LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 5

07:20


ผ้าปูเตียงสีเทาถูกขึงจนตึงแล้วสอดเก็บชายใต้เบาะก่อนที่หมอนสีขาวสองใบจะถูกชายหนุ่มร่างโปร่งสวมเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำลากมันมาตบจนฟูนุ่มและวางกลับที่เก่า จากนั้นผ้าห่มสีเดียวกับผ้าปูก็สะบัดคลุมทั้งเตียงและเครื่องนอนเอาไว้


แดฮยอนกอดอกถอยมาดูความเรียบร้อยของห้องนอนที่ใช้เวลาในการจัดเกือบสิบนาที...แม้หัวจะปวดจากอาการเมาค้างแต่เขากลับทนไม่ได้ที่จะปล่อยห้องให้รก


ภายนอกเขาอาจดูเป็นคนง่ายๆยังไงก็ได้เหมือนไม่มีระเบียบ  หากในความเป็นจริงเขาเคร่งครัดกับการทำงานและเจ้าระเบียบกับการจัดเก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางรวมทั้งเรื่องความสะอาดเองก็ขาดตกบกพร่องไม่ได้


หลังจัดการห้องนอนกับสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองพร้อมพรมน้ำหอมกลิ่นเย็นชื่นจนพอใจ เขาก็โซเซออกจากห้องมาพบกับกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วที่อวลอบไปทั่วบ้านและเมื่อลากสังขารไปยืนพิงประตูครัวได้ก็เจอกับคนตัวผอมง่วนอยู่กับการชงกาแฟอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวซึ่งเขาจะมีโอกาสได้เห็นก็เฉพาะเวลาที่ตื่นเช้ามากพอ


รูมเมทของเขาเป็นเจ้าของร้านกาแฟและออกจะเป็นคนประหลาดอยู่สักหน่อย...แค่ไม่มีวิสัยแบบผู้ชายเกาหลีก็ว่าแปลกอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวยังเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง พูดบ่นกับตัวเองคนเดียวอยู่ประจำ ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว คุยกันอยู่ดีๆก็หนีเข้าห้องไปเสียดื้อๆ


“ชงกาแฟอยู่เหรอ...ทำไมต้องชงกาแฟเยอะขนาดนี้อีกแล้วเนี่ย” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยถามเรียกให้คนตัวผอมละสายจากแก้วกาแฟเล็กซึ่งวางเรียงรายทับอยู่บนกระดาษหันไปมองเพื่อนร่วมบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆครู่หนึ่งก็กลับไปสนใจกับสิ่งที่ทำอยู่ก่อนหน้า


ลองเป็นเมื่อหกเดือนก่อนเขาคงทนการอยู่ใกล้ในระดับนี้ไม่ได้แต่ตอนนี้เขามีภูมิต้านทานพอจะสนทนากันในระยะห่างกันไม่กี่เซนติเมตรได้แล้ว


“กำลังหาเมล็ดกาแฟที่ชอบอยู่”


“ที่ดื่มอยู่ไม่ชอบเหรอ”


“ก็ชอบแต่อยากลองว่าจะมีเมล็ดกาแฟแบบอื่นที่ทำให้ชอบมากกว่าที่ชอบอยู่หรือเปล่า”


“จะหาอีกทำไม พอเจอเมล็ดกาแฟที่ดีกว่าทีไร...ฉันก็เห็นนายยังดื่มกาแฟจากเมล็ดกาแฟเดิม”


“อะไรที่ดีกว่าไม่ได้แปลว่าเราจะชอบซะหน่อย...แล้วนี่เมื่อคืนเมากลับมาตั้งดึกดื่นยังจะตื่นเช้าไหวอีกเหรอ”


“พอดีมีคนจ้างไปร้องเพลงงานแต่งน่ะก็เลยจำเป็นต้องตื่น แต่ว่านะ นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันกลับดึก...ที่รู้นี่คงไม่ใช่ว่ารอเปิดประตูให้ฉันอยู่หรอกใช่ม้า” คนขี้เมาเป็นอาจิณยิ้มกริ่มแหย่


“รอเปิดประตูให้กับผีสิ...นายทำเสียงดังจนฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกต่างหาก บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า ถ้าเมากลับบ้านมาถูกหลังได้ก็น่าจะหยุดทำเสียงดังเดินเตะนู้นเตะนี่ซะที”


“ขอโทษที ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองทำเสียงดัง ก็อย่างที่เคยบอก เวลาฉันเมา ฉันจำอะไรไม่ได้หรอก”


“จำไม่ได้แล้วกลับบ้านมาคนเดียวได้ไง”


“ไม่รู้หรอก นายจะเอาอะไรกับคนเมาเล่า เวลาคนเราเมามันก็ทำอะไรแปลกไปจากเดิมทั้งนั้นแหละ”


“งั้นก็เลิกดื่มมันซะสิ จะได้ไม่ทำอะไรแปลกกว่าที่เป็นอยู่”


“ก็อยากจะเลิกอยู่หรอกแต่สังคมของฉันมันมีแต่คนพวกนี้...ถ้าไม่อยากตกข่าวในแวดวงหรือจะหางานพิเศษก็ต้องหาในวงเหล้าเนี่ยแหละแล้วฉันก็เป็นพวกปฏิเสธใครไม่เก่ง พอเขายื่นแก้วมาจะบอกไม่เอาก็รู้สึกไม่ดี อีกอย่างฉันก็เป็นพวกเมาถึงจะหลับได้ซะด้วยสิ”


“ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ ไอ้อาการแบบนี้มันต้องไปให้หมอเขารักษาไม่ใช่ดื่มให้หลับ สงสารตับไตไส้พุงตัวเองบ้างเหอะ ป่านนี้มันผุหมดพอดี” เจ้าของห้องบ่นยาวเหยียดขณะเก็บเมล็ดกาแฟที่หนีบถุงแน่นหนาใส่ลงในโถสูญญากาศ   


“หื้อ...นายเป็นห่วงฉันเหรอ” อีกฝ่ายลากเสียงถามพร้อมกับริมฝีปากที่เหยียดกว้างกว่าเก่า


“อย่างนายมีอะไรให้ต้องห่วง...กลัวแค่นายจะมาตายที่นี่เท่านั้นแหละ” เสียงเย็นเอ่ยออกมาอย่างไร้อารมณ์จนแขนของเพื่อนร่วมห้องที่เท้าอยู่บนขอบเคาน์เตอร์ไถลลื่น...เรียวคิ้วหนาเลิกสูงยังเพื่อนร่วมบ้านแล้วถอนหายใจ


...เดี๋ยวนี้ยองแจคนแปลกแต่น่ารักคนนั้นกลายเป็นคนปากไว เถียงคำไม่ตกฟากแถมเอาแต่ใจอีกต่างหาก...


“โหย ทำไมถึงพูดจาทำร้ายจิตใจฉันขนาดนี้ล่ะ...ไม่เห็นแก่ฉายาแมวแดฮยอนผู้น่ารักที่ใครๆก็รักบ้างเลย” คนตัวสูงว่าทอดสายตาละห้อยมาหา


ยองแจสะบัดมือชุ่มน้ำจากการล้างแก้วลงในอ่างพลางหันไปมองหน้ารูปหัวใจของรูมเมทที่กระพริบตาปริบอ้อนเหมือนแมวขอปลาทูก็นึกสงสาร แต่พอหวนคิดถึงรูปถ่ายคู่กับสาวไม่เว้นวันรวมทั้งข้อความที่อีกฝ่ายตอบโต้ทั้งหยอดทั้งหว่านใส่บรรดาสาวๆ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นใต้ภาพเหล่านั้นด้วยแล้วก็ของขึ้น


ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมบ้าน หากความอ่อนโยนใจดีของคนตรงหน้าที่แสดงออกอยู่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเช่นอาหารการกินที่เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะจำเรื่องที่เขาไม่ชอบเต้าหู้ แต่ครั้งที่สองที่อีกฝ่ายซื้อของกินมาฝากกลับพูดว่า ไม่ได้ใส่เต้าหู้นะ จำได้ว่าไม่ชอบ หรือจะเป็นเรื่องที่อุตส่าห์โหลดโปรแกรมแชทมาเพื่อจะใช้คุยกับเขาคนเดียว หรือบางทีที่เขาอยากได้อะไรแล้วพูดกับตัวเองก็ยังเอามาฝาก


ความใส่ใจพวกนั้นทำให้เขาต้องกลั้นยิ้มแทบตาย...เกือบหลงดีใจว่าตัวเองพิเศษแต่พอต้องกลายเป็นคนนั่งฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้หญิงที่มาติดพัน ยิ่งเห็นวิธีการอ่อยได้อย่างทั่วถึงไม่เลือกเพศก็สำเหนียกได้ว่า ผู้ชายคนนี้ดีกับทุกคนและเรื่องที่แย่ก็คือเขายังคงชอบผู้ชายคนนี้ทั้งที่ตระหนักดีว่า เมื่อไหร่ที่ตกหลุมรักคนที่ดีกับทุกคนเข้าล่ะก็ ย่อมจะเจ็บปวดกับการคาดหวังว่าตัวเองจะพิเศษกับเขาทั้งที่เราก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ


...น่าโมโหจริงๆให้ตาย...


“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ชอบคนอย่างนาย” เจ้าของห้องปล่อยเสียงพูดลอดผ่านไรฟันที่กัดแน่น...หน้านวลหมุนกลับมาจดจ่อกับการเช็ดถ้วยกาแฟในอ่างล้างจานพยายามข่มไม่ให้อีกฝ่ายเห็นความผิดปกติของตัวเอง


...ใช่ มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะชอบคนที่รู้ทั้งรู้ว่าชอบไปก็มีแต่จะเสียใจ...

...และไอ้โง่ตัวเป้งที่ว่า แม่งก็เขานี่ไงล่ะ...


