LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 4
04:13
แสงแรกจากดวงตะวันยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระทบบนเตียงสีขาวที่มีร่างบางสวมเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขายาวนอนแผ่ตาแข็งมองเพดานสีขาวขณะที่มือจิกผ้าห่มบนท้องไปมา
ท่ามกลางกองตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ
...มันเล่นได้นะ จะเล่นให้ฟัง...
เสียงทุ้มกระซิบข้างหูก้องในความคิดไม่ยอมหยุด แม้จะหลับตาลงภาพใบหน้ารูปหัวใจของเพื่อนร่วมห้องก็เอาแต่ลอยเข้ามาในความคิด
คนบนเตียงได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบพยายามข่มตาหลับ
หากหัวใจก็เต้นแรงไม่หยุดอยู่อย่างนั้นจนเช้าถึงรู้จักสงบลงได้
ยองแจหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างเตียงเพื่อดูเวลาจึงได้เห็นข้อความที่ครอบครัวจากอีกซีกโลกส่งมาหาจึงเข้าไปตอบข้อความกลับและเคลียร์ข้อความจากเพื่อนที่สวีเดนจนหมดจึงได้ฤกษ์ลุกจากเตียงจะออกไปอาบน้ำก็พอดีกับเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมา
“ตื่นแล้วใช่ไหม ทำไรอยู่” เสียงของฮิมชานถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ตื่นแล้ว กำลังจะไปอาบน้ำ” เขาตอบด้วยคำแบบเดิมๆ...ทุกเช้าพี่ชายต่างสายเลือดพ่วงตำแหน่งพ่อคนที่สองจะโทรมาถามเช่นนี้จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
“พี่ไปหาพี่ซูโฮมาเป็นยังไงบ้างอ่ะ”
“ก็ดี...อาทิตย์หน้าพี่จะไปเซ็นใบหย่า”
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เป็น...แต่ทำไงได้ ถึงจะยื้อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่เขาจะเกลียดขี้หน้ามากขึ้น
พี่ไม่อยากหย่าด้วยความรู้สึกที่ว่า เกลียดกันมากจนลืมไปแล้วว่าเคยรักกันยังไงวะ”
คนเป็นน้องพ่นลมร้อนผ่านจมูกอย่างเห็นใจ...พี่ฮิมชานเป็นคนปากร้ายใจดีที่เวลารักใครแล้วจะประคบประหงมไม่ให้ลำบากแต่ดันเลือกผู้หญิงเก่งแกร่งไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแล
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการหย่าเป็นรอบที่สอง
...ถ้าเขาเป็นผู้หญิง ได้พี่ฮิมชานเป็นสามีน่ะดีจะตาย ทั้งเทคแคร์ดีเว่อร์
ไหนจะกระเป๋าหนัก เปย์เท่าไหนเท่ากัน แถมยังไม่ขี้บ่นเหมือนเวลาห่วงเพื่อนฝูงน้องนุ่งอีก...
“แล้วเราล่ะยังไง...เมื่อวานแดฮยอนมันมาหาเราดึกเลยใช่ไหม”
“พี่รู้ได้ไงว่าเขามาดึก”
“จะไม่รู้ได้ไง ก็โทรไปด่ามันมาเมื่อคืน...ได้ยินมันบอกเรานอนรอมันจนหลับ”
“ไม่ได้รอสักหน่อยแค่นอนเล่นเลยเผลอหลับ แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ไม่เห็นต้องโทรไปด่าเขาเลย
ตัวเขาก็ใช่ว่าอยากจะมาดึกซะที่ไหน แต่เพราะเจ้านายเรียกเขาประชุมด่วน
ไหนจะที่เขาแวะซื้อของมาฝากผมอีก มันไม่ใช่ความผิดเขาซะหน่อย”
อีกฝ่ายอธิบายเหตุผลยืดยาวปกป้องเต็มที่ทำให้ปลายสายบ่นอุบ
“ดีเนาะ...แดฮยอนปล่อยเรารอหลายชั่วโมงนี่แก้ตัวแทนน้ำไหลไฟดับ
ลองเป็นพี่ช้าสิบนาทีดันบ่นบ้านแทบแตก”
“ก็เขามีเหตุผลอ่ะ”
“พี่ก็มีเหตุผลทำไมถึงบ่นวะ”
“มันเป็นความผิดครั้งแรกไม่ใช่เหรอ...อะไรที่เป็นครั้งแรกผมถือว่าอภัยได้
แต่กับพี่มันไม่เหมือนกัน...พี่น่ะชอบมาช้ากว่านัดอยู่เรื่อย ผมก็ต้องบ่นสิ”
“อ๋อเหรอ ไอ้เราก็นึกว่า คุยกันคืนเดียวจะซี้กันแล้วซะอีก”
“ซี้อะไร...ผมไม่ได้สนิทกับคนง่ายขนาดนั้นนะ”
“เราเคยเป็นเพื่อนร่วมคณะกับมันมา ไม่น่าจะสนิทกันยากหรอก” คนเป็นพี่ว่าเท้าความถึงเรื่องปูมหลังความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมคณะของทั้งคู่แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงแข็งออกมา
“เขาไม่ใช่เพื่อนผมนะ”
“เอ้า ทำไมจะไม่ใช่ เรียนด้วยกันเขาก็นับเป็นเพื่อนทั้งนั้นแหละ”
“คนเรียนด้วยกันไม่ใช่จะเป็นเพื่อนกันทุกคนซะหน่อย...พี่ก็รู้ว่าตอนนั้นผมเป็นยังไง
พี่ต้องโทรปลอบผมตั้งกี่ครั้งกว่าผมจะเรียนจบ ยิ่งกับหมอนั่นด้วยแล้ว
เดือนคณะอย่างนั้นเขาไม่ลดตัวมาเป็นเพื่อนผมหรอก ยังไม่รู้ว่าจะเรียกคนรู้จักได้หรือเปล่าเลย”
ถ้อยคำเจียมตัวหลุดจากปากในทุกคราที่หวนคิดถึงช่วงเวลาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ปลายสายถอนหายใจ
โดยพื้นฐานยองแจเป็นเด็กมั่นใจในตัวเองมาก ยิ่งตอนอยู่สวีเดนมีเพื่อนเป็นฝูงล้อมไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวมาก่อน
พอย้ายมาเรียนเกาหลีต้องเจอสถานการณ์ที่ตัวเองไม่เคยเผชิญ จากที่มีโลกส่วนตัวอยู่แล้วก็กลายเป็นปิดกั้นตัวเองไปอีก
“เอาอีกล่ะ...เมื่อไหร่จะเลิกคิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นเขาวะ
ตอนนั้นไม่มีใครมองเห็นเราเพราะตามันไม่ถึงต่างหาก
อีกอย่างเราเองก็ปิดกั้นตัวเองด้วยไม่ใช่ไง หมกตัวอยู่ในห้องสมุดอย่างเดียว
ดูอย่างตอนนี้ก็หมกอยู่แค่บ้านกับร้านกาแฟ ไม่คิดจะออกไปพบปะผู้คนบ้างเลยไง”
“ใครว่าผมไม่ออกไปไหน ผมก็ออกไปเที่ยวถ่ายรูปข้างนอกเหมือนกันนะ” คนอ่อนกว่ายกงานอดิเรกอย่างการถ่ายรูปที่ชอบตั้งแต่ครั้งยังอยู่สวีเดนขึ้นมา
