื่มชิลๆที่ผับไหนสักแห่ง “ก็ว่างอยู่...พี่มีอะไร จะให้ผมไปเฝ้าร้านให้ใช่หรือเปล่า”


“ใช่ พอดีพี่นัดรุ่นน้องคนหนึ่งให้มาทดลองงานที่ร้าน แต่พี่มีนัดคุยกับร้านตัดเสื้อเรื่องชุดแต่งงานกลัวกลับมาไม่ทัน พี่ชารุเขามีลูกค้าจองคิวตอนนั้นอยู่สองสามคน เลยอยากให้แกมาช่วยสอนงานเขาหน่อย”


“พี่ยอมหาคนมาช่วยงานที่ร้านสักแล้วเหรอ เมื่อก่อนตอนผมบอกให้หาคนช่วยพี่ไม่เห็นยอมซะที บอกแต่จ้างคนมาดูร้านข้างบนก็พอแล้วตลอดเลย”

“ช่วงนี้ลูกค้าเยอะ พี่เองก็ร่างกายไม่พร้อมจะให้ชารุเขาดูแลคนเดียวก็ไม่ไหว แกกับยงกุกเองก็ยุ่งกันหมดเลยต้องหาคนช่วยแต่พี่จ้างเขามาทำพาร์ทไทม์แค่ตอนเย็นอย่างเดียว”


“แล้วทำไมไม่จ้างเต็มเวลาไปเลยล่ะครับ”


“จ้างเต็มเวลาได้ไง ให้เขาดูทั้งร้านเสื้อทั้งร้านสักตายพอดี อีกอย่างพี่ต้องการคนรับลูกค้าแค่กลางคืนเพราะพี่จะไม่อยู่เลยจ้างแค่ช่วงเย็น”


“โห รุ่นน้องพี่ที่ว่าเพิ่งเรียนปีสี่เองเหรอ แบบนี้เรียกรุ่นน้องไม่ได้แล้วต้องเรียกรุ่นลูก”


“ยงนัม อยากโดนตบปากมากหรือไง” ปลายสายขึ้นเสียงใส่


“ใจเย็นๆดิพี่ อย่าอารมณ์เสีย เดี๋ยวกระทบถึงหลาน”


“ปากแกนี่จริงๆนะ ทำไมตอนเป็นโค้ช เป็นอาจารย์หรืออยู่กับสาวถึงพูดจาดี้ดี เออ พูดถึงสาว เมื่อวานแกหายหัวไปกับสาวที่ไหนใช่มั้ยถึงไม่รับโทรศัพท์พี่ ตกลงแกหาน้องสะใภ้ให้พี่ได้หรือยัง อายุก็ขนาดนี้แล้วจริงจังกับใครสักคนได้แล้ว”


“มันไม่ได้หากันง่ายขนาดน้าน”


“คบมากี่รายก็สองอาทิตย์เลิก สองเดือนเลิกตลอด แล้วจะมีหลานให้พี่อุ้มเมื่อไหร่”


“ให้ยงกุกมันทำหลานให้พี่แทนสิ ผมเห็นมันเริ่มศึกษาเรื่องมีลูกกับเมียเด็กมันอยู่”


“ยงนัม นี่เมื่อไหร่แกจะเลิกเรียกจุนฮงเขาแบบนั้นซะที เขาก็อยู่ของเขาดีๆจะไปพาลอะไรเขานักหนา”


“ฉิบหาย นี่โดนล้างสมองกันหมดบ้านแล้วหรือไง เดี๋ยวนี้แตะเด็กนั่นทีไรทั้งแม่กับพี่ก็เข้าข้างตลอด”


“จุนฮงเขาเป็นเด็กดี มีแต่เรานั่นแหละที่อคติไม่เลิก”


“ให้ตาย ใจคอจะเข้าข้างกันให้ได้เลยใช่ไหม”


“ไม่ได้เข้าข้าง แค่พูดความจริง แกจะรับไม่ได้หรืออะไรยังไงก็เถอะแต่อย่าพาล ดีไม่ดีจะโดนหาว่าไม่รู้จักโต” 


“พี่โทรมาด่ากับใช้งานผมเรียบร้อยหรือยังครับ ถ้าไงผมขอตัวไปนอนก่อนนะ แล้วหกโมงผมจะไปเฝ้าร้านให้”


หลังตัดบทจบก็กดตัดไม่รอให้ปลายสายได้เอ่ยลาก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับบนเตียงกว้างอยู่หลายชั่วโมงกระทั่งสิบเอ็ดโมงก็ลุกขึ้นแต่งตัวออกไปทำภารกิจตามตารางที่ตนเองวางไว้ในใจแล้วปิดท้ายด้วยการขับรถไปจอดต่อท้ายเวสป้าคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าร้านตกแต่งในสไตล์โกธิคเน้นสีดำแดงและม่วงแตกต่างจากร้านรวงรอบข้าง โดยชั้นหนึ่งและสองเป็นร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ส่วนร้านสักจะอยู่ชั้นใต้ดินซึ่งปกติจะเปิดทำการตั้งแต่หนึ่งทุ่มเป็นต้นไป