“อ้าว ทำไมด่ากันแบบนี้เฉยเลยวะ”


“คนที่เฟลิร์ตชาวบ้านไปทั่วอย่างนายน่ะ...เคยรักใครจริงจังบ้างหรือเปล่า”


“มันก็...” พอถูกจี้ถามคนไม่ทันตั้งตัวก็อึกอักคิดคำตอบไม่ออก ยิ่งทำให้ฝ่ายที่โมโหตัวเองอยู่แล้วสวนมาอีกระลอก


“คนแบบนายน่ะ...คงเก่งแต่ทำให้คนอื่นเสียใจ”


“เอ้า ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ด่าอีกล่ะ ทำไมถึงชอบด่าฉันอยู่เรื่อยเลยว้า ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะด่ากันอย่างนี้เลย เกลียดอะไรฉันนักหนาเนี่ย”


“ก็ทำตัวให้มันดีๆหน่อยสิจะได้ไม่ด่า”


“ไอ้ดีของนายคือยังไง ต้องไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบ ไม่จีบหญิงงี้เหรอ โอ๊ย แบบนั้นมันต้องพระแล้วมั่ง”


“แค่ไม่มั่วไปทั่วก็พอ เวลารักใครก็ให้มันจริงจังบ้าง ไม่ใช่หว่านไปหมดแบบนี้”


“ก็ตอนนี้ฉันโสดนี่หว่า ถ้าจะจีบใครหรือลองคุยกับใครเผื่อจะได้คบกันมันไม่เห็นผิดตรงไหนเลย...ตัวนายเองอ่ะก็โสดมาตลอดเลยไม่ใช่หรือไง มาสอนฉันซะอย่างกับเคยรักใครมาก่อนอย่างนั้นแหละ” คนตัวสูงกว่าตอก ย้อนเอาบทสนทนาที่อีกคนย้ำเสมอว่าไม่มีใครชอบตัวเองมากพอตลอดซึ่งอนุมานได้ว่าคงโสดสนิทมาตลอดยี่สิบกว่าปีขึ้นมาพูดบ้าง


“ทำไมจะไม่เคย” ประโยคเรียบห้วนสวนกลับมาทันควันเล่นเอาทั้งคนหลุดปากทั้งคนได้ยินชะงัก


“เฮ้ย จริงดิ...นายเคยชอบใครเขาด้วยเหรอ ชอบเมื่อไหร่ ชอบยังไง ไหนเล่าให้ฟังหน่อย” คำถามพรั่งพรูมาจากความตื่นเต้นผิดกับคนหลุดปากที่ได้แต่หลับตากัดปากแช่งด่าความปากไวของตัวเองก่อนจะบอกปัด


“อย่ายุ่งเลยน่า”


“ไม่อยากให้ยุ่งแบบนี้นี่แสดงว่าต้องเป็นรักแบบที่ไม่ได้คบกันแหง่ ไม่ก็แอบรักเขาข้างเดียวแบบนั้นอ่ะดิ”


“จอง แดฮยอน” เจ้าของห้องเรียกเสียงเย็นปรายตาเรียวดุไปหาแล้วเอ่ยต่อช้าๆ “อยากตายมากใช่มะ”


“สงสัยจะใช่ คงจะจี้ใจดำอะดิ ถึงกับขู่ฆ่ากันเลยเนี่ย” อีกฝ่ายชี้นิ้วยิ้มหยอก “ไหนบอกหน่อยสิว่า คนที่นั้นเขาหน้าตาเป็นยังไง”


“บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง”


“โหย บอกหน่อยน่า ฉันน่ะถึงระยะหลังมานี้จะโดนทิ้งบ่อยก็เถอะ แต่ฉันไม่เคยจีบใครไม่ติดมาก่อนเลยนะ เพราะงั้นถ้านายบอกมาว่าชอบใครอยู่ล่ะก็ ฉันจะได้ให้คำแนะนำได้ไง”


“ไม่เคยเลยเหรอ” เสียงอ่อนลากถาม “แล้วจุนฮงล่ะ...อันนี้นับมะ”


ชื่อของใครคนหนึ่งหลุดจากปากดึงคนที่กำลังจ้อถึงประสบการณ์รักโชกโชนของตัวเองให้เงียบกริบ ตากลมเหลือบยังคนที่ละจากการเรียงถ้วยกาแฟเซรามิกส์ใบเล็กยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่งหันมามองตอบ


“ฉันรู้ว่านายมีคนชอบเยอะแต่ชอบเยอะแล้วยังไงล่ะ จีบเขาติดตลอดแล้วยังไง สุดท้ายก็ลงเอยที่คบกับใครไม่ถึงอาทิตย์ดี แล้วทำไมฉันต้องยอมให้คนโดนทิ้งทั้งปีทั้งชาติมาคอยบอกว่า ฉันต้องทำยังไงด้วยล่ะ” ถ้อยคำยาวเหยียดเย็นชาของคนตรงอ่างล้างจานนั้นคล้ายชนักจ้วงลงกลางหลังทำให้คนยืนฟังอ้าปากค้างไร้คำจะตอบโต้


“ถ้าไม่พอใจที่พูดตรงๆก็ขอโทษด้วยแล้วกัน...เดี๋ยวฉันจะออกไปเปิดร้านล่ะ นายก็ไปทำงานของนายเหอะ เดี๋ยวก็สายกันพอดี” จบประโยคยองแจก็เช็ดมือกับผ้าที่แขวนอยู่เหนืออ่างล้างหน้าแล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนโต๊ะมาสวมก่อนจะก้าวออกไปปล่อยเพื่อนร่วมห้องให้ยืนกระพริบตาปริบ


...คงจะถูกเกลียดเข้าแล้วสินะ...
----------------------------------------------------------
น้ำสีอำพันเย็นเฉียบไหลจากขวดเบียร์รินสู่แก้วทรงสูงดันเอาฟองสีขาวนุ่มให้จรดปากแก้วก่อนจะถูกกระดกหายไปในลำคอของชายหนุ่มสวมเสื้อสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆ นั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มหน้าตากวนประสาทย้อมผมสีแดงสดสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงินอวดรอยสักตรงแขนที่กำลังใช้ฟันฉีกไก่ทอด


แดฮยอนเอนหลังพิงพนักขณะวางแก้วเบียร์ลงบนโต๊ะทอดสายตายังกระดาษรองแก้วสีดำพิมพ์ตราสัญลักษณ์ก่อนความคิดจะลอยไกลถึงใครอีกคนที่ตอนนี้คงนอนดูโทรทัศน์สบายใจพลางทบทวนถึงสีหน้าท่าทางในระยะหลังของเขาผู้นั้นก็ถอนหายใจออกมา


...หมู่นี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกรูมเมทเกลียดขี้หน้า...


แม้จะพอรู้ตัวอยู่บ้างว่า การเมากลับไปโดยที่จำอะไรไม่ได้คงสร้างความรำคาญใจให้ไม่น้อยแต่นอกจากเรื่องนี้เขาก็ดูแลเอาใจรูมเมทของตัวเองเป็นอย่างดีจะมีก็ตัวเขาเองนั้นแหละที่ถูกใจร้ายใส่อยู่ประจำ


ทั้งที่มีกฎเขียนไว้แต่กลายเป็นเขาที่ทำความสะอาดห้องอยู่คนเดียว ไหนจะเรื่องที่ส่งข้อความไปก็ไม่ค่อยจะตอบกลับเรื่องที่เขาอุตส่าห์ซื้อของกินไม่เขียนชื่อไว้ในตู้เย็นเพื่อให้ได้กินแต่ฝ่ายนั้นหยิบมากินก็ซื้อกลับมาคืนแต่คงจะลืมไปว่าวันหมดอายุมันไม่ตรงกับของที่เขาซื้อแถมบางทียังซื้อมาผิดยี่ห้ออีก


...ไม่ใช่เพื่อนกันซะหน่อยแค่คนอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน เป็นคำที่ติดหูเขาไปแล้ว...


ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้งไหล่ลู่ลงอย่างอ่อนล้าทั้งจากงานและจากรูมเมทกว่าจะรู้ตัวว่าถูกคนที่นั่งตรงข้ามจ้องไม่วางตาราวกับเขาไปเหยียบตาปลาตรงเท้ามันมาก็นานโข


“มองเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” เขาถามพลางเลิกคิ้วใส่เพื่อนร่วมงานคนสนิทค่ายเดียวกันอย่างมิน ดงอุค หรือที่คนในวงการเรียกขานกันว่า APRO


โดยปกติแล้วเขากับดงอุคไม่ค่อยมีโอกาสได้นั่งดื่มกันลำพังอย่างนี้สักเท่าไหร่ด้วยส่วนตัวดงอุคมีคู่หูอย่างยองฮุนไปไหนมาไหนด้วยเสมอแต่เมื่อต้องทำงานแยกกันและสมาคมคนขี้เมาของบริษัทคนอื่นก็ติดงานกันหมดเลยต้องมานั่งจ๋องอยู่ในร้านไก่ทอดกันแค่สองคน


ดงอุคยังคงนิ่งต่อคำถามเพียงมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอยู่อย่างนั้นคล้ายชั่งใจอยู่พักใหญ่ก็ยกน่องไก่ทอดในมือชี้หน้า


“รูมเมทมึงอ่ะ...เขาชื่ออะไรวะ” ประโยคคำถามสวนมาแทนคำตอบทำให้เรียวคิ้วหนาแทบขมวดเข้าหา เพราะไม่มีใครสนใจในเรื่องรูมเมทของเขามานานแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยพูดอะไรถึงรูมเมทให้ฟัง เพื่อนของเขาทั้งหมดรับรู้เพียงว่าตอนนี้เขาอยู่แถวไหนก็แค่นั้น


...พอถูกถามเลยรู้สึกแปลกๆ...


