LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 1

11:13



 ...ปัง...


เสียงกระสุนระเบิดพ้นปลายกระบอกปืนในความฝันปลุกร่างที่นอนคว่ำหันหน้าไปด้านข้างสะดุ้งตื่นลืมตาโพล่งด้วยเหงื่อท่วมตัว ความทรงจำอันเลวร้ายแต่หนหลังซ้อนในความฝันทำให้หัวใจสูบฉีดแรงจนแน่นไปทั้งอก หากเพราะแสงสว่างด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างสาดลงมากระทบหน้า ร่างที่นอนเกลือกอยู่กับเสื้อคลุมจำต้องสลัดทิ้งทุกความคิดพลิกตัวหมุนไปบนพื้นกระทั่งพ้นจากแนวแดด


“มาได้ไงวะ” คนที่นอนอยู่บนพื้นถามตัวเอง ขณะมองเพดานสีน้ำตาลอ่อนในห้องนั่งเล่นที่เริ่มชินตาพลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ออกไปดื่มกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและได้มีกิจกรรมทางกายกับสาวสวยคนหนึ่งในห้องน้ำ พอกลับมาที่โต๊ะอีกทีก็จำไม่ได้แล้วว่า กลับมาที่นี่ได้ยังไง


ระหว่างคิดทบทวนเรื่องราวเสียงโทรศัพท์มือถือกลับดึงความสนใจให้ต้องคลานตามเสียง ทันทีที่กดรับสายเสียงด่าก็กราดมาราวกับปืนกลจนคนได้ยินต้องดึงโทรศัพท์ห่างจากตัวอยู่หลายนาทีจึงดึงกลับมาแนบกับหูของตัวเองใหม่


“เข้าใจแล้วครับบอส ถึงออฟฟิศไม่เกินสิบโมงแน่นอนครับ” เขาตอบกลับความเกรี้ยวกราดของปลายสายเรียบร้อยก็ไสโทรศัพท์กลับไปที่เก่า พยายามตะกายลุกขึ้นแม้อาการเมาค้างจะแล่นเข้ามาเล่นงานจนปวดไปทั้งหัว แต่เจ้าตัวยังแบกสังขารเดินโซเซไปหยิบเสื้อผ้าใหม่จากในตู้มาจนถึงห้องน้ำ


กระจกเงาตรงอ่างล้างหน้าสะท้อนภาพของชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงหน้าเรียวรูปหัวใจประดับด้วยคิ้วเข้มหนาตัดปลายเฉียงอยู่เหนือนัยน์ตาทรงอัลมอนด์สีน้ำตาลเข้มที่มีไฝเม็ดเล็กอยู่ใต้ตาซ้ายรับกับจมูกโด่งทรงหยดน้ำและ ริมฝีปากที่ด้านบนหนากว่าด้านล่างนั้นมีความหล่อค่อนไปทางน่ารักราวกับแมวเชื่องๆ


จอง แดฮยอนดึงชายเสื้อยืดแขนยาวสีขาวลงมาปิดขอบกางเกงยีนส์สีซีดขาดเป็นหย่อม หยิบน้ำหอมโจมาโลนบนชั้นวางมาฉีดจนตัวหอมฟุ้งพลางยิ้มให้กับคนในกระจกเสมือนเป็นเพื่อนสนิทแล้วหยิบแปรงสีฟันสีน้ำเงินกับหลอดยาสีฟันเลียบแบนที่เสียบคู่กับแปรงสีฟันสีดำในแก้วพลาสติกสีขาวบนอ่างล้างหน้าเพื่อจัดการทำความสะอาดสิ่งสำคัญของร่างกายส่วนสุดท้าย


...เขาหากินด้วยการพูดและร้องเพลงด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าปากมีกลิ่นหรือไม่สะอาดก็แย่สิ...


ขณะพยายามใช้นิ้วรีดยาสีฟันที่อาจเหลือค้างอยู่บ้างแต่ทำอย่างไรก็ออกมาได้ไม่พอกับความต้องการ...เสียงถอนหายใจดังก้องในห้องน้ำก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเปิดประตูตรงไปยังห้องนอนเจ้าของบ้านซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทกันสมัยเขายังเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อไปขอยืมยาสีฟันหลอดใหม่ แต่เสียงตึงตังในครัวเรียกให้เขาเข้าใจว่าเจ้าของบ้านอยู่ในนั่นจึงเดินไปหา


“พี่พอจะมียาสีฟัน...” แดฮยอนเปิดประตูพรวดเข้าไปถามแล้วอ้าปากค้างในทันทีที่เห็นคนคุ้นเคยชายหญิงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าตรงมุมเคาน์เตอร์หยุดกิจกรรมเข้าจังหวะที่ดำเนินอยู่หันมามอง


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ผู้หญิงคนเดียวในนั้นแผดเสียงร้องดังคับห้องพร้อมกับเสียงสบถด่าไล่จนคนทะเลอทะล่าเข้าไปโดยไม่คิดรีบดึงประตูปิดร้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่...ทำอะไรไม่ถูกเลยได้แค่รอจนกระทั่งรุ่นพี่คนสนิทสวมเสื้อผ้าเดินออกมาหยิบยาสีฟันจากในตู้เก็บของข้างตู้เย็นโยนให้


เมื่อฟันสะอาดดีและฝ่ายหญิงจากไปอย่างไวด้วยความอาย ลงท้ายก็ถูกลากมานั่งฟังคำด่ารับอรุณในห้องนั่งเล่น


“ไอ้เหี้ยเอ๊ย...เข้าครัวตอนไหนไม่เข้า ดันมาเข้าตอนกูกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม”


“ผมไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าพี่จะพาหญิงมาบ้าน”


“มึงก็น่าจะใช้สมองหน่อยไหม ปกติกูปิดประตูครัวที่ไหน”


“บอสเขาโทรมาตามผมยิกๆ จะแปรงฟันแต่ยาสีฟันหมดพอดี ผมก็รีบมาขอยืม ไม่ทันได้คิดหรอกว่า ทำไมพี่ปิดประตูครัว” คนนั่งขัดสมาธิแกะเล็บตัวเองบนพื้นตอบ


“ทันคิดไม่ทันคิดกูไม่รู้...กูรู้แค่ที่กูอดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิงเป็นเดือนๆก็เพราะมึงมาอาศัยบ้านกูอยู่นี่แหละ”


“เอ้า จะมาโทษผมได้ไงเล่า ผมเคยไปเสือกกิจกามของพี่ซะเมื่อไหร่”


“แค่กูบอกว่า ไม่ได้อยู่คนเดียว มีน้องชายอยู่ด้วยอีกคน สาวๆเขาก็ส่ายหน้ากันหมด กว่ากูจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมมาบ้านได้เลือดตาแทบกระเด็น แต่มึงก็ทำเจ๊งหมด”


 “ครั้งหน้าพี่ก็บอกผมไว้ก่อนดิว่าพาสาวมา ผมจะได้ระวัง”


“กูคงทันได้บอกมึงหรอก คนอย่างมึงงานก็ทำไม่เป็นเวลา พอว่างหน่อยเอาล่ะสังสรรค์...คาทกหรือโทรศัพท์มึงก็ไม่รับ เมาเป็นหมาจนชาวบ้านต้องลากกลับมาแล้วจะให้กูเอาเวลาไหนไปบอกมึงว่า กูจะพาหญิงมา”


“โถเอ๊ย ผมขอโทษ เอางี้แล้วกัน ครั้งหน้าผมจะพยายามระวัง จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”


“ครั้งหนงครั้งหน้าเหี้ยอะไร...ไม่เอาแล้ว กูไม่ให้มึงอยู่บ้านกูแล้ว”


“โหย พี่ดงจิน...ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ จะให้ขอโทษอีกร้อยรอบก็ได้ หรือถ้ายังไม่พอใจ เอางี้ไหม ผมจะแนะนำสาวแจ่มๆให้พี่รู้จัก พี่อยากได้กี่คนว่ามา เดี๋ยวผมหาให้”


“กูหาเองได้”


“โอ๊ย อย่าตัดเยื่อใยขนาดนั้นดิพี่ ขอร้องเหอะ ให้ผมอยู่ต่อเถอะน้า...สัญญาว่าครั้งต่อไปผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก” แดฮยอนยกมือพนมไหว้ขอความเห็นใจพลางส่งสายตาอ้อนหมือนลูกแมวขออาหาร แต่ชายหัวโล้นหน้าดุตัวใหญ่โตที่ใครต่อใครในวงการดนตรีเรียกขานว่า บิ๊กเทรย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อจริงว่า ลี ดงจิน นั้นกลับยกมือดันหลังหัวอีกฝ่ายจนหน้าคะมำ


ดงจินรู้จักกับแดฮยอนตั้งแต่สมัยที่อีกฝ่ายยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย เหตุที่ได้รู้จักก็ด้วยต่างฝ่ายต่างเคยสอนดนตรีในโรงเรียนดนตรีเดียวกันและนิสัยเข้ากันได้ดีเลยสนิทกันจนถึงตอนนี้ก็เกือบเจ็ดปีได้


...สนิทในระดับที่รู้เช่นเห็นชาติกันแล้ว...


