LOVE TOXICAL : HYUNGWONHO CHAPTER 1

08:15



...โลกนี้ไม่มีใครจะเป็นที่รักของคนอื่นตลอดเวลา
...วิธีรับมือกับมันก็แสนจะง่าย 
แค่อยู่ให้ห่างคนที่ไม่ชอบเราไว้ก็พอ
...แต่ถ้าใครคนนั้นมีอำนาจเหนือเรา
และเราก็หนีไปจากเขาไม่ได้ล่ะ
...ความบรรลัยแบบนี้จะหลีกหนีด้วยวิธีไหน




“คุณคิดว่าวิชาสาขาไม่ใช่วิชาสำคัญเลยจะทำเล่นๆยังไงก็ได้อย่างนั้นเหรอ”



คำถามจากเสียงเข้มดุดังขึ้นกลางห้องบรรยาย ก่อนที่ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่บางพอให้เห็นเค้าลางของมัดกล้ามแข็งแรงจากการออกกำลังกายอย่างหนักกับกางเกงสแลคและรองเท้าหนังมันปลาบซึ่งนั่งอยู่กลางกลุ่มนักศึกษาที่ต่างพากันนั่งเงียบตัวลีบเกร็งจะก้าวลงมาตามทางเดินหลั่นชั้นลงมายืนกอดอกมองนักศึกษาหนุ่มร่างสูงโปร่งผมสีเข้มที่ก้มหน้าตามองพื้นยืนถือไมค์ประสานมืออยู่บนเวที



“วิชาวาทวิทยา เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาหลักเกณฑ์และรูปแบบการพูดประเภทต่างๆ การเตรียมข้อมูล การนำเสนอความคิดผ่านการพูด และการใช้สื่อประกอบ คราวที่แล้วผมได้สอนถึงหลักการพรีเซนต์ข้อมูลทางการตลาดเพื่อนำบทวิเคราะห์ของผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า ซึ่งการเอาสคริปออกมายืนท่องทื่อๆ พอถามอะไรทีก็สะดุ้งตอบตะกุกตะกักแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมสอน”



วงคิ้วเข้มบนใบหน้าเรียวขาวนั้นแทบขมวดเข้าหากัน ดวงตากลมเรียวรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากรูปกระจับทอดยังลูกศิษย์ที่ยังก้มหน้านิ่ง



“สิ่งที่คุณทำมันแสดงให้ผมเห็นอะไรรู้ไหม มันแสดงว่าคุณไม่ใส่ใจในวิชาของผม  คุณควรจะดูพวกเพื่อนของคุณที่นั่งหลังห้องไว้บ้างนะ ถึงจะไม่มาเรียนแต่รายงานกับการพรีเซนต์กลับทำได้ดีมาก ดีกว่าคนที่มาเรียนตลอดแบบคุณซะอีก หรือคุณคิดว่าทำรายงานเนื้อดีมาส่งก็คงผ่านได้เหมือนสองวิชาที่ผ่านมา แต่วิชานี้ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ทำรายงานดีอย่างเดียวแต่การพรีเซนต์ยังห่วย น่าเบื่อไม่มีการพัฒนาอีก ถ้าไม่อยากได้เอฟล่วงหน้าก็เอาใบคำร้องไปยื่นดรอปวิชาผมซะ”



อาจารย์หนุ่มหยิบแฟ้มเอกสารสีดำที่ติดตัวมาหยิบใบคำร้องวางลงบนโต๊ะแถวหน้าสุดของชั้นบรรยายแล้วหมุนตัวกลับมายังกลุ่มคนที่นั่งตัวแข็ง



“มีใครสงสัยอะไรไหม ถ้าไม่มีวันนี้ผมจะเลิกคลาสก่อนเวลาสิบนาที”



นักศึกษาทั้งชั้นต่างมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายแล้วส่ายหน้าตอบอย่างพร้อมเพรียง ปล่อยให้อาจารย์เก็บของเดินออกจากห้องไป


เพียงประตูห้องบรรยายที่ถูกเปิดออกปิดลงกับกรอบ เสียงนักศึกษาก็เซ็งแซ่พูดถึงแต่ความโหดของอาจารย์ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เป็นประเด็นถูกตำหนิชนิดพูดตอบโต้ไม่เสียบไมค์ลงกับขาตั้งที่โต๊ะบนเวทีแล้วเงยหน้าเรียวสีน้ำนมเนียนละเอียดที่ถูกผมหน้าม้าปัดข้างสีน้ำตาลเข้มพรางคิ้ว ประดับด้วยจมูกทรงหยดน้ำกับริมฝีปากอิ่มสวยและดวงตากลมโตกระพริบขึ้นลงดูเลื่อนลอยเหมือนถูกบางสิ่งสูบวิญญาณ


...เละยิ่งกว่าบ้านถูกถล่มด้วยคลื่นสึนามิ...


