LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 21

14:21


เกล็ดหิมะร่วงโรยถมทับกันหนาชั้นพาให้ทั้งเมืองซึ่งถูกตกแต่งประดับประดาเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นมาได้หลายชั่วโมงถูกย้อมไปด้วยสีขาวโพลน สายลมหนาวเหน็บพัดแรงพาให้กระจกใสของบานหน้าต่างสั่นไหวแต่ยองแจยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน

 


นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดออกไปราวกับกำลังจับสังเกตบางสิ่งด้านนอกทั้งที่ความเป็นจริงมันเป็นเพียงการส่งสายตาไปอย่างเลื่อนลอยด้วยความนึกคิดนั้นลอยไกลข้ามไปยังอีกซีกโลก

 


ราวสามอาทิตย์แล้วที่เขาใช้ชีวิตและข้ามผ่านปีใหม่พร้อมกับครอบครัวในสวีเดนโดยไม่คิดติดต่ออะไรกับใครอื่น นอกจากฮิมชาน ทั้งยังพยายามไม่หยิบจับโทรศัพท์มือถือโดยวางทิ้งไว้ในห้องนอนด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอเข้าไปส่องเพื่อนร่วมบ้านเข้า

 


กระนั้นในค่ำคืนอันเงียบเหงาไร้การก่อกวนจากหลานฝาแฝดที่หลับรวมทั้งการสนทนากับพ่อแม่ แม้จะง่วงจากฤทธิ์ยาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มากดดูภาพของชายผู้เป็นพระอาทิตย์ของใจมาเนิ่นนาน  แต่พอได้เห็นภาพถ่ายเขายิ้มสดใสอยู่กับใครต่อใครไปทั่ว สวนทางกับข้อความพรรณนาความคิดถึงที่ส่งมาหาในคาทกราวกับทุกตัวอักษรเป็นเรื่องโกหก ความน้อยใจระคนผิดหวังก็จุกแน่นไปทั้งอกถึงขนาดบางคราก็ทำให้น้ำตาร่วงออกมาไม่รู้ตัว

 


...ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันนะ...

...ต้องนานแค่ไหนถึงจะทิ้งความรู้สึกทั้งหมดนี้ไปได้...

 


“ร้านกาแฟของแก...มันทำกำไรพออยู่หรือเปล่า” เสียงดุอันคุ้นเคยถามจากเบื้องหลังทำให้ไหล่ผอมของคนที่ความคิดลอยไกลไหวสะท้านจากอาการสะดุ้ง

 


ชายหนุ่มละสายตาจากหน้าตากลับมามองชายสูงวัยผมสีดอกเลาสวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำกับกางเกงสีกากี ดวงหน้าหลังแว่นตากรอบทองเรียบเฉยตามปกติวิสัย


 

“ก็ดีครับ...ส่วนใหญ่ลูกค้าประจำของผมเป็นหมอ พยาบาลกับพวกคนไข้ที่มาหาหมอ” เสียงทุ้มอ่อนตอบกลับ...ตาสบกับตาของคู่สนทนาเพียงครู่ก็เสหลบอย่างเคยชิน

 


ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเขาไม่ใคร่จะราบรื่นเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่ ด้วยครอบครัวเขามีพ่อเป็นเสาหลักและผู้บัญชาการสูงสุดของบ้าน ด้วยความที่มีตำแหน่งเป็นทั้งเลขาและที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนให้กับนักธุรกิจจากตระกูลอิมเลยมีคนนับหน้าถือตากระทั่งจับตามอง พ่อเลยเข้มงวดกวดขันพี่ชายกับเขาให้ออกมาสมบูรณ์แบบ

 


ทว่าเขากลับไม่เคยเป็นลูกชายอย่างที่พ่อหวังเลยสักที ตั้งแต่เล็กเขามีปัญหาขัดแย้งจากความไม่เข้าใจในตัวพ่อ หนักสุดก็คงเป็นตอนที่เขาพยายามปกป้องจินยองเลยถูกพ่อลงไม้ลงมือด้วยเป็นครั้งแรก และนับจากนั้นมาเขาแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับพ่อ แม้จะย้ายมาอยู่สวีเดนเพื่อเริ่มต้นชีวิตที่ลำบากกว่าเดิมก็ยังมีกำแพงใจที่ไม่อยากให้เข้ามาก้าวก่าย ต่อให้ทำอะไรตามคำสั่งข้างในก็ต่อต้าน กระทั่งลุงหยิบยื่นโอกาสให้ทำตามปรารถนาเขาก็ตกลงทำอย่างไม่ลังเล

 


ตลอดมาเขาคิดว่าพ่อไม่เคยรักเขาในฐานะลูก หากในช่วงเวลาที่เขานอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเป็นปี พ่อที่รู้ความจริงทุกอย่างว่าเขาทำทุกอย่างนอกเหนือจากความต้องการของพ่อ แปลกที่พ่อไม่มีทีท่าตำหนิอะไรซ้ำแววตาที่มองมายังเต็มไปด้วยความกังวลใจ


 

นับจากนั้นพ่อก็ดูค่อยๆโอนอ่อนลง นั่นทำให้เขารู้ว่า ความจริงพ่อก็คงรักเขาเหมือนกันเพียงแค่แสดงออกแบบพ่อใจดีไม่เป็น ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อพ่อหลายอย่างยังคงเดิมด้วยมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

 


“แกปิดร้านนาน...ลูกค้าจะไม่หายหมดรึ”


 

“ผมมั่นใจในกาแฟกับขนมของร้านผมนะ ต่อให้ลูกค้าหายไปก็จะมีใครใหม่มาเป็นลูกค้าประจำอยู่ดี อีกอย่างร้านผมมันอยู่ข้างโรงพยาบาลไม่ไกลจากย่านการค้า คนเยอะตลอดยกเว้นช่วงปีใหม่นี้แหละที่จะเงียบๆหน่อย อ้อ ผมมีเพจของร้านด้วย เวลาผมจะปิดร้านผมจะบอกไว้ในนั้น แต่ถ้าผมปิดร้านนานเกินพี่ฮิมชานเขาจะหาบาริสต้ามาทำงานแทนผมให้น่ะครับ”  

 


“ยังต้องพึ่งฮิมชานอยู่อีก”


 

“ก็...พี่เขา...เต็มใจ...เพราะผม...เป็นเหมือน...น้องชายเขา” คนเป็นลูกตอบตะกุกตะกักด้วยคิดไปว่าคำถามนั้นมีเพื่อการกดดันให้หัดรับผิดชอบตัวเองอย่างที่เมื่อก่อนพ่อเคยเปรยเวลาเห็นฮิมชานทำอะไรให้เขา

 


จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมคนทั้งคู่ไว้ ความกระอักกระอ่วนใจนั้นทำให้ผู้อ่อนวัยผินหน้ากลับไปยังหิมะขาวโพลนด้านนอกก่อนที่เสียงจากผู้เป็นพ่อจะเรียกให้หันกลับไปหา

 


“ถ้าแกดูแลร้านที่นั่นอยู่ตัวแล้ว...ก็กลับมาเปิดร้านที่นี่ แล้วให้ร้านที่เกาหลีเป็นร้านสาขาไปซะสิ”

 


เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินการยอมรับกลายๆในสิ่งที่พยายามพิสูจน์ให้เห็นมาตลอดว่าสามารถดำรงชีพได้แม้จะเป็นแค่เจ้าของร้านกาแฟพาให้ดวงตาเบิกกว้าง

 


“ฮิมชานเขามีอะไรให้ต้องทำเยอะ ตัวแกเองก็โตพอแล้ว ถ้าแกกลับมา แกจะเปิดร้านกาแฟดูแลทุกอย่างเองหรือจะเป็นบาริสต้าอย่างเดียวหรืออยากทำอะไรอย่างอื่นก็ทำได้เลย พ่อจะช่วยแก เท่าที่แกจะให้ช่วยได้ ขอแค่...แกกลับมา...อยู่บ้านด้วยกันก็พอ”

 


น้ำเสียงที่อ่อนล้าแฝงความห่วงใยภายใต้สีหน้าท่าทางอันเรียบเฉยเป็นอาจิณ พาให้ฝ่ายได้ยินกระพริบตาถี่ด้วยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผู้เป็นพ่อที่มีต่อตนเอง และในตอนนั้นความคิดที่อยากจะกลับมาอยู่กับครอบครัวซึ่งเคยแล่นเข้ามาในหัวเป็นครั้งคราวก็กลับมา

 


...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าครอบครัวอยากให้อยู่ที่นี่มากขนาดไหน...