“ไม่ต้องมามองอ้อนกู...กูไม่หลงกลมึงหรอก”


“โห พี่ก็ สงสารผมเหอะ”


“เพราะกูสงสารมึงนี่ไงถึงยอมให้อยู่บ้านกูเป็นเดือนๆ ค่าชงค่าเช่าอะไรก็ไม่ต้องออก แทนที่มึงจะเกรงใจคิดขยับขยายก็ไม่ ยังหน้าด้านจะอยู่ต่ออีก”


“ถ้าพี่ให้ผมอยู่ต่อ ผมจ่ายค่าเช่าบ้านให้ก็ได้”


“กูไม่เอา”


“อ้าว...ไมอ่ะพี่”


“กูไม่อยากให้มึงอยู่บ้านกูแล้ว”


“ถ้าพี่ยังโกรธเรื่องเมื่อกี้อยู่ ผมก็เข้าใจแต่ไม่ถึงกับต้องไล่ขนาดนี้ก็ได้”


“พูดตรงๆนะ กูยอมรับว่ากูโกรธเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด...ถึงกูจะสนิทกับมึงก็เถอะ แต่มึงต้องเข้าใจด้วยว่า กูชินกับการอยู่คนเดียว ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ กูต้องการความเป็นส่วนตัว อีกอย่างตอนมึงจะมามึงบอกกูว่า หาที่อยู่ใหม่ได้จะไป แต่นี่เข้าเดือนที่สองแล้วมึงน่าจะมีที่อยู่ใหม่ได้แล้วนะ” คนเป็นพี่สาธยายเหตุผลของการต้องไสส่งรุ่นน้องคนสนิทออกจากบ้านไปในครั้งนี้


“ผมจะไปอยู่ไหนได้เล่า...พี่ก็รู้ว่าผมกลับบ้านไม่เป็นเวลา เคยจ่ายค่าเช่าเขาทันที่ไหน ล่าสุดผมก็โดนเจ้าของหอเขาโยนของออกมาเลยนะ ถ้าผมไปอยู่คนเดียวเองอีกแม่งได้ลงอีหรอบเดิมแหง่” เขาค้านพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ป้าเจ้าของหอพักที่เช่าอยู่เปลี่ยนลูกบิดกับล็อกประตูห้องใหม่ แถมยัดข้าวเขาทั้งหมดใส่กล่องเอามาตั้งไว้ข้างหน้าเพราะค้างค่าเช่าร่วมสี่เดือน


ชายหนุ่มอยู่คนเดียวตั้งแต่ยังเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายและมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจนต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ตลอด...ด้วยความที่ทำงานไม่เป็นเวล่ำเวลาเหมือนคนอื่น แถมยังมีงานเสริมให้รอกไปทำ อีกทั้งความที่มีเพื่อนเยอะและทนการอยู่คนเดียวไม่ได้ทำให้เขาไม่ค่อยจะได้กลับบ้าน อย่างดีก็แค่กลับมาแต่งตัวกับซุกหัวนอนตอนที่เพลียจัดเท่านั้น


...กว่าจะรู้ว่าต้องจ่ายค่าเช่าก็เลยเวลาไปนานโข...


“มึงก็อย่าอยู่คนเดียวสิวะ หาใครซักคนมาอยู่แชร์บ้านกับมึงสิ...รู้จักไหม รูมเมทน่ะ เอาแบบที่อยู่ติดบ้าน มึงจะได้ไม่โดนเจ้าของหอเตะออกมาอีก”


“หู้ย ผมจะไปหาจากไหนวะ...เพื่อนผมแต่ละคนแม่งก็นักเที่ยว ทำงานไม่เป็นเวลา ไม่ค่อยกลับบ้านกันทั้งนั้น”


“แล้วทำไมพวกมันไม่โดนเตะออกมาแบบมึง”


“ก็พวกมันรวยไง อยู่บ้านตัวเอง ไม่ได้เช่าอยู่แบบผม”


“มึงก็ทำงานเยอะแยะตั้งแต่สมัยเรียน ถ้าหยุดแดกเหล้าต่างน้ำ ป่านนี้มีเงินซื้อบ้านแล้ว”


"โห พี่พูดซะผมดูเลวเลย พี่อย่าลืมนะว่า ผมมันตัวคนเดียว หาเงินได้ก็เอาไปจ่ายค่าเช่า ค่ากิน ค่าเทอมหมดจะไปเหลือเก็บซื้อบงซื้อบ้านอะไรกัน” ผู้อาศัยพ่นคำพูดเร็วเป็นจรวดตบท้ายด้วยการถอนหายใจออกมา


“กูเห็นใจนะ...แต่มึงต้องเข้าใจกูด้วยดิ”


“สรุป ยังไงพี่ก็จะไม่ให้ผมอยู่ต่อใช่มะ”


“เออ”


“แล้วใจคอพี่จะให้ผมออกไปวันนี้เลยเหรอ...แบบนั้นมันใจร้ายเกินไปม้าง” แดฮยอนกระพริบตาปริบพลางยิ้มน้อยๆเหมือนแมวอ้อนมองรุ่นพี่ตัวเองเพื่อขอความเห็นใจอีกครั้ง


...ความจริงเขาไม่ใช่คนชอบอ้อนหรือทำอะไรน่ารักนักหรอกแต่เพราะมันใช้ได้ผลเสมอเลยติดนิสัยใช้มันต่อรองกับคนอื่นตลอด...


“กูให้เวลามึงหาที่อยู่ใหม่สองอาทิตย์”


“สองอาทิตย์เนี่ยนะ”


“ทำไม สองอาทิตย์ นับแล้วก็ตั้งสิบสี่วัน ตอนนั้นเงินเดือนมึงออกพอดีด้วย เดี๋ยวก็หาที่อยู่ใหม่ได้” ดงจินตอบกลับแทบจะมองผ่านลูกไม้ตื้นๆที่ชาวประชาไม่น้อยหลงกล


“ถ้าผมหาไม่ได้ล่ะจะทำยังไง”


“ก็นอนออฟฟิศมึงไปสิ”


“นอนออฟฟิศแบบมีเหตุผลเรื่องงานได้นะพี่ แต่มานอนเพราะไม่มีที่ซุกหัวนอนนี่ บอสผมได้ด่าเปิง”



“มึงก็หาที่อยู่ให้ได้สิวะ...ถ้ายากนักก็หาแฟนสักคนแล้วไปอยู่กับเขา ทีนี้ได้ทั้งเมียได้ทั้งที่อยู่เลย” ฝ่ายเสนอความคิดต่อท้ายด้วยการหัวเราะร่วน


“ตลกมากเหรอพี่” คนถามจากทำหน้าอ้อนเหมือนแมวเริ่มกลายเป็นเสือ


“เออ ยังไงก็เหอะ หาที่อยู่ใหม่พร้อมรูมเมทสักคนจะได้ไม่ลืมจ่ายค่าเช่า เท่านี้ก่อนนะ กูไปง้อสาวกูก่อน” ฝ่ายอายุมากกว่าตัดบทจบเรื่องรีบออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจเสียงทัดทานจากคนที่นั่งอยู่บนพื้นเลยแม้แต่น้อย


แดฮยอนจ้องบานประตูสีน้ำตาลที่ปิดลงพร้อมกับการจากไปของพี่ชายคนสนิทพลางยกมือลูบหน้าลูบจมูกพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกเครียดและยุ่งยากใจ


...จะไปหาที่อยู่พร้อมรูมเมทที่ไว้ใจได้ที่ไหนในสองอาทิตย์ทันวะ...
----------------------------------------------------
กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟโชยมาพร้อมกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงสีขาวภายในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินเริ่มรู้สึกตัว เปลือกตาขยับลืมช้าๆ ก่อนจะกระพริบถี่ในนาทีที่แสงจ้าจากหลอดไฟตรงเพดานส่องกระทบตา


