LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 2

09:45


ดินสอไม้หลุดจากมือขาวกลิ้งไปบนกระดาษที่มีรูปวาดใบหน้าของอสูรร้ายน่าเกรงขามพร้อมกับสติที่หลุดลอยของผู้สร้างผลงานซึ่งตอนแรกเจ้าตัวเพียงต้องการพักสายตาแต่กลายเป็นหลับไปจริงๆ


“จุนซอ กูหามึงตั้งนาน เสือกมาหลับอยู่ในนี้นี่เอง” เสียงแหบจากใครคนหนึ่งเรียกขานพร้อมการเขย่าปลุกให้คนที่ฟุบนอนรู้สึกตัวตื่นตะแคงหน้าแนบแก้มกับโต๊ะเหลือบหางตายังชายหนุ่มสวมแว่นตาหนาของเพื่อนร่วมเอกพลางหาวหวอดอย่างงัวเงียอันเป็นผลพวงจากการทำวิทยานิพนธ์และเตรียมงานจัดแสดงผลงานจบการศึกษา รวมทั้งงานออกแบบนอกเวลากระทั่งการทำงานพิเศษในร้านสักของสาวในฝันอยู่ค่อนคืนที่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นทำให้เพลียจนหลับเสียทุกที่


“เฮ้ย มึงไหวปะเนี่ย ไม่สบายหรือไงวะ”


“เปล่า แค่ง่วงอ่ะ” ชายหนุ่มตัวกลมแต่ดวงหน้าขาวกลับเรียวผอมเมื่อรวมกับผมหน้าม้าที่ปรกหน้าทำให้น่าเอ็นดูและเด็กราวกับยังเรียนมัธยมนั้นตอบเสียงสั่นเพราะพูดพร้อมอ้าปากหาวอีกรอบพอดี “แล้วมึงมาหากูนี่มีไรปะ”


“กูจะชวนมึงไปซื้อกรอบแว่นใหม่”


“อะไร...กรอบแว่นใหม่อีกล่ะ กูจำได้ว่ามึงเพิ่งไปซื้อกับกูมาเองนะ”


“ที่ซื้อมาคราวก่อนพอเอาไปใส่กับเลนส์จริงมันไม่เข้ากับหน้ากู”


“ถ้าลองแล้วใส่ไม่เข้ากับหน้า จะซื้อมาทำไมวะ”


“ตอนแรกฮานึลบอกว่ากูใส่แว่นทรงนี้น่าจะดีกูก็เลยซื้อมาแต่พอใส่จริง ฮานึลบอกกูว่ามันตลกกูเลยต้องไปซื้อใหม่” เมื่อชื่อของรุ่นน้องปีสามคณะนิเทศศาสตร์หลุดมาให้ได้ยิน อีกฝ่ายที่รู้กิตติศัพท์ความเฟรนด์ลี่เกินเบอร์ชอบหยอกชอบหยอดโดยเฉพาะกับผู้ชายไม่ประสีประสาก็แยกเขี้ยวอย่างไม่รู้ตัว


ถึงเขาจะเคยคบหากับผู้หญิงแค่คนเดียวในชีวิต แถมคบตามแรงยุของเพื่อน หากก็ได้เรียนรู้วิถีของผู้หญิงที่แกล้งใสซื่อมาพอสมควร...ผู้หญิงพวกนั้นผิดกับสาวในฝันของเขาโดยสิ้นเชิง 


“โวะ มินจุน นี่มึงยังไม่เลิกสนใจคำพูดของฮานึลอีกเหรอ ใจคอนี่จะทำทุกอย่างตามเขาสั่งเลยหรือไง แฟนหรือก็ไม่ใช่จะทำตามไปทำไมวะ”


“แต่เขาบอกกูว่ากูน่ารักด้วยนะมึง...ถ้าทำอะไรที่เขาชอบก็อาจจะได้คบกันก็ได้ น่า มึงไปซื้อเป็นเพื่อนกูหน่อย เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวก็ได้”


“ไปกับมึงตอนนี้อ่ะนะ” คนถามเหยียดตัวกลับมานั่งหลังตรงบนเก้าอี้พลางมองออกไปยังท้องฟ้าสีทึมบอกเวลาที่เปลี่ยนผ่านสู่ค่ำคืนจึงเอ่ยปาก “คงไม่ได้วะ”


“ไมอ่ะ”


“กูต้องไปทำงานพิเศษ”


“งานพิเศษอะไร ใช่ออกแบบหน้าเว็บเครื่องสำอางที่มึงบอกกูปะแต่มึงบอกกูว่าส่งงานได้เงินแล้วนิ” 


“ไม่ใช่งานนั้นโว้ย กูหมายถึงงานพิเศษที่ร้านสัก”


“ฮะ...มึงทำงานอยู่ร้านสักเหรอ ทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่เห็นรู้เลย” 


“ทำมาสองเดือนแล้ว”


“ตั้งเดือนแล้วเหรอ...ก็ว่าทำไมเจอมึงทีไรเป็นหลับทุกที ว่าแต่คนกลัวเข็มอย่างมึงไปทำงานเป็นช่างสักได้ด้วย” 


“กู แค่ช่วยดูแลลูกค้ากับเฝ้าร้านเฉยๆ”


“แค่เฝ้าร้านทำไมต้องมานั่งวาดรูปตามสั่งด้วย...เฮ้ย จงฮวา ตอนมึงไปเฝ้าร้านให้รุ่นพี่ที่เปิดร้านสักอะไรนั้นมึงต้องทำแบบจุนซอมันด้วยปะ” มินจุนตะโกนถามเอากับเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนั้นทำให้คนได้ยินย่นหน้าผากเหลือบมองด้วยสายตาเหมือนเห็นเพื่อนละเมอ


“มินจุน...มึงเมาปะ จงฮวามันอยู่นี่ซะที่ไหน”


“เมาอะไร...มึงสิเมา จงฮวาแม่งนั่งอยู่ข้างหลังมึงตั้งแต่กูเปิดประตูเข้ามาแล้วเนี่ย”


“ฮะ” เจ้าตัวอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหูแล้วเหลียวกลับไปด้านหลังก็เห็นเพื่อนสนิทหน้าหล่อตัวใหญ่เหมือนหมีสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้นอวดมัดกล้ามเต็มแน่นนั่งไขว่ห้างเอนพิงพนักเก้าอี้จึงพูดต่อ “ไหนว่าไปเที่ยวกับครอบครัวที่เมืองไทยไม่ใช่ไง กลับมาเมื่อไหร่เนี่ย”


“เมื่อเช้า”


“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะกลับมา”


“พอดีอาจารย์เรียกกูมาคุยเรื่องทุนเรียนต่อ...กูเลยขอพ่อกลับมาก่อน” 


“แล้วมาตั้งนาน ทำไมมึงไม่เรียกวะ”


“เห็นมึงใช้สมาธิไม่อยากกวนก็เลยนั่งอยู่นี่”


“คุยเสร็จทำไมไม่กลับบ้านวะ จะมานั่งทำไมตรงนี้”


“ตอนทุ่มครึ่งกูมีนัดกับพวกแจจุนมัน”


“นี่คงไม่ใช่ไปนัดบอดกันอีกแล้วหรอกนะ”


“เออ”


คนถามเบะปากทันทีที่ได้ยินคำตอบอันเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ของกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเด็กที่ถือว่าหล่อเลยคั่วหญิงไปเรื่อยไม่จริงจังกับใครสักที หากยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อปากก็เกิดหาวขึ้นมาเปิดโอกาสให้เพื่อนอีกคนได้แทรกพูด


“เฮ้ย มึงจะไปนัดบอดเหรอวะ พอมีที่เหลือมะ”


“มึงอยากไปเหรอ” ฝ่ายต้องไปนัดบอดอย่างจำใจเลิกคิ้วถาม “งั้นก็ไปแทนกูเลยไหม เดี๋ยวกูบอกแจจุนมันให้”


“แล้วมึงไม่ไปไง”


“จริงๆกูอยากกลับไปนอน แต่แจจุนมันขอให้ไปนั่งให้ครบคนแล้วค่อยกลับ”


“มึงไม่ไปได้จริงอ่ะ”


“มึงอย่าไปเลย มินจุน เดี๋ยวไปถึงมึงจะเบื่อ พวกผู้หญิงที่แจจุนมันนัดไว้ไม่เหมือนฮานึลของมึงหรอกนะ พวกนี้เขาสวยเหมือนไอดอล มึงไปเขาก็ไม่คุยกับมึง...กูเคยไป กูรู้”ผู้มีประสบการณ์ท้วง


“มึงเคยไปนัดบอดกับพวกมันมาแล้วเหรอ ไปเมื่อไหร่ ไม่เห็นชวนกูเลย”


“โวะ กูอยากไปซะที่ไหนล่ะ แม่งล่อด้วยของแดกกูก็ไป...พอไปแม่งให้กูนั่งรอแดกน้ำแดกขนมห่อหนึ่ง ผู้หญิงนี้ไม่ต้องพูดถึง หางตายังไม่ชายมาเลย” 


“อะไรวะ...ใจคอคนสวยๆนี่เขาจะชอบแต่ผู้ชายหล่อหรือไง” 


“ไม่เห็นแปลก ทีมึงยังชอบแต่คนสวยเลย คนสวยเขาจะชอบคนหล่อรวยก็เป็นเรื่องปกติ”


“เหมือนนาบีอ่ะเหรอ”


ชื่อของหญิงสาวอีกคนที่หลุดปากจากความพลั้งเผลอของเพื่อนร่วมเอกก่อความเงียบให้ในห้องวาดรูปและทำให้คนตัวใหญ่สุดในห้องมีสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัดและเหตุนั้นเองที่ทำให้ผู้พูดลนลานตามประสาเคยรู้เรื่องราวมาก่อนรีบขอตัวกลับ


“เออ กูว่ากูไปซื้อกรอบแว่นใหม่ก่อนดีกว่า ไว้เจอกันนะมึง”


มินจุนบอกแล้วชิ่งเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อนทิ้งให้เพื่อนร่วมเอกที่นั่งหลั่นคนละแถวตกอยู่ในความเงียบก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะเป็นฝ่ายลุกจากเก้าอี้รวบกระดาษทั้งหมดใส่ในซองเอกสารใสและยัดมันลงไปในกระเป๋าสะพายข้างที่หยิบมาพาดบ่าแล้วหันหลังไปหาเพื่อนสนิทสมัยเด็กโยงยาวถึงปัจจุบันที่ยืนรออยู่ด้วยระดับความสูงที่ต่างกันทำให้ต้องแหงนคอคุย