“ฮยองวอนนี่แน่นอนจริงๆ”


“โดนด่าทุกครั้งที่พรีเซนต์เดี่ยววิชาอาจารย์โฮซอกคงเส้นคงวา”


“ดีนะที่คนด่าเป็นไอ้เย็นชา ถ้าเป็นคนอื่นแม่งร้องไห้ไปแล้ว”


ทุกเสียงจากรอบทิศทางลอดเข้ามาในหูและโสตประสาทแต่คนถูกกล่าวถึงเพียงก้าวลงจากเวทีด้วยสีหน้าเฉยชาคงเส้นคงวา...เป็นสีหน้าเดียวกันกับทุกครั้งที่ถูกอาจารย์คนที่เพิ่งออกจากห้องไปตำหนิ...


“เป็นอะไรไหมอ่ะ”คำถามจากคนข้างตัวทำให้คนที่โดนด่าเละเทะแต่ยังทำหน้านิ่งคล้ายไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นหันไปมอง


ชายหนุ่มหน้าหวานดูน่ารักที่ตัวเล็กกว่าเงยหน้ามองมาอย่างเป็นห่วงพร้อมยื่นมือข้างหนึ่งมาจับแขน อีกข้างก็ส่งกระเป๋าสะพายหลังสีดำให้


หลายคนที่เคยลงเรียนวิชาที่มีอาจารย์สอนคนเดียวกันกับที่ตำหนิเขามันทุกคาบที่ต้องพรีเซนต์เดี่ยวคิดว่า การวางเฉยของเขาคือความเคยชิน คงมีแต่คนเป็นเพื่อนเท่านั้นที่จะรู้ความจริงว่า การนิ่งของเขาเป็นเพราะรู้สึกกับคำเหล่านั้นมากจนพูดออกมาเป็นคำไม่ได้


ในชีวิตการเรียนตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิยาลัย เขาไม่เคยมีปัญหากับอาจารย์หรือการเรียนมาก่อน เกรดที่ผ่านนั้นจัดได้ว่าสูงไม่แพ้ใคร ทว่าตั้งแต่เจอกับอาจารย์ชิน โฮซอก...อาจารย์ประจำภาควิชาหลักของคณะทุกอย่างก็กลับตาลปัตร


...สำหรับอาจารย์โฮซอก ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น...


ความจริงเขาไม่ใช่คนประเภทขี้กลัวหรือขาดความมั่นใจในตัวเอง การพรีเซนต์หน้าชั้นเรียนในวิชาอื่นเขาทำได้ราบรื่นดีแต่พอต้องพรีเซนต์เดี่ยวต่อหน้าอาจารย์ที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มักโดนตำหนิตลอดเวลา แถมสองวิชาที่ผ่านมาโดนตัดเกรดซีใส่เหมือนความมั่นใจที่เคยมีได้ทลายลงจนไม่เป็นตัวเอง


...แต่ด้วยเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าเลยกลายเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งที่โครตเสียกำลังใจ...


“เฮ้ย อย่าคิดมากนะ อาจารย์โฮซอกก็ด่าทุกคนแหละ แค่นายเลขที่สุดท้ายเลยโดนจัดเต็ม” ชายหนุ่มอีกคนตัวไล่เลี่ยคนแรกแต่หน้าตาเฉี่ยวกว่าคล้องแขนลงบนคอของคนเป็นเพื่อนเพื่อปลอบ


“แน่ใจเหรอชางกยุน คนที่ได้ใบดรอปพร้อมเซ็นต์อนุมัติเสร็จสรรพนี่มีแต่เราที่โดนนะ อ้อ แล้วก็คนที่โดนด่าไม่ใช่ทุกคนด้วย คนโดนชมก็มีกีฮยอนกับแก๊งค์หลังห้องนู้นไง” คนโดนเกาะบอกทอดสายตาไปยังกลุ่มแก๊งค์หลังห้องที่ทั้งสักทั้งเจาะกันเต็มตัวเพียงแต่เวลามาเรียนจะเอาจิวออกกับใส่เสื้อปิดรอยสักไว้


“พวกนั้นมันเทพน่า ไอ้คนปกติหัวไม่ไบรท์ขนาดนั้นจะไปเทียบได้ไง”


“ถ้าไม่นับพวกนั้นกีฮยอนก็โดนชมเหมือนกันนะ”


“กีฮยอนมันลูกรักอาจารย์...ทำอะไรก็ชมทั้งนั้นแหละ” ชางกยุนหันไปหาเพื่อนหน้าตาน่ารักที่ยืนเกาะแขนเพื่อนที่โดนอาจารย์ว่าเป็นชุด


“เฮ่ย ทำไมพูดจางี้ล่ะ...เราก็แค่ทำตามหลักที่อาจารย์บอกเฉยๆ”


“ก็ทำแบบนั้นเหมือนกันทั้งห้อง ทำไมมีแค่นายกับแก๊งค์นั่นไม่โดนวะ จำได้สองวิชาก่อนที่เรียนกับอาจารย์โฮซอกนายก็ได้เอร่วมกับพวกแก๊งค์นั่นนี้หว่า”


“มันฟลุ๊กน่า”