ขวดน้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อแขวนอยู่บนเสาเหล็กถ่ายของเหลวผ่านสายยางห้อยระโยงเสียบเข้ากับเข็มแหลมที่เจาะคาอยู่ในเส้นเลือดตรงหลังมือผอม ดวงหน้าเรียวนวลและริมฝีปากอวบอิ่มใต้จมูกโด่งปลายรั้นน้อยๆของคนที่ซ่อนกายผอมใต้ผ้าห่มสีขาวแม้จะน่ารักหากก็เซียวซีดแทบเป็นสีเดียวกับกระดาษขาว


มืออุ่นของใครคนหนึ่งลูบหัวบนหมอนอย่างอ่อนโยน...ในไม่ช้าใบหน้าหล่อเหลาราวคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์กลับปรากฏชัดแก่สายตา ณ ตอนนั้นเองที่เสียงถอนหายใจจากฝ่ายที่ฟื้นสติกลับดังขึ้นท่ามกลางเสียงเครื่องช่วยชีวิตทั้งหลายภายในห้องฉุกเฉินนั้น


“เห็นหน้าพี่แล้วถอนหายใจนี่หมายความว่าไงวะ” เสียงเข้มจากชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำยืนกอดอกข้างเตียงถาม...นัยน์ตาคมทอดมองยังเจ้าของร่างผอมบางที่ขยับหัวหันมาจ้องผู้มากวัยกว่าด้วยดวงตากลมเรียวสีน้ำตาลเข้มดุจเหยี่ยว


“โรงพยาบาล”


“เออ”


“ผมมาได้ไง” คนเพิ่งได้สติถามต่อพลางทบทวนถึงสิ่งสุดท้ายที่ทำก่อนจะตื่นมาในอีกสถานที่


...จำได้ว่า ลงลิฟต์ไปเอาเมล็ดกาแฟที่สั่งจากบราซิลจากนิติบุคคลของอพาร์ทเม้นต์ที่ได้รับเป็นมรดกจากลุงผู้ล่วงลับและเพลินอยู่กับการบดเมล็ดกาแฟกลิ่นหอมฉุยอยู่ในห้องแล้วอยู่ๆโผล่มาโรงพยาบาลได้ไงวะ


“แกเป็นลม”


“อ้อ” พอได้ทำตอบก็ลากเสียงในคอด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ


“อ้ออะไร...ยังมีหน้ามาอ้ออีก นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่แกเป็นลมตอนอยู่บ้าน น่าจะครั้งที่สี่แล้วหรือเปล่า” การถามตามมาและเงียบไปครู่ด้วยฝ่ายผู้ถามหยุดครุ่นคิดจึงเอ่ยต่อ “พี่จำได้ว่าตอนพาแกไปหาหมอ เกล็ดเลือดแกต่ำ หมอเขาสั่งให้พักผ่อนเยอะๆไม่ใช่ไง ทำไมแกไม่เชื่อหมออีกแล้ววะ”


“พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่เชื่อหมอ” พอเปิดประเด็นถึงอาการป่วยคนบนเตียงลุกพรวดขึ้นมานั่งสวนคำทันควัน


“ทำไมพี่จะไม่รู้”


“ไม่รู้อยู่แล้ว พี่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับผมสักหน่อย”


“แกลืมไปหรือเปล่าว่า แกเคยอยู่บ้านพี่ตอนไม่สบาย”


“ตอนนั้นก็ตอนนั้นดิ...ตอนนี้ผมนอนเยอะขนาดไหนพี่ก็ไม่รู้หรอก”


“แน่ใจว่านอนพอ”


“พี่เห็นผมเป็นเด็กหรือไง บอกว่า นอนพอ นอนพอ...ทำไมไม่เชื่อคำพูดกันบ้าง”


“ก็นิสัยเด็กจริงนั้นแหละ ชอบเถียง ชอบดื้ออะไรไม่เข้าเรื่อง”


“ดื้ออะไรที่ไหน ผมก็นอนแปดชั่วโมงตามปกตินั้นแหละ”


“ถ้านอนปกติจริงยังเป็นลมอีก แสดงว่า แกต้องมีอะไรผิดปกติแน่...สงสัยพี่คงต้องโทรไปหาอายงจุนให้มาตรวจแกแบบละเอียดอีกรอบ” ฝ่ายแข็งแรงดีหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงทำทีเป็นกดหาเบอร์โทรศัพท์ทำให้คนป่วยร้องเรียกเสียงหลง


“พี่ฮิมชาน”


เจ้าของชื่อเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ปรายมองด้วยสายตาเย็นชาไปทางคนตัวผอมบางบนเตียงที่ยื่นมือเย็นมาจับข้อมือของเพื่อรั้งไม่ให้ต่อสายไปไหนชั่วนาทีก่อนมุมปากจะกระตุกยิ้มอย่างคนรู้ทัน และนั่นทำให้ฝ่ายที่ได้แค่มองเม้มริมฝีปากอย่างรำคาญใจหน่อยๆ


“อะไร” เสียงเข้มถามห้วน


“ช่วงนี้ผมติดซีรี่ย์ของเมกาอยู่สองสามเรื่อง”


“ติดพันก็เลยดูมันรวดเดียวสินะ” ฮิมชานบอกเสียงเรียบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเสริมความแล้วยิ้มกว้างอยู่สองนาทีก่อนจะหุบยิ้มตามด้วยการบ่นยาว


“ตอนอยู่ด้วยกันแกก็เป็นแบบนี้...ไอ้ติดละครพี่ก็ไม่ว่าหรอก แต่แกเป็นบ้าอะไรถึงต้องดูละครรวดเดียวจบ ทยอยดูมันคืนละตอนสองตอนไม่ได้หรือไง”


“ผมก็ทยอยดูอยู่เนี่ย”


“ทยอยดูยังไงถึงได้ล้มพับไปขนาดนั้น”


“ผมก็ดูแค่คืนละสองตอน  แต่ซีรี่ย์เรื่องหนึ่งมันมีตั้งหลายซีซั่นแล้วซีซั่นหนึ่งมันมีตั้งยี่สิบตอน”


“แกเลยนั่งดูจนหลับคาโซฟา พอตื่นอีกทีก็เช้าแล้วเลยไม่นอนต่อรีบไปเปิดร้านด้วยสิ”


“ก็ใช่ว่าผมจะโต้รุ่งดูมันทุกวันซะที่ไหน”


“ดูวันเว้นวันแบบนั้น ยังกล้าบอกนอนพอกับพี่อีกเหรอ”


“โธ่เอ๊ย แค่ดูซีรี่ย์เกินเวลามันจะอะไรนักหนาเล่า” คนป่วยโวยวายลั่นด้วยไม่รู้จะหาอะไรมาเถียง ด้วยเสียงที่ดังลั่นทำให้ทั้งห้องฉุกเฉินตกอยู่ในความเงียบรวมทั้งคนรอบข้างก็หันมาทั้งคู่เป็นตาเดียว


เมื่อรู้ว่าเผลอสร้างปัญหาเจ้าตัวเลยรีบก้มหัวพร้อมเอ่ยขอโทษไปทั่ว  โดยคนอายุมากกว่าได้แต่กอดอกพลางส่ายหัวอย่างอ่อนใจให้กับเด็กหัวดื้อที่รู้จักกันมากว่าแปดปีและสนิทกันในระดับที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว แม้แต่ช่วงที่ป่วยหนักก็เป็นเขาที่เฝ้าดูแล


ยู ยองแจเป็นคนประเภทอ่อนโยนและใจดีกับคนรอบข้าง แต่ถ้าสนิทด้วยแล้วจะรู้ว่า เจ้าเด็กนี้เป็นประเภทชอบเอาชนะและเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ยิ่งใครมาจี้จุดในเรื่องที่ไม่ชอบเป็นต้องเถียง ใช้เสียงโวยวายจนกว่าจะหาอะไรมาหักล้างไม่ได้นั้นล่ะถึงยอมจำนน


“นี่กี่โมงแล้วเหรอ” หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็เป็นคนป่วยที่เปิดปากก่อน


“เก้าโมง”


“สายแล้วนี่ พี่ไม่มีงานต้องทำเหรอ”


“มี”


“งั้นก็กลับไปทำดีไหม เดี๋ยวพี่ยงกุกจะว่าเอานะ”


“บอกมันไปแล้วว่า แกไม่สบาย”


“โว้ย ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะถึงต้องมีคนมาคอยดูแล”


“ยังมีหน้าพูดแบบนี้ หลังจากไม่เชื่อฟังหมอจนเป็นลมแถมโกหกพี่ด้วยเหรอ” คนเป็นพี่เลิกคิ้วขณะถามพร้อมกับที่อีกคนถอนหายใจออกมาอย่างซังกะตายแล้วเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย


“อยู่ๆทำไมพี่ถึงมาหาผมที่บ้าน”


“ยองวอนมันโทรหาแกแต่ไม่มีคนรับสาย มันเลยวานให้พี่มาดู”


“ฮะ...พี่ยองวอนรู้เรื่องนี่แล้วเหรอ” ยองแจโวยขึ้นมาอย่างลืมตัวด้วยคิดว่า หากพี่ชายแท้ๆของตนเองรู้เรื่องที่เขาเป็นลมในบ้านอีกได้โดนลากตัวกลับสวีเดนแน่


“ยังไม่รู้...หรือแกอยากให้รู้”


“ไม่อยาก”


“แล้วทำแบบนั้นทำไม”


“ผมจะหาความสุขด้วยการดูอะไรสนุกๆเลยไม่ได้หรือไง” ยองแจพูดเสียงอ่อย แก้มนวลอิ่มตูมจากการอมลมเหมือนเด็กถูกขัดใจ


“แกจะมีความสุขด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่แกต้องรู้ด้วยว่า แกไม่ได้สบายดีเหมือนคนอื่น ตอนแกจะย้ายมาอยู่คนเดียว แกสัญญากับพี่ว่า จะดูแลตัวเองอย่างดี จะไม่ทำให้ใครเป็นห่วง...พี่อุตส่าห์ไปคุยกับคุณลุงคุณป้ากับยองวอนมันตั้งนานกว่าเขาจะยอม แล้วดูแกทำ...ถ้าอยากกลับสวีเดนมากแต่ไม่มีค่าตั๋วบอกพี่ก็ได้ ไม่ต้องทำตัวเองขนาดนี้”


“ผมไม่ได้อยากกลับซักหน่อย...หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่กลับด้วย” คนช่างเถียงค้านเสียงแข็งเช่นทุกครั้งผู้ถูกนับเป็นพี่ชายพูดถึงการส่งเจ้าตัวกลับไปหาครอบครัวที่สวีเดน


“ทำไมถึงกลับสวีเดนไม่ได้ กลับไปมันจะอะไรหนักหนา”


“ผมเคยบอกพี่แล้วนี่...ถ้าผมยังอยู่สวีเดน ทุกคนที่บ้านก็จะห้ามผมทำนั่นทำนี่เหมือนผมป่วยมาก ผมไม่ชอบที่พ่อแม่ พี่ยองวอนกับพี่สะใภ้ปฏิบัติกับผมเหมือนผมอ่อนแอ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


“ไม่ชอบให้เขาทำเหมือนตัวเองอ่อนแอ แต่พออยู่คนเดียวก็ไม่ดูแลตัวเองเนี่ยนะ ถ้าวันนี้พี่ไม่ไปหาแกที่บ้าน ป่านนี้แกคงนอนสลบกลางบ้านอยู่เลยมั่ง”


“รู้ได้ไงว่ายังสลบอยู่ ผมอาจจะตื่นมาเปิดร้านตามปกติก็ได้”


“ยังอีก...นี่ต้องให้พี่โมโหให้ได้เลยใช่ไหม” ฝ่ายที่อดทนอย่างใจเย็นมาตลอดเริ่มขึ้นเสียงบ้าง คราวนี้คนเป็นน้องเลิกเถียงทำท่ารูดซิปปากนั่งเงียบ


“ยังไงก็เถอะ...พี่ไม่อยากให้แกอยู่คนเดียว”


“ถ้าไม่อยู่คนเดียวแล้วจะให้ผมไปอยู่ไหน...บ้านพี่อ่ะนะ ไม่เอาหรอก พี่ยังเคลียร์เรื่องหย่าไม่จบดีเลยไม่ใช่หรือไง”


“ไม่ต้องห่วงเรื่องหย่าพี่หรอก”


“หย่าแบบปกติก็ไม่ห่วงหรอก แต่นี่พี่ฮโยยอนเขาฟ้องหย่าพี่นะ ขืนผมไปอยู่ด้วยแล้วเขาเอาเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นฟ้องหย่าจะทำไงอ่ะ”


“ไร้สาระ...เขาจะเอาเรื่องแกไปเป็นประเด็นให้ทนายเขาเล่นได้ยังไง”


“ก็ถ้าเขาบอกผมเป็นคู่ขาพี่ขึ้นมาทำไงล่ะ” คนเป็นน้องยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพียงไม่ให้ตัวเองต้องกลับไปอยู่ในความดูแลของคนที่ตนเองนับถือเป็นพี่


...พี่ฮิมชานน่ะใจดี ชอบดูแลคนอื่นแต่บางทีก็ดูแลเกินความจำเป็นและเขาก็ไม่ใช่เด็กสามขวบที่ต้องมีคนคอยดูแลหรือถามว่า กินข้าวนะ นอนได้แล้วสักหน่อย...


“ถ้าไม่อยากอยู่กับพี่ก็หาใครสักคนมาอยู่ด้วยซะ...หารูมเมทมาอยู่ด้วยสักคน เวลามีอะไรพี่จะได้ให้เขาช่วยดู”


“รูมเมทอ่ะนะ พี่ก็พูดง่ายเนาะ ผมจะไปหาจากไหนได้...พี่ก็รู้ว่า ผมไม่มีเพื่อนที่เกาหลี นอกจากพี่ พี่ยงนัม พี่ยงกุกกับจุนฮง ผมก็ไม่รู้จักใครแล้ว หรือพี่จะให้ผมประกาศหา โหย นั่นยิ่งแย่ใหญ่ เกิดผมเจอคนไม่ดีปาดคอชิงทรัพย์ตอนหลับขึ้นมาจะทำไง”


“ลองหาดูก่อน ถ้าหาไม่ได้ค่อยบอก...พี่จะช่วยหาให้”


“เอาอีกล่ะ หาโจทย์ยากให้ชีวิตผมอีกล่ะ”


“ที่พี่ยุ่งเพราะห่วงแกหรอกนะ”


“ผมรู้แล้วน่า”


“ถ้ารู้ก็ดี...ตอนนี้ก็พักไป หมดน้ำเกลือถุงนี้เมื่อไหร่พี่จะไปส่งแกที่บ้าน”


“แหม รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอนุบาลเลย”


“เหนื่อยใจกับแกจัง ออกไปหาอะไรกินดีกว่า” ฮิมชานส่ายหัวให้กับคำประชดประชันแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแก่ใจห่วงคนที่สร้างเรื่องปวดหัวให้ “แล้วแกจะกินอะไร”


“ข้าวหน้าเนื้อ”


“เออ เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้” เมื่อได้คำตอบคนตัวใหญ่ก็หันหลังเดินออกไปปล่อยให้คนป่วยได้แต่มองตามพลางถอนหายใจออกมา


...รูมเมทน่ะเหรอ...


...ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะต้องมีมาก่อนในชีวิตเลย...
---------------------------------------------------------------
ประตูห้องสตูดิโอส่วนตัวที่มีป้ายชื่อติดไว้ว่า จอง แดฮยอนเปิดพรวดออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่เดินสะโหลสะเหลเพราะอดหลับอดนอนมิกซ์อยู่ในนั่นหลายวัน ในมือถือถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับถ้วยกาแฟกระดาษที่กินประทังชีพมาด้วย


“เหี้ย...ตกใจหมดเลย” เสียงจากใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้อีกฝ่ายสะบัดหัวเรียกสติแล้วเงยหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มตัวกะทัดรัดสวมเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำตัดผมทรงกะลาครอบและหน้าม้าเต่อมีจงอยน้อยงอนอยู่ตรงกลางหน้าผากถือกาแฟร้อนจากร้านกาแฟเจ้าดังอยู่ในมือก็ดึงมันออกมาดื่มเสียดื้อๆ โดยที่คนซื้อมาได้แต่กระพริบตาปริบ


“ขอบใจ” คำขอบคุณตามมาพร้อมริมฝีปากที่เหยียดกว้างอัตโนมัติโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่ากำลังยิ้มด้วยซ้ำ


“กูไม่ได้ซื้อให้มึง”


“อืม...ขอบใจ”


“ไอ้ห่า...มึงนี่เบลอหนักล่ะ ไม่ได้นอนมากี่คืนแล้วเนี่ย”


“สามหรือสี่มั่ง จำไม่ได้วะ”


“โห หนักหนาเหมือนกันเว้ย แล้วนี่งานผ่านหรือยัง”


“มึงก็ถามอะไรโง่จัง...ถ้าบอสไม่ให้ผ่านกูจะออกมาได้เหรอ”