ใบหน้าหล่อดูเครียดเคร่งกระอักกระอ่วนทำให้เพื่อนซี้ยื่นมือไปฟาดแขนฝ่ายตรงข้ามแล้วแกล้งทำเป็นสะบัดเร่าด้วยความเจ็บก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมคว้าข้อมือผอมมาพลิกดูฝ่ามือแดงด้วยความร้อนลน


“ไอ้โง่เอ๊ย เจ็บมากไหมเนี่ย”จงฮวานร้องดึงมือแดงของเพื่อนมาถูไปมาหวังให้หายเจ็บ


“มึงสิโง่” คนแกล้งเจ็บเหน็บกลับ “อะไรของมึง ป่านนี้ล่ะยังไม่ลืมอีก” 


“กูจะลืมได้ไง...กูเป็นคนแนะนำให้มึงคบกับยัยนั่นนะ ทำให้มึงเสียเวลาคบกับผู้หญิงไม่ดีตั้งนาน” คนตัวใหญ่ว่า ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ความรู้สึกผิดและโกรธขึ้งต่อตัวเองที่แนะนำผู้หญิงที่หวังใช้เพื่อนสนิทเขาเป็นสะพานข้ามมาหาตัวเขายังคงไม่จางไปไหน


สำหรับเขาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจุนซอมีความหมายเหนือกว่าทุกคน เพราะแบบนั้นหลังจากรู้เรื่องเขาบุกไปเคลียร์จนเจ้าหล่อนกลัวไม่กล้ามาให้เห็นหน้าอีกเลยแต่ถึงอย่างนั้นเวลาได้ยินใครพูดชื่อนี้ขึ้นมาก็หัวร้อนทั้งที่ปกติเขาค่อนข้างใจเย็น


“คบกันหกเดือนนี่ไม่เรียกว่านานนะเว้ย อีกอย่างกูก็คบกับเขาไปอย่างนั้น ไม่ได้รู้สึกรักชอบอะไรด้วยซะหน่อย ถึงเขาจะหวังใช้กูไปหามึงก็จริง แต่มันใช่ความผิดมึงซะที่ไหน คนโดนเองอย่างกูยังลืมได้ มึงก็ลืมไปเหอะ” 


“แต่กู...”


“โว้ย พูดไม่รู้เรื่องเลยแฮะ มึงจะฟื้นฝอยทำไมเนี่ย แล้วดูดิ มานั่งด้วยก็ไม่เรียก ปล่อยกูวาดรูปเหงาอยู่คนเดียวตั้งนาน” จุนซอบ่นตัดบทขณะเดินนำเพื่อนตัวโตเดินออกจากห้องวาดเส้นเดินไปตามทางในอาคารด้านนอก


“กูจะไปรู้เหรอ เห็นมึงตั้งใจมากเลยไม่อยากไปกวน ว่าแต่มึงจะวาดไปทำไมตั้งเยอะแยะหรือพี่นาเรเขาปรับตำแหน่งมึงมาเป็นช่างสัก อย่างมึงนี่แค่เข็มทิ่มนิ้วตัวเองก็เป็นลมแดกล่ะ จะไปสักห่าอะไรให้ใครได้”


“ก็ไอ้กล้ามปูมันสั่งก็เลยต้องทำ”


“กล้ามปูนี่ใคร...เฮ้ย มึง มึงคงไม่ได้เรียกพี่ชารุเขาอย่างนั้นหรอกนะ”


“บ้าแล้ว ใครจะไปกล้าเรียกพี่ชารุแบบนั้นกัน...กูหมายถึงน้องชายของพี่เขาต่างหาก”


“น้องชาย...พี่นาเรเขามีน้องชายทำงานอยู่ที่ร้านด้วยเหรอ เมื่อก่อนตอนกูไปสักที่ร้านพี่เขา ไม่เห็นมีช่างคนอื่นนอกจากพี่เขากับพี่ชารุเลย”


“มี...พี่เขามีน้องชายฝาแฝดสองคน แต่กูไม่เคยเจอคนที่พี่เขาบอกว่าเงียบๆนิ่งๆหรอกนะ เจอแต่ตาแก่ขี้โมโห”


“เจอเขาบ่อยเหรอ”


“ตอนแรกก็อาทิตย์ละครั้ง แต่หลังๆพี่นาเรเขาไม่ค่อยอยู่ร้าน บางทีพี่ชารุเขาก็ออกไปกับพี่นาเรด้วย แม่งก็เลยต้องมาเป็นช่างชั่วคราวให้เวลาพวกพี่เขาไม่อยู่ ตอนนี้เลยต้องเจอแม่งทุกวัน...ประสาทจะแดก” เพื่อนตัวเล็กที่อีกฝ่ายเรียกตัวใหญ่เพื่อเอาใจเสมอเข่นเคี้ยว...ยิ่งคิดถึงหน้าของผู้ชายที่แก่กว่าตั้งหลายปีที่ทำตัวเหมือนเด็ก ทุกครั้งที่มานอกจากจะชอบปากหมาพูดจาประชดประชาโชว์เหนือแล้วยังใช้เขาทำนู้นที่นี่จนหัวหมุน แม้แต่ตอนกินข้าวอยู่ยังไม่เว้น


“สองเดือนมานี้มึงโดนแบบนี้ตลอดเลยเหรอ ทำไมไม่เห็นมึงบอกกูเลยวะ”     
  

“ก็เห็นมึงไปเที่ยวกับครอบครัวเลยไม่อยากเล่าให้ฟัง เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก” 


“บ้าเอ๊ย บอกกูไว้กูจะได้จัดการให้ไง...ขืนทำงานนอนไม่พอแล้วสุขภาพจิตต้องมาเสียอีก ออกมาเหอะ เดี๋ยวกูหางานพิเศษใหม่ให้” ความเป็นห่วงทำให้คนตัวใหญ่เสนอทางเลือกอื่นที่สามารถทำได้ทันทีที่อีกฝ่ายออกปาก


“ไม่เอา” คำตอบนั้นหลุดจากปากรวดเร็วเหมือนไม่ผ่านการคิด


“ทำไม”


“ก็เวลากูเห็นหน้าพี่นาเรมันมีความสุขอ่ะ พี่ชารุเองเขาก็ดีกับกูมากด้วย ข้าวที่พี่เขาทำให้กินก็อร่อย งานการก็ไม่ได้หนักแค่เฝ้าร้าน มีเวลานั่งทำงานฟรีแลนซ์ได้ ลูกค้าที่ร้านก็นิสัยดีกันทั้งนั้น เงินก็โอเค ถ้าเทียบกับการมีไอ้กล้ามปูอยู่ก็ถือว่าชดเชยได้” 


คำตอบกับรอยยิ้มกว้างของคนตัวเล็กเปลี่ยนความครึ้มมืดของค่ำคืนของผู้ฟังเสียจนริมฝีปากบางไม่อาจทนต่อการเหยียดขยาย หากแววตากลับมีความเศร้าแฝงจางๆ


“ถ้าแบบนั้น มึงต้องหัดใจเย็นๆบ้างนะ” เสียงเข้มบอกพร้อมกับยื่นถุงกระดาษสีขาวเคลือบมันมีโลโก้เป็นลายไทยกับกุญแจห้อยบัตรสีดำกับตุ๊กตาช้างทำจากผ้าลายแปลกตามาหา 


“ไรอ่ะ”


“ของฝากจากเมืองไทย ในนั่นมีลูกอมจากเมืองไทยด้วย กูเห็นโฆษณามันบอกว่า อมแล้วเย็นชื่นใจ มึงเก็บไว้อมเวลาหัวร้อนดูเผื่อจะใจเย็นขึ้น”


“ล่ะไอ้กุญแจนี่คือไร...อย่าบอกนะว่ามึงจิ๊กกุญแจโรงแรมที่ไทยมาฝากกู  โอโห ไอ้กะตั้ว หาคุกหาตารางมาให้กูเฉย” ฝ่ายที่รับถุงกับกุญแจมาถือร้องถาม


“ไอ้บ้า กุญแจโรงแรมที่ไหน กุญแจสำรองห้องกูเอง”


“แล้วให้มาทำไม”


“เห็นสภาพมึงแล้วกูทนไม่ไหววะ ทำงานอย่างมึงเดี๋ยวได้ตายพอดี บ้านมึงก็เสือกไกลด้วย หอก็ไม่ยอมอยู่ เพราะงั้นมึงมานอนห้องกูดีกว่า”


“โหย ไม่เอาหรอก ห้องมึงมีทั้งซอกฮวี ทั้งแจจุนแชร์ค่าห้องกับมึง จะให้กูไปนอนฟรีได้ไง” 


“แค่มาค้างชั่วคราวไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างพวกกูก็ไม่ค่อยอยู่ห้องกันด้วย มึงมานอนก็เหมือนมาช่วยพวกกูเฝ้าบ้านนั้นแหละ”


“อ๋อ” เมื่อได้ยินคำตอบอีกคนก็ลากเสียงยาว “ที่แท้ก็จะให้ไปเฝ้าห้องให้พวกมึงนี่เอง”


“ไม่ใช่อย่างนั้นว้อย” ฝ่ายที่เชื่อว่าคำพูดถูกตีความไปในทางไม่ดีก็เสียงหลงจนได้ยินเสียงหัวเราะขำนั้นถึงรู้ว่าโดนหลอกปากยังขยับยิ้มตาม


“ไปเมื่อไหร่ก็ได้ใช่มะ งั้นคืนนี้ขอไปค้างหน่อยดิ”


“ได้”


“เอาโทรศัพท์มึงโทรบอกแม่ว่ามาค้างกับมึงด้วยได้ปะ”


“ทำไมมึงไม่เอาโทรศัพท์มึงโทรเองวะ”


“เปลืองค่าโทรศัพท์ มึงเงินเยอะออกให้หน่อยล่ะกัน”


“โห...ไอ้งก” 


จงฮวาหลุดออกมาได้เท่านั้นก็ขยี้หัวคนข้างตัวไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยว หากอีกฝ่ายกลับสะบัดหัววิ่งหนีไปอย่างไวพลางหัวเราะร่วนตรงไปทางม้านั่งที่เหมือนมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่และเมื่อเข้าไปใกล้พอข้อมือกลับถูกบางสิ่งดึงทั้งตัวให้ลงมานั่งบนตัก 


“ไอ้เหี้ย วิ่งอย่างนี้ เดี๋ยวก็ล้มปากแตกหรอก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามทำให้ฝ่ายที่ล้มลงไปบนตักเอนตัวไปด้านหลังแล้วแหงนหน้าวางคอลงบนบ่ากว้างหนามองสันกรามไล้ไปถึงใบหน้าหล่อคมที่ก้มมาหาก็ตาโต


“เฮ่ยยยยยยย บารม มึงมาได้ไง” เจ้าตัวร้องเสียงหลงด้วยไม่คิดว่าจะได้พบกับเพื่อนสมัยเด็กอีกคนซึ่งตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับเอ็มวีและโฆษณามือทองอายุน้อยที่สุดที่ได้ทำงานในบริษัทโปรดักชั่นระหว่างประเทศตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสาม


...ถึงจะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ก็ไม่ได้เห็นหน้ามานานแล้วเพราะอีกฝ่ายงานยุ่งอยู่ตลอด...