“เออ ไป...แต่ไปตึกร้าง เขตก่อสร้างร้างอะไรแบบนั้นคงมีมนุษย์ให้เจอหรอก”
“ผมไปถ่ายรูปวิวไม่ได้ไปถ่ายรูปคน
ขืนไปที่คนเยอะติดหัวคนเต็มไปหมดมันไม่สวย”
“ถ่ายให้มันสวยก็ทำได้ ถ้าอยากให้สอนก็บอกได้”
“ไม่เอาหรอก เรียนกับคนจบเอกถ่ายภาพ ทฤษฎีกับศัพท์แสงอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด
สอนไปด่าไปอีก ถ่ายๆไปหมดกำลังใจกันพอดี”
“เอ้า...ไอ้นี่”
“คนจบช่างภาพมาจะเข้าใจอะไรคนที่ไม่อยากถ่ายด้วยหลักการแค่ถ่ายเพราะชอบกันเล่า...ผมไม่ได้ถ่ายประกวดสักหน่อย
โอ๊ย จริงๆนะ ถ้าพี่จะโทรมาถากถางเรื่องถ่ายรูปของผมเนี่ย ก็วางไปเหอะ”
“อะไรวะ พอเถียงไม่ได้ก็หนีทุกที”
“หนีอะไร ไม่ได้หนีซะหน่อย ผมแค่ไม่อยากอารมณ์เสียแต่เช้า
อีกอย่างผมไม่อยากกวนเวลาไปทำงานของพี่ด้วย เมื่อวานพี่ไปหาพี่ซูโฮทั้งวันปล่อยพี่ยงกุกเหนื่อยทำงานอยู่คนเดียวเลยนิ”
“โห ดูพูดเข้า ตอนมันทิ้งพี่ทำงานคนเดียวก็มีนะเว้ย
ยิ่งช่วงเด็กกุหลาบมันอาการไม่ดี มันทิ้งพี่ทำงานคนเดียวเป็นเดือนๆ ไม่ยักพูดวะ”
“ก็นั่นพี่เขาดูแลคนป่วย...เนี่ย ลืมอวดเลย เมื่อวานนี้พี่ยงกุกเขาต้องทำงานคนเดียวเลยเอาจุนฮงมาฝากที่ร้าน จุนฮงน่ะเขาอ่านหนังสือเล่มหนาๆรอพี่ยงกุกได้ด้วยแหละ”
“แค่อ่านหนังสือจะอวดเพื่อ โว้ย เรานี่อะไรก็ไม่รู้ แต่เออ พอเราพูดถึงมันขึ้นมาก็นึกได้ว่ามีเรื่องต้องเตือนเราหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ถ้าเป็นไปได้อย่าพูดเรื่องยงกุกหรือไอ้เด็กกุหลาบให้แดฮยอนมันได้ยินเข้าล่ะ”
รุ่นพี่หนุ่มเตือนด้วยเสียงจริงจังทำให้คนฟังย่นหน้าผากทั้งประหลาดใจและไม่เข้าใจอยู่ในที
“ทำไมถึงพูดไม่ได้ล่ะ...เดี๋ยวนะ
หมอนั่นรู้จักพี่ยงกุกกับจุนฮงด้วยเหรอ”
“รู้”
“รู้จักกันอีท่าไหน อย่าบอกนะว่า สอนดนตรีโรงเรียนเดียวกัน”
“ไม่ใช่เว้ย...แค่แดฮยอนมันเคยเป็นครูสอนเปียโนให้เด็กกุหลาบมัน”
“เป็นครูสอนเปียโนให้แล้วไงล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรให้พูดถึงไม่ได้เลย”
“อย่าไปรู้อะไรเยอะเลย รู้แค่อย่าพูดถึงก็พอแล้ว”
“ขอเหตุผล”
“เออน่า อย่าไปรู้อะไรเยอะเลย”
“ถ้าพี่จะมาสั่งให้ผมทำนู้นทำนี่โดยไม่บอกเหตุผล
ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตามที่พี่บอกไปทำไมเหมือนกัน”
“โวะ...เด็กคนนี้นี่ ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากตลอดเวลาเลยวะ”
“ก็ไม่มีเหตุผลจะเข้าใจได้ไงล่ะ...อยากให้ผมทำตามก็บอกเหตุผล
นี่คือกฎของเราไม่ใช่เหรอ”
“กฎบ้ากฎบออะไร เราตั้งเองทั้งนั้นแหละ”
คนเป็นพี่ถอนหายใจให้กับความต้องการเหตุผลในทุกเรื่องของปลายสาย หากสุดท้ายก็ยอมเปิดปาก
“ตอนที่มันไปสอนเปียโน มันเสือกไปชอบเด็กกุหลาบเข้า”
“เขาชอบ...ชอบจุนฮงอ่ะนะ”
รุ่นน้องส่งเสียงร้องดังออกมาจนอีกฝ่ายต้องปราม
“เบาๆหน่อยสิวะ เดี๋ยวมันก็ได้ยินหรอก”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย...แล้วพี่รู้ได้ไง เขาบอกพี่เหรอ”
“พี่เป็นคนบอกให้มันมาสอนเปียโนให้เด็กกุหลาบ
พอมันจะเลิกสอนเลยมาบอกพี่ไว้ พอถามเหตุผลมันเลยเล่าให้ฟัง”
“จริงดิ” คนเป็นน้องขึ้นเสียงสูงอย่างคาดไม่ถึง “แล้วหมอนั่นรู้ด้วยเหรอว่า
จุนฮงเป็นคนรักของพี่ยงกุกอ่ะ”
“ตอนแรกก็ไม่รู้ แต่มันบอกว่าเคยไปกินข้าวด้วยหนหนึ่ง
ไอ้หนนั้นแหละถึงรู้ว่า สถานะเป็นอะไรกัน แล้วยงกุกเองมันก็รู้นะว่า
แดฮยอนชอบเด็กกุหลาบ”
“รู้แล้วทำไงอ่ะ”
“ไม่ทำอะไรหรอก...ไอ้คนนิสัยอย่างมันลองมั่นใจในอะไรแล้วมันไม่รู้สึกสั่นคลอนหรอก
เราน่าจะได้เห็นตอนแดฮยอนไปบอกกับยงกุกมันว่าจะเลิกสอน มันไม่พูดอะไรเลย
แค่ยิ้มแต่เป็นยิ้มที่ส่งให้กับคนที่ชาตินี้ไม่มีวันขึ้นมาเสมอมันได้น่ะ”
“บ้าแล้ว...พี่ยงกุกเขาอบอุ่นจะตาย ไม่มีทางยิ้มแบบนั้นได้หรอก”
“ยงกุกมันไม่ใช่คนดีอะไรอย่างที่แกคิดหรอกนะ”
“ไม่จริงอ่ะ ตั้งแต่รู้จักกับพี่เขามาไม่เคยเห็นพี่เขาทำอะไรไม่ดีเลย
อย่างพี่เขาน่ะ เรียกเทพบุตรยังได้เลย”
“เราจะไปรู้อะไร
เคยเห็นแต่ด้านสว่างของมันอย่างเดียวเลยนิ...จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ
แต่อย่าลืมที่พี่บอกไว้ก็พอ”
“เรื่องที่ไม่ให้ผมพูดถึงพี่ยงกุกกับหมอนั่นอ่ะนะ”
“เออ ไม่พูดได้เลยก็ดีเพราะพี่ไม่ได้ถามมันมานานแล้วว่ายังรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า
ไอ้เราเองก็เป็นพวกชอบพูดจี้ใจดำชาวบ้านอยู่ด้วย เกิดไปทำมันร้องไห้หนีไป
พี่จะส่งเรากลับสวีเดน”
“ผมเหรอจะทำเขาร้องไห้...เขาสิทำ”
เจ้าตัวว่าพลางคิดถึงเปียโนไม้หลังงามที่เพื่อนร่วมห้องซื้อมาฝากให้เป็นของขวัญ
“อะไร มันทำเราร้องไห้เหรอ ตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง
เดี๋ยวพี่โทรไปด่ามันใหม่”
“ไม่ๆ เขาไม่ได้ทำผมร้องไห้นะ ผมแค่พูดขึ้นมาเฉยๆ คือ
ผมไม่ได้สนิทกับเขา ผมไม่กล้าไปพูดอะไรให้เขาเสียใจหรอก”
คนเป็นน้องแก้ตัวเป็นพัลวันจนลิ้นแทบพันกัน
...จะให้พี่ฮิมชานรู้ไม่ได้ว่าเขาเซนซิทีฟกับเพื่อนร่วมห้องขนาดไหน
เดี๋ยวโดนล้อขึ้นมาจะแย่ไปกันใหญ่...