“ถามทำไมวะ”


“มึงจำวันที่เราไปดื่มฉลองจบโปรเจคงานอาทิตย์ก่อนได้ปะ...วันนั้นมึงเมาหลับคาโต๊ะ ยองฮุนกับกูเลยพามึงไปส่งบ้านแต่ทีนี้แถวนั้นมันไม่มีที่จอดรถยองฮุนมันต้องวนรถหาที่จอด กูเลยต้องแบกมึงคนเดียวไปส่งที่ห้อง”


“แล้ว”


“ตอนไปถึงรูมเมทมึงเขาออกมาเปิดประตูให้ ท่าทางตกใจมากที่เห็นมึงเมาขนาดนั้น พอกูแบกมึงไปส่งให้ที่ห้องนอนเสร็จ เขาโค้งขอบคุณกูตั้งหลายรอบแถมเอาขนมเค้กให้กูกับยองฮุนมันถุงใหญ่เลย”  


“อา”


“เมื่อวานกูแวะไปที่ร้านกาแฟของเขามาด้วย”


“ฮะ...ว่าไงนะ” คนที่นั่งขมวดคิ้วฟังเรื่องเล่าจากเพื่อนมาครู่ใหญ่แทบตบโต๊ะร้องเสียงหลงเล่นเอาอีกคนสะดุ้งสบถใส่


“เหี้ยเอ๊ย มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย”


“มึงไปรู้จักร้านเขาได้ไง” คำถามใหม่มาพร้อมรอยยิ้มกว้างทั้งที่ข้างในทั้งคับข้องใจและเริ่มหงุดหงิด


“พอดีกูผ่านไปแถวบ้านมึงมา จำชื่อร้านเขาบนกล่องเค้กได้เลยลองเสิร์ชเล่นๆ ปรากฏว่าเจอก็เลยแวะไปดู...ตอนแรกเขาจำกูไม่ได้หรอกแต่พอกูบอกว่าเคยไปส่งมึงมา เขาก็ถามกูว่า ที่มานี่จะมาเป็นลูกค้าหรือจะมาคอมเพลนเรื่องเค้ก กินเข้าไปแล้วท้องเสียเหรอ ไปหาหมอมาหรือยัง แบบลนลานไปหมดเลย กลัวกูจะป่วยเพราะเค้กเขา” ดงอุคพูดไปยิ้มไปในทุกครั้งที่นึกถึงหน้าตาตื่นและเป็นกังวลแต่พอบอกว่า ไม่ได้เป็นอะไรก็ยิ้มกว้างเสียจนแก้มขึ้นเป็นลูก “คือกูจะพูดยังไงดีวะ กูรู้สึกว่าเขาน่ารักดี ท่าทางนิสัยดีด้วย กูก็เลย...”



“อย่ายุ่งกับเขา” เสียงทุ้มแต่แข็งกระด้างขัดขึ้นทำให้คนที่ได้ยินชะงักยิ้มกะทันหัน...ยิ่งเงยจากไก่ทอดมองไปยังใบหน้ารูปหัวใจที่มีระบายยิ้มทั่วปกติ ทว่าแววตาระหว่างยิ้มกลับเรียบเย็นไร้แววสนุกสนานเหมือนเวลาที่เจ้าตัวตกอยู่ในอาการเมาหนักก็ประหลาดใจเข้าไปใหญ่


แดฮยอนเป็นคนตลกและใจดี แต่เวลาไปดื่มแล้วเมาทีไร บุคลิกด้านเย็นชาเงียบขรึมจะเผยออกมา...ในยามนั่งนิ่งจิบเหล้าในมือกลับมีรังสีดำมืดแผ่ซ่านขนาดที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ 


ถ้าไม่ถึงขั้นเมาจนหลับแล้วล่ะก็มันสามารถเดินออกจากร้านกลับบ้านไปเองได้โดยไม่ต้องให้ใครไปส่งและเมื่อเช้าอีกวันมาถึงมันก็จำไม่ได้เลยว่าทำอะไรลงไป


“นี่มึงเมาแล้วเหรอวะ” ฝ่ายเพื่อนอ้อมแอ้มถามแต่ถูกสวนมาใหม่ด้วยเรื่องก่อนหน้า


“รูมเมทกูน่ะเขาไม่ใช่คนประเภทที่มึงควรเข้าไปใกล้...คนสะอาดอย่างเขาไม่เหมาะกับอะไรเถื่อนๆ พวกปากหมา วันๆว่างเป็นไม่ได้ดูแต่หนังโป๊ ชอบแกล้งชาวบ้านแบบจัญไรๆ แถมดูดบุหรี่ต่างน้ำอย่างมึงหรอก เขาเป็นคนแบบที่สมควรอยู่ในโลกสว่างไสว โลกที่คนดีๆเขาอยู่กัน”


“โอโห ไอ้...ดูมึงด่ากูซะ นี่แค้นเหี้ยอะไรกูมาแต่ชาติไหนวะ ด่ามาไม่ได้ดูตัวมึงเองเลย ที่ร่ายมาหมดนั้นมึงก็เคยทำเหมือนกัน ยังกล้าด่ากูอีกนะ ไอ้ห่า”


“กูเป็นเพื่อนเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย...กูรู้จักเขามานานแล้ว กูรู้ว่าต้องทำตัวยังไง มึงไม่ใช่เพื่อนเขามาก่อน  เขาบอบบาง คนอย่างมึงไม่รู้หรอกว่าต้องดูแลเขายังไง”


ดงอุคกระพริบตาปริบให้กับการที่ฝ่ายตรงข้ามผละจากพนักเก้าอี้โน้มตัวลงมาเท้าแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะยื่นหน้ามาจ้องด้วยสายตาเหมือนเสือร้ายจ้องเตือนไม่ให้เหยียบเข้าอาณาเขต


...กะอีแค่อยากเป็นเพื่อนกับรูมเมทมันเฉยๆ ต้องไม่พอใจเบอร์นี้เลยเหรอวะ...


“เดี๋ยวนะ...ทำไมมึงถึงต้องทำท่าไม่พอใจใส่อารมณ์กับกูขนาดนี้ด้วยวะ กูแค่อยากเป็นเพื่อนกับเขาเฉยๆ ยังไม่ได้ไปทำอะไรเขาเลยนะ นี่หวงรูมเมทกับเพื่อนกับฝูงเหรอ แม่งเอ๊ย ใส่เต็มกูขนาดนี้นี่คงไม่ใช่ว่าชอบเขามากกว่าเพื่อนหรอกนะ”


“เพ้อเจ้อเหี้ยอะไรของมึง...กูเป็นเพื่อนสนิทเขากูก็อยากให้เขารู้จักแต่คนดีๆ ยังไงก็เถอะ กูเตือนแล้วนะว่าอย่ายุ่งกับเขา ถ้ากูรู้ว่ามึงไปวุ่นวายกับเขาอีกนะ มึงกับกูได้เห็นดีกัน”


“ทำไม มึงจะต่อยกูเหรอไง...คนอย่างมึงเนี่ยนะต่อยใครเขาเป็นด้วย”


"ไม่ต่อยแต่กูจะเอาหนังโป๊ลิมิเต็ดอิดิชั่นที่มึงซ่อนในออฟฟิศไปเผาแล้วจะบอกพี่ฮันเฮด้วยว่า ตอนพี่เขาเมามึงไปแย่งจีบสาวที่พี่เขาเล็งไว้ จะบอกบอสเรื่องที่มึงทำแจกันเซรามิกส์สุดหวงของบอสหักแล้วเอากาวทาด้วย” แดฮยอนว่าขณะลุกจากเก้าอี้หยิบแจ็กแก็ตสีเทาที่พาดอยู่บนเท้าแขนของเก้าอี้มาสวม


“โห คนเหี้ยอะไรเก็บทุกเม็ดขนาดนี้ เอ้า แล้วนี่จะไปไหนเนี่ย”


“กูจะกลับแล้ว”


“อะไรวะ จะกลับล่ะ แม่งเพิ่งสามทุ่มเองนะ”


“สามทุ่มแล้วยังไง  กูจะกลับบ้านมันผิดตรงไหน เอาค่าไก่กับเบียร์ไปไป้” เขาว่าวางแบงค์ห้าหมื่นวอนสองใบบนโต๊ะ


“โว้ย แดฮยอน มึงอย่างอนน่า กูเข้าใจแล้วว่า มึงไม่อยากให้กูเป็นเพื่อนกับรูมเมทผู้บอบบางของมึง ต่อไปกูจะไม่ไปยุ่งอะไรกับรูมเมทมึงแล้วก็ได้ มึงกลับมานั่งแดกต่อเหอะ”


“กูไม่มีอารมณ์แดกแล้ว...เชิญมึงแดกของมึงไปคนเดียวเลย” แดฮยอนคว้าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กระเป๋าเสื้อแจ็กแก็ตหุนหันออกจากร้านเดินไปตามถนนด้วยความรู้สึกร้อนไปทั้งหัวจนไม่รู้ตัวว่าออกนอกเส้นทางกลับบ้านมาไกลมากแล้ว


ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเดินย้อนไปตามทางเก่าผ่านร้านรวงที่ปิดไฟเงียบกันหมดทำให้บรรยากาศสองข้างทางยิ่งวังเวง ช่วงขณะนั้นไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้หันไปมองอีกฝั่งของถนนจึงได้เห็นชายหนุ่มตัวผอมบางสวมเสื้อสเวตเตอร์ตัวใหญ่ประจันหน้าอยู่กับชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมสูทสีเทา


แม้จะไม่ได้ยินสนทนาของทั้งคู่ หากจากท่าทางการแสดงออกก็รู้ว่าน่าจะทะเลาะกัน...คนไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยหันกลับตั้งใจว่าจะเลี่ยงทำไม่เห็นไปซะแต่พอได้ยินเสียงกระดูกหักลั่นข้ามมาถึงฝั่งตัวเองก็ตกใจมองกลับไปโดยอัตโนมัติถึงได้เห็นว่า ชายตัวใหญ่ดัดมือเรียวเล็กของอีกคนจนนิ้วทั้งสี่งอจรดหลังข้อมือผอมแต่ฝ่ายถูกกระทำไม่ร้องเลยสักคำทั้งที่ตัวสั่นราวกับกำลังอดกลั้นความเจ็บ