“กูหาโลเคชั่นถ่ายโฆษณา มันผ่านมาทางนี้พอดีเลยแวะมานั่งเก็บบรรยากาศสักหน่อย ว่าแต่มึงเถอะทำไมชอบวิ่งไม่มองทางอยู่เรื่อยเลยวะ รอบก่อนที่ล้มคางกระแทกเลือดอาบเพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่ไง”


“จงฮวามันแกล้งเลยหนี เนี่ย ดูดิ ผมกูยุ่งหมดเพราะมันเลย” เจ้าของร่างผอมที่ซ่อนตัวใต้เสื้อผ้าหลายชั้นฟ้องพลางเบะปากทำให้เพื่อนที่ใช้ตัวเองเป็นเก้าอี้รองใช้มือใหญ่ลูบจัดผมหน้าให้กลับเข้าทรงพร้อมกับคู่กรณีที่วิ่งเข้ามาหาพอดี 


“มึงแม่งไปนั่งทับบารมมันได้ไง เดี๋ยวมันหนักตาย ลุกมานี่เลย” คนต้นเรื่องกวักมือเรียกมองมือใหญ่ของเพื่อนอีกคนที่ประสานอยู่บนเอวบางของคนตัวเล็กบนตักเขม็ง


“ไม่หนักหรอก ถ้าเป็นมึงสิ กูถีบลงตั้งแต่วิแรกล่ะ” คำพูดปนเสียงหัวเราะเบาๆอย่างไม่คิดอะไรนั้นกลับทำให้คิ้วเข้มของผู้ที่ยืนอยู่คนเดียวตรงนั้นขมวดเป็นปมแต่คนพูดไม่ทันสังเกตยังเอ่ยต่อ “แล้วนี่จะไปไหนกัน”


“กูจะไปทำงานพิเศษ ส่วนจงฮวามันจะไปนัดบอดกับพวกแจจุนมัน”


“ทำงานพิเศษ...มึงทำงานพิเศษที่ไหนวะ” 


“ร้านสักพี่นาเรไง นี่ก็บอกในห้องแชทไปแล้วทำไมไม่จำบ้างเนี่ย”


“เอ้า ยังทำอยู่เหรอ กูนึกว่ามึงเลิกทำแล้วซะอีก” บารมถามขณะเหลือบตาไปยังเพื่อนอีกคนที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าอดกลั้นกับอะไรสักอย่างอยู่ หากไม่ทันได้ถามต่อคนตัวเล็กบนตักที่ดูนาฬิกาบนจอมือถืออยู่กลับดึงมือที่อยู่บนเอวออกและลุกขึ้นยืนสางผมด้วยมือขาวพอให้แน่ใจว่าผมไม่กระดกก็ขอตัวไปทำงาน


“ไม่เจอกันตั้งนาน คุยกับกูไม่ถึงสิบนาทีนี่จะไปล่ะ”


“ทำไงได้เล่า...พี่เขาให้เข้างานตอนหกโมงนี่”


“น้อยใจวะ” ผู้กำกับหนุ่มกอดอกกระแทกหลังกับพนักพิงทำให้เพื่อนตัวเล็กยื่นมือเย็นวางบนแก้มสีเข้มเบาๆแล้วยู่ปากทำตาละห้อยเหมือนเด็กขอความเห็นใจ


“โหย คุณผู้กำกับ อย่างอนดิ...ไว้วันหลังก็มาให้เห็นตอนไม่ได้ทำงานพิเศษสิจะได้อยู่คุยด้วยทั้งวันเลย”


“อาๆ ก็ได้ จะยอมให้สักครั้งแล้วกัน” 


“ต้องแบบนี้สิคุณผู้กำกับ...งั้นกูไปก่อนนะ กูไปแล้วนะจงฮวาน ขอให้หาแฟนจริงๆได้ที่นัดบอดวันนี้นะ” 


“อย่าวิ่งล่ะ เดี๋ยวล้ม” 


“รู้แล้วน่า ย้ำจัง” จุนซอหงกหัวตอบรับความเป็นห่วงด้วยการแว้ดใส่เบาๆ แล้วกระชับสายกระเป๋าเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยไปปล่อยเพื่อนสนิทตัวใหญ่ปานกันให้อยู่ตามลำพัง


จงฮวามองตามหลังของเพื่อนตัวเล็กกระทั่งลับสายตาจึงกระพริบตาเหมือนนึกบางอย่างได้จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่ยังเอนหลังไขว่ห้างมองมาด้วยแววตาสงสัย


“มึงยังไม่ได้บอกจุนซอมันใช่ไหมว่า พี่ชารุเป็นแฟนพี่นาเร” สุดท้ายอีกฝ่ายก็เปิดปากถาม


“ยัง”


“มิน่ามันถึงยังทำงานที่ร้านนั้นอยู่...ทำไมมึงไม่บอกมันวะ”


“กูอยากให้มันรู้เองมากกว่า จะได้ตัดใจง่ายขึ้น”


“แล้วไม่คิดว่า มันมารู้ทีหลังว่ามึงไม่บอกมัน มันจะไม่โกรธมึงหรือไง”


“จุนซอมันโกรธใครจริงจังเป็นซะที่ไหน” 


“ก็เลยเล่นกับความรู้สึกมันได้งั้นดิ”


“บารม...ถ้ามึงไม่รู้อะไรจะเงียบปากไว้ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะเว้ย” ประโยคทีเล่นทีจริงนั้นหากฟังอย่างตั้งใจจะสัมผัสได้ถึงแววกระด้างของเนื้อเสียงจนผู้ได้ยินเลิกคิ้วสูงใส่ทันที


“ถึงกูจะไม่ค่อยเจอพวกมึง แต่กูว่ากูรู้นะ”


“รู้อะไรวะ” จงฮวาถามกลับด้วยรอยยิ้มแต่ตาตวัดมองอย่างแข็งกร้าว


ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบเพียงก้มเก็บก้นบุหรี่ที่เหยียบจนไฟมอดโยนมันใส่ลงถังขยะแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่อยู่ในระดับเดียวกับเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ก่อนจะวางมือตบบนบ่าเดินออกจากมหาวิทยาลัยไปทิ้งความสงสัยให้คงอยู่กับผู้ถามต่อไปเช่นนั้น
--------------------------------------------------------------------------------
บาร์เหล็กน้ำหนักกว่ายี่สิบห้ากิโลกรัมถูกวางกลับลงบนราวก่อนที่ชายหนุ่มกายใหญ่หนาสวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นอวดกล้ามเนื้อสีน้ำผึ้งสวยจากการออกกำลังอย่างหนักด้วยหมายมั่นปั้นมือจะเข้าประกวดเพาะกายอีกคราในช่วงปลายปีจะขยับตัวพ้นจากม้านอนและเดินไปเล่นบรรดาเครื่องออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อส่วนขาอยู่นานจึงได้เวลาลงมายืดเส้นกับพื้นด้านล่างเพื่อปรับสภาพร่างกาย


“ได้ยินว่ามึงมีแฟนใหม่ รอบนี้ตั้งใจจะคบกันกี่เดือนดีวะ” คำหยอกที่ดังขึ้นจากข้างตัวทำให้คนได้ยินหันไปหาชายหนุ่มตัวใหญ่สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ยืดเส้นอยู่ข้างตัว 


“มึงรู้มาจากไหน” เสียงแหบลึกถามกลับพลางปาดเหงื่อที่ไหลลงมาเกือบเข้าตาทิ้ง


“นี่มึงไม่ได้เช็กคนแท็กไอจีมึงเลยเหรอวะ...ฮวางฮุนมันเห็นในไอจี มีบุคคลนิรนามเขาลงรูปผู้หญิงกอดแขนมึงในคอนกลางแจ้งอาทิตย์ก่อนไว้ พอพวกกูกดไปดูก็เห็นรูปมึงโอบผู้หญิงคนนั้นอยู่”


เพียงได้คำตอบจากเพื่อน คิ้วเข้มบนหน้าคมกลับขมวดยุ่ง นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์ปากสบถออกมาอย่างหงุดหงิดหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดหารูปต้นเหตุทันทีจนเจอเขากับแอคเคาน์หนึ่งที่ไม่มีรูปโปรไฟล์แต่ลงรูปเขากับแฟนแบบเห็นแค่ข้างหลัง


“เหี้ยไรเนี่ย ใครแม่งทำวะ” 


“มึงเล่นไปดูคอนกระหนุงกระหนิงกับแฟนใหม่แต่ไม่พามาเปิดตัวกับพวกกูเหมือนอย่างเคย สาวที่มึงเลิกไปไม่พอใจเขาอาจถ่ายไว้เตือนแฟนใหม่มึงก็ได้”


“กูบอกแฟนทุกคนก่อนคบอยู่แล้วว่า ถ้าคบกันเกินหกเดือนเมื่อไหร่จะพามาเจอเพื่อนๆ แต่แม่งไม่เคยมีใครคบกับกูเกินสามเดือนเลยแล้วส่วนใหญ่กูไม่ได้เลิกก่อนด้วยนะ...แม่ง มีอะไรไม่พอใจก็ควรจะเดินมาบอกแฟนกูในคอนวันนั้นเลยว่า กูเหี้ย ไม่ใช่มาลงรูปแล้วแท็กในไอจี”


“ยงนัม มึงใจเย็นๆก่อน บางทีคนถ่ายเขาอาจรู้จักแฟนมึงก็ได้”


“แต่แท็กกูคนเดียวเนี่ยนะ” ยงนัมย้อนถามพลางหยิบผ้าขนหนูที่พาดบนราวเครื่องยกน้ำหนักมาซับเหงื่อทั้งที่มืออีกข้างยังกำโทรศัพท์มือถือแน่นอย่างหัวเสีย