คนตัวใหญ่ลงจากรถมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาห้าโมงสี่สิบนาทีก็เดินลงบันไดหน้าร้านไปยังร้านสักชั้นใต้ดินที่มีป้ายแขวน Close อยู่ด้านใน เมื่อไขกุญแจสำรองที่มีเข้าไปในร้านก็ไม่พบใครจึงหาน้ำในตู้เย็นที่ห้องพักหลังร้านดื่ม คว้านหาแผ่นเสียงเดธเมทัลที่ตนเองชอบจากบนชั้นวางลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียงไม้โบราณแล้วเก็บข้าวของที่รกบนโต๊ะต้อนรับกลับเข้าไปที่วางเดิมของมัน จากนั้นจึงขึ้นไปข้างหน้าร้านรอพนักงานใหม่ที่พี่สาวบอกไว้ว่าจะมาถึงตอนหกโมง


ยงนัมกวาดตาอยู่พักหนึ่งจึงสอดมือหยิบบุหรี่ที่เหลือติดซองออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์...ปกติเขาไม่สูบบุหรี่ด้วยอาชีพการงานของเขาไม่ควรข้องแวะกับสารเสพติดหรือแม้แต่นิโคติน หากในบางทีเขาก็แหกกฎเพื่อสนองความยากของตัวเอง ทั้งนี้ความอยากนั้นต้องไม่ร้ายแรงขนาดติดคุกติดตาราง


...เขาไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่อยากเลวขนาดกลายสภาพจากครูมัธยมที่มีคนนับหน้าถือตาไปเป็นนักโทษหรอก...


เสี้ยวนาทีที่ควันสีเทาเจือกลิ่นมิ้นต์และนิโคตินพ่นผ่านริมฝีปากอยู่หน้าร้านที่มีป้ายติดไว้ว่า Thanatos  ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มตัวกลมสวมเสื้อยืดสามชั้นทับด้วยเสื้อคลุมยีนส์ดำกับกางยีนส์ขายาวสีเดียวสะพายกระเป๋าคาดหนังสีดำเดินมาถึง 


จุนซอแหงนคอมองชื่อร้านว่ามาถูกที่ก่อนจะก้มกลับลงมาที่ตัวร้านก็เห็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำพอดีตัวซึ่งแขนสั้นกำลังรัดช่วงแขนที่เต็มแน่นด้วยมัดกล้ามหนากับกางเกงยีนส์สีซีดที่คอห้อยสร้อยรูปไม้กากเขนโบราณยาวถึงอกยืนกอดอกสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าหล่อคมกับผมสั้นยักศกเล็กน้อยนั้นส่งให้อีกฝ่ายดูเท่ห์จนหลายคนเหลียวมอง


...ใครวะ...แฟนพี่นาเรเหรอ...

...ไม่ใช่มั้ง ไม่เห็นพี่เขาบอกว่ามีแฟน...


ทันทีที่คนตัวใหญ่หันมาเห็นเขาเข้าก็ขมวดคิ้วตีหน้าดุใส่ในทันที ทว่าเขาทำไม่สนใจเพียงแค่ตรงไปยังบันไดที่ทอดสู่ชั้นใต้ดินตามข้อความที่สาวในฝันพิมพ์ผ่านคาทกมา


“ไอ้เด็กกุหลาบ มาทำห่าอะไรแถวนี้” คำทักทายด้วยน้ำเสียงและการเลิกคิ้วสูงอย่างกวนประสาททำให้อีกคนย่นหน้าผากมองตอบฝ่ายนั้นอย่างไม่เข้าใจ หากไม่ทันได้พูดอะไรก็โดนสวนมาอีก “ไม่เจอกันนานเลยเนาะ ได้ยินว่าตอนนี้ระเห็จไปอยู่หอมหาลัยเป็นปีแล้วนิ รู้มั้ยไอ้แบบนี้มันมีนัยว่าอีกไม่นานจะโดนทิ้งนะ แล้วนี่ดูเหมือนจะอ้วนขึ้นหลายโลเลยสิ อ้วนแบบนี้จะเป็นคนสวยของยงกุกมันได้ไง โอ๊ะเพิ่งเห็น เอ็งดั้งไม่แหนบแล้วนี่หว่า ยงกุกมันให้เงินไปเสริมจมูกมาชะ มิน่าถึงดูแปลกๆ” 


“อะไรของคุณเนี่ย เด็กกุหลาบอะไร คุณจำคนผิดแล้ว”


“อย่ามุกน่า ขี้เหร่อย่างมึงเนี่ยมีอยู่คนเดียว แล้วนี่มายังไง ไอ้ยงกุกมันอยู่ไหน”


“ยงกงยงกุกอะไรวะ ผมไม่รู้จัก”


“เอ้า ยังจะอำไม่เลิกอีก เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยกวนตีนผู้ใหญ่แบบนี้สักทีวะ”


“อ้าว เรื่องอะไรมาด่าผมวะ” คนตัวเล็กกว่าโวยขึ้นทันทีที่ถูกหาเรื่องไม่เลิก


“อย่าฟอร์มไปหน่อยเลย คิดว่าเชื่อไง เดี๋ยวตบหัวหลุดเลย ถึงเป็นแฝดกันแต่อาไม่ใช่คุณอาสุดที่รักของเอ็งนะ มากวนตีนมากๆแบบนี้ เดี๋ยวอาฟ้องคุณอาให้ตีก้นนะ”มือใหญ่ข้างที่ว่างจากบุหรี่ยื่นไปจับแก้มนุ่มของคนตรงหน้าแล้วดึงออกอย่างถือวิสาสะ