“ให้มันจริงเถอะ หลุดปากพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปประจำเลยไม่ใช่ไง”
“โอ๊ย สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนแขวะ...ไม่คุยด้วยแล้ว
ไปอาบน้ำเตรียมตัวเปิดร้านดีกว่า ผมวางแล้วนะ ลาล่ะครับพ่อคนที่สาม”
นิ้วเรียวกดตัดสายรุ่นพี่แล้วโยนมันไปบนเตียง
แม้จะมีเสียงโทรศัพท์ดังอีกเจ้าตัวก็ปล่อยทิ้งเดินออกจากห้องไปอาบน้ำ ระหว่างที่เดินไปหยุดยืนตรงทางเดินระหว่างห้องน้ำกับห้องของรูมเมท
ตาเรียวปรายมองไปยังประตูสีขาวที่เมื่อวานเขาติดกฎการอยู่ร่วมกันซึ่งตอนนี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว
ภายในใจรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทวนคิดถึงเรื่องที่ฮิมชานเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์...หมอนั่นชอบผู้หญิงสวยน่ารัก
เวลาเปลี่ยนแฟนทีก็สไตล์นี่หมด ถ้าจะชอบจุนฮงที่เหมือนเด็กผู้หญิงเข้าล่ะก็คงไม่แปลกอะไร
...พวกสิ่งมีชีวิตอันเจิดจ้าเหมือนดวงตะวัน ไหนเลยจะมีวันโน้มลงมาหาสิ่งมีชีวิตที่แสงไม่มีวันสาดถึง..
---------------------------------------------------------------------
ผ้าม่านลูกไม้สีขาวปลิวสะบัดตามกระแสลมภายนอกที่ลอดผ่านบานประตูตรงระเบียงที่เปิดกว้าง
ดวงตะวันสาดแสงลงมา หากเข้าไม่ถึงตัวของชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องนั่งเล่นโดยถือโทรศัพท์ที่มีข้อความสั้นๆ
ส่งมาโดยไม่ระบุตัวตนไว้แน่นจนเคสโทรศัพท์แข็งที่หุ้มตัวเครื่องไว้ร้าวคามือ
...รู้ว่าไม่กลัวแต่ระวังตัว เขาอาจจะรู้ว่านายอยู่ไหน...
เสียงรายงานข่าวเศรษฐกิจจากนักข่าวสาวลอดจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้
ชั่วนาทีที่ชื่อของนักธุรกิจคนหนึ่งผ่านเข้ามาให้ได้ยิน
ใบหน้ารูปหัวใจเงยจากโทรศัพท์จับนิ่งยังชายสูงวัยสวมสูทชั้นดีห้อมล้อมด้วยผู้ติดตามบนจอโทรทัศน์
นัยน์ตากลมมีแววสดใสอยู่เป็นนิจกลับลุกโชนแข็งกร้าวราวได้พบศัตรูคู่แค้น
ริมฝีปากอิ่มหนาเหยียดมุมคล้ายจะหยัน
ความเกลียดชังดุจมหาสมุทรกว้างใหญ่คืบคลานกลืนกินตัวตนด้านสว่างทีละน้อย
ตัวตนด้านมืดไร้ความอ่อนโยนเฉกนักฆ่าไร้หัวใจผุดขึ้นแทนที่
และหากไม่มีเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งดึงเอาไว้เจ้าตัวคงดำดิ่งสู่ห้วงเหวลึกในใจ
“ตื่นเช้าจัง”
“หื้อ”
แดฮยอนส่งเสียงในคอหันไปมองชายหนุ่มสวมเสื้อยืดแขนยาวสีเทากับกางเกงยีนส์ยืนเช็ดผมห่างออกไปราวสองช่วงแขน
ตากลมเรียวที่ทอดมาหามีแววสงสัยน้อยๆนั้นทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาทั้งที่ก่อนหน้ายังรู้สึกหนักหนา
“เมื่อวานมาดึกขนาดนั้น ทำไมยังตื่นเช้าไหวอีกล่ะ”
“ฉันยังไม่ได้นอนน่ะ”
“ห๊า...นี่ยังไม่ได้เลยเหรอ ทำไมไม่นอนเล่า
ไม่ชินที่เลยนอนไม่หลับใช่ไหม หรือเพราะพี่ฮิมชานโทรมาด่าก็เลยไม่ได้นอน”
“นายรู้ได้ไงว่าพี่เขาโทรหาฉันน่ะ พี่เขาบอกเหรอ”
“อืม”
“นายไปบอกพี่เขาให้โทรมาด่าฉันหรือเปล่าเนี่ย”
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้บอกให้เขาโทรมาด่านายนะ
ตอนคุยกันเมื่อกี้ฉันยังบอกเหตุผลที่นายมาช้าให้เขาฟังอยู่เลย”
เจ้าของห้องส่ายหน้ารีบปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนที่นั่งยิ้มอยู่บนพื้นเพียงแหย่เล่นเท่านั้น
“ฉันรู้หรอกน่าว่านายไม่ได้ฟ้อง แค่ถามเล่นน่ะ”
คนถูกโทรมาด่าค่อนคืนเกือบเช้าว่าพลางคิดถึงตอนที่รุ่นพี่โทรมาสวดใส่แทบไม่หายใจจนเขาไม่มีช่องว่างจะเถียง
“แต่พี่เขาดูเป็นห่วงนายมากเลยนะ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นรุ่นน้อง
ฉันคงคิดว่าเป็นน้องแท้ๆไปแล้ว”
“โอ๊ย พี่เขาก็ห่วงฉันเว่อร์แบบนี้ตลอด ห่วงจนนึกว่าเป็นพ่อคนที่สามแล้วเนี่ย”
“พ่อคนที่สาม” คนบนพื้นทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “แล้วพ่อคนที่หนึ่งที่สองนี่ใครล่ะ”
“คนที่หนึ่งก็พ่อฉันไง ส่วนคนที่สองก็พี่ยองวอน พี่ชายแท้ๆฉันเอง
รายนั่นนะห่วงบ้าบอคอแตกจนแทบทำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนพี่ฮิมชานนี่ห่วงน้อยกว่าหน่อยเลยให้เป็นพ่อคนที่สาม”
“นายมีพี่ชายด้วยเหรอ”
“มี...นี่ขนาดเพิ่งแต่งงานนะยังว่างโทรมาบ่นตลอดเลย”
ปากอิ่มสีสวยเชิดขึ้นเหมือนเด็กไม่ได้ดั่งใจ “แล้วนายล่ะมีพี่น้องหรือเปล่า”
“ฉันมีพี่ชาย”
ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยอย่างเนิบช้าพลางทอดสายตาไปยังม่านสีขาวที่พลิ้วไสวตามลม ความเงียบเกิดขึ้นในทันทีเหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์เท่านั้นที่ดังอยู่
บรรยากาศนั้นชวนให้นึกคิดไปไกลว่าอาจมีเรื่องร้ายเกิดกับผู้ถูกพูดถึงจึงทำให้ปากเม้มแน่น
“เสียใจด้วยนะ”
“เสียใจเรื่องอะไร”
“ก็พี่นาย...”
