LOVE TOXICAL : HOLIN CHAPTER 3

10:53


กล่องช็อกโกแลตอัลมอนด์บนชั้นวางที่เรียงรายแน่นขนัดด้วยขนมอีกหลากหลายประเภทภายในร้านขายของชำถูกหยิบขึ้นโดยชายหนุ่มตัวใหญ่หนาสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กแก็ตสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำซึ่งใช้เวลากับการพลิกดูส่วนประกอบหลังกล่องหลายนาทีก็วางมันกลับไปและแทนที่ด้วยช็อกโกแลตห่อใหม่


หน้าคมมีไรหนวดเป็นแนวเขียวบางๆเหนือริมฝีปากและนัยน์ตาสีเข้มดุดันจดจ้องอยู่กับการสะกดผสมตัวอักษรภาษาจีนบนซองเพื่อรื้อฟื้นทักษะการอ่านภาษาจีนที่ไม่ใคร่ได้ใช้เท่ากับการพูดและความเคร่งเครียดนั้นแผ่ขยายสู่ลูกจ้างที่ยืนมองลูกค้าซึ่งในมือข้างหนึ่งถือถุงใส่ของอัดเต็มถึงสองถุงใหญ่อย่างหวาดๆห่างออกไปไม่กี่สิบเซนติเมตร


ดงโฮหรี่ตาครุ่นคิดถึงปริมาณส่วนผสมต่างๆของช็อกโกแลตที่ซื้อมาจากตลาดอีกแห่งเมื่อวันก่อนเพื่อหาความใกล้เคียงกับช็อกโกแลตยี่ห้ออื่นที่ภายในร้านพอจะมี


เพียงต้องการความสงบชั่วครั้งชั่วคราวทำให้เขาต้องถ่อออกจากแหล่งกบดานของตนเองแทบทุกวันเพื่อหาซื้อของกินไร้สาระที่เขาไม่เคยคิดจะหยิบอีกเลยนับแต่เสียภรรยาไป


การซุ่มซ่อนตัวในสักแห่งหนเพื่อทำงานเป็นเรื่องปกติของชีวิตเขาไปแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งก่อนหลบเร้นจากผู้คนเขาจะคำนวณสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพให้พอเพียงกับจำนวนวันที่ต้องใช้ชีวิตเพื่อให้ไม่ต้องเสียเวลาออกมาเพื่อพบกับความยุ่งยากอื่นๆ หากบุคคลผู้เป็นเป้าหมายของงานซึ่งอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาหนึ่งอาทิตย์และห้าทุ่มตรงวันนี้จะได้เวลาส่งตัวเป็นสาเหตุให้เขาจำต้องออกมา


ในประวัติจากผู้ว่าจ้างระบุว่าเด็กคนนี้ไม่มีเพื่อนหรือญาติพี่น้องและเกลียดการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเข้าไส้ แต่แทนที่จะได้รับความเฉยชาตามประสาคนเกลียดสังคม เด็กนั่นกลับชอบถามเซ้าซี้เสียทุกเรื่อง บ่อยครั้งที่เขาเงียบด้วยคร้านจะตอบหวังว่าจะหยุดแต่อีกฝ่ายยังคงพูดไปเรื่อยจนถูกดุเสียทีถึงเงียบสักสองสามนาที


สุดท้ายช็อกโกแลตกล่องสีเหลืองก็ถูกหยิบไปยังช่องชำระเงิน ก่อนที่คนตัวใหญ่จะยัดมันใส่ในถุงอาหารที่ซื้อมาก่อนหน้าเดินออกจากร้านกลับมายังทางเดินในตลาดเช้าที่คลาคล่ำด้วยร้านค้าเก่าแก่และผู้สูงวัยกระทั่งไปหยุดอยู่ที่แผงขายภาพยนตร์และซีดีเก่าถูกเลหลังอยู่ไม่กี่นาทีก็ได้อนิเมชั่นดังจากญี่ปุ่นอันมีฉากหลักคล้ายโรงน้ำชาในจิ่วเฟินติดตัวมา


ชายหนุ่มก้าวเท้าพ้นจากตลาดเช้าอันวุ่นวายเพื่อเดินเท้าออกกำลังกลับสู่ห้องพักที่อยู่ห่างออกไปเป็นสิบกิโลโดยเลือกใช้เส้นทางคนเยอะเพื่อเลี่ยงความเหนื่อยหน่ายจากการต้องออกแรงจัดการอริกระจอกบางคนที่หวังแก้แค้นด้วยการติดตามหมายทำร้าย แม้ว่าเขาจะวนเวียนในโลกของการทำลายล้างฆ่าฟันแต่หลายครั้งที่เขาเบื่อหน่ายเกินกว่าจะรับฝีมือกับคนที่ต่างชั้นกัน


สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากเขียวเป็นแดงหยุดรถยนต์ที่เคลื่อนตัวให้จอดหลังทางม้าลายพร้อมกับสัญญาณการข้ามที่สลับเป็นสีเขียว ชายหนุ่มก้าวเท้าตามหลังนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ผ่านร้านรวงริมทางเท้าท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวก่อนที่บางสิ่งหลังกระจกร้านค้าจะเรียกความสนใจให้หยุดมอง


หน้าร้านขายของเล่นจัดพรอบเป็นห้องนั่งเล่นย้อนยุคมีตุ๊กตาสัตว์น่ารักน้อยใหญ่วางประกอบ ชั่วนาทีนั้นความทรงจำพาลให้รู้สึกไปเองถึงวงแขนของคู่ชีวิตที่เคยคล้องกอดชี้ชวนให้ดูตุ๊กตาน้อยใหญ่เพื่อเตรียมเป็นของขวัญให้แก่ลูกน้อยก่อนที่ตาคมจะตวัดเห็นตุ๊กตาหมีสีครีมตัวหนึ่งถูกอุ้มกอดโดยเจ้าลิงตัวใหญ่พร้อมกับดวงหน้าผุดพาดของเด็กหนุ่มผู้ละม้ายคล้ายหญิงผู้เป็นที่รักก็ซ้อนทับเช่นเดียวกับเสียงที่ลอยมา


‘ไม่ได้อยากเรียกนายว่าหมีสักหน่อย แต่นายไม่บอกชื่อจริงนิ’


หลังการจากไปของภรรยาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาให้ความสำคัญกับคำพูดคำจาเรื่อยเปื่อยของใคร แปลกที่คำเซ้าซี้ของเด็กคนนั้นกลับจำได้


“ฝนจะตกอีกแล้ว” เสียงแหบพร่าว่าเป็นภาษาจีนท่ามกลางเสียงลมที่หวีดหวิว ขณะที่กระจกใสหน้าร้านได้สะท้อนเงาร่างของหญิงชาวเอเชียสูงวัยสวมชุดกระโปรงสีดำยืนใกล้ๆ


ทีแรกเขาหาได้สนใจการมีอยู่ของสตรีผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย กระทั่งได้ยินถ้อยคำน้ำเสียงเป็นมิตร หากลึกลงมีแววทรงอำนาจเจือจางๆอย่างมีนัยยะจึงยืนนิ่ง


“คุณเคยได้ยินตำนานของดอกคาเมเลียสีเลือดกลางป่าลึกในหุบเขาอาหลีซันไหม ว่ากันว่าคาเมเลียสีเลือดที่ใช้เวลาถึงร้อยปีจึงจะบานสักครั้งนั้นช่วยต่อลมหายใจรวยรินของทุกชีวิตให้ฟื้นคืนกำลังได้ แต่น่าเสียดายนะ” เสียงเล่านั้นเงียบลงพร้อมกับการส่ายศีรษะเบาจึงต่อ “ดันตกไปในมือหมีที่หมายเพียงจะใช้สมานแผลแล้วโยนทิ้ง”


ชายหนุ่มละสายตาจากตุ๊กตาหมีหลังกระจกก้มมามองสตรีผู้ยืนอยู่ข้างกายด้วยนัยน์ตาเรียบสงบเช่นนั้นสักครู่  ริมฝีปากที่แนบสนิทจึงขยับขึ้น


“คุณไม่ใช่คนของเออร์ซัส”


ประโยคนั้นเรียกให้สตรีสูงวัยละสายตาจากกระจกใสเงยมาหา...ดวงหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยยังมีเค้าความงามเมื่อครั้งยังแรกรุ่นแย้มยิ้มอ่อนโยน  เรือนผมสั้นสีดอกเลาทัดข้างหูทั้งสองข้างเผยให้เห็นต่างหูทับทิมรูปดอกไม้ประดับ


“ถ้าคุณพอมีเวลา ไปดื่มชาด้วยกันสิ” คำนั้นเอ่ยถาม ดวงตาสีสนิทเหล็กหลังแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมเรียบแต่มีรอยอุ่นลึกประสานตอบดวงตาคมไร้อารมณ์ของคนตัวใหญ่กว่าโดยปราศจากความกลัวใดอยู่ราวนาทีก็ก้าวผ่านไปโดยไม่เร่งรอคำตอบ


