LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 22

04:28

 


แจ้งเตือน อ่านไปอย่าลืมเปิดเพลงฟังและดู OPV https://www.youtube.com/watch?v=xj3EaEPp4ro ด้วยนะคะเผื่อจะอินขึ้น 

ยามจันทร์รอนอ่อนคลายสีหม่น แสงเรืองรองก็กรายเข้าแทนที่ หากลมหนาวยังพัดกรรโชกหอบเอากลิ่นอายของทะเลและเกลียวคลื่นมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ชั้นเดียวล้อมรั้วปูนผสมหินไม่ต่างกับบ้านหลังอื่นในละแวกนั้น


หลังหน้าต่างที่ส่องเข้าถึงตัวบ้านบานหนึ่งมีร่างผอมนอนกระสับกระส่ายละเมอพึมพำไม่เป็นภาษา...ภาพเหตุการณ์ในความทรงจำเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการป่วยผสมโรคซึมเศร้าสลับกับภาพในวันที่เห็นดวงตะวันของตนทำให้ใจสลายอีกคราฉายซ้ำวนเวียนกลายเป็นฝันร้ายแสนทรมาน 


ดวงหน้าเรียวชื้นด้วยเหงื่อผสมน้ำตาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนทั้งร่างจะกระตุกพร้อมกับตาที่เบิกกว้าง อาการหอบหายใจรุนแรงราวกับคนเพิ่งฟื้นไข้เกิดขึ้นและหายไปในหลายนาทีต่อมา ตามด้วยความเงียบก่อนที่สายตาของคนฝันร้ายจะเบนมาทางชายหนุ่มที่กำลังบิดน้ำออกจากผ้าลงในอ่างใบเล็กข้างเตียง


“น้ำ” เสียงทุ้มติดแหบกล่าวสั้นพร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกมีน้ำสะอาดอยู่ค่อนแก้วมาตรงหน้า 


อีกฝ่ายใช้สองมือประคองรับแก้วมาด้วยกลัวว่าอาการสั่นของปลายนิ้วจะทำให้น้ำหก หลังดื่มน้ำจนหมดแก้วก็เหลือบมองต่ออย่างเงียบงัน 


ยองแจหลบจากเมืองใหญ่มาพักใจที่นี่ได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ความเจ็บทุกข์ในใจก็ดูเหมือนยังไม่คลี่คลายเสียที แต่พี่คนสนิทตั้งแต่เด็กดูจะจัดการปัญหาทุกอย่างที่ต้องเกิดระหว่างที่เขาหนีหายจากทุกคนรอบตัวของเขาได้ถึงเขาจะไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนเพราะพี่ไม่ยอมตอบก็เถอะ



“อาหารเช้าเสร็จแล้วนะ” คนตัวโตพูดพลางยกอ่างน้ำที่มีผ้าสะอาดลอยอยู่มาถือเตรียมออกไปเทข้างนอก


“ขอโทษนะครับ” คนบนเตียงเอ่ยออกมาอ่อยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใช้ประโยคนี้กับพี่กี่ครั้งกี่หนแล้ว ยังถือแก้วที่น้ำหมดแล้วไว้ด้วยสองมือ


ตั้งแต่วันแรกที่เขาตัดสินใจมาที่นี่ แจบอมดูแลเขาเป็นอย่างดีทั้งคอยอยู่เป็นเพื่อน ทำอาหารให้กิน หาหนังสือให้อ่าน กระทั่งตื่นมาคอยเช็ดตัวลดไข้ให้เวลาเขาฝันร้ายทุกวัน แม้จะเหนื่อยขนาดนั้นก็ยังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


คนเป็นพี่เลือกใช้วิธีไม่สะกิดแผลใจ ไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ปฏิบัติตัวเหมือนปกติทำให้ไม่รู้สึกอ่อนแอหรือน่าสมเพชไปมากกว่าที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้


“ตื่นแล้วก็ออกมาล้างหน้าล้างตากินข้าวล่ะ” 


สิ้นเสียงปิดประตู คนบนเตียงก็เงยหน้าพยายามสูดอากาศเข้ามาให้เต็มปอดแล้วปล่อยมันออกเพื่อคลายความแน่นตรงหน้าอกถึงค่อยลุกจากเตียงเดินตามหลังพี่ออกไป


