LOVE TOXICAL : HYUNGWONHO CHAPTER 3

08:34



...แฮ่ก แฮ่ก...

เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยออกจากปากที่อ้ากว้างของคนตัวสูงที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตโดยมีกลุ่มคนใส่หน้ากากกระดาษหน้าอาจารย์โฮซอกไล่กวดมา และตอนที่เผลอมองไปข้างทางก็ผู้หญิงสวมหน้ากากกระดาษหน้าอาจารย์ดาซมยืนเรียงต่อกันไปสุดลูกหูลูกตา

...เป็นภาพที่สยดสยองและขนหัวลุกที่สุดในชีวิต...

ในนาทีที่หันกลับมามองทางข้างหน้า พลันชายชุดดำสวมหน้ากากกระดาษกลับกระโจนมาตรงหน้า เงื้อมีดเล่มยาวคมกริบแทงหลับมาทำให้อีกคนหลับตาแน่น ความรู้สึกคล้ายเหมือนโลกหมุนคว้างและเมื่อลืมตาตื่นอีกครั้งก็หน้าของใครคนหนึ่งอยู่เหนือจากเขาไปไม่ไกล ดวงตากลมพราวใสคู่นั้นกระพริบขึ้นลงเหมือนแปลกใจกับอาการที่ได้เห็น

“ยังไม่ทันปลุกเลย ตื่นเองได้ด้วยเหรอวอนนี่” เสียงใสเรียกอย่างสนิทสนม คนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายหอบหายใจอัดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนจะรู้สึกถึงความหนักคล้ายมีอะไรบางอย่างทับอยู่เลยไล้มองต่ำลงไปก็เห็นตัวเองถูกนั่งทับอยู่

“หนัก” คำเดียวหลุดจากคอที่แห้งผากแต่ถูกแทนที่ด้วยคำถาม

“เหงื่อท่วมเลยอ่ะ ไม่สบายเหรอ...แล้วแบบนี้จะไปซ้อมละครยังไง”

“หนัก”

“พูดว่าไงนะ ไม่ได้ยินเลย”

“หนักอ่ะ...มินมุนลุกได้ปะ”

“อ้าว โทษที ลืมไปเลยว่านั่งทับอยู่” พูดจบร่างผอมบางที่นั่งทับอยู่ก็ขยับไถลลงไปอยู่ข้างๆ ผมหน้าม้าสีบลอนด์เป็นเงาสลวยถูกมัดเป็นจุกเผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใสที่กระเดียดไปทางน่ารักมากกว่าจะหล่อเหลาสมชายชาญ

คนบนเตียงเปลี่ยนท่าจากนอนลุกขึ้นมานั่งจนผ้าห่มลายสนูปปี้ที่ห่มบนอกตกร่นมาอยู่บนหน้าตัก นัยน์ตากลมสวยดูตื่นเต็มตาผิดกับทุกที ทำให้ฝ่ายที่รับผิดชอบปลุกพี่ชายเป็นประจำย่นหน้าผาก

“วอนนี่เป็นไรเปล่าอ่ะ ฝันร้ายเหรอ” คำถามตามมาอีกเป็นระลอกพร้อมกับแขนเสื้อยาวที่ยื่นมาจะเช็ดเหงื่อให้คนที่นั่งนิ่งเหมือนสติหลุดลอย

“อืม”

“ว๊ากกกกกกกกก คนหลับลึกแบบวอนนี่ ฝันร้ายเป็นกับเขาด้วยเหรอ โหย ฝันร้ายน่ากลัวมากเลยเหรอ ไม่เป็นไรนะ มามินมุงจะกอดปลอบวอนนี่เอง” แขนผอมเปลี่ยนจากเช็ดเหงื่อเป็นพาดบนไหล่ตั้งท่าจะกอดเลยโดนมือจากแขนยาวของอีกคนดันหน้าไว้

“อย่ากอด เดี๋ยวเปื้อนเหงื่อ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไม่อาบน้ำสักหน่อย” ตอบกลับแล้วถอยหัวตัวเองพ้นจากมือเรียวใหญ่นั้นขยับมาสอดแขนเข้าไปกอดแขนของคนเป็นพี่เอาไว้แน่น

ฮยองวอนเหล่มองน้องชายที่ใช้ทั้งหน้าทั้งหัวคลอเคลียอยู่ตรงแขน  นิสัยพูดเก่ง ขี้อ้อน ทำตัวน่ารักสมกับหน้าตาเป็นสิ่งที่ติดตัวมินฮยอกมาแต่เกิด ไม่ว่าไปที่ไหนความอัธยาศัยดีและสดใสของเจ้าตัวเลยสนิทกับคนเขาไปทั่วราชอาณาจักร ผิดกับเขาที่กระตือรือร้นสุดก็ตอนกินกับตอนต้องแสดงเป็นอะไรสักอย่างตามบทนั้นแหละ

“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ”

“มี”

“แล้วทำไมไม่ไปอาบน้ำ”

“ก็เรียนตอนเก้าโมง แต่เห็นวอนนี่ติดโน้ตให้ปลุกตอนหกโมงครึ่งก็เลยว่าจะไปมหาลัยพร้อมวอนนี่”


“จะไปด้วยอะนะ เมื่อวานกลับมากี่โมง”

“ตีสาม”

“ทำไมกลับบ้านช้าจัง พักนี้เป็นอะไรกันตกเย็นไม่เคยอยู่ให้เห็นหน้า ทั้งพี่มาร์ค ทั้งมินมุนเลย  ที่บอกว่าไปกับเพื่อนน่ะ จริงๆแล้วไปกับแฟนก็บอกได้นะ”

“งุ้ย วอนนี่ เหงาเหยอที่ไม่เจอเก๊า” คนเป็นน้องทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางใช้นิ้วชี้จิ้มแขนของคนที่กอดอยู่ “ขอโทษน้าที่ทำให้เหงา แต่เก๊าไม่ได้มีแฟนหรอกน้า เก๊าแค่ไปปฏิบัติภารกิจลับเฉยๆ”

“ภารกิจอะไร”

“ก็บอกอยู่ว่าภารกิจลับ จะให้บอกได้ยังไง”

“อืม” พี่ชายตอบรับในลำคอไปทั้งแบบนั้นด้วยความขี้เกียจถาม

“อ้าว วอนนี่ตัดบทกันง่ายๆงี้เลย ถามเก๊าอีกสองสามคำเก๊าก็ตอบตัวแล้วนะ”

