Thorn Flower : CHAPTER TWO
05:06
ตึง...ตึง...ตึง...ตึง
เสียงขาโต๊ะไม้กระทบกับพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะถี่รัวในห้องครัวลอดสะท้อนจนก้องไปทั้งห้องสูทนั้นเกิดจากการโหมกระแทกความใหญ่โตเข้าใส่หญิงสาวที่นอนรับความรุนแรงอยู่บนโต๊ะเตรียมอาหารกลางห้องครัว
ความร้อนทำให้เรือนผมสีแดงสลวยนั้นเปียกจนลีบลู่ ดวงหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรและกายสูงใหญ่ไร้อาภรณ์ที่พราวไปด้วยเหงื่อยังคงเคลื่อนขยับเร็วทำให้ร่างอรชรที่ถูกปิดปากด้วยนิ้วเรียวใหญ่ของอีกฝ่ายหลุดครางกระเส่าออกมา
กิจกรรมอันเร่าร้อนดำเนินไปเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดกระทั่งใครคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนพิงประตูมองคนทั้งคู่อยู่อย่างเฉยชา
ทันทีที่หญิงสาวใต้ร่างใหญ่โตเหลือบเห็นปากประบอกปืนที่จ่อมาหาทำให้เจ้าหล่อนกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจและทำให้อีกคนชะงัก
“ออกไป”
คำสั่งนั้นมาพร้อมกับสายตาที่มองมาราวกับนักฆ่าทำให้ชายหนุ่มผละถอยปล่อยให้หญิงสาวที่กลัวตัวสั่นคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายทั่วพื้นสวมอย่างลวกๆแล้ววิ่งออก
“แม่งเอ๊ย” เจ้าของห้องสบถออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนรับผ้าเช็ดตัวที่อีกฝ่ายโยนมาให้พันกายท่อนล่าง
“กลับจากอเมริกายังทำตัวเป็นขยะ...รีบไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปมหาวิทยาลัยซะ” ชายหนุ่มผู้มากวัยกว่าว่าพลางเก็บปืนเข้าซองหนังที่ซ่อนอยู่ด้านในเสื้อสูท
“ทำไมต้องไป”
“เพราะพ่อกับพี่ชายคุณต้องการอย่างนั้น”
“แล้วถ้าไม่ไปแล้วจะทำไม” คนอ่อนวัยกว่าท้าทาย
“ก็ไม่ทำไม” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเรียบเฉยขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้คนตัวสูงที่มองตอบมาอย่างกวนประสาทในสภาพกึ่งเปลือย “แต่ผมมีสิทธิ์ระงับวงเงินในบัตรเครดิตของคุณทุกใบ รถสปอร์ตทุกคันที่คุณใช้ผมสามารถแจ้งเป็นทรัพย์สินที่ถูกคุณขโมยมาใช้งานได้ทุกเมื่อ หรือแม้แต่เตะคุณออกจากห้องสูทที่คุณเป็นเจ้าของก็ทำได้แค่เพียงรายงานกับท่านว่าคุณขัดคำสั่ง อำนาจของผมที่มีต่อคุณมีมากที่สุดเมื่อพวกท่านไม่อยู่ คุณก็คงรู้”
น้ำเสียงกระด้างแข็งและมีอำนาจเกินกว่าจะต่อต้านนั้นทำให้คนที่มีพื้นฐานสันดานเป็นคนเอาแต่ใจอยากได้อะไรต้องได้พอถูกคนอื่นที่มีศักดิ์เป็นแค่ลูกจ้างของพ่อกับพี่ชายถึงกับโกรธจัด มือทั้งสองข้างกำแน่นอยากจะตะบั้นคนตรงหน้าแต่ด้วยประสบการณ์ครั้งเก่าที่เคยจู่โจมแต่ถูกตอบโต้รุนแรงเท่าทวีจึงทำได้เพียงหัวฟัดหัวเหวี่ยงกระแทกส้นเท้าและประตูกลับเข้าห้องไป
แม้น้ำเย็นจากฝักบัวจะรดราดลงมาก็ไม่ทำให้ยูคยอมใจเย็น...เขาทุบกำแพงห้องน้ำอย่างแรงหลายต่อหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์เกลียดชังที่มีต่อทุกคนบนโลก
...โลกนี้เต็มไปด้วยคนปลิ้นปล้อนที่สวมหน้ากากเป็นคนดี ไม่ว่าใครก็ล้วนหลอกลวงทั้งสิ้น...