ข้าวต้มร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นวางเคียงกับน้ำส้มคั้นสดเป็นอาหารแรกของวัน แจบอมตักข้าวเข้าปากขณะมองคนตรงข้ามที่อาบน้ำแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีสีสันก็ยังซีดเซียว สายตาเลื่อนลอยมองทุกสิ่งดูไร้จุดหมายขณะที่มือผอมจับช้อนคนข้าวในชามไปมาไม่มีทีท่าจะกิน


“กินเถอะ เดี๋ยวยากัดกระเพาะ” 


ประโยคพร่ำบอกเหมือนเดิมทุกวันทำให้อีกคนสะดุ้งฝืนตักข้าวเข้าปากทั้งที่ไม่หิวพลางเหลือบมองใบหน้าเรียบเฉยของคนแก่กว่าที่จิบชาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่


มีคำถามที่อยากได้ความกระจ่างกว่าที่พี่ตอบ หากเขาก็ล้มเลิกความคิดจะถามไปเสียก่อนเพราะเริ่มรู้สึกว่าการไม่ซักไซ้เช่นเดียวกับที่พี่ไม่ทำนำความสบายใจมามากกว่า แม้จะมีหลายครั้งที่เขาคิดจะถามถึงพี่ชายที่ดูแลตัวเองเหมือนพ่ออีกคนมากก็ตาม


“วันนี้พี่จะออกไปข้างนอกนะ” สุดท้ายความเงียบระหว่างการกินข้าวเกือบสิบนาทีก็จบลงด้วยการที่คนแก่กว่าเปิดปากพูดก่อน


“คะ...ครับ”


“พี่จะพยายามกลับให้เร็วที่สุด” 


“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ผมบอกพี่แล้วนี่ครับว่าถ้ามีธุระหรือมีงานอะไรให้ไปเลย ไม่ต้องห่วงผม ผมอยู่คนเดียว” เจ้าตัวรีบโบกมือเป็นเชิงไม่ให้กังวล


“เราเป็นน้องพี่ จะไม่ให้ห่วงได้ไง และก็อย่าคิดว่าเป็นภาระ เพราะพี่เต็มใจทำให้” การพูดดักทางด้วยรอยยิ้มที่ยากจะเห็นพาลให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มออกมาได้


“ขอบคุณครับ”


“ระหว่างนี้ถ้ารู้สึกปวดหัวหรือไม่สบายตรงไหน ยกหูโทรศัพท์กดเลขสามมันจะต่อสายตรงหาพี่ทันที ถ้าจำไม่ได้ก็อ่านโน้ตบนตู้เย็น พี่เขียนไว้แล้ว” 


แจบอมทิ้งท้ายแต่ยังไม่ยอมไปไหน รอจนน้องกินข้าวกินยาแล้วถึงค่อยสวมเสื้อโค้ทส่งยิ้มให้กับการโบกมืออำลาของน้องตรงหน้าประตูถึงเดินหายไป 


เมื่ออีกฝ่ายลับสายตายองแจก็ชักมือกลับลงมาข้างลำตัว ตากลมปรายมองไปยังความหม่นหมองของฟ้ายามเช้าในฤดูหนาว ความเย็นของผิวเนื้อถูกความอุ่นจากฮีตเตอร์เข้าแทนที่ ทว่าความอุ่นนั้นไม่มากพอจะแทรกถึงหัวใจอันโหวงว่างยามต้องอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบงัน


...อดทนไว้...