“ไม่เป็นไร ไว้มินมุนอยากบอกค่อยบอก รอได้”

มินฮยอกหัวเราะออกมาเบาๆแล้วซบหน้าลงกับแขนผอมปานกันของพี่ชายที่คนในบ้านตั้งฉายาให้ว่า ตัวสลอธ เพราะเจ้าตัวรักการกินกับนอนเป็นที่หนึ่ง ไม่ค่อยชอบเคลื่อนไหวไปไหนมากโดยไม่จำเป็น  ไม่ชอบซักไซ้อะไรถ้าอีกฝ่ายไม่บอกก็ไม่กระเสือกกระสนจะรู้ แถมความรู้สึกหรือก็ช้า เบลอๆงงๆประจำ ยิ่งถ้าไม่ใช่เรื่องที่สนใจแล้วล่ะก็จะเฉยๆไปเลย

ฮยองวอนดูดีที่สุดเวลาเดินแบบหรือสวมบทบาทด้านการแสดง แต่ออกจะเป็นคนน่าเบื่อสำหรับคนที่มองเพียงฉาบฉวยและอดทนไม่มากพอจะเห็นเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ข้างใน

“ตัวเองรู้จักดิชแพทปะ”

“สำนักข่าวที่ชอบปล่อยรูปเดทดาราอ่ะเหรอ”

“ช่าย...พอดีรุ่นพี่ของจูจูทำงานอยู่ที่นั่นเขาไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลสองอาทิตย์ เขาเลยอยากได้คนไปคอยตามไอดอลเพื่อหาว่ามีเดทกับใครหรือเปล่าแทนเขาอ่ะ ในฐานะที่เค้าจะเลือกเอกสื่อสารมวลชนก็เลยไปลองทำกับจูจูดู”

“สนุกเหรอ”

“สนุกสิ...ตอนนี้เค้ารู้แล้วน้าว่าพวกไอดอลหรือนักแสดงเขามีวิธีหลบการเดทของตัวเองแบบไหนบ้าง”

“ไม่อันตรายเหรอ”

“ก็ตามห่างๆเอาเลนส์ข้าวหลามไปส่องก็ได้รูปแล้ว”

“พี่มาร์คเขารู้หรือเปล่า”

“รู้แค่ไปฝึกงาน แต่ไม่มีอะไรหรอกน่า จูจูก็อยู่ด้วย...มีหมอนั่นวางใจได้หายห่วง”

“ถึงจะมีคนอยู่ด้วยก็เถอะนะ แต่ว่ากลับดึกๆทุกวันมันก็ไม่ดีนะ”

“อาทิตย์นู้นเขาก็เลิกทำแล้วน่า แล้วจะรีบกลับบ้าน วอนนี่จะได้ไม่เหงา” จบประโยคก็ซุกหน้าลงไปบนเสื้อยืดแขนยาวที่อีกคนสวมอยู่

“แล้วนี่พี่มาร์คไปไหนอ่ะ”

“ยังไม่ตื่น เห็นเมื่อวานกลับมามืดเหมือนกันเลยไม่อยากปลุกงะ”

“เหรอ...งั้นพวกเราก็ไปอาบน้ำกันเหอะ” คนเป็นพี่บอกโยกหัวน้องไปมาเหมือนเป็นตุ๊กตาแล้วดึงน้องลุกจากเตียงเพื่อเก็บผ้าห่มกับหมอนให้เข้าที่ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าหายออกไปอาบน้ำและกลับออกมาอีกครั้งในสภาพสวมเสื้อยืดแขนยาวพื้นขาวพาดลายเส้นตรงสีน้ำเงินกับยีนส์ขาดเข่า ขณะที่คนตัวเล็กกว่าสวมเสื้อเชิ้ตพื้นขาวลายรองเท้ากับกางเกงขายาวสีดำมีเสื้อคลุมพาดบนไหล่

“หิวจัง” คำนั้นลอยมาขณะเดินตามหลังน้องเข้าไปในห้องครัวกว้างที่ครบครันด้วยอุปกรณ์ทำอาหารแต่ไม่ค่อยมีใครใช้งานเพราะทำกันไม่เป็น มือเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่วางอยู่ข้างเคาน์เตอร์ทำอาหาร “มีแต่นมกับขนมเต็มตู้แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินเลยเหรอ สงสัยต้องไปฝากท้องร้านสะดวกซื้ออีกแล้ว”

“อ๋า” อยู่ๆเสียงร้องแหลมของน้องชายก็ดังลั่น “เค้าลืมไปเลย เมื่อเช้ามีคนเอาอาหารมาส่ง ตอนแรกเค้านึกว่าส่งผิดบ้านแต่เขาบอกว่าของวอนนี่ จะจ่ายเงินเขาก็บอกว่า คนสั่งจ่ายให้แล้วก็เลยรับมา เดี๋ยวนี้วอนนี่สั่งของกินให้มาส่งข้ามวันแล้วเหรอ”

“ไม่นะ เมื่อวานพี่กินข้าวข้างนอกเสร็จก็กลับบ้านนอน ไม่ได้สั่งอะไรมาสักหน่อย”

“แต่เขาบอกว่าของวอนนี่นะ...ลองไปดูสิ เค้าวางไว้บนโต๊ะ”

คนตัวสูงวางหน้าเฉยเดินไปบนโต๊ะกินข้าวมองถุงพลาสติกสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ร้านอาหารแห่งหนึ่งอยู่บนนั้นก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน พอเปิดถุงหยิบกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่มีเป็ดปักกิ่งออกมาดูหน้าตาก็สังเกตเห็นว่าในถุงยังมีถุงผ้าแพรสีขาวเย็บเป็นดอกโบตั๋นมีกลิ่นหอมห่อไว้ด้วยพลาสติกแข็งกับการ์ดสีแดงใบเล็กใบหนึ่ง

...กินข้าวเยอะๆนะ ผอมไปแล้ว...