“เหี้ย” เขาสบถออกมาเกือบจะเดินข้ามถนนไปช่วยอยู่แล้ว ดีที่ชายหนุ่มตัวใหญ่สวมสูทสีดำอีกคนแทรกตัวออกมาจากซอกมืดข้างร้านดอกไม้คว้าข้อมือที่กำลังหักมือเล็กอย่างไม่ปราณีปราศรัยและเริ่มขยับปากเอ่ยอะไรบางอย่าง ก่อนที่ผู้คุมคามจะปล่อยมือจากไปทิ้งให้คนตัวผอมและผู้มาใหม่อยู่ด้วยกัน


เมื่อทางนั้นขยับคล้ายจะหันมาทางตนเอง ร่างสูงโปร่งก็หลบเข้าไปในเงามืดของร้านค้ารอกระทั่งทุกอย่างสงบลงจึงออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกเฉยชามากกว่าจะตื่นเต้นระทึกขวัญราวกับคุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ รองเท้าผ้าใบก้าวออกไปตามทางเก่ากระทั่งผ่านสถานีรถไฟจึงตัดสินใจเลือกกลับบ้านด้วยวิธีนี้


แดฮยอนไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในบ้านก้มถอดรองเท้าผ้าใบหยิบวางไปบนชั้นไม้ยาวตรงประตูที่มีรองเท้าอีกหลายคู่วางอยู่ก่อนจะเหยียดตัวขึ้นมองไปยังห้องนั่งเล่นที่เปิดไฟไว้แต่ไม่มีใครอยู่ เมื่อยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาก็เห็นว่าเพิ่งจะสี่ทุ่มสิบห้า


...กลับเร็วไปเปล่าวะ...


เพราะไม่เคยกลับบ้านมาอย่างมีสติเลยสักที เมื่อต้องกลับมาบ้านในเวลาที่เพื่อนร่วมห้องเข้านอนแล้วเลยรู้สึกทุกอย่างมันผิดที่ผิดทางไปหมด...จะให้เข้าห้องไปนอนก็ยังไม่เมาพอจะหัวถึงหมอนแล้วหลับลงแต่จะให้ออกไปข้างนอกเพื่อนก็ยุ่งกันหมด คนที่ว่างพอก็ทำให้ตัวเองต้องหัวร้อนกลับมา ครั้นจะไปดื่มคนเดียวก็ไม่ชอบ


มือใหญ่ขยุ้มหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยไม่รู้ว่าควรจะอยู่บ้านนอนตาสว่างบนเตียงถึงเช้ากับยอมออกไปดื่มข้างนอกคนเดียวค่อยโซเซกลับมาก็เกิดสะดุดเท้าตัวเองล้มคว่ำดีที่มือไว้ยันพื้นไว้ได้ทันหน้าเลยไม่คะมำทิ่มไปทั้งหน้า


“เมาอีกแล้วเหรอ” เสียงนุ่มอันคุ้นเคยดังขึ้นทำให้คนที่หน้าห่างจากพื้นไม่กี่เซนติเมตรกระพริบตาปริบพร้อมกับมือที่เย็นเฉียบจะยื่นมาแตะเบาๆบนแก้มและเมื่อเขายันตัวเองขึ้นมานั่งบนพื้นก็เห็นหน้านวลละมุนของเพื่อนร่วมห้องชะโงกเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจตีกัน


“กลิ่นเหล้าแรงจัง...นี่ดื่มไปกี่ลังเนี่ย” เสียงบ่นตามมาพร้อมกับการถอนหายใจแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งงันด้วยไม่คาดฝันว่าจะได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้


“ฉันด่านายทุกเช้าเลยนะเรื่องเมาน่ะ ทำไมถึงไม่คิดจะหยุดดื่มบ้างเลยล่ะ แล้วเนี่ยทำไมถึงได้ล้มตรงนี้ทุกวันนะ...อุตส่าห์เก็บของให้พ้นทางหมดแล้วยังจะล้มอีกเหรอ แค่นี้ตัวก็ช้ำจะตายอยู่แล้ว” คนผอมบ่นยาวเหยียดแต่สีหน้าแววตากลับเป็นกังวล ค่อยๆขยับตัวดึงแขนอีกคนให้พาดมาบนบ่าออกแรงทั้งหมดที่มีพยุงให้ลุกขึ้นจากพื้นพาไปส่งถึงห้องนอนด้วยความทุลักทุเล ส่วนคนไม่ได้เมาไม่รู้จะทำตัวยังไงจึงได้แต่เลยตามเลยเหมือนเมาจริงไปด้วย


ยองแจวางเพื่อนร่วมห้องลงบนเตียงพลางหอบหายใจ จากนั้นจึงวิ่งออกไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำพอหมาดก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน เมื่อเห็นอีกคนลุกจากเตียงขึ้นมายืนจึงยื่นผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้อย่างอ่อนโยนไร้อาการขัดเขินราวกับทำเป็นกิจวัตร


“ดีขึ้นไหม อยากได้น้ำหรืออะไรหรือเปล่า” คำถามยังคงตามมาเช่นเดียวกับผ้าชุ่มน้ำที่ยังคงเช็ดไปทั่วหน้า


เจ้าของห้องนอนกระพริบตาจ้องรอยกังวลบนดวงหน้านวลน่ารักนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจระคนไม่แน่ใจว่าเมามากจนมโนภาพไปเองหรือเปล่าอยู่นานกว่าที่จะยกมือขึ้นมาตั้งใจจะตบหน้าตัวเองดูสักทีเผื่อจะสะดุ้งตื่นจากความเมาขึ้นมาได้ ในจังหวะที่ฝ่ามือเกือบถึงข้างแก้มมือเย็นก็เอื้อมจับข้อมือเอาไว้ก่อน


“หยุดเลยนะ” คนตัวเล็กกว่าร้องเสียงหลงดึงแขนมากอดไว้แน่น


ฝ่ายถูกกอดแขนชะงักก้มมองตากลมเรียวแดงที่เหลือบมาหา ความไม่เข้าใจบังเกิดในความคิดพร้อมกับคิ้วเรียวที่เลิกสูงจากความไม่เข้าใจ ด้วยจำไม่ได้ว่าตอนเมานั้นเผลอทำอะไรลงไป พอถึงคราวแกล้งเมาเลยมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด


“ทำไมเมาแล้วต้องทำร้ายตัวเองอีกแล้วนะ ทั้งที่เวลาปกตินายออกจะมีความสุขมากขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย”


น้ำเสียงของคนผอมสั่นเครือ ความเจ็บปวดสะท้อนผ่านดวงตาและหน้านวลที่แดงก่ำจากความพยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ก่อให้เกิดความเศร้าเหลือคณาในใจผู้มองเห็น แม้จะรู้สึกประหลาดใจและมีคำถามมากมายแต่แทนที่จะเอ่ยอะไรออกไปเขาเลือกจะดึงแขนตัวเองออกเพื่อจะได้ปลอบ  หากอีกฝ่ายซึ่งเคยเห็นการทำร้ายตัวเองของคนตรงหน้ามาก่อนตีความอาการนั้นไปอีกทางเลยโถมทั้งตัวกอดไว้ไม่ปล่อย


การยื้อยุดไปมาเริ่มขึ้นพักใหญ่กระทั่งเท้าของคนผอมพลิกอย่างไม่ตั้งใจกระแทกเข้าไปหาคนตัวสูงที่ถอยพลาดข้อพับกระแทกเข้ากับขอบเตียงเลยเสียหลักร่วงไปนอนกองใช้ตัวเองแทนเบาะรองร่างผอมที่ล้มทับลงมา


แดฮยอนใช้ศอกยันหลังตัวเองขึ้นจากเตียงก้มมองเพื่อนร่วมห้องที่ขยับจากอกของเขาเงยมาหา ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันคงมีเพียงแววตาแสนเศร้าคู่นั้นที่ทำให้หัวใจเขากระตุกวูบไหว ความอุ่นอวลแทรกลึกถึงตะกอนขุ่นมืดภายในที่เก็บซ่อน


โมงยามแห่งการประสานสายตาและซึมซับรับเอาความอ่อนโยนเคลื่อนผ่านอย่างเนิบช้าก่อนที่มือคนแกล้งเมาข้างหนึ่งจะเอื้อมไปกุมหมัดที่กำผ้าเช็ดหน้า ขณะที่มืออีกข้างสัมผัสแนบพวงแก้มเย็นเนียนอ่อนเบาประหนึ่งจับต้องอัญมณีเลอค่าและเคลื่อนลงมาหยุดยังริมฝีปาก


...น่าแปลกที่คนตรงหน้าอยู่ใกล้เขามากโดยไม่กลัวเหมือนเช่นทุกที...


“ไม่กลัวฉันเหรอ” เขาเอ่ยถามเบาราวจะกระซิบ หากอีกฝ่ายส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธแทนคำพูด


“ทำไมถึงไม่กลัวล่ะ...ทำไมถึงดีกับฉัน...แค่ตอนนี้”


ยองแจยิ้มเศร้าให้กับคนตรงหน้าอย่างอาทร ช่วงเวลาเดียวที่ทำให้เขาลืมความอายและความรู้สึกโกรธขึ้งในตัวผู้ชายคนนี้ได้มีเพียงเวลาที่อีกฝ่ายกลับมาด้วยสภาพเมามาย ณ ขณะนั้นมันเหมือนกับมีบางอย่างหนักหนาอยู่ข้างใน แม้จะยิ้มแต่แววตากลับรวดร้าวราวกับคนสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิตแต่ไม่อาจปริปากบอกใคร


...เขารู้สึกเจ็บปวดและไม่อาจเมินเฉยต่อความรู้สึกนั้นได้...


ทุกคืนเขาจะนอนอยู่หน้าโซฟาตั้งนาฬิการอเวลาที่อีกฝ่ายจะกลับ...พอเห็นรูมเมทเมากลับมาก็ดูแลและต้องคอยตอบคำถามที่เมื่อถึงคืนพรุ่งนี้ก็ต้องตอบใหม่จนกลายเป็นกิจวัตร


“เพราะนายดูเศร้า...เศร้ามาก”


“ที่ดีกับฉันเพราะสงสารเหรอ”


“สงสารก็ด้วย แต่ฉันเจ็บปวดมากกว่าน่ะ”


“เจ็บปวด?