“ฟลุ๊กอะไรทั้งห้องได้เกรดเออยู่หกคนเอง ฉันยังได้แค่บีมาเองนะ ฉุดเกรดกันลงตั้งเท่าไหร่”


“นายแค่บี มาดูนี่ ซีสองตัวแล้ว”


“แต่วิชาอื่นก็ได้เอรวดเลยไม่ใช่เหรอ มีซีสองตัวคงไม่เป็นไร”


“ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ต้องเรียนวิชาภาคกับอาจารย์โฮซอกตัวนี้กับของเทอมหน้าอะนะ อาจารย์เขาก็บอกจะให้เอฟแล้วเนี่ย เอาใบไปยื่นดรอปล่วงหน้าเลยดีไหม”


“เฮ้ย ใจเย็นดิวะ”


“นั่นสิ...ปกตินายไม่มีปัญหาเรื่องพรีเซนต์หน้าชั้นซะหน่อย วิชาการแสดงยังได้คะแนนเต็มตลอด ละครเวทีฉลองครบรอบคณะปีนี้นายก็ได้คัดเลือกให้เล่น เราว่าปัญหามันอยู่ที่นายกับอาจารย์ทัศนคติไม่ตรงกัน ลองไปคุยปรับทัศนคติกับอาจารย์โฮซอกเขาดูดีไหมจะได้รู้ว่าจะจัดการปัญหายังไง” กีฮยอนเสนอทางแก้ไข


“อาจารย์เขาเกลียดเราจะแย่ แค่เดินลงมาเวทีมาหน้าอาจารย์เขาก็เปลี่ยนสีแล้ว ขืนไปถามเซ้าซี้โดนไล่ออกขึ้นมาทำไงฟร่ะ ไม่เอาด้วยหรอก”


“จริง...ในบรรดาอาจารย์คณะนิเทศ อาจารย์โฮซอกนี่โหดสุดแล้วนะ แต่นายคงไม่รู้หรอก กีฮยอน เพราะอาจารย์เขาเอ็นดูนาย เห็นเรียกไปช่วยงานเอกสารด้วยนิ”


“ก็ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย น้องปีหนึ่งทั้งมินฮยอกกับจูฮอนก็อยู่ด้วย”


“เอ้า มินฮยอกน้องฮยองวอนมันอ่ะนะ”


“อืม”


“เออดี คนพี่โดนด่าเละ แต่คนน้องอาจารย์กลับชอบ...นี่ ฮยองวอน นายรู้หรือเปล่าอ่ะเรื่องนี้” ชางกยุนถามพยายามตะกายขึ้นไปเกาะไหล่เพื่อนที่สูงกว่าให้อยู่


“รู้...แต่ไม่เห็นแปลกอะไรเลย มินมุงเป็นคนร่าเริงคุยสนุกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครเจอใครก็ชอบ” ฮยองวอนว่าพลางคิดถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนเป็นน้องชายที่อายุห่างกันเพียงปีเดียว


ครอบครัวของเขามีพี่น้องอยู่ด้วยกันห้าคน พ่อกับแม่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่อเมริกาโดยมีพี่คนโตซึ่งแต่งงานมีครอบครัวที่อเมริกาไปเรียบร้อยแล้วดูแล ส่วนพี่คนรองของเขาก็รับช่วงต่อเก็บค่าเช่าห้างร้านอาคารกระทั่งที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นมรดกที่ผู้เป็นย่าทิ้งไว้ให้ในเกาหลี เขาเป็นคนที่สามของบ้าน มีน้องอีกคนที่อายุห่างกันสามเดือนแต่ตอนนี้ไปเรียนอยู่ประเทศจีนและมินฮยอกซึ่งเรียนคณะกับมหาวิทยาลัยเดียวกันเป็นคนสุดท้อง


...เวลาเหนื่อยแค่มองน้องเฉยๆก็หายแล้ว คนอื่นคงรู้สึกเหมือนกัน...


“ไม่ให้น้องช่วยถามวะว่าทำไมถึงชอบด่านาย”


“ไม่เอา ปัญหาของเรา เราแก้เอง”


“แล้วแก้ได้ไหม ก็ไม่”


“สักวันก็คงคิดออกว่าจะแก้ยังไง” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็มือก็เก็บใบคำร้องบนโต๊ะมาถือไว้


“ถ้าจะคิดได้มันต้องคิดได้ตั้งแต่สองวิชาก่อนแล้วปะ”


“ก็ไม่ได้มีพรีเซนต์เดี่ยวบ่อยซะหน่อย งานกลุ่มก็ยังมี คงไม่ถึงกับเอฟหรือต้องดรอปหรอก” เพื่อนยังให้กำลังใจแต่อีกคนก็ยังค้าน


“คนมันจะเล่นอ่ะ ยังไงก็โดน”


“ชางกยุน นายหยุดขู่ฮยองวอนสักทีได้ไหมเนี่ย” กีฮยอนฟาดแขนอีกคนเต็มแรงแล้วหันมาหาคนที่ยังวางหน้าเฉย “วันนี้ไม่มีเรียนแล้วไปหาอะไรกินอร่อยๆกันดีกว่านะ เดี๋ยวเราเลี้ยงนายเอง”