“อา...” คำสั้นหลุดจากปากพยายามทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อวาน หลังซ้อมละครเหมือนว่าจะมีคนฝากติ่มซำให้เขา มีเรื่องของยองแจที่ไม่สบายและหลังจากนั้นก็มีเรื่องอภิมหาความซวยเกิดขึ้นในชีวิต

ในตอนที่ใบหน้าของอาจารย์โฮซอกลอยมาทำให้คิ้วเรียวสวยบนดวงหน้าละเอียดนั้นเริ่มยับยู่เพราะความกังวล แต่ความหิวที่เข้าครอบงำความเครียดนั้นเลยถูกพับเก็บไปก่อน...ไม่มีการพูดจาให้มากความแค่หยิบตะเกียบมาแยกจากกันแล้วคีบเนื้อเป็ดใส่เข้าปาก

“วอนนี่สั่งเป็ดปักกิ่งมาเหรอ โห สั่งเจ้าดังมาด้วยนี่นา ราคามันแพงมากไม่ใช่เหรอ สั่งมาแบบนี้เงินค่าขนมอาทิตย์นี้ไม่หมดก่อนเหรอ”

“มั่ยดั่ยฉั่ง” พูดออกไปทั้งที่เป็ดยังเต็มปาก

“อ้าว ไม่ได้สั่งแล้วมาได้ไง หรือว่าพี่มาร์คสั่งมาแต่ถ้าพี่มาร์คสั่งก็ต้องบอกของพี่มาร์คดิ” ถามพร้อมกับมือขาวที่หยิบของมาแกะออกจากห่อพลาสติกมาดม “ถุงหอมนี่นา...กลิ่นหอมมากเลย อ๊ะ มีการ์ดด้วยเหรอเนี่ย โหย ลายมือเหมือนเขียนพวกพู่กันจีนเลย”

มินฮยอกดมถุงหอมมองพี่ชายที่ตักเป็ดปักกิ่งใส่จานเลื่อนมาให้ตรงหน้าและก้มหน้าก้มตากินเหมือนคนหิวโหยมาหลายปีชนิดที่รูดกระดูกออกจากเนื้อเป็ดได้ในคำเดียว...สำหรับเรื่องกินพี่ชายเขาเป็นที่หนึ่งเสมอ

“วอนนี่”

“หืม”

“ใครส่งของพวกนี้มาให้เหรอ” ถามออกไปเพราะแน่ใจว่ามีคนส่งมาให้...เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่เกิดบ่อยซะจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ ก็ด้วยความที่ครอบครัวเขาเกิดมาหน้าตาดีได้พ่อได้แม่กันมาหมดเลยมีคนส่งของมาให้เสมอ โดยเฉพาะกับพี่มาร์ค รายนั้นมีของมาให้ไม่ขาดสาย ของเขาก็มีบ้างประปราย แต่นี้เห็นจะเป็นครั้งแรกที่มีคนส่งมาให้พี่ชายคนรอง

“มั่ยยู้ฉิ”

“ไม่รู้แล้วกินเข้าไปได้ไง”

“อ้ออิว อินอินเอ้าไอ เออะอา”

“วอนนี่...พี่จะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ได้นะ ใครส่งมาให้ก็ไม่รู้ ถ้าเขาใส่ยาลงมาจะทำยังไง เดี๋ยวก็ตายพอดี หยุดกินเลยนะ คายออกมา” มือของน้องจับมือพี่ชายที่กำลังคีบเป็ดจะยัดเข้าปากแต่เพราะของกินทำให้คนไม่ค่อยเหมือนไม่ค่อยมีแรงตลอดฝืนเอาเข้าปากจนได้

“วอนนี่ ทำไมไม่ฟังเค้า ยังจะเอาเข้าปากอีก”

“อร่อยขนาดนี้ไม่มียาหรอกน่า มินมุนก็อย่าคิดมาก กินเข้าไปจะได้ไม่หิวมีแรงไปเรียน” บอกออกมาอย่างไม่คิดมาก ฝ่ายคนเป็นน้องมองเป็ดปักกิ่งกองนอนยั่วอยู่บนจานกระดาษ มีน้ำซอสหอมๆน่ากินราด ในเวลาไม่ถึงสองนาทีคนรักการกินที่กำลังหิวเช่นกันก็พ่ายแพ้หยิบตะเกียบคีบเข้าปาก

“อา สวรรค์ นี่มันเป็ดสวรรค์ชัดๆ”

“เอ็นอะออกแอ้วอ้อไอเอื่อ อินอินเอ้าไอเออะ”

สุดท้ายก็กลายเป็นทั้งสองคนนั่งกินเป็ดปักกิ่งกันจนเกลี้ยงกล่องเหลือเพียงกระดูกที่มีรอยฟันแทะน้อยๆคล้ายว่าถ้ากินกระดูกได้ก็จะกินเข้าไปด้วย มือไม้และปากมันเหมือนฝูงแร้งลง ความอร่อยนั้นทำให้ลืมไปด้วยซ้ำว่าควรจะเหลือให้พี่ชายคนโตที่นอนอยู่สักหน่อย พอนึกขึ้นได้ก็สายเกินไปเลยได้แต่เก็บกวาด ล้างไม้ล้างมือหยิบกระเป๋าสะพายหลังและถุงของกินที่หมดแล้วออกจากบ้านมาทิ้งข้างนอก

“มินมุนกี่โมงแล้ว” หลังจากเดินห่างตัวบ้านมาได้ระยะหนึ่งก็มีคำถามเกิดขึ้น

“เจ็ดโมง”

“เจ็ดโมงเหรอ อืม เจ็ดโมง” เสียงของคนถามพูดกับตัวเองเหมือนกำลังใคร่ครวญ หากสักพักก็ยืนกระพริบตานิ่งแล้วฉุดมือน้องลากให้วิ่งมาด้วยกันโดยไม่พูดไม่จาเลยสักคำแต่คนเป็นน้องรับรู้ด้วยความที่อยู่กันมานาน

...กลัวไปสายแน่นอน...

ถึงมหาวิทยาลัยจะใกล้กับบ้านชนิดที่เรียกได้ว่าหลับตาเดินก็ไม่หลงแต่ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินให้ถึงก็สิบนาที ไหนจะไปให้ถึงตึกคณะที่อยู่ลึกเกือบจะสุดถึงรั้วด้านหลังของมหาวิทยาลัยรวมๆแล้วก็เกือบยี่สิบห้านาที

ขาเพรียวยาวแทบกระโดดออกไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาเป็นการวิ่งที่ทำให้คนขาสั้นกว่าที่ถูกจับไว้ต้องตะกายตามจนเหนื่อยเป็นสองเท่า

...พี่ชายเขาไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบการวิ่งแต่ถ้าจำเป็นจริงๆ กลับวิ่งเร็วกว่านักกีฬาเสียอีก...