...แต่ความที่คิดกลัวมาตลอดว่าจะกลายเป็นภาระหรือถูกดูแลจนอึดอัดเลยไม่อยากกลับมา

...หรือมันถึงเวลาที่เขาจะกลับบ้าน

...และให้โอกาสตัวเองพักรักษาแผลในใจรวมทั้งปล่อยคนที่แอบรักไปมีชีวิตอย่างที่เขาอยากจะมี


 

“ผม...จะ...ลองคิดดู” เขาตอบรับไม่เต็มเสียงหันไปมองผู้เป็นพ่อด้วยดวงตาที่เริ่มสั่น หากไม่กี่วินาทีต่อมาหลานฝาแฝดก็วิ่งกรูเข้ามาหาพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนส่งให้พร้อมกับช่วยกันเล่าว่า คุณย่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังหลายรอบก็เลยวานทั้งคู่ให้เอามาให้

 


ยองแจรับโทรศัพท์พลางเอ่ยขอบใจหลานด้วยรอยยิ้มกว้าง มองหลานวิ่งไปเล่นตัวต่อเลโก้ตรงกลางห้องพักหนึ่งถึงก้มมองข้อความแจ้งเตือนจากซองวอนที่โทรมาหาเขานับสิบสาย


 

“เดี๋ยว...ผมขอไปโทรศัพท์ก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอกแล้วเดินหลบไปมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นด้วยความสงสัย เพราะปกติถึงซองวอนจะเป็นรุ่นพี่และคุยกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยโทรผ่านคาทกมาหามากมายแบบนี้มาก่อน

 


ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแต่ครั้งนี้ปรากฏชื่อบนหน้าจอคือฮิมชาน ทำให้ปลายนิ้วกดรับสายแล้วแว้ดใส่อย่างไม่ลังเลตามความเคยชิน

 


“พี่...ไหนว่าจะรีบเคลียร์เรื่องเครื่องจักรที่โรงงานจะไม่ว่างคุยหลายวัน ทำไมยังมีเวลามาโทรหาผมอีกเนี่ย”

 


“พี่จะโทรมาบอกว่า พี่คงบินตามไปที่สวีเดนไม่ได้แล้วนะ ต้องบินไปคุยงานที่ออสเตรเลีย เลยจะโทรมาถามว่าเราจะอยู่ที่นั่นอีกนานมั้ย ถ้านานจะได้หาบาริสต้ามาดูร้านให้ก่อน ไม่งั้นร้านเจ๊งกันพอดี”

 


“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวผมก็กลับ”

 


“ไอ้เดี๋ยวของเราน่ะ มันกี่วันกัน”

 


“ก็...อีกไม่กี่วันหรอก”


 

“ไม่กี่วันที่ว่าถึงอาทิตย์มั้ย...ถ้าถึงพี่จะหาบาริสต้าไว้เลย”

 


“ผมไม่รู้หรอก...รู้แค่ว่าไม่นานหรอก เพราะยังไงก็ต้องกลับไปอยู่ดี”

 


“โอเค...งั้นถ้าอีกสองสามวันพี่โทรหาแล้วเราบอกยังไม่กลับ พี่จะหาตัวบาริสต้าไว้เลย แค่นี้นะ” สิ้นคำปลายสายก็วางไปโดยไม่รอรับคำตอบ จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกแต่ชื่อที่อยู่บนหน้าจอว่าโทรผ่านคาทกมาหานั่นคือรุ่นพี่ที่เพียรโทรมาหลายสิบสายคนเดิม

 


ด้วยกลัวว่าการโทรมาอย่างผิดวิสัยอาจจะเป็นการไหว้วานของเพื่อนร่วมบ้านก็เป็นได้เลยไม่ยอมกดรับสายเสียที สุดท้ายปลายสายก็วางไปตามมาด้วยข้อความจากเตือนจากซองวอนที่เด้งรัว


 

...ยองแจกลับมาหรือยัง...

...จะกลับเมื่อไหร่บอกพี่ทีสิ...

...ถ้ายังไงว่างแล้วโทรกลับมาหาพี่หน่อย...

...ไม่ต้องห่วง พี่โทรหาเองไม่ใช่ไอ้แดฮยอนฝากหรอก...

 


ข้อความสุดท้ายที่เด้งมาบนจอโดยไม่ต้องกดอ่านนั้นทำให้ลังเล แต่ในท้ายที่สุดเขาก็กดโทรกลับไปหาพร้อมกับความกลัวว่าจะถูกหลอก พอได้ยินเสียงของซองวอนลอดผ่านก็ลอบถอนหายใจ

 


“โทรหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” หลังทักทายไปตามมารยาทช่วงแรกก็ถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป

 


“พี่ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ แต่พี่อยากรู้ว่าแดฮยอนมันทำอะไรผิดมากนักเหรอ เราถึงโกรธมันขนาดนี้ มีปัญหาอะไรก็คุยเคลียร์กันสิ ไม่ใช่กลับสวีเดนแล้วก็เลี่ยงไม่คุยกับมันแบบนี้ ถ้าไงพี่ขอโทษแทนมันด้วยล่ะกัน ให้อภัยมันเหอะ มันจะตายห่าอยู่แล้ว” ปลายสายร่ายยาวเป็นชุดแทบลืมหายใจ หากคนฟังกลับกลืนน้ำลายกับการถูกจี้จุดแต่ยังทำนิ่ง

 


“ผมไม่ได้โกรธอะไรกับเขาสักหน่อย”


 

“ไม่ได้โกรธกันแล้วทำไมสภาพแดฮยอนมันเป็นงั้นวะ”


 

“เขาเป็นอะไรครับ”


 

“เหมือนครั้งก่อนที่เราไม่คุยกับมันนั้นไง...”


 

“ครั้งก่อน...”


 

“ก็ที่มันไม่กินไม่นอนเอาแต่ทำงานเพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่าง เพราะถ้าว่างมันจะต้องเผลอหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความหรือโทรหาเรานั้นไง พอเราไม่รับมันก็เอาแต่ถามคนอื่นว่า เราตอบข้อความบ้างมั้ย โทรติดหรือเปล่า”


 

เพียงได้ยินเรื่องเล่าของเพื่อนร่วมบ้านจากปากรุ่นพี่เท่านั้นอาการชาและเย็นวาบก็แล่นไปทั่วตัว...ความเป็นห่วงที่มีต่ออีกฝ่ายยังมีมากเกินกว่าจะไม่รู้สึกรู้สา ทว่าในเสี้ยวนาทีภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุขที่ได้เห็นในอินสตาแกรมแทบทุกคืนก็ผุดตามขึ้นมา

 


“พอดีช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย พี่ชายกับพี่สะใภ้เขาไปฮันนีมูนกันผมเลยต้องอยู่ดูแลพ่อแม่กับหลานๆ ผมเลยไม่มีเวลารับสายหรือตอบข้อความ นอกจากพี่ฮิมชานผมก็ไม่ได้คุยกับใครเลย ถ้าพี่ไม่เชื่อลองถามพี่ยงกุกเขาดูก็ได้”


 

“งั้นตอนนี้ว่างแล้วใช่มั้ย”


 

“ยังหรอกครับ...ต้องรอเย็นนี้ที่พี่ชายผมกลับมาก่อนถึงจะว่างจริงๆ”


 

“แต่นี่ก็โทรกลับมาหาพี่ได้นี่หว่า ถ้าไงก็โทรหาแดฮยอนมันด้วยสิ”


 

“ต้องโทรด้วยเหรอครับ...ในเมื่อผมบอกเขาแล้วว่า ผมไม่ว่าง”

 


“โทรเหอะ...โทรไปบอกมันว่ายุ่งหรืออะไรก็ได้ ขืนทำเฉยแบบนี้มันจะได้ตายเอาจริงๆ”

 


“พี่พูดเว่อร์ไปหรือเปล่าครับ...ผมเห็นเขาก็ดูมีความสุขดีออก”


 

“แม่ง...เหนื่อยจะพูดด้วยแล้ววะ เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปส่งไปให้ดู จะได้รู้ว่ามันแย่ขนาดไหน”


 

ซองวอนทิ้งท้ายแล้วตัดสายไปด้วยความหัวเสีย สักพักก็มีเสียงแจ้งเตือนข้อความจากในคาทกส่งเข้ามาเมื่อเขากดดูก็เห็นภาพถ่ายของเพื่อนร่วมบ้านที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีสีหน้าอิดโรยเศร้าหมองอย่างที่ไม่มีโอกาสได้เห็นในอินสตาแกรม หากภาพที่ทำให้สะเทือนใจที่สุดคงเป็นภาพที่อีกฝ่ายนั่งซบหน้ากับเข่า แขนทั้งสองข้างยืดออกมาโดยในมือถือโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก

 


ขอบตาของผู้ได้เห็นร้อนผ่าว ความเป็นห่วงตีรวนพาให้หัวใจเจ็บปวดหนักหนาและเมื่อได้กดเข้าไปดูข้อความที่พยายามเลี่ยงตลอดมาน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 


...จะไม่คุยกันก็ได้นะ

...จะเกลียดฉันก็ได้

...แต่ขอให้ฉันรู้ได้มั้ยว่านายมีความสุขดี

...ฉันขอแค่นี้


 

ความคิดถึงห่วงหายังคงมีมากมายและไม่เคยจางหายไปไหนทำให้มือขาวกำโทรศัพท์แน่นจนสั่น ตากลมพยายามกระพริบถี่เพื่อกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองครอบครัวที่รวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นอยู่สักครู่ถึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อแล้วว่า


 

“ผมจะบินกลับเกาหลีวันนี้นะครับ”

-------------------------------

รถตู้สีเทาคันหนึ่งแล่นไปตามท้องถนนที่ค่อนข้างเงียบเหงา ภายในรถมีกลุ่มชายหนุ่มห้าชีวิตร่วมทางมาด้วยกัน บ้างก็นั่งคุยกันอย่างออกรสชาติถึงงานปาร์ตี้ปีใหม่ของบริษัทที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ บ้างก็หลับด้วยความเหนื่อย คงมีเพียงคนเดียวที่นั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย

 


ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่แดฮยอนใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันอย่างยากลำบากเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีเวลาอยู่กับตัวเอง เขาเป็นต้องคิดฟุ้งซ่านถึงสิ่งที่ทำลงไปและภาพในวันที่ยองแจลากกระเป๋าออกไปต่อหน้าทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาระหว่างกัน


 

ลำพังสองเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเศร้ามากพอแล้ว แต่การที่ข้อความของเขาไม่เคยถูกเปิดอ่าน หรือแม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่เคยถูกรับสายทำให้เขาไม่เป็นอันกินอันนอน ยิ่งวันไหนไม่มีงานให้ออกไปค้างต่างจังหวัดการกลับไปยังบ้านที่ไม่มีเจ้าของบ้านอยู่นั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น

 


นับแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่ว่าจะผ่านปีใหม่ไปสักกี่หนแต่ทุกครั้งที่ยองแจไม่อยู่ ทั้งที่เป็นบ้านหลังเดียวกันแต่มันไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านหลังเดิมเลย

 


มันเงียบเหงาระคนโหยหาในระดับที่เหล้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่หอบหิ้วมันกลับมาดื่ม แม้จะเมาก็ยังเจ็บปวด โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีความเสียใจอัดแน่นอยู่ข้างในมันกัดกร่อนเขายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