“ไม่ได้หรอก เรามีซ้อมละครเวทีต่อ”


“โหย ไรวะ ซ้อมอีกแล้ว ซ้อมมันทุกวี่ทุกวัน พวกเราทำฉากกันยังไม่นัดทุกวันขนาดนี้”


“ทำไงได้ล่ะไม่กี่อาทิตย์มันจะแสดงจริงแล้ว อีกอย่างครั้งนี้มันไม่ใช่ละครเวทีนักศึกษาจัดธรรมดาแต่ฉลองครบรอบสี่สิบปีคณะด้วย เลยต้องซ้อมหนัก”


“ให้เราอยู่รอไหม”


“อย่าเลย”


“เฮ้ย รอแค่สองสามชั่วโมงรอได้น่า”


“มันไม่ใช่สองสามชั่วโมงอ่ะดิ เห็นวันนี้เขาจะซ้อมใหญ่เพราะอีกสองสามวันต้องลองแสดงเหมือนจริงต่อหน้าอาจารย์จะได้รู้ว่าต้องปรับแก้อะไรตรงไหน กว่าจะเสร็จคงมืดนู้นอ่ะ”


“โห อยู่ถึงมืดแล้วจะกลับยังไง เดินไปกว่าจะถึง”


“วันนี้เอาจักรยานมา...เฮ้ย อย่าทำหน้างั้นดิ ไม่ต้องห่วงหรอก ทำเหมือนเราไม่เคยกลับดึก แล้วบ้านก็อยู่แค่นี้ พวกนายไปกินกันก่อนเลย ไว้คราวหน้าเราค่อยไปด้วย”


“เอางั้นเหรอวะ”


“อืม”


“ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรโทรหาด้วยนะเว้ย” ชางกยุนบอกยังไม่วายเป็นห่วง


“โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”


ฮยองวอนโบกมือให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคนที่กอดคอกันเดินห่างออกจากสายตาแล้วก้มมองใบคำร้องยื่นขอดรอปที่เว้นว่างให้เขียนรายละเอียดแต่ส่วนท้ายมีลายเซ็นต์อนุมัติเรียบร้อยก็ถอนหายใจ


...กรรมอะไรของเขา...


เพราะความเหนื่อยเริ่มเล่นงานคนที่เสียทั้งกำลังกายและกำลังใจไปกับการเรียนคาบสุดท้ายของช่วงบ่าย นาฬิกาบนข้อมือบอกให้รู้ว่าเหลือเวลาอีกสี่สิบนาทีสำหรับทำธุระส่วนตัวแต่เขากลับลากเท้าพาตัวเองไปยังห้องซ้อมเต้นของคณะที่ยังปิดไฟมืดแต่มีแสงสว่างจากหน้าต่างลอดเข้ามาพอให้เห็นทาง เล็งหาพื้นที่เหมาะๆได้ก็วางกระเป๋าต่างหมอนเอนกายลงนอน


...สิ่งที่เขาชอบรองจากกินก็คือการนอนแถมเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่เคยมีปัญหาแปลกที่มีตรงไหนไสตัวให้นอนได้ก็หลับ ยิ่งห้องไม่มีคนและกำลังเหนื่อยต้องฉวยโอกาสนอนเอาแรง...


เขายังคงหลับไปเรื่อยๆ กระทั่งถูกใครบางคนเขย่าไหล่เอาแรงๆนั้นแหละถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมองใบหน้านวลและดวงตาเรียวน่ารักที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้


มิน ยุนกิคือชื่อของคนตรงหน้า...นักศึกษาคณะนิเทศปีสองเอกการภาพยนตร์และภาพนิ่งที่ได้รับบทบาทเป็นนายแพทย์โยฮันน์ เฟาสต์ ตัวเอกของละครเวทีเรื่องนี้ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศ


“หลับอีกแล้วเหรอ...เจอทีไรหลับทุกที” คำทักทายนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนหยี


“เราง่วงอ่ะยุนกิ วันนี้ก็ซ้อมถึงมืด ถ้าไม่นอนเอาแรง เดี๋ยวได้หลับกลางอากาศ” เสียงทุ้มแต่งัวเงียว่าทั้งที่ยังนอนหนุนกระเป๋าอยู่


“หิวหรือเปล่า...เรามีขนมปังไส้แฮมอยู่จะกินไหม”


“ของเจ้าไหน”


“ฝั่งตรงข้ามมหาลัยอ่ะ”


“กิน” มือเรียวยื่นไปหาคนที่ถอยออกไปคว้านหาของกินในกระเป๋าตัวเอง


“จะกินก็ลุกมานั่งกินดีๆ”  เพราะถูกสั่งเลยต้องจำใจลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับมือที่ยื่นออกไปใหม่ พอขนมปังถูกส่งมาก็เอ่ยขอบคุณแล้วแกะกินทันที


“แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่า โดนอาจารย์โฮซอกด่ามาอีกแล้วนี่”


“ไปได้ยินจากไหน”


“พวกแจวอนบอก”