ถ้าไม่ใช่เวลางานที่ต้องรักษาสภาพความเป็นอาจารย์ต้องปรับตัวให้เหมาะตามสถานการณ์และกาลเทศะแล้ว คนรอบตัวต่างรู้ว่า เขาเป็นคนประเภทตรงไปตรงมาและขวานผ่าซากชนิดที่หลายคนโดนเข้ามีสะอึก ยิ่งเวลามีใครหาเรื่องตนเองหรือคนสนิทเขาจะชนดะไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น 


แม้พื้นฐานจะกระด้างไปหน่อย หากในเวลาที่คบหากับใครจริงจังถึงขั้นเรียกกันและกันว่าแฟนได้ นั้นหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นจะได้ทั้งความรัก ความอบอุ่นอ่อนโยนจากเขาเพียงคนเดียว เพียงแค่การจะให้ไปเจอครอบครัวหรือเพื่อนสนิทก็อยากให้มีแววจะคบยาวสักหน่อย เขาเลยทำข้อตกลงกับผู้หญิงทุกคนที่คบว่า ถ้าคบกันเกินหกเดือนขึ้นไปจะพาไปเปิดตัวและพาไปค้างที่บ้าน แต่ผ่านมากี่สิบปีก็ไม่มีวาสนาได้พาใครไปได้รู้จักสักคน


ถึงชีวิตจะฮอตระดับที่เวลาสนใจผู้หญิงคนไหนไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง แต่งานการของเขาที่มีช่วงเวลาต้องบินไปอยู่ต่างประเทศเป็นเดือนๆ ไหนจะดูแลธุรกิจส่วนตัว ดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราลงทุกวัน ทั้งออกกำลังกายทำให้เวลาว่างจริงๆของเขาส่วนใหญ่จึงเป็นกลางคืนมากกว่ากลางวัน 


...ยิ่งตอนนี้พี่สาวสุดที่รักกำลังมีหลานฝาแฝด เลยกลายเป็นเขาที่ต้องรับหน้าที่ดูแลร้านสักที่เปิดเฉพาะกลางคืนเป็นหลัก...


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังพร้อมสั่นอยู่ในฝ่ามือเรียกสติให้มาอยู่กับการรับสาย ทว่าการได้ยินเสียงหวานออดอ้อนพร่ำบอกว่าอยากเจอเหลือเกินแต่พอตอบไปว่า ให้มาหาที่ร้าน สาวเจ้ากลับบ่ายเบี่ยงขอเปลี่ยนไปเจอกันที่ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวฮงแด 


“ไว้ปิดร้านเสร็จ ผมจะไปหานะ ถ้าร้านที่คุณอยากไปมันปิดก่อน เราไปเดินเล่นริมแม่น้ำฮันแล้วค่อยไปดื่มกันในคลับที่คุณชอบก็ได้” เขาพยายามต่อรอง หากฝ่ายนั้นยังคงอ้อนด้วยประโยคเดิมๆว่า คิดถึง อยากเจอไวๆ ไม่หยุดหย่อน สักพักเริ่มออกอาการเหวี่ยงเอาแต่ใจพูดอะไรก็ไม่ฟัง


“ผมบอกคุณเรื่องพี่สาวผมท้องแล้วไม่ใช่เหรอ...คุณจะให้ผมรีบไปเจอคุณทั้งที่พี่สาวผมนอนดึกไม่ได้เนี่ยนะ ไม่รู้นะ ตอนนี้ผมคิดว่า เราอย่าคุยกันดีกว่า คุยต่อคงได้ทะเลาะกันเปล่าๆ ไว้คุณมีเหตุผลมากกว่านี้ค่อยคุยกันใหม่” เสียงแหบต่ำเอ่ยอย่างใจเย็นทั้งที่การแสดงออกทางสีหน้าบอกความหงุดหงิดชัดเจนจากนั้นจึงกดวางสายพร้อมปิดเสียงไปทันที


“กูไปล่ะ” ชายหนุ่มหันมาบอกเพื่อนสนิทที่ยืนโบกมือแข็งขันก่อนจะเดินเข้าห้องส่วนตัวที่มีโต๊ะทำงาน ตู้เอกสาร ตู้ล็อกเกอร์และห้องน้ำในตัวเพื่ออาบน้ำแต่งตัว กระทั่งเรียบร้อยจึงออกจากฟิตเนสที่ตนเองเป็นเจ้าของและขับรถไปจอดหน้าร้านสักเช่นที่เคยทำ


มือใหญ่ผลักประตูเข้าไปในร้านสักมองไปยังชายไว้หนวดไว้เคราสวมแว่นตาหน้าตาใจดีกับหญิงสาวผิวเข้มตัดผมสั้นหน้าตาสวยเฉี่ยวละม้ายกับตนเองที่มีรอยสักเต็มตัวนั่งกินข้าวร่วมกับใครคนหนึ่งที่ตัวอ้วนกลมสวมฮู้ดคลุมหัวสีเทาถือตะเกียบหัวเราะร่วน


“เอ้า ยงนัม มาแล้วเหรอ” คำทักทายจากพี่สาวเรียกให้เจ้าของชื่อหลุดยิ้มก่อนจะหุบยิ้มทันทีที่เห็นหน้าของเด็กที่มีส่วนคล้ายเด็กกุหลาบคนรักของน้องชายฝาแฝดหันมาหาพร้อมกับบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ที่มีพ่อ แม่ ลูกครบครันก็ลอยมาให้รู้สึก


...ไอ้เหี้ยเอ๊ย ขนลุก...


คนตัวใหญ่ร้องในใจแล้วเดินไปใกล้คนทั้งสามชะโงกมองกับข้าวที่วางเต็มโต๊ะไปจนถึงจานข้าวของคนอายุน้อยสุดที่ผักทั้งหมดถูกเขี่ยไปกองอยู่ข้างๆเหมือนทุกวัน แต่อคติผสมกับอารมณ์ขุ่นร้อนในใจมาก่อนหน้าทำให้เด็กคนนั้นยิ่งดูขวางหูขวางตาหลุดด่าออกมา


“มึงนี่ใจคอจะแดกแต่กับอย่างเดียวเลยไง พี่กูทำข้าวมาให้กินเหนื่อยแทบตายแทนที่จะแดกให้หมด เสือกเหลือผักไว้ข้างจาน รู้ไหมว่าแดกแบบนี้มันเปลืองขนาดไหน ยังมีคนอีกหลายล้านในโลกกำลังอดยากแต่มึงเสือกเขี่ยผักทิ้ง”


ถ้อยคำที่หยิบโยงทุกอย่างเป็นคำด่าอย่างไร้เหตุผลทำให้พี่สาวและพี่เขยละความสนใจจากอาหารมื้อค่ำมองน้องชายตัวใหญ่ที่กอดอกยืนค้ำหัวอยู่ใกล้ๆ แต่คนที่ถูกด่าแทบทุกวันจนเคยชินไม่พูดอะไรเพียงเคี้ยวเนื้อขาหมูจนแก้มหายตุ่ยอยู่ราวนาทีจึงเงยหน้าไปหา


“พี่เป็นไรเปล่า หัวร้อนอ๋อ เอาฮอลล์คูลไปอมมะ” การตอบโต้ด้วยกระพริบตาถี่ๆใส่พร้อมห่อลูกอมสีน้ำเงินฟ้าที่ถูกยัดใส่มือชวนให้หงุดหงิดจนปากหลุดด่าออกมาอัตโนมัติ


“กวนตีน”


“กวนไรเล่า...นี่ลูกอมจากเมืองไทยเชียวนา อมแล้วเย็นชื่นนนนจายยย” ฝ่ายอ่อนกว่าหลับตายื่นหน้าหมุนเป็นครึ่งวงกลมแล้วคลายมือที่กำทั้งสองข้างออกเป็นเชิงสัญลักษณ์ของความเย็นที่กระจายตัว


“ไอ้เหี้ยนี่..ปีนเกลียวเกินไปล่ะ”


“แกสิที่เกินไป จุนซอเขาอยู่ของเขาดีๆ แกมาถึงก็ใส่ๆ โมโหอะไรใครมาจะมาพาลเอากับเขาได้ไง” เสียงจากพี่สาวคนโตแว้ดแทรกขึ้นมาหมายปกป้องพนักงานในร้านที่ไม่เคยทำอะไรไม่ดีให้น้องชายแต่ต้องกลายเป็นแพะโดนด่าเล่นแทบทุกวัน


“พี่ไม่เห็นเหรอว่ามันกวนตีนผมอยู่” ยงนัมท้วงจ้องหน้าคนเด็กกว่าที่ยกมือประสานกันอยู่ตรงปากและเอียงตัวหลบการชะโงกมาหาเหมือนกลัวเสียเต็มประดาทั้งที่ปากฉีกกว้างแทบจะถึงหูแต่เหมือนไม่มีใครรู้ใครเห็น


ลำพังแค่มันหน้าคล้ายเด็กกุหลาบเมียเด็กปากหมาของน้องชายแถมยังกวนตีนเงียบเหมือนไม่มีทางสู้จนเขาถูกพี่สาวสวดยับแถมบางครั้งยังมีพี่ชารุลงมาช่วยปรามก็ทำเขาอารมณ์เสียมากแล้ว พอต้องอยู่โยงในร้านด้วยกันเขาก็เริ่มจับสังเกตถึงความผิดปกติของเด็กคนนี้ที่มีให้พี่สาวเขา ไม่ว่าจะซื้อของกินบำรุงกำลังมาบ่อยๆ...เวลาพี่เขาจะทำหรือต้องการอะไรจะรีบกุลีกุจออาสา เกือบจะไม่คิดอะไรแล้วเพราะมันก็เป็นเด็กดีแบบนั้นกับพี่ชารุเหมือนกัน แต่พอเห็นสายตาชื่นชมเหมือนเด็กมัธยมที่กำลังมีความรักก็รู้ล่ะว่ามันชอบพี่สาวเขา


...ไม่มีใครบอกมันหรือไงว่าพี่ชารุคบกับพี่สาวเขาและกำลังจะมีลูกฝาแฝดเป็นโซ่ทองคล้องใจ...


...จะบอกมันเอาบุญตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะพี่เขาต้องการคนทำงาน ขืนมันลาออกตายพอดี..


