LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 2

11:21


เสื้อไหมพรมสีน้ำตาลเข้มถอดพ้นจากแขนปลิวไปกองรวมกับเสื้ออีกหลายตัวบนพื้นก่อนที่เสื้อคลุมสีเทาจากในกองเสื้อจะโดนคุ้ยขึ้นมาสวมใหม่และถูกถอดทิ้งไปเหมือนเก่า...การใส่แล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกนั้นเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ากินเวลาไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่เสร็จสิ้น สุดท้ายเจ้าของเสื้อก็หมดแรงลงไปนั่งบนพื้นห้องน้ำพลางถอนหายใจ


ดงจินถือขวดน้ำอัดลมออกจากผ่านห้องครัวผ่านมายังห้องน้ำที่เปิดประตูทิ้งไว้ ขณะที่เดินไปเอื้อมจับลูกบิดประตูก็เห็นรุ่นน้องนั่งอย่างห่อเหี่ยวอยู่บนพื้นกระเบื้องห้องน้ำ ท่ามกลางเสื้อผ้าหลายสิบตัวก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามออกไป


“ทำอะไรของมึงเนี่ย” คำถามของรุ่นพี่ตรงหน้าประตูห้องน้ำเรียกให้คนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำกำลังนั่งซังกะตายในห้องน้ำหันไปมองและร้องขอความช่วยเหลือ


“เลือกเสื้อที่จะใส่อยู่อ่ะ...พี่ว่างมะมาช่วยเลือกหน่อยดิ”


“ขุ่นพระ คนหลงตัวเองแบบมึงมีการเลือกเสื้อจะใส่ไม่ได้ด้วย” คนเป็นพี่ถามพลางยกมือทาบอกแต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ยินเสียงกลับพึมพำสวนขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“หรือควรจะผูกไทด์แล้วเปลี่ยนกางเกงยีนส์เป็นกางเกงผ้าดีวะ...แต่ถ้าอยากให้ดูภูมิฐานก็น่าจะใส่สูทไปด้วย ไม่ดิ ผูกไทด์ใส่สูทกางเกงสแล็คแม่งโครตเซลล์แมนเลย เอางี้ ไม่ต้องผูกไทด์ สวมสูททับก็พอ แล้วมันจะดูเด็กๆไปหน่อยไหมวะ โอ๊ย แบบไหนดีวะ แบบไหนเขาถึงจะประทับใจ”


“บ่นอะไรของมึงเนี่ย...อยู่ๆเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จะพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้าอะไรขนาดนั้น ปกติมึงอยากใส่อะไรก็ใส่ไม่ใช่ไง หรือว่า...หรือว่ามึง มึงจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ โอ๊ย ค่ายไหนเขาเรียกตัวมึงไปวะ ค่ายใหญ่ไหม เขาให้เงินดีหรือเปล่า” มือใหญ่ของคนเป็นพี่คว้าหมับบนไหล่พลางเขย่าอย่างตื่นเต้นทำให้อีกฝ่ายที่จิตวุ่นวายอยู่กับการหาหนทางสร้างความประทับใจแก่คู่นัดหมายกลับสู่โลกความเป็นจริง


“พี่พูดอะไรของพี่วะ”


“ก็มึงจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ไม่ใช่ไง”


“สัมภาษณงานอะไร พี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย”


“แล้วมึงจะเลือกเสื้อผ้าอะไรหนักหนา...เห็นบอกจะใส่สูท ถ้าไม่ไปสัมภาษณ์งานจะแต่งหล่อไปทำซากอะไร”


“ใส่สูทไม่จำเป็นต้องไปสัมภาษณ์งานก็ได้..ผมแค่อยากให้ตัวเองดูภูมิฐานน่ะ”


“ดูภูมิฐานเพื่อ อ๋อ กูรู้ล่ะ มึงมีพรีเซนต์งานหรือไปร่วมแถลงข่าวอะไรกับพี่ดงกั๊บใช่มะ”


“ไม่ใช่”


“อ๋อ สงสัยจะนัดเดทกับสาวไว้ล่ะสิ...คงจะสวยไฮโซมากใช่ไหม หรือเป็นลูกสาวผู้มีอิทธิพล มึงถึงกังวลเรื่องแต่งตัวขนาดนี้ ใช่มะ ใช่ม้า” เจ้าของห้องพลางกระทุ้งศอกใส่แขนผอม...มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกกวนประสาทมากกว่าจะยินดี


“ไม่ได้ดงได้เดทอะไรทั้งนั้นแหละ...ผมแค่จะไปเจอกับรูมเมทผมเท่านั้นเอง”


“ไปเจอรูมเมท”


“เออ”


“มึงหารูมเมทได้แล้วเหรอ...ใครวะ เพื่อนมึงคนไหน”


“ถ้าเป็นเพื่อนผม...ผมคงมานั่งกลุ้มใจเรื่องเสื้อผ้าหรอก”  


“เอ้า ไม่ใช่เพื่อนเหรอ”


“เขาเป็นรุ่นน้องพี่ฮิมชานอ่ะ...เมื่อวานพี่เขาโทรมานัดผมให้ไปเจอกับน้องเขาวันนี้ตอนบ่าย”


“น้องมันชื่ออะไร เผื่อพี่รู้จัก” ดงจินที่รู้จักกับฮิมชานในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นย้อนถาม


“โอย ผมไม่ได้ถามมาหรอก”


“แล้วมึงจะกลุ้มทำเหี้ยอะไร...ผู้ชายด้วยกันเขาไม่สนหรอกว่ามึงจะแต่งตัวยังไง ยิ่งหน้าอย่างมึงเนี่ยใส่ห่าอะไรก็ดูดี”


“แต่พี่เขาบอกว่า ทางนั้นเขาเรียบร้อย ออกจะขี้โรคอยู่หน่อยๆด้วย ผมเลยไม่แน่ใจว่าจะแต่งตัวแบบไหนให้เขาเห็นครั้งแรกแล้วประทับใจอ่ะ”


“ตกลงจะอยู่ด้วยกันแล้ว...เรื่องความประทับใจห่าไรนั้นก็ช่างแม่งมันเหอะ”


“ยัง...ยังไม่ได้ตกลงเลย วันนี้แค่ไปให้เห็นหน้าก่อน ถ้าน้องพี่ฮิมชานเขาโอเค ผมถึงจะได้อยู่ด้วย”


“แล้วมึงรู้ได้ไงว่า แต่งแบบตัวเองไป เขาจะไม่ชอบ”


“ไม่รู้อ่ะ”


“เอ้า”


“ไม่รู้ทำไมเหมือนกันอ่ะพี่ ปกติผมไม่มีปัญหาเรื่องเจอคนแปลกหน้านะ แต่พอคิดว่าต้องไปเจอน้องพี่เขาบ่ายนี้ก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา” แดฮยอนทอดหายใจยาวระบายความเครียดขณะเขี่ยนิ้วไปบนรอยขาดของกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่


การออกไปพบปะผู้คนหน้าใหม่ๆข้างนอกไม่เคยเป็นปัญหาอะไรออกจะเป็นเรื่องที่เขาชอบเสียด้วยซ้ำ หากครั้งนี้แค่ออกไปเจอหน้าว่าที่รูมเมทของตัวเองเขากลับกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก


“กูว่ามึงอยากใส่อะไรก็ใส่ไปเหอะ...ถ้าเขาเห็นหน้ามึงแล้วไม่ถูกชะตา ต่อให้มึงใส่สูทของดอลเช่แอนด์กาบาน่าเขาก็ไม่ชอบมึงอยู่ดี”


“อ้าว ทำไมแช่งกันงี้ล่ะ...เกิดเขาไม่ชอบผมขึ้นมาอย่างที่พี่พูดจะทำไงวะ”


“มึงก็หารูมเมทใหม่ไง”


“โอโห พูดง่ายจังเนาะ ถ้าผมหารูมเมทไม่ทันในสองอาทิตย์ขึ้นมา พี่จะให้ผมอยู่บ้านพี่ต่อปะล่ะ”


“ถ้าหารูมเมทไม่ทันมึงก็ไปอยู่คนเดียวก่อน ถึงตอนนั้นกูจะช่วยหารูมเมทแต่ถ้ายังไม่ได้จริงๆ...เดี๋ยวกูนี่แหละเตือนเรื่องจ่ายค่าเช่าบ้านให้มึงเองก็ได้ เอ้า ใส่เสื้อแจ็กแก็ตยีนส์ดำตัวเก่งของมึงคลุมเอาฤกษ์เอาชัยไปด้วย”