“ทำไมถึงไปเจอพวกนั้นได้”


“ก็ต้องถ่ายหนังสั้นส่งอาจารย์ เลยให้พวกนั้นมาเล่น ทีนี้คุยไปคุยมาพวกนั้นเลยเล่าให้ฟังว่านายโดนอาจารย์ด่าเละเป็นโจ๊กเลยแต่ดูท่าทางนายไม่เห็นเหมือนคนโดนอาจารย์เขาด่ามาเลย คงชินแล้วสินะ”


“ไม่อ่ะ ไม่ชิน”


“แล้วทำไมยังนิ่งอยู่ได้เนี่ย”


“ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะให้ชักสีหน้าหรือด่ากลับไปเหรอ...ทางนั้นเขาเป็นอาจารย์ ขืนทำก็โดนหนักเข้าไปอีก”


“จริงๆ ถึงไม่ใช่อาจารย์โฮซอกด่า เวลาปกตินายก็ทำหน้านิ่งตลอดเวลาอยู่ดี”


“เป็นคนหน้าแบบนี้อ่ะ จะให้เดินยิ้มตลอดคนจะได้หาว่าบ้า”


555 แต่น้องชายนาย มินฮยอกอ่ะเดินยิ้มทักชาวบ้านตลอดทางเลยนะ รู้จักจนจะหมดมหาลัยได้แล้วมั่ง”


“ให้น้องเราทำไปเหอะ ส่วนเราไม่เอาด้วยหรอก” บอกทั้งที่ยังเคี้ยวขนมปังเต็มปากแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์


“กินให้มันดีๆหน่อยสิ เลอะไปหมดแล้ว เฮ้ย อย่าเอาแขนเสื้อเช็ดสิฟร่ะ นั่น แขนเสื้อเปื้อนหมด”


“นิดเดียวเอง ซักได้”


“นายนี่ตลกจัง ตอนไม่รู้จักกันนึกว่าเป็นพวกเย็นชา พอรู้จักจริงเหมือนเด็กเลย นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน จะทำอะไรก็ทำไม่ห่วงหน้าตาตัวเองเลย”


“ห่วงทำไมเล่า ยังไงหน้าตาก็ไม่เปลี่ยนไปกว่านี้หรอก นอกจากทำศัลยกรรม”


“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”


“แล้วหมายถึงแบบไหน เออ ช่างเหอะ ว่าแต่นี่ถึงเวลาซ้อมแล้วใช่ปะ ทำไมพวกพี่เขายังไม่เรียกอีกอ่ะ” คนตัวสูงถามพลางกวาดสายตามองบรรดาทีมงานที่มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันกระจายอยู่เต็มห้อง


“วันนี้ทีมเขียนบทเขาให้เด็กอักษรมาช่วยดูว่า คำที่ใช้ในบทสนทนามันเข้ากับช่วงสมัยนั้นไหม”


“แล้ว”


“มันมีต้องแก้ก็เลยนั่งแก้กันอยู่ตรงนู้น” ยุนกิชี้นิ้วไปอีกฟากหนึ่งของห้องเรียกให้อีกคนเหลือบตามองไปทางกลุ่มคนที่นั่งล้อมเป็นวงช่วยกันแก้แต่มีคนหนึ่งในนั้นกลับเงยหน้ามองมาทางเขา จากระยะห่างตรงนั้นถึงตรงนี้อนุมานได้ว่าคิดไปเองถ้าไม่เห็นอีกฝ่ายทำท่าสะดุ้งแล้วก้มกลับไปมองในวงล้อมนั้น


“หน้าเรามีอะไรติดเหรอ”


“เปล่านิ”


“แล้วเขามองทำไม”


“ใคร”


“คนนั้น เด็กอักษรล่ะมั่งมองเรา พอเรามองตอบก็หลบตา”


“ไม่มีอะไรหรอก คงมองไปเรื่อย เฮ้ย นายก็อย่าไปมองจ้องหน้านิ่งแบบนี้ดิ เวลานายทำหน้าเฉยๆไม่ยิ้มมันดูดุอ่ะ เมื่อกี้เขาเห็นเข้าคงนึกว่านายเขม่นเลยหลบตาแหง่”


“ก็ไม่ได้อยากมองหรอกนะ กินต่อดีกว่า” สุดท้ายก็ละความสนใจกลับมาที่ของกินเหมือนเดิมและรอจนกระทั่งรุ่นพี่เรียกตัวนักแสดงถึงลุกตามหลังยุนกิไปรวมตัวโดยมีผู้ชายคนเดียวกับที่หลบตาเขาเมื่อกี้ยืนรออยู่ บทที่ถูกเขียนแก้ไขในกระดาษถูกแจกจ่ายกันไปตามบทบาทที่แต่ละคนได้รับ


ฮยองวอนพลิกกระดาษสี่แผ่นที่ได้รับแจกมา ไล้สายตาอ่านคร่าวๆแล้วชะโงกมองไปยังเพื่อนที่รับบทพระเอกเพื่อเปรียบเทียบปริมาณ เมื่อเห็นว่าบทเมฟิสโตฟีลีสที่ตัวเองรับมีการแก้ไขบทสนทนาเยอะกว่าคนอื่นก็ขมวดคิ้วทันที


