LOVE TOXICAL : HYUNGWONHO CHAPTER 2

08:23




เสียงปรบมือในห้องซ้อมเต้นพร้อมกับเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของบรรดาทีมงานและนักแสดงที่มารวมตัวกันซ้อมละครเวทีคณะดังขึ้นที่การซ้อมเสร็จสิ้นลง ฮยองวอนที่สวมบทบาทปีศาจแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ตลอดเรื่องกลับสู่โหมดหน้านิ่งก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนทั้งสองคนที่ช่วยกันดัดโครงไม้ทำของประกอบฉากอยู่กันที่อีกมุมของห้อง


...พอเลิกซ้อมสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานก็กลับเข้ามาวนเวียน ภาพใบดรอปลอยไปลอยมาในมโนสำนึกให้รู้สึกเครียดแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย...


“หิวจัง มีอะไรให้กินไหม” คำแรกลอดผ่านปาก...ความเครียดทำให้รู้สึกหิวกว่าปกติ ชางกยุนละสายตาจากโครงไม้ที่กำลังดัดในมือขึ้นมามองหน้า


“อะไรวะ มาถึงก็บ่นหิว...เมื่อเช้าก็ฟาดไปตั้งกี่อย่าง”


“ตอนเช้าก็ส่วนตอนเช้าดิ ตอนนี้ใช้ที่กินเมื่อเช้าไปหมดแล้ว”


“ฮยองวอน” เสียงเรียกทำให้เจ้าตัวหันไปมองก็เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นถุงพลาสติกสีขาวมาหา “มีคนฝากมาให้แน่ะ”


“ฝาก...ฝากให้ผมเหรอ”


“อืม”


“ใครอ่ะครับ”


“เขาไม่ให้บอกน่ะ แต่เขาฝากให้พี่บอกนายว่า กินให้อร่อยนะ”


“อา ขอบคุณครับ” คนได้ของบอกรับของจากรุ่นพี่มาแบบงงๆแล้ววางลงกลางวงก่อนจะหยิบกล่องอาหารสีขาวกล่องใหญ่ที่มีตราสัญลักษณ์ของภัตตาคารอาหารจีนแห่งหนึ่งอยู่บนฝามาเปิดดู ก็เห็นว่าข้างในเป็นซาลาเปา ขนมจีน ฮะเก๋าและปอเปี๊ยะทอดร้อนๆอยู่ในนั้น


“โว้ย เดี๋ยวนี้มีคนส่งเสบียงด้วยเหรอ” ชางกยุนบีบเสียงเล็กเสียงน้อยแซว


“อะไรอ่ะ ชุดติ่มซำเหรอ” กีฮยอนหยุดมือจากการเหลาไม้ หยิบฝากล่องมาพลิกดู “โห ติ่มซำจากภัตตาคารนี้ลงนิตยสารหลายเล่มเลยนะ ได้ยินว่าเป็นร้านที่พวกนักการเมืองชอบไปกินกัน ราคาอย่างแพงอ่ะ”


“แพงมากเลยเหรอ โหย ให้ของกินแพงๆอีก ฮยองวอน แกบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ยว่าสาวที่ส่งติ่มซำมาให้แกนี้เป็นใครมาจากไหน”


“จะไปรู้เหรอว่าใคร”


“เฮ้ย อย่าโกหกกันดิ”


“โกหกอะไรเล่า เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่เราถามเหรอ พี่เขาก็ไม่ยอมบอกว่าใครให้”


“แต่คนให้ของกินแบบนี้กับนาย แสดงว่าเขาต้องชอบนายมากเลยนะถึงกล้าซื้อมาให้”


“คนให้ต้องมีตังค์พอควรเลยอ่ะ ในนี้ คนที่มีฐานะแถมใจป้ำมีใครบ้างหว่า เฮ้ย มีใครที่แกพอระแคะระคายว่าจะชอบ...เฮ่ย ฮยองวอน สนใจหน่อยสิวะ อย่าเอาแต่ยัดของกินเข้าปาก แม่ง เต็มปากแล้วยังจะยัดเพิ่มอีก พอแล้ว เหลือให้กินด้วย”


“ก็หิว” พูดทั้งที่ของกินเต็มปากเหมือนเคย


“เฮ้อ...นายก็เป็นซะอย่างนี้ เวลาคนฝากของมาให้ก็รับไว้แต่ไม่เคยสนใจว่าใครให้ ถึงได้ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนซะทีทั้งที่มีคนมาทอดสะพานให้ตั้งเยอะ”