 


“มึงเป็นอะไรเปล่าวะ” เสียงจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเอ่ยถามเรียกให้เขาละหันกลับเข้ามามองภายในรถแต่ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ายิ้มให้

 


“มันเหนื่อยมั้ง กูยังเหนื่อยเลย” ซองวอนพูดขัด

 


“ก็ควรเหนื่อยแหละพี่...บอสเล่นรอกงานให้ขนาดนี้ เจ้าอื่นหยุดปีใหม่แต่เจ้านี้ไม่มีหยุดเลย”


 

“นี่ก็งานสุดท้ายแล้ว พอเราไปงานเลี้ยงปีใหม่บริษัทคืนนี้เสร็จก็ได้หยุดยาว เออ มึงว่าปีนี้บอสจะซื้ออะไรมาสุ่มให้พนักงานวะ จำได้ว่าปีก่อนเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับนิวซีแลนด์ ปีนี้จะให้ตั๋วเครื่องบินอีกหรือเปล่าว้า”


 

เพื่อนร่วมงานอีกคนเสริมขึ้นแต่ฝ่ายถูกถามแต่แรกเริ่มแค่เค้นยิ้มออกมานิดนึงก็เอนหลังหลับตาทำท่าเหมือนเหนื่อยจะพักผ่อนเพื่อเลี่ยงการต้องตอบคำถาม รอจนกระทั่งรถมาถึงที่หมายจึงทำท่าเป็นตื่นและลงมาขนของลงจากรถเข้าไปเก็บในบริษัท

 


“แดฮยอน...มาหากูหน่อย” ผู้เป็นรุ่นพี่สมัยเรียนกระทั่งทำงานกวักมือเรียกในทันทีที่เห็นอีกฝ่ายขนของเรียบร้อย

 


“มีอะไรครับ”


 

“ยองแจมันโทรหามึงยัง” อยู่ๆคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกเลยทำให้คนฟังชะงักนิ่ง พอคนตรงข้ามเห็นอาการก็พูดต่อ “ยังไม่โทรหามึงอีกเหรอ เมื่อวานกูโทรไปหามันมาด้วยนะ”


 

“ฮะ...พี่โทรหายองแจมาเหรอ เขารับสายพี่เหรอ” เสียงเข้มละล่ำละลั่กถามด้วยความรู้สึกมากมายที่ยากจะบรรยาย

 


“เออ แต่กูโทรหามันจนมือถือกูร้อนเลยกว่าจะรับ พอถามว่าโกรธอะไรกับมึงหรือเปล่า เห็นไม่ติดต่อมาเลย มันบอกว่ายุ่งมาก ต้องดูพ่อแม่หลานแทนพี่ชาย ตอนนั้นได้ยินเสียงหลานมันหัวเราะลอดมาด้วย ท่าทางจะซนเลยไม่มีเวลา แต่มันบอกอยู่ว่าถ้าพี่กลับมามันคงว่าง กูเลยบอกให้มันโทรหามึง”


 

“ไม่...เห็นเขา...โทรหาผมนะ”


 

“ข้อความล่ะ...อาจจะว่างแค่ตอบข้อความมึงก็ได้ เช็กดูยัง”


 

เพราะคำแนะนำนั้นทำให้เจ้าตัวล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กดูทุกแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมบ้านแล้วก็เห็นว่าข้อความที่ส่งไปทั้งหมดขึ้นว่าอ่านแล้วแถมมีสติ๊กเกอร์หน้าแมวตลกส่งมาด้วยก็ใจชื้นเลยกดโทรผ่านคาทกออกไปแทบจะทันที

 


หากการรอคอยไม่มีการตอบรับสุดท้ายสายก็ตัดไป แม้จะเพียรโทรไปอีกรอบก็เป็นเช่นเดิมเลยได้แต่ถอนหายใจ กระนั้นความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกอยู่บนบ่ามาตลอดหลายสัปดาห์ก็ดูท่าจะเบาบางลง

 


“เมื่อวานพี่โทรหายองแจตอนกี่โมง เขาถึงรับสายน่ะ”


 

“ช่วงหลังเลิกงาน...ประมาณเกือบเที่ยงคืนได้”


 

“ที่สวีเดนกับที่นี่เวลาต่างกันประมาณ 8 ชั่วโมง ตอนนี้ห้าโมงเย็นที่นู้นคงประมาณตีสอง น่าจะนอนอยู่” 



“แล้วตกลง ยองแจมันตอบข้อความมึงมั้ย”


 

“ตอบ...เขาส่งสติ๊กเกอร์มาให้ผมตอนบ่ายสอง”


 

“อ้อ...งั้น...มึงจะสบายใจได้ยัง”


 

“สบายใจ...” อีกฝ่ายทวนคำพลางเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

 


“ถึงมึงจะไม่ได้บอกกูว่ามีเรื่องอะไรกับยองแจ แต่กูดูสภาพมึงก็รู้ อาการมึงมันเหมือนวันที่มึงถูกยองแจโกรธที่ไปต่อยเพื่อนร่วมรุ่นมึงนั้นไง แต่ยองแจมันบอกแล้วนะว่าไม่ได้โกรธ ข้อความก็ตอบแล้ว มึงก็อย่าทึกทักเอาเองว่าการที่มันยุ่งดูหลานแล้วไม่ตอบข้อความเพราะโกรธมึงอีกล่ะ แล้วเจอกันคืนนี้ที่งานเลี้ยงนะ”

 


ซองวอนบอกด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นห่วงพลางตบบ่าเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกจากหน้าบริษัทเพื่อกลับบ้านทิ้งให้รุ่นน้องที่ควบตำแหน่งเพื่อนร่วมงานยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ชั่วนาทีที่ความเงียบคืบคลานเข้ามาพร้อมลมหนาว คำพูดสุดท้ายของเพื่อนร่วมบ้านก็ดังขึ้นในหัว


 

...ฉันเกลียดนายไม่ได้หรอก...

...ทั้งชีวิตฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเกลียดนายได้หรือเปล่าเลย..

 


ณ ตอนนั้นแดฮยอนรู้สึกใจหายวาบ ทั้งที่สถานการณ์ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมยังสังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำใจดีสู้เสือหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความอยู่ยืดยาว หากสุดท้ายก็ลบแล้วพิมพ์ไปเพียงว่า...ฝันดีนะ...เท่านั้น

--------------------

บรรยากาศภายในงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทซึ่งเหมาผับแห่งหนึ่งไว้สำหรับจัดงานนั้นเต็มไปด้วยครื้นเครง แม้จะเป็นการจัดงานย้อนหลังการก้าวสู่ปีใหม่มาหลายวันแล้วแต่พนักงานทุกฝ่ายต่างก็พากันมากินดื่มสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงเพลงที่เปิดดังสนั่นไปพร้อมกับการประสานเสียงร้องอย่าเมามันส์ของผู้คนยังมีใครคนหนึ่งนั่งเอนหลังพิงพนักโดยมีแค่น้ำองุ่นแก้วหนึ่งถืออยู่ในมืออย่างเงียบงัน


 

แดฮยอนมองภาพความสนุกตรงพลางถอนหายใจด้วยยังตกค้างกับเรื่องของเพื่อนร่วมบ้าน ระหว่างที่กระดกน้ำองุ่นดื่มโดยไม่แตะแอลกอฮอล์เลยตามสัญญาสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นว่ามีอีกคนนั่งซึมอยู่ตรงมุมโซฟาและเมื่อเขยิบเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าเป็นพี่ซองอา...รุ่นพี่เพื่อนร่วมงานที่เขาเคยนั่งรถไปส่งที่บ้านมาก่อน

 


“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


 

ซองอาเงยหน้าจากขวดโซจูที่พร่องไปเกือบหมดในมือ ดวงตาทั้งคู่มองมายังรุ่นน้องดูล่องลอยอย่างคนเมาหนัก สักพักก็มีน้ำตาไหลอาบแก้ม

 


“เฮ้ย...พี่...เกิดอะไรขึ้น”


 

ความตกใจทำให้หลุดปากถามออกไป แต่อีกฝ่ายยังไม่ตอบอะไรนอกจากยกมือปาดน้ำตาพลางกระดกโซจูจนหมดขวดแล้วคว้าเบียร์กระป๋องตรงหน้ามาดื่มต่ออย่างไม่สนใจใครอยู่อย่างนั้นก่อนจะร้องไห้น้ำตานองหน้า หากแสงไฟตรงนั้นค่อนข้างมืดบวกกับผู้คนยังสนุกอยู่จึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนร่วมงานคนนี้เลยสักคน

 


ความสงสารทำให้เขาลุกจากโซฟาเดินไปหาพร้อมกับหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมายื่นให้แล้วชวนออกไปข้างนอกเพื่อให้อีกฝ่ายได้สงบจิตสงบใจและเพื่อไม่ให้งานเลี้ยงกร่อยเพราะมีคนเศร้าอยู่ในงานด้วย

 


ซองอาพยักหน้ารับโซเซลุกจากโซฟาเดินตามหลังรุ่นน้องหนุ่มออกไปด้านนอกผับ จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินไปนั่งแถวสวนสาธารณะเล็กๆในละแวกนั้น

 


“เกิดอะไรขึ้นอะครับ...ทำไมถึงต้องดื่มหนักขนาดนั้นด้วย”

 


หญิงสาวก้มหน้างุดปล่อยน้ำตาหยดลงมาบนกระโปรงสั้นสีดำของตัวเองโดยไม่ยอมปริปากอะไรออกมา

 


“ถ้าพี่ไม่สบายใจจะเล่าก็ไม่เป็นไรนะครับ...ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเลย เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน” เพราะไม่รู้ว่าจะปลอบใจยังไงเลยหาวิธีที่พอจะช่วยได้เท่านี้

 