“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย แต่ทุกครั้งที่นายดูเศร้า ฉันมักจะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแทงลงมาในใจ จะพูดว่ายังไงดีนะ มันเหมือนกับว่าความเศร้าของนายคือความเจ็บปวดของฉันด้วย” ถ้อยความอธิบายเหตุผลฟังหม่นหมองนั้นสะท้อนไปทั้งใจคนฟังให้หวนคิดถึงอดีตหนหลังอันทุกข์ทน


นิ้วแข็งไล้ไปตามรอยหยักโค้งของเรียวปากนุ่มอย่างเบามือ นัยน์ตาคมจับนิ่งยังแววกังวลระคนเจ็บปวดบนดวงตากลมไม่วางวายราวกับสิ่งตรงหน้างดงามเกินกว่าจะละสายตามีเพียงริมฝีปากที่ขยับแย้มคลายอ่อนโยน


“ขอบคุณนะ” เสียงทุ้มมีแววเครือน้อยๆลอดผ่านปากพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่กระชับกอดร่างผอมแนบไว้กับตัวก่อนจะเขยิบตัวขึ้นมาจนเท้าที่เหยียบตรงพื้นพ้นขึ้นมาบนเตียงได้ทั้งหมด


เจ้าของบ้านนอนนิ่งอิงอยู่ในอ้อมแขนอุ่นสูดกลิ่นแอลกอฮอล์ระคนกลิ่นน้ำหอมจางๆ แนบฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกถึงความผ่อนคลายนั้นทำให้ไหล่ผอมแข็งเกร็งผ่อนลงเช่นเดียวกับความกระวนกระวายทั้งมวล


ห้วงเวลาแห่งความสงบมีเพียงเสียงลมหายใจและหัวใจที่ดังอยู่คล้อยผ่านไปนานกระทั่งเสียงทุ้มเริ่มอ้อนขอ


“ขอฉันนอนกอดนายได้ไหม...ถ้ามีนายอยู่ด้วยฉันคงจะหลับได้”


“นายก็กอดฉันนอนตอนเมาทุกคืนแหละ”


“จริงเหรอ”


“อืม...แต่นายจำไม่ได้หรอก ทั้งเรื่องที่นายชอบเมากลับมาต่อยกำแพง ตบตีตัวเอง พวกคำถามที่นายถามฉันก็ด้วย เวลานายเมานายพูดอะไรเยอะแยะไปหมด แต่พอถึงพรุ่งนี้นายก็ลืมหมดแล้ว”


“ฉันทำร้ายตัวเองด้วยเหรอ”


“ใช่...ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกแต่คืนหนึ่งฉันได้ยินเสียงดังในห้องนอนของนายก็เลยถือวิสาสะเข้ามาดู ฉันเห็นนายต่อยกำแพง ทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้วตีตัวเองด้วย...มัน...ฉันไม่เข้าใจว่า นายเป็นอะไร แต่ถ้าฉันไม่ห้ามนายก็ไม่หยุด และฉันไม่รู้ว่า ถ้าฉันไม่อยู่จนนายหลับไป นายจะยังทำร้ายตัวเองไหม”


“ก็เลยอยู่กับฉันตลอดเลยเหรอ


“อืม”


“อา...ทำไมไม่เล่าให้ฟังล่ะ”


“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากเล่าอะไรที่ทำให้ความสดใสของนายหายไป ฉันคิดว่า ถ้ามันมีอะไรไม่ดีจริงๆและนายวางใจฉันมากพอนายจะเล่าเอง แต่คิดว่าคงไม่เล่าหรอกก็จำไม่ได้เลยนี่นะว่าทำอะไรตอนเมาลงไป แล้วถึงฉันจะบอกไปว่า ฉันดูแลนายตอนเมานายก็ไม่เชื่อหรอก...ฉันน่ะไม่สามารถให้นายแตะตัวในเวลาที่นายมีความสุขดีได้ เพราะงั้นถ้านายจะขอหลักฐานด้วยการแตะฉันล่ะก็อาจต่อยนายก็ได้ ซึ่งการจำไม่ได้ของนายมันดีกับฉันมากกว่า”


“ทำไมให้แตะได้แค่ตอนนี้กันนะ”


“อาจเพราะฉันเป็นห่วงนายมากจนลืมความกลัวคนดีไปทั่วอย่างนายก็ได้ แบบว่าพอเช้ามานายก็กลายเป็นคนน่าหมั้นไส้มากๆ ชอบแหย่ฉันอยู่เรื่อยก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากให้เข้ามาใกล้”


“ที่ฉันแหย่น่ะเพราะฉันอยากเล่นกับนายต่างหากล่ะ...พักนี้นายเย็นชากับฉันมากเลย ฉันคิดว่า ฉันอาจจะเอาใจใส่นายไม่พอ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงก็เลยทำแบบนั้น จริงๆแล้วฉันกลัวว่านายจะเกลียดฉัน


“ไม่ได้เกลียดสักหน่อย”


“เกลียดสิ”


“ไม่ได้เกลียดนะ”


“แล้วทำไมกินของที่ฉันซื้อไว้ในตู้ถึงซื้อกลับมาคืนล่ะ”


“อ้าว...รู้ด้วยเหรอ” คนผอมแหงนหน้าขึ้นไปถามเจ้าของห้องนอนที่ก้มมองตนเองอยู่


“รู้สิ ดูวันหมดอายุเอาก็รู้แล้ว บางทีนายก็ซื้อของคนละยี่ห้อกับที่ฉันซื้อมาอีก”


“แล้วทำไมไม่พูดล่ะ” เสียงนุ่มถามเบา


“เรื่องอะไรจะพูด  พูดไปนายก็โกรธฉันสิ แต่นายควรรู้ไว้นะว่า ที่ฉันซื้อของไม่เขียนชื่อแช่ในตู้น่ะ ฉันตั้งใจซื้อมาให้นายกินนะ ถ้านายจะสังเกตบ้างล่ะก็ ของที่ฉันซื้อไม่ใส่เต้าหู้หรือของทำจากถั่วเหลือง ทั้งที่ตั้งใจซื้อมาแต่นายก็ซื้อมาคืน ถ้านายทำแบบนี้จะมีกฎไว้ทำไม”


“ฉันรู้ว่านายซื้อให้ฉันกิน...แต่นายน่ะชอบลืมจ่ายค่าเช่าบ้านช้าตลอดเลย เวลาโทรศัพท์กับเพื่อนก็บ่นเรื่องเงินอยู่เรื่อย แล้วจะให้ฉันกินโดยไม่ซื้อมาคืนได้ไงเล่า”


“อย่างนี้นี่เอง” ฝ่ายที่ใช้ตัวเองเป็นเบาะให้ร่างผอมนอนหนุนหัวเราะเบาพลางลูบผมนุ่มสีเข้มคลอตรงอกไปมาอย่างทะนุถนอม “ยองแจน่ะใจดีกับฉันจังเลยนะ...ใจดีเหมือนนางฟ้าเลยล่ะ”


“นางฟ้าอะไรเล่า...นางฟ้ามันต้องผู้หญิงแล้ว”


“ได้สิ...ถ้าฉันอยากให้เป็นก็เป็นได้”


“ทำไมชอบพูดอะไรแปลกๆเวลาเมากับฉันอยู่เรื่อยเลยนะ” เจ้าตัวบ่นอุบ “แต่ก็ดีกว่าทำร้ายตัวเองล่ะนะ”


แดฮยอนยิ้มกว้างกอดกระชับร่างผอมไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่งขณะที่อีกข้างยังคงลูบข้างแก้มนุ่มเย็นเอาไว้จนมันอุ่นด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยมีมานาน...เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของคนบนอกเข้าจึงก้มมองก็เห็นหน้านวลหลับไปแล้ว


“ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะยองแจ” เขากระซิบเบาวางคางคลึงเบากลางกระหม่อม ท้ายที่สุดตาทั้งสองข้างก็ปิดลงค่อยๆวางซบทั้งหน้าฝังลงบนเรือนผมหอมกลิ่นส้มอ่อนๆ


...นับเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขาสามารถหลับลงโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเหล้า...
----------------------------------------------------------
แสงอาทิตย์สาดผ่านม่านหน้าต่างส่องลงมากระทบหน้าปลุกคนบนเตียงให้รู้สึกตัวพร้อมกับอาการปวดหัวที่แล่นเข้ามาในทันที ตากลมขยับลืมขึ้นทีละน้อยแล้วหรี่ลงเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแขน มือยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะก้มมองบนร่างตัวเองที่มีเพียงผ้าห่มสีเทาคลุมตัว


ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ออกไปอาบน้ำ ระหว่างที่สวมเสื้อผ้าก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกที่มีรอยเขียวช้ำตามเนื้อตัวซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยถามตัวเองอยู่ตลอดว่าไปทำอะไรตอนเมามาถึงได้เป็นอย่างนี้


...จนตอนนี้เรื่องราวในอดีตยังคงมีผลต่อจิตใต้สำนึก...