ดงโฮแลแผ่นหลังเหยียดตรงเดินไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉงอยู่ไม่นานจึงขยับตัวย่างตามหลังฝ่าสายลมแรงไปอย่างเงียบงัน
-----------------------------------
สายฝนโหมกระหนำรุนแรงพาให้ทุกอย่างในดวงตาที่ชุ่มโชกด้วยน้ำเลือนพร่า หากเมื่อทอดสายตาไกลออกไปกลางหยดน้ำห่าใหญ่นับไม่ถ้วนกลับเห็นเงาตะคุ่มของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นเพียงปราดเดียวก็จำแม่นว่าเป็นใคร ทว่าในเสี้ยวนาทีที่กำลังจะตรงเข้าไปหา ดวงไฟสว่างจ้าหน้ารถกลับสาดกระทบดวงตา


ควานลินรู้สึกตัวตื่นจากแสงไฟในความฝันอันเป็นเหตุการณ์จากจินตนาการจากคำบอกเล่าของนายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีที่บัดนี้ยังจับตัวผู้ก่อเหตุไว้ไม่ได้แต่ยังคงหลับตาไว้ดังเก่าเพื่อปล่อยให้ความทรงจำสุดท้ายของมารดาที่แท้จริงหลั่งไหลในความคำนึง


ไออุ่นจากปลายนิ้วเปื้อนเลือดของแม่ที่เกาะเกี่ยวเขาไว้ในห้วงลมหายใจสุดท้ายไม่เหลืออีกแล้ว หากคำขอร้องให้อยู่ต่อไปนั้นยังก้องสะท้อนอยู่ในใจ


ณ ตอนนั้นไม่มีน้ำตาสักหยดรินออกมา แม้นภายในจะทุกข์ทนเสียจนหัวใจคล้ายถูกมืออสูรฉีกเป็นริ้วไม่เหลือดี หากความคับแค้นต่อพระเจ้าเบื้องบนผู้ที่แม่ศรัทธาบูชาและชายผู้ได้ให้เชื้อพันธุ์สร้างเขาเป็นตัวเป็นตนกลบกลืนความเจ็บปวดแทบสิ้น


เขาใช้ชีวิตอยู่กับความเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่าง หากก็แปลกที่ผู้ชายตัวโตที่จับเขามาขังที่นี่กลับเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าเมื่อไหร่ แต่ความเย็นชาแต่เอาใจใส่ใจที่แสดงผ่านข้าวของหรือวิธีตอบคำถามที่แม้จะห้วนและใช้เวลาในการตอบช้ากว่าคำถามเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอุ่นใจ


อาจจะแปลกสักหน่อย ทว่าสำหรับคนที่ใช้ชีวิตตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่และความแค้นจากชายผู้ให้กำเนิด เมื่อจำต้องตายก็ยังอยากมีใครสักคนให้คุยก่อนตาย


เพราะแบบนั้นล่ะมั่งถึงทำให้เขาเล่าทุกอย่างตั้งแต่เรื่องแม่ที่เคยทำงานเป็นนักร้องกลางคืน เกิดท้องขึ้นมากับผู้ชายคนหนึ่งที่สัญญาว่าจะกลับมาหาแต่ท้ายที่สุดแม่ต้องเลี้ยงเขามาคนเดียว หรือเรื่องการใช้ชีวิตภายใต้การดูถูกเหยียดยามจากในโรงเรียน ไปจนถึงเรื่องการเก็บค่าคุ้มครองจากมาเฟียสารเลว กระทั่งงานก่อสร้างตึกที่มีเงินพอให้ซุกหัวในหอของพวกค้าแรงงานเถื่อน


เด็กหนุ่มนอนหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกถึงเงาที่พาดลงมาลดแสงสว่างจากไฟบนเพดานและกลิ่นหอมเย็นจากสบู่ในห้องน้ำจึงเปิดเปลือกตาประดับแพขนตาหนาของตนขึ้นมองใบหน้าคมไร้อารมณ์ที่อยู่เหนือหน้าของตนเองไปเพียงคืบเดียว


“ช้า” คำแรกหลุดจากปากแทนการทักทาย ก่อนที่ข้าวหน้าเนื้อชามใหญ่บนถาดหวาย มีน้ำเปล่าขวดหนึ่งวางอยู่จะถูกไสส่งมาบนหน้าตักโดยไม่รอให้อีกฝ่ายลุกขึ้น


คนอ่อนวัยกว่าเลยต้องจับถาดหวายด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ข้าวหกและใช้เท้าที่ข้อเท้าถูกล่ามด้วยโซ่หนาดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งอย่างชำนาญแล้วลงมือตักอาหารกลางวันกึ่งเย็นกินอย่างหิวโหย


“กี่โมงแล้ว”


“หกโมง”


“หกโมง ออกไปตั้งแต่สิบโมงกลับมาหกโมงเนี่ยนะ นี่นายนั่งเรือออกไปซื้อข้าวถึงน่านน้ำญี่ปุ่นเหรอถึงได้ไปนานขนาดนี้ หรือว่าหลงทาง แต่นายเป็นคนไต้หวันใช่ปะ ต้องเป็นอยู่แล้วแหละพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่นคล่องขนาดนี้ เอ ปกตินายไปไหนมาข้างนอกยังไง เดิน ขับรถหรือนั่งรถเมล์ โอ้ เมื่อกี้ฉันดูข่าวเห็นว่าพายุเข้านิ  นี่คงไม่ใช่ว่าลืมพกร่ม พอออกไปเจอฝนตกหนักเลยหาที่พักรอจนซาหรอกใช่ไหม แต่นายหมีดูไม่เห็นเปียกเลย สงสัยพยากรณ์อากาศจะผิด ไม่ก็กลับมาก่อนฝนตก”


เสียงจากคนอ่อนวัยเงียบลงเมื่อข้าวอีกหลายคำถูกตักเข้าปาก ตากลมหาได้จดจ่อที่จานข้าวแต่จดนิ่งยังแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกพาดกับเก้าอี้ยังมุมห้องก่อนปากอิ่มจะเหยียดกว้างหลุดยิ้มในนาทีที่ได้ยินคำสั้นลอยมา


“รอฝนซา”


“ฝนข้างนอกมันซาแล้วสินะ โอ๊ะ ไอ้ข้าวหน้าเนื้อที่ซื้อมานี้อร่อยดี ไปซื้อจากไหนเหรอ แล้วนี่นายหมีกินข้าวหรือยัง ตัวใหญ่เบ้อเร่อไม่เห็นเคยกินข้าวเลย หรือกินจากข้างนอกมาแล้ว ข้าวนี่ตอนออกไปข้างนอกได้ลองกินแล้วก็เลยซื้อมาใช่ปะ มิน่าถึงซื้อของอร่อยๆมาได้ตลอดเลย”


“ขืนคุณพูดทั้งที่ข้าวเต็มปากอีกครั้งหนึ่ง ผมจะเย็บปากคุณ”


พอถูกขู่พร้อมอาวุธปืนที่ถูกถอดจากซองหนังตรงเข็มขัด ฝ่ายที่จ้อไม่หยุดตั้งแต่ตื่นมาก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวจนเกลี้ยงเพียงเพื่อจะได้เปิดปากอีก


“ตกลงกินข้าวหรือยัง”


คนตัวใหญ่เหลือบตายังเด็กคนเดิมที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อย่างรำคาญอยู่ครึ่งนาทีก็ผละหายออกจากห้องนอนไป ปล่อยให้อีกคนชะเง้อคอมองทางประตูสลับกับการรายงานข่าวในโทรทัศน์อยู่นานหลายสิบนาทีจึงกลับมาอีกครั้งเพื่อเปิดแผ่นดีวีดีที่ซื้อติดมือมาให้ดู


“ไรอ่ะ”คนเป็นเด็กเริ่มทอดสายตายังภาพบนหน้าจอสักครู่จึงต่อ “โห อุตส่าห์ซื้อหนังมาให้ดูทั้งที ซื้อหนังเก๊าเก่ามาให้เนาะ”


“ถ้าไม่ดูก็ปิด”


“เรื่องไรเล่า อุตส่าห์มีหนังให้ดูก็ดีกว่าดูข่าว อยู่นี่น่าเบื่อมีแต่ข่าวกับหนังสือปรัชญาให้อ่าน” เจ้าตัวบ่นยกถาดหวายใส่ข้าวเขย่าๆเรียกให้อีกฝ่ายมาเก็บข้าวกลับไปแล้วชันเข่านั่งดูภาพเคลื่อนไหวบนจอตรงหน้าระหว่างนั้นก็ยังไม่หยุดตั้งคำถาม


“นายหมีเคยดูเรื่องนี้หรือยัง มันเคยได้รางวัลออสการ์ด้วยนะ ฉันน่ะเคยดูเรื่องนี้ที่ห้องโสตของหอสมุดในโรงเรียน มันมีฉากหลักเหมือนกับโรงน้ำชาในจิ่วเฟินด้วย ...นายหมีเคยไปโรงน้ำชานั่นมาหรือเปล่า”


เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายถูกถามไม่อยู่ตอบแต่เดินออกไปเก็บกวาดข้าวของในห้องอื่นลงถังขยะและขนย้ายมันออกไปยัดใส่ตู้ทิ้งขยะให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเหมือนก่อนเขาเข้าพัก จากนั้นจึงเก็บเครื่องรับสัญญาณรหัสแจ้งข้อมูลสถานที่ส่งตัว


ชายหนุ่มกลับเข้ามาอีกครั้งโดยเลือกจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงมุมห้องเพื่อรอเวลา ระหว่างนั้นตาคมทอดมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งชันเข่าคลุมไว้ด้วยผ้าห่มจ้องภาพบนจออย่างคนไม่เคยได้มีโอกาสชมสิ่งบันเทิงเริงใจเลยมานาน
 

ในบางนาทีดวงตากลมที่พยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลยนั้นกลับเบิกกว้าง ในบางนาทีตาคู่นั้นจะหมองหม่นเหลือบสูงยังเพดาน และมีอีกหลายนาทีที่เจ้าตัวกำหมัดเม้มปากแน่นตามภาพที่เล่นไปบนจอตรงหน้า


...เด็กคนนี้เคยยิ้มตอนเผลอ...

...ยิ้มที่มีส่วนคล้ายกับหญิงคนรักของเขา

...หากแววตาไร้สุขเบื้องลึกนั้นทำให้แตกต่าง


บ่อยครั้งที่ยามหลับเด็กคนนั้นละเมอออกมาไม่เป็นภาษาเบาๆ เมื่อต้องอยู่เฉยตามสั่งมีความอ้างว้างแผ่ขยาย แม้นยามได้ยินข่าวสารจากโทรทัศน์ที่คล้ายกระทบใจมีความเกลียดชังฉายทั่ว


อันที่จริงตอนแรกเขาไม่แยแสประวัติความเป็นมาของเด็กคนนี้เลยด้วยซ้ำ แม้จะพอเดาได้ว่าคงมีสายสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างก็หาได้ให้ความสำคัญ จนได้มาอยู่ด้วยกัน แม้เป็นเวลาสั้นๆหากส่วนลึกของความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลือทำให้อาทรเด็กคนนี้อย่างไม่รู้ตัว


คนตัวใหญ่ลุกจากเก้าอี้หยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่ขึ้นสวมใหม่เตรียมจะออกไปข้างนอก ทำให้ฝ่ายที่จ้องจออยู่แทบตลอดเบนสายตาออกมามอง


“จะไปไหนเหรอ” คำที่เฝ้าถามและเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ไม่ได้รับคำตอบอะไรนอกจากขนมอร่อยๆสักห่อ ในครั้งนี้มีไอศกรีมเคลือบช็อกโกแลตจากในตู้เย็นถูกโยนมาแทนที่


“เดี๋ยวมา”


“กี่ชั่วโมง”


“ก่อนหนังจบ” เสียงเข้มบอกห้วนแล้วก้าวออกไป ปล่อยให้ฝ่ายเด็กกว่ามองตามหลังด้วยดวงตาที่สลดลงจนได้ยินเสียงปิดประตูจึงหันกลับมา ในใจนึกอยากให้ห้องนี้มีนาฬิกาจะได้รู้ว่า ต้องรอนานอย่างนี้อีกนานแค่ไหน


...การรอคอยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย กระทั่งการรอจะรู้เวลาตายของตัวเองก็ด้วย


มีหลายครั้งที่เขาเคยคิดอยากไปให้พ้นจากโลกโสมมใบนี้ ถ้าไม่ติดคำสัญญากับแม่แล้วล่ะก็เขาอาจจะตายตามหลังแม่ไปเลยก็เป็นได้


...ถ้าวันนั้นถูกฆ่าที่ไซด์ก่อสร้าง จะเป็นยังไงนะ...

...โลกหลังความตายจะดีกว่าโลกแห่งชีวิตนี่หรือเปล่า...

...พอต้องอยู่ที่นี่คนเดียว มันว่างเลยมีเวลาให้คิดฟุ้งซ่านเกินจำเป็น...


ชั่วขณะที่จมอยู่ในคำถามจนเอนหลังล้มลงไปนอนมองหลอดไฟทรงกลมบนเพดาน เสียงประตูที่เปิดและปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยกลับดึงให้เขาหลุดจากความคิด และก่อนจะได้ขยับปากหรือชันตัวขึ้นนั่งกลับมีบางสิ่งวางลงข้างเตียง


ร่างผอมลุกขึ้นนั่งก้มมองตุ๊กตาหมีสีครีมตัวเล็กตัวหนึ่งบนเตียงก่อนจะเหลือบตากลมสบเข้ากับตาคมไร้แววอารมณ์ใดให้อ่านด้วยความสงสัยอยู่ครู่เดียว ฝ่ายตรงข้ามก็ผละหายไปอีก


“ซื้อตุ๊กตามาทำไมเนี่ย...ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่จะเล่นตุ๊กตาพวกนี้นะ” เขาบ่นเสียงดังทันทีที่อีกคนปรากฏตัวกลับเข้ามาพร้อมกับหอบเสื้อผ้าใหม่กองไว้ตรงปลายเตียงพร้อมประโยคจากเสียงเรียบเย็นที่ชวนให้ใจหาย


“คืนนี้คุณต้องออกไปข้างนอก”


“ไปไหน”


“เรื่องนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรู้”


“กี่โมง”


“สี่ทุ่ม”


“ฉันต้องตายวันนี้ ตอนสี่ทุ่มเหรอ”


ควานลินโพล่งออกมาแทบจะทันทีด้วยความตกใจ ตากลมมองแผ่นหลังกว้างที่เริ่มเก็บข้าวของภายในห้องนอนที่กองอยู่ด้านนอกกลับใส่ตู้เสมือนจะกลบร่องรอยการพักอาศัย...ถึงจะบอกตัวเองว่าอีกไม่นานก็คงถูกฆ่าทิ้งแต่ไม่ทันคิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้


“คุณไม่ได้อยู่นี่เพื่อตาย” คำแก้ความเข้าใจผิดตลอดมานั้นตอกกลับ


“ไม่ตายที่นี่ แต่ไปตายข้างนอก มันก็ตายเหมือนกันแหละ...ครั้งก่อนคนที่ตามฆ่าฉันน่ะเป็นใครบอกได้ยัง แล้วคราวนี้นายหมีจะเป็นคนฆ่าฉันใช่หรือเปล่า ฉันจะตายยังไง โดนยิงหรือโดนปาดคอ มีหั่นศพหรือถ่วงน้ำมั้ย ถ้ายังไงก็ให้ฉันตายแบบไม่ทรมานได้หรือเปล่า”


“เขาไม่ได้สั่งตายคุณ”


“เขาที่นายว่าคือใคร”


“ผมจะไม่พูดซ้ำ”


“ฉันไม่รู้จักคนจ้างนายนี่...เกิดถามแล้วเขาฆ่าทิ้งเลยจะได้รู้ไหมล่ะ”


“ผมเพิ่งพูดไป”


“ไม่ตายจริงอ่ะ...ปกติพวกคนอย่างนายเวลารับงานเขามีเอกสารระบุรายละเอียดงานให้บ้างมั้ย แล้วเขามีประวัติฉันให้อ่านด้วยใช่มั้ย ข้อมูลพวกนั้นต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือเหมือนในหนังหรือมีแฮกเกอร์เก่งๆเอาออกมาหรือเปล่า แต่คงไม่หรอกมั่ง น่าจะเป็นไอ้หมอเกาหลีรับซื้อเลือดคนนั้นมากกว่าที่ให้ข้อมูล และไอ้ที่ว่าไม่ให้ตายคงเพราะต้องใช้เลือดจากฉัน พอรีดเลือดหมดตัวเสร็จค่อยให้ตายสินะ”


คนเป็นเด็กครุ่นคิดแล้วพูดเจื้อยแจ้วออกมาทันทีอย่างไม่รู้ตัวทำให้เจ้าของห้องพ่นลมร้อนผ่านจมูกออกมาครั้งหนึ่ง มือใหญ่หยุดมัดปากถุงดำที่ใช้ใส่ขยะจากถังแล้วเอี้ยวตัวมามองอีกคนที่นั่งขัดสมาธิพุ่งความสนใจทั้งหมดกับการตั้งคำถามจนลืมหนังในเครื่องเล่นไปหมด


“ฟังภาษาคนไม่เข้าใจเหรอ”


“ไม่อธิบายจะให้เข้าใจได้ไง”


“คนเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกเรื่อง”


“รู้ไว้ก็อาจมีประโยชน์”


“ถ้ารู้เพื่อจะหนี คุณจะตายก่อนหนีได้”