“ขอโทษนะครับ” ประโยคอ่อนเบานั้นดังข้างหู...คนตัวสูงหันไปมองก็เห็นผู้ชายคนเดิมที่ส่วนสูงเหมือนจะน้อยกว่าเขาซึ่งแก้บทให้ยืนอยู่ข้างตัวเอง ในระยะใกล้นั้นทำให้อีกคนเห็นใบหน้าเรียวเข้ม คิ้วหนาเฉียงไปด้านบนเล็กน้อยรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากบาง ขณะที่ดวงตาเม็ดอัลมอนด์ทอดมามีแววรู้สึกผิด “บทเมฟิสโตฟิลีสมีคำที่ไม่ใช้ในยุคนั้นเยอะ เลยต้องแก้บทสนทนามากกว่าคนอื่น ขอโทษนะครับ” คำอธิบายนั้นตามหลังมา


“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ถึงการจำบทในสองวันจะลำบาก แต่ไม่มีทางเลือกนี่นะ เป็นคนแสดงไม่มีสิทธิ์บ่นหรอก มีแค่จำแล้วทำให้ดีแค่นั้น” คนตัวสูงบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ไม่โกรธใช่ไหมครับ”


“โกรธไปทำไมครับ คนอื่นเขาก็ต้องจำใหม่เหมือนกันแค่น้อยกว่า”


“แต่หน้าคุณ ดู ไม่ค่อย...” พูดแล้วเสียงก็หายไป


“เขาไม่ได้โกรธหรอกครับ ฮยองวอนน่ะเขาเป็นพวกทำหน้าเฉยกับทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่ต้องแสดงตามบทบาทหรือเรื่องของกิน หน้าเขาจะนิ่งๆแบบนี้” ยุนกิหันมาช่วยพูดแทนคนที่ทำหน้าไร้ความรู้สึก


“อ้อ แบบนี้นี่เอง ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” ฝ่ายคนแก้บทว่าพลางยิ้มน้อยแล้วก้มศีรษะให้


“นี่เรียนอักษรเอกอะไรเหรอครับ” อีกคนที่หน้าตาเป็นมิตรกว่าถามเพิ่ม


“เอกภาษาเยอรมันครับ แต่เรียนวิชาโทภาษาและวัฒนธรรมจีน”


“อยู่ปีไหนเหรอครับ” ปากยังคงขยับถามต่อแต่เพราะถูกเรียกให้ไปซ้อมแล้วเลยต้องแยกกันอัตโนมัติ


การซ้อมแสดงละครเวทีดำเนินไปเรื่อยอย่างไม่มีทีท่าที่ทั้งคนแสดงและทีมงานจะหยุดพัก มีหลายครั้งที่ต้องเริ่มต่อบทกันใหม่ในจุดที่มีการแก้บทสนทนาทำให้การซ้อมกินเวลาจากบ่ายสามโมงล่วงถึงสี่ทุ่ม เล่นเอานักแสดงถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น


ฮยองวอนพิงหลังกับกำแพงสูดลมหายใจด้วยความเหนื่อยพลางทอดสายตาออกไปยังรอบห้องพร้อมกับความหิวที่แล่นเข้ามาก่อนที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าจะสั่นจนต้องหยิบออกมาดูก็เห็นทั้งพี่และน้องชายส่งคาทกมาบอกว่า ออกไปข้างนอกให้หาอะไรกินก่อนเข้าบ้านด้วย


...ไปไหนอ่ะ...


นิ้วเรียวกดพิมพ์ข้อความตอบกลับและได้รับข้อความตอบกลับว่า ออกไปหาไรกินกับเพื่อนจากทั้งคู่ ซึ่งเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ระยะหลังมานี้พี่ชายและน้องชายเขาใช้ตอบแทบทุกครั้งที่ถาม


...ทิ้งกันประจำ หรือมีแฟนกันแน่วะ...


เขาเม้มริมฝีปากเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือก็เห็นนักศึกษาคณะอักษรคนนั้นมองเขาอยู่ แต่ครั้งนี้เมื่อสบตากันเหมือนฝ่ายนั้นจะส่งยิ้มบางๆมาให้เลยยิ้มตอบกลับไป


...ยิ้มเป็นนะ แต่ถ้าไม่ใช่ยิ้มเพราะตลกหรือขำก็ต้องมีคนยิ้มให้ก่อน...