...นอกจากแม่ที่จากเขาไปตั้งแต่เด็ก ก็ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่รักเขา...
...เขาเกลียดพ่อที่เป็นต้นเหตุให้แม่ตาย เกลียดที่พ่อเลี้ยงดูเขาด้วยเงินมากกว่าความรัก เกลียดที่พ่อให้ความสำคัญกับพี่ชายต่างสายเลือดมากกว่าตัวเอง และที่เกลียดที่สุดคือการที่มือขวาหน้าตายของพ่อมีอภิสิทธิ์และอำนาจเหนือกว่าตัวเขา...
...หวัง แจ็คสันเป็นคนที่เขาเกลียดยิ่งกว่าเกลียด...
ชายหนุ่มยังคงฮึดฮัดแม้ออกจากห้องน้ำหยิบเสื้อเชิ้ตกับกางขายาวมาสวม พรมน้ำหอมกลิ่นพิเศษที่สั่งทำเฉพาะลงบนร่างสะบัดผมที่เปียกชื้นเดินกระแทกเท้าหนักผ่านมือขวาของพ่อยืนกอดอกอยู่ตรงทางเดินก่อนถึงหน้าประตูห้องสูทโดยมีแม่บ้านวัยกลางที่จ้างมาเพื่อทำความสะอาดเก็บกวาดขวดเหล้าและกระป๋องเบียร์ที่ตกทั่วพื้นห้อง
“อีกครึ่งชั่วโมงผมจะให้คนโทรไปหาบอดี้การ์ดกับอาจาร์ยประจำวิชาพื้นฐานที่คุณเรียนด้วยวันนี้ ถ้าผมรู้ว่าคุณไม่ไปเรียน คงไม่ต้องให้ทวนนะว่าผมทำอะไรได้บ้าง” แจ็คสันบอกห้วนๆ ทำให้คนฟังกัดปากแน่น
“รู้แล้วน่า พล่ามอยู่ได้ น่ารำคาญ” ยูคยอมสะบัดเสียงยัดเท้าลงในรองเท้าหนังสีน้ำตาลด้วยความหงุดหงิด
“ถ้ารำคาญจริงคงทำตัวเป็นคนมากกว่าขยะแบบนี้ไปนานแล้ว”
ยูคยอมหันควับกลับไปมองหน้าอันเฉยชาของผู้พูดอย่างชิงชัง มือกำแน่นทุบเข้าข้างฝาอย่างแรงแต่ไม่ทำให้คนกอดอกมองสะดุ้งสะเทือน
“ผมเกลียดคุณ” คำนั้นกระแทกเข้าใส่และถูกกระแทกคืนให้ในทันที
“นั่นเป็นเรื่องของคุณ”
“แม่งเอ๊ย” เจ้าของห้องสบถอีกหนกระชากประตูแล้วกระแทกปิดตรงไปที่ลิฟต์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
...สักวันเถอะ...
...สักวันต้องฆ่าแม่งให้ได้...