“ไอ้นี่” เสียงนั้นลอดผ่านไรฟันที่กัดแน่นพร้อมกับหมัดขาวจะเหวี่ยงไปหาแต่กลายเป็นคู่กรณีใช้มือใหญ่กว่ารวบกุมทั้งหมัดแล้วบีบอย่างแรงด้วยสีหน้าเรียบเย็นเหมือนไม่ได้ใช้กำลังเลยแม้แต่น้อย


“เฮ้ย เกินไปแล้ว จะชกอาเลยเหรอ”


“ปล่อยนะเว้ย...มึงเป็นใครเนี่ย” ฝ่ายที่รับรู้ถึงน้ำหนักรุนแรงที่กดบนหมัดของตนเองพยายามดิ้นรนตะโกนลั่น


“โห นี่ขึ้นมึงกันเลยเหรอ” ผู้มากวัยและร่างใหญ่กว่าตวาดใส่อย่างไม่เกรงอิทธิฤทธิ์ใครเช่นที่เคยทำยามรับฝีปากกับเมียเด็กไร้มารยาทของน้องก่อนจะชะงักไปในทันทีที่ได้ยินเสียงพี่สาวดังขึ้น


“อ้าว จุนซอมาแล้วเหรอ เอ้า นี่แกไปจับเขาอย่างนั้นทำไม ปล่อยเขาสิ” นาเรดุน้องชายเสียงแข็งจ้องมือเล็กที่สั่นจากการถูกมือใหญ่บีบไว้อย่างไม่ปราณีปราศรัย


“เดี๋ยวนะ ตะกี้พี่เรียกเด็กนี้ว่าอะไร”


“จุนซอน่ะ...จุนซอ เขาเป็นรุ่นน้องพี่ที่เรียนมัธยมเดียวกัน”


“จุนซอ” ชายหนุ่มทวนชื่อพลางเลิกคิ้วหันมองหน้าพี่สาวของตนอย่างไม่เชื่อ “พี่อย่าอำกันดิ”


“อำอะไรเล่า นี่จุนซอ คนที่พี่บอกจะมาช่วยไง”


“ไม่ใช่ล่ะ ไอ้นี่มันเด็กกุหลาบชัดๆ”


“ยงนัม” คนเป็นพี่ตวาดใส่ “ทำไมชอบเรียกจุนฮงเขาแบบนั้นอยู่เรื่อยเลย”


“ถ้ามันน่ารักกับผมเหมือนคนอื่น ผมก็ไม่เรียกมันแบบนี้หรอก” 


“เราก็ใช่ย่อยซะที่ไหน พูดกับเขาแต่ล่ะคำ เขาไม่ชอบก็ถูกแล้ว แต่นี่จุนซอไม่ใช่จุนฮง” 


ยงนัมหรี่ตาก้มมองร่างที่สูงเลยไหล่ของตนมาเล็กน้อยพร้อมไล้กวาดองค์ประกอบของใบหน้าที่พอตั้งใจพินิจจึงเห็นความต่างกันอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นการไม่ได้พบหน้าอย่างจริงเกือบปี อย่างดีก็เพียงเห็นผ่านๆบนรถของน้องชายฝาแฝดตอนขับมาเอาของจึงไม่ปักใจเชื่อคำพูดของพี่สาวด้วยต้องการสิ่งยืนยัน


“ชื่อจุนซอจริงดิ ไหนเอาบัตรประชาชนมาดูหน่อย”


“ยงนัม”


“จะเชื่อถ้าได้ดูบัตร” เจ้าของตาดุบอกยังคงจ้องเขม็งยังคนที่ตนจับมือไว้ไม่วางตา “ก็แค่ดูไม่ได้จะเอาบัตรไปสมัครสินเชื่ออะไรสักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรก็น่าจะให้ดูได้ไม่ใช่ไง” 


“อยากดูบัตรมากใช่ปะ เอาไปเลย แหกตาดูเอา” ถึงจะตัวเล็กกว่ามากและยังดิ้นไม่หลุดจากการเกาะกุมแต่ความเป็นคนไม่ยอมให้ใครมาหาเรื่องก่อนเลยโวยใส่รีบควักกระเป๋าตังค์หยิบบัตรประชาชนกระแทกใส่ตรงอกฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง หากความแข็งของกล้ามเนื้อกลับทำให้มือประสงค์ร้ายเจ็บตามไปอีก


...ไอ้บ้าเอ๊ย...


“โว้ ชเว จุนซอเหรอ...นามสกุลเดียวกันเลยเนาะ คงไม่ใช่ว่าปลอมบัตรมาแกล้งกันเป็นขบวนการหรอกใช่ไหม” ผู้ทำตัวเหมือนการ์ดหน้าผับคอยตรวจบัตรพลิกบัตรประชาชนในมือไปมา 


“ยงนัม...เขาให้ดูบัตรแล้วก็ปล่อยเขาสิ”


“โอเค โอเค” สุดท้ายบัตรประชาชนใบนั้นก็เป็นหลักฐานเพียงพอให้คนตัวใหญ่ยอมปล่อยมือขาวที่ถูกบีบอย่างแรงจนแดงเถือกพร้อมกับบัตรที่ไสมาข้างหน้าคืนให้อย่างเสียไม่ได้จนพี่ใหญ่ผู้ห้ามทัพถอนหายใจหันไปขอโทษขอโพยกับรุ่นน้องอายุห่างสิบกว่าปีเป็นการใหญ่


“ไม่เป็นไรครับ คนเราเข้าใจผิดกันได้” 


“ยงนัม แกขอโทษจุนซอเขาด้วย”