ชายหนุ่มบนพื้นเลิกคิ้วหันมายังคนที่ยืนก้มหน้าแกะเล็บเหมือนเด็กรู้สึกผิดอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจในความหมายจึงหลุดหัวเราะออกมาอีก
“อย่าแช่งสิ พี่ฉันยังไม่ตายนะ”
“เอ้า ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นนายพูดแล้วเงียบนิ” เสียงแหลมนั้นโวยขึ้นพร้อมกับตาหลุบมองไปทางอื่นแก้เก้อเรียกให้คนที่นั่งบนพื้นลุกเดินไปหา
พอหันกลับมาอีกทีหน้ารูปหัวใจพราวยิ้มระยับนั้นก็เข้ามาใกล้เสียแล้ว
“เป็นห่วงฉันเหรอ” คำถามนั้นมีแววเอ็นดูท่วมท้น “น่ารักจัง”
“น่ารักอะไรเล่า...คำว่าน่ารักมันต้องใช้กับเด็กหรือผู้หญิงปะ”
เขาโต้กลับเริ่มเดินถอยหลังไปทีละก้าวสองก้าว มือทั้งสองกำแน่นรู้สึกได้ถึงการเต้นรุนแรงของหัวใจที่หากไม่หนีคงได้หัวใจวายไปแน่ๆ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย...ฉันเองยังมีคนชมว่าน่ารักเลย”
“จะยังไงก็เถอะ ฉันไม่ชอบให้ใครมาชมว่าฉันน่ารัก”
คำที่อีกคนโวยวายออกมาชวนให้คนได้ยินคิดถึงข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษสองแผ่นที่แปะอยู่หน้าห้องเขาเมื่อคืน
“นี่ ฉันว่าจะถามอยู่ ไอ้กระดาษที่แปะหน้าห้องฉันคืออะไร”
“ก็ข้อตกลงการอยู่ด้วยกันของเราไง”
“ไหนว่ามีสองข้อ นี่มันสองหน้ากระดาษแล้วนะ”
“ตอนแรกคิดว่ามีเท่านั้นแต่พอดูท่าทางนายแล้วคิดว่า สองข้อไม่น่าจะพอ”
“ไอ้ข้อที่บอกว่าแบ่งกันทำความสะอาดห้องส่วนกลางทุกจันทร์ พุธ
ศุกร์กับทำความสะอาดห้องนอนตัวเองทุกสองวัน นี่นายเห็นฉันสกปรกนักหรือไง” พอเริ่มคำถามถึงเนื้อหาในข้อตกลงน้ำเสียงของแดฮยอนก็เริ่มดังขึ้นมา
“ก็นายดูไม่น่าจะรักความสะอาด”
“เฮ้ย เห็นอย่างนี้ฉันเจ้าระเบียบนะ ฉันทนอะไรรกๆไม่ค่อยได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องทำความสะอาด”
“แต่ฉันทำงานนะจะให้มานั่งทำความสะอาดตามตารางตลอดได้ไง”
“ทำงานกับเลิกงานกี่โมง”
“งานแบบฉันมันไม่มีเวลาตายตัวหรอก”
“งั้นเอาเป็นว่า นายว่างตอนไหนแล้วห้องไม่สะอาดก็ทำตอนนั้น”
“บางทีฉันก็มีไปดื่มกับที่ทำงาน”
“คือส่วนกลางจะไม่ทำว่างั้นเหอะ”
ฝ่ายเอาแต่ใจเป็นนิสัยเถียงกลับไม่ลดละ...ถึงจะชอบผู้ชายตรงหน้ามานานแต่เรื่องทำงานบ้านเป็นอะไรที่เขาไม่ชอบเอามากๆและจะไม่ยอมทำคนเดียวเด็ดขาด
“มันก็...”
“คิดค่าเช่าเพิ่ม”
“เอ็ย ไรเนี่ย” ฝ่ายต่อรองร้องลั่น
“ฉันบอกก่อนเลยนะว่า ฉันเกลียดการทำความสะอาด เพราะงั้นมีทางเลือกให้นายสามทาง...หนึ่งทำความสะอาดตามตารางซะ
สองจ่ายค่าเช่าเพิ่ม สามย้ายออก ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
“ช้าจัง เลือกทางที่สามดีมะ”
เพียงได้ยินการบังคับแกมขู่คนฟังอยู่ถึงกับพ่นลมออกปาก
“ทำไมถึง...ตอนเรียนด้วยกันนายไม่ใช่แบบนี้นี่” หัวยุ่งๆส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“นายไม่ได้รู้จักฉันจริงๆซะหน่อย
ตอนพี่ฮิมชานแนะนำฉันให้รู้จักนายยังจำฉันไม่ได้เลย”
“จะให้จำได้ตั้งแต่แรกได้ไง ก็ตอนนี้นายตัวเล็กนิดเดียว ตัวผอมเกินจนฉันกลัวจับแล้วกระดูกหักด้วยซ้ำ นี่แน่ใจนะว่าป่วยแค่ไทรอยด์ มีอย่างอื่นร่วมด้วยหรือเปล่า”
“ข้อตกลงที่ยี่สิบแปด เขียนไว้ว่า
ห้ามถามเรื่องอาการป่วยของเพื่อนร่วมบ้าน”
“โว้ย นั่นก็โหดไป” คนตัวสูงกว่าว่าพลางถอนหายใจ “เอางี้ ฉันจะทำความสะอาดให้เฉพาะเวลามันสกปรก
โอเคนะ”
“ก็ได้” ฝ่ายบังคับให้ตัดสินใจย่นจมูกยอมผ่อนปรน จ้องคนที่ยืนเสยผมอย่างยุ่งยากใจอยู่หลายนาทีก็เปิดบทสนทนาขึ้นมาใหม่
“เมื่อกี้นายบอกว่า ทำงานไม่เป็นเวลา ไอ้งานของนายนี่ทำอะไรเหรอ”
“ตอนนี้งานหลักฉันก็แต่งเพลง มีโปรดิวซ์อัลบั้มบ้าง งานรองก็ร้องเพลงตามงาน สอนร้องเพลงกับสอนเปียโน”
“สอนเปียโนมานานแล้วเหรอ”
“สอนตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เออ เกือบลืม เมื่อวานฉันซื้อเปียโนของเล่นมายังไม่ได้เล่นให้นายฟังเลย เดี๋ยวไปเอามาเล่นก่อน”
สุดท้ายเพื่อนร่วมห้องก็ลืมเรื่องที่เถียงกุลีกุจอจะไปหยิบเปียโนบนโต๊ะมาเล่น
ทว่าอีกคนพอได้ยินเข้า เหตุการณ์เมื่อวานที่ถูกกอดไว้ก็แว่บมาจนหน้าร้อนและด้วยกลัวเสียงเปียโนอาจทำให้ใจวายได้ปากเลยหลุดพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
“พี่ฮิมชานบอกว่านายเคยสอนเปียโนให้จุนฮง”
ชื่อในท้ายประโยคดึงให้เท้าของชายหนุ่มตัวสูงชะงักก่อนจะเหลียวหลังมาหารูมเมทที่ยืนตัวแข็งกระพริบตาปริบ
“อา...นายรู้จักกับจุนฮงด้วยเหรอ”
“อืม ฉันเคยอยู่กับจุนฮงพักนึง”
“พี่เขาคงไม่ได้...”