เขารำพันคำนั้นกับตัวเองอย่างหนักแน่น ทั้งที่หัวใจนั้นเปราะบางเหลือเกิน

-----------------------------------------------

มวลเมฆขาวสลับหม่นลอยเคลื่อนเกลื่อนพื้นฟ้า ความหนาแน่นของมันบดบังดวงตะวันมิให้ฉายแสงแห่งอรุณรุ่งมาเยือนผู้คนเบื้องล่าง สายลมเย็นพาดพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่นานเริ่มกรรโชกแรงตามความมืดลงของอากาศ ทว่าตรงระเบียงของเพนต์เฮาส์หรูย่านควังอินชั้นที่ 25 มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นท่ามกลางกองก้นบุหรี่


ใบหน้าที่เคยสะอาดเกลี้ยงเกลา บัดนี้กลับหมองคล้ำและรกครึ้มด้วยหนวดเครา นัยน์ตาคมมองตรงไปยังภาพแผ่นฟ้าเบื้องหน้าแต่ความคิดยังจับนิ่งอยู่กับคนสำคัญที่หายหน้าไป 


แดฮยอนคีบบุหรี่ที่จุดไฟอยู่ขึ้นสูบอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือจอแตกที่ถูกระงับหมายเลขไปชั่วคราวและตัวเครื่องโดนล็อกอัตโนมัติทั้งที่ใส่รหัสผ่านถูกต้องตลอดขึ้นมาดูด้วยดวงตาแดงก่ำ


...เกือบเดือนแล้วที่ยองแจหายไปจากชีวิต

...หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่


ช่วงเวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน ถึงขนาดที่เขาไม่สามารถทนอาศัยอยู่ในบ้านที่ทั้งคู่อยู่ร่วมกันมาได้ เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนของตัวบ้านเขาเป็นต้องเห็นยองแจอยู่ตรงนั้น 


...แต่พอเอื้อมมือไปเพื่อสัมผัสกลับคว้าได้เพียงอากาศพร้อมกับสมองที่ตระหนักรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นแค่ภาพจากความทรงจำ 

 
เขาอยู่ในบ้านนั้นไม่ได้ สุดท้ายเลยทำได้แค่ติดกล้องวงจรปิดไว้เผื่อว่าเจ้าของห้องจะกลับมา แล้วระเห็จตัวเองกลับมายังทรัพย์สินที่มีมาตามฐานะแต่แรกเริ่ม


จากนั้นเขาก็ใช้เวลาพักร้อนทั้งหมดเพียรพยายามตามหา ไล่ตามจากสถานที่ที่เจ้าตัวไปประจำจนถึงที่เจ้าตัวเอ่ยปากลามไปยังสถานที่ที่ปรากฏในอินสตาแกรมก็ไม่เจอ ลองใช้วิธีจ้างนักสืบเอกชนก็ยังไม่ได้เรื่อง พอจะเปลี่ยนวิธีมาโทรติดต่อตามรายชื่อในโทรศัพท์เครื่องกลับโดนล็อกหนำซ้ำโทรหาคนสนิทชิดเชื้อของอีกฝ่ายกลับไม่ได้รับคำตอบอะไร


โดยเฉพาะกับฮิมชานที่ติดต่อไม่ได้เลยสักช่องทางเหมือนกับถูกบล็อก พอลองไปหาถึงบ้านก็ไม่เจอใครนอกจากแม่บ้าน เมื่อลองถามเอากับพี่คนอื่นก็รู้เพียงว่าวุ่นวายกับการแก้ปัญหาเครื่องจักรในต่างประเทศไม่มีเวลาคุยกับใคร


...ไม่มีทาง

...เขาเชื่อว่ายังไงฮิมชานต้องรู้แน่ว่ายองแจอยู่ไหน 

...หรืออาจจะเป็นคนซ่อนยองแจเอาไว้เองก็ได้ 


ไม่ใช่แค่สัญชาตญาณที่ทำให้มั่นใจ แต่การที่ร้านกาแฟของยองแจปิดบริการไม่กี่วันก็เปิดทำการโดยมีบาริสต้าใหม่มาทำหน้าที่ก็ตอบแทบทุกคำถามที่เขาสงสัยได้แล้ว


...คำที่ว่าเขาอยากจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

...คำอีกหลายคำที่เขาไม่เคยพูดเลยสักคำ

...แต่พี่ฮิมชานบอกเองเสร็จสรรพว่าเป็นเขาพูด

...นั่นแสดงว่าพี่ชายคนนี้รู้แน่ว่ายองแจไปไหนแต่กีดกันไม่ให้พบ


คิดถึงตรงนี้มือที่คีบบุหรี่ก็กำแน่นจนเถ้าร้อนหล่นบนหลังมือ หากเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยในใจมีแต่ความโกรธ