ทว่าคำปลอบเพียงเท่านั้นกลับทำให้อีกฝ่ายปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ก่อนที่เรื่องราวจะถูกเล่าออกมาพร้อมเสียงสะอื้นเหมือนจะขาดใจ

 


“เขานอกใจพี่”

 


“อา”

 


“คนที่บอกว่ารักพี่มาตลอดหลายปี เขา...เขาพา...ผู้หญิงมานอนที่ห้อง...พี่...พี่ไปเห็นเข้า...เมื่อวาน...พี่...พี่ควรทำยังไงดี...พี่จะทำยังไง...ทั้งที่เราวางแผนจะ...จะแต่งงาน...กันแล้วแท้ๆ”

 


ไหล่บางของหญิงสาวสั่นสะท้านยังคงมีน้ำตาหยดตามลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยนั่งนิ่งรับฟังไปเท่านั้น


 

“ทำไมพวกผู้ชายถึงชอบนอกใจเหรอ พี่ผิดเหรอที่ไม่มีเวลาเพราะอยากทำงานสร้างอนาคตให้เราสองคน...ทำไมเขาถึงไม่คิดบ้างว่าคนที่รักเขาจะเจ็บปวดขนาดไหน ทำไมพี่ต้องรักคนใจร้ายแบบนั้นด้วยนะ”


 

“พี่ไม่ผิดหรอกครับ...พี่แค่โชคไม่ดีที่เจอผู้ชายห่วยๆ และผู้ชายห่วยๆไม่มีค่าให้เสียใจหรอกครับ”


 

“แปดปีเลยนะที่คบกัน...ตอนนี้พี่อายุสามสิบกว่าแล้ว...ชาตินี้พี่คง...ไม่เจอใครที่รักพี่แล้วล่ะ”

 


“อย่าคิดมากไปก่อนสิครับ...พี่น่ะนิสัยดีแล้วก็สวยมากนะครับ ยังไงสักวันพี่ต้องเจอคนที่รักพี่โดยไม่สนใจว่าพี่จะอายุเท่าไหร่แน่นอน”


 

หลังได้ยินคำปลอบใจนั้นซองอาก็เงยหน้ามามองรุ่นน้อง แม้ใบหน้าจะอาบด้วยน้ำตาแต่ดวงตาฉายแววราวกับจะถามหาความมั่นใจและพอได้เห็นรอยยิ้มกว้างเป็นกำลังใจตอบมา...ความเจ็บปวดระคนเปลี่ยวเหงานั้นทำให้หล่อนถลาเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าไว้แน่น


 

 “พี่...” เสียงเข้มอุทานออกมาทันทีที่ถูกกอดเกือบจะดันตัวออกมาหากพอเห็นอาการสะอื้นจนตัวโยกก็ใจอ่อนแถมยังลูบหัวปลอบไปตามประสา หญิงสาวเลยซบหน้าร้องไห้อยู่บนอกเพื่อนร่วมงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ถึงเอ่ยถามปนสะอื้นออกมา


 

“นายใจดีจังนะ...ใจดีอย่างนี้กับทุกคนหรือเปล่า”


 

ชายหนุ่มยินคำถามก็นิ่งงัน...ชั่วขณะนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งจากในความทรงจำดังขึ้นในหู...เสียงจากเพื่อนร่วมบ้านที่เปรยถามในลักษณะนี้


 

“ไม่หรอกครับ...ผมไม่ได้ใจดีกับทุกคนหรอก”


 

คำตอบที่เคยตอบมาก่อนหน้าหลุดจากปากพร้อมกับใบหน้าของผู้ที่เขาคิดถึงแทบขาดใจจะลอยเข้ามาในนึกถึง โดยี่เขาไม่รู้เลยว่าคำตอบนั้นก่อความรู้สึกบางอย่างให้คนที่ได้ยินและกว่าจะรู้ตัวว่าต้องกลับมาโฟกัสกับการปลอบใจ คนที่อาศัยอกเขาเป็นหลักระบายน้ำตาก็หลับไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เสียแล้ว


 

“เวรกรรม” เขาหลุดปากออกมา จากนั้นก็พยายามเขย่าตัวปลุกอีกคนให้ตื่น พอเห็นท่าว่าจะไม่ได้ผลเลยโทรศัพท์ออกไปหารุ่นพี่ร่วมงานในปาร์ตี้แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลยสักคนเลยตัดสินใจว่าจะเรียกแท็กซี่ไปส่งให้แทน หากก็เฉลียวใจว่า ถ้าให้ไปทั้งหมดสติจะเป็นอันตราย สุดท้ายเขาเลยจำเป็นต้องแบกหญิงสาวพาขึ้นแท็กซี่ไปบ้านของตัวเองที่อยู่ใกล้กว่าแทน

 


แดฮยอนอุ้มหญิงสาวเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เพียงร่างบางถึงเตียงเจ้าหล่อนก็พลิกตัวกระสับกระส่ายจนเสื้อคลุมที่สวมทับเดรสสั้นสายเดี่ยวหลุดพ้นจากไหล่พลางพึมพำบ่นไม่เป็นภาษา คนมีสติดีถอนหายใจหยิบผ้าห่มมาคลุมปิดคอให้ก็รีบออกมาในห้องนั่งเล่น


 

...คิดถูกหรือเปล่าที่ให้พี่เขามานอนที่นี่...


 

จังหวะที่เอนหลังพิงผนักโซฟาก็รู้สึกไม่ดีจนถามตัวเองเช่นนั้นนับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกับพยายามโทรหาเพื่อนร่วมงานผู้หญิงเพื่อให้มารับตัวรุ่นพี่คนนี้กลับบ้าน ระหว่างนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงร้องโวยวายดังออกมาจากในห้องนอนจนต้องวิ่งพรวดพราดเข้าไปหา

 


ซองอาที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอยในตอนนี้ร่างกายเหลือเดรสเพียงตัวเดียวนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง แค่เพียงเห็นเงาตะคุ่มในความมืดขยับเข้ามา หล่อนก็เงยหน้ายื่นมือมาคว้าเอาแขนข้างหนึ่งไว้แล้วลากให้ร่างนั้นล้มลงมาบนเตียง ฝ่ายถูกดึงตกใจพยายามจะลุกหนีแต่อีกคนกลับปีนขึ้นมาคร่อมทับไว้ไม่ให้ไปตามด้วยการคร่ำครวญถาม

 


“ช่วยให้พี่ลืมได้มั้ย...ที่นายดีกับพี่เพราะนายชอบพี่หรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ ช่วยพี่ให้ลืมเขาได้มั้ย”


 

“เดี๋ยวๆ...พี่...ตั้งสติหน่อย” เสียงเข้มแทบตวาด...มือใหญ่เอื้อมไปหมายกำลังจะจับแขนทั้งสองข้างของคนบนตัวให้ถอยออกไป ในตอนนั้นเองที่แสงจากภายนอกอันเป็นผลจากการเปิดประตูสาดเข้ามาในความมืดของห้องนอนและเมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้าของบ้านยืนอยู่ตรงนั้นพอดี


 

ยองแจมองหญิงสาวเสื้อผ้าหลุดลุ่ยคร่อมพลางไซ้ซอกคอของเพื่อนร่วมบ้านอยู่บนเตียงด้วยอาการช็อก ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับกระทั่งลมหายใจก็เหมือนจะหยุดไปด้วย ความชาแล่นไปทั่วร่างอยู่เพียงเสี้ยวนาทีก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดที่หลั่งไหล


ความเสียใจที่สั่งสมมาแรมปีระเบิดออกจนจุกแน่นไปทั้งอก อาการปวดร้าวนั้นลุกลามแทรกซอนไปถึงหัวใจให้รู้สึกเหมือนถูกความผิดหวังบีบแรงเสียจนแตกออกเป็นเสี่ยง

 


...เพราะความเป็นห่วงทำให้ยอมหาตั๋วเครื่องบินแทบตายเพื่อจะกลับมาให้เร็วที่สุด...

...จากที่ไม่เคยต้องลากกระเป๋ากลับมาถึงบ้านตัวคนเดียวก็ยอมทำ...

...ทั้งที่กังวลเรื่องเขา แต่สิ่งที่ได้กลับคือคำสัญญาที่ไม่เคยรักษา...

 


ความจริงเขาควรจะรู้ตัวเองว่าไม่เคยได้อยู่ในเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของคนตรงหน้า แค่จะเป็นความสุขสบายใจหรือปลอบใจเหมือนคนอื่นเขายังไม่ได้ ก้อนกรวดอย่างเขาไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองว่าจะถูกรักได้แต่แรกอยู่แล้ว

 


...มันก็คงเหมือนเวลาที่เขาลบภาพออกจากอินสตาแกรม...

...ต่อให้ปากบอกว่าเป็นรูปแทนความทรงจำแต่ก็ลบซ่อนมันอย่างไม่คิดอะไร...

...แดฮยอนลบเขาออกจากใจได้ง่ายเหมือนลบรูปในอินสตาแกรมนั้นแหละ...