“โอเค ขอโทษแล้วกันนะหนู”


“แน่ะ มีสิทธิ์อะไรไปเรียกเขาว่าหนู”


“ทำไมผมจะเรียกไม่ได้ ก็นั่นเด็กปีสี่เอง ห่างกับผมตั้งเยอะ จริงๆอายุยี่สิบเอ็ดนี้เกือบจะเป็นลูกชายพี่ได้แล้ว” ชายหนุ่มแจกแจ้งเหตุผลในการเรียกแล้วปรายตาไปยังคนเด็กกว่าพลางยกยิ้มมุมปาก “นี่ถามจริงนะหนู เป็นรุ่นน้องพี่นาเรปีไหนของหนูเนี่ย”


“จะรุ่นเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ ยังไงพี่นาเรก็คือพี่นาเรอยู่ดี”


“เฮ้ย นี่พูดไม่มีหางเสียงกับคนแก่กว่าได้ไง” 


“ผมไม่พูดดีๆกับคนบ้าอ่ะ คุณน่ะควบคุมสติหน่อยดิ ดูไม่ค่อยปกติเลย” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าส่งสายตาเอาเรื่องใส่อย่างไม่กลัวแต่ดูเหมือนลูกหมากำลังเห่าขู่หมาป่าจ่าฝูง


“อ้าว ไอ้เด็กนี่ ว่าใครบ้าวะ”


“ยงนัม พอได้แล้ว ไปเช็กสต็อกหลังร้านเลยไป”  สุดท้ายสงครามประสาทระหว่างชายหนุ่มต่างวัยทั้งคู่ก็จบลงที่ฝ่ายตัวใหญ่กว่าขยี้ก้นบุหรี่ลงบนราวบันไดแล้วดีดมันลงถังขยะจึงเดินลงไปยังร้านสักใต้ดิน ขณะที่เจ้าของร้านตัวจริงหันมายิ้มอย่างอ่อนใจให้รุ่นน้องว่าที่พนักงานใหม่แล้วนำทางผ่านประตูเข้าไปในร้านที่ตกแต่งในสไตล์เดียวกับภายนอก ภาพวาดของเจ้าแห่งปีศาจขนาดใหญ่ประดับอยู่ล้อมรอบด้วยผลงานออกแบบรอยสักทั้งที่วาดบนกระดาษและบนร่างกายใส่กรอบเรียงรายอยู่บนผนังสีดำ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานล้วนเป็นงานไม้เก่าที่ซ่อมแซมเพียงคงสภาพให้ดูขลัง ขณะที่เครื่องตกแต่งภายในอย่างรูปปั้นมักข้องเกี่ยวกับเหล่าสาวกปีศาจ กระทั่งเก้าอี้ปรับนอนสำหรับสักยังดูคล้ายกับเก้าอี้ทรมานในสมัยโบราณ


จุนซอหมุนรอบตัวเพื่อจะมองการตกแต่งร้านอย่างถี่ถ้วน แม้บรรยากาศจะดูอึมครึมแต่วิธีเลือกสรรข้าวของกระทั่งการจัดวางอย่างมีศิลป์ทำให้ที่นี่สวยงามลึกลับ


...ที่นี่เหมือนถอดความเป็นพี่นาเรมาเลย...


“พี่ขอโทษด้วยนะ ยงนัมเขาเป็นคนพูดดีๆกับใครไม่ค่อยเป็น นอกจากเวลาทำงานประจำหรือเจอผู้หญิงที่ถูกใจแต่จริงๆเขาไม่ได้ร้ายกาจอะไรหรอกนะ เป็นพวกปากร้ายใจดี”


“เหอๆ เหรอครับ” คนอ่อนกว่าหัวเราะแห้งทั้งที่ในใจคิดว่า...ดูยังไงก็เหมือนพวกปากหมาใจทราม
 

“มาทางนี่สิ เดี๋ยวพี่จะพาเราดูรอบ” มือเรียวแข็งสีน้ำผึ้งจากการกรำงานหนักคว้ามือขาวนุ่มของรุ่นน้องพาเดินออกไปแนะนำส่วนต่างๆภายในร้าน ช่วงนาทีที่ได้จับมือกันนั้นแทนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกเขินอายกลับรู้สึกเศร้า


...มือพี่เขาเหมือนคนทำงานหนักมาทั้งชีวิตเหมือนมือของแม่เขาเลย...

...ไม่ชอบเลย เวลาสัมผัสได้ว่าคนที่เขารักกรำงานหนัก

...เขาอยากเป็นคนทำให้มือกร้านนี้นุ่มขึ้น...

...อยากเป็นคนที่ทำให้คนที่รักนั่งสบายๆไม่ต้องทำอะไรหนักหนาอีก...