“ยังจะโบ้ยอีก พี่ไม่เห็นจุนซอเขาทำอะไรแกเลย มีแต่แกนี่แหละมาร้านที่ไรก็ด่าเขา...ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ขุดมาหาเรื่องได้ทุกวี่ทุกวัน เป็นอะไรมากไหม”


“อู้หู้ ปกป้องขนาดนี้ ตกลงผมหรือมันที่เป็นน้องพี่กันแน่เนี่ย”


“แกก็หัดทำตัวเป็นผู้ใหญ่กับจุนซอเหมือนเวลาทำงานทำการเจอสาวบ้างสิ ถ้าเขาทำผิดแล้วแกด่าพี่จะไม่ว่าสักคำ แต่นี่อะไรแค่เขาคล้ายจุนฮงเข้าหน่อยล่ะด่าไม่ยั้งเลย” 


“คิดว่าผมอยากด่ามันหรือไง ถ้ามันทำตัวดีๆ ผมจะด่ามันเหรอ...ไม่เอาล่ะ ผมไม่เถียงกับพี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่โมโหเกินไปมันจะไม่ดีกับสุขภาพ” คนเป็นน้องตัดบทยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์จบเรื่องราวแล้วเดินผ่านไปตั้งใจจะไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องพักด้านหลังแต่เสียงจากคนอ่อนกว่าดันเรียกไว้ก่อน 


“ถ้าไม่กินก็คืนมาด้วย”


“คิดว่ากูอยากได้นักหรือไง” เขาหันกลับโยนลูกอมทั้งห่อทิ้งไปบนตักเจ้าของลูกอมและเดินหนีอย่างไว แต่ไม่วายจะได้ยินเสียงเด็กคนเดิมตะโกนไล่หลัง


“แล้วก็ที่สั่งให้วาดลายน่ะ...ทำหมดแล้วนะ อยู่บนโต๊ะในห้องข้างหลัง” 


ยงนัมยักไหล่เหมือนไม่ได้ยินตรงดิ่งไปยังห้องด้านหลังที่แบ่งห้องไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในงานสักส่วนหนึ่ง อีกส่วนจัดวางตู้เย็น โซฟาและโทรทัศน์เครื่องใหญ่สำหรับไว้นั่งพักผ่อน โดยบนโต๊ะที่ตั้งขนมข้างโซฟามีแฟ้มใสวางอยู่ เมื่อหยิบมาเปิดดูด้านในก็เห็นภาพร่างลายเส้นใบหน้าอสูรในหลากหลายรูปแบบตามโจทย์ที่เขาให้ไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนหมายเพียงจะแกล้ง แต่ทุกลายเส้นบนกระดาษทุกแผ่นนั้นอาศัยทั้งฝีมือและความตั้งใจหาใช่การทำส่งๆอย่างที่เขาคาดไว้ในตอนแรก


ชั่วนาทีนั้นความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในใจด้วยในจิตสำนึกลึกๆก็รู้ว่า เด็กคนนั้นไม่ได้เลวร้ายอะไร ทั้งยังขยันขันแข็งแม้จะปากมอมกับเขาไปหน่อยแต่เวลาสั่งให้ทำอะไรถึงจะไม่พอใจก็ทำให้อย่างดี แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเด็กคนนี้การขอโทษหรือพูดจาดีๆด้วยถึงเป็นเรื่องยากเย็นนัก 


ชายหนุ่มหยิบน้ำแร่จากตู้เย็นกระดกดื่มแก้กระหายแล้วหยิบแฟ้มใสบนโต๊ะติดมือเข้าไปในห้องสักสำหรับลูกค้าวีไอพีและเริ่มทำงานทันทีที่เห็นลูกค้าปรากฏตัวหน้าห้อง


...ทั้งที่ต้องใช้สมาธิ หากใจก็คอยแต่คิดถึงเด็กตัวกลมข้างนอกห้องอยู่ดี...
------------------------------------------------------
“เฮ้ย ไอ้อ้วน มาเช็ดพื้นตรงนี้ด้วยโว้ย” เสียงตะโกนสั่งดังจากห้องสักสำหรับบรรดาลูกค้าวีไอพี เรียกให้จุนซอที่นั่งพิมพ์รายชื่อลูกค้าเพื่อเก็บข้อมูลลงในไอแมคอยู่ถอนหายใจหันไปมองทางที่ได้ยินเสียงพร้อมกับฟันที่ขบแน่นอย่างหงุดหงิด...นี่ก็รอบที่สิบแล้วเขาถูกเรียกใช้ให้ไปเติมสีหรือหยิบนั่นหยิบนี่จากหลังร้านทั้งที่มันก็วางทนโท่อยู่บนโต๊ะในห้องนั้นอยู่แล้ว


...เวลาไอ้กล้ามปูมาที่ร้านโดยไม่มีพี่นาเรหรือพี่ชารุคอยปราม เขามีอันต้องโดนจิกใช้จนหัวหมุน...


...บางทีเวลาเขาคุยอยู่กับลูกค้าที่กำลังรอคิวสักอยู่ก็โผล่ออกมาด่าหาว่า อู้งาน...


...ยอมรับนะว่าตัวเองพูดจาไม่ดีแต่ใครใช้ให้มาหาเรื่องทั้งที่เขาไม่ผิดล่ะ...


...ตาแก่โรคจิต...


จุนซอเข่นเคี้ยวในใจกระแทกปากกาในมือที่ใช้ขีดชื่อลูกค้าในกระดาษลงบนโต๊ะแล้วลุกจากเก้าอี้หยิบไม้ถูพื้นที่วางแอบไว้ในซอกหนึ่งของผนังเข้าไปในห้องที่ช่างสักพ่วงศักดิ์ความเป็นน้องชายของผู้หญิงที่เขาแอบชอบยืนเช็กข้อความในมือถืออยู่หน้าโต๊ะวางอุปกรณ์สัก ปล่อยกลิ่นฉุนของนิโคตินผสมกลิ่นมิ้นต์หอมเย็นจากม้วนบุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วเรียวใหญ่ลอยอวลในห้อง



“จะให้ถูตรงไหน” เขาถามออกไปห้วนๆ เรียกให้อีกฝ่ายให้ละสายตาจากจอโทรศัพท์หันมามองด้วยแววตาเฉยชาพลางชี้นิ้วไปยังรอยเปื้อนวงเล็กเท่าปลายนิ้วก้อยบนพื้น


“ไอ้รอยแค่นี้เอาทิชชู่เช็ดก็ได้มะ”


“ทำไมกูต้องเช็ด...กูเป็นช่างสัก  ไม่ใช่คนทำความสะอาด” เสียงแหบต่ำสวนกลับ


“เป็นช่างก็เช็ดได้...น้ำใจอ่ะหัดมีกับเขาเป็นมะ”


“เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ ทำความสะอาดมันงานมึงไม่ใช่ไง”


“ก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจิกใช้ได้ตลอดเวลาแบบนี้สักหน่อย...รอยฝุ่นใหญ่ไม่ถึงเหรียญหนึ่งวอนนี้เอากระดาษปาดนิดเดียวก็ได้ล่ะ ไม่เห็นต้องให้แบกไม้มาถูเลย”


“กูเรียกให้มึงมาเช็ดพื้นไม่ได้บอกให้เอาไม้มาถู”


“งั้นวันหลังก็บอกด้วยว่ารอยเท่าขี้เล็บจะได้ไม่ต้องเอาไม้มา”


“จะให้กูบอกทุกเรื่องเลยไง มีสมองก็หัดใช้บ้าง”


“โอ๊ย พูดมาก รำคาญ” ฝ่ายอ่อนวัยกว่าร้องลั่นเหลือบตามองผู้ชายตัวใหญ่กว่าตาขวางหยิบไม้มาถูรอยฝุ่นบนพื้นย้ำอย่างประชดประชันอยู่พักหนึ่งก็ถือไม้ถูเดินลิ่วๆ ตั้งใจจะออกจากห้องให้เร็วที่สุด 


“อย่าเพิ่งไป”


“อะไรอีกเล่า” 


“ไปซื้อกาแฟให้กูด้วย”


“ซื้อทำไม กาแฟซองหลังร้านก็มีให้ชงมะ เดินไปหยิบถ้วย เทกาแฟใส่ เติมน้ำร้อนก็เสร็จล่ะปะ”


“กูไม่แดกกาแฟซอง...กูแดกแต่กาแฟสด”


“ก็เห็นยังชงอยู่เลย” คนเด็กกว่าบ่นงึมงำเพราะตอนไปเก็บของหลังร้านเคยเห็นอีกฝ่ายชงกาแฟซองดื่ม


“โวะ บ่นห่าอะไรนักเนี่ย กูบอกให้มึงไปซื้อก็แค่ไปซื้อไหมหรือมึงจะไม่ทำตามที่กูสั่ง...ต้องให้กูบอกพี่กูไหมว่า มึงไม่ยอมทำงานตามที่กูมอบหมาย”


“ลองฟ้องดูสิ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่เขาจะด่าใครกันแน่”


“อ้าว จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม ได้ เดี๋ยวรู้กัน” ฝ่ายตรงข้ามว่ายกเหยียดมุมปากเป็นรอยแสยะที่ชวนให้รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างประหลาด กระทั่งเห็นโทรศัพท์มือถือในมือใหญ่ถูกเปลี่ยนจากการไถจอขยับพลิกมาแนบหู


“นาอึนหรือเปล่าครับ...ผมเอง ยงนัมนะ...ครับ ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่ไปแข่งรอบก่อน...คิดถึงคุณเหมือนกัน ไว้ว่างๆค่อยไปดื่มด้วยกันอีกนะครับ เออ ผมมีเรื่องอยากรบกวนคุณหน่อย...พอดีผมเขาไปสักที่ร้านมา แล้วเจอเด็กเฝ้าร้านไม่ทำความสะอาดให้ดีแต่ไม่อยากให้บอกเจ้าของต่อหน้า กลัวเด็กมันตกงานเลยอยากให้คุณโทรไปบอกเขานิดนึงว่า พื้นมันมีรอยฝุ่น สงสัยจะรีบทำความสะอาด...ร้านไหนเหรอครับ ก็...” บทสนทนาที่ในตอนแรกคนไม่ทันคิดยังไม่รู้สึกอะไรแต่พอผ่านไปหลายประโยคเข้าเริ่มเข้าใจก็เบิกตาถลาไปคว้าข้อมือใหญ่สีน้ำผึ้งตัดกับผิวของตนอย่างไว


...ตาแก่นี่ เล่นอย่างนี้เลยเหรอ...