หลังจากพากันวิ่งฝ่าทุกอย่างแบบไม่คิดชีวิตก็มาถึงห้องซ้อม ฮยองวอนโซเซเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่ที่วุ่นอยู่กับเสื้อผ้า ปล่อยน้องให้มองหาที่นั่งจนไปเจอเข้ากับเพื่อนของพี่ที่นั่งขัดสมาธิพิงติดกาวกับกระดาษลงบนไม้เลยทรุดลงนั่งข้างๆ

“ทำไรอ่ะกุกุ๊ง” เขาถามออกไป อีกฝ่ายหยุดมือปรายตามาหาอย่างดุๆ

“เรียกกุกุ๊งอีกล่ะ...ฉันเป็นพี่นะว้อย เรียกพี่ไม่เป็นไง”

“ก็จูจูเรียกแบบนี้นี่”

“นั่นมันสำหรับคนในครอบครัวปะ”

“ตัวเป็นเพื่อนพี่ชายเขา เป็นน้องชายของเพื่อนเค้า...เรียกกุกุ๊งได้ไม่เห็นเป็นไร ตัวหวงเหรอไง จูจูยังเรียกพี่ชายเค้าว่า วอนนี่เหมือนกันได้เลย เค้าไม่เห็นหวง” คนขี้อ้อนเอนหัวลงไปซบกับไหล่ของอีกคนพร้อมกับหยิบกระดาษที่วางอยู่มาดูเลยถูกผลักหัวออกมา

“โอ๊ย...เจ็บนะกุกุ๊ง”

“ใครใช้ให้มาซบล่ะ...กระดูกคออ่อนหรือไง” ชางกยุนบ่นยังคงดันหัวอีกคนที่ปัดแขนไปมาพยายามจะกลับเข้ามาใกล้อีก

“กุกุ๊งนี่ไม่น่ารักเหมือนจูจูเลย รังสีความมืดนี่แผ่ซ่าน เป็นน้องจูจูได้ยังไงก็ไม่รู้”

“ก็มันคนละคนไหม แล้วหยุดเรียกกุกุ๊งกับจูจูสักทีสิ พี่จูฮอนเป็นพี่ชายฉัน เป็นรุ่นพี่ปีสามแล้วนะว้อย นายมาเรียกซะเสียเลย”

“ตัวก็เรียกเขาว่ามินมุง เรียกพี่เขาว่าวอนนี่สิจะได้เท่าเทียม”

“มันไม่ใช่เรื่องความเท่าเทียมปะ...คุยกับนายแม่งประสาทจะแดก ฮยองวอนมันทนคุยด้วยทุกวันได้ไง”

“เค้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าวอนนี่ทนเป็นเพื่อนกับกุกุ๊งได้ยังไง” อีกคนไม่ยอมย้อนกลับ

“โวะ ถ้าจะมากวนแทนจะช่วยก็ไปนั่งนู้นเลยไป”

“โหย แค่นี้ก็ต้องไล่ แล้วกีคุงฝาแฝดตัวไปไหนล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ”

“อีกล่ะ บอกแล้วไงว่า กีฮยอนกับฉัน ไม่ใช่แฝดกัน” คนง่วนอยู่กับงานฝีมือเงยหน้าขึ้นมาใหม่ “มันมีเรียน”

“มีเรียนเช้าเหรอ แล้วทำไมกุกุ๊งกับวอนนี่ถึงอยู่นี่ล่ะ โดดเรียนเหรอ”

“โดดเรียนบ้าอะไรล่ะ กีฮยอนมันลงทะเบียนเรียนวิชานี้กับแฟนมัน”

“อะไร กีคุงมีแฟนแล้วเหรอ”

“มีแล้วดิ...เพิ่งคบกันเทอมที่แล้วนี่เอง เป็นดาวคณะมนุษย์ฯด้วย”

“อ้อ แฝดกุกุ๊งไปติดสาว ตัวเองก็เลยเหลือแต่วอนนี่สินะ น่าสงสาร”

“สงสารอะไร อยู่กับฮยองวอนมันก็ดีอยู่แล้ว”

“กุกุ๊งนี่ดูชอบวอนนี่มากเลยเนาะ เค้าก็ชอบวอนนี่มากเหมือนกัน วอนนี่น่ะเป็นพี่ชายคนโปรดของเค้าเลยล่ะ แต่กุกุ๊งต้องหัดผูกมิตรกับคนอื่นนอกจากวอนนี่กับกีคุงบ้างนะ เดี๋ยววอนนี่มีแฟนไปอีกคนมีหวังแห้งตาย”

“อย่างฮยองวอนมันอ่ะนะจะมีแฟน 555555 นายบอกว่ามีแฟนยังเป็นไปได้มากกว่าอีก”

“ก็ไม่รู้สินะ แต่เมื่อเช้าอ่ะมีคนเอาเป็ดปักกิ่งร้านดังมาส่ง มีการ์ดกับถุงหอมมาให้วอนนี่ด้วยแหละ ในการ์ดเขียนว่าไงน้า กินเยอะๆนะ ผอมไป ให้ของแพงขนาดนั้นต้องชอบวอนนี่มากแน่ๆ แต่พอถามวอนนี่ก็บอกไม่รู้ใครให้กินลูกเดียวเลย...นี่ กุกุ๊งรู้เปล่าว่าใครให้มา”

ชางกยุนชะงักปล่อยมือออกจากไม้ที่ทากาวอยู่ลงตักทันทีที่ได้ยินน้องชายของเพื่อนเอ่ยถึงเรื่องของกำนัลที่มีคนฝากมาให้ตอนเช้าพลางหันไปมองหน้าคนข้างๆตาแข็ง

“ชื่อร้านอะไร”

White Dragon 

“จริงดิ...เมื่อวานที่มีคนฝากรุ่นพี่เอาติ่มซำมาให้ฮยองวอนก็ร้านนี้เหมือนกัน”

“งุ้ยๆ ฝากมาให้เมื่อวานด้วยเหรอ...ใครกันนะถึงเอาของกินแพงๆมาให้ อยากรู้จังว่าเป็นใคร จะว่าไปวอนนี่ก็เคยมีคนเอาของมาให้นี่เนาะแต่เนี่ยครั้งแรกเลยนะที่มาส่งถึงบ้าน”

“ไอ้ส่งถึงบ้านนี่มันเข้าข่ายสโตกเกอร์แล้วปะ”