“สองห้องนี้เป็นห้องสักลาย มันจะมีห้องข้างในอีกสำหรับคนที่ชอบสักแบบเป็นส่วนตัวมากๆ ถัดเข้าไปจะเป็นห้องเก็บของกับเติมสี แล้วก็ห้องพักของพวกพี่เวลาเหนื่อยๆ แล้วก็ห้องน้ำ...ปกติพี่จะอยู่ร้านทุกวันแต่ช่วงนี้พี่คงเข้าร้านน้อยลง”


“ไปไหนเหรอครับ”


“เป็นความลับจ๊ะ ยังบอกไม่ได้” นาเรว่าพลางจุ๊ปากด้วยรอยยิ้มกว้างทอดมองเด็กตรงหน้าอย่างเอ็นดู “ช่วงนี้เราต้องเรียนทุกวันหรือเปล่า”


“ไม่ครับ มีไปหาอาจารย์เรื่องผลงานจบกับเล่มทีสิสอาทิตย์ละวันหรือสองวันแต่ไม่ได้คุยอะไรเยอะครับ ส่วนใหญ่จะดูความคืบหน้ากับแก้ไขอะไรนิดหน่อย” 


“เรื่องการเดินทางล่ะ บ้านเราอยู่ไกลมากไหม ถ้าต้องกลับดึกทุกวันเราจะไหวหรือเปล่า” 


“ผมนั่งรถเมล์จากนี้ต่อเดียวก็ถึงหน้าบ้านครับ”


“มันจะหนักไมั้ย ถ้าพี่จะขอให้เรามาช่วยงานที่ร้านทุกวันตั้งแต่หกโมงเย็นถึงห้าทุ่ม เรื่องค่าแรงพี่ให้เป็นรายชั่วโมงตามกฏหมายแรงงานนะ แต่พี่มีอาหารเย็นให้เราด้วยมื้อหนึ่ง หลังร้านมีขนมกับน้ำเรากินได้ตลอดนะ บางทีถ้าวันไหนลูกค้าเยอะพี่จะทำขนมหวานแถมให้ด้วย มันอาจไม่อร่อยเท่าไหร่นะเพราะพี่เพิ่งหัดทำ”


“โอ้ ดีจังครับ” คนช่างกินพอได้ยินของแถมก็ทำตาโตตื่นเต้น “ว่าแต่ที่ร้านมีช่างกี่คนเหรอครับ”


“ปกติจะมีพี่ชารุกับพี่สองคนจ๊ะ แต่พี่ต้องขึ้นไปดูร้านเสื้อผ้าข้างบนด้วยก็เลยเหลือพี่ชารุสักคนเดียว แต่น้องชายพี่อีกสองคนเขาก็สักได้เหมือนกัน ปกติเขาจะสักเฉพาะเวลาลูกค้ารีเควสมา แต่ถ้าจำเป็นจริงๆเขาก็มาช่วยสักให้” 


“พี่มีน้องชายด้วยเหรอครับ”


“มีจ้ะ มีน้องชายฝาแฝด”


“ฝาแฝดด้วย...แฝดอีกคนก็เป็นแบบคนเมื่อกี้ด้วยเหรอครับ”


“ไม่หรอก ยงนัมเขาเป็นพวกตรงๆทื่อๆ ขวานผ่าซากกว่ายงกุกเยอะ ยงกุกเขาจะเงียบๆ คิดอะไรลึกซึ้งตามประสาศิลปินน่ะ”


“ผมถามได้ไหมครับว่า พวกเขาทำงานอะไรกัน”


“ทำหลายอย่างเลย ยงกุกเขาเป็นนักธุรกิจเปิดบริษัทของเล่นกับเปิดแกลอรี่ แล้วก็เป็นศิลปิน เป็นโปรดิวเซอร์ นักเขียน คนเขียนบท ทำสารพัดที่เกี่ยวกับดนตรีและศิลปะน่ะ มีลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กับอสังหาริมทรัพย์ด้วย ส่วนใหญ่คนที่รีเควสมาให้สักจะเป็นพวกเงินหนาพร้อมจ่ายจริงๆเขาถึงจะแสดงฝีมือ"


“โห ท่าทางจะรวยมากเลยนะครับ แล้ว...” ประโยคสุดท้ายเสียงเงียบหายไปในอากาศแต่ผู้ฟังก็เดาได้ว่าหมายถึงใคร


“ยงนัมน่ะเหรอ เขาเป็นครูสอนวิชาพลศึกษาที่โรงเรียนมัธยม”


“สอนพละเหรอครับ”


“เมื่อก่อนเขาเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลน่ะ พอเรียนจบก็มาสอนพละที่โรงเรียนแต่เขามีงานเสริมเยอะน่ะ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยโค้ชทีมบาสเขต เป็นเทนเนอร์อิสระ เขาเปิดฟิตเนสกับร้านเฟอร์นิเจอร์อยู่ด้วย...ที่จริงเขามีพรสวรรค์ด้านศิลปะอยู่นะแต่เขาชอบการเป็นนักกีฬามากกว่า” 


“มิน่าแรงถึงเยอะ เมื่อกี้เขาบีบมือผม ผมสะบัดไม่หลุดเลย” 


“ยงนัมเขาแข็งแรง เคยได้แชมป์เพาะกายระดับประเทศมาด้วย” 


จุนซอกระพริบตาปริบทันทีที่ได้ยินดีกรีแชมป์น้องชายของสาวในฝัน...ก็ว่าทำไมถึงสู้แรงไม่ได้ ทั้งที่ปกติเขาซัดเพื่อนสนิทกล้ามโตแบบนี้ยังมีกระเทือนบ้างแต่นี่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิดแถมมือไวยังกะนักมวย


“พี่จะบอกหน้าที่คร่าวๆของเราให้แล้วกันนะ...งานของเราคือรับการจองคิวลูกค้าทุกช่องทางติดต่อ พวกเฟซบุ๊ก คาทก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ไลน์อะไรพวกนั้น จากนั้นรวบรวมรายละเอียดกับหลักฐานการโอนค่ามัดจำให้พี่ พอพี่เช็กยอดเรียบร้อยพี่จะส่งชื่อให้อีกทีให้เราจัดคิว มันมีโปรแกรมอยู่ใช้ไม่ยากหรอก แล้วก็ดูแลรับเงินทอนเงิน ตรงแคชเชียร์ อาจมีต้องไปซื้อของให้บ้าง เราพอทำได้ใช่ไหม” หลังพาเดินไปรอบร้านแล้วทั้งคู่ก็กลับมายังโต๊ะต้อนรับที่มีคอมพิวเตอร์กับเครื่องคิดเงินตั้งอยู่ข้างโทรศัพท์หมุนเลขแบบโบราณรวมทั้งไอแพดวางด้วยกัน


“สบายครับ...ผมเคยทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อมาก่อน”  


“เดี๋ยวพี่จะสอนโปรแกรมให้คร่าวๆ เราอ้อมมานี่สิ” เจ้าของร้านสาวอ้อมไปหลังโต๊ะแล้วกวักเรียกอีกคนให้ตามมาก่อนจะกดไหล่ให้คนอ่อนกว่านั่งลงบนเก้าอี้และเริ่มอธิบายวิธีใช้งานโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นน้องชายตัวดีที่ยืนกอดอกพิงผนังมองบรรยากาศคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนแม่สอนการ์บ้านลูกก็กลอกตาบน


...ถ้ามีพี่ชารุอีกคนนี่คงเป็นครอบครัวสุขสันต์ พ่อแม่ลูกครบเลย...


“ผมจัดของเสร็จแล้วนะ”


“อะไร ทำไมเร็วนัก” คนเป็นพี่เงยหน้าจากจอไปยังน้องชายที่ขยับจากผนังมายืนเท้าแขนอยู่ตรงโต๊ะไม้ข้างเก้าอี้ที่มีร่างอ้วนกลมนั่งอยู่


“ก่อนหน้านี้พี่ชารุเขาเช็กไว้แล้ว ผมมาทำต่อนิดเดียวก็เสร็จ...ว่าแต่พี่สอนงานไอ้หนูนี่เสร็จยัง”


“ยงนัม พี่บอกแกว่ายังไง อยากโดนมากใช่ไหม” ฝ่ามือเรียวของผู้มากวัยกว่าฟาดลงเต็มแรงบนแขนจนอีกคนร้องเสียงหลง


“เฮ้ยๆ...พี่อย่าทำอะไรรุนแรง สงสารอีกคนด้วย” 


“แกนี่มันจริงๆ นะ”


“พี่สอนงานเสร็จแล้วก็ออกไปได้เลย เดี๋ยวผมเฝ้าร้านเอง เออ แล้วพี่จะเอาแบบชุดไปให้ห้องเสื้อดูหรือจะไปโรงพยาบาลก่อนผมจะได้บอกจินซองมันถูกว่าจะให้ไปส่งพี่ที่ไหนก่อนหรือพี่จะบอกมันเอง” คนเป็นน้องเอ่ยถึงเพื่อนในวงการสักของตนและแฝดที่เขาจ้างให้มาเป็นสารถีคอยรับส่งพี่สาวเขาช่วงนี้


“ไปโรงพยาบาล พี่นาเรไม่สบายเหรอครับ” คำถามแทรกกลางบทสนทนามีแววเป็นห่วงทั้งน้ำเสียงและแววตาทำให้เจ้าของร้านหลุดยิ้ม


“เปล่าจ้ะ”


“ถ้าไม่ได้ป่วยทำไมถึงไปโรงพยาบาลล่ะครับ”


“ไม่ได้ป่วยแต่มีข่าวดีต่างหากเว้ย” ความที่คนพูดละม้ายคล้ายเมียเด็กปากเสียของน้องรวมทั้งการกุลีกุจอลุกมาหาเพื่อจะถามด้วยน้ำเสียงอ้อยสร้อยทำให้รำคาญจนโพล่งออกไป 


“พี่ไปเหอะ เห็นพี่ชารุบอกว่าใกล้ถึงร้านแล้ว”


“อา...จุนซอ เราอยู่ได้ใช่ไหม”


“ครับ”


“งั้นพี่ไปก่อนนะ วันนี้ลองใช้โปรแกรมดูก่อน พอพี่ชารุมาเขาจะให้งานเราอีกที แล้วถ้ามีอะไรโทรหาพี่กับพี่ชารุได้ตลอดเลยนะ” นาเรทิ้งท้ายพลางยิ้มเอ็นดูให้เด็กตาใสที่พยักหน้าแข็งขันแล้วปรายหางตาไปยังน้องชายตัวโตที่อยู่ใกล้ๆ “ทำตัวดีๆล่ะ”


“ผมทำตัวดีอยู่แล้ว แต่คนอื่นนี่ดิไม่รู้ดีหรือเปล่า” สิ้นคำนั้นตาเรียวดุก็ตวัดลงยังเด็กอายุน้อยกว่าหลายปีที่เหลือบขึ้นมาสบตาอย่างเอาก็พ่นลมร้อนวืดผ่านปาก


...ไอ้เด็กเวร ไม่มีมารยาทกับผู้ใหญ่เลยเว้ย...