----------------------------
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดเป็นลำส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนกระทบกับร่างผอมบางที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงยีนส์พอดีตัวกับเสื้อแขนยาวสีเปลือกมังคุดทับด้วยเสื้อคลุมมีฮู้ดสีดำ
เจ้าของร่างผอมมองซองยาจำนวนมากที่วางเกลื่อนบนโต๊ะยัดใส่กระเป๋าเป้แล้วเปิดประตูออกจากห้องมาหาชายหนุ่มที่เอนหลังหลับอยู่บนโซฟาสวมสูทขาวพร้อมทำงาน
ดวงตากลมโตทอดมองความอ่อนล้าที่แฝงเป็นริ้วบนใบหน้ากับรอยแผลเป็นคล้ายโดนมีดกรีดเป็นทางยาวนิ่งนาน
ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดเปลือกตาขึ้นมองเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าทำให้นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าวมีแววอ่อนลงพร้อมกับรอยยิ้มอุ่นที่ระบายทั่วหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคงมีรอยแย้มจากอีกคนตอบกลับมาแต่ในยามนี้ฝ่ายตรงข้ามเพียงมองมาอย่างเฉยชาจากนั้นก็ผละหนีลงบันไดวนไปภายในร้านกาแฟที่ยังไม่เปิดทำการ
“ตื่นแล้วเหรอ” ฮโยซองร้องทักเมื่อเห็นคนไม่สบายมีแรงพอจะเดินลงมาข้างล่าง “พี่ทำซุปกิมจิไว้ แบมกินก่อนแล้วค่อยไปมหาวิทยาลัยนะ”
หญิงสาวกุลีกุจอไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อตักข้าวกับซุมกิมจิใส่ถาดมาวางให้บนโต๊ะ พอเห็นชายหนุ่มอีกคนตามลงมาจึงเดินไปยกสำรับอาหารมาให้อีกชุด
"หลับสบายไหมคะ” เธอถามขณะวางช้อนส้อมให้อดีตสามีที่ขอนอนค้างที่นี่เพื่อเฝ้าน้องชายที่ไม่สบาย
“ครับ ขอบคุณที่ให้นอนที่นี่และขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วย” เขาเอ่ยอย่างสุภาพทำให้คนฟังเม้มริมฝีปาก...เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ความสุภาพของเขามีแต่ทำให้ยิ่งรู้สึกห่างเหิน
คนกลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้มองบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนใจของทั้งคู่ก่อนขยับปากชวนให้อีกคนมาร่วมด้วย
“กินด้วยกัน”
“ไม่ล่ะ...เดี๋ยวพี่กินทีหลังได้ แบมกับคุณแจบอมกินเถอะ”
“ถ้าไม่กินก็จะไม่กินเหมือนกัน” ถ้อยคำราบเรียบเหมือนเป็นคำสั่งกลายๆทำให้อีกฝ่ายจนใจไปตักข้าวกับซุปมานั่งกินด้วย
“อร่อย” คนอ่อนวัยกล่าวชม
“อืม...อร่อย ฝีมือทำอาหารคุณอร่อยไม่เปลี่ยนเลยนะ” คำชมของคนตัวใหญ่สมทบมาช่วยให้คนทำพอมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“อิ่มแล้วเหรอ” ผู้แสดงฝีมืออาหารถามเมื่อเห็นคนตัวเล็กรวบช้อนส้อมทั้งที่อาหารพร่องไปไม่ถึงครึ่ง...ตั้งแต่เธอพาเขามาค้างที่นี่ก็สังเกตหลายทีว่าเขาแตะอาหารน้อยเหลือเกิน
