LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 3

10:08


คาราเมลสีน้ำตาลทองไหลจากขวดแก้วลงผสมกับนมสดสีขาวละมุนและน้ำแข็งที่นอนรออยู่ในเครื่องปั่นก่อนที่ใบมีดจะทำงานบดผสมทั้งหมดกลายเป็นนมสดคาราเมลปั่นนำเสิร์ฟยังลูกค้าที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือปกแข็งเล่มหนาซึ่งบนโต๊ะมีแก้วน้ำเปล่ากับพายแอปเปิ้ลวางอยู่ก่อนแล้ว


เสียงถอนหายใจลอดจากคนตัวผอมที่ยืนกอดถาดไม้ใช้สำหรับเสิร์ฟเครื่องดื่มและของหวานหลายต่อหลายรอบ ดวงตาสีน้ำตาลกลมเรียวเหมือนเหยี่ยวทอดผ่านกระจกใสของร้านออกไปยังด้านนอกเรียกให้ฝ่ายที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ละสายตาจากหนังสือเงยไปหา


“พี่เป็นอะไรเปล่าอ่ะ” เสียงนุ่มนั้นดึงความสนใจเจ้าของร้านให้ก้มลงมาประสานสายตากลมโตฉายแววสงสัยของเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าขาวละมุนน่ารักและเรือนผมสีน้ำตาลเข้มสลวยเหมือนเส้นไหมสวมเสื้อแขนสั้นสีครีมกับเอี๊ยมขาสั้นสีน้ำตาลเข้มที่หากไม่รู้เพศสภาพมาก่อนหน้าคงจะคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิง


“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร”


“ไม่เป็นไรแล้วถอนใจทำไมเยอะแยะ”


“พี่อะนะถอนหายใจ”


“อืม...ถอนหายใจเป็นสิบๆรอบจนผมอ่านหนังสือไม่ได้แล้วเนี่ย”


“พี่ถอนหายใจดังขนาดอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหรือไม่อยากอ่านอยู่แล้วเลยสมาธิหลุดง่ายกันแน่” คนที่ยืนอยู่ถามกลับขณะมองภาพเด็กผู้ชายสวมแว่นตามีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากถือไม้กายสิทธิ์บนปกหนังสือเล่มหนาขนาดตีหัวคนแตกบนตักของอีกฝ่าย “โห เดี๋ยวนี้เราอ่านหนังสือหนาขนาดนี้ได้ด้วย”


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”


“พี่จำได้ว่าเราไม่ชอบอ่านหนังสือหนาๆ แค่หนังสือเรียนบางๆ ยังบ่นแล้วบ่นอีก แต่นี่นั่งอ่านวรรณกรรมเยาวชนหนาเป็นพันๆหน้านี่มันแปลกเกินไปแล้ว”


“คุณอาให้ผมเอามาอ่านระหว่างรอ”


“อ้อ...พี่ยงกุกให้อ่าน เลยต้องฝืนใจอ่านสินะ”


“ไม่ได้ฝืนใจนะ...เรื่องนี้สนุกออก ตอนคุณอาซื้อบ็อกเซ็ตเรื่องนี้ให้นะ มันมีตั้งเจ็ดเล่มแน่ะ ผมคิดว่าจะอ่านไม่ได้เหมือนกันแต่คุณอาอ่านมาก่อนแล้วเลยเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟัง ผมเลยลองอ่านดู พออ่านไปอ่านมาก็ติด ผมอ่านจบไปหกเล่มอาทิตย์เดียวเองนะ ถ้าพี่อยู่ร้านว่างๆก็ซื้อมาอ่านสิ หรือจะให้ผมเล่าเรื่องย่อให้ฟังก่อนก็ได้ ” เจ้าตัวสาธยายยืดยาวอันเป็นเรื่องปกติที่เด็กคนนี้จะพูดมากเป็นพิเศษถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวพันถึงผู้ปกครองของตัวเอง


ยองแจรู้จักกับจุนฮงมาสองสามปีแล้ว ครั้งแรกที่เจอกันพี่ยงกุกผ่านมาแถวนี้เลยพามาแนะนำให้รู้จัก ตอนได้ยินรุ่นพี่บอกว่า เป็นผู้ปกครองและคนรักของเด็กคนนี้ด้วยก็ตกใจทำถ้วยกาแฟหลุดมือ...ด้วยหน้าที่การและอายุที่ห่างกันถึงสิบสองปีของทั้งคู่ทำให้เขารู้สึกว่า การอยู่ด้วยกันในสถานะนั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่พี่ยงกุกกลับจัดการทุกอย่าง รวมทั้งให้การอบรมเลี้ยงดูจุนฮงทั้งในฐานะผู้ปกครองผสมกับคนรักได้เป็นอย่างดี


ช่วงที่เขาออกจากโรงพยาบาลรอบที่สองต้องระเห็จไปอาศัยกับพี่ฮิมชาน ส่วนจุนฮงก็มาอยู่ด้วยเป็นครั้งคราวเวลาที่พี่ยงกุกต้องไปทำงานต่างประเทศทำให้รู้จักนิสัยใจคอกันดี เด็กผู้ชายที่เหมือนเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กดีแต่ถ้ามีใครพูดไม่ดีหรือยุ่งกับพี่ยงกุกมากเกินไปล่ะก็ เจ้าตัวพร้อมอาละวาดทันที แล้วคนที่ชอบแหย่อยู่เรื่อยก็หนีไม่พ้นพี่ฮิมชานนั้นแหละ


...ที่วันนี้มาอยู่นี่เพราะพี่ยงกุกจะพาไปเที่ยวแต่มีประชุมงานก่อนไม่อยากให้อยู่รอในออฟฟิศเลยให้มารอที่นี่แทน...


“ปิดเทอมทั้งทีไม่เล่นเกมเลยเหรอ มือถงมือถือนี่จับบ้างหรือเปล่า”


“ที่บ้านสวนสัญญาณไวไฟมันไม่ค่อยดีอ่ะ แต่ถึงสัญญาณจะดีผมก็ไม่เล่นหรอก...ตอนอยู่นู้นคุณอามีอะไรให้ทำด้วยกันเยอะเลย มีแต่เรื่องสนุกๆให้เล่น อยู่กับคุณอาแบบไม่มีมือถือมันดีมากเลยแหละ ดีกว่าเล่นมือถือตั้งเยอะ” คนเป็นเด็กว่าพลางยิ้มแป้นดวงตาพราวระยับมีความสุข


“มิน่าพี่ส่งข้อความไปหาถึงไม่ยอมตอบ...แบบนี้ได้ติดต่อเพื่อนบ้างหรือเปล่าเนี่ย”


“ติดต่อสิ...เวลาออกมาข้างนอกก็ส่งข้อความหาตลอดแหละ”


“แต่ไม่ตอบข้อความพี่เนอะ...นิสัย” คนเป็นพี่เข่นเขี้ยว


“ก็พี่บ่นเรื่องอาชาร์ลมาอย่างเดียวเลยนี่นา พอเห็นชื่ออาชาร์ลในข้อความมันหงุดหงิดเลยไม่อยากตอบอ่ะ...ผมยังไม่ได้เล่าให้พี่ฟังเรื่องเมื่อวานใช่เปล่า อาชาร์ลแวะมาบ้านสวนด้วยแหละ พอมาก็ทำเป็นพูดว่า คุณอาชอบอาหารฝีมือตัวเองที่สุดอีก โอ๊ย พูดแล้วก็ขึ้นเลยเนี่ย” จากที่ยิ้มกว้างอยู่ๆหน้านวลนั้นก็บูดขึ้นมาทันควัน


“พี่เขาพูดกับเราแบบนั้นอีกแล้วเหรอ...เป็นอะไรถึงชอบคุยข่มนักนะ ทำตัวยังกะเด็กอนุบาลที่ใครเด่นกว่าไม่ได้ต้องหาอะไรพูดข่มให้เหนือกว่าอยู่เรื่อย นิสัยไม่ดี”


“พอผมเถียงนะก็บอกว่า ยังไงฝีมือทำอาหารผมก็สู้ไม่ได้หรอก ก็ตัวเองเคยทำงานเป็นพ่อครัวร้านอาหารตั้งกี่ปี ผมเพิ่งมาหัดทำเมื่อไม่นานมันจะไปสู้ได้ไงล่ะจริงมะ”


“อายุปูนนี้แล้วยังจะลดอายุมาทะเลาะกับเด็กอีก...จะบ้าตาย”


“ใช่มะ ถ้าว่างมาทะเลาะกับผมได้ก็น่าจะไปคุยกับทนายเรื่องฟ้องหย่าแทนสิ โอ๊ย ไม่เอาล่ะ ไม่อยากคุยเรื่องอาชาร์ลล่ะ เอาเรื่องพี่ดีกว่า ตกลงพี่เป็นอะไรถึงถอนหายใจขนาดนั้นอ่ะ คงไม่ใช่เรื่องโดนบังคับหารูมเมทหรอกใช่ปะ” สุดท้ายคนเป็นเด็กก็ตัดบทวกกลับมาถามเรื่องเดิมทำให้เจ้าของร้านกลอกตามองเพดานแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา


เมื่อวานตอนเก็บร้านเสร็จคนที่เขาแอบชอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและกลายเป็นรูมเมทกันในตอนนี้โทรมาหาและบอกว่าจะย้ายของมาวันนี้ตอนทุ่มหนึ่ง หลังจากวางสายเขาก็ลนไปหมดกว่าจะเก็บกวาดเตรียมห้องให้สะอาดเรียบร้อยก็ปาไปห้าทุ่มครึ่ง


...เร็วไปปะ ต้องอยู่กับคนที่แอบชอบมาตั้งหลายปี เมื่อวานตอนเขายิ้มทีก็เกือบตายแล้วนะ...