ดงจินคุ้ยแจ็กเก็ตยีนส์สีดำตะเข็บขาวที่เห็นรุ่นน้องใส่จนชินตาและจำได้ว่าไอ้เสื้อตัวนี้แหละที่เวลามันใส่ไปไหนใครๆก็เข้ามาล้อม...ถึงจะใจแข็งไม่ยอมให้อยู่บ้านก็ใช่ว่าจะไม่ช่วยเลยเสียที่ไหน เกิดมันหารูมเมทไม่ได้ขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เขาจะช่วยมันอย่างที่บอกไป


แดฮยอนรับเสื้อตัวโปรดจากมือคนเป็นพี่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวใช้มือตบหัวเบาๆเรียกความมั่นใจให้กลับมาก่อนจะลุกขึ้นยืนคว้าน้ำหอมบนชั้นข้างอ่างล้างหน้ามาฉีดจนตัวหอมฟุ้งแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออกคล้ายทำสมาธิเวลาจะขึ้นร้องเพลงเพื่อให้จิตใจอยู่ในความสงบ


“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
--------------------------------------------
แก้วเซรามิกส์สีขาวในอ่างล้างจานหลังเคาน์เตอร์ไม้ที่ใช้วางอุปกรณ์สำหรับชงเครื่องดื่มและแบ่งมุมหนึ่งไว้ตั้งเครื่องเก็บเงินถูกหยิบขึ้นมาสะบัดน้ำแล้วเช็ดถูด้วยผ้าสีขาวสะอาดโดยชายหนุ่มร่างผอมบางที่สวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวลายพาดทางยาวสีดำกับกางเกงยีนส์ทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลปักลายลูกไก่เล็กๆตรงสายผูกด้านหลัง


ยองแจเงยหน้าจากการเรียงถ้วยสะอาดลงกระบะไม้และย้ายมันเข้าไปเก็บในตู้ไม้มีประตูปิดข้างอ่างล้างชาม จากนั้นจึงถือแก้วอเมริกาโน่เย็นที่ตั้งไว้พักใหญ่มายื่นให้ชายสวมเชิ้ตสีดำกับกางเกงสีเดียวกันมีแว่นกันแดดสีชาสวมบังหน้ากำลังนั่งไขว้ห้างอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์


“ขอบใจ” ฮิมชานละสายตาจากหน้ากระดาษรับแก้วกาแฟเย็นมีแถบกระดาษสีฟ้าพิมพ์ชื่อร้านเป็นตัวภาษาอังกฤษสีขาวไว้ว่า Vi ses


“เจ็ดพันวอน” บาริสต้าซึ่งพ่วงตำแหน่งทุกอย่างในร้านกระทั่งหน้าที่เจ้าของบอกเล่นเอาคนเป็นพี่ย่นหน้าผากมองมือที่แบหงายมาหาแล้วไล่สูงขึ้นไปถึงหน้านวลไร้แววอารมณ์


“อะไรวะ...ใจคอจะคิดเงินกระทั่งพี่แกเลย”


“ร้านกาแฟผมไม่ใช่องค์กรการกุศลที่ใครต่อใครจะมากินฟรีได้ตลอดนะ”


“โอโห ดูพูด แกไม่คิดถึงตอนพี่เลี้ยงข้าวแกบ้างไง”


“ผมก็เอาเค้กมาให้พี่กินฟรีแล้วนั่นไง” เจ้าตัวชี้นิ้วไปยังชีสเค้กกล้วยที่แหว่งไปครึ่งชิ้นบนจานกระเบื้องสีขาวเคลือบขอบสีน้ำเงินสวย


“ไอ้เค้กนี่มันจะเสียเย็นนี้อยู่แล้วไม่ใช่ไง แกถึงได้ยกมาให้เนี่ย”


“แต่ตอนนี้ยังไม่เสีย ก็เป็นของฟรีเหมือนกันมะ”


“แม่งเอ๊ย ชีวิตกูนี่ต้องวนเวียนแต่กับเด็กพูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ” อีกฝ่ายบ่นมือใหญ่ขยี้หัวอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมหยิบแบงค์หมื่นวอนจากในกระเป๋าสตางค์บนโต๊ะยื่นให้ “เอ้า เอาไป”


“ฮิ ฮิ...ต้องทอนไหม”


“ของไม่ถึงหมื่นก็ควรทอนนะ”


“ถึงไม่ทอนขนหน้าแข้งพี่ก็ไม่ร่วงหรอก ออกจะรวยพันล้านขนาดนั้น”


“เอ๊ะ ไอ้เด็ก...” สุดทนคนเป็นพี่ก็เอี้ยวทั้งตัวเท้าแขนบนพนักเก้าอี้ไปหาเจ้าของร้านที่ยืนยิ้มแฉ่งจนแก้มบนหน้าขึ้นเป็นลูกเหมือนแก้มเด็กก่อนจะพับแบงค์หมื่นวอนพับใส่ลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตให้


“ฮ่าๆๆ แหย่แค่นี้ก็หัวร้อน คนแก่ขี้โมโห” คนเป็นน้องว่าพลางหัวเราะร่วนจนหน้าแดง แม้จะรั้นอย่างร้ายกาจและชอบแกล้งคนสนิท แต่ความน่ารักสดใสก็ทำให้ใครต่อใครใจอ่อนโกรธไม่ลง


“ควักออกมาแล้ว แกก็เก็บไว้ไป ไม่ต้องทอน ถือว่าพี่ให้” ธนบัตรหมื่นวอนถูกส่งกลับ


“จะให้ผมจริงเหรอ หักค่ากาแฟไปเหลือตั้งสามพันวอนเลยน้า” คนตัวผอมบางเอียงหัวมองด้วยรอยยิ้มแหย่อยู่หลายสิบวินาทีก็ลากเก้าอี้ไม้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะฝั่งตรงข้ามกับรุ่นพี่มานั่งด้วย “อ๊ะๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ ผมจะนั่งเป็นเพื่อนพี่แล้วกัน”


“อยากทำอะไรก็เรื่องของแกเลยแต่อย่ากวนประสาท พี่จะอ่านหนังสือ” ฝ่ายอายุมากกว่าว่าพลางส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยระอาดูดอเมริกาโน่เย็นดื่มไปอึกใหญ่ก็ก้มหน้าอ่านหนังสือดังเก่า


“พี่”


“เออ”


“เพื่อนพี่เขาจะมากี่โมงนะ”


“บ่ายโมงไง บอกไปตั้งหลายรอบก็จำซะบ้างสิ”


ยองแจยู่ปากมองหน้ารุ่นพี่ที่นั่งไขว้ห้างวางหนังสือไว้บนตักโดยมีมือข้างหนึ่งประคองและวางศอกไว้บนโต๊ะเท้าขมับที่เอียงลงมาด้วยมาดราวกับคุณชายสูงศักดิ์ยอดนักธุรกิจ


“พี่ห้ามบอกคนที่จะมาเป็นรูมเมทผมนะว่าผมป่วย”


ฮิมชานไล้สายตาบนตัวอักษรที่เรียงร้อยอันเป็นผลงานของอัลบราฮิม อัล คูนี ที่ว่า I realize that loneliness is the beast that can not be tamed, even by someone we choose for that task. (ผมเพิ่งตระหนักได้ว่า ความเดี่ยวดายคือสัตว์ร้ายที่เราไม่อาจทำให้เชื่อง กระทั่งกับใครบางคนที่เราเลือกเขามาทำหน้าที่นี้) จึงเงยหน้ามาหาใหม่


“พี่บอกไปแล้ววะ”


“บอกไปแล้วเหรอ บอกไปทำไม พี่ทำงี้ได้ไง” เจ้าตัวตบโต๊ะร้องถามเสียงลั่นแต่อีกคนเพียงเลิกคิ้วอย่างไม่รู้สึกรู้สา


“เอ้า ก็ไม่รู้ว่าแกห้ามบอก”


“พี่บอกเขาว่าผมป่วยเป็นอะไรไปบ้างเนี่ย”


“พี่บอกไปแค่ว่า แกเป็นไทรอยด์”


“แค่นั้นแน่นะ”


“เออสิ...ขืนบอกหมด ใครเขาจะอยู่ด้วย”


“อ้อ แบบนั้นก็พอได้อยู่หรอก” เมื่อได้คำตอบที่พออนุโลมได้อารมณ์ที่กำลังเดือดก็เรียบสงบลงพร้อมกับคำถามที่ถูกเปลี่ยนใหม่ “แล้วเขาเป็นคนยังไงเหรอ”