“ทำไมคนเราถึงรู้ไม่ได้ว่าชีวิตจะเจออะไรต่อไป...ในเมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง” คนอ่อนวัยกว่าที่สวมโซ่ตรวนนานเป็นอาทิตย์สวนเร็วอย่างหมดความอดทน นัยน์ตากลมสีน้ำตาลอ่อนเคลือบความไม่สบอารมณ์ระคนความสงสัยจ้องเขม็งยังแผ่นหลังกว้าง


“เด็กจริงๆ”


“ในเมื่อฉันต้องตาย...ฉันก็ควรได้รู้ว่าทำไมถึงต้องตาย”


“คุณคิดว่าคนตายทุกคนรู้ล่วงหน้าว่าทำไมถึงตายเหรอ”


“ไม่รู้...ฉันรู้แค่ว่า ฉันควรได้รู้ว่าทำไมต้องตายเท่านั้น”


สิ้นคำผู้มากวัยกว่าเหยียดหลังตรงเต็มความสูง วางถุงขยะเดินกลับมาคว้าคอเสื้อและก้มลงไปประจันหน้ากับเจ้าของร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนเตียงในระยะใกล้เสียจนแก้มเนียนรู้สึกถึงไอร้อนของลมหายใจที่พ่นรดลงมา


“อย่าขึ้นเสียงกับผม” คำเตือนเกริ่นขึ้นอย่างเนิบช้าชวนขนลุก “ผมจะบอกให้คุณรู้ โลกใบนี้น่ะมันโสมมกว่าที่คุณคิดหรือเจอมา โลกนี้ยังมีหลายคนที่สมควรตายแต่ไม่ตาย คนที่ตายทั้งที่ไม่ควรตาย พวกคนที่ตายอย่างไม่มีเหตุผล กระทั่งคนที่ตายโดยไม่ได้บอกลาคนที่รัก และถ้าคุณคิดว่าชีวิตของเรามีเรากำกับได้คนเดียว...ก็จำไว้เถอะว่า ยังมีคนอีกมากที่ชีวิตถูกบงการให้เป็นไปอย่างไม่มีทางเลือก”


เสียงกระด้างยิ่งกล่าวคำ ดวงหน้าคมเรียบสงบ ทว่านัยน์ตาคมกริบเย็นเยือกที่จ้องลึกลงมาในดวงตากลมอมโศกนั้นกัดกะเทาะความโกรธเกรี้ยวในโชคชะตาให้หยุดนิ่ง


ดงโฮแลแววแข็งกร้าวที่อ่อนร้าวลงในนาทีที่สบตากัน...ความเจ็บปวดเกลียดชังเต้นระริกใต้การแสร้งวางเฉยนั้นกระทบบางอย่างในใจก่อนที่เขาจะปล่อยมือและผละถอยรวบสร้อยที่บังเอิญหลุดจากคอเสื้อกลับเข้าไปจึงรวบถุงขยะที่โยนกองบนพื้นขึ้นมา


“ไม่ตายคือไม่ตาย เข้าใจมั้ย” ประโยคนั้นลอยตามมา


ควานลินกระพริบตาต่อคำกระด้างที่มีความอุ่นให้รู้สึกอันเป็นคำปลอบในทีของชายหนุ่มตัวใหญ่ที่เมื่อครู่เพิ่งทำสร้อยเชือกสีดำห้อยจี้หัวใจทองเหลืองมีรูปคล้ายผู้หญิงอยู่ด้วยหลุดจากคอเสื้อออกมาให้เห็น ก่อนจะยกมือคลำไปบนคอเพื่อหาสร้อยที่มีล็อกเก็ตใส่รูปแม่ใต้เสื้อ


...ผู้ชายไม่สวมอะไรพวกนี้ นอกจากเป็นคนสำคัญ...


หลังปล่อยความเงียบให้ดำเนินระหว่างกันอยู่หลายนาที ในที่สุดเมื่อคนเป็นเด็กเห็นอีกฝ่ายกลับเข้ามาในห้องนอนที่เก็บกวาดเรี่ยมยกเว้นเตียงนอนโดยไม่มีถุงขยะอยู่ในมือจึงเปิดปากถาม


“นายมีครอบครัวมั้ย”


ทั้งที่ได้ยินประโยคนั้นชัดเจน หากคนตัวใหญ่เลือกจะไม่ตอบคำถามเพียงขยับเข้ามาถึงเตียงและก้มลงไขกุญแจปลดตรวนออกจากข้อเท้าขาวให้จนเสร็จจึงตอบห้วน


“ไม่”


“ครอบครัวไปไหนซะล่ะ”


“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้”


“ไม่มีครอบครัวเพราะเป็นเด็กกำพร้าประเภทไม่มีพ่อ มีแค่แม่แล้วแม่ก็ตายเหมือนกันหรือเปล่าถึงได้มาทำงานเป็นนักฆ่า จับคนมาขังไว้แบบนี้”


แทนที่จะตอบครั้งนี้ฝ่ายถูกถามตวัดตามองเสี้ยวนาทีก็ถือโซ่ตรวนที่ม้วนเก็บเป็นระเบียบโยนใส่ลงในลิ้นชักข้างเตียง จากนั้นจึงก้าวไปด้านนอกอีกรอบและกลับเข้ามาพร้อมโยนไอศกรีมวาฟเฟิลไส้วานิลลาที่พยายามหาซื้อมาทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกกับขนมปังกรอบอบเนยในกล่องกระดาษไปบนเตียง


“กินซะ” เจ้าของบอกเท่านั้นก็กลับไปนั่งลับมีดสั้นตรงมุมประจำแต่ไม่ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังคลานเข่ามาหยิบไอศกรีมของโปรดแกะกินเงียบลงเลย


“ที่จริงฉันไม่สนเรื่องความเป็นความตายหรอก แต่ที่ถามถึงเหตุผลการตายเพราะฉันสัญญากับแม่ไว้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงฉันจะไม่เชื่อในพระเจ้าหรือโลกหลังความตายแต่การได้คิดว่าอาจเจอแม่ในโลกวิญญาณเข้าก็ได้ ฉันเลยอยากมีคำตอบดีๆสักคำไปบอกแม่ว่าทำไมถึงตายก่อน”


คนบนเตียงว่าขณะจิ้มขนมปังกรอบอบเนยลงในเนื้อไอศกรีมที่อยู่ตรงกลางของวาฟเฟิลแล้วมองไปยังฝ่ายที่พุ่งสมาธิอยู่กับการลับคมมีดเหมือนไม่ยินเสียงใดอื่น...ลักษณะท่าทางนั้นดูน่ากลัวแต่อีกนัยก็เหมือนหมีตัวใหญ่จับศีลทำให้มีรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า


“นายหมีเชื่อในพระเจ้ามั้ย”


“ไม่” ท้ายที่สุดก็มีเสียงห้วนๆเปล่งออกมา


“แล้วพระสงฆ์ล่ะ”


“ไม่”


“พวกคนอย่างนายเขาไม่นับถือโชคลางอะไรกันเลยเหรอ”


“ผมเชื่อในอำนาจเงิน”


“อ่า...เงิน นั้นสิ พวกคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอย่างเราๆ มันก็เชื่อในเงินกันทั้งนั้น แต่ถ้าเงินมันสำคัญกับนายมากขนาดนั้น แสดงว่าค่าหัวฉันเนี่ยต้องแพงเหมือนกันดิ พอจะบอกได้มะว่าเท่าไหร่”


“กินเงียบๆไม่เป็นหรือไง”


ชายหนุ่มสวนอย่างรำคาญเหลือบตายังเด็กที่นั่งชันเข่ากัดไอศกรีมในมือไปพร้อมกับลูบรอยตรวนจางๆ บนข้อเท้าไปมาอยู่หลายนาทีจึงเงยหน้ามองมาแล้วเปิดปากอีกครั้ง


“ถ้าฉันอยู่กับนายหมี...ฉันจะไม่ตายใช่มั้ย”


“อืม”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“ไม่ตาย”


“จริงเหรอ”


“อืม”


“โอเค” คนอ่อนวัยกว่าบอกหงกหัวขึ้นลงอย่างคนที่ยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมากัดไอศกรีมในมือเข้าปากจนเกลี้ยงถึงล้มตัวลงนอนบนเตียงใหม่จึงสั่ง “นอนนะ จะไปตอนไหนก็ปลุกแล้วกัน”


ตากลมปิดลงทันทีที่เอ่ยความต้องการ พยายามใช้เวลาชั่วโมงที่เหลืออยู่ไปกับการหลับเพื่อจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านเพราะอย่างไรเสียก็คงเปลี่ยนชะตาตัวเองไม่ได้ ปล่อยเวลาให้คนตัวโตได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เลือกสรรอาวุธและของจำเป็นที่จะพกติดตัวไปในคืนนี้


ร่างใหญ่สวมเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำมีสายคล้องซองปืนพกสั้นคาดอกเหน็บด้วยมีดสั้นกับกางเกงขายาวสีเดียวกันทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าขยับพ้นจากลิ้นชักโต๊ะวางโทรทัศน์ที่ใช้เก็บเสื้อผ้าหันมายังคนตัวผอมสวมเสื้อยืดลายทางขาวดำกับกางเกงยีนส์ที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมไว้เพียงเอว


ลมหายใจอุ่นพ่นพ้นจมูกโด่งบนดวงหน้าขาวราวผืนหิมะเป็นจังหวะ ทว่าบางคราก็สะดุดพร้อมการกระตุกของร่างกาย ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีระเรื่อตามธรรมชาติเม้มและคลายอย่างคนนอนหลับไม่สนิททำให้ฝ่ายที่ยืนดูอยู่พักหนึ่งจึงคว้าตุ๊กตาหมีที่วางทิ้งอยู่ยัดใส่ช่องว่างระหว่างแขนทั้งสองข้างที่พาดทับไปในทางเดียวกัน

                                           
...ฝันร้ายทุกวัน...