 


“จะสัญญาทำไม...ถ้ารักษาสัญญาไม่ได้” คำถามนั้นลอดผ่านไรฟัน

 


แดฮยอนแทบหยุดหายใจในตอนที่เห็นเจ้าของบ้านเอ่ยถามพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่นจนตัวสั่น ถึงจะมองไม่เห็นสีหน้าด้วยถูกความมืดอำพรางไว้ แต่จากน้ำเสียงก็สัมผัสได้ถึงความโกรธรุนแรงจึงรีบผลักรุ่นพี่พ้นจากตัวแล้วลุกไปหา

 


“เดี๋ยว...” พอหลุดปากมาได้เท่านั้นก็ถูกไล่

 


“ออกไป...ออกไป...ทั้งคู่เลย”

 


“เดี๋ยว...ฟัง” ยังไม่ทันขาดคำกำปั้นจากเจ้าของบ้านก็สวนเข้าใส่แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่มีน้อยเหลือเกินจึงทำอันตรายต่อร่างกายแทบไม่ได้ ทว่ามันกลับมีผลให้คนถูกชกชะงักนิ่ง


 

“จะออกไปมั้ย...ไม่ออกใช่มั้ย...ได้...งั้นฉันไปเอง”


 

พูดจบก็หันหลังตั้งท่าจะเดินหนีไปพร้อมกับพยายามเม้มริมฝีปากกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา พลันมือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่แขนแต่เขากลับสะบัดหนีเต็มแรงจนสันมือฟาดเข้าหน้าเจ้าของมือไปอีกครั้ง


 

“อย่า...แตะ...ตัว...ฉัน” เมื่อหันกลับไปเผชิญหน้าก็กัดฟันบอกเน้นทีละพยางค์ออกไป

 


ชายหนุ่มมองเจ้าของบ้านที่หน้าแดงตาแดงลามไปถึงหูก็รู้สึกผิดและเสียใจเลยพยายามจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะคิดว่าความโกรธจะทุเลาลงโดยไม่รู้ว่าภายใต้ความโกรธนั้นมีความผิดหวังหนักหนาอัดแน่น

 


“ฟัง...ฟังกันก่อนได้มั้ย”

 


“ฟังอะไร จะโกหกอะไรอีก”


 

“นายกำลังเข้าใจผิด”

 


“เข้าใจผิดอะไร...เห็นกับตาเนี่ยยังกล้าบอกว่าเข้าใจผิดอีกเหรอ” แรงอารมณ์ระคนความเจ็บปวดทำให้ทุกการโต้ตอบกลายเป็นการตวาดใส่สุดเสียง


 

“พี่เขาเป็นพี่ที่ทำงาน...พอดีเขาเมามากก็เลย...”


 

“อ้อ เมา...เมาก็เลยเอาที่นี่เป็นโรงแรม”


 

“ไม่...คือพี่เขาเมา...”


 

“อ้างว่าเมา เมา เมาอีกแล้ว...เมาเลยเอากับคนไปทั่ว เมาเลยจำอะไรไม่ได้ เมา เมา เมาแม่งทั้งนั้นเลย เมื่อไหร่จะหยุดเอาเรื่องเมามาอ้างสักที”

 


ครั้งนี้ฝ่ายรับแรงปะทะทางคำพูดถูกจี้จุดดำกลางใจถึงขนาดกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ไหว สองมือยกขึ้นระดับอกในเชิงขอให้ใจเย็นลงสักหน่อย

 


“ฉันขอโทษ...ฉัน...”


 

“ขอโทษเหรอ...ขอโทษอะไร...ขอโทษทำไม ขอโทษแต่ก็ทำเหมือนเดิม จะมีประโยชน์อะไร”

 


“ขอร้องล่ะ...ใจเย็นหน่อยได้มั้ย นายกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”

 


“เออ...อะไรๆก็ฉันทั้งนั้นแหละ ฉันน่ะเข้าใจผิดเก่ง ตีความเองก็เก่ง เข้าข้างตัวเองก็เก่ง คิดไปเองก็เก่ง คาดหวังเองก็เก่ง กี่ครั้งกี่หนกันที่ฉันคิดเข้าข้างตัวเอง ที่ฉันเอาความใจดีของนายมายึดเอาไว้...เอาความใจดีที่นายมีแจกจ่ายทุกคนมาคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันคนเดียว”

 


ถ้อยความยาวเหยียดแทบไม่เว้นจังหวะหายใจตะโกนออกไปอย่างสุดกลั้น มือข้างที่กำโทรศัพท์มือถือมาตลอดเพราะติดต่อคนตรงหน้าไม่ได้ยกขึ้นแล้วปามันออกไปสุดแรงทำให้เครื่องกระแทกเข้าปลายคิ้วของอีกฝ่ายจนแตกมีเลือดซึม

 


เพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้ยังไงไม่ให้น่าสมเพช เลยพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เสมอมา หากในตอนนี้เขาตระหนักได้ว่า การร้องขอความรักจากคนคนนี้นั้นน่าสมเพชเสียยิ่งกว่าร้องไห้ออกมาเสียอีก และในนาทีต่อจากนั้นน้ำอุ่นใสก็รินจากตาอาบผ่านแก้มลงมาหยดถึงเสื้อที่สวมอยู่

 


...พอเถอะ...

...ยอมแพ้ได้แล้ว...

 


แดฮยอนมองอาการที่คนตรงหน้าแสดงออกด้วยแววตาเจ็บปวด ยิ่งได้เห็นนัยน์ตาผิดหวังเสียใจจากอีกฝ่ายที่เงยหน้าจากพื้นกลับมาสบตา อีกทั้งยังมีน้ำใสรินอาบแก้มเป็นทางลำคอก็เกิดตีบตันพยายามสรรหาคำที่จะพูด หากก็ถูกกลบฝังด้วยถ้อยคำจากคนที่ร้องไห้ปากคอสั่นโดยไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน

 


“ฉัน...ฉันน่ะ...วันนั้น...ฉันคิด...ฉันคิดว่า...มันมีวันที่ความรักของเราจะเป็นไปได้ ฉันเคย...เคยหวังว่าจะมีซอกเล็กในหัวใจของนายที่ฉันจะพอเข้าไปอยู่ อาจจะในความคิดคำนึงของนายด้วย ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ฉันพอแล้วล่ะ ฉันทำทุกอย่างแล้วแต่ก็ไม่มีวันได้อยู่ในใจนายอยู่ดี ฉันจะตัดใจแล้ว

 


นัยน์ตาอาบน้ำมองชายผู้ที่ตลอดมาถูกวางไว้สูงส่งดังดวงตะวันราวกับมันจะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหุนหันวิ่งออกจากห้องไปโดยทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง

 


ค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงดาวเดือนหอบเอาสายลมหนาวแห่งเหมันต์ฤดูตามติดมา ทว่าในราตรีกาลนี้กลับมีความชื้นลอยอวลอยู่ในอากาศพาให้ฟ้าสีม่วงครามหม่นเริ่มเจือด้วยสีแดง พลันประกายแสงจากเบื้องบนกลับผ่าลงมาตามด้วยเสียงลั่นครืนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้า

 


คนตัวผอมที่มีเพียงเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลกับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีดำสวมติดตัววิ่งไปตามถนนผ่านร้านรวงและผู้คนไปอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยกลัวว่าจะมีใครเห็นน้ำตาที่ไหลพรากออกมาอย่างไม่มีวันหยุด จู่ๆสายฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาราวกับพายุเข้ากะทันหันทำให้เขาชะลอฝีเท้าจากการวิ่งเปลี่ยนมาเดินเพราะไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนเห็นความน่าสมเพชของตัวเองอีกแล้ว

 


น้ำฝนเย็นเฉียบรดลงมาบนผ้าทะลุลงมาถึงผิวเนื้อจนคนที่เดินตากฝนด้วยความรู้สึกทุกข์เศร้าไม่แน่ใจแล้วว่าปากคอที่กำลังสั่นนี้มีสาเหตุจากการร้องไห้หรือความหนาวกันแน่ เขาลากตัวเองไปตามทางอยู่กลางฝนพักหนึ่งก็หยุดเท้าหันมองไปรอบด้านถึงรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงลานหน้าสวนสาธารณะที่ไม่มีแม้แต่เงาของผู้คน กระทั่งรถราก็แทบไม่มีสัญจรผ่าน ก่อนจะทรุดลงนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืดของหน้าสวนพร้อมกับน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหล

 


มันเหมือนมีมีดแหลมแทงเข้ามากลางใจ...มันเจ็บมากเสียจนต้องอ้าปากหอบอากาศเข้าไปแทนการหายใจผ่านจมูก หากนั้นไม่ได้ช่วยให้หายใจสะดวกด้วยฝนยังคงกระหนำแรง ภาพของผู้หญิงคร่อมอยู่บนตัวแดฮยอนยังคงติดตาก่อคำถามมากมายให้เกิดแก่ใจ

 


...นายกำลังพยายามทำให้ฉันเสียใจมากกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกเหรอ...

...ทั้งที่ฉันพยายามอย่างหนักหลายต่อหลายครั้งเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ไป

...แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าหัวใจของนายไม่มีที่ให้ฉัน

...และมันกลายเป็นความเจ็บปวดที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมา

...ทำไมการรักคนที่เขาไม่รักตอบถึงเจ็บปวดได้มากขนาดนี้กัน...

 


เพราะรู้ว่าหาคำตอบไม่ได้จึงหยุดถามตัวเองชั่วขณะและเงยหน้าจากเข่าหันมองไปยังความเงียบเหงารอบด้านก็คำนึงได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลยสักอย่าง คนที่เป็นหลักยึดของตัวเองเสมอมาก็ไม่อยู่ อีกทั้งวันศุกร์ยงกุกกับจุนฮงก็ไปอยู่กันที่บ้านสวน ครั้นจะให้กลับไปยังบ้านตัวเองก็ทำไม่ได้

 


ความรู้สึกเคว้งคว้างแทรกเข้ามาในความรวดร้าว ทว่าในวินาทีนั้นเองที่เขาเห็นเงาของบางสิ่งพาดมาตรงหน้าก่อนเม็ดฝนจะย้ายไปกระทบบนสิ่งอื่นซึ่งเข้ามาบังเนื้อตัวอันเปียกโชกของเขาเอาไว้

 


“นั่งตากฝนอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก”

 


เสียงทุ้มที่ติดสูงน้อยๆอย่างเป็นเอกลักษณ์เอ่ยถามอย่างเย็นชา เรียกให้คนที่นั่งกอดเข่าแหงนคอสูงขึ้นไปยังคนที่ยื่นร่มมาให้ถึงเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่และไหล่กว้างแต่งกายด้วยชุดดำคลุมทับด้วยเสื้อโค้ดคอตั้งตัวยาวสีน้ำตาล

 