สิ้นเสียงประตูปิดลงจุนซอที่โบกมือเร่าๆก็ลดมือลงปรายมองคนตัวใหญ่ที่ก่อเรื่องประทุษร้ายกันเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนก็ถอนหายใจ แม้จะหัวเสียอย่างที่สุด หากประเมินจากขนาดตัวกับอาชีพการงานก็เห็นว่าถ้าบวกด้วยคงสู้ไม่ได้หรืออาจจะตายคามือก่อนเลยข่มใจวางเท้าก้าวไปหมายจะกลับไปทบทวนโปรแกรมที่ถูกสอนกลับถูกเรียกด้วยชื่อที่ไม่ถูกหูนัก


“ไอ้อ้วน”


จุนซอชะงักหันควับกลับมามองผู้มากวัยตัวใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นด้วยแววตาไม่เป็นมิตร อาการนั้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลิกคิ้วพลางเหยียดมุมปากคล้ายจะหยันมากกว่ายิ้มแล้วย่างสามขุนตรงมาหาจนร่างเล็กชักหวาดถอยเท้าหนีไปทีละน้อยกระทั่งหลังบางที่แม้มีเสื้อหลายชั้นยังไม่ช่วยบรรเทาความเจ็บจากการกระแทกผนัง


มือใหญ่จากลำแขนล่ำหนาทั้งสองข้างยันบนผนังพร้อมกับการขยับตัวเบียดเข้าไปใกล้อย่างคุกคาม ใบหน้าเรียวยามไร้รอยความรู้สึกดูดุดันน่ากลัวเหมือนหมาป่าหมายจะขย้ำลูกหมาเป็นอาหารประทังความหิวโหย แปลกที่อีกฝ่ายเพียงหดไหล่แต่ยังกล้าเงยหน้าประสานสายตานิ่ง


ยงนัมจ้องดวงตากลมสวยที่ใสเหมือนกระจกสะท้อนเงาของตัวเขาอยู่ข้างใน แก้มขาวละเอียดแลเห็นเส้นเลือดฝาดชัด ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีชมพูธรรมชาติที่เชิดขึ้นเหมือนเด็กถูกแย่งของกินทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างตงิดในใจขึ้นมา


...เด็กห่านี่จะไม่กลัวสักหน่อยเลยไง ปกติเขามองใครแบบนี้มีแต่หัวหดไหว้ขอโทษแทบไม่ทัน...


“ไอ้อ้วน...กูเห็นแก่ความที่มึงยังเด็ก ถ้ารักตัวกลัวตายไม่อยากฉิบหายตอนทำงานที่ร้านนี้ก็อย่าดื้อเชียว เวลาพี่ชารุ พี่นาเรหรือกูสั่งอะไร ห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด และอย่าได้พูดจาท้าทายกวนตีนกูอย่างเมื่อกี้นี้อีก เพราะกูบอกได้เลยว่า วันไหนกูมาร้านนี้ ชีวิตมึงได้บรรลัยบัดซบแน่นอน”


“นี่ขู่เหรอ แบบนี้เรียกขู่ใช่ปะ” คนตัวเล็กลอยหน้าหน้าตาถามเหมือนไม่รู้สาทำให้อีกกัดปากอย่างหงุดหงิด


“ไม่ได้ขู่...คนอย่างกูพูดคำไหนคำนั้นเสมอ”


“แล้วไอ้ที่ว่าบรรลัยบัดซบนี่เป็นไงอ่ะ...จะเหมือนเวลาทำขนมแพงๆตกพื้นปะ” 


“โวะ ไอ้เด็กนี่นิ โง่หรือเปล่ามึงเนี่ย”


“ก็ไม่รู้ไงว่าไอ้บรรลัยบัดซบที่ว่านี่หน้าตาเป็นไง ไหนแสดงให้ดูหน่อยสิ”


ฝ่ายเด็กกว่ายังคงจีบปากจีบคอพูดคล้ายไม่เข้าใจในการแจ้งเตือนอย่างห่ามๆตรงหน้า แม้ในใจจะรู้สึกหวาดว่าหมัดลุ่นๆจะต่อยเข้าหน้าแต่ยังทำใจดีสู้เสือ


...คนแบบนี้จะมากลัวให้เห็นไม่ได้หรอก...


ผู้มากวัยกว่าพ่นลมร้อนพลางเดาะลิ้นในปากไปมาเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ปะทุแล่นขึ้นมาจนมือข้างหนึ่งที่ยันกำแพงเปลี่ยนกำหมัดแล้วลดระดับลงคล้ายจะตะบันหน้าทำให้เบี้ยล่างหลับตาแต่กลายเป็นแก้มนุ่มถูกมือสากบีบเล่นแทน


“โถเอ๊ย นึกว่าจะแน่” เสียงทุ้มติดแหบลึกกระซิบปรามาสข้างหูปนเสียงหัวเราะเยาะเรียกให้ตาโตสวยเปิดกว้างจ้องหน้าคมที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรอย่างเกรี้ยวกราดปากเม้มแน่น


“ยงนัม มึงทำอะไรของมึงอยู่” คำถามเสียงเย็นอย่างระอาจากเบื้องหลังดึงให้เจ้าของชื่อเหลียวหันไปหาทั้งที่มือยังบีบแก้มหยุ่นนุ่มอย่างสนุก เพียงเห็นบางอย่างถูกขว้างใส่ก็ปล่อยมือจากแก้มจับแขนของฝ่ายที่ถูกหลังกว้างของตัวเองบังอยู่แทบลอยให้ขยับหลบตามตนเองอัตโนมัติคล้ายเป็นสัญชาตญาณการปกป้องสัตว์เลี้ยงตัวจ้อย