“คนเป็นรูมเมทกันเขาควรมีกฎการอยู่ร่วมกันเยอะแค่ไหนเหรอ...แค่จ่ายค่าเช่าตรงเวลากับอย่าทำเสียงดังตอนกลางคืนมันพอหรือเปล่า” ท้ายที่สุดคนเป็นพี่ก็ตัดสินใจเปิดปาก


“เอ้า พี่หารูมเมทได้แล้วเหรอ...ใครอ่ะ อย่าบอกนะว่าอาชาร์ล ถ้าแบบนั้นสองข้อไม่พอหรอก”


“ใครบอกว่าพี่อยู่กับพี่ฮิมชานเล่า”


“รูมเมทไม่ใช่อาชาร์ลแล้วจะเป็นใครได้ล่ะ...พี่ไม่มีเพื่อนคนอื่นที่เกาหลีซะหน่อย”


“คนนี้เขาเคยเรียนคณะเดียวกันกับพี่ที่มหาลัยน่ะ”


“อา...แล้วยังไงต่อ”


“เขาจะย้ายมาอยู่กับพี่เย็นนี้แหละแต่พี่ไม่เคยอยู่บ้านร่วมกับคนไม่สนิทมาก่อนก็เลยไม่รู้ว่า ปกติคนอื่นที่เป็นรูมเมทกันเขามีกฎอะไรกันหรือเปล่า”


“อยู่กับคนไม่สนิทกันมันไม่เหมือนอยู่กับคนรักแบบผมนะ...เมื่อกี้พี่บอกว่ามีกฎอะไรบ้างนะ จ่ายค่าเช่าให้ตรงเวลากับอย่าเสียงดังใช่มะ ถ้ามีแค่นั้นไม่พอหรอก พี่ลองคิดถึงตอนเขาเข้าห้องพี่โดยพละการ  หยิบของพี่ไปใช้โดยไม่ขออนุญาต วันดีคืนดีเขามากอดพี่งี้ทำไง พี่ไม่ชอบให้ใครแตะตัวเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ”


ชายหนุ่มย่นหน้าผากกลอกตามองเพดานร้านคิดภาพตามคำบรรยายของคนเป็นน้อง...หน้ารูปหัวใจที่มีรอยยิ้มละไมลอยเข้ามาในห้วงคำนึงทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติก่อนที่มือทั้งสองข้างจะยกขึ้นวางแปะบนขมับ


...ไม่ ไม่ไหวหรอก...
...เมื่อวานแค่เห็นเขายิ้มก็แย่แล้ว
...ขืนเข้ามาในห้อง มามองใกล้ๆ ต้องตายจริงแน่ๆ


“พี่ปวดหัวเหรอ...ปวดมากเลยเหรอ ไปโรงพยาบาลไหม” จุนฮงเห็นอาการเหมือนสติจะหลุดของคนตรงหน้าก็ลุกพรวดจากเก้าอี้จะเข้ามาประคองอย่างร้อนใจ


“ไม่ ไม่ พี่ไม่ได้ปวดหัว แค่ลองคิดตามที่เราพูดแล้วมัน...พี่ว่ากฎแค่สองข้อมันไม่น่าพอให้พี่อยู่กับเขารอดอ่ะ”


“แน่ใจเหรอ...ได้ยินว่าเมื่อวานก่อนนู้นพี่เป็นลมอีกแล้วนี่”


“เป็นลมเพราะมัวแต่นั่งดูซีรี่ย์เลยนอนไม่พอ ไม่เกี่ยวกับที่ป่วยซะหน่อย” เจ้าตัวโวยวายทำท่าเบ่งกล้ามกลบเกลื่อนความเท็จเพราะเห็นสายตาไม่เชื่อของน้องก่อนจะวิ่งตื้อไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับออเดอร์ลูกค้าจัดแจงเสิร์ฟเครื่องดื่มเรียบร้อยจึงหยิบปากกาจดอะไรยุกยิกลงในกระดาษรับออเดอร์แต่เหมือนยังไม่พอใจเลยเดินมาลากเก้าอี้นั่งกับน้องด้วยใหม่


“หยุดอ่านหนังสือแล้วมาช่วยพี่คิดกฎการเป็นรูมเมทด้วยกันหน่อยดิ” ประโยคขอร้องที่น้ำเสียงออกจะไปในทางสั่งเสียมากกว่าทำให้คนที่ไม่ชอบให้ใครสั่งการเว้นเสียแต่คุณอาของตัวเองคนเดียวแกล้งหูทวนลม


“นี่...ไม่ได้ยินที่พี่พูดหรือไง มาช่วยพี่คิดกฎหน่อยเถอะนะ”  เพราะการนิ่งไม่หือไม่อืออะไรเลยอยู่หลายนาทีเป็นการเตือนให้ฝ่ายต้องการความช่วยเหลือมีทีท่ากระทั่งน้ำเสียงอ่อนลง


...คนเอาแต่ใจกับคนเอาแต่ใจอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่มีใครยอมถอยให้คงได้ตีกันตาย...


“ต้องให้ช่วยอีกเหรอ...พี่จะอยู่กับเขา ถ้าไม่ชอบให้เขาทำอะไรก็เขียนลงไปก็จบแล้ว”


“พี่ไม่แน่ใจว่าที่เขียนไปมันโอเคหรือเปล่า...นายช่วยพี่ดูหน่อยสิว่าควรเพิ่มอะไรอีกไหม”


เด็กหนุ่มละสายตาจากหน้าหนังสือปรายมองพี่ชายที่เท้าคางกระพริบตาปริบเหมือนหุ่นยนต์แล้วก็ถอนใจหยิบที่คั่นหนังสือทำจากกลีบกุหลาบอบแห้งเคลือบพลาสติกสอดหน้ากระดาษที่อ่านค้างเพื่อมาระดมสมองช่วยพี่คิดกฎต่างๆ กระทั่งมีมือของใครคนหนึ่งลูบบนเรือนผม


หัวทุยผงกขึ้นเงยมองสูงขึ้นไปยังชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนตรงศอกสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้มผู้มีรอยแย้มอบอุ่นลดความคมดุของใบหน้าให้ละมุนอ่อนและทำให้อีกฝ่ายเหยียดริมฝีปากกว้างเสียจนตาโตสวยเล็กหยีพร้อมกับกอดแขนสีน้ำผึ้งตัดกับผิวขาวของตนเองเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ


“คุณอามาแล้ว คุณอามาแล้ว” เสียงร้องเป็นเพลงเหมือนเด็กเรียกให้มือเรียวที่ลูบผมนุ่มไว้เลื่อนลดมาบีบแก้มนวลเบาๆ


“รออานานมั้ย”


“นานมาก” คนเป็นเด็กลากเสียงยาว “แต่ถ้าเป็นคุณอาจะให้รอนานกว่านี้ก็ยังได้”


“งั้น...อาไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับมารับเราใหม่ดีกว่า”


“ไม่เอา”


“ไหนเราว่ารออานานกว่านี้ได้”


“ก็รอได้แต่คุณอามารับแล้วก็ไม่อยากรอต่อแล้วนี่” คนขี้อ้อนตอบหน้าที่เงยหน้าผู้ปกครองหนุ่มเริ่มตูมขึ้นจากการอมลมไว้ในปากก่อนจะหลุดยิ้มหวานอ้อนใหม่ “ผมอยากไปหาคุณโลมาแล้วล่ะ คุณอาพาผมไปหาหน่อยน้า”


“เฮ้ย ยังไปไม่ได้ มาช่วยเขียนให้เสร็จก่อน” คนเป็นพี่ร้องลั่น หลังนั่งมองอากับหลานในนามแต่สถานะจริงเป็นคนรักเล่นกันอยู่นานสองนาน


“โหย...ผมก็ช่วยคิดไปตั้งหลายข้อจนเกือบสองหน้ากระดาษแล้วยังไม่พออีกเหรอ”


“เอาแต่คิดให้พี่เขียนแต่ไม่ยังไม่ช่วยตรวจเลยนี่”


“พี่ตรวจเองก็ได้นี่...รูมเมทพี่นะไม่ใช่รูมเมทผม”


“เออ แต่พี่ไม่เคยมีรูมเมทหรืออยู่กับคนที่ไม่สนิทนี่หว่า ขืนเขียนกฎมากไปเขาหนีเตลิดต้องอยู่คนเดียวอีกโดนพี่ฮิมชานส่งกลับสวีเดนจะทำไงล่ะ”


“ก็บินกลับมาใหม่สิ ไม่เห็นจะยากเลย”


“อ้าวๆๆๆ”


สองพี่น้องต่างสายเลือดเถียงกันไม่ลดละกระทั่งผู้อาวุโสในวงสนทนาที่มองดูเด็กกับคนนิสัยเหมือนเด็กทั้งคู่ทะเลาะกันพักหนึ่งยกมือสั่งให้หยุดด้วยเสียงเย็น ทั้งคู่ก็พร้อมใจรูดซิปปากเงียบ


“โอเค...ยองแจเล่ามาสิว่ามีเรื่องอะไร” สุดท้ายยงกุกก็เลือกจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่และถามเอากับน้องที่ทำปากยู่ตามความเคยชินเวลาที่ไม่ได้อะไรดังใจ