“นายจะกลับยัง” ยุนกิกระเถิบตัวเข้ามาใกล้


“กลับล่ะ”


“วันนี้กลับยังไง...ติดรถเราไปไหม”


“ไม่ต้อง มีจักรยาน”


“งั้นเหรอ ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับไหม”


“จะไปก็...” คนถูกถามพูดไม่ยังจบ อีกฝ่ายก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสายที่โทรเข้ามาเลยเลือกจะเงียบและฟังบทสนทนาที่ตอบปลายสายก็จับใจความได้ว่า ถูกตามตัวให้ไปหาด่วน


“แฟนโทรมาดิ”


5555 รู้ดีวะ”


“พูดซะนอบน้อมแทบกราบเขาขนาดนี้ไม่รู้ก็บ้าแล้ว...ไป ไม่ต้องพูดแล้ว รีบกลับไปเลยไป”


“โหย อะไรน้อยใจเหรอ”


“ไม่อ่ะ...แต่แฟนนายแม่งมีเบอร์เรา นายไปช้า เดี๋ยวแม่นางก็โทรเข้าเครื่องเรายิกๆ เรารำคาญ แล้วรอบหน้าถ้าเปลี่ยนแฟนไม่ต้องให้เบอร์เรากับแฟนนายแล้วนะ เข้าใจนะว่าอยากให้เขาเชื่อว่าไม่ได้ไถลไปไหนแต่ให้เบอร์เพื่อนคนอื่นกับเขาไปบ้าง”


“ใช้คำว่ารำคาญเลยเหรอ ใจร้ายวะ”


“ชอบโทรมาตอนตีสามตีสี่ น่ารำคาญจะตาย”


“เฮ้ย นี่ตื่นมารับสายเหรอ”


“ใครจะรับเล่า ตื่นมาเห็นมิสคอลต่างหาก จริงๆเราก็ไม่รับหรือโทรกลับอยู่แล้ว โทรมาก็เท่านั้นแหละ”


“โถ ช่างเย็นชาจริงๆ มิน่า ทำไมถึงหาแฟนไม่ได้สักที”


“มีแฟนเป็นคนน่ารำคาญ เป็นแฟนกับหมอนดีกว่า ไม่จุกจิกจู้จี้ ง่วงก็หนุนหลับ”


“เออ ก็มีแต่นายแหละที่คิดอย่างนั้น”


“มัวแต่คุยเนี่ย สรุปจะกลับยัง เราจะได้ไปหาข้าวกินแล้วกลับบ้าน”


“รู้แล้ว...กลับก็กลับ” ยุนกิบอกเขย่งเท้าตะกายไปปีนหลังเพื่อนแล้วพากันเดินไปลารุ่นพี่ที่ยังอยู่ในห้องและเดินออกจากตึกคณะ ผ่านทางเดินภายในมหาวิทยาลัยที่มีไฟทางส่องเป็นระยะไปจนถึงลานที่จอดรถและจักรยาน


“พรุ่งนี้มีซ้อมแปดโมงนะ”


“อืม ไว้เจอกัน”


คนตัวสูงกว่าโบกมือลาให้กับเพื่อนที่ก้าวขึ้นรถยนต์สีขาว ส่วนตัวเองก็ไขกุญแจปลดสายยูที่คล้องจักรยานกับที่จอดแล้วปีนขึ้นไปคร่อมขี่มันออกจากมหาวิทยาลัยแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเสียงท้องที่ร้องสนั่นหวั่นไหวทำให้ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปจอดข้างร้านข้าวหน้ามหาวิทยาลัยที่ยังเปิดไฟสว่าง


...จะยังไงไม่รู้ แต่ท้องต้องห้ามหิว...


เมื่อผลักประตูเข้าไปภายในร้านที่มีลูกค้าคนเดียวนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่ยื่นออกมายาวพอสมควรเลยเลือกนั่งตรงเก้าอี้ที่ห่างจากคนนั้นไปสองตัว  เจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันเพราะเป็นลูกค้าประจำโผล่จากหลังร้านมาทักทายพร้อมยื่นเมนูให้ เขาจัดการจิ้มอาหารชุดในเมนูไปส่งๆด้วยเชื่อรสมือและอยากให้ของกินมาไวๆ


“นี่จ้า ได้แล้ว ไหนๆก็ใกล้ปิดร้านแล้วป้าแถมกุ้งทอดให้สามตัวนะ” เจ้าของร้านบอกอย่างใจดีพร้อมเสิร์ฟชุดอาหารที่มีเทมปุระรวม ซุปเนื้อกิมจิร้อนๆกับข้าวสวยลงตรงหน้า คนท้องหิวมองข้าวเย็นตอนสี่ทุ่มของตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกายสดใสราวกับเห็นขุมทรัพย์ล้ำค่า


“ขอบคุณครับ น่ากินมากเลย ผมจะกินให้อร่อยเลยนะครับ” เขาบอกขณะพนมมือที่มือช้อนไว้พลางเหยียดริมฝีปากอิ่มหนาออกกว้างจนตาหยีอย่างเป็นสุข


“ยิ้มเป็นนิ” เพราะเสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากลูกค้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆทำให้รอยยิ้มหดลงทีละน้อยและเมื่อดวงตาเห็นชัดแล้วว่าชายที่กระดกโซจูอยู่ห่างออกไปแค่สองเก้าอี้คั่นเป็นใครเหงื่อก็ผุดขึ้นอัตโนมัติ