“เออวะ...แล้วนี่จะกลับเลยหรือเปล่า”


“กลับดิ”


“กลับนี่ กลับบ้านพี่ดงจินใช่ไหม ตอนนี้มึงยังอยู่กับพี่ดงจินอยู่ใช่ปะ”


“เออดิ ทำไมอ่ะ”


"วันก่อนคุยโทรศัพท์กัน พี่เขาบอกกูว่า เขาให้มึงหาที่อยู่ใหม่”


“แหมะ ชอลตัวจ้อย มึงนี่รู้ข่าวไวสมกับที่เป็นคู่ขาพี่เขาเลย” อีกฝ่ายเรียกชื่อพร้อมเติมฉายาตามขนาดตัวให้เสร็จสรรพ


“ฮู้ย ไอ้เหี้ย พูดแบบนี้กูเสียหายหมด”


“ก็ชอบตัวติดกับพี่เขาไม่ใช่ไง”


“โวะ กูไม่อยากมีเรื่องกับคนนอนไม่พอหรอก แล้วตกลงมึงหาที่อยู่ใหม่ได้ยัง”


“ถ้ามันหาง่ายขนาดนั้นกูคงไม่อยู่บ้านพี่เขาเป็นเดือนๆหรอก”


“ที่พักทั่วโซลมีตั้งเยอะตั้งแยะ...มึงก็เลือกเอาสักที่สิ”


“ก็หาได้แต่ไอ้การหารูมเมทประเภทอยู่ติดบ้านเพื่อคอยเตือนหรือออกค่าเช่าบ้านก่อนตอนกูลืมมันยากเว้ย...พี่ดงจินแม่งบอกให้กูไปอยู่กับเพื่อน แต่เพื่อนกูแม่งก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน บางคนก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปหมดแล้ว”


“อ้อ มึงต้องหารูมเมทด้วยนี่เอง”ชอลผงกหัวขึ้นลงเริ่มเข้าใจในเหตุผล


“ว่าแต่มึงพอจะรู้จักใครที่เขาหารูมเมทอยู่บ้างปะ”


“ไม่รู้วะแต่ยังไงกูจะช่วยถามให้แล้วกัน”


“เออ ขอบใจมากนะ กูไปล่ะ” แดฮยอนโบกมือลาแล้วลงลิฟต์ออกมานอกบริษัทพลางยกมือปิดปากที่หาวหวอดใหญ่ แสงไฟจากห้างร้านและตึกรามส่องสว่างท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนที่โรยตัวลงมา อากาศนั้นเย็นลงทุกขณะจนเขาต้องซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่สวมทับเสื้อยืดแขนยาวสีขาว เท้ายังคงก้าวไปอย่างอ่อนล้าถึงขนาดที่ต้องแวะร้านกาแฟข้างทาง


ชายหนุ่มฟุบหน้าลงบนโต๊ะระหว่างรอให้พนักงานนำกาแฟที่สั่งไป ชั่วนาทีที่กำลังจะคล้อยหลับก็พอดีกับที่กาแฟร้อนในถ้วยเซรามิกส์สีน้ำตาลถูกนำมาเสิร์ฟ มือเรียวคนกาแฟดำในถ้วยไปมาปล่อยไอร้อนให้พวยพุ่งในอากาศ ขณะทอดสายตาออกไปยังท้องถนนด้านนอกในใจกลับรู้สึกเหงาขึ้นมา


...จะกลับบ้านก็ไม่รู้ว่าจะเจอพี่ดงจินถามเรื่องหาที่อยู่ใหม่อีกไหม


...ไม่ใช่ว่าเขาไม่หาที่อยู่ใหม่หรอกนะ แต่การจะหาที่อยู่โดยมีใครสักคนอยู่คอยช่วยจ่ายค่าเช่าบ้านมันยากเกินไปและการถูกถามด้วยคำถามเดิมสร้างแรงกดดันจนไม่อยากอาศัยนอนบ้านพี่ดงจิน แต่จะให้ไปนอนบ้านเพื่อนคนอื่นก็ยาก หรือจะเปิดโรงแรมนอนคนเดียวก็ออกจะเป็นเรื่องหนักหนาเกินไป


...เขาไม่ชอบอยู่คนเดียว ยิ่งต้องอยู่คนเดียวในเวลากลางคืนโดยไม่มีงานให้ทำ ส่วนใหญ่เขาจึงใช้เวลาหมดไปกับการสังสรรค์จนกว่าจะเมาหลับกันไปข้าง เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเขามักจะฝัน


...ฝันถึงความทรงจำเลวร้ายที่ฝังแน่นอยู่ในใจและการฝันถึงเรื่องนั้นทำให้เขาทรมานเหมือนจะขาดใจตายให้ได้


“ทำไมไม่มีคนโทรหาเลยว้า” เขาถามตัวเองพลางหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าออกมาดูถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองปิดเครื่องเพราะกลัวเสียงจะกวนตอนกำลังใช้สมาธิจึงยิ้มขำแล้วกดเปิดเครื่อง


“โง่จัง ปิดเครื่องแล้วใครจะโทรหาได้”


นาทีที่โทรศัพท์กลับมาใช้งานได้ก็สั่นและมีเสียงดังไม่หยุดไม่หย่อนจนลูกค้าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่คนละฟากถึงกับละสายตาจากหน้ากระดาษมองหาต้นเสียง


“โอ๊ย อะไรจะคิดถึงกันเยอะขนาดนี้” เจ้าของเครื่องพยายามกดปุ่มปิดเสียงเพื่อไม่ให้รบกวนคนรอบข้าง


“ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ” เสียงทุ้มเข้มจากใครคนหนึ่งบอกอย่างสุภาพ...เจ้าตัวหันไปหาชายหนุ่มที่ยืนค้ำหัวตัวเองอยู่ข้างเก้าอี้เพื่อจะขอโทษแต่พอเห็นหน้าว่าเป็นใครก็หลุดอุทานออกมาเช่นเดียวกับฝ่ายนั้น


“พี่ฮิมชาน” แดฮยอนถามอย่างตกใจด้วยไม่คิดว่าจะเจอรุ่นพี่คนสนิทที่เคยสอนพิเศษในโรงเรียนดนตรีเดียวกันสมัยที่เขายังเรียนอยู่มัธยมปลายและเป็นคนเดียวกับที่พาเหตุการณ์น่าอายมาให้จำไม่ลืมซึ่งไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่เพราะอีกฝ่ายยุ่งกับการบริหารธุรกิจอยู่


“แดฮยอนเหรอวะ...แดฮยอนแน่หรือเปล่าวะ”


“ใช่ ผมเองแหละ”


“มึงจริงดิ...โห ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอมึงในร้านกาแฟได้” คนเป็นพี่ว่าพลางลูบคางอย่างครุ่นคิด


“ทำไมอ่ะ...ผมจะดื่มกาแฟไม่ได้เหรอ”


“แต่แดฮยอนคนที่กูรู้จัก แม่งอยู่แต่ร้านเหล้าแถมมีเพื่อนล้อมเป็นฝูง ไม่เคยเห็นอยู่คนเดียวเลย”


“ผมเพิ่งเลิกงาน ยังไม่มีเวลาโทรหาเพื่อนว่าแต่พี่เถอะ ไหงมาอยู่ร้านกาแฟ ไม่กลับบ้านกลับช่องหรือไง”


“กูยังไม่ง่วงเลยมานั่งอ่านหนังสือก่อน กะว่าง่วงเมื่อไหร่ค่อยกลับ”


“ไม่ง่วงหรือไม่อยากกลับกันแน่”


“โถ แดฮยอน กูไม่ใช่พวกอยู่คนเดียวไม่ได้เหมือนมึงนะ...แล้วนี่นั่งคนเดียวแบบนี้ไหวใช่ไหม เดี๋ยวกูย้ายมานั่งกับมึงแล้วกัน” ฮิมชานตัดสินใจเดินไปหยิบกาแฟกับหนังสือมานั่งด้วยโดยไม่ถามความเห็นคนที่นั่งอยู่ก่อนสักคำ


“ใจคอจะไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าอยากให้พี่มานั่งด้วยไหม”


“ไม่ต้องถามหรอกกูรู้อยู่”


“ไอ้ที่ย้ายมานั่งกับผมนี่ไม่ใช่เป็นห่วงผมหรอกม้าง แค่เปลี่ยวใจก็เลยมานั่งด้วยอ่ะสิ...เป็นยังไงบ้างล่ะพี่ ช่วงนี้ได้ข่าวว่า กำลังฟ้องหย่ากับเมียคนที่สองอยู่ไม่ใช่เหรอ ตกลงว่าหย่ากันเรียบร้อยหรือยัง”


“อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย เอาเรื่องของมึงดีกว่า...เห็นพี่ดงจินเขาบอกว่า มึงโดนไล่ออกจากหอเลยมาอาศัยบ้านพี่เขาอยู่ชั่วคราวไม่ใช่ไง ไปทำอีท่าไหนถึงโดนเขาไล่ออกมาวะ”


“ผมไม่ค่อยกลับเลยลืมจ่ายค่าเช่า”


“ทำห่าอะไรถึงไม่กลับ”


“ก็ทำงานนี้แหละพี่ แต่ผมเพื่อนเยอะก็ต้องสังสรรค์กับเพื่อนด้วย รู้ตัวอีกทีก็ตื่นมาในห้องคนอื่น กลับมาบ้านทีก็รีบๆร้อนๆเลยลืมจ่ายค่าเช่า”


“ไอ้ห้องคนอื่นของมึงคงเป็นห้องหญิงที่มึงหม้อตอนไปแดกเหล้ากับเพื่อนใช่ปะ...มึงนี่จริงๆวะ สันดานไม่เคยเปลี่ยน”


“โหย อย่าเพิ่งด่าผมดิพี่ หรือถ้าพี่อยากด่านัก ด่าเสร็จก็ช่วยผมด้วยแล้วกัน”


“ช่วย...จะให้กูช่วยอะไรมึง”


“พี่พอจะรู้จักใครที่เขาต้องการรูมเมทช่วยแชร์ค่าเช่าบ้านบ้างปะ”


ฮิมชานย่นหน้าผากมองหน้ารุ่นน้องหนุ่มที่ทำหน้ากลุ้มใจอยู่เป็นนาที...พยายามชั่งใจใช้ความคิดตริตรองว่าสมควรจะบอกความจริงไปหรือไม่


“มันก็...”


“พี่มีใช่ปะ” คนเป็นน้องถามอย่างตื่นเต้น


“มี...แต่กูไม่อยากให้เขาอยู่กับคนอย่างมึง”


“อ้าว...พี่ ไอ้คนอย่างผมนี่มันยังไง”


“สำส่อน”


“โอโห พี่ ด่าโครตแรงเลย...ผมไม่ได้มั่วขนาดนั้นซะหน่อย สาวๆที่พี่เห็นเขาเข้ามาหาผมเองนะ อีกอย่างถ้าเขาไม่สมยอมมีเหรอผมจะกล้าทำ ผมก็มีสามัญสำนึกนะพี่ คุกก็ไม่อยากเข้าหรอก เพราะงั้นถ้าพี่มีคนรู้จักหารูมเมทอยู่ ก็บอกผมมาเหอะนะ” แดฮยอนว่าทำหน้าหงอยเหมือนแมวถูกทิ้ง สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ยอมแพ้เปิดปากบอก


“น้องกู...รุ่นน้องที่กูสนิทมาก เขาหารูมเมทอยู่”


“จริงดิ งั้นพี่บอกเขาได้เลยว่าผมจะไปอยู่ด้วย”


“ไอ้เหี้ย ยังไม่ทันให้เขาเห็นหน้าก็จะไปอยู่ด้วยล่ะ”


“ต้องให้เขาเห็นหน้าก่อนด้วย”


“เออ”


“บอกเขาหยวนๆหน่อยไม่ได้เหรอพี่ รับผมไปอยู่ด้วยเลยไม่ได้ไง”


“ไม่ได้...มึงจะรีบห่าอะไรนักหนา เดี๋ยวพ่อโบกเลย”


“ก็ผมไม่อยากอยู่บ้านพี่ดงจินแล้วไง เกรงใจเขา แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมพี่ดูห่วงเขาจัง”


“ต้องห่วงสิ เขาไม่เหมือนมึงนะ...น้องกูคนนี้เขาเป็นคนเรียบร้อย ใจดีถึงจะกวนไปบ้างก็เหอะ อ้อ เขาไม่ค่อยสบาย เป็นไทรอยด์ด้วย กูเลยอยากให้เขาได้รูมเมทที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่ปากสว่างโวยวายเก่งแบบมึง”


“โหย ผมก็เงียบเป็นนะพี่ เนี่ยถ้าพี่ให้ผมไปทำความรู้จักจนได้อยู่ด้วยนะ ผมสาบานเลย ว่าจะทำตัวดี จะให้รูดซิปปากไม่ให้มีเสียงเลยก็ได้”


กูพามึงไปให้เขารู้จักน่ะได้ แต่ถ้าเขาไม่โอเคที่จะอยู่กับมึงเนี่ย...มึงห้ามไปเซ้าซี้เขานะ โอเคไหม”


“เขาต้องโอเคแน่นอน...พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นใคร”


“ใคร”


“พี่ไม่รู้จัก แมวแดฮยอนหรือไง ใครเห็นเข้าเขาก็รักทั้งนั้น”


“มึงหลงตัวเองเกินไปเปล่าเนี่ย...คงไม่ทุกคนหรอกม้าง”


“ทุกคนดิ๊”


“หรือต้องให้กูพูดถึงจุนฮ...” ชื่อของใครอีกคนถูกเอ่ยถึงไม่ทันจบดี แดฮยอนถึงกับยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้


“โห ใจเย็นนะพี่นะ อย่ามาย้ำแผลเก่าผมดิ”


“เออๆ รู้ล่ะ เอางี้ กูจะนัดเขาให้มึงแล้วกันแต่มึงต้องสัญญากับกูนะว่าจะทำตัวดีๆ ไม่ปากไวมือไว ถึงเนื้อถึงตัวเขา ถ้าเขาเกิดไม่อยากให้มึงอยู่กับเขา ห้ามเซ้าซี้เด็ดขาดเลย ตกลงไหม”


“ตกลง” แดฮยอนพยักหน้ารับอย่างแข็งขันพลางยกกาแฟขึ้นดื่มด้วยความรู้สึกมั่นใจ


...ไม่ว่ายังไงต้องทำให้ฝ่ายนั้นประทับใจจนยอมให้เขาไปอยู่ด้วยให้ได้...
---------------------------------------------
ร้านกาแฟสไตล์มินิมอลเน้นโทนสีขาวน้ำตาลตกแต่งเรียบง่ายแต่อบอุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟที่เจ้าของร้านลงมือบดใหม่ด้วยความตั้งใจก่อนที่เสียงกระดิ่งตรงประตูจะเรียกความสนใจให้หันไปมองพร้อมเอ่ยต้อนรับ


“พี่เอง” ชายหนุ่มหน้าคมผิวเข้มยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นเชิงทักทายพลางยิ้มอบอุ่น


“พี่ยงกุก” เจ้าของร้านอุทานทันทีที่เห็นหน้าก่อนจะยิ้มกว้างตอบกลับ “มาได้ไงครับเนี่ย”


“พอดีมาทำธุระแถวนี้ก็เลยแวะมาหากาแฟดื่ม”


“แล้วพี่ฮิมชานล่ะครับ”


“มันจอดรถอยู่ เดี๋ยวตามมา”


“อ้อ” เขาร้องออกมาขณะตักเมล็ดกาแฟบดละเอียดใส่ขวดโหลแล้วหันทั้งตัวกลับมายืนตรงเคาน์เตอร์เพื่อรับออเดอร์ลูกค้าคนสำคัญ


ยองแจรู้จักกับยงกุกจากการแนะนำของพี่ฮิมชาน...เมื่อมองเพียงภายนอกจะรู้สึกได้ถึงอำนาจบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกเกรงอยู่มากแต่พอได้คุยกันก็รู้สึกประทับใจเพราะรุ่นพี่คนนี้เป็นผู้กว้างขวาง ไม่ว่าอยากรู้อะไรเพียงถามจะได้รับคำตอบที่ลึกซึ้งเลยคบหาเป็นพี่น้องกันเรื่อยมาและเคยถึงขนาดได้ดูแลคนรักของอีกฝ่ายมาก่อนด้วย


...เวลาอยู่กับพี่ยงกุกมันให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก...