“มาถามอะไรตอนนี้ เมื่อวานมีเวลาถามตั้งเยอะไม่ถาม ดันมาถาม ตอนที่อีกสิบนาทีก็จะเจอกันอยู่แล้วเนี่ยนะ”


“ก็ตอนแรกผมคิดว่าไม่รู้ก็ได้มั่ง แต่ตอนนี้คิดว่าควรรู้ไว้สักหน่อย...เวลาคุยกันจะได้ไม่ยาก”


“จะพูดยังไงดีวะ...มันเป็นคนแบบที่แกอาจจะไม่ชอบอ่ะ”


“เขาเป็นคนไม่ดีเหรอ” คนอ่อนกว่าถามแล้วย่นจมูก “ว่าแล้วเชียวว่าพี่ต้องหาคนไม่ดีมาให้ ใจคอจะบังคับให้กลับสวีเดนให้ได้ดิ รู้งี้ให้พี่ยงกุกช่วยหารูมเมทให้ก็ดี”


“นี่แกเห็นพี่เป็นคนยังไงวะ”


“ก็เป็นแบบนี้แหละ”


“ปากแบบนี้ ถ้าไม่เห็นว่าป่วย พี่จะเตะ”


“ก็พี่พาคนไม่ดีมาเป็นรูมเมทผมนี่หว่า”


“พี่ยังไม่ได้พูดว่าเพื่อนพี่คนนี้มันเป็นคนไม่ดีสักคำ”


“แต่พี่บอกผมเมื่อกี้นะว่า ผมอาจไม่ชอบ”


“พี่หมายถึงนิสัยบางอย่างของมันเว้ย”


“นิสัยเขาแย่ยังไง”


“มันแบบไม่ค่อยชอบกลับห้องเลยจ่ายค่าเช่าไม่ทัน”


“เขามีปัญหาเรื่องเงินเหรอ”


“ไม่หรอก มันแค่ทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาแล้วก็ชอบสังสรรค์ด้วย”


“เป็นนักเที่ยวสินะ”


“จะเรียกว่านักเที่ยวก็ไม่น่าจะได้หรอก เพราะมันแค่ไม่ชอบอยู่คนเดียวตอนกลางคืน ก็เลยออกไปหาคลุกกับเพื่อน ไม่ก็ค้างบ้านคนนั้นคนนี่”


“อายุเท่าไหร่ถึงอยู่คนเดียวไม่ได้เนี่ย”


“น่าจะอายุมากกว่าแกมั้ง”


“อายุมากกว่าอ่ะนะ...อย่างนั้นก็ต้องเรียกพี่ดิ”


“เขาอายุมากกว่าตามมารยาทก็ต้องเรียกพี่ไหมเล่า”


“โหย อายุมากกว่าเหรอ ไม่ชอบเลย พี่จะหาคนอายุเท่ากันหรือน้อยกว่ามาก็ไม่ได้” คนเป็นน้องเบะปากว่าแล้วทิ้งหลังลงกับพนักเก้าอี้


“แกเป็นคนบอกให้พี่นัดมาเองนะ”


“มันก็ใช่แต่ผมไม่อยากเรียกพี่กับรูมเมทตัวเอง”


“ไปคุยกันเอาเอง” ฝ่ายรับหน้าที่หารูมเมทมาให้บอกปัดเพราะการงอแงไม่อยากเรียกพี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ


...เป็นคนไม่ถามรายละเอียดเองก็รับผลเองซะบ้าง...


“แล้วพี่ไปรู้จักเขาได้ไง...คงไม่ใช่ไปเจอในผับตอนเมาหรอกนะ”


“แกนี่แม่ง...ไม่ใช่เว้ย พี่รู้จักกับมันที่โรงเรียนสอนพิเศษ มันสอนเปียโนที่เดียวกับที่พี่เคยสอนกีต้าร์”


“ฮู้ย งั้นก็แสดงว่าต้องแก่แหง่ๆ”


“เอ้า...ไอ้นี่” คนตัวใหญ่กว่าปิดหนังสือเตรียมจะยกมาฟาดหัวทำให้อีกคนรีบยกมือสองข้างบังไว้


“อะไรเล่า จะมาตีผมได้ไง...ก็ตอนพี่สอนกีต้าร์มันตั้งนานแล้วนี่ น่าจะก่อนผมมาเรียนที่เกาหลีด้วยมั่ง ถ้าเขาสอนพร้อมพี่ก็ต้องแก่แล้วสิ”


“มันอายุน้อยกว่าพี่ห้าหกปี”


“น้อยกว่าพี่ประมาณนั้นก็อายุพอๆกับผมไม่ใช่เหรอ...ดูพูดซะอย่างกับแก่กว่ามาก พี่นี่น้า คุยไรด้วยทีต้องหารสามตลอด”


“ไอ้เด็กคนนี้” ผู้มากวัยกว่ากัดฟันพูดทีละคำปลายตามองฝ่ายอ่อนกว่าที่นั่งเท้าคางลอยหน้าลอยตาใส่อย่างอดกลั้น


“ฮ่าๆๆ โกรธแล้ว โกรธแล้ว”  ฝ่ายก่อเรื่องแหย่พลางหัวเราะขณะชี้นิ้วตรงมาหาเป็นเชิงล้อ...ตากลมเปล่งประกายราวกับการได้แกล้งใครสักคนเป็นเรื่องสนุกอย่างที่สุด


...อยู่นี่เขาไม่ค่อยมีเพื่อน พอมีใครให้เล่นได้ก็อยากเล่นด้วย...


“ทำไมแกชอบทำให้พี่โกรธแล้วหัวเราะอยู่เรื่อยเลยวะ”


“ก็เวลาพี่โกรธมันตลกดีไง...โธ่ หยวนๆกันหน่อยน่า อยู่นี่ผมไม่มีเพื่อนเลยนะ ถ้าไม่มีพี่ให้เล่นด้วยคงได้เฉาตายก่อนป่วยตายแน่”


“ยองแจ” เสียงเข้มนั้นเริ่มดุ “พี่เคยบอกแล้วนะว่า อย่าพูดเรื่องตายกับพี่”


“อา...ก็...ลืมไป” เมื่อถูกดุคนเป็นน้องก็ยู่ปากเหมือนเด็กอย่างไม่รู้ตัวอีกตามเคย


“เฮ้อ...กวนประสาทจริงๆ ชอบทำให้โกรธอยู่เรื่อยแต่พี่ก็อดห่วงแกไม่ได้”


“ไม่ต้องห่วงมากก็ได้ พี่ดูแลผมดีเกินจนนึกว่าเป็นพ่ออีกคนแล้วเนี่ย”


“โว้ย ไอ้เด็กคนนี้ ปากนี้เหมือนไอ้บ้านั่นเป๊ะ”


“จริงเหรอ เขาก็ชอบแหย่พี่เหมือนกันเหรอ อย่างนี้ก็ดีดิ ผมจะได้มีแนวร่วมแกล้งพี่...พูดแล้วก็อยากเห็นหน้าไวๆ”


“นี่อยากโดนตีจริงใช่ไหม” จากเสียงดุจริงจังเปลี่ยนเป็นโวยวายตอบกลับ คนน้องหัวเราะร่วนมองฝ่ายตรงข้ามหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ไม่ถึงนาทีก็พอดีกับที่มีสายเข้ามาที่โทรศัพท์ของคนเป็นพี่


“ถึงแล้วเหรอ เออๆ ร้านชื่อ Vi ses ร้านสีฟ้าขาวอยู่ติดกับโรงพยาบาลเลย”


“อะไร เพื่อนพี่เขามาแล้วเหรอ”


“เออ” พี่ชายต่างสายเลือดตอบเหลือบตามองน้องแล้ววางโทรศัพท์กลับบนโต๊ะดังเก่า


“จริงดิ มาก่อนเวลาตั้งสิบนาทีแน่ะ นี่ผมควรไปล้างหน้าหรือหวีผมใหม่ไหม...เฟิร์สอิมเพรสชั่นจะสำคัญกับเขาหรือเปล่า” คนตัวบางยกมือนุ่มทั้งสองข้างวางลงบนแก้มด้วยความกังวลใจ...ตั้งแต่ย้ายดื้อเพ่งกับครอบครัวย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เกาหลีโดยมีผู้เป็นลุงส่งเสียก็ไม่ได้ผูกสัมพันธ์กับใครใหม่เลย แม้การเปิดร้านกาแฟจะทำให้ได้พบปะลูกค้ามากหน้าหลายตาแต่ครั้งนี้เขาค่อนข้างประหม่าเพราะมีแนวโน้มว่าอาจได้ใช้ชีวิตใต้ชายคาเดียวกัน