“ถ้ารู้จักบ้านได้ก็น่าจะเป็นคนคุ้นเคยไหมล่ะ...กุกุ๊งเป็นเพื่อนวอนนี่นิ มีใครที่รวยๆแล้วน่าสงสัยไหมอ่ะ”

“ไม่เห็นมี” คนเป็นเพื่อนตอบด้วยคิ้วขมวดพลางทอดสายตาไปยังคนตัวสูงที่ยืนนิ่งปล่อยให้รุ่นพี่เอาเสื้อคลุมสีดำที่ไปแก้ขนาดมาให้ลองสวม

ฮยองวอนแหงนหน้าเล็กน้อยเพื่อมองตัวเองในกระจกเพราะส่วนหมวกของเสื้อคลุมนั้นตกลงมาคลุมเกือบครึ่งหน้าเหลือให้เห็นแค่จมูกกับริมฝีปากแต่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรแค่กำลังรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง พยายามคิดอยู่นานจนนึกออกก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกแต่ไม่มีใครรับสายเลยเปลี่ยนเป็นส่งข้อความผ่านคาทกไปแทน

...เมื่อวานยองแจเป็นลม เขาตามอาจารย์ฮอนชอลพาไปหาหมอแต่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราว...
...เป็นห่วงมากอยู่นะแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้มีสิ่งที่ต้องทำอยู่เลยได้แต่โทรไปหากับส่งข้อความ  
...ไว้ซ้อมและเคลียร์กับอาจารย์โฮซอกเสร็จจะไปหา...

พอคิดถึงตรงนั้นคนตัวสูงก็ถอนหายใจแต่หน้ายังนิ่ง ภาพเหตุการณ์เมื่อวานผสมเข้ากับภาพในความฝันเป็นอะไรที่ทำให้ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก...แบบนี้มันใช่อาการเดียวกับคนกลัวผีหรือเปล่า

“นี่ชุดปีศาจเหรอวะ...ยังกะชุดแวมไพร์” เสียงคุ้นเคยมาพร้อมกับมือที่ตบลงบนแขน เมื่อหันไปก็เห็นยุนกิพระเอกของเรื่องสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ริปเปอร์ขาดๆสีดำยืนอยู่ “คลุมมาขนาดนี้จะมองเห็นทางไหมวะนั่น”

“บทมันก็ไม่ได้ให้เห็นหน้าชัดๆสักหน่อย มีแค่ตอนคุยกับราชาปีศาจหน้าลูกแก้วเท่านั้นแหละที่มีเอาผ้าคลุมหัวออกได้ แล้วนี่คนอื่นเขาไปไหนกันไม่มาซ้อมเหรอ”

“วันนี้จริงๆมีแต่นายแหละที่พี่เขานัดมา แต่ฉันมีนัดถ่ายหนังสั้นตอนเก้าโมงเลยแวะมาหาหน่อย”

“อ้าว ไหงงั้น”

“รุ่นพี่เขาไม่ได้บอกเหรอว่า บทนายมีแก้อยู่คนเดียว...แต่ส่วนที่แก้มันไม่ได้กระทบกับคนอื่น นอกจากนายไงแล้วไหนๆนายก็ต้องมาลองชุดด้วยก็เลยให้มาซ้อม”

“แล้วจะต่อบทกับใครถ้าไม่มีคนซ้อมด้วย”

“ก็นี่ไง ฉันมาช่วยต่อบทให้”

“แต่เก้าโมงนายก็ไปแล้วนิ” เสียงเย็นนั้นมีแววละห้อยหา

“จำบทให้ได้เร็วๆสิจะได้ช่วยต่อบททัน นั่น พี่เขากวักมือเรียกแล้ว เอ้า จะเดินคลุมหน้าแบบนั่นทำไมเล่า เอาหมวกออกสิ เออ แบบนี้จะได้ไม่สะดุด” อีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่าหลุดยิ้มเอื้อมมือไปดึงหมวกคลุมออกจากหัวให้

ฮยองวอนเดินเข้าไปหารุ่นพี่ที่ยืนอยู่กับผู้ชายอีกคนที่เขาจำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับคณะคนเขียนบท หลังจากรุ่นพี่ของเขาเกริ่นเรื่องบทที่ต้องแก้ก็ส่งต่อให้คนเขียนบทรับหน้าที่อธิบายแทน ส่วนตนเองก็ย้ายไปดูแลส่วนอื่นแทน

“ขอโทษนะครับ” ฝ่ายนั้นเริ่มพูดเป็นคำแรก

“เรื่องอะไรครับ”

“แก้บทน่ะครับ...พอดีผมไปนั่งอ่านมาอีกทีและคิดว่า บทพูดของคุณที่แก้ไปวันนั้นมันยาวเกินจำเป็นก็เลยแก้ให้ใหม่จะได้ไม่น่าเบื่อและจำยากเกินไป”

“อา” มือเรียวร้องพลิกบทของตัวเองที่แก้ใหม่มาเปิดดูอย่างละเอียดก็เห็นว่า บทพูดยาวเหยียด สำบัดสำนวนยืดยาวที่ชาวบ้านไม่น่าจะเข้าใจถูกตัดทอนลงไปมาก ชนิดที่ว่าถ้าให้จำในยี่สิบสามสิบนาทีนี้ก็น่าจะได้อยู่

“พอจะจำได้ไหมครับ” อีกคนถามอีกอย่างเป็นห่วง คนที่ก้มหน้าอ่านบทอยู่เลยเงยมาหา

“มันสั้นลงเยอะเลยอ่ะ...สั้นกว่าบทเดิมที่เคยท่องมาอีก”

“ไม่ดีเหรอครับ” ฝ่ายนั้นถามคล้ายไม่สบายใจ

“ไม่หรอกครับ”

“คุณเป็นนักแสดงที่ดีนะครับ...เวลาแสดงก็ทำได้ดี เวลามีปัญหาต้องแก้ก็ไม่เคยบ่น”

“ไม่ใช่นักแสดงที่ดีหรอกครับ แค่ขี้เกียจพูด... คิดมากเปลืองพลังงาน เผลอๆหิวข้าวอีก อา จริงสิ ผมยังไม่ได้ถามชื่อคุณคนเขียนบทเลย”

“เหวิน จวิ้นฮุยครับ”

“จวิ้นฮุย...เป็นคนจีนหรอกเหรอครับ เป็นคนจีนแต่เรียกเอกเยอรมัน เขียนบทละครของเยอรมันอีก”

“พอดีที่บ้านผมทำกิจการร้านอาหารนะครับ มีเปิดสาขาไปหลายประเทศ ตอนเด็กๆผมเคยไปอยู่ที่เยอรมันพักหนึ่งและชอบก็เลยเลือกเรียน เผื่อเวลาไปคุมกิจการที่นู้นจะได้เจรจาอะไรรู้เรื่อง”

“จวิ้นฮุย...จวิ้นฮุย” คนตัวสูงทวนชื่อซ้ำไปซ้ำมา

“จำยากใช่ไหมครับ จริงๆผมมีชื่อเกาหลีนะ คุณเรียกผมว่า จุนก็ได้”

“แต่จวิ้นฮุยมันเพราะกว่านะ...จวิ้นฮุย...จวิ้นฮุย อืม ลืมแนะนำตัว ผมชื่อ...”