“ผมต้องรีบไปมหาวิทยาลัย” แบมแบมตอบสั้นสะพายกระเป๋าเป้ที่นำไปแขวนข้างเก้าอี้ขึ้นหลัง “
“อ้อ มีเรียนเช้าใช่ไหม งั้นเอานี่ไปด้วยนะ” ฮโยซองว่าลุกพรวดจากเก้าอี้ไปหยิบข้าวกล่องใส่ถุงกระดาษส่งให้ “กลางวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยคนน่าจะเยอะ เอานี่ไปกินจะได้ไม่เสียเวลานะ”
“อืม...ไปก่อนนะ”
มือเรียวเล็กรับถุงกระดาษมาไว้ในมือพร้อมเอ่ยคำลาก่อนเดินออกจากร้านผ่านประตูที่กั้นระหว่างส่วนร้านกับส่วนอาศัยไปยังประตูบานสุดท้ายที่นำไปสู่ด้านหลังร้านโดยมีชายหนุ่มอีกคนตามหลังออกมาเงียบๆ
เวสป้าคลาสสิคสีครีมจอดอยู่ริมกระถางดอกกุหลาบใต้ชายคาผืนผ้าใบที่กางไว้กันฝน คนตัวใหญ่มองร่างบางที่หยิบกุญแจรถซึ่งห้อยพวงกุญแจตุ๊กตาน่ารักออกจากกระเป๋าจึงเดินเข้าไปหา
“เมื่อคืนพี่ขับรถจากบ้านมาจอดแถวนี้ วันนี้ให้พี่ส่งดีกว่า” เขาเสนอตัว
“ถ้าคุณไปส่งแล้วขากลับต้องนั่งรถสาธารณะกลับ...ขับไปเองจะดีกว่า” อีกคนว่าขณะหยิบหมวกกันน็อกเปียกน้ำมาปัดออกด้วยมือ
“งั้นให้พี่ขับคันนี้ไปส่งแบมที่มหาวิทยาลัยแทนก็ได้”
“ผมรู้ตัวเองดี...ถ้าไม่ไหวก็แค่แวะพักข้างทาง คุณเองก็สืบคดี อย่าให้เรื่องแค่นี้ทำให้คุณพลาดสิ่งที่ไม่ควรพลาด” คำพูดเรียบเรื่อยนั้นทำให้คนฟังถอนหายใจหนักแต่ไม่ทันได้พูดอะไรเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาเสียก่อน
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์กดรับสายก่อนเดินห่างออกไปเพื่อสนทนากับปลายสาย อาการบนใบหน้าทำให้คนที่มองอยู่ห่างๆ ทราบได้ในทันทีว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“โทรมาตามแล้วสิ” คนตัวเล็กว่าขณะอีกฝ่ายวางสายแล้วยัดโทรศัพท์กลับที่เก่า
“พวกนั้นกำลังเรียกตัวบอดี้การ์ดทุกคนไปรวมตัวกัน เรื่องนี้คง...” ไม่ต้องรอให้จบประโยคก็มีเสียงแทรกขึ้น
"ก็ไปสิ"
"ไม่เป็นไร พี่อยากไปส่งแบมก่อน”
"ถ้าโทรมาตามต้องมีเรื่องสำคัญ จะพลาดเพราะเรื่องเล็กน้อยมันไม่เข้าท่าหรอก"
"เล็กน้อยเหรอ" อีกคนทวนคำพร้อมเลิกคิ้วสูง
“แค่ขับรถไปมหาวิทยาลัยเอง ไม่ได้สำคัญพอให้คุณทำคดีพลาด”
"สำคัญสิ ทำไมจะไม่สำคัญ...ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับแบมแล้วไม่สำคัญกับพี่" คำนั้นบอกแทบจะในทันทีที่อีกฝ่ายตอบกลับ
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับคนตรงหน้าสำคัญกับเขาเสมอ แม้ในตอนที่ห่างกันด้วยความจำเป็น...เรื่องของคนตรงหน้ายังอยู่ในทุกความคิดคำนึง