...โกรธที่ค้นพบว่าตัวเองแทบไม่เคยทำความเข้าใจหรือรู้จักยองแจอย่างลึกซึ้งเลย

...โกรธตัวเองที่ทั้งโง่ทั้งกระจอกจนปล่อยคนสำคัญกว่าหัวใจหายไปต่อหน้าต่อตา

...โกรธตัวเองที่สุดท้ายเขาก็หนีไม่พ้นคำปรามาสของชายผู้ให้กำเนิด


‘ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลจองคุ้มกะลาหัว แกคิดว่าแกจะทำอะไรได้เหรอ แกคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ดีได้เหรอ แกถามหาความสุขในชีวิต ทั้งที่จริงๆแล้วแกไม่ได้เกิดมาคู่ควรกับการมีความสุขนะน่ะ ถ้าแกเป็นหมารับใช้ที่ซื่อสัตย์กับฉันยังไม่ได้ แกก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว’


...วาจาเสียดแทงที่ผู้ชายคนนั้นตอกหน้ายังดังก้องอยู่ในหูแทบทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะได้ยินมันผ่านมานานแล้วก็ตาม 


ในตอนนั้นเขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าตัวเองไม่มีทางปล่อยให้ฝันร้ายในอดีตตามหลอกหลอนหรือหล่อหลอมเขาอีก ทว่าเวลานี้เขากลับค้นพบว่า ความสามารถที่มีของเขาในตอนนี้ไม่มากพอจะใช้ตามหาคนสำคัญของตัวเองได้


ครั้นจะพึ่งพาคนอย่างพี่หมอก็แน่ใจว่า คนประเภทหลงใหลในความทุกข์ทรมานของคนอื่นไม่มีทางยื่นมือมาช่วย หนำซ้ำยังจะทำให้เขาลำบากเพราะมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ


ความอึดอัดคั่งแค้นระคนเจ็บปวดจนเกินกลั้นทำให้เขาต้องหาทางระบายด้วยการกำหมัดทุบพื้นอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเหลือบไปเห็นนกที่พับจากเปลือกขนมทำท่าจะปลิวออกมาจากห้องถึงลุกจากพื้นเดินโซซัดโซเซกลับเข้ามาในตัวอาคารแล้วปิดประตูกระจกนิรภัยตรงระเบียงลง


เพนต์เฮาส์กว้างขวางถูกจัดตกแต่งโดยสถาปนิกและมัณฑนากรผู้มีชื่อเสียงให้ทันสมัยและสะอาดตาโดยเน้นโทนสีดำและเทาเป็นหลักแต่ยังคงบรรยากาศความหรูหราเอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมปรากฏอยู่ตรงหน้า หากความสนใจของเขาพุ่งตรงไปยังหยิบนกที่พับจากเปลือกขนมบนพื้นขึ้นมาแนบอกราวกับเป็นของล้ำค่า


พลันเสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนจะรับสายแล้วฟังอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หุนหันคว้าเสื้อโค้ทได้ก็วิ่งพรวดออกจากที่พักแทบจะทันที

--------------------------------------------------

อาคารสามชั้นใช้เป็นสตูดิโอถ่ายภาพตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวสะอาดตาผสมกับเฟอร์นิเจอร์ใหม่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูรั้วมหาวิทยาลัยมีลูกค้ามาใช้บริการหนาตา ด้วยชั้นสองและชั้นสามมีร้านกาแฟและขนมปังซ่อนตัวอยู่


ชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อโค้ทสีดำผลักประตูสตูดิโอเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสามอันเป็นพื้นที่ให้ลูกค้าของร้านทั้งสองสามารถมานั่งดื่มกินชมวิว แล้วตรงไปหาชายสวมเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่มุมในสุดของร้าน


เก้าอี้ตัวที่ว่างถูกลากออกมานั่งโดยไม่ขออนุญาต หากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนยังคงจิบกาแฟเช่นเดิมราวกับไม่เห็นว่ามีใครมาร่วมโต๊ะด้วย