เมื่อพินิจสูงขึ้นมาถึงดวงหน้าคมสันล้อมกรอบด้วยเรือนผมยักศกยาวเคลียลำคอ ดวงตากลมกลับเบิกกว้างอย่างตกตะลึงด้วยจำได้แม่นว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือคนเดียวกันกับที่เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน

 


อาการตื่นตะลึงตกใจแล่นเข้ามาพาให้ความเศร้าโศกหายไปจนหมดสิ้น ดวงตายังคงเปิดกว้างดังเก่ามีเพียงริมฝีปากที่ขยับเรียกขาน

 


“พี่แจบอม”

--------------------------

หลังบานประตูบ้านปิดกระแทกใส่อย่างแรง แดฮยอนกลับยืนนิ่งไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อนเหมือนเท้าตายด้วยยังตกค้างอยู่กับคำพูดสุดท้ายของเพื่อนร่วมบ้าน คำว่า รัก ที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินนั้นดังก้องอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมา จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิ้วข้างซ้ายของตัวเองแตกเป็นแผลมีเลือดไหลซึม กว่าสติรับรู้จะกลับคืนมาและวิ่งตามเจ้าของบ้านไปก็ผ่านมาหลายนาทีแล้ว

 


ชายหนุ่มวิ่งลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ไปถึงด้านนอกอาคาร สายฝนหน้าหนาวเทลงมาเสียอย่างนั้นแต่สองเท้ากลับไม่มีหยุดยังคงกึ่งวิ่งกึ่งเดินขณะสายตาก็สอดส่ายมองหาใครก็ตามที่แต่งตัวแบบเดียวกับคนที่เพิ่งหนีกันมา...พยายามตามหาโดยไม่รู้จุดหมายอยู่อย่างนั้น

 


ความกังวลระคนเสียใจเป็นความรู้สึกเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้จึงไม่รับรู้ถึงความหนาวเหน็บของอากาศ แม้เนื้อตัวจะเปียกชุ่มและเย็นเฉียบจนผิวกายเปลี่ยนเป็นซีดขาวก็ไม่แยแสเพราะความสนใจในตอนนี้พุ่งไปที่การหาตัวผู้ที่ตนเคยคิดว่าแอบรักอยู่ฝ่ายเดียว

 


หากผ่านเวลามาเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบตัว แม้จะนั่งรถไปถึงร้านขายกาแฟเจ้าประจำของเจ้าตัวก็ไม่พบเลยจำใจกลับมาตั้งหลักที่บ้านเผื่อว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเพราะเจ้าตัวไม่ได้เอาอะไรออกไปด้วยเลยสักอย่าง แต่พอมาถึงก็เจอแค่รุ่นพี่เพื่อนร่วมงานที่สร่างเมาจากเสียงทะเลาะโวยวายยืนตัวสั่นอยู่ตรงกลางบ้าน

 


เพราะความเมาผสมกับความเหงารวมทั้งความใจดีทำให้ซองอาเข้าใจผิดคิดไปเองว่า อีกฝ่ายคงมีใจให้ตัวเองเลยก่อเรื่องที่ไม่สมควร เมื่อเห็นรุ่นน้องกลับเข้ามาก็อยากจะเอ่ยขอโทษ ทว่าพอได้เห็นหน้าและสายตาในครั้งนี้ทำให้รู้สึกกลัวถึงขนาดพูดอะไรไม่ออก

 


ผู้ชายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นมิตรตลอดเวลามาบัดนี้กลับมีบางสิ่งคล้ายรังสีดำมืดครอบคลุม ใบหน้าหล่อเหลาระคนน่ารักนั้นกลับนี้เรียบเฉยและแข็งกระด้างไร้แววอารมณ์ ขณะที่นัยน์ตาคมที่ตวัดจ้องมาก็เย็นเยือกมีประกายมุ่งมาดอาฆาตอยู่เต็มเปี่ยม

 


...แดฮยอนคนนี้ไม่เหมือนแดฮยอนคนที่เธอรู้จักเลยแม้แต่นิดเดียว...

 


“ออกไป” เสียงเข้มเอ่ยห้วนแต่ชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พาให้หญิงสาวไม่กล้าอิดออดรีบคว้าเสื้อคลุมกับกระเป๋าวิ่งลนลานออกจากห้องไป

 


สิ้นเสียงปิดประตูร่างที่เปียกโชกสังเกตเห็นหยดน้ำจากร่างกายก็ร่วงกลายเป็นวงเปียกอยู่บนพื้น เพราะกลัวว่าจะทำบ้านสกปรกจึงรีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่สนใจจะมองแผลแตกตรงหางคิ้วของตัวเองด้วยซ้ำ

 


พอออกจากห้องน้ำเขาก็โทรไปหารุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไปงานเลี้ยงรุ่นวันที่เขามีปัญหาทะเลาะวิวาทเพื่อถามหายองแจไปพร้อมกับการใช้ไม้เช็ดถูน้ำบนพื้นจนแห้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสักคนได้รับการติดต่อมา ส่วนยูจินกับจงออบเองก็ต่างแบตหมดทั้งคู่ ท้ายที่สุดเลยตัดสินใจโทรหาฮิมชานก็กลับกลายเป็นติดต่อไม่ได้เช่นกัน

 

 

...ถ้าติดต่อฮิมชานไม่ได้ยองแจจะไปอยู่ที่ไหน...

...ออกไปก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปสักอย่าง...

 


ความวิตกกังวลเข้าครอบงำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีจำกัด กระทั่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยกลับไปที่โถงทางเดินเก็บโทรศัพท์บนพื้นที่จอแตกร้าวจากการตกกระแทกอย่างแรงขึ้นมาและพยายามเดารหัสผ่านเพื่อจะได้เปิดเข้าไปหาเบอร์ติดต่อของพี่สมัยเด็กที่ยองแจเคยเล่าว่าไปเจอกันมาก่อนหน้านี้

 


รอบแรกเขาใช้วันเดือนปีเกิดของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นก็ลองเปลี่ยนเป็นเลขที่บ้าน เรื่อยไปจนเลขที่ร้าน วันเกิดฮิมชาน พยายามหาตัวเลขที่พอจะนึกออกว่าน่าจะเป็นรหัสก็ไม่ถูกสักที จึงหาตัวช่วยด้วยการถือวิสาสะใช้ทักษะเก่าสะเดาะกุญแจเข้าไปในห้องยองแจที่ล็อกอยู่เพื่อหาเบาะแส

 


ทันทีที่ไฟในห้องเปิดสว่าง ความที่ไม่เคยเข้ามาเลยนอกจากวันที่ช่วยติดวอลเปเปอร์ในห้องเลยไม่มีโอกาสได้สำรวจอะไรเลย กระนั้นความรู้สึกเมื่อได้เข้ามาในห้องซึ่งไร้เจ้าของอาศัยกลับให้ความรู้สึกเศร้าอย่างมาก ชายหนุ่มมองไปบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่มีผ้าห่มคลุมปิดไว้อย่างเป็นระเบียบ ผ้าม่านสีเดียวกับผนังลายอวกาศทิ้งชายลงมาปิดบานหน้าต่างทำให้ทั้งห้องเย็นเฉียบ

 


โต๊ะทำงานมีโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งวางอยู่ ใกล้กันนั้นมีรูปถ่ายครอบครัวที่ทำให้เห็นว่านอกจากพ่อแม่แล้วยองแจยังมีพี่ชายที่หน้าตาคล้ายๆตัวเองกับหลานฝาแฝดชายหญิงหน้าตาน่าเอ็นดูอีกสองคน ถัดจากนั้นก็เป็นภาพของยองแจถ่ายรวมกับฮิมชาน ยงกุกและจุนฮงที่ถือดอกไม้ช่อใหญ่ และรูปสุดท้ายที่อยู่บนโต๊ะเป็นภาพถ่ายของดวงตะวันยามเช้าลอยอยู่เหนืออาคารแห่งหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่ามันคืออาคารเรียนของมหาวิทยาลัยที่ทั้งคู่ต่างจบมา

 


ดวงตะวันในภาพนั้นทำให้เขานึกถึงคำพูดแปลกของยองแจเกี่ยวกับดวงตะวันและก้อนหิน หากเขายังไม่รู้ความหมายถึงไม่คิดเอะใจ สายตาและร่างกายยังขยับไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่บนตู้วางหนังสือที่มีหนังสือนิยายเรียงรายอยู่รวมกับตุ๊กตาและข้าวของที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญ

 


ตรงชั้นล่างสุดของตู้หนังสือมีขวดโหลใบใหญ่อัดแน่นด้วยนกกระเรียนพับ ตอนแรกที่เขาหยิบมันออกมาดูก็เพียงเผื่อจะหาว่ามีอะไรพอให้สื่อถึงตัวเองอันเป็นรหัสปลดล็อกโทรศัพท์ได้เท่านั้น ทว่าเมื่อได้มองอย่างใกล้ชิดถึงเห็นว่านกกระเรียนเหล่านั้นถูกพับมาจากเปลือกขนม และเปลือกขนมพวกนั้นมีเสี้ยวของตัวอักษรที่เขียนด้วยมือติดมาด้วย

 


แม้จะอ่านเป็นข้อความไม่ได้แต่ลายมือนั้นทำให้มือของเขาสั่น จนเมื่อเทมันออกมาหยิบดูทีละอันมือที่สั่นก็กำแน่น...วินาทีนั้นเขารู้แล้วว่า นกเหล่านี้พับมาจากเปลือกขนมที่เขาเคยให้ยองแจไว้เมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน

 


...ขนมที่เขาคิดเพียงว่าอยากให้เป็นของตอบแทนที่ยืมเลคเชอร์มาใช้อ่านสอบ

...ขนมที่เขาใช้แทนความรู้สึกสงสารและปลอบใจ

...ขนมราคาถูกที่เขาซื้อมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าได้เอาใจใส่เพื่อนคนนี้

 