“จุนฮงเขารับปากผมว่าจะช่วยคิดกฎการอยู่กับรูมเมท แต่มันยังไม่เรียบร้อย เขาก็จะชิ่งซะแล้ว”


“ผมไม่ได้ชิ่งนะก็คุณอา...” เสียงจอมเถียงเงียบหายทันทีที่ผู้ปกครองของตนเองหยุดนิ้วชี้จรดริมฝีปากเป็นเชิงให้ฟัง จากนั้นก็นั่งนิ่งรอโดยไม่เสริมความอะไรปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหัวตัวเองที่เอนพิงบนไหล่


“เราหารูมเมทได้แล้วเหรอ”


“ครับ พี่ฮิมชานเป็นคนพามาให้รู้จักเมื่อวาน ผมก็เลยตกลงให้เขามาอยู่ด้วย”


“ตกลงกันแล้วด้วย สงสัยฮิมชานมันยุ่งเรื่องหย่าเลยลืมบอก...นี่ดีนะที่พี่ยังไม่ได้บอกเพื่อนพี่ที่เขาหารูมเมทเรื่องเรา ไม่งั้นเขาคงเสียใจแย่ถ้ารู้ว่าเราได้รูมเมทไปแล้ว”


“เพื่อนพี่เหรอครับ”


“ใช่...เขาเป็นนักเขียนกับนักแปลฟรีแลนซ์น่ะ พอดีบ้านที่อยู่ตอนนี้มันแพงไปหน่อยก็เลยอยากได้คนมาแชร์ค่าห้อง พี่เห็นว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าอยู่กับคนที่ติดบ้านและสามารถย้ายมานั่งทำงานในร้านนี้ เผื่อเวลามีอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยเราทัน” คนเป็นพี่บอกและเงียบไปอึดใจจึงต่อ “ความจริงเราไม่น่ารีบร้อนเลยนะ น่าจะลองหารูมเมทสักสองสามคนมาเปรียบเทียบว่าใครเหมาะจะอยู่กับเรามากกว่า”


“คือ รุ่นน้องของพี่ฮิมชานคนนั้นบังเอิญเป็นคนที่เรียนคณะเดียวกับผมที่มหาลัยมาก่อน ท่าทางเขาดูเดือดร้อนเรื่องที่อยู่ด้วย ผมไม่ทันได้คิดอะไรก็เลยรับปาก นี่เขาก็โอนเงินค่าเช่ามาให้แล้วแถมบอกว่าจะย้ายมาวันนี้อีกก็เลยต้องให้เขาอยู่ด้วยน่ะครับ”


“เอาเถอะ ก็ลองอยู่กันดูก่อน ถ้าอยู่กันไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที...ไหน เราเอากฎที่เราร่างกับเบบี้โรสมาให้ดู เดี๋ยวพี่ตรวจแก้ให้เอง”


เจ้าของร้านสบตาคมกร้าวของคนเป็นพี่ที่แม้นจะมีรอยยิ้มอยู่ก็ยังรู้สึกเกรงๆ ไม่อยากส่งร่างกฎการเป็นรูมเมทที่มีข้อความห้ามนั่นห้ามนี่เหมือนเด็กๆ ไปให้แต่สายตาที่แผ่อำนาจมานั้นทำให้มือยื่นกระดาษสองแผ่นตรงหน้าส่งให้


จุนฮงที่เอนพิงอ่านกฎบนกระดาษทีละข้อในใจพักหนึ่งก็มีคำถามเกิดในใจจึงผละจากไหล่แข็งขึ้นมานั่งเท้าคางบนโต๊ะหันมองผู้เป็นอาด้วยความสงสัย


“คุณอา” เสียงอ่อนจากคนเป็นเด็กร้องเรียก


“ครับ” ผู้ปกครองหนุ่มขานรับแม้สมาธิจะจดจ่ออยู่กับกระดาษในมือ


“เวลาเราอยู่ด้วยกัน เรามีกฎระหว่างกันหรือเปล่า”


“มีสิ”


“จริงเหรอ แล้วกฎของเรามันมีว่ายังไงบ้างงะ”


ยงกุกเงยหน้าจากสิ่งที่อ่านหันไปหาดวงหน้าน่ารักที่ชะโงกมาเสียใกล้พลางกระพริบตาปริบตามความเคยชินด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถามจึงยกมือลูบแก้มนวลเบาๆ


“อย่างที่อาเคยบอก ถ้าเราเป็นเด็กดีอาจะจูบ ถ้าเราเป็นเด็กดื้ออาจะตี”


“แต่ว่าผมไม่เคยโดนคุณอาตีเลยก็แปลว่า ผมเป็นเด็กดีมากใช่ม้า” คนเป็นเด็กยิ้มหวานสอดแขนทั้งสองข้างกอดเอวสอบของคนข้างตัวซุกหน้าเข้าไปอยู่ตรงอกเรียกอีกคนหัวเราะเอ็นดู บรรยากาศแห่งความรักอบอวลด้วยความรักแม้แต่กลิ่นน้ำหอมของพี่ชายยังคล้ายจะผสานกับกลิ่นกุหลาบอ่อนจากคนที่ยังไม่ยอมหยุดอ้อน


...เหมือนกับมีโลกพิเศษระหว่างกันอีกใบที่ใครก็เข้าไปไม่ถึง...


ยองแจกอดอกมองคนทั้งคู่เวลาอยู่ด้วยกันซึ่งแตกต่างจากการอยู่กับคนอื่นโดยสิ้นเชิงด้วยความรู้สึกอิจฉาอยู่น้อยๆ เพราะถ้าเทียบกับตัวเองแล้วเรื่องรักใคร่มีคนเอาใจใส่ดูแลแบบที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือพี่ชายดูแลนั่นไม่เคยผ่านมาในชีวิต


...เคยแต่แอบชอบอยู่ครั้งหนึ่งแล้วก็แห้วตามระเบียบ...

...แถมคนที่ทำให้แห้วจะมาอยู่ด้วยกันอีกนี่สิ...

...ชีวิตนี่มันเศร้าจริงๆ...


“เมื่อกี้พี่บอกว่าจะไปไหนกันนะ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใช่หรือเปล่าครับ ถ้ายังไงไปได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องกฎอะไรนี่เอง”


“ไม่เป็นไร พี่อยู่ช่วยก่อนได้”


“แต่ช่วงนี้มันปิดเทอมคนน่าจะเยอะ ถ้าไม่รีบไปตอนคนน้อยๆมันจะไม่สนุกเอานะครับ” เจ้าของร้านว่าถึงต้องการความช่วยเหลือแต่เมื่อมองทั้งคู่แล้วก็รู้สึกไม่อยากขัดจังหวะการเที่ยวและข้อห้ามที่ร่างไว้ก็มีเยอะพอสมควรแล้ว


หลังจากหว่านล้อมต่ออีกหลายประโยคท้ายที่สุดผู้อาวุโสสุดก็พยักหน้ารับพร้อมจับมือขาวนุ่มของเด็กข้างตัวให้ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวแต่ก่อนจะเดินออกไปนั่นก็ยังฝากคำสุดท้ายไว้ด้วยความเป็นห่วง


“ข้อที่ว่าห้ามถามอาการป่วยของเราน่ะ ควรจะเอาออกไป...ถึงเราจะไม่ชอบให้ใครสงสารที่เราป่วยแต่มันไม่แฟร์กับคนที่เขาอยู่กับเรา ทางนั้นเขาควรรู้ว่า เราเป็นอะไรบ้าง ถ้าเกิดอาการนี้ต้องรับมือยังไง ไม่ใช่พอมีอะไรเกิดขึ้นตั้งสติไม่ได้ มันจะแย่”


คำถามแทงใจดำทำให้คนเป็นน้องกลืนน้ำลายเฮือกและด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักทำให้เจ้าตัวไม่กล้าเถียงได้แต่เพียงตอบรับเสียงอ่อยแล้วโบกมือลาทั้งคู่ก่อนจะโค้งให้ลูกค้าที่ผลักประตูเข้ามาในร้าน จากนั้นก็ยุ่งกับงานจนลืมคำแนะนำนั้นด้วยความหวังดีนั้นไปเสียสนิท
---------------------------------------------------------------------------------
ควันสีเทาเจือกลิ่นนิโคตินจากชายห้าคนที่นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมปิดสนิทซึ่งมีระบบกำจัดกลิ่นและฟอกอากาศเป็นอย่างดีเพื่อให้พนักงานส่วนรวมทั้งลูกค้าได้มีพื้นที่สูบบุหรี่เป็นสัดส่วนก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดึงความสนใจของทั้งหมดให้หันไปมองพร้อมกับชายหนุ่มหน้ารูปหัวใจจะโผล่เพียงหัวเข้ามา


“พี่ซองวอน บอสให้มาตามพี่ไปหา”


เจ้าของชื่อเป็นชายหนุ่มตัวสูงมีรอยสักตรงแขนทั้งสองข้างเอนหลังพิงเสาพ่นควันบุหรี่ผ่านปากค่อยๆดึงบุหรี่ออกจากปากขยี้บนที่เขี่ยบุหรี่ดีดใส่ถังขยะและลุกเดินออกไปเพื่อนร่วมงานที่มีอายุน้อยกว่าด้านนอก


“นี่มึงเก็บของออกจากบ้านพี่ดงจินแล้วเหรอ หาที่อยู่ใหม่ได้แล้วไง” ซองวอนเอ่ยถามในนาทีที่เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของอีกฝ่ายวางอยู่ข้างชั้นวางแผ่นเสียงที่เรียงยาวติดผนัง