“ทำไมพวกนายชอบพูดเรื่องให้ฉันมีแฟนจังอ่ะ”


“เสียดายไง อุตส่าห์หน้าตาดีจะครองตัวเป็นโสดตลอดเลยเหรอ”


“ก็ไม่ตลอดซะหน่อย จำไม่ได้เหรอตอนปีหนึ่งเยจินเขามาขอเราคบแล้วก็ขอเราเลิก” เขาเอ่ยถึงชื่อของแฟนเก่าที่เรียนคณะศิลปกรรมซึ่งก็จำหน้าได้แค่ลางๆ เพราะตั้งแต่เลิกก็ไม่ได้ติดต่อหรือเห็นหน้ากันอีก


“ไปทำเย็นชาใส่เขา โทรไปไม่รับ ชวนไปไหนก็ไม่ไป เขาก็เลิกสิ”


“ทำไมคนเราต้องคุยโทรศัพท์กันทั้งที่ก็พิมพ์ในคาทกไปหมดแล้วด้วยล่ะ ไปเที่ยวก็เหมือนกัน ถ้าจะช็อปปิ้งไม่สนโลกเป็นชั่วโมงก็น่าจะให้เราแยกไปทำอะไรที่เราอยากทำดิ จะให้รอเฉยๆมันก็ไม่ไหว”


“นี่ไง เขาถึงเรียกไอ้เฉยชา” เสียงกีฮยอนกับชางกยุนประสานพร้อมนิ้วที่ชี้มาหาอย่างไม่ได้นัดหมาย ฝ่ายคนถูกชี้ย่นคางเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการถูกกล่าวหา


...ยอมรับว่า ถ้าไม่ใช่สิ่งที่สนใจก็เป็นเฉยชาจริงๆนั้นแหละ...


“แล้วพวกนายต้องช่วยทำฉากอีกนานไหม”


“ต้องทำโคมไฟกระดาษร้อยอัน คิดว่าเหลาไม้ ดัดโครง ติดกระดาษไขจะนานแค่ไหนล่ะ”


“โห เยอะจัง”


“ถ้าว่างก็มาช่วยสิ ฝ่ายอาร์ตพร้อมต้อนรับ”


“ไม่ดีกว่า เราทำงานฝีมือไม่เก่ง ขอนอนตรงนี้ระหว่างพวกนายทำงานพวกนี้ได้ปะ”


“นี่ ฮยองวอน จะไปนอนก็กลับไปนอนที่บ้าน มานอนตรงที่เขาจะทำฉากกันมันเกะกะ”เสียงของรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนแว้ดใส่ทันทีที่เห็นรุ่นน้องทำท่าจะเอนลงนอน


“แค่นอนเองนะครับ”


“ไม่ได้เฟ้ย...เดี๋ยววันนี้ฝ่ายอาร์ตจะใช้ทำฉากกันทั้งห้อง อยากรอเพื่อนอ่ะรอได้นะ แต่ต้องไปรอที่อื่น”


“ใจร้ายจัง”


“จะพูดยังไงก็ไม่ให้นอนที่นี่หรอกนะ”


“ก็ได้ครับ ถ้าบอกว่าเกะกะจะไปที่อื่นสักพักแล้วกัน...พวกนายทำฉากเสร็จเมื่อไหร่โทรหาด้วยนะ”


เพื่อนทั้งสองยกนิ้วส่งสัญญาณโอเคแทบจะพร้อมกัน ฮยองวอนมองเพื่อนที่บางครั้งก็ทำอะไรเหมือนแฝดทั้งที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันและชางกยุนก็ดูกระด้างกว่ากีฮยอนเป็นไหนๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องซ้อมเต้นไปเรื่อยเปื่อยจนเจอเข้ากับเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาพักหนึ่ง


...ชเว ยองแจ คือ เพื่อนที่เรียนในชั้นเรียนปกติและเรียนพิเศษมาด้วยกัน เพียงแต่อีกฝ่ายเลือกเรียนบัญชีส่วนเขาก็ผ่าเหล่าผ่ากอมาเรียนนิเทศ...