นกกระเรียนหลายร้อยตัวดูผิวเผินไม่มีความหมาย หากแท้จริงมันกลับเล่าเรื่องราวความรู้สึกของคนที่ตั้งใจรวบรวมเปลือกขนมมาพับเก็บไว้ นั้นเป็นเหตุให้เขาวิ่งพรวดจากห้องไปหยิบโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาใส่รหัสวันที่พบกันครั้งแรก ตามด้วยวันที่เข้ามาอยู่ด้วยกัน หากตัวเลขที่ทำให้ปลดล็อกได้อย่างแท้จริงกลับเป็นวันเดือนปีเกิดของตัวเขาเองซึ่งปีเกิดที่ว่าเป็นปีเกิดจริงๆที่ได้มาจากปากของยูจิน ไม่ใช่จากความเข้าใจของคนอื่น

 


วินาทีที่โทรศัพท์ปลดล็อกได้การไล่ดูทุกอย่างในนั้นก็เกิดขึ้น ร่างสูงทรุดลงนั่งบนโซฟาดูแอพพลิเคชั่นที่ยังเปิดค้างในโทรศัพท์ ตั้งแต่หน้าการโทรออกแต่ไม่ได้รับสายล่าสุดที่ปรากฏชื่อเขาเรียงเป็นหางว่าว ข้อความสนทนาเก่าๆจากในคาทกที่ถามถึงเขากับรุ่นพี่และยูจินด้วยความเป็นห่วงพร้อมกำชับไม่ให้บอกตัวเขา รวมทั้งประวัติการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีทำให้นอนหลับสบาย วิธีรักษาอาการทำร้ายตัวเองเวลาเมา อาหารเสริมสำหรับคนทำงานหนักและนอนดึก ไปจนถึงกระทู้คำถามในเว็บบอร์ดว่าด้วยทำยังไงถึงจะห้ามความรู้สึกรักเพื่อน หรือทำยังไงให้เป็นภาระคนที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบ แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตาเริ่มสั่นกลับเป็นประวัติการค้นหาเกี่ยวกับละครเวทีที่เขาเล่นและการขอซื้อบัตรรอบปฐมทัศน์ต่อจากคนอื่นด้วยราคาแพงกว่าราคาปกติ

 


ความรู้สึกทั้งหมดที่ยองแจเก็บซ่อนไว้เพราะกลัวจะสร้างความลำบากใจถูกเปิดเผยออกมาเกือบทั้งหมด ทว่าเรื่องที่ทำให้น้ำตาของคนไม่เคยรับรู้ไหลออกมาคือข้อความใต้รูปถ่ายของก้อนหินในซอกกำแพงที่แม้มีแสงตะวันก็ส่องมาได้แค่แนวกำแพงด้านนอก

 


...รัก...แต่เกินจะเอื้อม

 


ดวงตะวันที่ว่านั้นคือเขา...เขาคนที่ยองแจคิดว่าสูงส่งกว่ามาตลอด

 


ร่างสูงเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง...จากที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายละเลยไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของตัวเอง มาตอนนี้ถึงรู้ว่า ตัวเองต่างหากที่เป็นฝ่ายละเลยมาตลอด

 


ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาจนวันนี้เขาต่างหากที่ไม่เคยมองยองแจด้วยหัวใจเลยสักครั้ง ในขณะที่อีกคนคอยดูแลเขาอย่างเงียบๆ และถ้าหากเขาใส่ใจมากกว่านี้ เขาคงรู้ว่า ยองแจเป็นคนประเภทแสดงออกเท่ากับสิ่งที่ใจรู้สึกไม่เก่ง ทั้งคงกลัวจะถูกเกลียดหรือกลายเป็นภาระเลยแกล้งทำเมินเฉยกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด

 


แค่คิดถึงตรงนี้ความรู้สึกเกลียดตัวเองก็จุกแน่นไปทั้งอก น้ำอุ่นจากความเสียใจกลั่นตัวเอ่อขังขอบตาก่อนจะไหลเป็นทางอาบแก้ม แดฮยอนยกมือที่สั่นเทาไล่กดโทรหาเบอร์ที่บันทึกชื่อไว้ว่าฮยอนอูเพราะเป็นชื่อเดียวที่เขาไม่คุ้น กระนั้นก็ไม่มีการรับสายแต่อย่างใด

 


และพอจะหาว่าจะติดต่อใครอื่นได้บ้างก็เพิ่งเฉลียวใจ อันที่จริงตัวเองแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยองแจอีกหลายอย่าง...ทั้งที่บอกว่าสำคัญแต่เขากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกจากคนที่ยองแจพูดถึงแล้วยังมีใครที่เจ้าตัวจะไปพึ่งพิงได้อีกบ้างทำให้ยิ่งหดหู่

 


...หลงทางอยู่ตรงไหนหรือเปล่า...

...อากาศก็หนาวมากขนาดนี้...

 


ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์จอแตกใส่กระเป๋าเสื้อแล้วลุกจากโซฟาไปหยิบเสื้อโค้ดมาสวมด้วยความรู้สึกทุกข์เศร้าเสียใจและหนักอึ้งเหมือนมีหินยักษ์ถ่วงอยู่บนบ่า ก่อนจะออกไปข้างนอกอีกคราโดยไม่ลืมหยิบเสื้อโค้ดอีกตัวติดมาพร้อมกับความมุ่งมั่นตั้งใจว่าครั้งนี้ต้องหาคนที่ตนรักให้พบ

 


...ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เขาจะหายองแจให้เจอ

...และครั้งนี้เขาจะสารภาพทุกสิ่งที่อยู่ในใจ

...คำว่ารักที่อยากจะพูดมาตลอด

...ครั้งนี้เขาจะบอกโดยไม่อิดออดหรือหวาดกลัวต่ออะไรอีกเลย

----------------------

ฝนหลงฤดูตกหนักอยู่ราวชั่วโมงกว่าก็ค่อยๆ ซาลงเหลือเพียงสายฝนเบาบาง ชายหนุ่มตัวสูงหนาสวมเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกันถือร่มคันใหญ่เอียงไปหาคนตัวเล็กที่ปากคอสั่นจากการตากฝนท่ามกลางความหนาวยังดีที่มีเสื้อโค้ดตัวยาวเนื้อหนาคลุมทับพอบรรเทาให้กายอุ่นขึ้นบ้าง

 


ดวงตากลมโตแดงก่ำจากการร้องไห้หนักหนามาก่อนหน้าที่คอยมองชายข้างตัวเป็นระยะ บัดนี้กลับไม่เหลือน้ำตาด้วยความสงสัยที่มีมากมายเข้ามาขัดจังหวะความเศร้าพอดิบพอดี

 


คนข้างตัวหยุดเดินในทันทีที่มาถึงบริเวณหน้าอาคารสีดำทะมึนสูงสามชั้นตั้งอย่างโดดเดี่ยวคั่นระหว่างซอยเล็กสองซอยที่ทอดไปยังพื้นที่พักอาศัยส่วนบุคคลอันเป็นบ้านหลังใหญ่อยู่ด้านใน

 


แสงไฟจากตัวอักษรภาษาอังกฤษ The Beguiled ติดอยู่เหนือบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มสว่างไสว แม้ตัวอาคารจะปิดทึบมองไม่เห็นด้านในแต่ก็ทำให้บริเวณที่เงียบเหงาแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา

 


ยองแจเดินผ่านประตูไม้ตามหลังพี่ชายสมัยเด็กเข้ามาภายในตึกถึงเห็นว่าด้านในมีลักษณะคล้ายร้านอาหารกึ่งผับที่มีแสงนีออนสีแดงและม่วงประดับตามจุดต่างให้พอมองเห็นการตกแต่งของร้าน ผนังรอบด้านเป็นปูนเปลือยที่ถูกระบายด้วยลายเส้นกราฟิตี้จนเต็ม โต๊ะไม้ทุกตัวในนั้นเองก็พ่นสีสะท้อนแสงในความมืดเป็นลวดลายแปลกตาตัดกับเก้าอี้หุ้มเบาะหนังเทียมสีดำมีผู้คนนั่งกินดื่มพูดคุยคลอไปเสียงเพลงอยู่แน่นขนัด

 


คนตัวใหญ่เดินต่อไปจนถึงเคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ผ่านพนักงานที่ก้มศีรษะให้ในเชิงทำความเคารพเข้าไปยังหลังม่านสีดำที่ใช้ปิดช่องประตูโค้งซึ่งมีห้องแยกออกไปด้านหลังกับบันไดทอดไปสู่ชั้นบน

 


สองเท้าของคนผอมก้าวตามขึ้นบันไดไป ในส่วนของชั้นสองเป็นห้องมีประตูปิดทำให้มองไม่เห็นว่าด้านในเป็นเช่นไร แต่ชั้นสามนั้นนอกจากห้องน้ำและห้องนอนที่กั้นทึบแล้วส่วนอื่นล้วนเปิดโล่งเปลือยผนังปูนไว้โดยไม่ฉาบ แนวท่อทั้งหลายไร้การเก็บซ่อนดูดิบเถื่อน

 


มุมหนึ่งของพื้นที่โล่งมีราวเสื้อผ้าแขวนเรียงรายถัดออกไปมีกระจกบานยาวขนาดเท่าความสูงของคนตั้งพิงข้างโต๊ะไม้ผสมเหล็กที่มีกล่องใส่อะไรสักอย่างไว้จนแน่นวางอยู่ ถัดออกมาจะเป็นส่วนนั่งเล่นที่มีโซฟาหนังตัวยาวสีน้ำตาลเข้มกับเครื่องฉายโปรเจคเตอร์เชื่อมต่ออยู่กับเครื่องรับสัญญาณซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์ขาวดำเรื่องหนึ่งไปบนผนังแทนจอภาพ

 