“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ” เสียงเข้มติดแหบนั้นเอ่ยทำลายความเงียบ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงวางเฉยจนผู้เปิดบทสนทนาพูดถึงประเด็นที่มาหาโดยไม่รีรอ “ฉันเจอคนที่นายตามหามาตลอดแล้ว” 


เพียงได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาให้ได้ยิน คนที่จิบกาแฟเงียบอยู่เป็นนานก็เหลือบตาขึ้นมาสบเผยให้เห็นใบหน้าหล่อละมุนดูราวกับคุณชายผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์


เพียงประโยคนั้นหลุดจากปากคนที่นิ่งอยู่เป็นนานก็เหลือบตาสีน้ำตาลปรายมองเผยให้เห็นใบหน้าขาวสะอาดที่มีความหล่อผสานกับความอ่อนละมุน เรือนผมสีน้ำตาลสั้นแม้ปัดเสยด้วยมืออย่างไม่ตั้งใจกลับเข้าทรงส่งให้ดูราวกับคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์


“แต่เขาไม่ใช่คนเดิมที่นายจำได้มาตลอดคนนั้นอีกแล้ว เด็กที่เคยสดใสมากคนนั้น ตอนนี้เปราะบางและต้องการ...” คำพูดเรียบเรื่อยเอ่ยยังไม่ทันจบกลับถูกเสียงทุ้มนุ่มแต่แน่วแน่ของอีกฝ่ายขัดขึ้นพร้อมกับแก้วกาแฟที่ถูกวางลงบนโต๊ะ


“เขาอยู่ไหน...ผมจะไปหา”

------------------------------------------------------------------

สายน้ำเย็นเฉียบไหลผ่านจากฝักบัวรดลงบนต้นไม้ที่ริดใบเหลือติดกิ่งไว้เพียงนิดเพื่อความอยู่รอดชวนให้รู้สึกเศร้าหมอง ยิ่งแหงนหน้ามองสูงไปเจอความอึมครึมของท้องฟ้า ประกอบกับลมผสมกลิ่นคาวเค็มจากทะเลคอยพัดกรรโชกแรง คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความหม่นหมองทั้งที่ตนเองก็ทุกข์เศร้าอยู่แล้วเลยรู้สึกหนาวและหดหู่จนทนอยู่ข้างนอกไม่ไหว


...นี่ก็บ่ายสองแล้วนะทำไมฟ้ายังไม่โปร่งบ้างเลย...


ยองแจเดินขึ้นบันไดเฉลียงหน้าบ้านพลางวางบัวรดน้ำไว้บนชั้นไม้ที่ตั้งขนาบข้าง แล้วค่อยเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านที่อบอุ่นแสนสบาย หากเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง


อันที่จริงบ้านพักตากอากาศริมทะเลหลังนี้ไม่ใช่ความตั้งใจแรกที่พี่ชายคนสนิทจะพามา แต่พี่บอกกับเขาว่า คงพาไปอยู่ไม่ไหวเพราะที่นั่นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสิ่งบันเทิงใจอะไรเลย นอกจากหนังสือ ถ้าเกิดมีกรณีฉุกเฉินรถก็เข้าไปไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องพามาอยู่ที่นี่แทน


บ้านหลังนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แต่ไม่มีสัญญาณโทรทัศน์หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ส่วนมือถือพี่ก็ไม่ได้หามาให้ มีแค่โทรศัพท์บ้านให้ใช้ยามจำเป็นด้วยไม่ต้องการให้เขาถูกรบกวนในระหว่างพักใจ


ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือจากบนชั้นตรงมุมนั่งเล่นสี่ห้าเล่มมานั่งอ่านบนโซฟา...พยายามพุ่งความสนใจไปกับตัวอักษรในหน้ากระดาษเพื่อไม่ให้จิตคิดฟุ้งซ่านแต่กลายเป็นว่า อ่านได้พักหนึ่งก็วาง อ่านได้อีกพักก็วางจนต้องหยุดอ่านไปโดยปริยาย