“ใช่...ผมเพิ่งหาได้เมื่อวานนี้เอง”


“ทำไมหาที่อยู่ได้เร็วจังวะ นึกว่าจะอยู่โยงบ้านพี่ดงจินยาวซะอีก”


“ผมอยากอยู่แต่พี่ดงจินไม่เอาด้วยอ่ะดิ”


“มึงย้ายไปแถวไหน”


“แถวซงพาอ่ะพี่”


“โห แถวนั้นมันแพงไม่ใช่เหรอวะ หน้าอย่างมึงมีปัญญาไปอยู่ได้ด้วย” รุ่นพี่หนุ่มถามอย่างประหลาดด้วยทำงานร่วมกันและสนิทกันมากพอจนรู้ว่าอีกฝ่ายนอกจากจะตัวคนเดียวแล้วยังไม่ค่อยจะมีเงินเหลือเก็บสักเท่าไหร่


“ถ้าอยู่คนเดียวคงไม่มีปัญญาหรอกพี่ ดีที่เพื่อนผมเขามีบ้านอยู่แถวนั้นเลยได้ไปอยู่”


“เพื่อน เหอะ เพื่อนของมึงนี่มีคนเป็นเศรษฐีแล้วอยู่คนเดียวด้วยเหรอวะ”


“เขาเป็นเพื่อนที่เคยเรียนเอกเดียวกับผมที่มหาวิทยาลัย...พอดีตอนเรียนไม่ค่อยสนิทกันก็เลยไม่รู้ว่า บ้านรวย”


“ไม่สนิทแล้วไปอยู่ด้วยกันได้ไง”


“ทางนั้นเขาต้องการรูมเมทอยู่ ผมเลยขอเขาไปอยู่ด้วย แต่ไม่ได้อยู่ฟรีหรอกนะ จ่ายค่าเช่าเหมือนกัน”


“เช่าเดือนล่ะเท่าไหร่”


“ห้าแสนวอน”


“ฮะ ห้าแสนวอน...บ้าแล้ว ย่านนั่นไม่มีใครเขาให้เช่าต่อเดือนราคานี้หรอก”


“อาจจะแค่ไม่อยากให้ผมไปอยู่ฟรีเลยคิดตังค์พอเป็นพิธีล่ะมั่ง”


“แล้วนี่จะไปเลยหรือเปล่า”


แดฮยอนละสายตาจากคู่สนทนามองนาฬิกาดิจิตอลตรงผนังที่ขึ้นเลขหกและสิบห้า...เมื่อวานเขาเป็นคนนัดหมายเวลาตอนหนึ่งทุ่มหน้าอพาร์ทเม้นต์ตามแผนที่ที่ยองแจส่งมาให้ทางข้อความ หากอยากไปให้ทันก็ควรจะออกจากออฟฟิศได้แล้ว


“ผมว่าคงต้อง...” ประโยคนั้นหลุดจากปากไม่ทันรู้เรื่องกลับถูกใครอีกคนขัดจังหวะเสียก่อน


“จะคุยกันตรงนั้นอีกนานไหม” เสียงเรียบแต่เย็นไปทั้งหลังเรียกให้ทั้งคู่หันไปยังชายหน้าดุตัดผมรองทรงไว้หนวดใต้ปากจนถึงคางสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเขียวเข้มสลับดำที่กอดอกยืนอยู่ตรงประตูเลื่อนอัตโนมัติ


“ขอโทษครับบอส” ซองวอนว่ารีบก้มเดินผ่านเจ้านายใหญ่ผ่านประตูกระจกวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องประชุมชั้นบนโดยทิ้งอีกคนให้ยืนเกาหัวหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างคนทำตัวไม่ถูก


“แล้วนั่นจะยืนให้ได้พระแสงอะไร...ขึ้นไปประชุมสิวะ”


“ผม...เอ้า...ผมต้องประชุมด้วยเหรอครับ”


“เออสิ ไม่งั้นจะให้มึงลงมาตามซองวอนมันหรือไง”


“ตอนนี้เลยเหรอครับ” ชายหนุ่มถามหน้าตาตื่นเหลือบมองนาฬิกา


“ทำไมหรือมึงจะไม่เข้า...ก็ได้นะ ถ้าไม่อยากเข้า พรุ่งนี้เช้ากูส่งซองขาวให้”


“ใจเย็นครับบอส ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”


แดฮยอนรับคำจำใจวิ่งตามรุ่นพี่ไปประชุมในห้องประชุมพิเศษชั้นสี่ที่มีพนักงานซึ่งคุ้นหน้ากันดีรออยู่ก่อน จากนั้นนายใหญ่ก็เข้ามาสมทบและเปิดประชุมถึงโปรเจคทำเพลงประกอบซีรี่ย์ให้ทางสถานีโทรทัศน์ใหญ่ของเกาหลีถึงสี่เรื่อง ขณะที่อีกฟากหนึ่งยองแจยังคงง่วนอยู่กับเปลี่ยนผ้าปูเตียงภายในห้องนอนเก่าของตนเองที่ไม่ได้ใช้งานเลยนับตั้งแต่ผู้เป็นลุงเสียไป


ความจริงพื้นเพครอบครัวเขาอยู่ในโซลและเคยอยู่ในย่านที่เรียกว่ามีเพียงคนรวยเท่านั้นจึงจะอยู่ได้ แต่เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เจ้านายของพ่อรวมถึงครอบครัวเสียชีวิตทั้งหมดทำให้พ่อของเขาต้องหางานใหม่ โชคดีที่มีบริษัทเกาหลีในสวีเดนเรียกตัวไปเลยต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่นั่น


ตอนนั้นเรียกได้ว่าเขามีชีวิตแบบลูกคุณหนู อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรแค่บอกแม่ก็ซื้อมาให้ ขอเพียงสอบให้ได้คะแนนสูงๆ แถมยังมีเพื่อนและพี่ให้เล่นด้วยอีกหลายคน พอย้ายไปสวีเดนสถานะทางการเงินของครอบครัวเปลี่ยนจากเศรษฐีเป็นชนชั้นกลางทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ช่วยเหลือตัวเอง


การใช้ชีวิตในสวีเดนไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เขามีเพื่อนเยอะ มีชีวิตที่สนุกสนานดีแต่เพราะความต้องการอยากเรียนต่อในด้านดนตรีและการร้องเพลงอย่างจริงจังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ยอมรับประจวบกับที่ญาติเพียงคนเดียวของที่บ้านซึ่งเป็นลุงแท้ๆไม่สบาย เขาเลยอาสาบินกลับมาอยู่ดูแล


ลุงยองซุนเป็นคนสมัยใหม่ที่มีแนวคิดและการใช้ชีวิตที่อิสระต่างจากพ่อผู้เคร่งครัดของเขาโดยสิ้นเชิง แม้จะป่วยเป็นมะเร็งลำไส้แต่ลุงไม่เคยท้อแท้หรือหดหู่ แถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้เขาไปสอบในคณะที่อยากเรียน ทั้งช่วยปิดเรื่องเรียนดนตรีจนกระทั่งออกค่าเล่าเรียนให้หมด


การสูญเสียผู้เป็นลุงไปในหน้าร้อน หลังจบงานศพ เขาเศร้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนถูกหามเข้าโรงพยาบาล ต้องนอนให้หมอตรวจรักษาอาการป่วยเหมือนของเล่นอยู่ในนั่นเป็นเดือนๆ


...ห้องชุดแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในมรดกที่ผู้เป็นลุงยกให้เขา...


ชายหนุ่มดึงมุมผ้าสอดใต้เบาะนุ่มจนผ้าตึงจึงหยิบหมอนกับผ้าห่มที่พับเรียบร้อยวางตามลงไปและเดินตรวจความสะอาดรอบห้องอีกครั้งหนึ่งจึงปิดไฟเปิดประตูที่มีกระดาษเขียนข้อความเรียงเป็นข้อๆ ติดอยู่ออกมานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นดูซีรี่ย์ที่ค้างอยู่ฆ่าเวลาแต่ความคิดเอาแต่ลอยไปยังคนที่เคยแอบชอบทำให้ไม่มีสมาธิพอจะจดจ่อกับเรื่องราวการสืบสวนตรงหน้า


ยิ่งใกล้เวลามากเท่าไหร่ใจคอเจ้าของห้องที่นั่งรออยู่ก็ยิ่งสั่นได้เพียงคิดกลับไปกลับมาว่า อีกฝ่ายจะเป็นยังไงเมื่อเห็นบ้านนี้ จะชอบห้องที่เตรียมให้หรือเปล่า แล้วจะทำยังไงถ้าอยู่ด้วยกันเกิดหลุดแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าหรือหัวใจ


สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จอง แดฮยอนเป็นผู้ชายที่มีคนห้อมล้อมอยู่ตลอด ไม่ว่าไปไหนก็จะมีคนเข้าหาด้วยความอัธยาศัยดีทำให้ใครต่อใครก็ชอบแถมเพื่อนต่างคณะก็เยอะไปหมด ถ้าจะเปรียบเทียบก็คงเป็นดวงตะวัน ขณะที่เขาในตอนนั้นอ้วนฉุก็เป็นได้แค่ก้อนกรวดที่ไม่มีใครแล


ลมหายใจอุ่นพ่นผ่านจมูกพร้อมกับไหล่ที่ไหวอ่อน...การจินตนาการถึงภาพของผู้ชายที่เขาแอบชอบยืนอยู่ตรงประตูเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกประหม่า ทว่าเมื่อเวลาล่วงผ่านเกินเวลานัดหมายฝ่ายคนคอยเริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูและวางลงอยู่อย่างนั้นหลายครั้งกระทั่งเข็มสั้นของนาฬิกาเคลื่อนมาหยุดเลยจากเลขแปดบนหน้าปัดไปเล็กน้อยจึงกลั้นใจกดชื่อของแดฮยอนตรงเมนูผู้ติดต่อโทรไปหา


...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...