“โว้ย พี่ปามาแบบนี้กะเอาผมตายเลยไง” คนตัวใหญ่โวยลั่นแสร้งหอบหายใจแรงอย่างตื่นตระหนกแล้วก้มมองหนังสือเล่มหนาที่หล่นบนพื้นพร้อมกับการก้าวมาใกล้ของว่าที่พี่เขยที่เพียงเห็นน้องชายของคนรักจับแขนของเด็กที่มาทำงานพิเศษแนบอกเพื่อกันไม่ให้โดนหนังสือก็หรี่ตาหลังแว่นลง


“จุนซอเป็นเด็กผู้ชายนะมึง”


“ฮะ”


“ถ้าคิดจะเจริญรอยตามยงกุกมันก็บอกกูก่อนล่วงหน้านะ”


“พี่พูดอะไรของพี่...”ห้วงน้ำเสียงช่วงท้ายขาดหายในตอนที่นึกขึ้นได้เลยก้มกลับลงมองยังเด็กอายุน้อยกว่าตรงอกที่มองตาแป๋วก่อนจะยกมือสองข้างตั้งฉากกระโดดถอยหลังอย่างไว


...เหี้ยแล้ว...

...ทำเหี้ยอะไรลงไปเนี่ย...


“ผมแค่ตกใจที่พี่ปาหนังสือใส่ ไม่ได้อยากแตะไอ้เด็กอ้วนนี่สักหน่อย โวะ เสนียดมือจริงเว้ย ไปล้างมือดีกว่า” ยงนัมบอกอย่างหัวเสียแล้วเดินลิ่วหายเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้คนมีขนาดตัวไล่เลี่ยกันโดยฝ่ายหนึ่งตัวใหญ่จากการใส่เสื้อหลายชั้นหันมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา


“เดี๋ยวจะมีลูกค้ามาที่ร้านตอนทุ่มสิบนาทีสองคนนะ ถ้าเขามาเร็วกว่าเวลาหรือพี่ยังล้างมือไม่เสร็จ ฝากเราบอกให้เขานั่งรอก่อนนะ” 


“ครับ”


จุนซอพยักหน้ารับคำสั่งจากพี่ชายหน้าหนวดท่าทางใจดีที่เดินหายไปทางหลังร้านก่อนจะลูบแขนที่โดนจับยกลอยจากพื้นที่ปรอยๆ หากครั้งนี้ไม่ใช่การลูบเพื่อบรรเทาความเจ็บแต่ลูบด้วยความสงสัย


...ตะกี้ตอนจับแขนเพราะตกใจเหมือนรู้หลักว่าทำยังไงจะไม่เจ็บ แต่ตอนมีสติดีดันบีบมือจนนึกว่ากระดูกจะร้าว...

...คนสติไม่ดีแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องชายของพี่นาเรและจำเป็นต้องทำงานด้วย...

...ชาตินี้ทั้งชาติก็ขอไม่อยู่ร่วมด้วย




----------------แวะคุยหน่อย---------------


อยากจะบอกว่ามันเป็นการชิปคนเดียวการมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง แต่เราชอบเคมีของสองคนนี้เราเลยเขียนฟิคขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการตัวเอง และเราชอบความแข็งทื่อซึนปากหมา กับเด็กเด๋อที่ไม่ค่อยจะกลัวอะไรแต่น่ารัก ขอบคุณที่หลงมาอ่านกัน 55555555 ฟิคยาวนะตัวเอง อย่าลืมเม้นและติดแท็ก #ficlovetoxical ในทวิตเตอร์ด้วยนะ ไม่ได้คาดหวังว่าจะอ่านเยอะหรอกสามสี่คนก็เก่งล่ะ 5555555
 




You Might Also Like

4 Comments

  1. ยงนัมกวนตีนสุดๆไม่ว่าจะกับใครแต่จุนซอก็ไม่กลัวนี่ดูแล้วคงปากพอๆกับจุนฮง ชอบมากเวลาที่่ต่อปากต่อคำกัน จุนซอไม่มีความยอมเลย555สมน้ำสมเนื้อ แบบนี้เจริญรอยตามยงกุกเผลอๆจะหลงมากกว่ายงกุกหลงยัยเบบี้โรสด้วยซ้ำ อุ้มกันตัวลอยได้นี่คงอีกไม่นานหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแน่าอยากให้จุนซอกับจุนฮงเจอกันอ่ะ อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง คงน่ารักดีนะคงช่วยกันแท็กทีมจัดการยงนัม ชอบชอบชอบ

    ตอบลบ
  2. ชอบความกวนที่เข้ากันของสองคนนี้มากกกกกกกกกกกกกก ขนาดตีกันยังน่ารักขนาดนี้ตอนรักกันจะฟินขนาดไหน รอนะคะ

    ตอบลบ
  3. เฮียนัมนี่กวนประสาทจริงๆ น้องจุนซอก็ดูเอาเรื่องอยู่นะ ชอบๆ คู่รักแบบคู่กัด ตีกันนัก ได้กันเอง เย้! รอติดตามอยู่นะคะ ^^

    ตอบลบ
  4. เป็นอีกคู่ที่จะติดตาม 5555 ขำที่จุนซอบอกพี่ยงนัมเหมือนคนบ้า พี่ก็ดูบ้าจริงๆ นะ แต่ในความบ้ายังมีความหล่อ (เอ๊ะ!) อยากเห็นสองคนนี้รักกันซะแล้วสิ พี่ยงนัมจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างนิ

    ตอบลบ