เมื่อหันมองไปทางนาฬิกาที่แขวนบนผนังก็เห็นว่าเกือบบ่ายสามแล้ว ร่างผอมจึงลุกจากโซฟาเดินไปหน้าตู้เย็นตั้งใจว่าจะกินผลไม้ที่เขากินเหลือจากตอนกินมื้อเที่ยงมาเคี้ยวแก้เบื่อ…ตามองไปก็เห็นกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือแปะไว้ว่า อาหารกับของว่างมีอะไรบ้าง วิธีการและอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการอุ่นอาหารเพื่อไม่ให้เสียคุณค่าทางอาหารเกินไป แถมทิ้งท้ายเตือนไม่ให้ลืมกินยา


...การเขียนบอกวิธีการอย่างละเอียดนี้ทำให้เขาคิดถึงพี่ชายคนสนิทอีกคนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง

…ไม่รู้ว่าพี่แจบอมจัดการยังไงถึงทำให้คนจับสังเกตเก่งอย่างพี่ฮิมชานไม่ระแคะระคายกับการหายไปของเขา

…หรืออาจเพราะพี่ฮิมชานยุ่งกับการแก้ปัญหาเครื่องจักรเลยจับผิดไม่ทัน

...แล้วตอนนี้ครอบครัวกับพี่ๆน้องๆเพื่อนๆ กระทั่งลูกค้าประจำที่ร้านจะเป็นยังไงบ้างนะ


เมื่อคิดถึงมิตรรอบข้างของตนเองก็มีภาพของคนที่ไม่อยากนึกถึงซ้อนทับเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

...ห้ามคิด

...ห้ามนึกถึง

...ลืมๆไปซะ


ตากลมรีบปิดแน่นพร้อมกับสะบัดหน้าไปมาแรงๆ เพื่อสลัดภาพของเขาคนนั้นทิ้ง รีบหยิบจานผลไม้จากในตู้มาวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์รุ่นเก่าแล้วไปยืนเลือกแผ่นภาพยนตร์ที่อยู่รวมกันบนชั้นหนังสือ พอได้เรื่องที่อยากดูแล้วก็มายัดใส่เครื่องเล่นดีวีดีที่ยังใช้การได้


ความรู้สึกจมดิ่งลงทีละน้อยทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรอยู่ในหัวเหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในภาวะซึมเศร้าและเจ็บป่วย


เสียงจากโทรทัศน์ช่วยให้บ้านไม่เงียบเกินไป หากคนที่นั่งกอดเข่าบนโซฟามองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย จิตใจว่างเปล่าราวกับหุ่นไร้ชีวิตฉุดให้ความรู้สึกจมดิ่งลงทีละน้อย และกลายเป็นว่าโทรทัศน์ดูเขามากกว่าจะเป็นเขาที่ดู


พลันลมภายนอกก็โหมแรงกว่าปกติ พาให้หน้าต่างทั้งบานทั่วบ้านสั่นไหวและในไม่ช้าฝนหลงฤดูก็เทลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัยราวกับพายุเข้ากะทันหันอย่างไรอย่างนั้น


นาทีนั้นเองที่เจ้าตัวหลุดจากภวังค์หยิบรีโมทมากดย้อนภาพยนตร์เรื่องเดิมไปตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง จากนั้นค่อยลุกไปชงโกโก้มาดื่ม 


เขาถือถ้วยโกโก้ร้อนมานั่งจิบหน้าโทรทัศน์ พยายามตั้งสมาธิกับการสื่อบันเทิงที่เลือกสรรมาเองตรงหน้า กระทั่งจบไปเรื่องหนึ่งจึงเปิดเรื่องที่สองต่อโดยอาศัยช่วงแนะนำนักแสดงตอนต้นเรื่องไปล้างถ้วย


เสียงฝนกระทบหลังคาทวีความรุนแรงจนยองแจเริ่มระแวงละสายตาจากอ่างล้างจานมองไปทางหน้าต่าง เห็นสายฝนกระหนำมองแทบไม่เห็นอะไรภายนอกก็นึกเป็นห่วงพี่ชายเจ้าของบ้านที่ยังไม่กลับมาเสียที ยังไม่ทันจะทำอะไรฟ้าก็ลั่นเปรี้ยงเสียงดังจนเจ้าตัวสะดุ้งโหย่งทำถ้วยหลุดมือหล่นแตก


เศษแก้วกระเด็นบาดเข้าตรงนิ้วชี้ รอยบาดที่มีเลือดไหลซึมออกมาแทบจะเป็นรอยเดียวกับรอยแผลเก่า


...แผลถูกแก้วบาดที่เคยได้รับในวันบินหนีเพื่อนร่วมห้องไปสวีเดน...