เพียงตุ๊กตาเข้าสู่อ้อมแขนเจ้าตัวก็กอดแน่นพร้อมกับภาวะกระสับกระส่ายที่ลดน้อยลงเหลือเพียงการหลับอย่างสงบ มือใหญ่เอื้อมตบเบาๆบนหัวทุยที่ซบบนหมอนพลางจ้องรอยหมองเศร้ายามจมในห้วงนิทราอย่างครุ่นคิดถึงบางข่าวสารและข้อเสนอใหม่ที่ได้รับเมื่อก่อนหน้าอยู่พักใหญ่จึงผละไปนั่งบนเก้าอี้ประจำแล้วปิดตาลงเพื่อหยุดพักจากทุกสิ่งรอบตัวก่อนจบงาน


...สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น...
------------------------------------------------------

“ตื่นได้แล้ว”


เสียงเข้มทุ้มพร้อมการเขย่าปลุกให้คนหลับลึกไปเกือบสามชั่วโมงกระวีกระวาดลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยคุ้นชินกับการนอนระแวดระวังภัยในหอรูหนูอยู่ตลอด อีกทั้งยังไม่เคยนอนแล้วถูกปลุกที่นี่มาก่อนทำให้รู้สึกกลัวการหลับลึกจะสร้างปัญหาต่อตนเอง แต่เมื่อตั้งสติเงยมองยังคนตัวใหญ่สวมชุดดำทั้งตัวทับด้วยเสื้อคลุมยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าก็โล่งใจ


...ยังไม่ตาย...


“ต้องไปแล้วเหรอ”


“ใช่”


“ไปไหนบอกได้มั้ย”


“ถึงแล้วก็รู้”


“ขอล้างหน้าก่อนได้ปะ”


เด็กหนุ่มถามคลานเข่าจากเตียงลงไปยืนบนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบจากอากาศภายนอกผสมกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบสนองจึงเดินลิ่วไปในล้างหน้าล้างตาและมองไปรอบๆห้องน้ำ จากนั้นจึงเดินกลับไปยังห้องนอนที่บนเตียงถูกจัดเก็บเรียบร้อย


“ไปเลยมะ”


ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบคำถามเพียงหยิบกระเป๋าสะพายหลังใบหนึ่งถือเดินนำไปโดยไม่รอผู้อ่อนวัยที่หันไปกวาดตารอบห้องในใจลึกๆมีความอาวรณ์ต่อห้องที่เคยนอนตลอดเจ็ดวัน ก่อนจะเดินตามไปจนถึงหน้าประตูพลางชะโงกดูการกดรหัสตัวเลขบนแป้นแต่สิ่งที่ปรากฏบนจอดิจิตอลกลับเป็นภาษาอะไรสักอย่างที่เขาไม่เคยเห็น


...หนียังไงก็ใส่รหัสไม่ให้ระเบิดไม่ได้...


สักพักเสียงคล้ายกลไกเข้าล็อกก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก...ภาพของระเบียงมีแสงไฟสว่างสาดให้เห็นพื้นทางท่ามกลางความมืดของค่ำคืนปรากฏตรงหน้า เมื่อก้าวเท้าออกไปรับอากาศและลมแห่งอิสรภาพที่รอคอยมาหลายวันทันใดนั้นกลับมีบางอย่างสวมลงบนข้อมือซึ่งบางอย่างที่ว่าคือข้อมือติดตามตัว


“ถ้าไม่อยากมือขาดก็อย่าพยายามปลดมันออก”


สิ้นคำเตือนคนฟังถึงกับอ้าปากแล้วพ่นลมร้อนออกมาเฮือกหนึ่งอย่างรำคาญใจ มือผอมยกขึ้นดูเครื่องติดตามตัวหน้าตาเหมือนนาฬิกามาสะบัด


“ทำไมต้องกลัวหนีขนาดนี้เนี่ย...เท่าที่โดนอยู่นี่ก็หนีไม่ได้แล้ว”


ฝ่ายผู้สวมให้มองคนแว้ดขึ้นอย่างหงุดหงิดเหมือนไม่รู้จักวิธีอดกลั้นต่ออารมณ์ร้อนของตนอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า


“พูดมากจริง”


“ไม่อยากให้พูด นายก็พูดแทนฉันสิ...อะไร หาอะไรเนี่ย” คนเป็นเด็กโวยขึ้นในตอนท้ายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายล้วงมือไปในกระเป๋าสะพายหลังใบที่ถือติดมือด้วยคิดว่าจะโดนปิดปากด้วยเทปกาวแต่พอได้ชูครีมชิ้นโตใส่ในถุงกระดาษก็เงียบเสียง


“ไป” คนตัวใหญ่ฉวยโอกาสนั้นคว้าหลังคอเสื้อแขนยาวที่คนผอมสวมอยู่ลากให้เดินไปด้วยกันอย่างไม่มีทางขัดขืน


ควานลินถอนหายใจพยายามตะกายเท้าที่ถูกลากจนไม่ได้ทรงตัวเองให้กลับมาเดินในท่าปกติ แต่ความที่ต้องก้าวกวดให้ทันสุดท้ายเลยปล่อยให้โดนลากผ่านทางเดินหน้าห้องพักเข้าไปในลิฟต์ที่เขาเองเพิ่งมีโอกาสได้สังเกตถึงความเก่าของอาคารที่ดูจะต่างจากภายในห้องที่ถูกจับมาลิบลับ


“ทำห้องแพงเลยสิกว่าจะได้ขนาดนั้น”


ประโยคคำถามแทรกในเสียงกึกกักของลิฟต์ที่กำลังทำงาน หากผู้นำตัวและโดยสารมาด้วยกันยืนนิ่งเหมือนหินรอให้ประตูลิฟต์เปิดสู่ลานจอดรถใต้ดิน มือใหญ่ก็ลากร่างผอมต่อก่อนจะดันเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตซีดานสีดำปลอดจึงอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับพร้อมล็อคประตูรถอัตโนมัติกันการหนี


เด็กหนุ่มเหลือบตาพลางพ่นลมหายใจแรงๆออกมาอย่างเสียไม่ได้ใส่ผู้ชายตัวเหมือนหมีที่สักแต่ใช้กำลังจนไม่น่าจะรู้จักความนุ่มนวลและกระแทกลงบนเบาะกวาดมองไปรอบรถยนต์โดยสารซึ่งไม่ต่างอะไรกับรถของพวกชนชั้นกลางค่อนไปทางมีเงินทั่วไปหน่อยใช้


...ฉลาดเนาะ...
...พวกแก็งค์ลักพาตัวต้องเลือกรถไม่สะดุดตาแบบนี้แหละ...


“นายหมีทำงานนี้มากี่ปีแล้วเหรอ” คนอ่อนกว่าถามแม้รู้ว่าคงไม่ได้คำตอบพลางเอนหลังพิงกับเบาะหันไปมองสารถีหน้าตายที่กำลังขับรถไปยังทางออกของลานจอดใต้ดินไปสู่พื้นถนนระดับปกติ


สายฝนกระหนำลงมาทันทีที่รถออกมาสู่ถนนภายนอกหอบเอาลูกเห็บเล็กๆโปรยลงมากระทบบนหลังคารถอย่างไม่ปราณีปราศรัย ดวงไฟสีแดง เหลือง ส้ม หลากสีพร่างพรายเป็นวงกลมระยิบระยับกระทั่งที่ปัดน้ำฝนกวาดน้ำที่ไหลเป็นทางออกจึงมองเห็นทางและไฟจากท้ายรถคันหน้าที่ชะลอความเร็ว


ทั้งที่ฝนตกหนัก ทว่ารถที่เขาโดยสารกลับเริ่มเร่งความเร็วหาช่องเปลี่ยนเลนแซงรถคันอื่นด้วยความเร็วเหมือนไม่กลัวความเปียกลื่นของพื้นถนนที่เจิ่งนองราวกับต้องการไปให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


...นั่นทำให้คนเป็นเด็กยิ่งใจหายอย่างบอกไม่ถูก...


“รำคาญฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามระหว่างรถจอดรอสัญญาณไฟแดง หันหัวไปทางคนขับที่กดปุ่มเปิดช่องลับข้างประตูหยิบโทรศัพท์ตกรุ่นที่ทำได้เพียงโทรออก รับสายและส่งข้อความออกมาดูอะไรบางอย่างบนหน้าจอนั้นแต่เมื่อชะโงกดูมันก็ถูกเก็บไปเสียก่อน


“อีกไกลมั้ย” อีกครั้งที่เสียงแห่งความสงสัยลอดผ่านริมฝีปากสวยนั้น ทว่าภายในรถยังคงมีเสียงกระทบของฝนกับลูกเห็บเท่านั้นที่ได้รับ ในไม่ช้าคำบอกเล่ากลับต่อขึ้นมา


“ฝนตกหนักจนมีลูกเห็บเลยแฮะ...นายหมีรู้ปะเมื่อก่อนตอนฉันเด็กๆน่ะ ฉันเคยกลัวเสียงฟ้าผ่า ตอนนั้นแม่จะร้องเพลงแข่งกับเสียงฝนเสียงฟ้าให้ฉันฟังจนกว่าฉันจะหลับถึงจะออกไปทำงาน ล่ะก็ตอนที่ทำงานก่อสร้าง ถ้าฝนขนาดนี้แล้วทางบริษัทรับเหมาประเมินว่าทำงานไม่ได้ พวกแรงงานถูกกฎหมายแบบฉันจะได้หยุดโดยได้รับค่าจ้างด้วยนะ”


หลังจากพูดยืดยาวแต่ไม่ได้รับการตอบสนองทำให้เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจแรงๆผ่านจมูก ยกขาที่เล็กและยาวราวตะเกียบที่ส่งให้มีความสูงเหนือกว่าชายตัวใหญ่ข้างตัวขึ้นมาบนเบาะนั่งพลางกอดเข่าแล้วซบแก้มข้างหนึ่งบนเข่าเพื่อหันหน้าหาฝ่ายที่เงียบตลอดอีกรอบ


“นายหมีเนี่ยนอกจากจะพูดน้อยแล้ว เคยยิ้มกับคนอื่นเขาบ้างหรือเปล่า...ฉันว่าฉันยิ้มน้อยแล้วนะ แต่นายหมีเนี่ยคงไม่เคยยิ้มเลยสิ ถ้านายหมียิ้ม โลกจะเป็นยังไงนะ มันจะถล่มลงมาหรือเปล่า...ดูเหมือนรอยยิ้มของนายหมีเป็นของหายากยิ่งกว่าโสมพันปีบนยอดเขาเอเวอเรสต์อีกมั้ง”


“ของในถุงนั่น กินซะให้หมด” คำสั่นแทนคำตอบลอดออกมาจากคนหน้านิ่งที่ยังจดจ่อกับการขับรถ


“ไม่บอกจะเย็บปากแล้วเหรอ”


“คุณเอาแต่พูด ไม่รำคาญตัวเองหรือไง”


“รำคาญอยู่เหมือนกัน ฉันน่ะที่จริงก็ไม่ใช่คนชอบพูดหรอกนะ นี่ก็อยากจะเงียบให้อยู่แต่ทำไม่ได้ อาจเพราะจิตสำนึกฉันคิดว่านายหมีอาจเป็นคนสุดท้ายที่ฉันพูดด้วยได้ก็เลยพูดไม่หยุดล่ะมั่ง”


“ไม่เข้าใจภาษาคนจริงๆด้วย”


“เข้าใจ แต่มันไม่มีหลักประกันอะไรว่าฉันจะไม่ตายนอกจากคำพูดของนายหมีนี่”


“กิน” เสียงเข้มดุดังคล้ายตวาดพาให้ไหล่บางสะดุ้งก่อนจะเปิดถุงกระดาษที่หล่นไปข้างเบาะที่ตนเองนั่งหยิบเอานมเมล่อนกล่องหนึ่งวางบนตักเข่าและคว้าชูครีมลูกใหญ่ออกมากัดกิน


“อร่อยแฮะ...นายหมีเนี่ยหาของกินอร่อยเก่งจัง ถ้าฉันไปให้เขารีดเลือดหมดแล้วจะได้กินของอร่อยแบบนี้อีกหรือเปล่า อย่างน้อยก่อนตายฉันก็อยากกินของอร่อยเยอะๆ อา ไม่ต้องดุทางสายตาได้มั้ยเล่า จะไม่พูดว่าตายแล้วก็ได้”


คนเป็นเด็กว่ายกมือที่ถือนมกล่องเสียบหลอดกับชูครีมที่ถูกกัดไปเกือบครึ่งชิ้นขึ้นสูงเป็นเชิงจำนนก้มลงไปจดจ่อกับของกินในสองมือจนหมดก็เก็บใส่ถุงกระดาษยัดไว้ตรงช่องว่างข้างประตูตัวเองก่อนจะกลับมากอดเข่ามองดังเก่า กระทั่งรถเริ่มเลี้ยวไปในเส้นทางที่มีไฟทางสีส้มเหลืองอาบท้องถนนเป็นระยะ ความง่วงกลับแล่นเข้ามาเล่นงานจนทำให้อีกคนหาวหวอดจึงวางขากลับไปบนพื้นรถและหลับตาเอนตัวพิงกับเบาะ


คนตัวใหญ่กว่าละสายตาจากเส้นทางเบื้องหน้าเหลือบมองไปยังเด็กที่กำลังหลับเพราะฤทธิ์ยานอนหลับอ่อนๆที่เขาใส่ในเครื่องดื่มและขนมเพื่อให้เจ้าตัวมึนเกินกว่าจะหนี


...อีกไม่นานจะปิดงานแล้ว...


เขาบอกตัวเองเช่นนั้นด้วยสีหน้าสงบเรียบเช่นทุกคราที่ใกล้ดำเนินงานสำเร็จลุล่วง ทว่าครั้งนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป


...มันมีความกระวนกระวายอยู่ลึกๆ...


รถสปอร์ตสีดำแล่นผ่านเส้นทางสว่างไสวจากแสงไฟของท่าเรือเกาสงบริเวณลานวางตู้คอนเทนเนอร์ก่อนจะค่อยๆถูกความมืดกลืนหายไปทีละน้อยจนมาถึงลานบรรจุเพื่อโหลดสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์อันเป็นพื้นที่ของบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่งจึงได้ฤกษ์จอด


แม้เครื่องยนต์จะดับสนิทลงหลายนาทีแล้ว หากเจ้าของรถกลับผินหน้าทอดตาคมไปยังเด็กหนุ่มที่นอนหลับ ณ ขณะนั้นความคิดเกี่ยวกับอนาคตของเด็กคนนี้กลับผุดขึ้นมา


...ก็แค่งาน...


ชายหนุ่มเตือนสติตนเองพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวล็อกแล้วหยิบโทรศัพท์ระบบดิจิตอลในช่องลับมากดส่งรหัสบางอย่างผ่านข้อความค่อยเก็บใส่ช่องกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน จากนั้นจึงเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าสะพายหลังบรรจุด้วยไอศกรีมในกล่องเก็บความเย็นและตุ๊กตาหมีตรงเบาะท้ายมาวางไว้บนตักของเด็กที่กำลังหลับ


...ไม่มีความจำเป็นต้องหอบของพวกนี้มาให้ จะโยนทิ้งก็ได้แต่เสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกอยากให้เด็กนี่มีอะไรทำให้เงียบปาก...


เด็กคนนี้ถึงจะต่อชีวิตนายใหญ่ของเออร์ซัสได้ แต่ความเลือดเย็นที่ส่งต่อกันเป็นทอดจากนายกระจายไปบ่าวทำให้ไม่อาจหยั่งถึงวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่พูดไม่หยุด


...ถึงน่ารำคาญเด็กนี่ก็อายุน้อยเกินกว่าจะตาย...


กายหนาขยับตัวจากเบาะคนขับดึงมือจับประตูโครเมียมเตรียมจะฝ่าฝนออกไปยัง ทว่าชั่วนาทีที่กำลังจะผลักประตูออกไปนั้น ชายเสื้อคลุมกับถูกบางสิ่งดึงไว้และเมื่อเหลียวไปหาต้นตอจึงได้เห็นมือเรียวขาวของคนเป็นเด็กกำเสื้อเขาไว้แน่น


ตากลมโตบัดนี้สะลืมสะลือจากฤทธิ์ยามองตรงมายังคนตัวใหญ่...ยากจะอ่านอารมณ์ความรู้สึกของคนใกล้ไร้สติว่าเป็นเช่นไร หากน้ำเสียงเครือสั่นบอกความหวาดหวั่นในใจ


“นายหมีต้องไปแล้วเหรอ”


“ใช่”


“ไปไหน”


“เรื่องนั่นคุณไม่จำต้องรู้หรอก”


“แล้วชื่อล่ะ...ชื่อจริงของนายหมี”


“อย่ารู้เลย”


“พรุ่งนี้จะได้เจออีกมั้ย”


“ไม่”


สิ้นคำตอบไร้แววอาทรนั้น ควานลินกลับลืมตาไล่กวาดใบหน้าไร้แววความรู้สึกของคนตรงข้ามราวกับจะฝังใบหน้านั้นไว้ในความทรงจำให้แน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้


...เข้าใจแล้ว...