“มีไร” ผู้มากวัยกว่าลดโทรศัพท์ยักคิ้วมองหน้าเนียนละมุนที่บูดเป็นตูดสลับกับนิ้วขาวที่กำข้อมือเขาไม่รอบ


“เอาเงินมา”


“ว่าไงนะ”


“เอาเงินมาสิ จะได้ไปซื้อกาแฟ”


“เอ้า อยู่ๆจะไปซื้อให้ล่ะ เด็กโลเลนะมึงเนี่ย”


จุนซอจ้องคู่สนทนาตาเขียวนึกอยากตะโกนใส่ดังๆและตั้นหน้าใส่สักหมัดสองหมัด แต่ความจริงก็ทำได้เพียงกำหมัดเม้มปากอย่างอดกลั้น


“รู้จักร้านกาแฟที่ชื่อ Vi ses หรือเปล่า...แต่หน้าโง่ๆอย่างมึงไม่น่ารู้หรอก ร้านนั้นจะอยู่ติดกับโรงพยาบาล มึงไปซื้ออเมริกาโน่เย็นให้กูแก้วหนึ่ง” ผู้เป็นฝ่ายใช้ไปซื้อของถามเองตอบเองสั่งเองแล้วยื่นธนบัตรหมื่นวอนกับห้าพันวอนอย่างละใบส่งให้


“เออ” 


“แล้วเอาใบเสร็จมาให้กูด้วย...เรื่องเงินทอนกูไม่ให้มึงเม้มนะเว้ย ถ้าซื้อน้ำแดกกูถึงให้”


“รู้ล่ะ ออกมาดูลูกค้าด้วยล่ะกัน” คนเด็กกว่ากระแทกเสียงดึงธนบัตรทั้งสองใบออกจากมือใหญ่ถือไม้ถูพื้นเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางฮึดฮัด แปลกที่คนออกคำสั่งกลับยิ้มไล่หลังอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนเองที่ไม่มีการโทรออกไปไหนเลยแต่แรกมากดต่อสายหาใครสักคน


“นี่พี่เองนะยองแจ...จะปิดร้านแล้วใช่ไหม มึงอย่าเพิ่งปิดนะเว้ย พี่ให้เด็กไปซื้อกาแฟอยู่ อเมริกาโน่เย็นนะ ล่ะถ้ามันสั่งอะไรก็ทำให้มันด้วย ฮะ เออ โทษทีพี่ไม่ได้ตั้งใจเรียกมึงกับมึงหรอก มันเคยปาก มึงอย่าถือสาเลย แล้วก็อย่าบอกมันล่ะว่าพี่โทรมาบอกให้มึงปิดร้านช้าหน่อย ขอบใจ แค่นี้”


ยงนัมกดวางสายเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกไปนั่งประจำหลังเคาน์เตอร์คิดเงินเพื่อเฝ้าร้านแทนคนที่เดินกระแทกเท้าย่ำไปตามทางเดินอย่างหงุดหงิดกระทั่งถึงร้านกาแฟข้างโรงพยาบาลซึ่งเขาเคยมานั่งทำงานอยู่เป็นเดือนๆเพื่อรอจะได้เห็นหน้าของสาวในฝันแต่ไม่เคยเจอเลยสักวันจึงเลิกล้ม 


แสงไฟสลัวในร้านทั้งที่ปกติช่วงเย็นจะเปิดไฟสว่างทำให้คนเคยมานั่งจนร้านปิดอยู่นับเดือนหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อมาดูเวลาที่เกือบสองทุ่มอันเป็นเวลาปิดร้านอยู่รอมร่อจึงลังเลยืนหน้าร้านอยู่สองสามนาทีก็ตัดสินใจผลักประตูตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวจัดสวมเสื้อยืดสีเทาทับด้วยผ้ากันเปื้อนยืนอยู่


“ร้านปิดแล้วใช่ไหมครับ”


“ใกล้แล้วครับ จะรับกาแฟหรือเครื่องดื่มอะไรหรือเปล่าครับ”


“ขออเมริกาโน่เย็นครับ”


“อเมริกาโน่เย็นหนึ่ง หกพันห้าร้อยวอนนะครับ จะรับอะไรเพิ่มไหมครับ”


“ไม่ครับ” ลูกค้าหนุ่มปฏิเสธเพราะไม่อยากใช้เงินทอนมาซื้อเครื่องดื่มให้คนบ้าอำนาจใช้ด่าสนุกปาก


“ตอนนี้เรามีเมนูใหม่ช็อกโกแลตมอลต์คาราเมลปั่นที่มีเฉพาะเดือนนี้ด้วย ลองสักแก้วไหมครับ” เจ้าของร้านเสนอผายมือไปยังรูปเครื่องดื่มสีน้ำตาลสวยปั่นละเอียดเติมช็อกโกซีเรียลลูกกลมราดวิปปิ้งครีมและซอสคาราเมลสีเหลืองทองโรยหน้าด้วยอัลมอนด์ดูน่ากินจนลืมความอิ่มข้าวอร่อยๆเมื่อทุ่มครึ่งไปสนิท


“เท่าไหร่เหรอครับ”


“เก้าพันวอนห้าร้อยวอนครับ”


เมื่อได้ยินราคาชั่วนาทีนั้นความคิดแตกแยกเป็นสองทางระหว่างใช้เงินทอนซื้อให้เจ้าของเงินใช้เป็นประเด็นด่าเล่นในภายภาคหน้า หรือข่มใจไม่กินเก็บเงินไปทอนเต็มจำนวน แต่พอคิดถึงสีหน้าเฉยชาตอนโทรศัพท์ไปให้สาวตัวเองโทรมาแกล้งตำหนิความสะอาดร้านฝ่ายมารในใจเลยดลให้เอ่ยปากสั่ง


“ผมเอาแก้วหนึ่ง”


“ทั้งหมดหนึ่งหมื่นสี่พันวอนครับ”


“รบกวนขอเงินทอนเป็นเหรียญทั้งหมดเลยได้ไหมครับ พวกเหรียญหนึ่งวอน สิบวอนอะไรอย่างนี้น่ะครับ” เขาขอหลังให้ธนบัตรที่ติดตัวชำระค่าเครื่องดื่มไป


“รับเป็นเหรียญห้าสิบวอนกับร้อยวอนผสมกันได้ไหมครับ”


“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ฝ่ายลูกค้ายิ้มกว้างมองเจ้าของร้านที่อยู่ๆก็หลุดขำพรืดออกมาอย่างไม่มีสาเหตุก่อนจะยื่นเงินทอนพร้อมใบเสร็จไปประจำการหน้าส่วนชงเครื่องดื่มและกลับมายื่นเครื่องดื่มทั้งสองแก้วแยกถุงใส่ส่งให้


จุนซอกำเงินทอนไว้ในมือข้างหนึ่งแน่นเหมือนเด็กถูกแม่ใช้มาซื้อของกลัวเงินทอนหาย ส่วนมืออีกข้างถือเครื่องดื่มของตัวเองที่ใช้เงินคนอื่นซื้อดูดน้ำผ่านหลอดอย่างอร่อยและเกี่ยวถุงใส่อเมริกาโน่ไว้ตรงนิ้วก้อย เดินเออระเหยอยู่พักหนึ่งอย่างสบายอารมณ์จึงกลับเข้าร้าน


เสียงกระดิ่งตรงประตูส่งสัญญาณให้ยงนัมที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์รายชื่อลูกค้าที่ยังไม่ถูกขีดฆ่าในกระดาษบนโต๊ะที่เด็กในร้านทำค้างไว้ลงในไอแมคผงกหัวขึ้นมองก็เห็นเจ้าตัวกลมสวมฮู้ดสีดำคลุมหัวดูดน้ำแก้วใหญ่ในมือตรงเข้ามาตรงเข้ามาวางเครื่องดื่มตามสั่งพร้อมกับคลายมือปล่อยใบเสร็จและเหรียญจำนวนหนึ่งลงมาด้วย


“ไอ้เวร” เขาร้องตะครุบเหรียญห้าสิบวอนที่กลิ้งเกือบตกขอบโต๊ะ


“ฮุ้ยๆ ระวังเงินทอนตกน้า” การเตือนอย่างเยาะหยันออกหน้าออกตาทำให้ถูกสบถใส่เสียงลั่น


“เงินทอนเหี้ยไรมีแต่เหรียญ”


“ก็เงินทอนจากร้านกาแฟไง วุ้ย ให้ไปซื้อเองๆ แท้ดั๊นจำไม่ได้ว่าเงินทอนจากไหน แต่คนแก่อะเนาะก็เลอะเลือนง่ายงี้แหละ” คนอ่อนวัยกว่าลอยหน้าลอยตาใส่อย่างกวนประสาทแล้วเลิกคิ้วในทันทีที่เห็นลูกอมเม็ดสีขาวแว่บๆในปากของฝ่ายตรงข้ามจึงชิงถามขึ้น “อ๊ะๆ นั่นอมฮอลล์คูลอยู่ใช่มะ ไหนว่าไม่เอาไง แล้วอมไมอ่ะ”


ฝ่ายที่ง้างปากเตรียมคำด่ายาวยิ่งกว่าสะพานอินชอนชะงักและลูกอมหอมเย็นจากเมนโทลิปตัสตกจากลิ้นลงมาติดกระพุ้งแก้ม


“ใครใช้ให้มึงใส่ในโหลลูกอมให้ลูกค้าวะ...ถ้ากูรู้ว่าลูกอมเหี้ยนี้ของมึงก็ไม่เอาหรอก” 


“ก็น่าจะเห็นอยู่แล้วปะว่าห่อมันสีฟ้าไม่ใช่สีม่วงเหมือนทุกที”


“กูจะไปรู้ได้ไง หน้าที่กูไม่ใช่ซื้อของเข้าร้าน”


“โอ๊ย ไอ้นั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่งานตัวเอง ไหนพี่ชารุบอกว่าเป็นหุ้นส่วนร้านด้วยไม่ใช่ไง ใจคอจะไม่ช่วยบริหาร ดูแลอะไรซ้ากอย่างเลยเหรอ กะจะสักป้อสาวอย่างเดียวเลยว่างั้น”


“เอ้า ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูโบกซะดีไหม” คนตัวใหญ่ลุกพรวดจากเก้าอี้เงื้อมือขึ้นสูงคล้ายจะฟาดเข้าจริง ฝ่ายอ่อนกว่าเห็นเข้าเลยกระโดดหลบวิ่งหนีไปอีกทาง


“โถ ไอ้เราก็นึกว่าอมลูกอมเย็นๆแล้วจะใจเย็น นี่อะไรจะตบหัวกันล่ะ คนแก่ชอบใช้กำลังจริงๆ ถ้า ไม่ชอบลูกอมจากเมืองไทยขนาดนั้นก็ถุยทิ้งไปดิ”