เลือดจากปากแผลที่เล็กแต่ลึกหยดลงในอ่าง ยองแจกลืนน้ำลายเอานิ้วจ่อน้ำจากก็อกไว้เพื่อล้างเลือดพลางร้องเพลงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพื่อสะกดจิตตัวเองไม่ให้เผลอปล่อยให้ความทรงจำที่มีเขาคนนั้นปรากฏตัวในความคิด


พอเลือดดูท่าจะแห้งก็เก็บเศษแก้วชิ้นใหญ่ลงถังขยะและใช้ช้อนเขี่ยชิ้นแก้วเล็กๆที่เหลือลงท่อจนแน่ใจว่าเรียบร้อยดีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่มีอะไรแล้วแต่มือดันไปเท้าขอบอ่างเลยโดนเศษแก้วใสที่มองไม่เห็นตำมือเข้าให้


ความเจ็บเพียงครู่ถูกความชาแล่นวาบไปทั้งมือ ยองแจจ้องเลือดของตัวเองก็เริ่มปากคอสั่นทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น หากลึกๆยังมีอาการกลัวเข็มและเลือด


...ก่อนหน้านี้ไม่เป็นไรเพราะมีฮิมชานคอยช่วยรับมือเลยอดทนได้ 


ผ่านไปหลายนาทีกว่าเจ้าตัวจะตั้งสติและรู้ว่าบนพื้นที่ตนยืนอยู่เต็มไปด้วยเลือด เลยกลั้นหายใจข่มความเจ็บดึงเศษแก้วออก ค่อยจัดแจงเปิดน้ำล้างแผลอีกรอบแล้วคว้าผ้าเช็ดมือมาพันจนแน่นพร้อมยกมือเหนือศีรษะ 


เขาหยิบกล่องปฐมพยาบาลบนชั้นใต้โทรทัศน์ข้างเครื่องเล่นดีวีดีออกมา พยายามทำแผลด้วยมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเลสักพักก็ยอมแพ้ ลุกไปหาโทรศัพท์บ้านเพื่อกดโทรหาแจบอม


เพราะใช้มือได้ข้างเดียวเลยต้องหนีบหูโทรศัพท์ไว้บนไหล่ ปลายนิ้วจิ้มแป้นเลขสามแล้วรอสาย จังหวะนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงจากโทรทัศน์...เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงจากภาพยนตร์เก่าเรื่องหนึ่ง


…คุณน่ะใจร้ายมากเลย แต่หนูไม่เกลียดคุณหรอกนะ ถ้าหนูเกลียดคุณล่ะก็ โลกนี้ก็ไม่เหลืออะไรที่หนูชอบอีกแล้ว เวลาที่หนูคิดแบบนั้นมันจะเจ็บตรงนี้ เพราะงั้นหนูจะไม่เกลียดคุณ


แม้นจะไม่เห็นภาพบนหน้าจอเลย ทว่าประโยคนั้นกลายเป็นชนวนให้ย้อนคิดถึงช่วงเวลาทุกวันอาทิตย์ที่เคยใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อนร่วมห้อง ทั้งออกไปเที่ยวเล่น กินข้าว ดูหนังฟังเพลง กระทั่งพูดคุยเรื่องต่างๆด้วยกัน 


...และหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ย้อนคิดเมื่อไหร่ก็จะปรากฏเป็นภาพในความคิดอย่างชัดเจน


ณ ตอนที่น้ำตาซึมจากความเศร้าเพราะอินไปกับเรื่องราวในหนัง คนข้างตัวขยับจากโซฟาลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าแล้วหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาด้วยรอยยิ้มกว้างพลางเอ่ยคำที่ทำให้หัวใจพองโต


'เจ้าน้ำตาเหมือนกันนี่...แต่ฉันก็ชอบนะ คนเจ้าน้ำตาน่ะ'