“รับอะไรดีครับ อเมริกาโน่เย็นเหมือนเดิมหรือเปล่า”


“อืม” คำตอบรับนั้นดังในลำคอ


“ช่วงนี้พี่กับจุนฮงเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีใช่ไหม จุนฮงไม่ได้งอแงอะไรกับพี่ใช่หรือเปล่า”


“ไม่งอแงหรอก...เบบี้โรสเป็นเด็กดี ว่าแต่เราเถอะ เมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นลมอีกแล้วใช่ไหม” เสียงแหบต่ำถามอย่างห่วงใยซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างจากรุ่นพี่อีกคนโดยสิ้นเชิง


...พี่ยงกุกไม่เหมือนพี่ฮิมชาน วิธีปฏิบัติตัวเวลาที่เขาอยู่กับพี่สองคนนี้จึงไม่เหมือนกัน


...สำหรับพี่ยงกุกแล้วเขากลายเป็นคนใจเย็นและสุภาพอย่างมาก ถึงจะโดนว่ากล่าวตักเตือนกลับไม่รู้สึกโกรธ แต่ถ้าเป็นพี่ฮิมชานล่ะก็เป็นต้องเถียงกลับคอแทบเป็นเอ็น


“พี่ฮิมชานบอกใช่ไหมครับ แล้วพี่เขาบอกหรือเปล่าว่า เขาบังคับให้ผมหารูมเมท ไม่งั้นจะส่งผมกลับสวีเดนด้วย” พอสบโอกาสเจ้าตัวก็รีบฟ้องเป็นการใหญ่


“บอก”


“พี่เขาเผด็จการกับผมมากเลยใช่ไหมครับ”


555 มันไม่ได้เผด็จการหรอก มันก็แค่เป็นห่วงน่ะ มันเป็นห่วงทุกคนอยู่ โดยเฉพาะกับเรา มันห่วงมากที่สุดเลยรู้ไหม”


“ไม่เห็นต้องห่วงเลย ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”


“ก็เราไม่ค่อยสบายนี่...ขนาดพี่ยังเป็นห่วงเราเลย”พี่ชายผิวเข้มสบตาคนอ่อนกว่าและเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนเสียจนหัวใจของคนฟังเต้นไม่เป็นส่ำ


...จริงๆนะ พี่ยงกุกเนี่ยไม่ว่าจะอยู่กับเพศไหนก็ทำให้ชาวบ้านใจสั่นได้หมด...


“แต่ผมชอบอยู่คนเดียวนี่ครับ ถ้ามีใครอยู่ด้วยคงอึดอัดตายพอดี”


“เราก็ต้องหาคนที่เข้ากับเราได้สิ”


“ผมจะไปหาคนแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะครับ”


“เพื่อนเราไง...เราเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่ก็น่าจะมีเพื่อนไม่ใช่เหรอ”


“ไม่มีหรอกครับ...ตอนนั้นผมอ้วนฉุเป็นหมูตอน ไม่มีใครเขาสนใจผมกันหรอก บางครั้งยังโดนแกล้งด้วยซ้ำ”


“อย่างนั้นเหรอ”


“ก็เพราะผมไม่มีเพื่อนดีๆตอนเรียนเลยนี่แหละถึงหาใครมาอยู่ด้วยยาก...จะให้ผมไปประกาศหา ผมคิดว่า ไม่ไหวอ่ะ”


“ถ้าหาไม่ได้จริงๆ...เดี๋ยวพี่ช่วยหาให้เอาไหม”


“ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนพี่เปล่าๆ อีกอย่างพี่ฮิมชานบอกว่า เขาจะช่วยผมหา” ยองแจยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นพัลวันเพราะไม่อยากรบกวนใครเพิ่มก่อนจะละสายตาจากพี่ชายผิวเข้มหันไปมองพี่ชายผิวขาวที่ผลักประตูเข้ามาในร้าน


“พูดถึงก็มาเลย ตายยากแฮะ” ยงกุกว่าพลางหัวเราะ


“อะไร...นินทากูกันอยู่เหรอ”


“ใช่ นี่กูคิดว่าจะช่วยยองแจเขาหารูมเมท แต่เขาบอกว่ามึงจะหาให้...ก็ไม่รู้ว่าจะหาให้ได้ตอนไหน ลำพังตัวมึงเองยังไม่มีเวลาไปคุยกับทนายเรื่องฟ้องหย่าเลย”


ฮิมชานถลึงตาใส่เพื่อนซี้เมื่อได้ยินเพื่อนพาดพิงถึงเรื่องฟ้องหย่าที่ยืดเยื้อมานาน...ปากอ้าจะด่ากลับแต่ก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจแทน


“มึงนี่แม่ง...ทำไมต้องทำให้กูอยากด่ามึงต่อหน้าน้องมันด้วยวะ”


“ก็ไหนว่าไม่คิดอะไรแล้วแต่พอพูดขึ้นมาก็ออกอาการตลอด”


“โว้ย อยากคุยเรื่องนี้เก็บไว้ไปคุยวันหลัง ขอกูคุยกับน้องมันเรื่องรูมเมทก่อนได้มะ”


“ทำไม...พี่หารูมเมทให้ผมได้แล้วเหรอ” เสียงนุ่มแทรกถามขึ้นมา


"คือมันมีคนที่พี่รู้จักมันหารูมเมทอยู่แต่พี่ยังไม่อยากให้แกตกลงเลยนะ อยากให้แกได้เจอเขาก่อนค่อยตัดสินใจอีกที”


“พี่ก็นัดมาสิ...นัดมาเลย จะเอาวันไหน ยังไง เป็นวันนี้ พรุ่งนี้เลยไหม”


“เดี๋ยวก่อน ใจคอจะไม่คิดหน่อยหรือไง แกจะรีบไปไหนเนี่ย”


“ตอนนี้ยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องถูกส่งกลับสวีเดนตามความประสงค์ในใจพี่ก็พอ” ยองแจยู่ปากประชดประชันใส่เต็มที่และคนเป็นพี่ก็โต้กลับไม่ลดละ ปล่อยให้คนที่ถูกผลักออกจากบทสนทนากอดอกมองสองพี่น้องต่างสายเลือดเถียงกันใหญ่โตพลางส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มขำ


...สองคนนี้นี่เหมือนลิ้นกับฟันซะจริงๆ...



--------------แวะคุยกันหน่อย------------------


เปิดคู่นี้แล้วนะคะ ตอนนี้เป็นการท้าวความความเป็นมาของคนทั้งคู่เล็กน้อยว่ามาอยู่กันได้ยัง สำหรับคนอ่านบังโล่มาก่อน ระยะเวลาจะราวๆตอนเบบี้โรส 17 ค่ะ และดยอนเคยสอนดนตรีเบบี้โรสมาก่อนหน้านี้ด้วย ตอนหน้าแดฮยอนกับคุณยูจะเจอกันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ฝากคอมเม้นหรือติดแท็กด้วยน้า #ficlovetoxical 

You Might Also Like

10 Comments

  1. ยองแจน่ารักดูเป็นที่รักของทุกคนอยากให้เจอกันเร็วๆจังดูเหมือนว่าน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วนะ แดฮยอนก็ดูปากร้ายไม่เบาแถมมีปมในชีวิตเยอะจัง อยากรู้แล้วว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันจริงๆจะเป็นยังไง คนนึงก็ชอบเถียงส่วนอีกคนก็พูดมาก คงได้ตีกันตายแน่ๆ

    ตอบลบ
  2. บุคลิกน้องยองน่ารัก
    แล้วมามาอยู่กับแด้ จะไปรอดไหมเนี่ย หิๆๆๆ
    ปากร้ายมาก แด้เอ้ย คุณยูก็เถียงคอเป้นเอ้น เฮ้ออออ
    ชิอบบบบ คิดตามค่

    ตอบลบ
  3. โอ๊ะะะะะะ น่ารักมากกกกก แงงงงงงงงงงงงงงง ตอนแรกจะบอกว่าแด้ ย้ายมาบ้านเรานะอยู่ฟรี แต่ไม่ละ เราจะแฮปปี้กว่าถ้าเขาอยู่ด้วยกัล~

    ตอบลบ
  4. แค่บทแรกก็ชวนติดตามแล้วค่ะ เราชอบทั้งคาแรคเตอร์ของคุณยูแล้วก็แดฮยอนเลยค่ะ ดอนนี่ดูเป็นคนติดสังคมมาก เพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่กลับไม่มีคนดูแลเป็นตัวเป็นตนสักที แต่ก็เข้าใจเลยขนาดค่าเช่าบ้านยังลืมจ่ายเลยจะให้มามีแฟนแล้วต้องคอยดูแลก็คงจะยากหน่อย ส่วนคุณยูนี่แบบ งืออออออ ดูลูกคุณหนูนุ่มนิ่ม ยกเว้นตอนเถียงกับพี่ฮิมชานนะคะ แบบตอนเถียงนี่คือ หนูไม่ยอม หนูต้องชนะ หนูจะไม่กลับไปหรอก หนูแค่ดูซีรีส์ไปหน่อยเดียวเอง จะให้หนูกลับสวีเดนเลยเหรอ แต่น่ารักมากค่ะ หวังว่าถ้าเค้าสองคนมาเจอกัน คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากนัก อยากรู้ว่ายองแจจะแพ้ทางลูกอ้อนแบบแมวๆของแดฮยอนไหมรึว่าจะไม่ลงรอยกันตั้งแต่เจอครั้งแรก รอติดตามนะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับฟิคค่าาา