“พี่ฮิมชานบอกว่านายเคยชอบจุนฮง”
“นั่นไง...แม่งเอ๊ย เล่าให้ฟังจริงๆด้วย” คนตัวสูงกว่าสบถแล้วเอ่ยต่อ "คือ มัน แบบว่า จะเล่ายังไงดี"
“ช่างเหอะ ฉันไม่ได้อยากรู้รายละเอียด” ท่าทางเก้ๆกังๆไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไรของคนตรงหน้ามีผลให้รู้สึกแปลบๆในใจจึงตัดบทให้จบเรื่อง
“เรื่องมันก็นานล่ะแล้วฉันก็ไม่เคยชอบผู้ชายคนไหนอีก นายคงไม่ได้รังเกียจหรือกลัวอะไรฉันใช่ปะ”
“ไม่นิ แค่นายจ่ายตังค์ให้ครบก็พอ” ยองแจว่าทั้งที่ข้างในยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่ไม่ลืมเรื่องงานการของตัวเอง
“ฉันต้องไปเปิดร้านแล้วล่ะ นายอยู่บ้านดีๆก็แล้วกันนะ”
“จะไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ”
“เดี๋ยวไปซื้อกินข้างนอก”
“แต่ฉันเห็นในตู้เย็นนายมีของสดเหลืออยู่ ทำไมไม่ทำกินล่ะ
เดี๋ยวของก็หมดอายุก่อนพอดี”
“ฉันทำอาหารไม่เป็นหรอก ของที่อยู่ในตู้นั่นฉันก็ไม่ได้ซื้อ
พี่ฮิมชานเป็นคนซื้อติดไว้ เวลาพี่เขาแวะมาจะได้ทำข้าวให้ฉันกิน”
“โห นี่พี่เขาทั้งซื้อของให้ทั้งทำกับข้าวให้กินด้วย ใจดีจังเนาะ”
“ถ้าไม่ขี้บ่นก็ดีหมดแหละ เนี่ยบางครั้งพี่ฮิมชานกับพี่ยงกุกแล้วก็จุนฮงจะมากินข้าวกับฉันที่นี่ด้วยแหละ
แต่ไม่มีใครทำอาหารอร่อยเท่ากับพี่ฮิมชานอี...” เจ้าของห้องยกมืออุดปากทันทีที่รู้สึกว่าตนเองเผลอเอ่ยถึงคนที่สร้างแผลในใจให้อีกฝ่าย
“เออ ฉันไปเปิดร้านก่อนนะแล้วเจอกัน”
ยองแจโยนผ้าเช็ดผมไปบนราวไม้ที่ตั้งอยู่ริมผนังในห้องนั่งเล่นรีบหนีออกจากห้องนั่งเล่นไปหน้าบ้านเพราะไม่อยากเผชิญหน้าแต่ระหว่างผูกเชือกรองเท้าอีกฝ่ายกลับมากอดอกยืนมองข้างหลัง
“งานฉันมันต้องกลับดึกน่ะ ถ้ากลับมาไม่เห็นฉันไม่ต้องรอนะ
ตอนนี้ฉันมีกุญแจห้อง ไขเข้ามาเองได้”
“อืม...เข้าใจแล้ว” เจ้าของห้องรับคำแล้วเปิดประตูออกจากห้องไปปล่อยเพื่อนร่วมห้องให้โบกมือลาเก้อๆก่อนจะกลับเข้าห้องนั่งเล่นไป
-----------------------------------------------------
การอยู่ใต้ชายคาเดียวกันระหว่างทั้งคู่พ้นไปหลายอาทิตย์
ทว่าเจ้าของห้องกลับไม่ได้พบหน้าของเพื่อนร่วมห้องอีก สิ่งที่พอจะยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายก็เห็นจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าที่ซักตากไว้ตรงระเบียง
บ้านที่สะอาดสะอ้านตลอดเวลากับของกินที่แช่อยู่ในตู้เย็นซึ่งฝ่ายนั้นไม่ยอมเขียนชื่อไว้ทั้งที่ในข้อตกลงระบุชัดว่า
หากไม่เขียนว่าใครเป็นคนซื้อทุกคนมีสิทธิ์กินได้
ครั้นจะให้โทรไปหาก็ไม่กล้าเพราะไม่รู้จะโทรไปในฐานะอะไร ตอนที่ฮิมชานมาหาถามไถ่ถึงรูมเมทเขายังต้องแถไปว่า
เจอกันตอนกลางคืนก่อนเข้านอน...ความรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ต่างจากตอนอยู่คนเดียวทำให้เจ้าตัวคิดอยู่หลายทีว่า จะมีรูมเมทไปทำไม เมื่อสุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียว
เมื่อวันครบรอบจ่ายค่าเช่าบ้านเวียนมาถึงนั้นเป็นวันเดียวกับที่ยองแจปิดร้านเพื่อออกไปถ่ายรูปเหมือนทุกครั้ง
หลังจากได้รูปสวยสมใจตัวเองก็นั่งรถไฟกลับบ้าน
ระหว่างที่เปิดประตูเข้าไปในห้องชุดก็เห็นใครคนหนึ่งยืนหันหลังเปลี่ยนเสื้ออยู่ในห้องนั่งเล่น
โดยมีรอยสักลาดจากบั้นเอวข้างซ้ายลากยาวถึงบั้นเอวข้างขวา
...ใครคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนร่วมห้องของเขาเอง...
...แต่คนอย่างหมอนั่นดูไม่น่าจะชอบการสักอะไรเลย
ทำไมถึงสักรอยยาวขนาดนั้นกัน...
ชายหนุ่มยืนตัวแข็งเพักใหญ่แต่พอฝ่ายนั้นขยับตัว
ความกลัวทำให้วิ่งกระย่องกระแย่งหนีไปหน้าประตูแกล้งโยนรองเท้าทำเหมือนเพิ่งกลับเข้ามาสักพักจึงเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น
ทำทีเป็นเป็นสะดุ้งเมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำยืนยิ้มอยู่
“วันนี้ปิดร้านเหรอ” คำถามเริ่มการสนทนาจากคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานเอ่ยขึ้น
“อืม...ฉันหยุดทุกวันอาทิตย์”
“ถึงว่า เมื่อกี้ฉันแวะไปร้านกาแฟนายมาเห็นปิดก็สงสัยอยู่ว่านายไปไหน”
“มีอะไรถึงไปที่ร้านอ่ะ”
“จะบอกเรื่องที่ฉันโอนค่าเช่าบ้านให้น่ะ แล้วพอดีฉันไปทำงานที่อินชอนเพิ่งกลับมา
บอสเขาให้หยุดวันหนึ่งเลยว่าจะไปนั่งเล่นที่ร้านนายหน่อย”
“ไปทำอะไรถึงอินชอนอ่ะ”
“ไปร้องเพลงงานแต่งกับคุมเครื่องเสียงให้งานคอนเสิร์ตท้องถิ่นมา...คือออฟฟิศฉันเขารับดูแลอีเว้นท์งานดนตรีด้วยก็เลยถูกส่งไป
นี่ฉันซื้อของมาฝากนายด้วย ว่าแต่โทรศัพท์นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
ทำไมฉันส่งข้อความหา นายถึงไม่อ่านเลยล่ะ”
“ฮะ...นายส่งข้อความหาฉันเหรอ ส่งมาเมื่อไหร่”
“ส่งหาตั้งแต่วันแรกๆที่ฉันย้ายมาอยู่จนถึงตอนนี้แหละ
จริงๆอยากจะโทรหาเหมือนกันแต่ไม่รู้นายสะดวกคุยหรือเปล่าเลยส่งข้อความเอาแทน”
“ส่งมาเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ในคาทกไง นายไม่ได้เช็กดูเหรอ
ฉันส่งมาบอกนายว่าจะกลับกี่โมงนายก็ไม่อ่าน ฉันถามนายว่าอยากกินอะไรนายก็ไม่ตอบ
พอฉันส่งมาบอกให้กินของในตู้เย็นได้นายก็เงียบ
จนฉันเกือบคิดว่านายเกลียดฉันแล้วนะเนี่ย”
“คาทกเหรอ แต่ฉันไม่ได้เล่นคาทกนะ”
“อ้าว ถ้าไม่ได้เล่นทำไมพอซิงค์กับเบอร์มือถือแล้วไอดีมันขึ้นล่ะ”
“เมื่อก่อนฉันเคยสมัครไว้แต่ที่บ้านกับเพื่อนที่สวีเดนเขาเล่น Whatsapp กันก็เลยลบแอพนั่นทิ้งน่ะ”
“แบบนี้ถ้าโหลดมาใหม่ก็ไม่เห็นข้อความเก่าสิ”
แดฮยอนพูดคล้ายบ่นกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเดินตรงมาหาฝ่ายที่สะพายกล้องฟิล์มอยู่ตรงคอแล้วยัดมันใส่ลงมือขาวนั้น
“นี่ ฉันให้ดู เผื่อนายไม่เชื่อว่า ฉันส่งข้อความหานายเยอะแค่ไหน”
ยองแจเหลือบตามองเจ้าของโทรศัพท์ครู่หนึ่งจึงค่อยๆใช้นิ้วสไลด์ข้อความขึ้นไปจนถึงด้านบนแล้วไล่อ่านข้อความที่มีทั้งถามสารทุกข์สุกดิบ
รายงานเวลาการกลับหรือออกจากบ้าน เรื่องทำความสะอาดไปจนถึงบอกให้กินของที่ตั้งใจซื้อมาให้กินบำรุงในตู้เย็นแต่ที่ทำให้หน้าร้อนเสียจนต้องเม้มปากแน่นก็ในตอนที่เห็นข้อความสุดท้าย
...คิดถึงนะ...