“อะอาจารย์...อาจารย์โฮซอก อา สวัสดีครับ” ร่างสูงทักทายตะกุกตะกักพลางโค้งเกือบเก้าสิบองศาให้ทั้งที่นั่งอยู่จนแทบจะร่วงจากเก้าอี้ดีที่มือคว้าขอบโต๊ะทัน “มืดแล้ว อาจารย์ยังไม่กลับอีกเหรอครับ”


“ผมตรวจรายงานนักศึกษาเพิ่งเสร็จ” สุ้มเสียงอันเย็นชานั้นตอบและถามกลับ “คุณล่ะทำไมยังไม่กลับ”


“ผมมีซ้อมละครเวทีน่ะครับ”


“อา ใช่ แสดงละคร....คุณต้องแสดงละครเวทีครบรอบสี่สิบปีของคณะนี่นะ”


“ครับ”


“เห็นว่าอาจารย์กับทีมกำกับการแสดงเขาชมคุณกันมากเลยนี่”


“อา เหรอครับ” ลูกศิษย์หนุ่มก้มหน้ามองมื้อเย็นของตัวเอง ทั้งที่กระเพาะร้องครวญแต่ความเกร็งทำให้ไม่กล้าขยับตักอะไรเข้าปากหรือแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ


“มันก็แปลกดีนะ ทั้งที่อาจารย์หลายคนชมคุณเรื่องพรีเซนต์หน้าชั้นและการแสดงแต่ในวิชาของผมคุณกลับไม่ทำอย่างนั้นให้เห็น”


คราวนี้คนที่นั่งฟังทุกคำของอีกฝ่ายนั่งตัวแข็ง สีหน้ายังไร้อารมณ์เช่นเดียวกับดวงตาที่มองข้ามตรงหน้าอย่างเลื่อนลอยเหมือนทุกอย่างเบลอไปหมด


“ผมเข้าใจดีว่า สไตล์การสอนของผมคงไม่ถูกใจคุณ แต่คุณควรทำอะไรให้ผมรู้สึกว่า คุณใส่ใจวิชาผมเท่ากับอาจารย์ท่านอื่นบ้าง ใจคอจะเอาเกรดต่ำกว่าซีอีกหรือไง” คนเป็นอาจารย์เริ่มลากเสียงตวัดดวงตากลมเรียวมาหาคนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล


“ผมใส่ใจนะครับ” อีกคนตอบเสียงเบา


“แต่ผมไม่รู้สึก”


“ต้องทำยังไงอาจารย์ถึงจะรู้ล่ะครับ” คำถามนั้นพึมพำอยู่ในคอ แต่คนที่นั่งห่างออกไปกลับได้ยินและตอบกลับทันควันชนิดที่ทำให้คนฟังเสียวสันหลังวาบ


“คุณเป็นเด็กฉลาดนะ ฮยองวอน...คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง”


“ผมไม่ทราบครับ”


“คุณรู้...แต่คุณแค่ไม่อยากทำ”


“ผมไม่รู้จริงๆครับ”


“ชีวิตคุณไม่เคยมีปัญหาหรือยังไง”


“มีครับ”


“ปกติเวลามีปัญหา คุณแก้ปัญหาของคุณด้วยการวิ่งหนีงั้นสิ” ถ้อยคำกับแววน้ำเสียงนั้นเย็นเยือก คนเป็นลูกศิษย์เผลอเหลือบไปสบกับสายตาของอาจารย์หนุ่มที่มองมาอย่างเย็นชาก็เสมองไปอีกทาง ความหิวและความเครียดแล่นปะทุกันอยู่ภายในทำให้ท้องปั่นป่วนไปหมด


“อาจารย์ครับ...” คนอ่อนกว่าหลุดคำหนึ่งออกจากปาก ท้องส่งเสียงโครกครากประท้วงจนที่สุดเจ้าตัวก็ทนไม่ไหวโพล่งออกไปอย่างไม่ตั้งใจเพราะความหิว “ตอนนี้มันนอกเวลาเรียนแล้วนะครับ ผมขอกินข้าวก่อนได้ไหมครับ”


ชั่วนาทีนั้นทุกอย่างภายในร้านเหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหว เสียงทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นพลันหายไป คนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่า หลุดปากสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปหลับตาพลางเม้มริมฝีปากแน่น


“จริงสิ มันนอกเวลาเรียนแล้ว เอาเถอะ คุณกินข้าวให้อร่อยแล้วกัน” โฮซอกว่าปรายตามองคนที่ยังนั่งมองข้าวตัวเองไม่ขยับไปไหนด้วยสีหน้าเรียบเย็น ยกมือเรียกเจ้าของร้านให้คิดเงินและจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยก็ลุกจากเก้าอี้เดินผ่านหลังออกไป


เมื่อบานประตูปิดสนิทลง ฮยองวอนที่นั่งตัวแข็งแกร็งอยู่นานเงยหน้าจากอาหารเย็นของตัวเองพร้อมกับริมฝีปากที่พ่นลมหายใจอุ่นออกมาขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นลูบหน้า


...อะไรกันนักหนาเนี่ย...



You Might Also Like

0 Comments