หลังจากพูดคุยทักทายปรับทุกข์เล็กน้อย ยองแจก็ชวนเขาไปนั่งเล่นที่หอแต่ต้องเอาของไปให้อาจารย์ที่ตึกศิลปกรรมก่อน เขาเลยตัดสินใจตามไประหว่างที่เดินกลับจากตึกศิลปกรรมผ่านหน้าตึกคณะดุริยางศิลป์ก็เห็นนักศึกษาคณะดนตรีออกมาแรปกันสนุกสนานเลยดึงเพื่อนให้เข้าไปดูกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นเพื่อนล้มฟาดไปกับพื้นแล้ว


เฮ้ย ยองแจ เป็นอะไรไปวะ มึงงงง” เขาตะโกนสุดเสียงพยายามประคองร่างเพื่อนจะพาไปห้องพยาบาล แต่อาจารย์คนที่คุมลูกศิษย์ตรงสนามปาดเข้ามาอุ้มร่างไร้สติพร้อมหันมาเรียกเขาให้เดินตามและต้องนั่งรถตามมารอดูอาการของเพื่อนที่ยังไม่ได้สติที่โรงพยาบาล


การรักษาของพยาบาลในห้องฉุกเฉินดำเนินไปแบบที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง ได้แต่ยืนรอในจุดที่ไม่รบกวนการทำงานและหันไปมองหน้าอาจารย์หนุ่มที่เอาแต่ขมวดคิ้วเครียดขึง ไม่ยอมนั่งเอาแต่ยืนกอดอกอยู่อย่างนั้นด้วยสายตาเป็นห่วงเพื่อนของเขามากซะจนรู้สึกเหมือนไม่ใช่การห่วงนักศึกษาธรรมดา


...หรือเขาคิดมากเกินไป...


“อาจารย์ครับ” หลังจากรอจนค่ำและเพียรเรียกหลายนาทีในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้สึกตัวหันมามอง


“อืม ว่าไง”


“ผมขออนุญาตไปร้านสะดวกซื้อหน่อยนะครับ”


“อ้อ ไปสิ”


“ผมจะซื้อของกินมาเผื่อยองแจด้วย อาจารย์จะกินอะไรไหมครับ”


“ไม่ล่ะ ผมยังไม่หิว”


“งั้น ผมไปแป้บเดียวนะครับ แล้วจะรีบมา”


ฮยองวอนบอกเรียบร้อยก็วิ่งตื้อตามเส้นทางภายในโรงพยาบาลที่ปรากฏในมือถือไปยังร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ที่ยังเปิดทำการ เดินเลือกของกินกับเครื่องดื่มโดยไม่ลืมจะหาของกินให้เพื่อนและอาจารย์ถึงแม้อาจารย์จะไม่สั่ง จ่ายเงินเรียบร้อยก็ยัดขนมปังไส้ครีมเข้าปากโดยที่มือข้างหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกและอีกมือถือโทรศัพท์ดูเส้นทางกลับไปห้องฉุกเฉิน


ช่วงที่ก้าวเท้าไปตามทางเดินที่ทอดสู่ห้องฉุกเฉิน สายตาพลันได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นอาจารย์โฮซอกกับอาจารย์ดาซมซึ่งเป็นอาจารย์จากคณะนิเทศเช่นเดียวกันกึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติของอาคารฉุกเฉินเข้าไปข้างใน


ชายหนุ่มย่นหน้าผากกำลังจะให้ความสนใจแต่เพราะครีมสดในขนมปังย้อยมาตรงปากเลยต้องยกแขนปาดและเดินต่อไปโดยเลิกใส่ใจเรื่องของอาจารย์ทั้งสองคน หากในตอนที่กำลังจะเดินผ่านทางไปห้องน้ำก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นเลยเลี้ยวตรงเข้าไป


ก่อนจะไปถึงส่วนห้องน้ำจะมีตู้ชาร์ตแบตโทรศัพท์ที่มีกั้นเรียงรายและที่นั่นเองที่เขาเห็นอาจารย์ดาซมร้องไห้พลางสะอื้นฮักจนตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของอาจารย์โฮซอก คนตัวสูงกระพริบตาแล้วหลบเข้าไปในช่องว่างตรงส่วนชาร์ตแบต


...ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยหลบไว้ก่อน...