เจ้าของห้องเกือบจะหลุดยิ้มออกมาแล้ว
ถ้าไม่เห็นข้อความจากคนอื่นๆหลายข้อความเด้งขึ้นมาโดยต่างมีคำว่า
คิดถึงเหมือนกัน ปรากฏหรา
“เพื่อนนายส่งมาบอกว่าคิดถึงแน่ะ” พอบอกจบก็ยื่นโทรศัพท์กลับไปหา ริมฝีปากอิ่มเชิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวนึกด่าตัวเองที่หลงดีใจไปกับข้อความที่เขาส่งหาคนอื่นไปทั่ว
ลองนึกดูดีๆ ก่อนหน้านี้ที่เคยเอาชื่อของอีกฝ่ายมาเสิร์ชหาในอินสตาแกรมก็เจอแต่ภาพไปกับคนนู้นคนนี่ตลอดเวลา
“นายเป็นอะไร โมโหอะไรเหรอ”
ฝ่ายที่เฝ้าสังเกตเห็นอาการบึ้งตึงที่เก็บไม่อยู่ของอีกคนเข้าก็ถามอย่างเป็นห่วง
มือใหญ่ยื่นไปจะจับมือที่กำลังกุมอยู่ตรงขมับแต่ถูกปัดทิ้งอย่างแรง
พลันความเงียบเข้าครอบคลุมทั้งห้อง...คนตัวสูงเลิกคิ้วมองมือที่ถูกตีจนแดงเถือกสลับกับเพื่อนร่วมห้องที่ก้มหน้าแกะเล็บอย่างไม่เข้าใจ
“ขอโทษ แต่ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ชอบให้ใครแตะตัว ขอตัวก่อนนะ
ฉันจะไปเก็บของ” เจ้าของห้องบอกแล้วเดินผ่านหายเข้าห้องนอนไป
หลังปลดกล้องจากคอ กรอฟิล์มกลับดึงออกจากเครื่องและทำความสะอาดเก็บมันเข้ากระเป๋าเรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนหงายมองเพดานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังปลดกล้องจากคอ กรอฟิล์มกลับดึงออกจากเครื่องและทำความสะอาดเก็บมันเข้ากระเป๋าเรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนหงายมองเพดานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
...ทำไมถึงทำอย่างนั้นกันนะ...
ความจริงเขาควรจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่า ไม่มีสิทธิ์จะรู้สึกอะไรเพราะสถานะก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมบ้าน
แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหงุดหงิดเวลาที่เห็นฝ่ายนั้นปฏิบัติกับเขาเหมือนกับคนอื่นซึ่งมันเป็นมาตั้งแต่ครั้งยังเรียนร่วมคณะเดียวกัน
บ่อยครั้งที่ห้ามความโกรธของตัวเองไม่ได้
เลยต้องปลีกตัวมานั่งเสียใจอยู่คนเดียวพร้อมกับบอกตัวเองให้ตัดใจเลิกชอบไปเสียทีจะได้ไม่อารมณ์เสียอยู่แบบนี้
แต่พอเขามาคุยด้วย ยื่นขนมให้ก็ลืมความรู้สึกนี้ไปทุกที
...เราเป็นแค่ก้อนกรวด
คิดหวังอะไรในดวงตะวันเจิดจ้าแสนไกลนั่นได้ที่ไหน...
...แค่เขายื่นน้ำใจมาให้ก็บุญแค่ไหนแล้ว...
ระหว่างคิดโทษตัวเองเสียงเคาะประตูเรียกให้หันไปหาบานประตูก่อนที่จะได้ยิน
เพื่อนร่วมบ้านร้องให้ออกมากินขนมเลยตะโกนกลับไปว่าไม่หิว
หากฝ่ายนั้นก็ดึงดันจะให้ออกไปอยู่นานจนอ่อนใจเลยยอมเปิดประตูไปหา
“บอกว่าไม่...” ขณะกำลังพูดคุกกี้สอดไส้ช็อกโกแลตกลับถูกป้อนเข้าปาก
“อร่อยไหม คุ๊กกี้นี่มาจากร้านร้านเบเกอรี่ดังในอินชอนเลยนะ แล้วก็เรื่องเมื่อกี้ ขอโทษนะ
ไม่ใช่ว่าจำเรื่องนายไม่ชอบให้ใครแตะตัวไม่ได้แต่ฉันเห็นนายกุมขมับนึกว่าจะเป็นลมเลยจะจับไว้แค่นั้นเอง
อย่าโกรธฉันนะ ดีกันได้หรือเปล่า” ประโยคเจือแววน้ำเสียงเว้าวอนกับแววตาอ้อนขอความเห็นใจน้อยๆบนดวงหน้าแต้มยิ้มบางที่ยื่นมาใกล้ทำให้ใจคนเห็นเข้าอ่อนยวบ
...มาแบบนี้จะเอาอะไรไปใจแข็งเล่า...
“ฉันไม่ได้โกรธซะหน่อย”
“จริงอ่ะ ไม่ได้โกรธแน่นะ...ถ้าไม่โกรธก็ออกมาดูของฝากที่ฉันซื้อมาด้วยกันสิ”
“รู้แล้ว”
เจ้าตัวยู่ปากแต่ก็ยอมเดินตามหลังเข้าไปในห้องครัวที่มีข้าวของวางบนโต๊ะกินข้าวเต็มไปหมด
“นี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”
“ฉันซื้อมาฝากพี่ที่ทำงานด้วยนะ...ของของนายอยู่ในนี้”
พูดแล้วถุงกระดาษใบใหญ่ก็ถูกส่งมาให้ เมื่อคนได้รับเปิดออกดูก็เห็นขนมจากไชน่าทาวน์สองกล่อง
แม่เหล็กลายภาพวาดแปลกตาสามชิ้นแพ็กรวมกับโปสการ์ดภาพวาดอีกปึกใหญ่ ปิดท้ายด้วยตุ๊กตาลูกแมวสีสวาทนอนบิดขี้เกียจกับลูกไก่สีเหลืองทำปากเบิ่นกอดสตอเบอร์รี่ไว้ในอก
“ฉันไม่รู้ว่านายชอบอะไรก็เลยซื้อของที่น่าจะแต่งร้านได้ ส่วนตุ๊กตานั่นฉันไปยิงปืนชิงรางวัลมา"
“ขอบคุณนะ” ฝ่ายได้รับของฝากอ้อมแอ้มตอบรู้สึกหน้าร้อนจนไม่กล้าหันไปหาคนที่เดินมาเท้าแขนบนโต๊ะมองอยู่ข้างๆ
ได้แต่ลูบหัวตุ๊กตาลูกไก่ในถุงไปมา
“ตอนกลับจากร้านกาแฟของนายฉันซื้อของกินมา นี่ก็เที่ยงแล้ว
กินข้าวด้วยกันเหอะ” เพราะเห็นเจ้าของห้องยืนลูบตุ๊กตาไม่วางมือเลยหิ้วของบนโต๊ะวางกองตรงมุมหนึ่งบนพื้นครัวแล้วหันไปยกสำรับอาหารที่มีข้าวสวยร้อนๆสองถ้วย
แกงกิมจิเต้าหู้ หมูเปรี้ยวหวานกับเต้าหู้มาตั้งแทนที่ “ฉันค้นในเน็ตหาร้านอร่อยในย่านนี้ถึงซื้อมาเลยนะเนี่ย”
คนซื้อกระตือรือร้นนำเสนอของที่ซื้อมา แววตาเป็นประกายกับยิ้มกว้างๆนั้นทำให้อีกฝ่ายกัดปากเพราะกลัวเสียน้ำใจแต่ไม่อยากฝืนกินอาหารที่ทำให้แพ้
“ฉันกินเต้าหู้ไม่ได้ ฉันแพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง”
“จริงดิ...เวรกรรม ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่านายแพ้อาหารพวกนี้ เอาไงดี นายหิวหรือยัง
โทรสั่งอะไรมากินไหมหรือจะให้ฉันออกไปซื้อมาใหม่ให้ดี” สีหน้าของเพื่อนร่วมห้องเครียดขึ้งจริงจังกระทั่งแววตายังกังวล
“ไม่เป็นไร ฉันมีข้าวแล้ว พี่ฮิมชานทำไว้ให้”
“พี่ฮิมชานเขามานี่เหรอ”
“ไม่ได้มาบ้านหรอกแต่ไปที่ร้าน มาถึงก็เอาของกินที่ทำไว้มาให้เพียบ สงสัยจะเครียดเลยทำกับข้าวเยอะแยะขนาดนี้”
“พี่เขาดีกับนายจัง...กับฉันเขาไม่เห็นเคยทำอะไรแบบนี้ให้เลย
เวลาโทรหาทีถ้าไม่เรียกไปดื่มก็ตามให้มาช่วยขับรถไปส่งพี่เขาที่บ้าน”
“ก็บอกแล้วว่า พี่เขาเป็นพ่อคนที่สาม...ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลนะ
พี่เขาบอกว่า ถ้าแก่ไปไม่มีใครกันทั้งคู่ให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เอาด้วยหรอก
ชอบขี้บ่น ไปอยู่ด้วยหูแตกพอดี”
“ฮ่าๆ พี่ฮิมชานก็พูดมากจริงๆนั้นแหละ
ถ้าไม่อยากอยู่กับเขาก็หาแฟนแล้วแต่งงานซะสิ”
“แฟนอ่ะนะ...มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆสักหน่อย ยิ่งกับคนอย่างฉันด้วย ไม่มีใครชอบฉันมากพอจะทนกับนิสัยของฉันได้หรอก
ขนาดเพื่อนยังไม่ค่อยมีเลย” คนตัวผอมว่าละมือจากตุ๊กตาลูกไก่เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาอาหารในกล่องที่เรียงซ้อนกันจนเต็มช่องแช่ชั้นบนออกมาเทใส่จานยัดเข้าไมโครเวฟ
...เพื่อนก็มีแค่รุ่นพี่รุ่นน้องสามคนนั้นแหละ...