“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แกน่ารักอยู่แล้ว”


“น่ารักเนี่ยนะ ใช่คำว่าน่ารักกับผมได้ไง มันต้องหล่อ...โอ๊ะๆๆๆๆ คนนั่น ใช่ไหมพี่ คนนั่น” ยองแจตบโต๊ะเบาๆพยักพเยิดไปทางประตูกระจกที่กำลังเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างท้วมสวมแว่นทรงกลมหนาจะเดินตรงเข้ามา


“คือ...” ไม่ทันที่ฝ่ายถูกถามจะได้ตอบ ชายผู้นั้นกลับก้าวผ่านโต๊ะของทั้งคู่ไปยังเคาน์เตอร์พร้อมหันซ้ายหันขวามองหาพนักงาน เท่านั้นเจ้าของร้านเป็นอันรู้ว่าคงไม่ใช่คนที่รออยู่เลยลุกจากเก้าอี้กลับไปประจำการหลังเคาน์เตอร์รับออเดอร์และชงเครื่องดื่มตามเดิม


หลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าคนล่าสุดเรียบร้อยเจ้าตัวก็เดินอ้อมตรงมาหาคนตัวใหญ่กว่าที่ยืนพิงหลังกอดอกหน้าเคาน์เตอร์ไม้


“ไหนพี่บอกว่ามาแล้วไง จะพูดให้ผมตกใจเล่นทำไมเนี่ย”


“ก็มันบอกว่าถึงแล้วนี่หว่า”


“มาถึงตรงไหนของเขา...หลงไปทางไหนหรือเปล่า”


“โรงพยาบาลแถวนี้มันมีเยอะนักหรือไง”


“ถ้าเขาไม่เคยมาเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้”


“แล้วจะให้พี่ทำไง ออกไปรอรับมันเลยไหมล่ะ” คนเป็นพี่เสนอความคิดไปส่งๆ แต่อีกคนกลับพยักหน้ารับแข็งขัน


“ดี...พี่ไปรอรับเลย มองอะไรผมเล่า ไปรับเขาสิ”


ฮิมชานเข่นเขี้ยวกระพริบตามองหน้ารุ่นน้องจอมเอาแต่ใจอยู่ครึ่งนาทีก็ขยับตัวที่พิงเคาน์เตอร์เดินออกจากร้านไปตามคำสั่ง ปล่อยอีกคนให้ชะเง้อคอมองตามหลังรออยู่ราวหลายสิบนาทีจนลูกค้าลุกหายไปหมดแล้วก็ยังไม่มีทีท่าจะมาเลยหันมาเก็บกวาดพื้นที่ทำงานของตัวเองแทน


เสียงกระดิ่งตรงประตูเรียกเจ้าของร้านซึ่งง่วนอยู่กับการผูกปากถุงดำในถังขยะเพื่อนำไปทิ้งหน้าร้านเหยียดหลังยืนตัวตรงหมุนกลับมายังเคาน์เตอร์และมองไปยังชายร่างสูงโปร่งสวมแจ็กแก็ตยีนส์สีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีเข้มขาดๆเป็นริ้วที่ก้าวเท้าเข้ามา ณ เวลานั้นดวงอาทิตย์จากด้านนอกสาดแสงทะลุกระจกใสของร้านต้องกับกระจกบนหน้าปัดนาฬิกาที่ชายผู้นั้นสวมกระทบเข้ากับนัยน์ตาเรียวจนพร่าพราย


“ยินดีต้อนรับครับ จะรับอะไรดีครับ” แม้จะมองไม่ชัด หากเค้าลางของใครคนนั้นขยับเข้ามาใกล้จนถึงเคาน์เตอร์ทำให้เขาเอ่ยทักทายไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง


ฝ่ายนั้นยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาหลายนาทีก็ก้มมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือแล้วหันรีหันขวางมองหาบางสิ่ง เมื่อไม่พบจึงหันกลับมาหาคนตรงเคาน์เตอร์ดังเดิม


“ผมไม่ค่อยดื่มกาแฟตอนบ่าย...มีเมนูอะไรที่แรงน้อยกว่ากาแฟไหมครับ” ลูกค้าเอ่ยถามด้วยประโยคที่คุ้นเคยดีแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทำให้เจ้าของร้านชะงัก แม้จะพยายามเขม่นมองแต่ตาที่มัวจากแสงจ้าทำให้มองอะไรยังไม่ชัดเจน


“ลองเป็นวานิลาลาเต้หรือคาราเมลมัคคิอาโต้ก็ได้นะครับ ไม่งั้นก็เปลี่ยนเป็นพวกชาเย็นแทน”


“แบบไหนที่ไม่ค่อยหวานเหรอครับ”


“เครื่องดื่มร้านเราไม่เน้นหวานนะครับ...เราเน้นที่รสชาติแท้ๆของเครื่องดื่ม นอกจากลูกค้าจะขอให้เพิ่มหวานมันถึงจะเติมครับ”


“ขอวานิลาลาเต้เย็นแก้วนึงนะครับ”


“หกพันห้าร้อยวอนครับ”


หลังบอกราคาค่าเครื่องดื่มห้าพันวอนสองใบถูกยื่นมาหา...ใบหน้าบนธนบัตรจากเลือนรางเริ่มกลับมาชัดดังปกติ ยองแจเก็บเงินและหยิบเงินทอนในช่องล่างของเครื่องเก็บเงินสดส่งให้ เสี้ยวนาทีที่หน้านวลเงยขึ้นมองไปยังลูกค้าด้วยรอยยิ้มเช่นทุกครากลับมีบางอย่างบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ทำให้ทุกอย่างคล้ายนิ่งงัน


ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอมทองใส่จิวสีดำตรงติ่งหูสูงกว่าเขาอยู่หลายเซนติเมตร...ใบหน้ารูปหัวใจที่ประดับด้วยองค์ประกอบอื่นๆอย่างลงตัวดูหล่อและน่ารักน่าเข้าหาในคราวเดียวนั้นคือใบหน้าของคนในความทรงจำที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก


“ไหนว่าถึงร้านแล้วไง ไอ้ห่า กูนึกว่ามึงหลง ออกไปเดินหามึงตั้งนาน” สรรพนามเรียกขานพลางตบหลังอย่างสนิทสนมทำให้ลูกค้าผู้นั้นหันไปหาก็เห็นชายหนุ่มอีกคนในมาดเนี้ยบกระทั่งทรงผมยืนอยู่


“ผมมาถึงร้านแล้วแต่คิดว่า มามือเปล่าคงไม่ดีก็เลยแวะซุปเปอร์มาเก็ตข้างโรงพยาบาลซื้อของฝากนิดหน่อยเลยมาช้า” มือเรียวชูถุงกระดาษที่ถือติดตัวขึ้นมาให้ดู “แล้วรุ่นน้องพี่ที่พี่บอกว่าหารูมเมทนะ เขาอยู่ไหนเหรอ”


“ก็เจอแล้วนิ”


“ไหนอ่ะพี่...ไม่เห็นมีใครเลย” คนถามหันไปรอบๆมองหาคนอื่นในร้าน


“ก็นั่นไง”


แดฮยอนย่นหน้าผากหันหัวไปตามการพยักเพยิดของฮิมชานยังเจ้าของร้านที่ยืนกระพริบตาปริบด้วยใบหน้าเรียบเฉยทั้งที่ก่อนหน้ายังยิ้มกว้างสดใสมากเสียจนตรึงให้เขามองอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้สึกตัวว่าไม่ควรจ้องเลยก้มมองโทรศัพท์แท้


“นั่น ยองแจ...รุ่นน้องที่กูเล่าให้มึงฟัง...ส่วนนี่แดฮยอน เพื่อนพี่ที่พี่บอกแกไง” คนกลางเริ่มแนะนำตัวแต่ละฝ่ายด้วยสรรพนามเรียกขานที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


“อ้อ...สวัสดีครับ ผมจอง แดฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เจ้าของชื่อโค้งแล้วยื่นมือมาให้จับเพื่อทักทายรู้สึกตะหงิดในใจด้วยรู้สึกคุ้นกับหน้าและชื่อว่าที่รูมเมทแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกัน ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับจ้องมือเขาจนตาแข็งโดยไม่พูดจาเลยสักคำจนพี่ใหญ่ในวงสนทนาต้องกระซิบเรียก ทันใดนั้นคนที่นิ่งเป็นหินก็เดินจากหลังเคาน์เตอร์ผลักประตูกั้นผ่านหน้าไปเสียเฉยๆ