“เอามือมึงมารองสิกูจะถุยคืนให้”


“ถังขยะก็อยู่ตรงนั้นมะ ทำไมต้องใช้มือนี่ด้วย หรือจริงๆ ลูกอมมันอร่อยชื่นใจดีก็เลยไม่คายทิ้ง แหมะ คนแก่นี่ก็นะ หัดปากตรงกับใจบ้างสิ”  


“โวะ ไอ้ห่านี่ ต้องโดนให้ได้ใช่ไหมถึงจะเงียบ” 


“อะไรเล่า จี้ใจดำแค่นี้รับไม่ได้เลยเหรอ” คนอ่อนกว่าตะโกนบอกจ้องหน้าคมของอีกฝ่ายที่สูดลมหายใจอย่างอดกลั้นก็นึกขำจนเผลอหัวเราะร่วนออกมา แต่พอเห็นทางนั้นก้าวข้ามถังขยะข้างเก้าอี้ดุ่มมาหาจึงขยับเท้าถอยหนีไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หลังชนกรอบรูปวาดรอยสักเข้าพอดี


จุนซอกลืนน้ำลายลงคอทันทีที่เหลียวจากกรอบรูปเงยมาเห็นน้องชายของสาวในฝันหน้าตาถมึงทึง ยิ่งตากลมประสานกับตาคมกริบที่ไร้แววอารมณ์นั้นเย็นเยือกน่ากลัวเสียจนต้องหลับตาก้มหน้าเตรียมใจจะโดนตบ ทว่าสิ่งที่ได้กลับกลายเป็นแก้มถูกนิ้วแข็งดึงเล่นไปมาเบาๆ


“เกลียดเด็กอย่างมึงจริงๆ” เสียงเข้มต่ำมีแววเอ็นดูเอ่ยคำทั้งที่สีหน้าราบเรียบยากจะอ่าน เจ้าของแก้มกระพริบตาปริบจ้องกันไปมาอยู่พักหนึ่ง กระดิ่งตรงประตูที่ดังขึ้นก็เรียกให้ทั้งคู่กลับไปให้ความสนใจกับลูกค้าที่ไม่ได้นัดคิวเดินเข้าร้าน


หลังขอข้อมูลลูกค้าใหม่และชี้ทางไปยังห้องสักเรียบร้อย คนตัวกลมเพราะเสื้อผ้าถึงสังเกตว่า เอกสารที่มีรายชื่อลูกค้าที่เหลืออยู่ถูกขีดฆ่าจนหมดและเมื่อเลื่อนเม้าท์กดดูโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าขึ้นมาก็เห็นว่าข้อมูลทั้งหมดถูกกรอกจนหมดแล้วเช่นกัน


...ไหนว่าไม่ทำอะไรนอกเหนือจากงานตัวเองไง...


คนเด็กกว่าอมลมไว้ในปากอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บรายชื่อใส่ลงในแฟ้มเอกสารที่อยู่ใต้โต๊ะแล้วจัดการนัดหมายของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาทั้งโทรศัพท์และทุกช่องทางออนไลน์ พอใกล้เวลาปิดร้านส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านเรียบร้อยก็เริ่มทำความสะอาด แปลกที่หุ้นส่วนของร้านไม่ยอมออกมาเลยกระทั่งได้เวลาล็อกร้านจึงเดินออกมา


เพราะความเงียบที่ก่อตัวทำให้จุนซอรู้สึกแปลก ยินเสียงล็อกของลูกบิดประตูเป็นอันปิดร้านเรียบร้อยแต่เจ้าตัวกลับไม่ขยับไปไหนยังคงรออยู่ตรงนั้นให้อีกฝ่ายหันกลับมาถึงยื่นห่อทุเรียนทอดของฝากจากเมืองไทยที่เพื่อนหอบซื้อมาฝากหลายถุงแบ่งให้


“ไร” คนตัวใหญ่เลิกคิ้วถามห้วนๆ


“ทุเรียนทอดจากเมืองไทย”


“แล้วไง”


“ให้”


“เพื่อ”


“ก็เมื่อกี้ช่วยลงข้อมูลลูกค้าให้ไม่ใช่ไง...ทุเรียนทอดพวกนี้ซื้อมาจากไทยเชียวนะ ตะกี้ลองกินแล้วอร่อยนะ”


“คิดว่ากูทำเพราะช่วยมึงหรือไง สำคัญตัวเกินล่ะไอ้อ้วน”  อีกฝ่ายตอบเหลือบตายังห่อพลาสติกภายในบรรจุของกินหน้าตาคล้ายข้าวเกรียบสีเหลืองสวยครู่หนึ่งข้อมือใหญ่กลับถูกมือเย็นยื่นมาจับพร้อมยัดหูหิ้วของถุงที่ใส่ขนมให้หน้าตาเฉย


“ไอ้...” ปากเกือบจะหลุดด่าแต่ถูกพูดแทรกเสียก่อน


“ช่วยไม่ช่วยก็ช่างเหอะ รับๆไปมันจะเป็นไรเล่า...คนแก่คนนี้นิ” พอส่งของที่ต้องการให้ถึงมือร่างกลมก็วิ่งพรวดขึ้นบันไดไปสู่พื้นทางเดินระดับปกติ แต่ก่อนจะลับสายตาไปก็หันกลับมาหาเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ “ไปล่ะนะ”


จุนซอกล่าวลาพลางโบกมือเหมือนที่ทำเช่นทุกครั้งเวลาปิดร้าน แม้จะไม่กินเส้นกันแต่ความเคยชินจึงลืมตัวปฏิบัติอย่างที่ทำให้พี่คนอื่นในร้าน หลังจากวิ่งพ้นจากร้านมาระยะหนึ่งก็ปรับฝีเท้ากลับมาเดินเรื่อยเปื่อยมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางอันเป็นห้องพักในอพาร์ทเม้นต์หรูของเพื่อนสนิท


หลังส่งข้อความถามว่ามีใครอยู่ในห้องบ้างในห้องแชทกลุ่มของเพื่อนสนิทสมัยเด็กที่ได้รับการอ่านแต่ไม่มีคำตอบ นอกจากจงฮวานที่ส่งสติ๊กเกอร์บอกว่ายังอยู่ข้างนอกกับแจจุน อีกเดี๋ยวจะกลับ ทำให้เขาตีความเอาเองว่า คงไม่มีใครอยู่บ้านเลยแตะคีย์การ์ดไขกุญแจเข้าไปภายในห้องที่เปิดไฟสว่าง


คนตัวอ้วนเพราะเสื้อผ้าถึงจะเคยมานั่งทำรายงานและดื่มสังสรรค์กับบรรดาเจ้าของห้องมาก่อนรู้สึกแปลกกับการที่เห็นไฟเปิดสว่าง หากก็คิดในแง่ดีว่าคงไม่มีอะไรเลยเดินต่อมาถึงกำแพงใกล้ห้องนั่งเล่นกลับมีเสียงประหลาดลอยออกมาเลยเกาะขอบประตูโผล่ไปดู


ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือหญิงสาวสวมเสื้อยืดตัวโคร่งคร่อมอยู่เหนือท่อนล่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีดำที่กำลังบีบเคล้นสะโพกของสาวเจ้าอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงครางระงมอย่างสุขสมของทั้งคู่ดังลั่นบนโซฟารูปตัวแอลที่หันเข้าทางประตูพอดี


เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเจอหนังสดต่อหน้าต่อตา คนไม่มีประสบการณ์อย่างดีก็เคยแค่จูบกับดูตามเว็บโป๊กับเพื่อนอีกเป็นฝูงตกใจเกือบร้องออกมาดีที่ยังยกมืออุดปากทันและฝ่ายนั้นยังยุ่งอยู่กับภารกิจทางเพศจึงไม่สังเกตเห็นร่างของบางคนที่กำลังย่องไปให้พ้นจากบริเวณนั้นก่อนจะใส่เกียร์ผีเต็มเท้าวิ่งออกไปอย่างไว


สุดท้ายความตั้งใจที่จะอาศัยห้องเพื่อนเพื่อพักให้เต็มตากลับกลายเป็นต้องโซเซกลับมานั่งตรงป้ายรถประจำทางที่มีเพียงเขานั่งรอรถสายประจำที่จะมาถึงในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า 


ระบบร่างกายคงไม่รวนเท่านี้ ถ้าได้นอนยาวถึงบ่ายชดเชย แต่สองสามอาทิตย์มานี้อาจารย์เอาแต่เรียกเขามาคุยเรื่องแก้เล่มทุกเช้า งานฟรีแลนซ์ที่รับมาต้องเร่งส่งให้ทันภายในอาทิตย์นี้ พอต้องอยู่โยงยาวทำงานในร้านพี่นาเรถึงดึกทุกวันเลยเหนื่อยหนักกว่าทุกที


อุตส่าห์เหนื่อยขนาดนี้ก็น่าจะมีเทวดาดลใจให้สาวในฝันของเขารับรู้และมองเขาในฐานะอื่นมากกว่าน้องชายอย่างที่ได้รับเช่นทุกวันนี้ 


ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับพี่นาเรและพี่ชารุเขาถึงรู้สึกเหมือนตัวเป็นเด็กเล็กๆในความดูแลของพวกพี่เขาตลอดเวลา ความใจดี สอนสั่งอะไรอย่างคนที่เข้าใจโลกนั่นเขาชอบมากๆ ทว่าบรรยากาศแบบผู้ใหญ่ที่มีความอ่อนโยนอยู่ด้วยของทั้งคู่เป็นอะไรที่ทำให้เขาอึดอัดอยู่เล็กๆ 


...อันที่จริงเวลาที่กล้ามปูมาร้าน ถึงจะโดนด่าหรือเรียกใช้จนหัวหมุนก็รู้สึกโล่งใจกว่าเป็นไหนๆ...

...บางทีถ้าอีกฝ่ายไม่อคติกับหน้าตาที่ดันไปคล้ายคนรักของน้องชายฝาแฝดหมอนั่นล่ะก็ มันคงจะดีกว่านี้เยอะ...