ความเงียบก่อตัวระหว่างกันอยู่ไม่กี่นาที ฝ่ายอ่อนกว่ากลับจำนนปล่อยมือที่จับชายเสื้อของชายตัวใหญ่และหลับตาพร้อมกับความสิ้นหวังอีกนานับประการประดังประเดเข้าใส่ แม้นเชื่อเสมอว่าตนเองมิใช่คนอ่อนแอ แต่นาทีนั้นใจกลับไม่อาจซ่อนความเศร้าลงได้


“บาย นายหมี” ประโยคลาเอ่ยผ่านริมฝีปากแผ่วผิว เปลือกตาอันหนักอึ้งปิดลงอีกคราเพื่อมิให้ความหม่นหมองเผยออกมาในความเลือนลางของสติ


ดงโฮนิ่งงันต่อคำลา นัยน์ตาคมยังจดจ้องอยู่ที่หน้าขาวละมุนของเด็กอายุสิบเจ็ดตรงหน้าอยู่นานหลายนาทีกว่าจะยกมือใหญ่ตบบนหัวทุยนั้นเบาๆคล้ายจะปลอบ


“อย่าฝันร้ายอีกล่ะ”


เสียงห้วนแข็งกล่าวดึงมือบนหัวทุยที่ผมยุ่งเหยิงไปยังมือจับประตูรถ เพียงเด็กหนุ่มได้ยินเสียงปิดประตูทุกอย่างคงอยู่ในความเงียบคล้ายกับเวลาได้หยุดลง


...บางทีชีวิตนี้ของเขา เขาอาจไม่ได้เป็นเจ้าของมันโดยแท้อย่างที่นายหมีบอก...


เด็กหนุ่มหลับอยู่ในรถนานเท่าใดเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ แต่เสียงกุกกักและกลิ่นน้ำมันผสมกลิ่นคาวเค็มโชยแตะจมูกเช่นเดียวกับละอองฝนกระทบผิวอ่อนเพียงครู่เครื่องยนต์ที่ดับสนิทกลับเดินกำลังอีกคราทำให้เขารู้สึกตัว พยายามสู้ความอ่อนแรงจากฤทธิ์ยาฝืนลืมตาน้อยๆมองในความมืดมิด ก่อนที่ล้อรถจะขยับเคลื่อนจากจุดจอดถอยไปด้านหลังช้าๆและไม่มีทีท่าจะเดินหน้าแต่อย่างใด


ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นทำให้คนอ่อนวัยคิดว่าฝันจึงวางใจปิดตาหลับต่อโดยไม่รู้ตัวเลยว่า ชีวิตอาจจบสิ้นในอีกไม่ช้านี่
--------------------------------------
เสียงหวูดเรือผสานกับเสียงเครนหน้าท่ารวมกับเสียงเครื่องต่างๆที่กำลังทำงานบนท่าเรือดังแข่งกับเสียงฝนฟ้าอันหนักหน่วง คลื่นลมแปรปรวนสาดซัดประกาศแสดงอำนาจแห่งธรรมชาติให้ได้ประจักษ์


ดงโฮกอดอกแลสายฟ้าฟาดเปลี่ยนพื้นฟ้าพื้นน้ำเป็นสีขาวโพลนบนอาคารจอดรถประจำท่าเรือที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาใช้บัตรพนักงานปลอมนำรถยนต์อีกคันมาจอดทิ้งไว้เพื่อใช้ในการเดินทางไปสนามบินเพื่อพักก่อนจะรับงานใหม่


แม้จะตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย หากเขายังยืนอยู่ตรงนี้อย่างไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำไมยังอยู่แทนที่จะเดินทางไปตามใจหมายเช่นทุกคราที่เสร็จงาน


...ความคิดเขายังติดอยู่กับข้อเสนอจากหญิงชราเมื่อกลางวัน...
...ข้อเสนอที่ทำให้เขาเกือบไขว่เขว้...
...แต่งานก็คืองาน ใครจ้างก่อนได้ก่อน...


อดีตทหารหนุ่มคิดหยิบเอาโทรศัพท์ระบบดิจิตอลออกมาดูข้อความสุดท้ายที่ส่งไปหาผู้ว่าจ้างซึ่งออกคำสั่งให้ส่งตัวเด็กหนุ่มผู้ที่ใช้ชีวิตด้วยกันร่วมอาทิตย์ไว้ในรถที่ไม่สามารถปลดล็อกได้ด้วยบุคคลอื่นหน้าบริษัทซ่อมบำรุงเรือที่มีเออร์ซัสเป็นผู้ควบคุมกิจการในนามอื่นเพื่อเลี่ยงภาษี ก่อนจะดึงเครื่องระบุตำแหน่งบนข้อมือที่สวมไว้ให้มาสังเกตการเคลื่อนไหวที่เมื่อห้านาทีก่อนยังนิ่งสนิท


...เลยเวลานัดหมายมาสามสิบนาที...


จุดแดงบนหน้าจอเครื่องระบุตำแหน่งหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้นจนมือใหญ่เกือบจะเก็บมันใส่กระเป๋าดังเก่า พลันจุดแดงนั้นกลับกระพริบเคลื่อนไปตามเส้นทางทีละน้อยเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ กระทั่งจับสังเกตได้ว่ามันกำลังถอยหลังแทนที่จะเดินหน้าก็ชะงักกวาดนิ้วเจาะพื้นที่ด้านหลังเพื่อดูสถานที่ที่รถกำลังมุ่งไป


...พื้นที่คลังเก็บและขนถ่ายน้ำมัน...


เพียงเท่านั้นชายหนุ่มแทบกระโจนขึ้นรถ เสียบเครื่องระบุตำแหน่งไว้บนแท่นวางต่อจากเกียร์ขับออกจากอาคารจอดลงไปพื้นด้านล่างด้วยความเร็วสูงอย่างไม่หวั่นต่อสายฝนหรือพื้นลื่นเจิ่งน้ำพลางจ้องจุดแดงบนเครื่องแทบไม่กระพริบตา


...ความร้อนใจทำให้ลืมสิ้นถึงกฎส่วนตัวที่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานที่ลุล่วงแล้ว...


รถยนต์คันงามแล่นทะยานไปตามถนนด้วยการเหยียบคันเร่งท้าทายความเสี่ยงของชีวิตเพื่อไปให้ถึงรถที่มีเด็กคนนั้นโดยสารซึ่งดูเหมือนจุดแดงนั้นจะเคลื่อนเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ


เสี้ยวนาทีที่อีกฝ่ายเร่งเครื่องมานั้นควานลินสะดุ้งตื่นจากความฝัน ตาปรือมองไปยังกระจกรถด้านหน้ารับรู้ถึงรถที่กำลังขับถอยหลังไปด้วยความเร็ว


ท่ามกลางแสงไฟสีส้มที่สาดเป็นระยะสลับกับดับมืด คนที่ยังได้สติกลับคืนไม่เต็มที่พยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเพื่อจะกระโดดหนีออกจากรถ น่าแปลกที่ไม่ว่าจะพยายามดึงมือจับประตูเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก


คนผอมหันรีหันขวางมองไปด้านหลัง หากหยดน้ำจากสายฝนที่เกาะพราวทำให้ทุกอย่างยิ่งลางเลือนเกินกว่าจะคาดคะเนรู้เพียงว่ากำลังเข้าใกล้ไปมากแล้ว


...ไอ้แบบนี่มีแต่ชนกับชน
...ถ้าข้างหลังเป็นคลังเก็บน้ำมันล่ะก็
...เอาแล้วไง...
...นายหมีนี่นะ...
...จะส่งมาตายทั้งที
...จะเอาแบบที่ตายง่ายๆก็ไม่ได้


เขาบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างปลงตกต่อชะตามากกว่าความกลัว พลันกลับมีบางสิ่งพุ่งเข้ามาชนฝั่งคนขับเข้าอย่างแรงส่งให้รถที่ถอยหลังหมุนคว้างแล้วแฉลบพ้นจากโกดังขนย้ายน้ำมันไถไปเรื่อย


เสียงคล้ายบางสิ่งหลุดจากตัวล็อกเกิดขึ้นก่อนที่รถทั้งคันจะพุ่งจากท่าเทียบเรือตกกระแทกลงไปในน้ำลึก