“ฮยองวอนใช่ไหมครับ...ผมรู้แล้วล่ะ”

“รู้เหรอครับ”

“ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่คุณมาแคสบทเป็นปีศาจนะครับ...วันนั้นผมก็เป็นคนเลือกด้วย จริงๆเขาอยากให้คุณได้บทพระเอกกันนะ แต่ผมว่าคุณเหมาะกับบทนี้และก็เหมาะจริงๆ”

“เหมาะยังไงครับ”

“คุณเป็นคนมีเสน่ห์นะครับ แบบว่าเหมือนเป็นคนเฉยชาแต่จริงๆเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ เวลาสนใจอะไร ไม่ว่าจะคนหรือสิ่งรอบตัวก็จะสนใจและแสดงออกให้รู้ว่านี่สำคัญ ปีศาจในบทที่ผมเขียนเขาก็เป็นแบบนั้น ล่อลวงพระเอกให้ขายวิญญาณอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะสนใจในความเห็นแก่ตัวและการดิ้นรนเอาตัวรอดของมนุษย์”

ผู้สวมบทปีศาจเลิกคิ้วสูงให้กับประโยคเล่าความถึงตัวเขาที่คนเขียนบทเอ่ยถึงราวกับเคยคุ้นกันมา

“เรารู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“คุณลงเรียนภาษาจีนไว้ไม่ใช่เหรอครับ...ผมก็ลงเรียนเหมือนกัน”

“จริงเหรอ ไม่เห็นจะเคยเห็นหน้าเลย”

“ก็คุณอยู่กับเพื่อน...ผมก็อยู่กับเพื่อนผม เลยไม่ได้คุยกัน”

“วันหลังถ้าเจอก็ทักได้นะ แล้วก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการแล้วล่ะนะ เอาแบบสบายๆเหอะ เราเองก็ขี้เกียจพูดทางการเหมือนกัน”

5555 ก็ได้...แล้วนี่กินข้าวเช้ามาหรือยัง”

“กินแล้ว”

“กินอะไรไปเหรอ”

“เป็ดปักกิ่ง”

“อ้อ...ชอบไหม”

“ชอบนะ อร่อยดี...กินกับน้องจนเกลี้ยงเลย”

“อิ่มใช่ไหมครับ”

“อืม...อิ่มมากเลย อิ่มแบบที่ว่าถ้าให้นั่งเฉยๆต่อไปต้องหลับแน่” บอกไปทั้งที่ตาจ้องบท มือก็คว้านเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์หยิบถุงหอมที่ได้มาด้วยขึ้นมาดมกลิ่นหอมเย็นที่ช่วยให้หายใจคล่องซ้ำๆ

“อา นั่นถุงหอมนี่ครับ พกมาด้วยเหรอ”

“ไม่ได้พกหรอก พอดีมันติดมือมา ตอนลองชุดเอามาดมแล้วจมูกโล่งดีก็เลยดมอีก จวิ้นฮุย พอรู้ไหมถุงหอมพวกนี้มันเก็บไว้ได้นานแค่ไหนเหรอ”

“ประมาณเดือนหนึ่งล่ะ”

“เดือนเดียวก็หายหอมแล้วเหรอ” ถามทั้งที่ยังดมถุงหอมนั้นโดยตาก็ยังกวาดมองเพื่อจำบทใหม่ที่ได้รับมาเลยไม่ทันสังเกตว่า ชายหนุ่มหน้าหวานมองมายังตนเองด้วยแววตาอ่อนโยนเพียงใด

“ถ้าชอบ ผมเอามาให้ใหม่ตอนถุงนี้หายหอมแล้วก็ได้นะครับ” เขาบอกแต่ไม่ทันได้รับคำตอบหางตาก็เหลือบเห็นคนเดินเข้ามายืนข้างๆ เจ้าของบทปีศาจที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นซึ่งจำได้ว่าเป็นพระเอกของเรื่อง

“จำบทได้ยังวะ ตอนเก้าโมงฉันต้องไปแล้วนะ”

“ได้แล้ว...จวิ้นฮุยเขาแก้ให้ บทพูดกระชับขึ้นเยอะเลย”

“เออๆ งั้นก็ต่อบทกันเหอะ อาจจะได้องก์แรกกับองก์สองนะ องก์สามสี่คงไม่ทัน” ยุนกิว่าวางมือทั้งสองข้างลงบนบ่าคนตัวสูงแล้วส่งยิ้มไปยังคนเขียนบทที่ยิ้มตอบกลับมาซึ่งออกจะเป็นรอยยิ้มที่ประดักประเดิด

ฮยองวอนลุกจากพื้นดึงเพื่อนไปซ้อมบทต่อหน้ารุ่นพี่ที่รออยู่ แม้จะเป็นการซ้อมแต่คล้ายองค์ปีศาจมาประทับ ทุกอากัปกิริยากระทั่งน้ำเสียงเปล่งออกมาสมเป็นตัวละครนั้นจริงระดับที่ทุกคนหยุดทุกอย่างเพื่อดูสองคนนี้ต่อบทกัน แม้ในตอนที่ต้องแสดงเพียงคนเดียวก็ยังทำได้ดี ไปๆมาๆกลายเป็นยุนกิเองก็ช่วยซ้อมไปจนจบองก์สี่ก่อนที่ทุกคนจะปรบมือให้แต่คนตัวสูงเหมือนไม่ได้ยินตาเริ่มลอย

...ไม่มีใครห่วงเรื่องการแสดงของคนตัวสูง ไม่ว่าจะซ้อมหรือลองเล่นจริงต่อหน้าอาจารย์ก็ทำได้ดีเสมอ..