เขาถอนหายใจแล้วยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน...มือเรียวเปิดประตูออกจากห้องน้ำตรงไปยังห้องครัวกอดอกมองเจ้าของบ้านง่วนอยู่กับการชงกาแฟเต็มไปหมด


“ได้เมล็ดกาแฟใหม่มาอีกแล้วเหรอ”


“อืม” ยองแจตอบในลำคอยังคงทดสอบรสชาติกาแฟในถ้วยใบเล็กโดยไม่สนใจอีกคนที่ยืนพิงขอบประตูครัวเลย


“เจอที่ชอบหรือยัง”


“ฉันเลิกหาเมล็ดกาแฟที่ชอบแล้ว”


“เอ้า ทำไมล่ะ”


“ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นพวกชอบอะไรก็ชอบอยู่อย่างนั้นน่ะ มัวแต่หาเมล็ดกาแฟที่ชอบก็เสียเวลา น่าจะเอาเวลามาหาเมล็ดกาแฟดีๆให้ลูกค้าดื่มแล้วชอบจะดีกว่า” เจ้าของร้านกาแฟตอบหันมามองอย่างเฉยชาแต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงยิ้มกว้าง


“ก็เข้าท่าเนาะ” ฝ่ายถามพยักหน้าขึ้นลงแต่ไม่ขยับเข้าไปใกล้ “นี่ รู้ปะว่าเมื่อวานนี้เพื่อนฉันเขาเล่าเรื่องที่พาฉันมาส่งบ้าน เห็นบอกว่านายให้เค้กมันไปเยอะเลย”


“แล้ว”


“นายไม่เห็นเคยให้ฉันกินเค้กที่ร้านนายสักชิ้น ทีกับเพื่อนฉันทำไมถึงให้ได้ล่ะ”


“ก็เค้กมันเหลือใกล้หมดอายุแล้ว ปกติถ้าพี่ฮิมชานอยู่ฉันจะโทรไปเรียกให้พี่เขามาเอามันไปกินหรือแจกคนที่ทำงานแต่ตอนนี้พี่ฮิมชานเขาอยู่เยอรมันไม่ยอมกลับสักที แต่จะให้ทิ้งก็เสียดาย พอเห็นเขามาส่งนายพอดีก็เลยให้ๆเขาไป”


“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน นี่คือวิธีกำจัดของเหลือของนายเหรอ”


“เออดิ...ให้เขาไปอย่างน้อยก็ประทับใจใช่ไหมล่ะ อย่างวันก่อนเนี่ยเพื่อนนายคนนั้นก็มาหาฉันที่ร้านอีกแถมพาเพื่อนมาดื่มกาแฟตั้งหลายคน ตอนแรกฉันจำเขาไม่ได้หรอกแต่เห็นมีรอยสักเต็มไปหมดก็นึกว่าเป็นมาเฟียมาเก็บค่าคุ้มครอง เกือบจะกดปุ่มเรียกตำรวจตรงเคาน์เตอร์แล้วแหละ ดีที่เขาบอกมาก่อน ไม่งั้นวุ่นวายไปหมดแหง่” คนผอมเล่าไปเรื่อยอย่างไม่คิดอะไร หากฝ่ายที่ยืนฟังอยู่ถึงกับมือสั่นหัวร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ


“เฮ้ย...เมื่อกี้นายบอกว่า หมอนั่นพาเพื่อนไปด้วยเหรอ พามากี่คน”


“เขามากันสามคนอ่ะ...นั่งดื่มกาแฟคุยกันพักหนึ่งก็กลับ ฉันเลยให้คาราเมลคอนเฟกใกล้หมดอายุไปด้วย แต่เช้าอีกวันเพื่อนของเขาคนหนึ่งก็มานั่งทำงานที่ร้านด้วย สั่งกาแฟไปตั้งหลายแก้ว เขาให้ฉันฟังเพลงใหม่ที่กำลังทำให้ลูกค้าด้วยแหละ เพราะมากเลยล่ะ”


“อะไรนะ ไปหาอีกรอบเหรอ” คนฟังอุทานในคอ มือเสยผมจนยุ่งเหยิงเช่นเดียวกับฟันที่กัดเข้าหากันแน่น “บ้าเอ๊ย ไปหาอีกเหรอ แม่ง นี่ฉันถามได้ไหมว่า ไอ้เพื่อนคนที่ว่าของหมอนั่น มันหน้าตาเป็นยังไง”


“ก็หน้าดุๆ เจาะคิ้วเจาะหูมีรอยสักอ่ะ”


“แล้วชื่อล่ะจำได้หรือเปล่า”


“เขาบอกอยู่นะแต่จำไม่ได้หรอก เมื่อวานลูกค้าเข้าร้านตั้งเยอะตั้งแยะแค่ชงกาแฟก็แย่แล้วจะให้มานั่งจำชื่อเพื่อนนายอีก ใครจะไปจำได้กัน”


“เออ ดีแล้ว อย่าไปให้ความสำคัญอะไรมากเลย พวกที่ทำงานฉันเขาเถื่อนๆกันอยู่ด้วย ไหนจะสูบบุหรี่จัด ขี้เมา ชอบหลีสาวอีก นายไม่ควรไปรู้จักกับเขาหรอก”


“แต่ท่าทางเขาไม่เห็นเลวร้ายอะไรเลย...เพลงที่เขาแต่งก็หว้านหวาน”


“นายจะไปรู้อะไรเล่า...นายไม่รู้จักพวกนั้นสักหน่อย นายไม่รู้หรอกว่าพวกเขาน่ากลัวขนาดไหน แถมสักพร้อยไปทั้งตัวไม่คิดว่าน่ากลัวบ้างเหรอ”


“คนสักไม่ใช่คนไม่ดีซะหน่อย พี่ยงกุกเขาก็สักยังใจดีเลย เออ จะว่าไป นายเองก็มีรอยสักเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” คำถามที่ไม่คาดว่าจะได้ยินมาก่อนหลุดออกมาทำให้คนที่หยิบโทรศัพท์ออกมาไล่ดูรูปที่ถ่ายกับเพื่อนร่วมงานชะงักเงยหน้ามาหา


“หื้อ...นายเคยเห็นเหรอ ไปเห็นตอนไหน”


“ก็มีวันหนึ่งนายเปลี่ยนเสื้อข้างนอก ฉันก็เลยเห็นอ่ะ”


“วันไหนเหรอ”


“ฉันจำไม่ได้หรอก มันนานแล้ว”


“อ๋อเหรอ” คนตัวสูงพยักหน้าเหมือนไม่ติดใจอะไรแต่เท้ากลับก้าวผ่านกรอบประตูเดินไปหาคนที่กระดกดื่มกาแฟอยู่และยืนอยู่ตรงนั้นสักพักกระทั่งอีกคนวางแก้วจึงถามอีก “เห็นแล้วเป็นยังไง กลัวหรือเปล่า”


“ทำไมต้องกลัวอ่ะ ต้องกลัวด้วยเหรอ ถ้าต้องกลัวก็บอกเหตุผลมาสักข้อ แล้วจะกลัวให้ก็ได้”


“ไม่ต้องหรอก ไม่กลัวก็ดีแล้ว”


“แต่ฉันไม่คิดว่าคนอย่างนายจะกล้าสักอ่ะ แถมรอยสักยังใหญ่มากอีก...สักลายขนาดนั้นมันต้องเจ็บมากไม่ใช่เหรอ” เสียงนุ่มในท้ายประโยคเบาลงคล้ายพูดกับตัวเองคนเดียว


“คนอย่างฉันนี่มันยังไงเหรอ” คิ้วเรียวหนาของผู้ฟังเลิกขึ้นพร้อมคำถาม


“ก็อย่างนี้แหละ”


“ไม่สิ เอาแบบเฉพาะเจาะจงสิ”


“ก็เป็นพวกใจดีน่ารักอะไรอย่างนี้ไง”


“น่ารักเหรอ”


“แล้วไม่ใช่หรือไง”


“ฮ่าๆ” คนตัวสูงกว่าหัวเราะร่วนจนตัวงอเล่นเอาอีกคนหน้างอไม่พอใจ


“หัวเราะอยู่ได้ ขำอะไรหนักหนาฟร่ะ”


“ฉัน...ฉันน่ะ น่ารักสำหรับนายเหรอ”


“ก็...ไม่”


“แต่เมื่อกี้นายพูดเองเลยนะว่าฉันน่ารักน่ะ” เสียงทุ้มเจือแววขำแหย่ถาม


“ฉันหมายถึงในสายตาคนอื่นต่างหากเล่า”


แดฮยอนเบิ่นปากให้กับคำตอบเย็นชาจากเจ้าของหน้านวลที่เริ่มยู่ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิ้มกว้าง


“สำหรับนายแล้วฉันมีอะไรดีบ้างเนี่ย”


เจ้าของบ้านเหลือบตามองเพื่อนร่วมห้องที่ตอนนี้ยืนอยู่ใกล้ๆ เพียงเห็นริมฝีปากนั้นแย้มขยายสดใสก็ถอนหายใจออกมาแทนการตอบรับใดๆ


“ถอนหายใจเลยเหรอ...ช่างเถอะ ถึงฉันจะไม่น่ารัก แต่สำหรับฉันแล้วนายน่ารักมากนะ”


“อะไร น่ารักเนี่ยนะ ฉันไม่ได้น่ารักซะหน่อย”


“น่ารักออก ตลกด้วย” เสียงทุ้มสวนกลับพอเห็นปากอิ่มเผยอจะค้านก็แทรกทับ “ส่วนฉันเนี่ยก็น่ารักไม่มีพิษภัย”


“เหอะ น่ารักไม่มีพิษภัย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยอย่าเมาจนลำบากฉันได้ไหมล่ะ” เมื่อถูกเบี่ยงประเด็นสิ่งที่ไม่ควรพูดก็เผลอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว


“เอ ตอนฉันเมากลับมา นอกจากที่เพื่อนฉันมาส่งวันนั้น วันอื่นนายก็อยู่รอเหรอ”


“คะ...ใครเขารอ ก็บอกแล้วว่านายเสียงดังก็เลยสะดุ้งตื่น” เจ้าตัวขึ้นเสียงแล้วก้มหน้าทำเป็นจับแก้วกาแฟเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นอาการกัดปากแน่น...นึกอยากด่าตัวเองเป็นพันๆหนที่พลั้งปากพูดเรื่องไม่ควรพูดถึงแม้จะรู้ว่าฝ่ายจะจำไม่ได้ก็ตาม


“ถ้าสะดุ้งตื่นก็ต้องออกมาดูฉันเหมือนกันใช่ม้า งั้นที่ฉันฝันว่านายเช็ดหน้าให้ฉันก็คงจริงใช่ไหม”


“บ้าไปกันใหญ่แล้ว ความฝันมันก็คือความฝัน” เสียงแหลมแว้ดใส่แกล้งทำเป็นโกรธกลบเกลื่อน