น้ำเย็นไหลเข้ามาในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว มือขาวพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยออกสุดแรงแต่ไม่หลุด หนำซ้ำเมื่อพยายามเปิดประตูแรงดันน้ำกลับทำให้มันปิดตาย ยิ่งน้ำท่วมสูงมิดภายในรถทำให้เด็กหนุ่มต้องกลั้นหายใจอยู่หลายสิบวินาทีเริ่มต่อสู้กับความตายที่ย่างกรายเข้ามาไม่ไหวแน่นิ่งไปจึงไม่ทันได้เห็นว่ามีใครคนหนึ่งแหวกว่ายสายน้ำเข้ามาใกล้เพื่อเปิดประตูที่ไร้แรงดันเนื่องจากน้ำภายในภายนอกอยู่ในระดับเดียวกัน


ดงโฮยกแขนที่คาดสายเสียบไฟฉายขนาดจิ๋วส่องไปทางเบาะผู้โดยสารแลเจ้าของดวงหน้าขาวที่ยังคาดเข็มขัดนอนไม่ได้สติ จึงว่ายเข้าไปใกล้กว่าเก่าแล้วดึงมีดพกออกมาตัดสายนิรภัยออกถึงดึงร่างผอมบางนั้นออกจากตัวรถลอยตัวขึ้นไปเหนือน้ำ


บนท่าเทียบเรือเต็มไปด้วยความวุ่นวายอลหม่านจากเหตุการณ์รถยนต์ชนกันและตกลงไปในน้ำ พนักงานจากโกดังขนย้ายน้ำมันกระทั่งพนักงานที่อยู่พื้นที่ละแวกใกล้เคียงเข้ามาล้อมส่องไฟเพื่อหาผู้เคราะห์ร้าย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือกำลังประสานงานไปยังหน่วยงานอื่นเพื่อเข้าช่วยเหลือ


ชายหนุ่มอาศัยความมืดพาร่างไร้สติลอยคอหลบแสงไฟแล้วค่อยๆเลียบไปตามลำเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ อาศัยความอึดทนจากการเป็นทหารผ่านตัวเรือที่มีความกว้างสามร้อยกว่าเมตรคูณกันปีนขึ้นฝั่งไปยังพื้นที่ลับตาคนที่พอจะหาได้


สองมือใหญ่ปลุกไปบนบ่าเพื่อจะปลุกให้ตื่นคืนสติพลางกวาดไฟฉายบนข้อมือสังเกตใบหน้า การกระเพื่อมของหน้าอกและหน้าท้อง


...ไม่หายใจ...


หลังประเมินอาการเด็กบนพื้นที่นอนหงายเปียกทั้งตัวจึงใช้มือกดหน้าอกลงไปสลับกับเป่าลมผ่านปากตามหลักการที่ได้ร่ำเรียนและได้ปฏิบัติจริงมาก่อนหน้า กระทั่งได้ยินเสียงไอสำลักจึงจับนอนตะแคงเพื่อเปิดทางเดินหายใจ


แสงจากไฟฉายกระทบตากลมในทันทีทำให้ทุกสิ่งในสายตาพรางพร่า แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ห่างจากตนเองไปเพียงเล็กน้อยยังลางเลือน น่าแปลกที่เขารู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร


“ตาย...แล้ว...ใช่...มั้ย” คำถามแรกหลุดออกมาเบาหวิวคล้ายเสียงกระซิบ


“ยัง”


“จริง...เหรอ”


“จริง” เสียงเข้มตอบรับหนักแน่น


ประโยคห้วนสั้นนั้นมีความหมายและสร้างความอุ่นแก่ใจมากพอให้ผู้อ่อนวัยกว่าหลุดยิ้มกว้างออกมา


“นั่นสินะ...ก็นายหมีบอกเอง...ถ้าอยู่กับนายหมี...ฉันจะไม่ตาย” เสียงอ่อนพึมพำทวนคำที่ได้ยินมาก่อนหน้าพลางหัวเราะเบาในความตลกร้ายของชีวิตที่ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง


ใน ณ ขณะนั้นเองที่ความอ่อนล้าจากความพยายามดิ้นรนเอาชีวิตทำให้สติที่ยังไม่ครบถ้วนค่อยๆขาดหาย โลกทั้งใบหมุนคว้างกลางอากาศพาสีดำสนิทมาทาบบนดวงตาพรากสติสัมปชัญญะไปสิ้นเพื่อปิดการใช้งานร่างกายชั่วคราว


...ทว่าริมฝีปากนุ่มสวยที่เซียวซีดของเด็กหนุ่มยังแย้มพรายดังกับหัวใจที่ไม่เคยได้หยุดพักพบความสงบเป็นครั้งแรก...


-----------------------แวะคุยกันก่อน------------------------
ลงบทสามไว้แล้วนะคะ ก็คิดว่าจะไม่ลงต่อแล้วแหละ เพราะว่าใช้พลังงานในการเขียนมากแต่ดูเหมือนจะเขียนได้ไม่ดีก็เลยเข้ามาแล้วปิดกันไม่อ่านเลย เราก็เลยคิดว่า ถ้าไม่มีฟีดแบ็กหรือมีคอมเม้นน้อยอยู่แบบนี้ เราว่าเราคงเขียนได้ไม่ดี แถมบทนี้บรรยายเยอะด้วย ยังไงก็ขอบคุณและขอโทษสำหรับคนที่อ่านด้วยนะคะ เข้าใจเราด้วยนะว่าเราวัดดวงกับบทนี้ 55555555555555555555555



You Might Also Like

3 Comments

  1. น้ำตามไหลพรากกกกกกกกกกกสงสารมากตอนที่ถูกเอาตัวไปส่งมันโหวงๆในใจ พูดอะไรด้วยเค้าก็ไม่พูดคนส่งตัวก็พยายามเก็บความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่คนถูกส่งตัวก็พยายามพูดคุยหวังอยากให้เค้าเปลี่ยนใจแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็อยู่ด้วยกันตั้ง7วันมันก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างแหละ อย่างน้อยก็เกิดความอบอุ่นในใจที่เค้าเอาใจใส่ตัวเอง ไม่แปลกทั่จะติดนายหมีแบบนี้ เฮ้อออออออน่าสงสาร แต่แค่รู้ว่าไม่ตายก็ดีแล้วเนอะ ขอบคุณไรท์ที่แต่งมาให้ได้อ่านจริงๆแล้วถึงจะไม่ค่อยอ่านคู่อื่นนอกจากวงที่ตามแต่ไม่รู้ทำไมอ่านของไรท์แล้วมันติดอกติดใจ อย่าบอกว่าแต่งไม่ดีบรรยายไม่ดีเลยนะ มันโคตรๆๆๆดีเลยแหละไรท์ ชอบมากๆ เป็นกำลังใจให้แล้วก็จะติดตามผลงานต่อไปทุกๆเรื่องนะคะ

    ตอบลบ
  2. ทำไมหลินพูดมากงี้ 55555555
    เข้าใจอารมณ์พิจ๋าเลยที่ต้องพยายามหาของกินมาอุดปากน้อง บทนี้ให้หลากหลายความรู้สึกดีอ่ะ ชอบทั้งมุมมองหลินและมุมมองของพี่จ๋า
    - ชอบที่หลินคิดนะว่าบางครั้งคนเราถ้ารู้ว่าจะต้องตายก็อยากจะรู้เหตุผลว่าทำไม ซึ่งจริงๆในความคิดทุกคนมันก็เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับพี่จ๋าที่ผ่านการสูญเสีย ผ่านชีวิตมามาก รับรู้แล้วเข้าใจว่าชีวิตเราไม่ได้ถูกกำหนดแค่ตัวเรา สิ่งแวดล้อมต่างหากที่พัดพาให้มันเป็นไป
    - อีกอย่างคือใต้ความเย็นชาแต่คือความเอาใจใส่ งืออ ตุ๊กตาน้องหมีที่ช่วยให้น้องหายผวาจากฝันร้าย
    ปล.ตัวเองอย่าทิ้งเค้าเลยยยยยยยย

    ตอบลบ
  3. เพิ่งได้อ่านค่ะ ฮือๆอย่าเพิ่งยอมแพ้เลยนะคะ /กอดขาไรเตอร์
    น้องหลินพูดเยอะมาก55555 แต่สงสารน้องนะ เพราะเข้าใจว่าเดี๋ยวตัวเองจะตายแล้ว(ซึ่งจริงๆก็เข้าใจถูกแล้วเนอะถ้าพี่ดงโฮไม่มาช่วยไว้ทัน)ก็เลยขอพูดกับคนที่จะเจอเป็นคนสุดท้ายเยอะๆงี้ ฮือ สงสารลูก กอดๆนะคะ ดีใจมากที่พี่ดงโฮมาช่วยน้องอ่ะ ดูแบบไม่สนใจ ไม่แคร์น้องเนอะแต่การกระทำของพี่นี่ ซื้อขนมให้(ถึงจะเพื่ออุดปากน้องก็เถอะ5555555) ซื้อตุ๊กตาให้งี้จะได้ไม่ฝันร้าย ฮือ ประทับใจพี่เขา ต่อจากนี้ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงนะ ลุ้น

    ตอบลบ