เขายืนฟังเสียงสะอื้นของอาจารย์ดาซมกระทั่งเสียงเงียบลงจึงชะโงกออกไปหา ภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกลับปรากฏแก่สายตา เมื่ออาจารย์สาวเงยหน้ามองอาจารย์หนุ่มผ่านแพขนตาชุ่มด้วยน้ำจากนั้นริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เคลื่อนมาสัมผัสแผ่วบนริมฝีปากอิ่มสวยเคลือบสีชมพูอ่อน


และไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนดลให้นิ้วเรียวเผลอเลื่อนไปโดนโหมดกล้องถ่ายภาพด้วยความตกใจเลยพยายามจะปิดโปรแกรมแต่กลายเป็นกดถ่ายรูปคนทั้งคู่เข้าพอดี


เสียงโทรศัพท์จากหน้าห้องน้ำและมีเสียงพูดของอาจารย์ดาซมที่ดังขึ้นทำให้คนที่รู้สึกตัวว่ามาสอดเรื่องคนอื่นอยู่เก็บโทรศัพท์รีบพาตัวเองหนีจากสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงกลับไปยังเตียงของเพื่อนที่ยังนอนไม่ได้สติเพื่อเจออาจารย์อีกคนไล่ให้กลับบ้าน 


อาจารย์ครับ ผมว่า ผมกับเพื่อนรบกวนอาจารย์มาเยอะแล้ว เดี๋ยวผมเฝ้ายองแจเขาเองดีกว่า


ไม่เป็นไร คุณน่ะกลับเถอะ ทางบ้านจะได้ไม่เป็นห่วง


ที่บ้านผมเขาไม่ค่อยเคร่งครับ อีกอย่างพรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนครับ มีแค่ไปซ้อมบทละครตอนบ่าย แล้วอาจารย์ไม่ต้องกลับไปสอนต่อเหรอครับ


ผมแจ้งให้นักศึกษาทำรายงานมาส่งแล้ว


แล้วพรุ่งนี้มีสอนไหมครับ


ผมมีสอนตอนเช้า


ถ้าอย่างนั้น อาจารย์กลับไปพักดีกว่าครับ ผมเฝ้ายอง...” ถ้อยคำยังหลุดออกมาไม่จบประโยค อาจารย์หนุ่มก็แทรกขึ้นด้วยเสียงที่ดุและจริงจัง


ผมเฝ้าเขาเอง


คนตัวสูงกว่ากลอกตาไปด้านข้างแล้วมองยังใบหน้าหล่อที่มีรอยริ้วของความห่วงกังวลต่อเพื่อนตัวเองราวกับเคยคุ้นกันมาเนิ่นนาน ปากอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ลังเลใจเพราะอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง


...ลำพังแค่มีเรื่องกับอาจารย์คนเดียวก็รับมือยากแล้ว ถ้าจะมีเรื่องกับอาจารย์เพิ่มอีกก็เห็นจะไม่ไหว อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องฉุกเฉินมีพยาบาลกับหมอและคนเดินเข้าออกตลอดคงไม่เป็นไร


เอาแบบนั้นก็ได้ครับ...ผมกลับก่อนก็ได้ อ้อ ผมรบกวนขอเบอร์อาจารย์หน่อยนะครับ ผมจะได้โทรมาถามอาการของยองแจได้


อาจารย์หนุ่มพยักหน้าบอกหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองให้แก่ฝ่ายที่ร้องขอซึ่งวางถุงของกินที่ซื้อมาไว้บนเก้าอี้ว่างใกล้เตียงคนป่วย


ยิงเบอร์เข้าเครื่องผมด้วย ผมจะได้รู้ว่าเป็นคุณ


อา ครับ ยิงไปแล้ว เออะ ผมลืมถามเลย อาจารย์ชื่ออะไรนะครับ


จอง ฮอนชอล



ครับ...งั้น ผมลากลับก่อนนะครับ ถ้าอาจารย์มีอะไรหรือยองแจเขาฟื้นโทรเรียกผมได้เลยนะครับ


ขอบใจมากนะ


ฮยองวอนก้มศีรษะให้อาจารย์แล้วก้าวเท้าห่างออกมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูพลางหันไปมองในห้องฉุกเฉินอีกครั้งอย่างเป็นห่วงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทรแต่นิ้วดันไปโดนแกลอรี่ภาพพร้อมกับภาพของชายหนุ่มรูปงามตัวใหญ่หนาผิวขาวจัดสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนซึ่งเขาแน่ใจว่าคืออาจารย์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขากำลังจูบกับหญิงสาวคนหนึ่งจะปรากฏหราขึ้นมา


เชี้ยๆๆๆ” เขาสบถออกมารีบปิดรูปที่เผลอกดถ่ายมาอย่างไม่ตั้งใจออกจากหน้าจอด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ แต่จะให้กดลบรูปออกนิ้วก็ไม่ยอมเห็นด้วย


...มันไม่เป็นไรหรอก ถ้าอาจารย์โฮซอกจะจูบกับใคร...