“เฮ้ย แกจะไปไหนของแกเนี่ย”


“ห้องน้ำ” เสียงตะโกนกลับดังลั่นพร้อมหลังบางที่เลี้ยวหายไปทางเข้าห้องน้ำ


“ไอ้เด็กคนนี้นี่แม่ง...จริงๆเลย” คนเป็นพี่บ่นพลางส่ายหัว


ยองแจปิดประตูอย่างเบามือจ้องอ่างล้างหน้าอยู่นานราวกับจะสะกดให้น้ำไหลจากก๊อกเองได้ด้วยใจที่เต้นมาเป็นจังหวัด ตาเรียวสวยหลับและลืมอยู่อย่างนั้นกระทั่งภาพความทรงจำสมัยมหาวิทยาลัยย้อนมาเหมือนเทปถูกกรอกกลับมือที่กำหมัดก็เปลี่ยนมาขยุ้มทึ้งผมตัวเองและเท้าก็เริ่มเดินวนเป็นวงในห้องน้ำขนาดไม่กี่ตารางเมตร


...นั่นมันจอง แดฮยอนไม่ใช่เหรอ...

...นั่นเดือนคณะดุริยางคศิลป์ที่เกือบได้เป็นเดือนมหาลัยเชียวนะ...


เจ้าของร้านถามตัวเองอย่างสับสนไม่รู้ด้วยซ้ำกว่ากระโจนไปเกาะตรงผนังห้องน้ำตอนไหนเพราะสมองมัวแต่คิดถึงเรื่องของผู้ชายคนเมื่อครู่จนเบลอไปหมด


...นั่น จอง แดฮยอนคนที่ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนรุมรัก

...จอง แดฮยอนคนที่คุยกับเขาคนแรกและคนเดียวในคณะ

...จอง แดฮยอนคนที่สนใจก้อนกรวดอ้วนเป็นหมูตอนอย่างเขาเพียงคนเดียว


เมื่อไล่เรียงไปเรื่อยๆ ความทรงจำสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงที่เขาอ้วนเพราะอาการป่วยของโรคไม่มีใครเหลียวแล แม้จะร้องเพลงดีแทบตายก็สู้คนหน้าตาดีที่ร้องเพลงดีไม่ได้ ในเวลาที่ไม่มีใครเรียกเพื่อนได้เลยสักคน จอง แดฮยอนเป็นคนเดียวที่เข้ามาชวนคุย ถึงจะรู้ว่าเป็นการหาประโยชน์จากการยืมเลคเชอร์แต่อย่างน้อยเขาก็มีคนพูดดีๆด้วยแถมยังเคยได้ขนมกับของกินมาตอบแทน


...จอง แดฮยอนคนนั้น

...เป็นคนเดียวกับที่เขาชอบมาตลอดสี่ปี

...และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เขาเสียสติอยู่ในตอนนี้


“แดฮยอนจริงๆเหรอ หรือแค่คนชื่อเหมือนหน้าเหมือน” คนในห้องน้ำบอกตัวเองหน้าตาตื่นมือตะกุยผนังลากลามไปจนถึงประตูห้องน้ำ...เล็บลากเนื้อไม้ร่อนเป็นแผ่นถลอกเป็นรอยกระด้างกระดำ


“แต่คนห่าอะไรจะเหมือนทั้งหน้า ทั้งชื่อ ทั้งนามสกุลวะ”


“ทำไม ทำไมคนป็อบขนาดนั้นถึงต้องหารูมเมท”


“ควรบอกเขาไหมว่าเราเคยเรียนด้วยกัน”


“ฮือ...แล้วถ้าเขาจำได้แล้วล้อเราเป็นหมูตอนล่ะ”


“แต่ถ้าจำไม่ได้นี่ก็หมาเลยนะนั่น”


“ไม่ ไม่ สงสัยจะฝัน” จากตะกุยผนังกับประตูจนแทบพัง มือทั้งสองก็ขยับเปลี่ยนมาตบแก้มตัวเองเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นแต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกรอบพร้อมกับความรู้สึกเจ็บบนแก้มทั้งตัวก็ไถลครูดกับผนังเข่าออกลงมานั่งบนพื้นกระเบื้อง


แดฮยอนกับฮิมชานนั่งมองหน้ากันอยู่ตรงโต๊ะที่มีชีสเค้กกล้วยและอเมริกาโน่วางอยู่ก่อน พลันเสียงตึงตังจากในห้องน้ำเรียกทั้งคู่ให้หันมองตามเสียงแทบเป็นตาเดียว คนอ่อนกว่าขยับปากทำท่าจะถามแต่ฝ่ายที่หายหน้าไปสิบกว่านาทีเดินออกมาพอดีเลยปิดปากเงียบ


ผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มมองตามคนตัวผอมที่เดินเหยียดหลังตรงมานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่...หน้านวลไร้แววอารมณ์เสมือนรูปปั้นเหลือบมองหน้าพี่ชายสลับกับว่าที่รูมเมทไปมาแล้วจ้องนิ่งที่ดอกเยอบีร่าสีแดงสดในแก้วน้ำใสกลางโต๊ะ


“เฮ้ย” พี่ใหญ่เรียก “ใจคอจะไม่สวัสดีเพื่อนพี่เลยไง”


“อืม สวัสดี”


“แนะนำตัวเองด้วยสิวะ”


“ผมชื่อยู ยองแจ”


“เอ๊ะ ไอ้เด็กคนนี้...แนะนำตัวให้มันดีๆไม่เป็นหรือไง”


“ก็เมื่อกี้พี่ก็แนะนำไปแล้วไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายพอถูกดุก็ขึ้นเสียงกลับ ทำให้ผู้ได้รับคำตอบถอนหายใจหันไปหารุ่นน้องอีกคนของตัวเองที่ขมวดคิ้วอยู่ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย


“อย่าไปถือสามันนะ...ไทรอยด์มันมีผลทำให้อารมณ์แปรปรวน”


“อ้อ อย่างนั้นเอง” ผู้มาใหม่พยักหน้ารับและยิ้มให้ฝ่ายที่เหลือบตาจากดอกไม้มามองทางเขาเป็นระยะ


“อยากคุยกันเองไหม พี่จะได้ออกไปหาอะไรกินก่อน”


“แล้วแต่คุณยองแจเลย ผมยังไงก็ได้”


“เอาไงไอ้ตัวดี”


“พี่หิวอีกแล้วเหรอ อะไรเนี่ย เมื่อกี้ชีสเค้กมันไม่พอยาไส้พี่เลยไง”


“โว้ย เพราะใครวะที่ทำให้พี่ไม่ได้กินข้าว นอกจากกาแฟกับชีสเค้กสามคำยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนะเว้ย”


“หิวขนาดนั้นเลยอ๋อ”


“เออ”


“หิวขนาดนั้นก็ไปกินเลยไป”


“เออ” คนเป็นพี่รับคำเสียงห้วนลุกจากเก้าอี้กำลังจะเดินไปแต่บางอย่างกลับดึงชายเสื้อไว้ เมื่อเหลียวกลับไปก็เห็นมือของเด็กปากร้ายจับอยู่


“อะไรของแก...จะให้พี่ไปกินข้าวก็ปล่อยสิวะ”


“โอ๊ย ขอโทษ มือผมมันไปเอง”


“เออ พี่ไปแล้วนะ...คุยกันดีๆล่ะ เดี๋ยวซื้อข้าวกลับมาฝาก”


เสียงกระดิ่งและประตูที่ปิดสนิทพร้อมกับการหายไปของคนกลางทำให้บรรยากาศภายในร้านเงียบจนน่าอึดอัด แม้จะมีเสียงดนตรีเปิดคลออยู่ก็ไม่ช่วยลดอาการประหม่าของยองแจที่ได้แต่มองของบนโต๊ะแทนการมองหน้าของคนฝั่งตรงข้าม


“คุณคงรู้สึกอึดอัดใช่ไหมครับ...ผมก็รู้สึกอยู่เหมือนกันเพราะว่าผมไม่เคยอยู่ร่วมบ้านกับใครมาก่อน ไม่สิ ถ้าไม่นับรุ่นพี่ที่ผมอาศัยอยู่ด้วยเกือบสองเดือน ก็ไม่เคยอยู่กับใครเลย” สุดท้ายแดฮยอนที่นั่งมองอีกคนแกะเล็บที่ถลอกปอกเปิกก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน


“อืม”


“คุณรู้จักพี่ฮิมชานนานแล้วเหรอครับ”


“ก็นานอยู่นะ ตั้งแต่สมัยยังเรียนที่สวีเดนอยู่เลย”


“คุณอยู่สวีเดนมาก่อนเหรอครับ”


“ตอนแรกก็อยู่เกาหลี แต่พ่อได้งานใหม่ที่นู้นก็เลยย้ายไป”


“แล้วรู้จักกันได้ไงครับ”


“พี่เขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ แล้วช่วงซัมเมอร์เขาไปฝึกงานที่ Bildmuseet มันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่นู้นก็เลยได้เจอ พอดีชอบดนตรีเหมือนกันก็เลยติดต่อกันมาเรื่อยๆ”


“แล้วพี่คุณเขาบอกหรือยังว่ารู้จักผมยังไง”


“รู้แล้ว...สอนดนตรีที่เดียวกันมาก่อนใช่ไหม”


“ครับ” แดฮยอนตอบรับ ตากลมจ้องร่างผอมที่เอาแต่แกะเล็บกระทั่งลูกค้าเปิดประตูเข้ามาเจ้าตัวถึงลุกพรวดไปอยู่หลังเคาน์เตอร์รับออเดอร์เหมือนเดิม


...หน้าคุ้นจริงๆนะเนี่ย...


ชายหนุ่มลูบคางพยายามครุ่นคิดในความรู้สึกมันบอกตลอดเลยว่า เจ้าของร้านกาแฟต้องเคยเจอกับเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อนแน่ หลังพินิจอยู่หลายนาทีท้ายที่สุดความสงสัยก็นำให้ต้องลุกไปถามตอนที่เห็นว่าไม่มีลูกค้าสั่งออเดอร์แล้ว


“ผมคิดว่า เราน่าจะเคยเจอกันมาก่อน แต่ผมนึกไม่ออกว่าเคยเจอคุณที่ไหน” ประโยคคำถามที่คาดว่าอาจได้ยินแต่ไม่คิดว่าจะได้ยินเร็วขนาดนี้ทำให้อีกฝ่ายลอบกลืนน้ำลาย


...ที่แย่กว่าการบอกไปถึงนึกออก คือ การบอกแต่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำ...


“แบบว่า...เรา...เคย...เรียน...มหาลัยเดียวกัน” สุดท้ายก็กลั้นใจใบ้ออกไป


“จริงเหรอครับ...คณะอะไรเหรอ”


“ดุริยางคศิลป์”


“เอกอะไร”


“ขับร้อง”


“เรียนมหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันด้วยเหรอ” คนถามขมวดคิ้วพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะมองให้ชัดขึ้น หากอีกคนก็ถอยหัวหนี ใช้เวลาอยู่ประมาณนาทีกว่าเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้น “อ่า รู้แล้ว ยองแจ...ยองแจคนที่เคยให้ฉันยืมเลคเชอร์บ่อยๆใช่ไหม”


“อื้อ”


“เอ็ย...นี่ ฉันก็คิดอยู่ตั้งนานแน่ะว่า นายหน้าเหมือนใคร โธ่เอ๊ย ยองแจนี่เอง” ชายหนุ่มยิ้มปนหัวเราะอย่างดีใจ “นายเปลี่ยนไปเยอะเลย เมื่อก่อนนายใส่แว่นด้วยนิ โอโห นี่ดูผอมลงเยอะเลย เผลอๆตอนนี้จะผอมกว่าฉันด้วยซ้ำ นี่เป็นผลจากไทรอยด์เหรอ”


“ประมาณนั้น”


“ทำไมไม่รีบบอก...ปล่อยฉันเด๋ออยู่ได้”


“ก็ไม่ได้คิดว่าจะจำได้” เสียงนั้นตอบเนือยๆ


“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า...ถ้านายบอกล่ะก็ ฉันต้องจำได้อยู่แล้ว ฉันไม่ลืมบุญคุณคนที่ทำให้ฉันเรียนจบมาหรอก รู้ไหมเลคเชอร์นายน่ะทำให้คนในเอกเราสอบทฤษฎีผ่านตั้งเยอะ”


 “เหรอ”


“แล้วทำไมนายถึงต้องการรูมเมทล่ะ”


“ก็แค่ตัดรำคาญพี่ฮิมชานเท่านั้นแหละ”


“ตัดรำคาญ?


“พี่เขาเป็นคนบอกให้ฉันหารูมเมทน่ะ”


“งั้นนายก็ไม่ได้อยากได้รูมเมทจริงจังสินะ” ฝ่ายนั้นยังคงถามเจาะจงด้วยสีหน้าหม่นลงทีละน้อย ทว่านั้นก็พอให้คนพยายามเก็บความรู้สึกไว้ใต้ความนิ่งเฉยสังเกตเห็น


“แต่ถ้าไม่มีรูมเมท ฉันก็อยู่เกาหลียากอ่ะ พี่ฮิมชานนะเอาแต่พูดว่า ต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อน เวลาฉันไม่สบายจะได้มีคนดูแล พอฉันค้านนะก็จะส่งฉันกลับสวีเดนลูกเดียว ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กอนุบาลช่วยตัวเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ”


แดฮยอนกระพริบตาแลดวงหน้านวลทำปากยู่ย่นจมูกบ่นถึงรุ่นพี่ของตัวเองเหมือนเด็กน้อยอย่างไม่รู้ตัวก็รู้สึกว่า อีกฝ่ายน่ารักจนหลุดหัวเราะออกมา


...พอลืมตัวก็เหมือนเด็กจริงๆนะ...

...ตอนที่เรียนด้วยกันไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้นะ...

...ดูจะเก็บตัวและเย็นชาเอามากๆ...


เจ้าของร้านยังบ่นถึงรุ่นพี่ที่นับถือเป็นพี่ชายแท้ๆเจื้อยแจ้วกว่าจะรู้ว่าถูกมองด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเช่นเดียวกับที่เคยได้รับเมื่อครั้งยังเรียนด้วยกันเข้าก็เม้มปากเหล่ตาไปทางอื่น ทั้งที่มือยังกำแน่นพยายามสงบสติอารมณ์


...อย่ายิ้มได้ไหมเล่า ใจสั่นจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วเนี่ย...


“ฉันเองก็ลำบากเหมือนกัน...ไม่ค่อยมีเวลาได้กลับบ้าน อยู่ไปอยู่มาไม่มีคนเตือนเลยลืมจ่ายค่าเช่า มารู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนโยนข้าวของออกมาแล้ว จะไปตามจ่ายคืนเขาก็ไม่เอา”


“อ้อ”


“ก็อย่างนั้นแหละ ฉันเลยต้องการรูมเมท”


“ทำไมไม่อยู่กับแฟนล่ะ”


“ฉันไม่มีแฟนหรอก”


“โกหก” สิ่งที่อยู่ในหัวกลับหลุดปากออกไปกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะตบปากตัวเอง


“ฮะ นายว่าอะไรนะ”


“เปล้า ไม่มีอะไร...แต่ว่านายป็อบออก ทำไมถึงไม่มีแฟนล่ะ”


“ฉันไม่ค่อยมีเวลาตรงกับคนที่คบน่ะ...นิสัยหลายๆอย่างของฉันก็ไม่ค่อยจะดีด้วย ไปๆมาๆก็กลายเป็นว่าโดนเขาทิ้งไปหมด”


“เหรอ”


“เพราะงั้น...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถึงตอนนี้ฉันจะยังหาหอใหม่ไม่ได้ แต่นายให้ฉันเป็นรูมเมทของนายได้ไหม” ถ้อยคำปนเสียงเว้าวอนขอความเห็นใจรวมทั้งตากลมกับริมฝีปากเหยียดกว้างอ่อนโยนบนหน้ารูปหัวใจนั้นชะโงกเข้ามาใกล้


...งัดไม้นี้มาใช้น้อยคนนะที่จะไม่ใจอ่อน...