คนตัวเล็กมองหน้าที่มีความกังวลเหมือนไม่รู้สารู้สา หากลึกลงไปกลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยแม้ไม่ได้พูด มือผอมยื่นออกไปแตะเบาๆที่แขนใหญ่ข้างหนึ่งของคนตรงหน้าไว้
"ตอนนี้" เสียงเรียบเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้าแต่หนักแน่น "พ่อสำคัญกว่า"
แจบอมปรายมองมือที่แตะบนแขนของเขาพลางถอนหายใจหนักก่อนกลับมามองเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสีนิลแข็งแกร่งแต่อุ่นลึกมีความวิตกระคนยุ่งยากใจ หากในท้ายที่สุดเขาก็ยกมือขยี้ผมนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ
“ก็ได้...พี่ไปก็ได้ ถ้าแบมสัญญาว่าจะจอดรถข้างทางทันทีที่รู้สึกว่าไม่ไหว”
“อืม”
“และถ้าถึงมหาวิทยาลัยแล้ว โทรบอกพี่ด้วยนะ”
"รู้แล้ว" คนตัวเล็กตอบรับอย่างว่าง่าย คนตัวใหญ่ได้แต่มองแล้วถอนใจยอมปล่อยมือจากผมนุ่มแล้วเดินไปแต่ก่อนที่จะพ้นจากตรอกทางเดินแคบๆข้างหลังร้านเขากลับเหลียวกลับมองคนที่ยังไม่ขยับไปไหนพลางโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย
แบมแบมรอจนแผ่นหลังกว้างลับจากสายตาจึงหยิบหมวกกันน็อกขึ้นสวม ขาเรียวผอมปีนขึ้นไปคร่อมบนพาหนะของตนเองและขับผ่านตรอกออกไปยังท้องถนน สายลมหอบกลิ่นชื้นของพื้นดินและกลิ่นของดอกไม้ข้างทางลอดผ่านกระจกด้านหน้าของหมวกกั้นน็อกมาปะทะจมูก
เขายกนาฬิกาขึ้นดูเวลาตรงสี่แยกระหว่างจอดรอสัญญาณไฟจนกระทั่งสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว เวสป้าคันงามยังคงเคลื่อนไปยามไม่รีบร้อนกระทั่งเลี้ยวซ้ายผ่านมาถึงหน้าสวนสาธารณะอาการเจ็บรุนแรงในช่องท้องลามขึ้นมาถึงศีรษะทำให้ต้องหักรถข้ามเลนเพื่อมาจอดข้างทางกะทันหัน
เอี๊ยดดดดดดดดดดด
เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังไล่หลังในระยะประชิด รถสปอร์ตปากานี่ฮิวอายร่าสีดำงามสง่าหยุดห่างจากท้ายเวสป้าเพียงไม่กี่เซนติเมตรแต่เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขาข่มความเจ็บเตะขาตั้งรถก่อนไถลทั้งตัวลงมานั่งบนพื้นทางเดินริมถนน มือดึงกระเป๋าเป้บนหลังออกมาคุ้ยหายาแต่มีมือที่ใหญ่กว่าดึงออกไปก่อน
“ให้ช่วยไหม”
“ยะยา...ยากระเพาะ” คนป่วยเค้นเสียงลอดไรฟัน ตาพร่ามองผ่านแผ่นกระจกพลาสติกของหมวกกันน็อกเห็นแขนใต้เสื้อสูทสีดำล้วงหยิบยาในกระเป๋าก่อนวางให้ตรงหน้าแต่มือเรียวผอมสั่นเทาเกินกว่าจะแกะเม็ดยาด้วยตัวเอง ทำให้ผู้หวังดีต้องลงมือจัดการตั้งแต่ถอดหมวกกันน็อกออกจากศีรษะที่ชุ่มโชกด้วยเหงื่อ แกะเม็ดยาตามจำนวนหน้าซอง เลื่อนแผ่นกระจกของหมวกกันน็อกเพื่อใส่ยาเข้าปากให้ตามด้วยเปิดขวดน้ำในกระเป๋าให้อีกคนดื่ม
“คุณควรไปโรงพยาบาล” เสียงแหบต่ำแนะนำหากคนฟังปฏิเสธลั่น
“ไม่...”