“อืม”


“เข้าใจแล้วใช่มะ เข้าใจก็ดีแล้ว”


“ถึงจะเป็นฝันแต่การได้ฝันว่านายดูแลฉันน่ะ มันเป็นฝันที่ดีต่อใจฉันสุดๆเลยนะ พอได้ฝันอย่างนั้นครั้งหนึ่งแล้วก็อยากจะฝันต่ออีกเรื่อยๆ อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อยแต่ยองแจในฝันคนนั้นเขาเป็นนางฟ้าของฉันล่ะ” สิ้นประโยคนั้นหน้ารูปหัวใจก็ยื่นเข้ามาใกล้...ดวงตาเปล่งประกายสดใสสบประสานกับตาเรียวสวยด้วยรอยยิ้มละไม


ยองแจยืนตัวจ้องตอบฝ่ายตรงข้ามอยู่ได้พักหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นมาทั่วหน้าจนต้องเหล่ตาแล้วถอยเท้าไปสองสามก้าวก็หมุนตัวอ้อมเคาน์เตอร์หนีมาอีกทางก่อนจะสะดุ้งโหย่งเมื่อเพื่อนร่วมห้องเรียกถาม


“จะไปไหนอ่ะ”


“ไป...ไปซื้อของ” เขาตอบโดยไม่ยอมหันไปมอง


“จะให้ไปด้วยไหม”


“ไม่ต้อง...นายจะไปไหนก็ไปเถอะไป้”


“แต่ฉันอยากไปกับนายอ่ะ”


“งานการไม่มีต้องไปทำหรือไง เพื่อนเพ่อก็ตั้งเยอะแยะ ไปหาเขาสิ”


“ไม่อยากได้คนไปช่วยถือของเหรอ”


“ไม่...ฉันชอบซื้อของคนเดียว”


“อา...ก็ได้ ก็ได้ นี่ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะอู้ไปซื้อของกับนายค่อยไปทำงานซะหน่อย ถ้าไม่อยากให้ไปด้วย ฉันไปทำงานเลยก็ได้” ฝ่ายที่พูดพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะและขยับเดินจากหน้าเคาน์เตอร์ครัวไปหยุดยืนมองเพื่อนร่วมบ้านที่ก้มหน้าแกะเล็บอยู่ด้วยความเอ็นดู


“ฉันไปก่อนนะ”


“เออ” คำห้วนตอบรับตาเรียวเหลือบมองเท้าของอีกคนที่เดินออกไปแต่จู่ๆก็หยุดอีกรอบตรงประตูแล้วหันมาใหม่


“ฉันน่ะทำให้นายลำบากมากเลยเนาะ ขอโทษจริงๆนะที่ทำให้ลำบาก ต่อไปจะพยายามทำตัวให้ดีกว่านี้ นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้อีก” คนตัวสูงว่าเริ่มย่างเท้ากลับไปที่เก่าอย่างช้าๆ กระทั่งมาอยู่ตรงหน้าเพื่อนร่วมห้องอีกครั้งแล้วเอ่ยต่อ “ถึงยังไงนายก็เป็นคนที่น่ารักที่สุดสำหรับฉันและก็ขอบคุณที่ใจดีกับคนไม่เอาไหนแบบฉันด้วย”


แดฮยอนยื่นมือออกไปลูบผมนุ่มตรงหน้าไปมาเบาๆระวังไม่ให้ผมของอีกคนเสียทรงอยู่สองสามนาที แม้จะรู้ดีว่าอีกคนไม่ชอบให้เขาแตะต้องนอกเวลาเมาแต่ก็ห้ามความรู้สึกบางอย่างที่บงการใจให้ทำลงไปไม่ได้


“ไปแล้วนะ...ไว้เจอกัน” เขาบอกลาแล้วผละออกจากห้องครัวทิ้งเพื่อนร่วมบ้านให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


ยองแจกระพริบตาปริบยังคงรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่ลูบบนเรือนผม...ความอุ่นจากปลายมือเหมือนมีอำนาจบางประการให้หัวใจทั้งดวงอุ่นอิ่มและเมื่อเงยหน้าจากพื้นมองไปยังประตูครัวทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้วแต่รอยยิ้มอ่อนโยนในความทรงจำของเพื่อนร่วมบ้านยังคงอยู่


ชายหนุ่มยกมือเย็นเฉียบทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาแนบแก้มที่ร้อนผ่าวและแดงเถือกไปถึงใบหู ยิ่งหันไปมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกตรงตู้เก็บของข้างเคาน์เตอร์ก็ถึงกับปิดตาด้วยความรู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่หลุดด่าออกมาได้คำหนึ่ง


คำที่ว่า...


“ไอ้บ้าเอ๊ย”

---------------แวะคุยกันหน่อย------------------

เห็นความผีของแดฮยอนไหมล่ะ นิสัยไม่ดี คนผีทะเล 555555555555
นี่ยังผีเล็กน้อยนะ มีผีกว่านี้อีก ไอ้คนนิสัยไม่ดี
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่าน ใครอ่านแล้วรบกวนเม้นหรือติดแท็กด้วยนะ
จะได้รู้ว่าอ่านกัน เรื่องนี้ต่อหน้าอาจจะรอนานนิดนึงนะเพราะต้องเขียนชอลแจนต่อก่อน


You Might Also Like

10 Comments

  1. โอ๊ยยยยยยย คือตอนเมามันละมุนมากอ่ะ ฮือออออออออออ ชอบบบบบบ
    ยองแจดูแลแด้ได้น่ารักมากๆ แต่แจลูก ถ้าหนูยังตื่นดึกๆ มาให้ผู้นอนกอดแบบนี้ อาการป่วยหนูจะแย่ลงไหม
    แอบสงสารแด้ตรงไม่รู้นางเป็นไร
    แต่สงสารแจมากกว่า ถ้าเป็นยองแจนี่เราคงท้อมากอ่ะ ต้องชอบเค้าเบอร์ไหนถึงยอมทำให้ขนาดนี้มาต้้งเป็นเดือนๆ
    รู้สึกได้ว่าแด้เริ่มคิดไรมากกว่าเดิมหน่อย หวงเกินรูมเมทปกติ แต่ถ้ายังเลิกนิสัยเฟลิร์ตไปทั่วไม่ได้นี่ก็แย่ล้าว ฮือออออ
    รอตอนหน้านะคะ ขอบคุณค่าาา

    ตอบลบ
  2. งืออออ ชาร์ปนี้ละมุนละไม ดีต่อใจเหลือเกิน อะไรคือปมในอดีตของแดฮยอนกันนะ งือออ ชอบฉากนอนกอดกันมากเลยยย 😳😳😳😳 นองแจคนซึนไม่รู้ว่าว่าถูกหลอก ว่าแดฮยอนแกล้งเมา แดฮยอนก็เริ่มหวงยองแจใช่ม๊าา เริ่มจะรักยองแจแล้วสินะ ยองแจสู้ๆ ไรท์เตอร์สู้ๆ รอตอนต่อไป 😉💋

    ตอบลบ
  3. ฮืออออออออ อบอุ่นกรุ่นหัวใจมากๆค่ะตอนนี้ ได้เห็นในหลายๆด้านของทั้งยองแจ ทั้งแดฮยอนเอง อ่านแล้วยิ้มตามเลย แดฮยอนก็แกล้งเมาได้เนียนเนาะ ยองแจก็ใส่ใจแดเอามากๆด้วย แดนายก็พยายามเข้านะ!! ทำให้คุณยูเปิดใจหันมายิ้มกับนายนอกจากตอนเมาให้ได้ล่ะ! สู้เค้า!! ส่วนยองแจนี่มีหัวใจที่มั่นคงมากๆเลย อบอุ่นน่ารักสุดๆ แบบเอ็นดูอ่าาา ฮืออออ ค่อยๆพัฒนากันต่อไปเนอะทั้งแดยอนและยองแจ
    ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆนะคะ😍 ชอบมากๆเลย จะรอติดตามต่อไปเรื่อยๆค่ะพร้อมทั้งติดตามคู่อื่นๆด้วย เยิ๊ฟฟฟฟ~♡♡♡