“อ้าว...ปิดเครื่องเหรอ” เขาอุทานทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายเลยรอต่ออีกครึ่งชั่วโมงจึงติดต่อกลับไปใหม่ก็เหมือนเดิมเลยวางโทรศัพท์ลงที่เก่าในหัวเอาแต่คิดสะระตะถึงเหตุผล 


...มีปัญหาอะไร ทำไมต้องปิดเครื่องด้วยนะ
...เงินก็จ่ายแล้วนี่ เป็นคนนัดเองไม่ใช่เหรอ
...หรือเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว
...หรือเขาไปทำอะไรให้รำคาญ
...แต่เมื่อวานพอวางสายก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรเลยนะ
...หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


พลันความคิดหยุดลงตรงนั้นขณะที่มือหยิบโทรศัพท์โทรหาฮิมชานเพื่อสอบถาม หากต้องใช้เวลารออยู่พักใหญ่กว่าที่ปลายสายจะกดรับและถามไถ่


เออ มีอะไร”


“พี่อยู่ไหนอ่ะ”


“ตอนนี้เหรอ...อยู่สำนักงานกฎหมายของซูโฮมัน เรามีอะไรหรือเปล่า แดฮยอนมันทำอะไรให้ไม่ชอบใจเลยโทรมาฟ้องหรือไง” คนเป็นพี่ตีรวนใส่...ตามประสาเด็กเอาแต่ใจคงไม่พ้นโดนทางนั้นทำอะไรเลยโทรมาฟ้อง


“ทำอะไรที่ไหนล่ะ ป่านนี้ยังไม่โผล่เลยเนี่ย”


“เฮ้ย อะไร ไหนว่านัดกันไว้ตอนทุ่มหนึ่งนี่ยังไม่มาอีกเหรอ ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวพี่โทรตามให้”


“โทรไปก็ไม่ติด เขาปิดเครื่อง”


“มันปิดเครื่องเหรอ อะไรของมันวะ...เมื่อบ่ายพี่โทรหารุ่นพี่เขาบอกว่า มันเก็บข้าวของออกมาแล้ว เสือกไปไหนของมันวะ”


“ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับพี่ก็ช่างเหอะ สงสัยคงไม่อยากอยู่กับผมแล้วเลยทิ้งเงินมัดจำมั่ง ยังไงพี่ยงกุกเขาก็หาคนต้องการรูมเมทให้ผมได้แล้ว ถ้าเขาชิ่งผมก็ไปอยู่กับเพื่อนพี่ยงกุกแทนก็ได้”


“ไม่ได้ดิ...มันตกลงกับแกเรียบร้อยแล้วจะมาชิ่งงี้ไม่ได้ เรารอก่อนแล้วกัน ยังไงพี่หามันเจอจะโทรไปบอก”


ยองแจวางสายจากรุ่นพี่พลางถอนหายใจ...ตาเรียวมองไปรอบห้องนั่งเล่นอยู่พักหนึ่งก็ลุกไปเปิดประตูบานเลื่อนออกไปยืนมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนตรงระเบียง แสงไฟหลากสีระยิบระยับจากอาคารบ้านเรือนและรถยนต์เบื้องล่างเคยสวยจับตา หากครั้งนี้ในอกกลับรู้สึกว่างเปล่า


...ไม่ว่ายังไงดวงตะวันดวงนั้นก็คงไม่มีวันสาดแสงมาถึงก้อนกรวดที่ถูกหินใหญ่สวยๆมากมายบังไว้หรอก...
--------------------------------------------------------
การประชุมวางแผนการดำเนินงานคร่าวๆกินเวลาชั่วโมงกว่าและยังมีนัดหมายประชุมใหม่อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ร่วมประชุมโซซัดโซเซเหมือนสติหลุดออกจากร่างเพราะผู้บริหารคอยจี้ถามไม่หยุด เช่นเดียวกับแดฮยอนที่ถึงกับต้องนวดไหล่ตัวเองไปมาคลายความตึงก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่บอกว่า สองทุ่มครึ่ง


“ฉิบหาย” เขาร้องออกมาสุดเสียงเรียกให้เพื่อนร่วมงานหันมามองเป็นตาเดียว


“เป็นอะไรของมึงเนี่ย” ซองวอนเอ่ยถามจ้องรุ่นน้องที่หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าออกมาด้วยอาการลุกลี้ลุกลนไปหมด


“แม่งเอ๊ย...แบตหมดอีก”


“อะไรของมึง โวยวายห่าอะไรนักหนา”


“ผมนัดกับเพื่อนไว้ตอนทุ่มหนึ่ง นี่ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่งแล้ว มือถือแบตก็หมด จะทำไงดีวะเนี่ย”


“ยืมมือถือกูโทรไปหาเขาก่อนไหม”


“ผมจำเบอร์เขาไม่ได้”


“เอ้า แล้วรู้ที่อยู่เขาหรือเปล่าวะ”


“รู้แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะรออยู่หรือเปล่าเนี่ยดิ”


“มึงก็รีบไปสิวะ...เดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่ให้ เออ หรือไม่มึงก็ไปดงฮยอนมันสิ วันนี้แม่งไปส่งแมวหาหมอเลยขับรถมา” คนเป็นพี่บอกแล้วหันไปตะโกนเรียกชายหนุ่มผมหยักศกสีม่วงอ่อนในดงเพื่อนร่วมงานอื่น “ดงฮยอน มึงต้องไปรับแมวที่โรงพยาบาลกี่โมง ช่วยไปส่งไอ้แดฮยอนมันหน่อยได้เปล่า”


“มึงจะไปไหน” เพื่อนร่วมงานหนุ่มสักพร้อยไปทั้งตัว เจาะทั้งหูทั้งคิ้วแต่หน้าที่สวมแว่นตาทรงกลมดูเป็นมิตรมากกว่าจะน่ากลัวเดินลิ่วเข้ามาถาม


“ไปอพาร์ทเม้นต์แถวซงพา...ชื่ออะไรวะ ฮาร์โมนี่มั่ง”


“อย่ามั่งดิวะ เอาแผนที่มาเลยได้ไหม...กูขี้เกียจขับรถหลงทาง”


“มือถือกูตายอยู่เนี่ยจะให้หาแผนที่ยังไง”


“มึงก็ชาร์ตสิวะ”


“มีเวลาชาร์ตที่ไหนเล่า กูเลยเวลานัดกับเพื่อนตั้งนานแล้วเนี่ย”


“อพาร์ทเม้นต์ชื่อฮาร์โมนี่อยู่แถวซงพาใช่ไหม เออ เดี๋ยวกูค้นให้ก่อน” ดงฮยอนควักมือถือตัวเองออกมากดหาข้อมูล “เจอล่ะ ขับรถไปจากนี้ตอนนี้คงเกือบชั่วโมงได้มั่ง”


“ยังไงก็ได้ขอให้กูไปถึงก่อนก็พอ”


“เอาเร็วแค่ไหน”


“ถ้าถนนแม่งโล่ง มึงจะเหยียบสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงกูก็ไม่ว่าหรอก”


“งั้นก็ตามมา” เพื่อนร่วมงานส่งสัญญาณให้ตามหลังลงลิฟต์เดินต่อไปจนถึงหน้าออฟฟิศที่มีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน จากนั้นก็ขับออกไปยังท้องถนนที่ค่อนข้างโล่งด้วยความเร็วชนิดที่คนนั่งมาด้วยต้องเกาะกระจกหายใจ


“ฟรวยเหอะ...ขับรถเหี้ยอะไรเร็วขนาดนี้” ผู้โดยสารบ่นเสียงสั่น หอบหายใจมองหน้าสารถีที่จับพวงมาลัยจอดรถติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“มึงบอกเองให้เหยียบสองร้อยได้...นี่ยังไม่ถึงร้อยยี่สิบเลย”


“กวนตีนวะมึงเนี่ย”


“เอ้า ด่ากูอีก นี่กูช่วยมึงอยู่นะ...มึงเป็นผู้ชายซะเปล่าจะขี้กลัวอะไรนักหนา”


“คนอื่นที่นั่งรถมึงเขาไม่ด่าหรือไงที่ขับรถแบบนี้อ่ะ”


“แมวกูไม่เห็นว่าอะไร”


“ไม่ได้หมายถึงแมว...คนสิเว้ย คน”


“ไม่นิ...แม่กูเขาไม่เห็นบ่นอะไรเลย”


“มึงนี่ขับให้แม่ก็ต้องขับดีอยู่แล้วสิวะ” แดฮยอนโวยหันหน้าหนีจากเพื่อนร่วมงานไปอีกทาง ด้วยความที่รถจอดใกล้ทางเท้า...ตาคมของอีกคนจึงมองเห็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่มีชุดเครื่องเรือนรับแขกหรูวางโชว์ลูกค้าอยู่ โดยบนโต๊ะนั้นมีเปียโนของเล่นทำจากไม้ทาสีฟ้าวางคู่กับสร้อยไข่มุกขาว


...สวยแฮะ เล่นได้จริงหรือเปล่า...