“อาการไม่ใช่แค่โรคกระเพาะแน่ คุณควรไปให้หมอตรวจ”
“ขอบคุณที่ช่วยแต่ไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำ” คนป่วยตอกกลับขณะเงยหน้ามองชายกายใหญ่หนาสวมชุดสูทสีดำที่ยืนบังแสงตะวันไม่ให้ส่องมาถึงตัวและเงามืดนั้นบดบังให้ไม่เห็นใบหน้าของอีกคนชัดนัก
“ท่าทางจะกลัวหมอมากกว่ากลัวตาย” คนตรงหน้าเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเย็นไร้แววหยอก “อายุเท่านี้อยากตายแล้วหรือ”
“ก็ไม่รู้จะอยู่นานไปเพื่ออะไร”
“หึ” เสียงแค่นหัวเราะของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้น กายใหญ่ย่อลงมาหาร่างบางที่นั่งแทบหมดสภาพอยู่บนพื้น “ถ้าคุณรู้จักความตายมาก่อน คุณจะไม่พูดอย่างนี้”
มือใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าจากในกระเป๋าเอื้อมมันมาซับหยาดเหงื่อที่ไหลย้อย เด็กหนุ่มมองใบหน้าดุเข้มของคนเบื้องหน้าที่มองตอบมาอย่างเรียบเฉย นัยน์ตาคมกริบประสานมาทรงอำนาจมากพอให้รู้สึกได้ว่าต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งสำคัญขององค์กรใดสักแห่ง
“คุณจะไปไหน...ผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง ไปเองได้”
“ด้วยสภาพอย่างนี้นะเหรอ” คิ้วหนาเลิกสูงในเชิงถาม “ถ้าห่วงรถ ผมให้คนส่งมันไปไว้ในที่ที่คุณต้องการได้”
“ไม่จำเป็น”
คำปฏิเสธไร้เยื่อใยสวนมาทันควัน คนตรงข้ามยกมุมปากราวกับจะหยันค่อยๆเหยียดหลังกลับมายืนตรง
“ผมไม่ได้ช่วยเพราะสงสาร แค่รำคาญลูกตาที่มีคนขวางทางรถของผม และถ้าคุณไม่มีปัญญาพาสังขารพังๆ ของคุณไปให้พ้นก็ทำตามที่บอกซะ” คนตัวใหญ่กล่าวกระชับด้วยเสียงแข็งขึ้งเช่นเดียวกับแววตา
แบมแบมเหลือบมองผู้ชายไร้อารมณ์ไม่มีแววสงสารหรือเมตตาเช่นทุกคนที่เคยเข้ามาช่วยเหลือแล้วหันไปทางรถสปอร์ตหรูที่จอดอยู่อย่างชั่งใจแต่ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบเพราะอีกฝ่ายคว้าคอกระเป๋าและคอเสื้อลากร่างผอมเข้าไปในรถ เมื่อเจ้าของรถประจำที่คนขับเขากดปุ่มล็อกรถทันทีกันคนหนีก่อนกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ขับออกไปในทันที
“ให้คนมาเอารถเวสป้าสีครีมที่จอดอยู่แถวชองดงกิลไปส่งที่พักฉันด้วย” เขาสัมผัสปุ่มบนหน้าจอทัสรีนที่อยู่เหนือช่องเครื่องเสียงพลางสั่งการอย่างรวดเร็ว ปลายสายตอบกลับสั้นๆอย่างนอบน้อมก็เลิกสนทนา
“คุณจะไปไหน”
“แล้วคุณจะไปไหนล่ะ” คำถามนั้นสวนแทบทันที “ถ้าไม่บอกอีก ผมจะทิ้งคุณไว้แถวโรงพยาบาล”
“เมื่อไหร่จะเลิกถามว่าจะไปไหน”
“เพราะถ้าคุณไม่มีที่ไปก็ควรไปโรงพยาบาลหรือกลับบ้าน อย่าเอาอาการป่วยไข้มาทำให้ชาวบ้านลำบาก...คุณจะตัดหน้ารถจนโดนชนตายคงไม่เป็นไรแต่คนอื่นที่ต้องมาตาย พิการหรือต้องติดคุกเพราะคุณ มันน่ารังเกียจนะ”
คนตัวเล็กฟังคำเจ้าของรถที่พูดด้วยสุ้มเสียงเรียบแข็งทุกคำพลางบีบผ้าเช็ดหน้าสีดำที่เขาให้เช็ดหน้าในมือก่อนจะยอมบอกที่หมายของตนเอง
“มหาวิทยาลัย...” ชื่อของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งหลุดออกมา
“อ้อ ที่นั่นเอง” คนขับว่าปรายตามองคนตัวเล็กที่นั่งขย้ำผ้าเช็ดหน้าของเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ทำให้บรรยากาศในรถน่าอึดอัด ทว่าคนที่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้กลับสัมผัสได้ถึงความเครียดฝังลึกที่อยู่ในตัวของอีกฝ่าย
...อายุเท่านี้มีอะไรให้เครียดนัก...