เสียงทุ้มของครคนนั้นสะท้อนอยู่ในหูราวกับเพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่...ประโยคที่ครั้งหนึ่งเคยต่อความหวังในหัวใจว่าสักวันสิ่งที่คิดฝันจะเป็นไปได้ หากในตอนนี้กลับเป็นประโยคที่ทิ่มแทงหัวใจอย่างที่สุด


...ทำไมถึงคาดหวังว่าเขาจะรักได้ ในเมื่อเขาแจกจ่ายความใจดีกับทุกคนไม่เลือกหน้า

...ทำไมถึงคาดหวังว่าเขาจะรักคนมืดมน ขี้โรคได้ ในเมื่อเขามีใครอื่นอีกมากมายรายล้อม

...ทำไมถึงคาดหวังว่า ดวงตะวันสว่างไสวดวงนั้น จะสาดแสงถึงก้อนหินในซอกกำแพงได้

...ทำไมตัวเองถึงเป็นคนอ่อนแอได้มากขนาดนี้


คำถามเหล่านั้นย้ำซ้ำอยู่ภายในใจ ไม่มีน้ำตาไหลรินมาสักหยดแต่ความขมขื่นเป็นเสมือนหินก้อนยักษ์กดทับลงบนตัวให้หายใจไม่ออก อาการแน่นหน้าอกเหมือนจะตายเสียให้ได้เมื่อรวมกับเลือดจากบาดแผลที่ยังไหลซึมทำให้ร่างผอมล้มคว่ำไปกับพื้น


ด้วยกำลังอันน้อยนิดและสติใกล้ลางเลือน แม้แว่วเสียงใครคนหนึ่งจากหูโทรศัพท์ตะโกนเรียกก็ไม่อาจขานกลับ กระทั่งได้ยินเสียงบางสิ่งกระแทกประตูอย่างรุนแรงลอยมาก็ไม่สามารถขยับไปไหน 


เสี้ยวนาทีที่คิดว่าชีวิตจะจบลงตรงนี้กลับมีเสียงของชายคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเขาและไม่ถึงนาทีใครคนนั้นก็แทบกระโจนเข้าไปหาแล้วทำอะไรบางอย่างกับมือของเขา


ตอนแรกยองแจคิดว่าพี่ชายคนสนิทอย่างแจบอมมาช่วยแต่เสียงที่กำลังโทรตามรถพยาบาลแปร่งไปถึงรู้ว่าไม่ใช่ ตากลมที่เผยอได้เพียงน้อยพยายามมองหน้าของอีกฝ่าย 


แปลกที่ใบหน้าวิตกกังวลของชายคนนั้นดูคลับคล้ายคลับคลากับใครคนหนึ่งที่เขาเฝ้าตามหามาตลอด 


“จิน...ยอง...มั้ย”  ริมฝีปากขยับถามโดยไร้เสียงก่อนที่ทุกอย่างในสายตาเขาจะดับมืดลง


----- แวะคุยกันก่อน -----

อันนี้ขอตัดตอนมาก่อน ยาวมาเดี๋ยวเหนื่อยอ่านเกิน หายไปนานมากเพราะแม่ไม่สบายค่ะ ตอนนี้คุณแม่ไปสวรรค์แล้วก็เลยกลับมาเขียน แต่ดราม่ามากนะ เตรียมใจไว้หน่อยแต่รับรองว่าเราพยายามกระชับเรื่อง อดทนสักไม่กี่บทแล้วค่อยไปเจอความหวานอย่างมากมายมหาศาลนะคะ ขอบคุณคนอ่านจำนวนสองคนที่ยังรออ่านเรื่องนี้อยู่ ขอบคุณจริงๆ 


ปล.อ่านไปอย่าลืมเปิดเพลงฟังและดู OPV ไปด้วยนะคะ เผื่อจะอินขึ้น แล้วก็หนังที่พูดประโยคนั้นคือเรื่อง The Man from Nowhere ค่ะ


You Might Also Like

2 Comments

  1. ไม่ระบุชื่อ20/7/66 23:55

    คิดถึงเรื่องนี้มากๆ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ28/11/66 23:09

    ใาอัพต่อเถอะค่ะ รอเสมอ

    ตอบลบ