แดฮยอนบอกตัวเองอย่างมั่นใจกระทั่งเห็นฝ่ายตรงข้ามสะดุ้งโหย่งเอนหลังหนีซะอย่างนั้นก็ใจเสีย เลยไม่ทันเห็นการเม้มริมฝีปากแน่นบนหน้านั้นเลย


“ฉันมีบ้านอยู่น่ะ...เพราะงั้นถ้านายจะมาเป็นรูมเมทฉันก็ไม่ต้องหาที่อยู่ใหม่หรอก” หลังเม้มปากแล้วคลายอยู่หลายทีคนสติใกล้พังก็จำนน


“หมายความว่า...จะให้ฉันอยู่ด้วยใช่ไหม”


“อืม”


“จริงนะ...ไม่ได้หลอกกันใช่ปะ ขอบใจนายมากนะ ขอบใจจริง” คนพยายามงัดกลเม็ดที่ได้ผลมาใช้กระโดดตัวลอยดีใจเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่งก่อนจะถูกสะดุดยิ้มแทบหุบในตอนที่ได้ยินประโยคเด็ด


“ไม่เห็นต้องขอบใจหรอก มันเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนไม่ใช่เหรอ”


ยองแจกระพริบตาเหลือบยังคนตรงหน้าที่ยังคงยิ้มเหมือนเก่า หากในเวลานั้นกลับรู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาแต่ยังคงนิ่ง


...พูดแรงไปหรือเปล่า ควรขอโทษไหมนะ...


เพราะรู้ตัวเองว่าการพูดกลบเกลื่อนคงสะเทือนใจผู้ได้ยินอยู่ไม่น้อยจึงอยากขอโทษแต่ไม่ทันขยับปากก็โดนสวนด้วยคำถามกลับมา


“ฉันย้ายเข้าพรุ่งนี้เลยได้หรือเปล่า”


“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้เลยอ่ะนะ นายรีบเหรอ”


“ก็นะ...รุ่นพี่ฉันเขาให้เวลาฉันหาหอใหม่สองอาทิตย์น่ะ แล้วมันก็จะครบกำหนดแล้ว” คนตัวสูงกว่ายักไหล่ทำให้เจ้าของร้านเงียบพยายามใช้ความคิดใคร่ครวญหาทางยื้อขอเวลาเตรียมใจให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย


...จะมาอยู่ในวันสองวันนี้ทำใจไม่ทันหรอกนะ ห้องก็ยังไม่ได้เก็บ...


“จะมาพรุ่งนี้ก็ได้ แต่จ่ายมัดจำมาก่อน”


“เฮ้ย จะให้จ่ายเลยเหรอ เงินเดือนฉันยังไม่ออกเลย ฉันขอเป็นต้นเดือนได้หรือเปล่า”


“จ่ายมัดจำครึ่งหนึ่งแล้วค่อยมา”


“โห...โหดจัง ไม่ยักรู้ว่านายจะเขี้ยวนะเนี่ย”


“อีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนแล้ว เงินเดือนนายออกก็ย้ายมาตอนนั้นได้”


“เหอะๆๆ” เสียงหัวเราะแห้งๆดังขึ้น “แล้วนายจะคิดค่าเช่าเท่าไหร่”


“ค่าเช่าคิดเดือนละห้าแสนวอน...ครึ่งหนึ่งก็สองแสนห้าหมื่นวอน”


“บ้านนายอยู่ไหน”


“เป็นอพาร์ทเม้นต์ไม่ไกลจากร้านนี้หรอก”


“แน่ใจว่าราคานี้”


“อืม...แพงไปเหรอ แต่ที่ถามมาย่านนี้มันราคาแพงกว่านี้อีกนะ”


“ไม่ มันไม่ได้แพงไปหรอกแต่ราคามันถูกกว่าที่ฉันเคยอยู่พอสมควรเลย”


“นั่นแหละ นายจ่ายมัดจำครึ่งหนึ่งแล้วค่อยมา” 


เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังคับร้าน แม้จะเห็นใจอยู่มากแต่ต้องข่มใจเพราะไม่อยากตกปากรับคำอะไรที่ส่งผลกระทบต่ออาการสติแตกของตัวเอง


...ต้องตั้งรับก่อนไม่งั้นตายพอดี...


“นายสะดวกให้ฉันย้ายตอนกี่โมง”


“ช่วงเย็นๆวันธรรมดา...แต่จะมาก็ต้องบอกก่อนนะ มาปุบปับไม่ได้ล่ะ”


“ขอเลขบัญชีได้ไหม”


“อ๋อได้ เดี๋ยวเขียนให้” ชายหนุ่มหยิบกระดาษโน้ตกับปากกาจดเลขบัญชีที่ติดตรงขอบโต๊ะส่งให้


“ขอเบอร์โทรศัพท์นายด้วยสิ”


“เบอร์ฉันน่ะเหรอ”


“อืม”


“เอาไปทำอะไร” คนถามเหลือบตาจ้องอย่างระแวง


“เอ้า...ก็จะอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ฉันก็ควรมีเบอร์ติดต่อนายดิ”


“อ้อ งั้นก็แป้บนึง” เขาวางกระดาษใบเดิมลงบนโต๊ะเพื่อจดหมายเลขโทรศัพท์มือถือแล้วส่งให้ใหม่


“ขอบใจนะ” มือเรียวใหญ่รับกระดาษใบนั้นมาถือไว้ในมือแล้วหลบมุมไปกดจอยุกยิกอยู่ข้างเคาน์เตอร์เพื่อให้ลูกค้าใหม่สั่งออเดอร์พักใหญ่ จนเครื่องดื่มถูกนำไปเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์เช่นเดิม


ยองแจโค้งให้ลูกค้าสตรีสูงวัยที่มาพร้อมกับเพื่อนวัยเดียวกัน ตอนที่ผละจากโต๊ะลูกค้าเดินกลับมาโทรศัพท์ในกระเป๋ากลับสั่นจึงหยิบมันออกมาดู


ข้อความเด้งเตือนให้เข้าไปดูเมื่อกดอ่านก็เห็นข้อความจากธนาคารส่งมาแจ้งยอดเงินโอนเข้าบัญชีเป็นจำนวนห้าแสนวอนก่อนที่ชายหนุ่มตรงข้างเคาน์เตอร์จะเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ พออีกฝ่ายเงยหน้ามาเห็นก็ตกใจโทรศัพท์แทบหลุดจากมือ


“อะไร”


“โอนแล้วนะ...โอนให้ทั้งเดือนเลย” คนทำทียากจนข้นแค้นเต็มทีแจ้ง “ไปล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ยองแจ”


ถ้อยคำลาสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนละมุน ดวงตาทรงเมล็ดอัลมอนด์สวยนั้นเป็นประกายพราวระยับส่งให้หน้าหล่อระคนน่ารักนั้นมีเสน่ห์เพิ่มมากเสียจนไม่อาจละสายตาหนี


ยองแจจ้องตามแผ่นหลังโปร่งใต้เสื้อยีนส์สีดำกระทั่งร่างนั้นคล้อยหายจากสายตา มือที่ทาบบนอกจากความตระหนกเริ่มขยุ้มเสื้อที่สวมอยู่จนยับย่น...เสียงหัวใจเต้นรุนแรงเสียจนต้องหอบหายใจผ่านริมฝีปาก


...เขาคิดว่า เขากำลังจะตาย...


...ตายเพราะรอยยิ้มของผู้ชายที่เคยชอบมาตลอดสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย


...และมีแนวโน้มว่าจะยังชอบอยู่ถึงตอนนี้เสียด้วยสิ



-----------------------------------------แวะคุยกันก่อน-------------------------------------------
เขียนไวมากเพราะว่ามีพล็อตคู่นี้อยู่แล้ว จะสังเกตว่าคุณยูน่ะซึนนะคะ เป็นสายซึนเลย แสดงความรู้สึกไม่ได้เพราะกลัวว่าถ้าแสดงออกไปล่ะก็จะตายเสียก่อน 5555555 ตอนต่อไปก็จะได้อยู่ด้วย แดฮยอนเป็นคนประเภททำให้ใจสั่นอยู่ตลอดเลย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วก็อ่านแล้วรบกวนคอมเม้นหรือติดแท็ก #ficlovetoxical  หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจ จะได้รู้ว่าอ่านอยู่ เราเขียนฟิคหลายคู่ ใครอ่านเยอะก็ลัดคิวไวอ่ะ 555555