...แต่มันเป็นเพราะคนที่อาจารย์จูบคืออาจารย์ดาซม...

...อาจารย์ดาซมคนที่แต่งงานแล้ว...


ชายหนุ่มกัดปากให้กับเรื่องผิดศีลธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา...ใครจะคิดเล่าว่าอาจารย์โฮซอกคนที่ดูเคร่งครัดกับกฎระเบียบและการสอนคนนั้นจะจูบกับอาจารย์ดาซมคนสวยที่เพิ่งแต่งงานไปหมาดเมื่อปีที่แล้ว


...เล่าไปใครจะเชื่อ...


เขาลากเท้าเดินต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในกำลังครุ่นคิด พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นเลยยกขึ้นมาก็เห็นกีฮยอนโทรมาหาเลยกดรับสาย


“นี่ทำฉากเสร็จแล้วนะ จะกลับมาหรือเปล่า”


“คงไม่ไปแล้ว”


“ตอนนี้อยู่ไหน”


“อยู่โรงพยาบาลอ่ะ”


“ห๊ะ อยู่โรงพยาบาลเหรอ ไปทำอะไรที่นั่น ไม่สบายเหรอ บาดเจ็บหรือยังไง ตอนนี้เป็นอะไรไหม มีคนอยู่ด้วยหรือเปล่า อยู่โรงพยาบาลอะไรจะได้ไปหา”


“เออะ ใจเย็นนะกีฮยอน พ่นมาเป็นจรวดเลย คือ เราไม่ได้เป็นอะไร แต่เพื่อนเราคนที่เรียนคณะบัญชีอ่ะ จำได้ปะ ยองแจคนที่ช่วยกลุ่มเราหาข้อมูลรายงาน เขาเป็นลมก็เลยพามาส่ง”


“ต้องอยู่เฝ้าไหม”


“ไม่อ่ะ มีอาจารย์เขาเฝ้าอยู่”


“เอ้า แล้วทำไมปล่อยอาจารย์เฝ้าแทนที่จะโทรบอกพ่อแม่เขาเล่า”


“พ่อแม่มันไม่อยู่อ่ะ เมื่อกี้บอกอาจารย์จะเฝ้าเองเขาก็ไล่กลับบ้านก็เลยต้องกลับ”


“กินอะไรหรือยัง”


“กินขนมปังไปแล้วแต่ไม่อิ่ม เลยว่าจะหาอะไรกินอีกหน่อยค่อยกลับบ้าน”


“ให้ไปหาไหม” เสียงชางกยุนลอดเข้ามา


“มาก็ดีนะ”


“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนเป็นเพื่อนที่รู้จักเพื่อนดีว่า เป็นคนไม่ชอบให้ใครลำบาก ยิ่งเวลาบอกจะกินข้าวแล้วกลับบ้านเลยแบบนี้จะไม่มีการเรียกให้ใครไปหาแต่วันนี้กลับขอให้มาเลยคิดว่าต้องมีอะไร แต่อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเพื่อนถามกลับก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เจอบอกใครไปก็คงไม่เชื่อเลยเปลี่ยนใจตอบไปใหม่


“ไม่อ่ะ แค่หิวข้าว...พวกนายไม่ต้องมาหรอกนะ กลับบ้านกลับช่องไปพักเหอะ”


“แน่ใจ มีอะไรก็บอกกันได้นะ”


“ไม่มีอะไร ก็บอกแล้วไงว่าหิวข้าว...เดี๋ยวเราไปกินข้าวก่อนนะ แค่นี้ ไว้คุยกัน”


เจ้าตัวตัดบทเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าพยายามสลัดทุกเรื่องที่อยู่ในหัวทิ้งไปและมุ่งความสนใจไปกับการหาของกินที่ทำให้อิ่มท้องมากกว่าขนมปังก่อนที่ดวงตาจะสะดุดเข้ากับคาเฟ่เล็กๆตั้งอยู่ใกล้ประตูทางออกของโรงพยาบาลเลยปรี่เข้าไปหาที่นั่งซึ่งก็ว่างเฉพาะตรงหน้าเคาน์เตอร์และสั่งอาหารมากินประทังความหิว


แฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนซ์ฟรายและน้ำอัดลมถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า เจ้าของร้านเสิร์ฟอาหารเสร็จก็หายไปหลังร้าน คนตัวสูงใช้มือหยิบทุกอย่างกินเพื่อความรวดเร็ว โทรศัพท์เริ่มสั่นอีกครั้งทำให้ต้องเช็ดมือกับเสื้อหยิบมันออกมาก็เห็นคาทกจากพี่ชายและน้องชายส่งมาบอกว่าจะไปข้างนอก กลับมืดอีกเหมือนเคย ตามด้วยคาทกจากชางกยุนและกีฮยอนที่ยังส่งเข้ามาถามนั่นนี่ มือหนึ่งเลยหยิบของเข้าปาก อีกมือก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะพลางจิ้มตัวอักษรตอบกลับไปทีละตัวก่อนที่นิ้วจะเผลอกดไปโดนคลังภาพและภาพที่ไม่อยากจะเห็นก็โผล่ขึ้นมาอีกจนกดปิดแทบไม่ทัน


...ตั้งแต่ได้รูปนี้มารู้สึกไม่ปลอดภัย ลบเลยเหอะ...


ชั่วเวลาที่ตัดสินใจกดลบรูป พลันนิ้วเรียวของใครอีกคนกลับยื่นมาคว้าโทรศัพท์ไป...เจ้าของโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นไปมองพอเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆตาถึงกับเหลือกลาน


อาจารย์โฮซอกกดเลื่อนดูรูปในโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากรอยยิ้มที่ปรากฏตรงมุมปากคล้ายรอยแสยะของปีศาจ


“คุณนี่เองที่แอบถ่ายรูปผม”


ฮยองวอนนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระทั่งกลอกตาไปมาเลยได้แต่เม้มริมฝีปากมอง อีกฝ่ายที่กดลบรูปจนพอใจก็วางโทรศัพท์เขาลงบนโต๊ะแล้วชะโงกเข้ามาหาพร้อมกับเท้ามือทั้งสองข้างบนโต๊ะกันไม่ให้อีกคนหนี


“พอหมดเวลาเรียนคุณก็กลายเป็นเด็กแบบนี้สิ” ใบหน้าหล่อแต่มีแววกระด้างยื่นมาหา “คุณเป็นเด็กฉลาดนะฮยองวอน ฉลาดแต่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะ...แต่ถ้าคุณคิดจะแก้ปัญหาการเรียนในวิชาผม ด้วยการสะกดรอยตามและถ่ายรูปแบล็กเมล์ผมอีก หรือเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นรู้เมื่อไหร่ คุณเตรียมตัวโดนผมจองล้างจองผลาญลามจนถึงคุณถูกไล่ออกได้เลย”


คนตัวสูงที่กลายเป็นเบี้ยล่างห่อไหล่ขยับถอยจนหลังติดกับเคาน์เตอร์ไปไหนไม่ได้อีกเลยหยุดมองหน้าของคนเป็นอาจารย์หน้านิ่งทั้งที่ข้างในจะเป็นลมอยู่แล้ว


“วันนี้ผมเหนื่อยแล้วล่ะนะ แต่เรามีเรื่องต้องสะสางกัน เพราะอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนซ้อมละครเวทีเสร็จ คุณต้องมาหาผมที่ห้องพักครู ผมให้เวลาคุณไม่เกินบ่ายสาม ถ้าคุณไม่มา คุณมีปัญหาใหญ่แน่ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม” คำถามนั้นมีแววคุกคามชัดเจนแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเสียงดุเลยถามย้ำ “พูดสิ เข้าใจที่ผมพูดไหม”


“อา ครับ เข้าใจ”


“ดี...งั้นพรุ่งนี้เจอกัน และก็อย่าเลี่ยงไม่ไปพบผมเชียวล่ะ เพราะผมรับประกันได้เลยว่า คุณจะเจอเรื่องที่ทำให้คุณยิ้มไม่ออกไปทั้งชีวิต”


อาจารย์หนุ่มก้มไปกระซิบบอกข้างหูก่อนจะก้าวถอยออกมาไล้ดวงตากลมเรียวน่ากลัวตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนเป็นลูกศิษย์อีกรอบก็ผละจากไป


ฮยองวอนกระพริบตามองบานประตูที่ปิดสนิทลงกับกรอบ มือที่เปื้อนเกลือจากเฟรนซ์ฟรายยกขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจที่ข้างในคล้ายถูกบีบแน่นจนหายใจแทบไม่ออกพร้อมกับเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วหน้า


...หายนะจะมาเยือนแล้วสิ...

You Might Also Like

0 Comments