“ทำได้ดีมากฮยองวอน...วันนี้ไม่ต้องซ้อมแล้วนะกลับบ้านได้”

“เรียกผมมาแต่เช้าเพื่อซ้อมแค่นี้เหรอครับ”

“เอ้า เลิกช้าก็บ่นเลิกไวก็บ่น ก็นายแสดงบทไหนก็ทำดีตลอดไม่รู้จะติตรงไหน แต่ยุนกินายพูดบทไม่คล่องบางจุดนะ ต้องซ้อมนอกเวลาด้วยล่ะ มันใกล้จะแสดงอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย”

“ผมรู้น่า” พระเอกของเรื่องว่าแล้วชะโงกกลับมามองร่างสูงที่นอนคว่ำหน้าหมดแรงอยู่บนพื้น

“เฮ้ย ซ้อมจบลงไปนอนอีกแล้ว เหนื่อยอะไรขนาดนี้เนี่ย”

“บทนี้มัน...มันสูบพลังฉันมากเลยอ่ะ”

“ก็ใส่เต็มขนาดนั้นไม่เหนื่อยได้ไงเล่า...เอ้า หิวเปล่า เรามีขนมปังนะ” พระเอกของเรื่องชะโงกลงไปถาม

“ไม่หิวหรอก กินเป็ดไปตั้งเยอะ”

“กินเป็ด...กินเป็ดแต่เช้าเลยเหรอ”

“มีคนให้มาก็เลยกิน...เป็ดปักกิ่งของร้านมังกรขาวไรนี้มันแบบว่า ดีมากเลยนะยุนกิ ทั้งนุ่มทั้งหอมทั้งอร่อย”

“อะไรให้มาอีกล่ะ เมื่อวานก็ได้ติ่มซำนิ รอบหน้าสงสัยหูฉลามแหง่...ใครฟร่ะให้ของกับนายขนาดนี้ สงสัยต้องเป็นพวกลูกเจ้าของร้านอาหารแน่เลย”

“จะใครก็ไม่รู้แหละแต่ต้องขอบคุณที่ให้มา เพราะถ้าไม่มีเป็ดเมื่อเช้าฉันตายแน่”

“นายแม่งกินยังกะสูบไม่เห็นอ้วนสักที” ยุนกิทรุดลงมานั่งยองๆ เอื้อมมือไปขยี้ผมเพื่อนอย่างเอ็นดู “ไอ้ตัวสลอธเอ๊ย นอนคว่ำหน้าแบบนั้น เดี๋ยวหายใจไม่ออกหรอก”

ร่างสูงพลิกกลับมานอนหงายแผ่หรา กระพริบตามองเพื่อนที่นั่งข้างๆและน้องชายกับเพื่อนซี้ที่ยืนชะโงกมาหาอย่างเป็นห่วง

“ไหวไหมอ่ะวอนนี่” มินฮยอกนั่งคุกเข่าก้มลงมาหาในระยะประชิดแต่พี่ชายก็ได้แต่มองเฉยๆ ก่อนจะมีมือมาดึงคอเสื้อของคนเป็นน้องลากให้ถอยออกมา

“เก้าโมงแล้ว ไม่ไปเรียน  ไปถ่ายหนังสั้นกันเหรอแจ๊ะ” ชางกยุนเตือนคว้าคอเสื้อของน้องชายเพื่อนด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็คว้าคอเสื้อเพื่อนตัวเองอีกคนไว้

“ฉิบหาย...เก้าโมงแล้วเหรอ  ชางกยุน ฮยองวอน อ่า ไอ้หนูแอ๊บแบ๊ว ไปก่อนนะ” ยุนกิล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ามาดูเวลาก็วิ่งตื้อคว้ากระเป๋ารีบออกไป

มินฮยอกมองแผ่นหลังที่หายลับสายตาไปแล้วเหลียวมาหาพี่ชายของตัวที่ลุกขึ้นมานั่งจับแขนของคนเป็นพี่มาหาแล้วไซ้หน้าลงไปแขนเหมือนลูกหมากำลังอ้อน

“วอนนี่ เก๊าต้องไปเรียนแล้วง่า ไม่อยากไปเลย...เก๊าโดดเรียนดีไหมงะ” ถามออกเสียงเล็กเสียงน้อยแต่คนเป็นพี่กลับใช้มือจับหัวน้องแล้วโยกไปมา

“ไม่ได้นะมินมุน...ห้ามโดดเรียนเด็ดขาดเลย พี่ยังไม่เคยโดดเรียนแล้วมินมุนจะโดดเหรอ ถ้ากล้าโดดเรียนจะฟ้องพี่มาร์คให้หักค่าขนม” ถึงดูเหมือนเป็นคนยังไงก็ได้แต่ก็มีบางเรื่องที่คนเป็นพี่ไม่ยอมให้

“ใจร้าย”

“ไปเรียน” สั่งเสียงเรียบเหมือนหน้า...คนเป็นน้องทำหน้างอนิดหน่อยก็ยอมทำตามโดยดี

“ก็ได้...เก๊าไปเรียนก็ได้ แล้ววอนนี่ล่ะซ้อมเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ กลับไปนอนหรือเปล่า”

“มินมุน” พี่ชายเรียกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายประวิงเวลา “ไปเรียน”

“โหย รู้แล้วเก๊าไปแล้ว...บะบายนะวอนนี่”

“แล้ววันนี้จะกลับมืดหรือเปล่า”

“เหมือนเดิม..แล้วก็ถ้าคืนนี้วอนนี่เหงาไปเล่นกับตุ๊กตาในห้องเค้าได้น้า  ก่อนจะนอนโทรหาเค้าก็ได้ เดี๋ยวร้องเพลงให้ฟัง เค้าไปล่ะ มินมุนรักวอนนี่ที่สุดน้า” แขนอ้อมยื่นมากอดคอพี่ชายหลวมๆแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายหลังเดินออกจากห้องซ้อมเต้นไปอีกคน

ฮยองวอนนั่งนิ่งใจจริงก็ไม่ใช่ว่าขยันอยากซ้อมต่ออะไรหรอก แต่พอคิดว่าหลังซ้อมเสร็จต้องไปให้อาจารย์โฮซอกเชือดแต่หัววันก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมจริงๆ เลยต้องคิดหาวิธีที่จะไปเจอหน้าให้ช้าที่สุด

...จำได้ว่า ตอนเช้าอาจารย์มีสอนคงไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอกมั่ง...