    ตอบลบ
  5. เราไม่แน่ใจว่าที่เราเม้นท์ไปมันขึ้นรึเปล่าอะค่ะ กลับมาดูอีกรอบแล้วเมนท์ไม่ขึ้น ฮื่ออออ เดี๋ยวเราเม้นท์ใหม่แล้วกันน้าา ถ้าซ้ำต้องขอโทษด้วยค่ะ จริงๆแล้วเรายังไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อนเลย เราตามมาจากแท็กแดแจ แต่เดี๋ยวจะไปตามอ่านคู่อื่นๆนะคะ ชอบการเปิดตัวบทแดฮยอนจังค่ะ ดูพวกติดเพื่อนแล้วก็ขี้เหงามากๆเหมือนกับตัวจริงเลย อยากรู้ปมของแดฮยอนจังมีสาเหตุอะไรทำไมถึงฝันร้ายขนาดนั้น ชอบเวลายองแจเถียงกับพี่ฮิมชานมากค่ะ ทำไมเป็นเด็กดื้องี้ อ่านแล้วอินเพราะว่าไรท์จับเอานิสัยของแต่ละคนมาเขียนในเนื้อเรื่องได้อย่างดีเลย ตอนน้องแจเถียงคืออยากเอามือบีบปากเล็กๆนั่น แบบมันเขี้ยว คนอะไรเถียงเอาเถียงเอา แต่ยังน่ารักได้ขนาดนี้ ถ้าเราเป็นพี่ฮิมชานคงได้แต่คิดว่า ทำไมตอนอยู่กับยงกุกไม่เห็นเถียงงี้บ้าง 5555 ขอบคุณมากค่ะสำหรับฟิค รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันไปค้างเป็นสแปม ขอบคุณที่คอมเม้นนะคะ ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออ

      ลบ
  6. สำส่อน คำเดียวสั้นๆ ง่ายๆ ถถถถถถ ตลกพี่ฮิม เห็นด้วยกับยองแจเลยค่ะพี่ยงกุกไม่ว่าจะกับใครก็ใจสั่น นี่อ่านเอง นี่ยังใจสั่น เขินเองเลย

    ตอบลบ
  7. MINNIIZAT9/3/60 20:53

    ยัยแมวขี้เมา (เขามีแต่แมวขี้เซา 5555) จะเมาไม่รู้เรื่องขนาดนี้ไม่ได้หรอกนะ
    อยู่กับพี่คนสนิท ขนาดไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องแบบนี้ยังสร้างปัญหาให้พี่เขาได้อีก
    มีความพยายามใช้ความแมวอ้อนพี่ดงจิน ดีนะว่าพี่เขาไม่หลงกลเอ็งน่ะ 55555555
    เป็นไงล่ะ เพราะยาสีฟันหลอดเดียวถึงกับต้องหาที่พักใหม่ ไม่รู้ควรจะสงสารหรือจะสมน้ำหน้าดี
    แต่ก็นะ ออกไปเปิดหูเปิดตา หาอะไรใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อาจทำให้เอ็งเจอเนื้อคู่ก็ได้นาจา
    พอ่านพาร์ทดยอนจบ เปลี่ยนมาพาร์ทยองแจนี่คนละฟีล น่าเอ็นดูไปคนละแบบ
    แต่โกดที่ยองแจไม่ดูแลตัวเองเลย ยัยหนูติดซีรีส์ มีความไม่นอนจนป่วยอ้ะ (นี่ก็เคยทำ 55555)
    พิฮิมชานทำเป็นเข้มหงึ ดุน้องใหญ่เลย ยัยน้องก็เถียงๆๆๆ น่าตีจริงๆ ถ้านี่เป็นพิฮิม ตีน้องไปแร้ว
    แล้วมีความไล่น้องหารูมเมท น่ารักขนาดนี้ให้ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ได้ยังไง เกิดถูกกินนี่ยุ่งเลย
    ละคิดดูว่าในอนาคตรูมเมทนางคงไม่ไกลไปจากคนแถวนี้อ่ะ อื้อหือนะ... 55555555555
    ในส่วนของแดฮยอนนั้นมีความบังเอิญเจอพิฮิมชาน มีความรู้จักกัน มีความจะแนะนำน้องให้รู้จัก
    โอยยยยยยยยยยยยยยย ไม่นะ จะให้ยัยแมวขี้เมาไปอยู่กับยัยนุ่มนิ่มจะดีเหรออออออ /ดีสิชุ้นชิป
    ทำเป็นโวยวายไปงั้นอ่ะ พอเขาไปอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี่ก็นั่งฟิน 5555555555555555

    เราเข้ามาอ่านแล้ววววววววววววววววววว อ๊ากกกกกก กว่าจะได้เข้ามา ฮือออออ
    คิดถึงฟิค คิดถึงคนแต่ง แง้ จะพยายามตามเก็บสิ่งที่คั่งค้างไว้ น่าจะได้อ่านวันละตอน
    ช่วงนี้งานเยอะ งานยุ่ง เรื่องเยอะคนแยะ เหนื่อยมั่กๆ โลย ต้องหาอะไรเยียวยาจิตใจ TOT
    ขอบคุณสำหรับฟิค เป็นกำลังใจให้ที่ท่าน้ำท่าเดิมนะฮับ มั้วะๆ น้าาาา :3

    ตอบลบ
  8. avinnhed4/4/60 03:03

    เปิดตัวแดฮยอนมาพร้อมฝันร้าย แต่หลังจากนั้นก็บืมไปเลยว่าเคยฝัน ขนาดตัวคนฝันยังลืมเลยว่ากลับบ้านมาได้ยังไง เป็นคนรักสนุกรักการสังสรรค์งี้นี่เอง ชอบความที่รู้ว่าจุดแข็งของตัวเองคืออะไร แล้วก็ใช้ความหน้าแมวพร่ำเพรื่ออ้อนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว หญิงรักหญิงหลงหน่า55555 เสี่ยนี่ดูแลคนรอบตัวดีจริงๆนะ คือปากร้ายไปงั้นแต่ใจดีมาก ยองแจจะเถียงยังไงก็ยังห่วง หรือแดฮยอนที่ตัวเองว่าว่าส่ำส่อนก็ยังห่วง แล้วไหงโดนผู้หญิงฟ้องหย่า โปล่หน้าไปพาร์ทคนอื่นทีไรต้องมีเรื่องหย่ามาเกี่ยว สงสารเสี่ยเหลือเกิน นี่เราเอ็นดูยองแจตรงที่เป็นลมเพราะดูซีรี่ย์ ทำงานหนักอะไรไม่มี แค่นอนไม่พอเพราะติดซีรี่ย์หนึบหนับแค่นั้นเอง 55555 คุณอาก็เช่นกันนะ เห็นด้วยกับยองแจสุดๆ เวลาคุณอาละมุนมันดีต่อใจมากมาย ใครๆก็ใจสั่น ผู้ชายอบอุ่น แต่กับเสี่ยที่ดูแลตัวเองอย่างดีดันไปเถียงเขา บุคลิกเสี่ยคือน่าเถียงนะ เป็นเราก็เถียง ทุกคนมีความเชื่อมโยงกันหมดเลยอ้ะ ต่อไปแดฮยอนกับยองแจเป็นรูมเมทกันคงมีแต่ปัญหา เพราะทั้งบุคลิกทั้งชีวิตส่วนตัวดูเข้ากันไม่ได้สุดๆ คนนึงงานเยอะเที่ยวเยอะ คนนึงว่างอยู่บ้านดูซีรี่ย์รักสงบ คงได้เถียงกันห้องแตก แต่ดีค่ะ ทะเลาะกันเยอะๆจะได้รักกันมากๆไหง ใช่มั้ยคะ ^+++^

    ตอบลบ
  9. น่าติดตามมากค่ะ นี่ตามหาฟิคแดแจมาหลายวันแล้วจนมาเจอนี่ ยังไม่เคยอ่านเรื่องอื่นมาก่อนหวังว่าจะไม่สับสนนะคะ ขอบคุณที่แต่งฟิคให้อ่านค่ะ

    ตอบลบ