“มีชื่อไหม” คำถามดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ชื่ออะไร”
“ชื่อของเธอ”
“เราจำเป็นต้องรู้จักชื่อกันด้วยเหรอ”
“รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อคราวหน้าจะได้พบกันอีก”
“ผมคงไม่โชคร้ายขนาดพบคุณอีกเป็นครั้งที่สองหรอก”
“ถ้าไม่ให้ชื่ออย่างน้อยก็ควรให้เบอร์โทร”คนขับพูดเรียบเรื่อยแต่ทำคนฟังสะดุดหันไปมองเสี้ยวหน้าอันหล่อเหลาที่จดจ่อกับท้องถนนเบื้องหน้าพร้อมกับคำถาม
“เพื่ออะไร”
“ผมไม่ได้พิศวาสคุณหรอกน่า...ผมแค่จะให้คนเอารถมาส่งคุณที่มหาวิทยาลัย พอเขามาส่งจะได้โทรแจ้งคุณว่าจอดไว้ที่ไหน”
“ผมไม่มีโทรศัพท์” อีกคนตอบเย็นชา
“ไม่มีหรือไม่อยากให้”
“ไม่มี”
สิ้นคำรถสปอร์ตคันงามกลับจอดหยุดกะทันหันเล่นเอาคนโดยสารแทบถลาทั้งตัวไปชนกับคอนโซลรถ เด็กหนุ่มดันตัวเองก่อนหันไปมองเจ้าของรถที่ขยับหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจแทบรดกัน
“ผมเห็นโทรศัพท์มือถืออยู่ในเป้คุณ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเนิบช้าเน้นทีละคำ “ถ้าคิดจะใช้วิธีนี้เอาเบอร์โทรศัพท์จากผมเพราะหวังจะอ่อย ผมคงต้องบอกคุณให้หาวิธีใหม่”
ในระยะประชิดนัยน์ตาคมที่จ้องเขม็งเย็นเยือกน่ากลัวแต่แทนที่คนถูกคุกคามจะกลัวกลับมีเพียงไหล่บางที่ยกขึ้นแล้วเอ่ยคำที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วสูงอีกครั้ง
“ถ้าผมจะอ่อยคุณ แค่แกล้งเป็นลมให้คุณพาไปโรงพยาบาล พูดหวานๆอ้อนให้ช่วยจ่ายค่ารักษา อาจจะขอเบอร์ติดต่อคุณ ทำอะไรสักอย่างให้คุณมีภาระผูกพันเพื่อจะติดต่อกันง่ายๆ ไม่ใช่เป็นฝ่ายโดนคุณลากขึ้นรถ”
ทั้งสองฝ่ายสบประสานสายตากันอย่างเฉยชาดูราวกับเป็นเงาสะท้อนของกันและกัน ก่อนที่เจ้าของรถจะเป็นฝ่ายผละไปหัวเราะอยู่ตรงตำแหน่งของตัวเองพร้อมออกรถต่อไปบนถนน
“คุณหัวเราะอะไร” คนอ่อนวัยกว่าถามแต่อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงหันมาเหยียดฝีปากกว้างคล้ายจะหยันและยิ้มอยู่ในทีส่งให้
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากพร้อมกับอาการชาวาบไปทั้งหน้าด้วยรู้สึกว่าถามคำถามโง่ๆออกไปโดยไม่จำเป็นจึงไม่ปริปากพูดอะไรนอกจากหันกลับมามองถนนเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย แม้ถึงตอนที่อีกคนพามาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย เขาก็เพียงหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังแต่พอตั้งท่าจะออกจากรถหลังได้ยินเสียงคลายปุ่มล็อกประตูมือใหญ่ของอีกคนกลับยื่นมาจับสายกระเป๋าไว้