ชายหนุ่มพลิกแก้วน้ำที่ถือติดมือเพราะลืมทิ้งลงถังขยะขึ้นมาพลิกดูแล้วเอนหลังพิงกับป้ายบอกสายรถประจำทาง ความเพลียทำให้เผลอหลับไปเสียดื้อๆ 


ในหลายนาทีที่ร่างกลมผล็อยหลับตรงป้ายรถประจำทาง รถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งได้แล่นมาจอดหน้าปากซอยที่อยู่ตรงข้ามพร้อมกับชายหนุ่มตัวใหญ่แน่นด้วยมัดกล้ามจะเปิดประตูลงมาจุดบุหรี่สูบเพื่อดับอารมณ์ขุ่นมัวในใจอันเกิดจากแฟนสาวเอาแต่ใจไม่ยอมเลิกทั้งที่เขาขับรถไปหาถึงบ้าน


ยงนัมพ่นควันสีเทาผ่านริมฝีปากอยู่สักครู่ก็ปักมันลงไปในทรายบนถังขยะจึงกลับขึ้นรถ จังหวะที่เงยหน้าจากการคาดเข็มขัดตาคมเหลือบเห็นใครคนหนึ่งหลับอยู่ตรงป้ายรถประจำทางที่ไม่มีคนอื่นเลย อีกทั้งรอบข้างก็มืดเพราะล้อมด้วยสวนสาธารณะเนื่องจากเป็นย่านพักอาศัย เมื่อเขม่นจ้องอย่างตั้งใจถึงเห็นว่า ใครคนนั้นคือลูกจ้างปากในร้านตัวเอง


“ไอ้อ้วน...โง่หรือง่าวถึงกล้าหลับตรงที่เปลี่ยวๆอย่างนั้นคนเดียววะ” เขาหลุดปากด่าดับเครื่องที่สตาร์ทไว้พร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวลงจากรถข้ามถนนเพื่อไปดูอย่างร้อนใจ เพียงเห็นหน้านวลอันคุ้นเคยกอดกระเป๋าตัวสั่นเหมือนหนาวทั้งที่หลับสนิทก็ถอนใจเหลือบตาไปยังป้ายอัตโนมัติแจ้งสายรถประจำทางที่กำลังจะเทียบจอดซึ่งมีเพียงสายเดียวใกล้จะมาถึงในอีกสิบนาที


ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจหรือช่วยเหลือคนที่ไม่ชอบหน้าซึ่งมันก็เป็นปกติวิสัยของเขาอยู่แล้ว แปลกที่เด็กคนนี้กลับทำให้เขาร้อนลนทนเฉยไม่ได้อยู่เรื่อย ไม่ว่ามันจะเรื่องดีหรือไม่ดีก็ตาม


ในส่วนลึกก็นึกอยากจะขับรถไปส่งให้ถึงบ้าน หากสมองกลับคิดสวนทางว่าเด็กคนนั้นไม่สลักสำคัญอะไรขนาดต้องเปลืองน้ำมันไปส่ง ความปากหนักไม่ยอมรับสิ่งที่ใจสั่งเลยกลายเป็นตนเองต้องวิ่งข้ามถนนกลับไปเปิดท้ายรถหยิบเอาเสื้อคลุมตัวยาวของผู้หญิงที่เขาเคยวันไนท์สแตนด์ด้วยตอนยังไม่คบกับแฟนคนล่าสุดซึ่งทำตกไว้และเขาซักพับเก็บท้ายรถเผื่อวันหนึ่งเจอกันอีกจะคืนให้ จากนั้นจึงข้ามถนนไปใหม่และพาดเสื้อคลุมตัวให้เพื่อกันหนาวถึงกลับมาสตาร์ทเครื่องนั่งรอในรถอยู่อึดใจกระทั่งเห็นรถประจำทางสายสุดท้ายขับเข้ามาอยู่ไม่ไกลจึงตบแตรใส่


...ช่วยสงเคราะห์มึงเอาบุญเท่านี้ล่ะกัน...


เสียงดังสนั่นของแตรรถปลุกให้ผู้กำลังหลับสะดุ้งตื่นลืมตา มือเย็นยกขึ้นตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติกวาดตามองไปโดยรอบก็เห็นรถประจำทางสายที่รออยู่แล่นมาจอดพอดีจึงลุกขึ้นพร้อมกับบางสิ่งที่เลื่อนตกจากไหล่ สัญชาตญาณทำให้มือตะครุบไว้ในมือแต่ไม่ทันจะได้มองเพราะรีบร้อนจะขึ้นรถ 


จุนซอเอนหัวพิงกับกระจกรถประจำทางอย่างอ่อนล้า ทอดสายตาออกไปด้านนอกมองร้านสะดวกซื้อไปถึงรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าปากซอยมาจดจ่อกับตัวเลขและตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถที่คับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นบ่อยๆแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน


ช่วงเวลาแห่งการใช้ความคิดจบลงเพราะเสียงสนทนาที่ดังขึ้นตรงประตูเรียกให้หันกลับมาในรถจึงได้กลุ่มหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ไม่รู้โผล่จากไหนกรูกันขึ้นมาบนรถ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างถือติดมือจึงก้มไปดูก็เห็นเสื้อคลุมตัวยาวสีดำอยู่


...มาจากไหนอ่ะ...


เขาขมวดคิ้วถามตัวเองด้วยความสงสัยพร้อมกับรถประจำทางที่ปิดประตูเคลื่อนตัวออกจากป้ายไปตามท้องถนน ระหว่างที่มีเวลาอยู่กับตัวเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากลับสั่นถี่ๆจึงล้วงออกมาดูก็เห็นจงฮวานโทรมาหา


“มึงอยู่ไหนเนี่ย”


“อยู่บนรถ กำลังจะกลับบ้าน”


“ไหนบอกจะมานอนห้องกูไง ทำไมถึงกลับบ้านเฉยเลยวะ นี่กูอุตส่าห์โทรหาแม่มึงแล้วด้วย”


“กูแค่อยากนอนบ้านมากกว่า เนี่ยจะลงรถล่ะ แค่นี้ก่อนนะ มีอะไรส่งข้อความมา เดี๋ยวถึงบ้านถ้ากูไม่สลบซะก่อนจะมาคุยด้วย” เขาแกล้งปดตัดบทวางสายเพราะรู้ว่า พูดอะไรมากตอนนี้ก็มีแต่จะโดนซักไม่หยุดเหมือนเคย


มือขาวไถจอ ออกจากการโทร ดึงหูฟังในกระเป๋ากางเกงมาเสียบเพื่อฟังเพลงจากในเครื่องและกดเข้าแอพพลิเคชั่นในโซเชียลที่เขาใช้งานเป็นประจำ พอเบื่อก็ย้ายมาเปิดดูรูปที่ถ่ายภาพวาดลายเส้นของใบหน้าอสูรต่างที่เขาถ่ายเก็บไว้หลังวาดเสร็จ เลื่อนไปเลื่อนมากล่องข้อความในคาทกเด้งขึ้นมานิ้วเลยกดโดนพอดี


ในกรุ๊ปแชทที่มีเขา พี่นาเรและพี่ชารุอยู่ด้วยกันนั้นมีข้อความค้างๆที่เขาไม่ได้อ่านตั้งแต่หัวค่ำเลยไล่ขึ้นไปด้านบนเพื่อจะอ่านก่อนถึงได้เห็นข้อความถามราคาค่าซ่อมไฟท้ายตามด้วยรูปรถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งถูกส่งผิดมา


ตอนแรกชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรเกือบจะไถนิ้วเลื่อนข้อความด้านล่างเพื่ออ่านต่อแต่รายละเอียดบนป้ายทะเบียนรถเตือนให้นึกถึงตัวเลขบนป้ายทะเบียนรถแบบเดียวกันจึงไถกลับขึ้นไปยังบทสนทนาด้านบนก็เห็นชื่อเจ้าของรถอยู่ในข้อความที่ก็อปวางถามผิดห้อง


...รถยงนัมคะ พอดีไฟท้ายมันเหมือนไฟมันไม่ค่อยสว่างเลยอยากถามราคาก่อน...


ตากลมละจากหน้าจอโทรศัพท์ไปยังเสื้อคลุมสีดำบนตักอยู่ครึ่งนาทีอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็นพักใหญ่ก็เอนหัวกลับไปพิงกระจกรถประจำทาง แลออกไปยังท้องถนนโล่งๆตอนตีหนึ่งก็หลุดขำออกมา


...ปากด่าประจำ แต่ดูทำเข้าสิ...


“คนแก่อะไร เข้าใจยากจัง” 


จุนซอบ่นพึมพำกับตัวเองพลางแย้มริมฝีปากที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่า การคิดการคิดถึงผู้ชายกล้ามปูที่ตนเองไม่ชอบขี้หน้ากำลังทำให้ยิ้มกว้างได้มากกว่าได้บัตรฟรีกินหมูกะทะร้านโปรดหนึ่งปีเสียอีก


------แวะคุยกันก่อน----
ช่วงนี้ชีวิตดราม่ามากเลยค่ะ แต่อยากเขียนคลายเครียดเลยลงไว้ให้อ่านสองคนอ่านกับเราด้วย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคเรือผีมากๆลำนี้
อ่านแล้วรบกวนคอมเม้นในนี้หรือเม้นติดแท็ก #ficlovetoxical ใน ทวิตหน่อยเด้อ


You Might Also Like

3 Comments

  1. หนูลืมหน้่เพื่อนอ้วนไปแล้วววว จุนฮวานนี่ใช่โจทารึเปล่าคะ จำชื่อโจทาได้แต่จำชื่อจริงไม่ได้ 55555 แล้วคือแบบหวงอ่ะ หวงเค้าที่เค้านั่งตักเพื่อนคนอื่น ข่มอารมณ์ให้ตายไปเลยยยย ไม่ยอมบอกอ้วนอีกว่าพี่นาเรกับพี่ซารุเป็นแฟนกันทั้งจงฮวานทั้งอิพี่เลย ถ้าอ้วนรู้อ้วนก็เสียใจมั้ยละ เพื่อนใจร้ายยย อิพี่ใจร้ายยย ปากร้าย ปากหมานที่สุดเลย ว่าอ้วนแต่ละอย่าง แต่ก็ใจดีกับเค้าตลอด ไอ้คนซึน ไอ้คนไม่ได้เรื่อง รักกันแล้วยังเป็นงี้มั้ยอิพี่ อย่ามาทำซึนนะ จะด่าไปกับอ้วนเลย

    ตอบลบ
  2. พี่นัมแม่งงงงง 555555555 โอ้ย ซึนไปอี๊กกกกกก อ้วนน่ารักกกอยากหยิกแก้มด้วยเลยยยนว

    ตอบลบ
  3. เป็นคนแก่ที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ด้วย ชอบเวลาที่เถียงกัน เพลินดี จุนซอน่ารักมาก ดูดุ๊กดิ๊กน่ารัก

    ตอบลบ