    ตอบลบ
  4. ฮือออ บทนี้ก็ดีงามอีกแล้วค่าา อบอุ่นหัวใจโดยเฉพาะตอนท้ายเรื่อง อ่านแค่รอบเดียวไม่พอจริงๆค่ะ ต้องวกกลับมาอ่านอีกรอบ
    ชอบเวลาที่แดฮยอนกะยองแจคุยกัน ทำไมน่ารักขนาดนี้ อ่านแล้วอิน ยองแจจิกกัดดอนได้ทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วก็มาคิดมากกลัวเค้าเสียใจ แต่ก็หมั่นไส้ที่เค้าไปกับคนนู้นคนนี้ ขึ้ส่องนี่นาคนเรา แต่ก็นะ เราอ่านไปก็หมั่นไส้เหมือนกัน 5555
    แล้วถ้าเราโดนยองแจว่าขนาดนี้เราก็คงนึกว่ายองเกลียดเรา แต่พูดเลยว่าถ้าคิดแค่รูมเมทอะนะ เราก็จะประมาณว่า เอ้าเกลียดกันเหรอแล้วก็บ่นบลาๆๆๆๆ ในใจแต่ไม่เอามานั่งคิดรำพึงรำพันอะไรขนาดดอนหรอกค่ะ แถมยังยอมเค้าไปหมดอีก ถถถถถ สงสารเค้านะคะ
    เราชอบแดฮยอนโหมดแผ่ออร่าดำมืด ต้องขอบคุณความหัวร้อนที่ทำให้แดฮยอนไม่ได้เมา ไม่อย่างงั้นก็คงไม่รู้ว่ายองแจดูแลตัวเองดีแค่ไหน ชอบฉากที่ยองแจกอดแขนแดฮยอนเพราะกลัวว่าจะทำร้ายตัวเองอะค่ะ ดูเป็นพี่แดฮยอนกับน้องยองแจเลย คุณยูอยู่ในอ้อมกอด คิดแล้วเขิน นางฟ้งนางฟ้าอะไรกัน ประโยคได้สิถ้าฉันอยากให้เป็นก็เป็นได้ เรานี่ระเบิดตัวตายไปเลย แถมคุยกันไปมา งุงิงุงิ เชื่อแล้วว่าตอนเมานี่คุยกันเยอะแยะมากมายแบบคุยดีๆด้วย ดีกับใจหลังจากที่เห็นยองแจว่าดอนตลอดด้วยความรักและหมั่นไส้ 555 แต่ว่าแดฮยอนน่ะต่อไปคงต้องไม่ให้ตัวเองเมาแล้วกลับมาบ้านอย่างมีสติแล้วละเนาะแดฮยอน ถ้าอยากอยู่ใกล้ๆน้องในระยะประชิดอะ แถมไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะนอนไม่หลับเพราะยังไงก็มียานอนหลับชั้นดีแล้วหนิ >< ฟีลลิ่ง อิจฉา
    สงสารก็แต่น้องแจนี่แหละค่ะ ต้องมานอนดึกคอยเป็นห่วงคนเมา แถมยังต้องเป็นยานอนหลับชั้นดีให้อีก แต่ก็ถึงว่าทำไมภูมิต้านทานดีขนาดนี้ ถ้าจะนอนกอดกันขนาดนั้นคงจะสร้างภูมิต้านทานได้ดีแน่นอนนนน ถ้าดอนเลิกนิสัยทำดีกับคนอื่นไปได้ คุณยูก็น่าจะเจ็บปวดน้อยลง แต่ยังไงที่เจ็บที่สุดคงไม่พ้นตอนเมาแล้วมากอดเค้าแบบนี้ต่อให้รู้ว่าพอตื่นมาจะจำไม่ได้ แต่ยังไงก็คือคนๆเดียวกัน แดฮยอนตอนเมาหรือแดฮยอนตอนไหนก็คือคนที่ยองแจชอบอยู่ดี แล้วใกล้ชิดกอดกันแน่นขนาดนี้แต่ตื่นมาจำไรไม่ได้ ต่อให้ยองแจจะบอกว่าความเศร้าของแดฮยอนคือความเจ็บปวดของตัวเองก็เถอะ แต่พอเค้าหายเศร้าก็เหลือแค่ยองแจนี่ไงที่เจ็บปวด พอเราคิดแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า ที่ยองแจเคยว่าแดฮยอนไว้น่ะอยากให้ยองแจว่าไปอีกเยอะๆเลยค่ะ 5555 เม้นท์ในแต่ละตอนนี่มีความย้อนแย้งในตัวเอง

    เราชอบการบรรยายของบทนี้นะคะ เริ่มจากดอนจัดห้องนอนไปคุยกับยองแจที่ครัวไปทำงานวนกลับมาคุยที่ห้องนอนแล้วก็ปิดเรื่องด้วยที่คุยกันที่ห้องครัว คือมันเหมือนกับว่าเราได้เข้าไปเห็นชีวิตประจำวันของตัวละครถึงจะเป็นสถานที่เดิมแต่ก็ไม่ได้ดูซ้ำซาก เป็นเพราะการบรรยายด้วยและโดยส่วนตัวเราชอบการพูดคุยกันที่ห้องครัวเพราะทำให้รู้สึกเหมือนคนที่อยู่ร่วมกันอะไรประมาณนี้อะค่ะ แล้วก็ที่บรรยายผูกเรื่องเมล็ดกาแฟในสองวันอันนี้ก็น่ารักดีค่ะ เราชอบ บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกันแต่เราประทับใจ หรืออาจจะเป็นเพราะส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละตัวละครด้วยมั้งคะเหมือนได้ใช้เวลาร่วมไปกับตัวละคร เราเม้นท์งงๆไหม ต้องขอโทษด้วยนะคะ จริงๆยังมีอีกหลายส่วนที่อยากพูดถึงแต่ถ้าให้เขียนเม้นท์ไปเราคิดว่าคงได้ประมาณหนึ่งหน้ากระดาษ กลัวจะตกใจ555
    ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ รอติดตามค่าาา

    ตอบลบ
  5. โอยโอ่ยโอ๊ยยยยยยยย น่ารักเกินไปแล้วนะ ทำไมน่ารักแบบนี้ชอบมากเลยตอนที่แดฮยอนด่าดงอุคแบบว่าขู่ระดับสิบสรรหามาสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้เพื่อนไปยุ่งกับยองแจมันน่ารักมากเป็นการหวงโดยไม่รู้ตัว5555 แล้วยังจะตอนที่ไม่ได้เมาแล้วเนียนเมานั่นอีกมันละมุนละไมมากสำหรับการที่ยองแจดูแลแดฮยอนทั้งกอดกันทั้งลูบแก้มงืออออดีกับใจลุ้นยุนึกว่าจะมีจุ๊บกันแต่แต่นอนบนอกแล้วหลับพร้อมกันนี่ก็แบบบบบเกินบรรยายอ่านไปกัดปากไปกรี๊ดดดดดใจเต้นรัวๆแดฮยอนรู้ว่าเมาแล้วยองแจทำแบบนี้ด้วยต่อไปคงเนียนแกล้งเมามาทุกวันแหงๆเลยจะได้อ้อนแม่นางฟ้าคนซึนใช่มะ #รักไรท์จังเลย

    ตอบลบ
  6. โห้ยยย ดยอนอิผีเอ้ยยย แกล้งเมาอ่ะ นิสัยเสียจริงๆเลย หวงเค้าอีก เป็นแค่รูมเมทที่ไม่เคยรู้อะไรเลยไม่มีสิทธิ์หวงเค้าด้วยซ้ำ จะแกล้งเมาอีกมั้ยล่ะ ชอบดิที่เค้าดูแลอ่ะ หมั่นไส้เว้ยยย แล้วอะไรรร ตื่นมาอ่ะ คิดว่านี่จะเขินมั้ย เอออออ เขินตายไปเลย -///- ดยอนคนผีบ้า

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ26/2/60 08:52

    ตอนเมานี่ ยองแจดูแลดีอ่ะ อย่างนี้ดอนแกล้งเมาบ่อยๆ เลยลูก แต่ดอนมีแอบหัวร้อน กลัวคนมาจีบยองแจด้วย 555

    ตอบลบ
  8. ฮื่อออออออออ เขินนนนนนนน จะเขินไม่สุดเพราะสถานะมันยังไม่คืบหน้าไปไหนแต่เขินมาก ฉากยองแจคิดว่าเมาแต่แดฮยอนไม่เมาแล้วปล่อยตามน้ำนี่เขินมาก บ้าบออ้ะ ตั้งแต่โกรธเพื่อนที่ร้านแล้ว หวงเบอร์แรงจนไม่กินต่อเลย แกล้งเมามาบ่อยๆจะได้คุยกันเยอะๆ นี่รวมแล้วทั้งคุยกันทั้งใกล้มากกว่าที่ผ่านมาอีกนะเนี่ย เนียนนอนกอดเขาอ้ะ ฉวยโอกาสสุดๆ นี่ถ้ายองแจลดการ์ดตัวเองลงแล้วเปิดใจเมื่อไหร่รับรองได้เลยว่าไม่รอดมือแน่นอนหน่า 55555 โอ้ยยยย ยังสงสัยหนักตรงอดีตของแดฮยอน ทำไมมันดูส่งผลร้ายแรงขนาดที่ว่าเมาแล้วทำร้ายตัวเอง รวมถึงต้องเมาถึงจะหลับไม่วั้นฝันร้าย อ๋อ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเมาแล้วนี่เน้อะ แค่แกล้งเมามาก็ได้ยานอนหลับแล้ว แต่ให้ยองแจนอนน้อยมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพอีกอ้ะ เพราะงั้นทำตัวดีๆ แล้วคุยกันแบบปกติเถอะเน้อะ นอนกอดกันคุยกันบนเตียงงี้..... อิ__อิ ตอนนี้เขาชมกันและกันว่าน่ารักด้วยแหละ มีการบอกว่ายองแจเป็นนางฟ้าด้วย หยอดแรงมากจริงจริง อย่าลืมไปเคลัยร์กับเพื่อนร่วมงานว่าไม่ต้องมายุ่งกับรูมเมทคนนี้หน่า บอกไปเลยว่าหวงมาก ขอหวงแบบสถานะชัดเจนนะ อย่าเป็นแค่รูมเมทเหล่ย เราชอบตอนอยู่ในห้องครัวเหมือนกันนะ วันแรกดูแบบมึนตึงใส่กัน หยอดแต่ไม่เต็มที่ วันสองนี่โดนมึนตึงเหมือนเพิ่มเติมคทอหยอดรุนแรงกว่าเก่า อย่ามาทำให้คิดแล้วหายไปหน่าจะโกรธเรียกเสี่ยฮิมมาจัดการจริงด้วย ชอบความจิกกัดของยองแจ เหมือนเสี่ยตรงที่ปากร้ายใจรักงี้ ชอบความใส่ใจของแดฮยอนที่แค่ยองแจพูดคนเดียวก็ยังใส่ใจฟัง คนแปลกที่น่ารัก สู่คนปากไวเย็นชา และจบด้วยนางฟ้ายองแจของแดฮยอน วุ้ยยยยยย ;///////;

    ตอบลบ
  9. แงงงงงงงงชอบมาก แดฮยอนคนผี555555555555555 ชอบเวลาแจเปิดเผยความในใจแบบไม่รู้ตัวอะ เขินแทน ละมุนมาก

    ตอบลบ
  10. ฮือออออออออดีมากเขินนนนนนนน ทำไมพี่แด้อ่อนโยน ขี้แกล้งมากๆ น้องแจจะหน้ารักไปถึงไหนอยากบีบแจ้มน้อง ต่อจากนี้เชื่อว่าอิพี่แด้จะแกล้งเมาทุกวัน ก็คุ้มซะขนาดนี้อ่ะฮ่าาาาพี่แด้มันร้ายยยยยย

    ขอบคุณฟิคค่าไรท์💓💓

    ตอบลบ