ระหว่างนั่งมองความสวยของเปียโนหลังน้อย พลันสมองกลับคิดถึงเรื่องเก่า...ภาพของว่าที่สมัยยังอ้วนตุตะหอบเปียโนของเล่นไม้มาให้คณะนิเทศขอยืมไปประกอบฉากตามคำขอร้องของเขาเองและนักแสดงเกิดทำตกหล่นพังยับ เขาขอรับผิดชอบด้วยการจ่ายเงินแต่อีกฝ่ายไม่ว่าอะไรสักคำบอกให้ช่างมัน


...จะว่าไปสมัยเรียนด้วยกัน เขาก่อวีรกรรมกับหมอนั่นไว้เยอะเลยแต่ไม่เคยถูกโกรธเลยสักครั้ง...


...พอเห็นเปียโนหลังนี้แล้วก็อยากซื้อไปให้เป็นของขวัญ...


การตัดสินใจที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีหันไปบอกเพื่อนให้แวะจอดรถข้างทางเพื่อลงไปซื้อของ แม้คนขับจะหลุดสบถออกมานิดหน่อยแต่เมื่อให้เหตุผลเลยปล่อยให้ลง


ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปในร้านที่ตกแต่งภายในรวมทั้งการจัดวางด้วยสไตล์โรโคโคหรูหรา...เครื่องเรือนไม้ประกอบขัดและแกะสลักด้วยมืออย่างวิจิตรบรรจงบอกมูลค่าอันสูงลิบทางราคาโดยไม่จำเป็นต้องถาม แปลกที่คนตั้งจะมาเป็นลูกค้าไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจเพียงเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีชายผมดำยืนจัดของบนชั้นด้านหลัง


“เปียโนตัวที่โชว์หน้าร้านนั่นขายเท่าไรเหรอครับ”


ผู้ดูแลร้านไม่ตอบเพียงวางแจกันกระเบื้องเคลือบสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้าลงดังเก่าก่อนจะหันกลับมาปรายมองลูกค้าตั้งแต่หัวจรดช่วงตัวที่โผล่พ้นจากขอบเคาน์เตอร์...ตาคมสีชากับหน้าเรียวยาวรวมเข้ากับผมสีทองเกือบขาวเซ็ตทรงเปิดหน้าผากและเสื้อเชิ้ตสีขาวขลิบขอบกระเป๋าเสื้อด้วยผ้าสีทองไร้แววอารมณ์ดูราวกับคนต่างชาติ


...อี แจฮวานสลักอยู่บนป้ายที่ติดอยู่บนอกเสื้อ...


“เปียโนหลังนั้นนำเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ใช่ของเล่นธรรมดาแต่เป็นของเล่นของทายาทในราชสกุลบูร์บงมีอายุนับร้อยๆปี...ตัวเครื่องทำจากไม้มะฮอกกานีโดยฝีมือช่างในราชสำนักฝรั่งเศส สามารถดีดได้เหมือนเปียโนจริงเพียงแต่มีคีย์น้อยกว่า อ้อ มันมีตำหนิตรงฐานไม้ด้านล่าง สนนราคาตอนนี้อยู่ที่สามล้านสองแสนวอนครับ”


“หา” เพียงได้รับคำตอบ อีกฝ่ายก็ร้องตาโต


“หากคุณต้องการชมสินค้าเพื่อการตัดสินใจซื้อ ผมจะนำมาให้ รบกวนคุณช่วยใส่ถุงมือผ้าที่วางอยู่ตรงนั้นด้วยครับ ขอบคุณ” ผู้ดูแลร้านกล่าวเสริมข้อมูลอย่างเชี่ยวชาญชำเลืองมองลูกค้าที่หยิบถุงมือมาใส่อย่างเสียไม่ได้จึงเดินไปหยิบเปียโนมาให้


แดฮยอนไล้สายตาสังเกตรายละเอียดของเปียโนหลังนั้นซึ่งประกอบได้อย่างประณีตแม้จะอายุเก่าแก่หากสีถลอกเพียงเสี้ยนเล็กๆ กับตรงฐานไม้ด้านล่างที่ถูกของมีดแกะจนเห็นเนื้อไม้จริงและเมื่อลองวางนิ้วบนคีย์บอร์ดเล่นดูก็พบว่า นอกจากจะเล่นได้จริงแล้วเสียงยังเพราะอย่างไม่น่าเชื่อ


...การประกอบ การออกแบบแม้แต่การลงสีนั้นทำได้ประณีตงดงาม...


“ผมจะมั่นใจได้ไงว่ามันเป็นของเก่าจริงอย่างที่คุณว่า”


“ผมมีใบรับประกันครับ”


“แล้วพอจะลดอีกหน่อยได้ไหมครับ”


“ราคานี้ไม่ได้บอกผ่านนะครับ...คุณลองไปดูร้านไหนในโซลดูก็ได้แต่ไม่มีที่ไหนขายเปียโนแบบนี้หรอกครับ นอกจากคุณจะบินไปซื้อถึงลักเซมเบิร์กหรือฝรั่งเศส”


“ร้านคุณมีระบบผ่อนผ่านบัตรเครดิตศูนย์เปอร์เซ็นต์นานสามปีบ้างไหมครับ” เขาแย็บถามพลางหัวเราะแต่พอโดนสวนกลับก็ทำให้รอยยิ้มกว้างหายวับจากหน้า


“ตลกหรือครับ”


“แหมะ ไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย” เขาพึมพำเบาๆ


“ร้านเรามีระบบผ่อนเฉพาะเฟอร์นิเจอร์กับของประดับบ้าน แต่เปียโนหลังนี้มีคนฝากผมขายเลยผ่อนผ่านบัตรไม่ได้”


“ลดสักนิดก็ไม่ได้”


“ครับ”


แดฮยอนทอดสายตายังเปียโนหลังงามบนเคาน์เตอร์อยู่นาน...พยายามชั่งใจว่าควรจะซื้อไปเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่และแทนคำขอโทษที่ไปช้าดีไหมก่อนจะหักใจขอบคุณผู้ดูแลออกมายืนข้างนอกแล้วเฝ้ามองเปียโนหลังนั้นถูกนำกลับมาวางไว้ยังโซฟาตัวเดิม


ชั่วขณะหนึ่งในห้วงความคิดมีใบหน้าระบายยิ้มน่ารักของคนที่พบกันเมื่อวานลอยมาแต่หลังจากสืบสาวราวเรื่องได้ว่าเคยเรียนด้วยกันมา ฝ่ายนั้นกลับไม่ยิ้มให้เห็นอีกเลย


...ถ้าซื้อไปให้ล่ะก็หมอนั่นอาจจะยิ้มก็ได้ แต่ราคาแพงฉิบหายวายวอดเลยนี่สิ..


เพียงคิดลมหายใจอุ่นก็ทอดยาว ท้ายที่สุดเขาก็หยิบกระเป๋าตังค์ในกางเกงออกมาล้วงเอาบัตรสีดำซ่อนอยู่หลังบัตรสมาชิกร้านพิซซ่าและไก่ทอดมือใหญ่ตรงช่องใส่บัตรเดินกลับไปที่ร้านนั้น
---------------------------------------------------------------
เสียงกริ่งหน้าประตูปลุกให้คนที่กดรีโมทหลับตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่ไม่มีภาพใดฉายนอกจากพื้นสีดำสะดุ้งตื่นลุกขึ้นนั่งก่อนที่เสียงกริ่งจะดังซ้ำอีกครั้ง


ยองแจสะบัดหน้าไปมาอย่างงัวเงีย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหนแต่เมื่อเหลือบตามองเวลาบนนาฬิกาตรงผนังที่บอกเวลาว่า อีกสิบนาทีห้าทุ่มเป็นเวลาที่มืดมากและการที่จะมีคนมากดกริ่งหาเขาในเวลาดึกดื่นแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากรุ่นพี่ขี้เป็นห่วงอย่างฮิมชาน


“มาทำไมเนี่ย” เขาบ่นออกมาถึงจะง่วงมากแต่ก็มีแก่ใจเดินไปเปิดประตู “พี่ฮิมชาน...พี่รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงแล้ว จะมาทำไมอีก มีอะไรไปคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้”


“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่านายนอนแล้ว” เสียงทุ้มกังวานฟังคุ้นเคย ทว่าต่างจากเสียงรุ่นพี่จอมบ่นของตนเองมากทำให้ตาที่คล้อยปิดลืมกว้าง เมื่อดวงตาปรับเข้ากับสภาพแสงจนเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามชัดรีโมทที่ถือติดมือมาก็หลุดตกพื้น


“เป็นอะไรไป โกรธเหรอ...ขอโทษด้วยนะที่ปล่อยให้นายรอตั้งนาน คือฉันโดนบอสเรียกประชุมด่วน”


“อา” เจ้าของห้องส่งเสียงในคอ...สบตาหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของอีกฝ่ายที่ยังหอบหายใจจนไหล่สะท้อนขึ้นลงสักครู่ก็ผลักประตูไปติดผนังเพื่อให้กว้างพอสำหรับให้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ข้างหลังผ่านได้ “เข้ามาก่อนมั้ย”


“อืม”


กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกหิ้วผ่านประตูเข้ามาในห้องชุดกว้างขวางตกแต่งในสไตล์มินิมอลเน้นสีขาว เครื่องเรือนทุกชิ้นทำจากไม้สีอ่อนออกแบบเรียบง่ายจัดวางเป็นสัดส่วนดูโปร่งสบาย แดฮยอนหมุนแทบจะรอบตัวสำรวจบ้านใหม่ก่อนจะหันไปหาเพื่อนร่วมบ้านที่ชี้นิ้วไปยังทางเดินซึ่งทอดไปสู่ห้องอื่นๆ


“ห้องของนายอยู่ด้านในสุด” บอกเสร็จเจ้าของห้องก็กลับไปหยิบรีโมทตรงประตูเดินมาเก็บบนโต๊ะข้างโทรทัศน์โดยไม่มีทีท่ามากไปกว่าการหาวหวอดพร้อมขยี้ตาจนแดงก่ำ ยิ่งทำให้คนมาช้ายิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก


...ถึงจะมีเหตุสุดวิสัย ลองเป็นคนอื่นคงโกรธด่าเขายับไปแล้วแต่นี่กลับไม่ว่าอะไรสักคำ...