“มีอะไรอีกล่ะ อ้อ เรื่องรถใช่ไหม ไม่ต้องมีเบอร์หรอกคุณให้คนมาจอดไว้ตรงลานจอดใกล้กับสนามบาสของมหาวิทยาลัยก็จบเรื่องแล้ว” คนตัวเล็กพูดยืดยาวแต่คนตัวใหญ่ไม่มีทีท่าจะยอมปล่อยและไม่พูดอธิบายถึงการรั้งเอาไว้ทั้งสิ้น
“หรือว่า อยากได้คำขอบคุณ ก็ได้ ขอบคุณ...พอใจหรือยัง”
ชายหนุ่มมองเรือนผมสีทองกับเสี้ยวหน้าหวานที่เหลียวมาหาแล้วหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อสูทยัดใส่ช่องว่างข้างกระเป๋าเป้ก่อนดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้
“คุณบอกว่าคุณคงไม่โชคร้ายได้เจอผมเป็นรอบที่สองแต่เชื่อสิคุณต้องได้พบผมอีก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” เขากระซิบฝากเสียงแหบต่ำทรงเสน่ห์ไว้ข้างหูก่อนจูบเบาลงบนหางตาของอีกคนอย่างจงใจ พลันศอกแหลมผอมกลับกระแทกอย่างแรงเข้าใส่หน้าท้องแกร่งแข็งจากการออกกำลังกายอย่างจัง
ความแรงไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนแต่มือใหญ่ปล่อยอีกคนเป็นอิสระลงจากรถไปเพราะคร้านจะรั้งเอาไว้
“ไปตายซะ” เด็กหนุ่มดึงฮู้ดคลุมหัวกดอารมณ์ร้อนไว้ใต้ความเฉยชาพลางลากเสียงเย็นใส่แล้วกระแทกประตูปิดใส่หน้าท่ามกลางนักศึกษาหลายสิบคนที่หยุดยืนมองร่างผอมแต่งกายปอนๆลงจากรถสปอรต์ราคาแพงระยับ แม้มหาวิทยาลัยนี้จะมีนักศึกษาฐานะทางบ้านร่ำรวยจำนวนไม่น้อยแต่ทุกคนล้วนมาในสภาพที่บ่งบอกฐานะการได้เห็นภาพนี้จึงเป็นเรื่องค่อนข้างแปลก
เจ้าของรถแลแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไปแต่ไม่วายลดกระจกพลางขยับโน้มตัวเองมาทางฝั่งผู้โดยสารพร้อมตะโกนฝากคำที่ทำให้คนได้ยินหยุดเดินกะทันหัน
“ไม่ต้องอวยพรเพิ่มหรอก ทุกวันนี้ผมก็เหมือนคนตายไปครึ่งตัวอยู่แล้วหนูน้อย” จบประโยคกระจกก็เลื่อนปิดจากนั้นรถสปอร์ตคันงามก็เคลื่อนจากหน้ามหาวิทยาลัยไปอย่างรวดเร็ว
แบมแบมยืนนิ่งทอดสายตายังกลุ่มฝุ่นควันที่รถของคนตัวใหญ่ทิ้งเอาไว้ก่อนปิดสายเป้บนหลังข้างหนึ่งเพื่อดูสิ่งที่ถูกยัดใส่กระเป๋ามาอย่างไม่เต็มใจจึงเห็นนามบัตรอยู่ในช่องกระเป๋า
นิ้วเรียวหยิบนามบัตรแข็งคล้ายบัตรเครดิตสีดำตัดกับตัวอักษรนูนต่ำสีทอง...ข้อมูลบนนั้นมีทั้งชื่อนามสกุล ตำแหน่งหน้าที่ เบอร์ติดต่อ อีเมล์ในภาษาเกาหลี จีนและอังกฤษ
“หวัง แจ็คสัน...ที่ปรึกษาอิสระ” เด็กหนุ่มรำพึงเบากับตนเองพร้อมหักนามบัตรนั้นเป็นสองท่อนแล้วเขวี้ยงลงถังขยะข้างทาง
...ผู้ชายประหลาด ขออย่าให้พบกันอีกเลย...
0 Comments