You Might Also Like

10 Comments

  1. ฮื่อออ บทนี้ก็น่ารักอีกแล้วค่ะ ทำไมยองแจน่ารักจัง แบบเป็นยู ยองแจ คนปากร้ายสายซึนสุด โฮะๆ ปากร้ายแต่น่ารักมากค่ะ ยิ่งตอนเขินยิ่งน่ารัก อะไรคือวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วไปพูดกับตัวเองแถมยังขูดประตูห้องน้ำแบบนั้นอีก แต่ทำไมกลับเดินออกมาพูดนิ่งๆได้อย่างหน้าตาเฉยขนาดน้านนน ถึงจะมีหลุดบ้างตรงที่จับชายเสื้อพี่ฮิมชาน ไม่อยากให้พี่เค้าไปใช่ไหมเขินอะดิ กลัวอยู่กับแดฮยอนสองคนแล้วจะคุมสติไม่ได้ใช่ไหมเจี๊ยบเอ๊ยย
    ถ้าบอกว่าชอบตอนที่ยองแจแกล้งพี่ฮิมชานดูจะเป็นประโยคซ้ำซากไหมคะ แต่ชอบจริงๆนะ แกล้งพี่เค้ายังกับในชีวิตจริงแหนะ 555 อ่านแล้วนึกถึงเวลายองแจอยู่กับพี่ฮิมชานจริงๆอะค่ะ ชอบตรงที่บอกยองแจยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูกๆ >< พอพี่เค้าบอกว่าน่ารักยังจะเถียงว่าตัวเองหล่อ 55
    พอรู้ว่ายองแจชอบแดฮยอนตั้งแต่มหาลัยแล้วรู้สึกดีใจแทนแดฮยอน จะได้ไม่เหนื่อยมากกับการจีบคุณยู ?รึเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะคุณยูนี่ซึนสุด หวังว่าจะเห็นใจมนุษย์หน้าแมวสักครั้ง ตลกตรงที่คุณยูยังไม่อยากให้แดฮยอนเข้าพักเพราะยังตั้งรับไม่ทัน เออเราเข้าใจนะ เป็นเราก็คงยังไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน แบบเฮ้ยยนั่นคนที่แอบชอบมาตั้งหลายปีจู่ๆก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วต้องเป็นเมทกันอีก เป็นเราๆก็ช็อคอะ แล้วแดฮยอนนะงัดไม้ตายมาขนาดนี้คุณยูจะใจแข็งก็เกินไปแล้ว งานนี้พี่แมวเลยทุ่มสุดตัวเทหมดหน้าตัก 55 อยากอ่านตอนที่เข้าไปอยู่ด้วยกันแล้วละค่ะ อยากเห็นยองแจหลุดเขินบ้าง นิดนึงก็ยังดี จริงๆที่อยากเห็นที่สุดคืออยากเห็นช่วงเวลาที่พี่ฮิมชานจะเอาคืน แบบรู้จักกันมานานพี่ฮิมชานต้องมองออกบ้างแหละว่ายองแจปฎิบัติตัวกับแดฮยอนไม่เหมือนคนอื่นน่ะ เราจะรอเวลานั้นจริงๆ แต่คิดว่าพี่เค้าคงห่วงน้องเจี๊ยบน่าดู แต่ไม่เป็นไรค่ะเราคิดว่าด้วยความดื้อบวกกับความดันทุรังสูงของแดฮยอนจะเอาชนะทุกสิ่งได้ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

    ตอบลบ
  2. ยองจี้ แม่นางช่างน่ารัก น่าหยิกจริงงง
    บุคลิกตัวละครน่ารัก โดยเฉพาะน้องยอง คนสวย (อย่าตบเรานะ เราแค่อวยย เมน เราเฉยย) ภาษาเขียน ก็ลื่นไหล ชอบบบบ คะ สู้ๆๆๆ

    ตอบลบ
  3. ยัยเจี๊ยบคนซึนน่าร๊ากกกกกกกก ดยอนต้องหาวิธีรับมือนะคะ 55555555555

    ตอบลบ
  4. ยะแจ ทำไมน่ารักน่าหยิกแบบนี้ ชอบจังเลยที่ต่อปากต่อคำกะชานมันน่าตีจริงๆ ละขนาดดะยอนแค่ยิ้มให้นิดหน่อยยังใจเต้นขนาดนี้ถ้าไปอยู่ด้วยกันทุกวันจะเป็นยังไงเนี่ย แอบหมั่นไส้ดะยอนที่แกล้งทำจนพอเจอเงื่อนไขการเข้าอยู่แหมะโอนอย่างไว คนนึงก็คงชอบแกล้งคนนึงก็ซึนๆงานสนุกต้องมา😚😚😚

    ตอบลบ
  5. น่ารักค่ะ น่ารักมากกกก อยากอ่านต่อแล้วค่ะ ลงไวๆนะคะ อยากรู้ว่าตอนอยู่ด้วยกัน ยองแจจะใจสั่นขนาดไหน แล้วจะทนได้ยังไงน๊าาาาา จับฝัดเลยยย

    ตอบลบ
  6. โห้ยยย น่ารักอ่ะ ไม่คิดว่าจะน่ารักขนาดนี้ ยองแจหนูเพ้ออะไรขนาดนั้นในห้องน้ำลูกกก แต่อิพี่แดก็จำได้ด้วยอ่ะว่าเคยเรียนด้วยกัน ตอนนั้นน้องก็น่ารักใช่มั้ยล่ะ กลมๆ นัลล้ากกก แต่ตอนนั้นคงคิดแค่เพื่อนคนนึง ถ้ามาอยู่ด้วยกันจะเป็นไงหน่อออ จะรอนะคะพี่

    ตอบลบ
  7. ชอบคุนยูเวอนี้จังเลยสายซึน น่ารักน่าจับฟัด เเดฮยอนดูเเลคุนยูดีๆละ มาอยู่ด้วยกันเเล้ววววว>/////////<เขินจังเลย ไรต์มาต่อไวๆน๊า สู้สู้ค่า^_^

    ตอบลบ
  8. ความหาชุดใส่ทั้งๆที่แค่ไปหารูมเมท เห็นแค่หน้าเขาก็รับแล้วมั้ง นี่ยังเป็นคนที่ชอบตอนสมัยมหาลัยอีก ถึงจะทำใจในห้องน้ำนานไปหน่อยแต่สุดท้ายยองแจก็รับเน้อะ ว่าแต่เสี่ยทำบุญด้วยอะไรคะทำไมมีปัญหากับเด็กๆบ่อยเหลือเกิน เด็กของเพื่อน เด็กของตัวเอง แล้วก็น้องตัวเองอีก ทุกคนพร้อมใจกันเถียงเสี่ย แหย่เสี่ยให้โกรธงี้ แต่คนใจดีอ่ะ โกรธแต่ก็ห่วง วงวารเสี่ยเหลือเกิน 55555 ยองแจน่ารักมากอ่ะ แกล้งให้โกรธแล้วก็แจกยิ้มหวานให้ คงจะโดนโกรธลงหรอก พอๆกับแดฮยอนที่เอาหน้าแมวเข้าสู้ อยู่ด้วยกันได้แน่นวลแบบนี้ ว่าแต่ที่เสี่ยดูห่วงยองแจขนาดนี้ เพราะว่าป่วยเป็นโรคอะไรอีกนอกจากไทรอยด์? ขี้เกียจเดาแฮะ เอาเป็นว่ายองแจสายซึนมากมาย เหมือนเก็บความสติแตกไว้ในห้องน้ำงี้ พอเดินออกมาคือนิ่งมากมาก นี่ตลกแดฮยอนที่ตอนแรกว่าเหมือนยองแจใจร้ายงี้ จะให้จ่ายค่าเช่าเลย พอได้เลขบัญชีปุ๊ปโอนเต็มจำนวนเลยจ้า คืออยู่ดีกินดีแน่นอนแหละ ไม่งั้นคงไม่มีเงินเที่ยวเตร่ได้ แต่ก็ขำอ่ะ ยองแจกะจะยื้อเวลาไง เจอโอนครบแบบนี้ก็ไปต่อไม่เป็น ต้องยอมเขาจริงๆสำหรับแดฮยอนพาร์ทนี้ 555555

    ตอบลบ
  9. ชอบมากเลยค่ะ อ่านแล้วยิ้มตามตลอดเลย นึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในฟิค

    ตอบลบ
  10. น้องแจน่ารักมากฮรืออออปุ๊กปิ๊กของพี่ พี่เข้าใจว่าการได้เจอคนที่แอบชอบแบบไม่ทันตั้งตัวมันตุ่นเต้น แต่ได้อิพี่แด้มาร่วมชายคาก็ระวังตัวด้วยพี่หวงงงงงงงอิอิ

    ขอบคุณฟิคค่าไรท์ ตามอ่านอยูน๊ะจ๊ะเป็น กลจ.ค่า😍😍

    ตอบลบ