“นายนอนอยู่เหรอ”


“เปล่า...แค่เผลอหลับน่ะ”


“ปกติเข้านอนกี่โมง”


“สี่ทุ่มก็นอนแล้ว”


“นอนเร็วจัง...ถ้าเป็นฉันกว่าจะนอนก็ตีสองนู้นมั่ง บางวันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลับมานอนที่บ้านตอนไหน เออ ฉันซื้อนี้มาให้นายด้วยแหละ หวังว่านายจะชอบนะ” เจ้าตัวกุลีกุจอหยิบกล่องของขวัญห่อด้วยกระดาษสีทองลายดอกไม้นูนต่ำหรูหราออกจากถุงกระดาษสีทองใบใหญ่ยื่นให้พลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มกว้างจนอีกฝ่ายตาสว่างรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมจึงเอนหลังหนี


...จะเข้ามาใกล้อะไรนักเล่า...


“เป็นอะไรไป”


“เปล่า”


“เหรอ งั้นก็ลองเปิดดูสิ”


“อืม” พอตกปากรับคำก็รับกล่องนั้นมาถือไว้ในมือ...ลองเขย่าเพื่อฟังเสียงแต่ยังเดาไม่ถูกว่าเป็นอะไรจึงค่อยๆ แกะกระดาษห่อระวังไม่ให้ขาดเพราะมันอาจจะใช้งานได้ในครั้งต่อไป


ในนาทีที่ฝากล่องเปิดออกเผยให้เห็นเปียโนของเล่นทำจากไม้หลังงามบุรอบข้างด้วยผ้าแพรสีขาวนวลชวนให้คิดถึงเปียโนของผู้เป็นลุงซึ่งพังไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเขาเก็บซากมันไว้จนถึงตอนนี้


“ไม่รู้ว่านายจะจำได้ไหม ตอนที่เราเรียนอยู่ปีหนึ่ง เพื่อนของฉันที่คณะนิเทศหาเปียโนของเล่นไปประกอบฉากละครเวทีเรื่องโรมิโอกับจูเลียแล้วนายบอกว่ามีอยู่ก็เลยเอามาให้ยืมแล้วเพื่อนฉันทำมันพังไป พอดีระหว่างทางที่มานี่ ฉันเจอเปียโนของเล่นสวยดีก็เลยซื้อมาฝาก”


“อา” อีกคนส่งเสียงในคอเหลือบมองหน้ารูปหัวใจที่ระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลาขอบตาก็ร้อนผ่าว...ใครจะไปคิดว่าดวงตะวันของคณะจะจดจำเรื่องของก้อนกรวดที่เหมือนไม่สลักสำคัญต่อใครได้


...เขาไม่ใช่คนขี้แย ยิ่งต่อหน้าคนๆนี้ด้วยแล้วจะร้องไห้ไม่ได้เด็ดขาด...


“มันเล่นเป็นเพลงได้จริงด้วยนะ...เดี๋ยวฉันเล่นให้ฟัง” ถ้อยคำนั้นดังข้างหู...ลมหายใจพ่นรดลงมาใกล้พวงแก้มทำให้อีกคนสะดุ้งกอดเปียโนแนบอกหันไปข้างตัวถึงเห็นว่าหน้าของรูมเมทอยู่ห่างจากหน้าตัวเองไม่ถึงห้าเซนติเมตร เท้าขยับจะถอยหนีแต่ดันสะดุดพรมเข้าจนหงายหลังโชคดีที่มือแข็งคว้าแขนดึงกลับมาได้ทัน หากแรงดึงนั้นทำให้เสียหลักถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกคนพอดิบพอดี


แดฮยอนจับข้อมือผอมไว้แน่นขณะที่แขนอีกข้างโอบเอวบางเข้าหาตัวปล่อยแก้มอุ่นแนบสัมผัสบนอกแข็งของตนเองจึงรู้ว่าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าที่คะเนทางสายตา...เล็กเสียจนรู้สึกว่า ถ้าไม่ระวังคงทำกระดูกหักเอาง่ายๆ


“ทำไมผอมขนาดนี้ กินข้าวบ้างบ้างมั้ยเนี่ย”


ยองแจยืนตัวแข็งตาแข็งอยู่ในอ้อมกอด ยิ่งได้กลิ่นหอมเย็นของมิ้นต์จากอีกฝ่ายมาด้วยก็เหมือนหูอื้อตาลายไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นดังตึกตักคล้ายระเบิดเวลาที่ใกล้ระเบิดเต็มที


“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”คนตัวผอมร้องลั่นผลักเพื่อนร่วมห้องออกไปสุดแรงเกิดวิ่งไปหลบอยู่ข้างชั้นวางหนังสือใกล้กับโต๊ะวางโทรทัศน์ด้วยกายที่สั่นเทาราวกับมีองค์ประทับร่าง


“เฮ้ย...เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พอถามเท้าขยับเข้าไปหา ฝ่ายที่ยืนตัวสั่นกลับสั่งห้าม


“อย่าเข้ามานะ”


“ทำไมอ่ะ”


“ฉัน...ฉันไม่ชอบ...ไม่ชอบให้ใครโดนตัวฉัน”


“เพราะ”


“ก็...ก็แค่ไม่ชอบ”


“มีงี้ด้วย”


“มีสิ”


“เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโดนตัวนายนะ...ฉันเห็นนายจะล้มเลยจับไว้เท่านั้นเอง”


“ก็นั้นแหละ”


“โกรธเหรอ”


“ไม่ได้โกรธ...แค่ไม่ชอบ” ยองแจแกะเล็บตัวเองเหลือบตายังเพื่อนร่วมห้องที่กอดอกมองกลับมาด้วยความสงสัยก็ก้มหน้างุดเลยไม่ทันสังเกตว่า ฝ่ายนั้นก้าวเท้ามาหาจนยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงแขน


หน้านวลฝาดด้วยเลือดแดงก่ำลามไปทั้งคู่ราวกับมะเขือเทศสุกลูกใหญ่ดูน่ารักเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เสียจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางเอื้อมมือลูบผมนุ่มสีเข้มนั้นไว้


“เป็นโฟเบียประเภทกลัวเชื้อโรคถึงไม่ยอมให้ใครแตะตัวเหรอ...ถ้าอย่างนั้นมันต้องแก้ด้วยการให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่ชอบนะ” น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยคำดึงให้คนที่ก้มหน้ารู้สึกตัวเงยจากพื้นมาสบตาคมฉายแววอบอุ่นระคนเอ็นดูอย่างยิ่งมอบให้ก็แทบหายใจไม่ออก


“ฉันง่วงแล้ว...ขอตัวไปนอน...ก่อนนะ...ส่วนนาย...คืนนี้ก็...เก็บของ...อาบน้ำ...นอนก่อน...ค่อยคุย...คุยกันพรุ่งนี้...ราตรี...สวัสดิ์” เจ้าของบ้านบอกตะกุกตะกักแล้ววิ่งพรวดหายเข้าห้องตัวเองไปต่อหน้าต่อตาปล่อยให้เพื่อนร่วมบ้านพิงชั้นหนังสือมองตามหลัง


“น่ารักจัง” แดฮยอนพึมพำกับตัวเองยังคงมองไปทางประตูบานที่อีกคนกระแทกปิดเสียงดัง  แม้จะถูกทิ้งไว้คนเดียวแต่ริมฝีปากยังเหยียดกว้างอยู่อย่างนั้น


...ยู ยองแจที่เขารู้จักสมัยเรียนไม่ใช่คนแบบนี้เลย


ตอนนั้นหมอนี่ดูจะเป็นพวกไม่ชอบเข้าสังคมกับใคร อาจเพราะมีคนคอยแกล้งและหาผลประโยชน์จากความเรียนเก่งของเจ้าตัวอยู่ตลอด แม้แต่ตัวเขาเองยังนิสัยไม่ดีไปขอให้ช่วยเรื่องเรียนอยู่เรื่อยแต่ไม่เคยตอบแทนอะไรมากไปกว่าซื้อขนมให้


...เขามีเพื่อนเยอะเลยหลงลืมเพื่อนร่วมเอกอย่างยองแจไป
...และคงเข้าใกล้ไม่มากพอจะเห็นตัวตนที่ซ่อนอยู่ข้างใน
...แต่หนนี้เขาคิดว่าจะลองเอาใจใส่เพื่อนให้มากกว่าเดิม


“ราตรีสวัสดิ์นะ ยองแจ” เขาเอ่ยคำสุดท้ายแล้วลากกระเป๋าหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเช่นกัน