“เมื่อเช้ากินเป็ดมาเหรอวะ” ชางกยุนเริ่มถามทรุดลงนั่งข้างๆพลางคล้องแขนบนไหล่เมื่อเห็นเพื่อนนั่งนิ่งอยู่บนพื้นมองประตูทั้งที่น้องชายก็หายไปพักหนึ่งแล้ว

“อืม”

“เห็นมินฮยอกบอกว่า มีคนส่งไปให้กล่องเบ้อเร้อ...ไม่คิดจะเอาติดมาแบ่งกันบ้างไง”

“โทษที แต่เราหิวมากเลยกินกับมินมุนหมดเลย”

“อร่อยมากเลยดิ...ใครให้มาวะเนี่ย”

“ไม่รู้”

“จริงดิ...ไม่รู้แน่อ่ะ ไม่ใช่ว่าแอบมีแฟนแล้วไม่บอกหรอกนะ ถ้ามีคนที่คุยๆกันอยู่ก็บอกฉันได้ อย่าคบกันปุบปับแบบกีฮยอนมันนะ ฉันทำใจโดนเพื่อนทิ้งไม่ทัน”

“เมื่อไหร่จะหยุดพูดคำว่าแฟนอะไรนี่สักที...เราก็เคยบอกแล้วนะว่า การคบหาใครแบบนั้นมันเข้าใจยาก ฉันคบกับหมอนกับของกินสบายใจกว่าเยอะเลย”

“จริงอ่ะ...ไม่ได้จะทิ้งฉันไปไหนนะว้อย”

“ไม่ทิ้งหรอก นายเป็นเพื่อนฉันนี่ แต่ว่าง่วงจริงๆเลยนะเนี่ย ขอนอนพักตรงนี้สักสิบนาทีได้ไหมนะ”

“เฮ่ยๆจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะ ถ้าจะนอนไปนอนตรงที่ฉันนั่งทำของประกอบฉากดิ”

“ขี้เกียจเดิน...ชางกยุน นายลากไปหน่อยดิ” คนตัวสูงยื่นแขนออกไปหาทันทีที่พูดจบ อีกฝ่ายหลุดหัวเราะพลางลุกจากพื้นจับแขนยาวได้ก็ลากกลับมายังที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนหน้า

“นอนนะ...ยืมตักด้วย” ว่าเท่านั้นก็ไถลหัวลงไปนอนบนตัก หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีใครรับสายเลยเปลี่ยนโทรออกอีกเบอร์ก็ไม่มีคนรับกดส่งข้อความไปอีกรอบ

“โทรหาใคร”

“ยองแจอ่ะ...เมื่อวานพออาจารย์เขาไล่เรากลับบ้าน ดึกๆเราลองโทรหาก็ไม่รับสาย เช้านี้ลองโทรหาก็ไม่รับ โทรหาอาจารย์เขาก็ไม่รับเหมือนกันสงสัยสอนอยู่ เนี่ยโทรหาจุนฮงมัน มันอยู่ห้องเดียวกับยองแจแต่ไม่รับอีกเหมือนกัน”

“เพื่อนคณะบัญชีที่ว่าเป็นลมอะเหรอ”

“อืม...เฮ้อ เป็นห่วงจัง”

“ติดธุระอยู่ล่ะมั่ง...อย่าเพิ่งคิดมาก นอนไปก่อนตื่นมาค่อยโทรหาใหม่ก็ได้”

“อืม ก็คิดว่างั้นแหละ เรานอนก่อนนะ” สุดท้ายคนฝันร้ายจนไม่ได้นอนก็หลับไปเสียดื้อๆ ฝ่ายเพื่อนเหลือบมองเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มก็หยิบกระดาษมานั่งตัดเหมือนเดิม หลายสิบนาทีที่เวลาเคลื่อนผ่านไปชางกยุนรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครสักคนมองอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่ว่างจะเงยหน้าเพราะติดพันกับกระดาษชุดสุดท้ายที่ตัดอยู่ ถ้าหมดกองนี้จะได้ย้ายไปยุ่งกับการประกอบอย่างเดียว

ความจริงเขาไม่มีเหตุจำเป็นต้องแหกขี้ตาตื่นมาเพื่อนั่งทำของประกอบฉากพวกนี้เลย เพราะรุ่นพี่กำหนดคนที่อยู่ฝ่ายอาร์ตหลักไว้แล้ว กำลังเสริมแบบเขาจะมาช่วยตอนไหนก็ได้ แต่เพราะหมอนี่จะมาซ้อมเขาเลยถ่อมาอยู่ด้วย

...ครั้งแรกที่รู้จักกันฮยองวอนเป็นคนตัวใหญ่ที่เหมือนดูแลตัวเองได้ดีแต่กลายเป็นกีฮยอนที่เหมือนเด็กกลับดูแลตัวเองได้มากกว่า เพราะแบบนั้นไอ้ความรู้สึกที่ว่าอยากปกป้องก็เกิดขึ้น...

ถึงจะตัวเตี้ยกว่าแต่เขาเรียนศิลปะการต่อสู้มา ตอนอยู่อเมริกาก็เรียนรู้เรื่องดนตรีอยู่ไม่น้อยจนตอนนี้ก็เป็นแรปเปอร์และได้ทำงานพิเศษเป็นนักดนตรีในผับแห่งหนึ่ง มีสาวเข้าหาพอสมควรซึ่งเขาคิดว่า ตัวเองก็เท่ห์พอตัวและปกป้องคนอื่นได้อยู่เหมือนกันถึงจะไม่เคยพูดอวดกับใครก็เถอะ

“จะไปแล้วเหรอ จุน” เสียงของรุ่นพี่หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกมุมของห้องพอดีกับที่เขาตัดกระดาษเสร็จเลยเงยหน้าพักสายตาจากสิ่งที่เพ่งเป็นเวลานานเลยได้เห็นผู้ชายหน้าหวานตากลมโตสวมเสื้อเชิ้ตทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินกับกางเกงขายาวสีดำท่าทางสุภาพผงกหัวและยิ้มให้แทนคำตอบ

ในตอนที่คิดว่าจะเดินผ่านหน้าไปเฉยๆ ฝ่ายนั้นกลับหยุดเท้ายิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร ชางกยุนผงกศีรษะและยิ้มให้ทีหนึ่งด้วยความรู้สึกประหลาด

...แค่อัธยาศัยดีล่ะมั่งนะ...




You Might Also Like

0 Comments