ท่าทางเฉยชาราวคุ้นชินชีวิตเช่นนี้ดี หากแววน้ำเสียงเจือความเศร้าอย่างไม่ตั้งใจทำให้ฝ่ายที่ยืนมองแผ่นหลังผอมบางเสียจนไม่เหลือเค้าอ้วนใหญ่เช่นอดีตรู้สึกได้ถึงความเหงา
“ฉันก็เพื่อนนายนะ”
คนที่อุ่นอาหารอยู่ชะงักมือที่กำลังดึงกล่องอาหารจากในไมโครเวฟลงในจาน
คำว่าเพื่อนจากอีกฝ่ายนั้นสะท้อนลึกจนตัวชาได้แต่แค่นยิ้มออกมา
“นายไม่ใช่เพื่อนฉันซะหน่อย”
“เอ้า ทำไมพูดงี้เล่า”
“ดวงตะวันน่ะเป็นเพื่อนกับก้อนกรวดไม่ได้หรอก มันไม่เสมอกัน”
“อะไร ดวงตะวันกับก้อนกรวดอะไรกัน”
“อย่าทำความเข้าใจเลย” คนผอมเหลียวหลังมาหาโดยมีอาหารอยู่ในมือ “คนอย่างนายไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“ก็พูดให้เข้าใจสิ
“ฉันหิวแล้ว...ฉันจะกินข้าวล่ะ” อีกฝ่ายตัดบทเสียดื้อๆ
หยิบช้อนตักข้าวหน้าหมูผัดซีอิ้วเข้าปากเงียบๆ ปล่อยเพื่อนร่วมห้องให้ลากเก้าอี้ที่สอดใต้โต๊ะออกมานั่งโดยไม่มองหน้าอีกเลย
แดฮยอนจ้องคนตัวผอมที่ก้มหน้าก้มตากินเหมือนไม่มีใครเลยสักคนอยู่ในห้องพร้อมกับมือที่เอื้อมไปหมายจะลูบหัวทุยๆนั้นแต่นึกได้ว่าเจ้าตัวไม่ชอบให้ใครแตะตัวจึงหดมือกลับมาวางบนโต๊ะ
แม้จะไม่เข้าใจในการกระทำหรือคำพูด ทว่าความรู้สึกในใจสัมผัสได้ถึงความเศร้าก็ทำให้เป็นห่วงและสำนึกผิดที่มีส่วนทำให้อีกฝ่ายโดดเดี่ยวตั้งแต่สมัยเรียน
“นายจะบอกว่าฉันไม่ใช่เพื่อนนายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นายเป็นเพื่อนของฉันนะ...เอาเป็นว่าต่อไปฉันจะกลับบ้านทุกวันแบบให้นายเห็นหน้า เดี๋ยวฉันจะโหลด Whatsappอะไรนั่นไว้ในเครื่องด้วย จะได้ส่งข้อความหานายได้
ถึงฉันจะสำมะเลเทเมาไปหน่อย แต่ฉันใส่ใจนายมากกว่าที่นายคิดนะ” ชายหนุ่มกล่าวยาวเหยียดถึงแผนที่จะทำต่อไปในการอยู่ร่วมกันและทำให้มือผอมหยุดตักข้าวในจานไปทันที
ตาเรียวละจากอาหารตรงหน้าเงยไปยังใบหน้าระบายยิ้มกว้างของคนที่เท้าคางอยู่ตรงข้ามนิ่งงัน
ณ เวลานั้นความเงียบแทรกซึมระหว่างคนทั้งคู่ก่อนที่เสียงหัวใจของคนได้เพียงมองจะค่อยๆเต้นแรงตามการเดินของเวลา
...ถ้าอยู่นานกว่านี้ล่ะก็ หมอนั่นต้องได้ยินเสียงหัวใจเขาแน่...
ยองแจรวบช้อนส้อมวางลงในกล่องข้าวที่ยังเหลืออาหารอยู่เกินครึ่งก่อนจะลุกพรวดจากเก้าอี้หันหลังเดินหนีไปเสียเฉยๆ
“เฮ้ย ข้าวยังกินไม่หมดเลย จะไปไหนเนี่ย”
“ห้องน้ำ” คำสั้นตอบห้วนพร้อมกับการวิ่งหลังไวๆหายไปทำให้แดฮยอนได้แต่มองประตูห้องครัวที่เพื่อนร่วมห้องเพิ่งหายจากสายตาไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
...ถึงจะแปลกไปหน่อยแต่ก็น่ารักล่ะนะ...
🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣แวะคุยกันหน่อย🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣
ตัดตอนมาก่อนนะคะ เห็นเค้าความดยอนที่ดีกับทุกคนไปทั่วยัง ใจร้ายเนาะ
ความสัมพันธ์จะค่อยเป็นไป แต่ตอนหน้าดยอนเมากลับมา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ฝากคอมเม้นกับติดแท็กด้วยนะคะ
10 Comments
คุณยูคนแปลกดูมีโลกเสมือนจริงไว้คุยกับตัวเองตลอดเวลา 555555 แต่ก็ตามนั้นถึงจะแปลกไปหน่อยแต่ก็น่ารักล่ะนะ
ตอบลบสมกับที่ยองแจบอกฮิมชานขี้บ่นบ่นทุกเรื่องจริงๆ ยองแจคนซึนอยากให้แดฮยอนไล่ต้อนให้จนมุมจริงๆเลยรุกให้หนักเอาแบบให้หนีไม่รอดเลยนี่อะไรพอใจเต้นแรงเอะอะเดินหนีเอะอะเข้าห้อง แดฮยอนก็เหมือนจะรู้นะว่ายองแจรู้สึกยังไง ถ้ายังไม่รู้ก็ช่วยรู้เร็วๆหน่อยยองแจจะได้เลิกเหงาเลิกเศร้าสักที
ตอบลบฮือออออ ตามมาเม้นต่อในนี้ อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของยองแจเลยล่ะค่ะ ทั้งเหงาทั้งเศร้าอารมณ์แปรปรวนด้วยเนาะคนเรา 😂
ตอบลบแต่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ แด้พยายามเข้านะเป็นเพื่อนกับคุณยูชวนคุย ป่วนเยอะๆ รักยองแจเยอะๆนะ เอาให้คุณยูคิดมากไม่ได้ไปเลย
ยองเเจเก็บความรู้สึกไว้ข้างในตลอดเลยㅠㅠ เเดฮยอนห้ามทำยองเเจเสียใจนะ ดูเเลดีๆด้วย ไรต์สู้สู้น๊า
ตอบลบงื้ออออออออออออออออออออออออออออออออ
ตอบลบแด้น่ารักมากอ่ะ แต่แอบสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรกับนางในอดีต หรือเราอ่านไม่ละเอียดเอง งึ
เรื่องที่ขบ้านนางไม่โอเคหรือนางไปทำอะไรใครไว้
ขออย่างเดียวอย่าลามมาหายองแจตอนหลังนะ ไม่งัั้นจะจับยองแจตีก้น งอแงสามระดับ
ยัยนี่ก้น่ารักละเกิ๊นนน โอ๊ยยยย หนู หนูต้องเลิกคิดว่าเพื่อนร่วมห้องเป็นแสงเจิดจ้าอะไรนั่นนะลูก ดึงมันลงมาอยู่ข้างล่างยบ้าง อยู่บนฟ้านาน ดำเป็นตอตะโกแล้วนั่นอ่ะ...
รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ได้คาดหวังว่าดอนจะขี้เมาแล้วหื่นเลยนะ ไม่เลยจริงจริ๊งงงงง
นุ่มนิ่มกับกองทัพตุ๊กตาหมีน้อยยย แงงง น่ารักกก อะไรคือการเก็บคำพูดเพื่อนร่วมห้องมาคิดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนลูก หนูเขินได้แต่หนูต้องพักผ่อนนะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปอีก
ตอบลบชอบความสัมพันธ์ของพี่ฮิมชานกับยองแจ มีแซะ มีกัด มีแขวะและมีความห่วงใยแทรกอยู่ตลอดๆ ตลกตอนที่นุ่มนิ่มแถเรื่องแดฮยอนแทบไม่ทัน พี่ฮิมมีความทันน้องอะค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่านุ่มนิ่มจะรอดไปได้สักกี่น้ำ ยังไงพี่เค้าต้องจับความรู้สึกน้องได้แน่ๆ เราจะรอวันนั้น
ชอบที่เวลายองแจ บ่นว่าพี่ฮิมชานให้แดฮยอนฟังจังค่ะ คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่น้องเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าแดฮยอน บ่นพี่เค้าแล้วลืมเขิน 555
จริงๆแล้วถ้าน้องเหงาก็โทรหาแดฮยอนได้นะ สงสาร ถ้าหาเหตุผลในการโทรไม่ได้ก็โทรไปทวงค่าเช่าห้องไรงี้ไหม 555 ปล่อยตัวเองนั่งจมกับความรู้สึกแย่ๆตั้งเกือบอาทิตย์ ตลกตรงที่บอกว่ายืนตัวแข็ง ดีนะคะที่น้องไม่เป็นลมไปซะก่อน อะไรคือการวิ่งกระย่องกระแย่งกลับไปที่หน้าประตู ถถถ ยองเอ๊ยย
บทนี้แดฮยอนได้คะแนนความสงสารจากเราค่ะ เราว่ายองแจใจร้ายกับดอนเกินไป หนูอย่าปัดมือพี่เค้าทิ้งเลยลูกพี่เค้าเป็นห่วงหนูไง ฮืออออ แล้วก็เข้าไปเก็บตัว นั่งกลุ้มคนเดียว ถึงสุดท้ายแล้วจะไม่แคล้วแพ้ลูกอ้อนคุณเพื่อนร่วมห้องก็เถอะ ตัวก็นุ่มนิ่มทำไมถึงปากแข็งละยองแจ รู้สึกยังไงก็บอกเค้าไปเถอะ
ประโยคเจ็บปวดของบทนี้คือ นายไม่ใช่เพื่อนฉันซะหน่อย กับอย่าทำความเข้าใจเลย คนอย่างนายคงไม่มีวันเข้าใจหรอก วันนี้ดอนโดนไปหลายดอกมาก เป็นเราคงทรุดลงตรงนั้นแล้วอะค่ะ แต่คำพูดดอนนี่แอทแทคน้องแรงมาก นายทำดีมาก ขอยกนิ้วให้ และนายต้องเข้มแข็งนะดอน
เราว่ากว่าจะจบพาร์ทแดแจ สงสัยว่าต้องเปลี่ยนประตุห้องน้ำไปหลายสิบบาน เขินปุ๊บ เข้าห้องน้ำปั๊ป เอ็นดู
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนฟิคมาให้ติดตาม เราว่าต่อไปเราจะทำมิชชั่นนับว่าแดฮยอนชมยองแจว่าน่ารักไปกี่คำแล้ว อ่านแล้วยิ้มแก้มปริเลย เขินมากๆค่ะ
อ่านแล้วชอบคุณยูคนซึนมากเลยค่ะ เอะอะอะไรเดินหนีท่าเดียวเลย อยากให้แดฮยอนจัดหนักๆ สักที อิอิ
ตอบลบคำก็น่ารัก สองคำก็น่ารัก เขาจะปัดมือทิ้ง จะเดินหนีแดฮยอนก็ยังบอกว่าน่ารัก การที่ยองแจเจียมตัวอยู่อย่างงี้มันก็ดีนะ เพราะว่าตัวของแดฮยอนดีกับใครไปทั่วแบบนี้ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองจะเจ็บเปล่าๆ นี่ขนาดไม่เข้าข้างตัวเองยังเพ้อ ใจเต้นแรงขนาดนี้ ส่งมาว่าคิดถึงนะนี่เกินไป คือเขิน แต่ก็ส่งหาคนอื่นด้วย หายเขินเลย งอนเลย 55555 แดฮยอนเป็นใครมาจากไหน ทำไมดูมีเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือว่าอยู่ในพาร์ทอื่นแต่เราข้ามไป หรือเราลืมเอง เอาเป็นว่าหวังว่าอดีตคงจะไม่ส่งผลกระทบกับปัจจุบันมากนัก แล้วก็ภาวนาอีกอย่างนึงว่าแดฮยอนอย่าหยอดเยอะเลยถ้าไม่คิดอะไร สุขภาพกายก็ไม่ดี อย่าให้ยองแจป่วยจิตไปด้วยเล้ย อยู่ห้องเดียวกันก็คุยกันดีๆ เสี่ยฮิมยังวงวารกับการหย่าไม่หยุด ถึงเราจะขำแต่ก็สงสารเสี่ยอยู่เหมือนกัน สู้ๆหน่าเสี่ย ถ้าไปกับใครไม่รอดก็หาเด็กแถวนั้นแหละเน้อะ ถ้าไม่รอดจริงๆอยู่ดูแลยองแจ กัดกันแก้เหงาไปก็ได้ 5555555
ตอบลบอ่านแล่วเขิน แล้วก็เจ็บแทนยองแจ TT ชอบโมเม้นท์แอบรักฮือ
ตอบลบตอนอ่านถึง คิดถึงนะ แบบโอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยิ้มกว้างมากยิ้มเป็นบ้าคนเดียวฮรืออออ น้องแจชอบทำตัวน่ารักเนี่ยพี่แด้กำลังจะติดบ่วงหนูแล้ว ที่น้องแจบอกไม่ใช่เพื่อนนี่เพราะกำลังจะเป็นแฟนชั่ยไม่ชั่ยยยยง่อววว
ตอบลบขอบคุณฟิคนะคะ💛