------------------ แวะคุยกันหน่อย ------------------
ตอนนี้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว แดฮยอนก็ถึงเนื้อถึงตัวจัง 
คุณยูจะหัวใจวายตายก่อนไหมเนี่ย 5555 
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณคอมเม้นด้วย 
ถ้าคอมเม้นในนี่ไม่ได้ ติดแท็ก #ficlovetoxical 
ไว้สักนิดจะได้รู้ว่าอ่านกันน้า 


You Might Also Like

7 Comments

  1. อ่ะจ้าาาาาน่ารักตั้งแต่คู่อาหลานอยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้ายัยดื้อเนี่ยคุณอาจะทำใจตีได้จริงๆรึป่าว5555 ยะแจน่ารักมากๆเปรียบตัวเองกับดะฮยอนเป็นก้อนกรวดกับพระอาทิตย์อะไรจะคิดเยอะขนาดนั้นชอบตอนที่จะล้มแล้วต่อปากต่อคำกันมาก "ไม่ได้โกรธไม่ได้กลัวแต่แค่ ไม่ชอบ"แถมไอ้อาการยืนกัดเล็บนั่นอีกโอ้ยยยยยย น่ารักเกินไปแล้วคนนึงก็ขี้อายคนนึงก็ชอบแกล้งชอบแหย่ แบบนี้ยะแจเป็นโรคหัวใจเพิ่มอีกแน่ๆอยากให้เค้าได้กันแล้วสิ55555

    ตอบลบ
  2. ก่อนอื่นเลยคือ เลือกเพลงประกอบได้น่ารักมากเลยค่ะฟังแล้วยิ้มแก้มปริ ยิ่งนึกถึงแด้แจแล้วเขิน
    ยองแจกับเบบี้โรสคือเป็นคนที่มีความคล้ายกัน คือดื้อและเป็นตัวแสบ แต่เข้ากันได้ดีเวลาพูดถึงอาชาร์ล555
    พี่ยงกุกมีบทแบบพ่อของลูกในทุกๆตอนเลย คิลเราตลอด ฮือออ ทำไมต้องดีงามขนาดนี้ นุ้งจูนงก็อ้อนซะ ไม่สงสารยองแจที่นั่งกระพริบตาปริบๆเลย อยู่ดีๆก็สร้างโลกส่วนตัวของเราสองคนซะงั้น

    ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่ายองแจน่ารักมากๆอย่างที่ดอนคิดจริงๆด้วย คือเราอ่านแล้วเรารู้ความคิด ความรู้สึกของทั้งสองคน อย่าว่าแต่ยองแจเขินจนหัวใจจะวายเลยค่ะ คนอ่านจะกลายร่างเป็นคนบ้าอยู่แล้วว ฮือออ เขิน คุณยูน่ารักเกิ๊นนน อ่านแล้วเม้มปากแน่นเลยตอนอ่านทำได้แค่ ร้องฮือออ น่ารัก ตอนเม้นท์เลยมาเขียนระบายความรู้สึก

    ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะซื้อเปียโนราคาสามล้านสองแสนวอนไปเป็นของขึ้นบ้านใหม่และหวังว่าคนที่ได้รับจะยิ้มอีกสักครั้ง ให้้ตายเถอะดอนเอ๊ยย ตลกตรงดอนโดนเบรกจากคนขายมากค่ะ เจอคำว่า ตลกเหรอครับ เรานี่นั่งขำเลย ถึงดอนจะขำไม่ออกก็เถอะ 555
    ถ้าไม่เห็นสปอยด์มาก่อนเราจะคิดว่าแดฮยอนเป็นคนที่อ่อนโยนและอบอุ่น ต้องเอ็นดูรูมเมทมากแค่ไหนถึงจะเอื้อมมือไปลูบหัวเค้าได้ เอาจริงๆเราก็ไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อนตัวเองเลยนะ แบบลูบหัวแบบเอ็นดูยังไงๆก็ไม่ใช่ฟีลเพื่อนค่ะ อ่านแล้วก็เขินไปตามระเบียบ แต่ยองแจน่ารักมากจริงๆเราเข้าใจดอน น้องยองจะทนไปได้นานเท่าไหร่กัน นี่แค่วันแรกหนูก็เป็นอย่างนี้แล้วอะลูก แต่เวลาที่ยองบอกว่าตัวเองเป็นก้อนกรวดแล้วดอนเป็นพระอาทิตย์งี้ อ่านแล้วเศร้าจังค่ะ เราก็เพื่อนน้อยนะ แต่ก็ยังพอมีเพื่อน ยองแจกลับไม่มีใครสักคน สงสาร จะเหงามากแค่ไหนกัน ไม่แปลกที่แค่ดอนซื้อขนมตอบแทนหลังยืมเลคเชอร์จะทำให้คุณยูประทับใจขนาดนั้น ยิ่งเป็นคนที่ชอบด้วยยิ่งแล้วใหญ่ พอมาอยู่ด้วยกันแค่เค้าจำเรื่องตัวเองได้ก็น้ำตารื้นซะแล้ว อยากจะเอื้อมมือไปเช็ดให้ละเกิน
    เราจะรอลุ้น รออ่านต่อไปนะคะว่าคู่ที่คนนึงพยายามวิ่งเข้าหากับอีกคนที่ต้องการรักษาระยะห่างจะเป็นยังไงต่อ
    เขียนเก่งจังเลยค่ะ อ่านแล้วเราอยากเขียนได้บ้างเลย ทั้งๆที่ปกติเราไม่เคยคิดจะลองเขียนเลย เก่งมากเลยค่ะ
    มีคำตกหล่นนิดหน่อยรึเปล่าคะเราไม่แน่ใจ ตรงช่วงที่ดอนซื้อเปียโน คำว่า ภาพของว่าที่.... ไม่แน่ใจว่าว่าที่รูมเมทรึเปล่า

    ตอบลบ
  3. โอยยยยงืออออโอยยยยอ่านแล้วใจเต้นตลอดเลย
    ไม่รู้จะคอมเม้นแสดงความเห็นยังไงดี แต่แบบว่าชอบมากๆๆเลยค่ะ ยองแจกะน่ารักแด้ก็มีความขี้แกล้งแหย่นิ่ม อ่านแล้วเอ็นดูยองแจมากๆเลยค่ะอินไปกะเรื่องสุดๆละมุนมากๆ แถมแด้เป็นนิสัยเป็นแบบนั้นแต่ก็ดูใส่ใจคนรอบข้างสุดๆไปเลย ยังคงประทับใจการเขียนบรรยายสำนวนภาษาของคนแต่งสุดๆเหมือนเคย ชอบมากๆเลยค่ะ ♡

    ตอบลบ
  4. อ่านแล้วยิ้มตามเลยตอนแดคิดว่าถ้าซื้ื้้ื้้ื้ื้อไปแล้วเค้าจะยิ้มเนี้ยนี่ก็ยิ้มตามเลย

    ตอบลบ
  5. เบบี้โรสกับคุณอามาหวานถึงนี่เลยวุ้ยยย ฮื่อออออ คุณอาเป็นทั้งผู้ปกครองและคนรักที่ดีมากๆเลย ทั้งสอนให้เรียนรู้สอนให้รัก ตอนนี้เสี่ยก็โดนอีกแล้วนะฮะ เรื่องหย่าเหมือนเดิมเหล่ย เมื่อเด็กสองคนผู้ชอบเถียงเสี่ยเป็นประจำมาอยู่ด้วยกัน ก็เลยเกิดการนินทาขึ้นมา รู้สาเหตุที่เบบี้โรสไม่ชอบอาชาร์ลแล้วล่ะ สมควรโดนนะคะ 5555 เบบี้โรสกับยองแจเป็นพันธมิตรกันไม่เท่าไหร่แต่เพราะความเอาแต่ใจทั้งคู่จากคุยกันดีๆเลยเถียงกันซะงั้น คุณอาเลยต้องมาห้ามทัพให้อีก เอาจริงๆที่ยองแจเปรียบตัวเองเป็นก้อนกรวดก็เกินไปนะ เพราะถ้ามองจากมุมแดฮยอนจะรู้เลยว่าไม่ใช่จำยองแจไม่ได้เลย แต่จำได้หลายๆเรื่องเลยต่างหาก การซื้อของขึ้นบ้านใหม่ราคาแพงขนาดนี้มาให้ว่าสุดๆแล้วนะ แต่ดันเป็นของชิ้นที่จำได้ว่าเคยทำพัง แล้วมันเป็นของยองแจ นี่คือที่สุดแล้วอ่ะ แอทแทคยังไม่หมดไป เข้ามาคืนแรกก็ถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ยองแจจะหัวใจวายก่อนมั้ยอ่ะ ทำไมเขินได้น่ารักขนาดนี้ แดฮยอนรุกเข้าไปค่ะ เขาบอกไม่ชอบก็ต้องทำให้ชอบ คนอ่านชอบนะ 555555

    ตอบลบ
  6. สนุกมากเลยค่ะ ชอบฟิคแนวนี้มาก ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านะคะ TT
    ชอบยองแจเวลาเขิน55555 ส่วนแดฮยอนไม่รู้อะไรบ้างเลย สงสาร555

    ตอบลบ
  7. แงเขินนนนนน😊😊น้องแจทำไมน่ารักงี้ เนี่ยอยู่กับพี่แด้คนขี้แกล้งต้องจะเป็นลมวันละสองพันห้าร้อยสี่สิบนอบแหง๋ ซงซานนนน้องง สู้นะ
    ขอบคุณฟิคค่าอ่านไปยิ้มไป

    ตอบลบ