คนไม่คุ้นเคยมองทุกอย่างตรงหน้าด้วยอาการตื่นสถานที่ ก่อนจะละสายตากลับมายังพี่ชายสมัยเด็กที่เอาเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมมาให้พร้อมกำชับให้เข้าไปอาบน้ำ พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็ทำตามเข้าไปอาบน้ำสระผมด้วยน้ำอุ่นอย่างว่าง่ายแล้วออกมาหาพี่ที่ยืนรออยู่

 


“กินอะไรหน่อยไป” พูดจบมือใหญ่ก็เอื้อมมากุมมือเล็กที่ยังเย็นเฉียบให้เดินตามลงมาที่ชั้นสอง หลังใส่รหัสผ่านประตูก็เปิดออก

 


บรรยากาศภายในชั้นสองนั้นแตกต่างจากชั้นอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะไม่มีลูกค้ามารับบริการ ไม่ใช่เพราะความเงียบวังเวงแต่ด้วยการตกแต่งภายในกระทั่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่แม้จะเน้นสีดำก็ยังหรูหราสง่างามทว่าแปลกตาด้วยเป็นการผสมผสานกันระหว่างการออกแบบสไตล์อาร์ตนูโวผสมโกธิค ตรงเคาน์เตอร์ทำจากหินแกรนิตตัวยาวนั้นมีบาร์เทนเดอร์ยืนประจำตำแหน่งอยู่เบื้องหน้าตู้กระจกเก็บอุณหภูมิที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มทั้งมีและไม่มีแอลกอฮอล์ราคาสูงระยับ

 


โคมประดับคริสตัลทรงเหลี่ยมแปลกตาล้อกับแสงไฟพาให้เกิดประกายระยิบพราวราวตกอยู่ภายใต้หมู่ดาว มีเสียงเพลงแจ๊ซคลอขับขานให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในเลานจ์ของบรรดาชนชั้นสูงทั้งหลาย

 


ณ โต๊ะมุมในสุดของร้านที่ลับตาคนถูกพี่ชายสมัยเด็กจับจอง แผ่นหลังกว้างเอนไปกับพนักเก้าอี้ดูผ่อนคลายต่างกับสีหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก ยองแจที่รู้สึกแปลกระคนกลัวนิดๆค่อยๆหย่อนตัวเองลงนั่งบนเก้าอี้หนังบุนวมและจ้องคนตรงหน้าแทบไม่กระพริบ

 


อิม แจบอมในความทรงจำของเขาคือพี่ชายที่มีภาพลักษณ์เหมือนลูกคุณหนูหัวโจกแต่ใจดี รักความสนุกโลดโผน ถึงจะชอบแกล้งก็เป็นการแกล้งเพื่อกระตุ้นให้เขากล้าหรือช่วยคลายเครียด แม้จะเป็นทายาทของนักธุรกิจใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง อิม จองซู แต่พี่ชายคนนี้กลับติดดินและเข้าถึงง่ายกว่าที่หลายคนเคยตั้งแง่

 


รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันจอบนั้นแทบไม่เคยหายไปจากใบหน้า ทว่าคนตรงข้ามดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเพราะนอกจากสีหน้าแววตาจะสงบนิ่งปราศจากแววความรู้สึกเสมือนรูปปั้นไร้ชีวิตแล้ว อีกทั้งยังมีรังสีบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ยังให้ความรู้สึกมืดหม่นน่ากลัว

 


บริกรสวมชุดแบบเดียวกับบาร์เทนเดอร์นำซุปครีมเห็ดกับเส้นพาสต้าเคล้าเบคอนทอดกรอบจัดวางลงในจานกระเบื้องขลิบขอบทองอย่างสวยงามราวฝีมือเชฟมาเสิร์ฟให้

 


“กินซะ” คำบอกที่คล้ายออกคำสั่งทำให้คนได้ยินมองอาหารตรงหน้าแล้วก็เหลือบตาไปหาฝ่ายตรงข้ามที่นั่งเอนหลังไขว่ห้างที่กำลังมองเข้าอยู่เช่นกัน

 


“ผมคิดว่าพี่ตายไปแล้วมาตลอดเลย” ความสงสัยมีมากกว่าความหิวจึงเอ่ยปากถาม แต่อีกคนก็ตอบกลับด้วยสุ้มเสียงเรียบเย็นเหมือนเดิม

 


“ต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่าตาย...ถึงจะปลอดภัย”

 


“มันเกิดอะไรขึ้นกันเหรอครับ ทำไมต้องให้คนเชื่อว่าตายถึงจะปลอดภัยด้วย”

 


“เรื่องมันยาว...เอาเป็นว่ารอดมาได้ก็แล้วกัน”

 


“พี่รอดมาได้ไง ผมเห็นในข่าวรถมันระเบิดเลยนะ”

 


“พี่หนีออกมาทันน่ะ...แต่กลับมาใช้ชีวิตในฐานะเดิมไม่ได้”

 


“แล้วพี่หายไปอยู่ไหนมา”

 


“พี่ย้ายไปอยู่กับญาติที่ฮ่องกง”


 

“ฮ่องกง...แต่ตอนนี้พี่กลับมาเกาหลีแบบนี้ มันปลอดภัยแล้วเหรอ”

 


“จะพูดว่าปลอดภัยแล้วก็คงไม่ได้หรอก...แต่ยังไงพี่ก็ต้องกลับสะสาง จะช้าหรือเร็วก็เหมือนกัน”

 


“พี่กลับมานานหรือยัง...ถ้านานแล้วทำไมไม่ติดต่อมาเลยล่ะ แล้วนี่พี่ติดต่อกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า”

 


“ก็มีนะ มาร์คเขาก็มาหาที่ร้านอยู่เหมือนกัน”



“แล้วจินยองล่ะ...พี่เจอจินยองบ้างหรือเปล่า” เพียงได้ยินชื่อของพี่สมัยเด็กอีกคนหลุดออกมาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเพื่อนคนสำคัญที่เฝ้าตามหามาตลอด

 


“เจอ”


 

“งั้นพี่ก็ต้อง...มีเบอร์ติดต่อจินยองเขาสิ ผมขอได้มั้ย”



"อะไร อยากเจอเขาเหรอ"



"อยาก...อยากมาก เขาสบายดีใช่มั้ยครับ เขายังโดนใครแกล้งอยู่หรือเปล่า"



"โดนแกล้ง...เหอะ...ตอนนี้จินยองเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนหรอก รอบจัดกว่าที่นายจะจินตนาการได้ซะอีก"


"รอบจัด...ไอ้รอบจัดนี่มันแปลว่าอะไรครับ"


"ก็คนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี เดินนำหน้าคนอื่นเขาไปก้าวหนึ่งเสมอน่ะ"


"เขาไม่ได้เจ็บป่วยอะไรใช่มั้ย ตอนนั้นที่ผมย้ายไปสวีเดนน่ะ ผมเขียนจดหมายหาเขา แล้วก็โทรหาด้วย แต่แม่เลี้ยงเขา ป้าเซยอนบอกว่า จินยองไม่อยากคุยกับคนที่ทิ้งเขาไปแล้ว"



"นายเชื่อหรือไง"



"ไม่...ผมไม่เคยเชื่อเลย และผมก็พยายามหาทางติดต่อเขามาตลอด ผมเป็นห่วงเขามาก ผมคิดถึงเขาทุกวันเลย ผมอยากเจอเขาแค่สักครั้งก็ยังดี"


 

“เขาเปลี่ยนเบอร์บ่อย...งานก็ยุ่ง จะติดต่อเขาตอนนี้มันเลยยาก...ยากมาก ไอ้เรื่องจะเจอ...ไม่รู้จะอยากมาเจอหรือเปล่า” ถ้อยคำดักความหวังแทรกมาอย่างเย็นชา ทำให้อีกคนชะงักแต่ไม่ทันจะได้ต่อความก็มีคำถามตามมา “ว่าแต่เราเถอะ...เมื่อกี้ร้องไห้ทำไม”

 


แค่ได้ยินเท่านั้นความเศร้าทั้งมวลที่อยู่ภายในก็คล้ายย้อนกลับมาทิ่มแทง หากฝ่ายถูกถามกลับข่มความเจ็บปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ปฏิเสธเป็นพัลวัน

 


“ใครร้อง...ผมไม่ได้ร้องสักหน่อย”

 


“งั้นเอายาหยอดตาหน่อยดีกว่ามั้ง เผื่อไอ้ตาที่ช้ำอยู่นั้นจะดีขึ้น” คนแก่กว่าไม่ได้เถียงแค่เสนอแนะในเชิงที่ทำให้ทราบว่า ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินแต่อย่างใด

 


“ผมไม่ได้ร้องไห้จริงๆ น้ำฝนเข้าตาก็เลยแสบตา ตามันเลยแดง”

 


“ฝนมันคงมีสารเคมี พอเข้าตา น้ำตาเลยไหล ขนาดตอนนี้นายยังมีน้ำคลอที่ตาอยู่เลย”

 


แค่ได้ยินเท่านั้นมือผอมก็ยังขึ้นมาสัมผัสหยดน้ำตรงขอบตาที่เอ่อมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะใช้ปลายนิ้วเช็ดมันออก...ดูเหมือนพี่ชายคนนี้ยังจับสังเกตความผิดปกติของเขาได้ดีเช่นเดียวกับเมื่อก่อน

 


...การได้คุยกันทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าคือพี่ชายคนเดิมที่มีบางอย่างเปลี่ยนไป

...อาจเพราะเจอเรื่องร้ายมาก็เลยมีกลไกปกป้องตัวเอง
...น่าแปลกที่เขาก็เจอแต่เรื่องแย่ๆทำไมถึงไม่มีกลไกปกป้องตัวเองจากความเสียใจบ้างเลยนะ


“พี่เป็นเจ้าของที่นี่เหรอ...ที่นี่สวยนะแต่ทำไมชั้นล่างคนเยอะพอมาชั้นนี้กลับไม่มีลูกค้าเลยล่ะ” เพราะกลัวถูกจี้ถามเลยเปลี่ยนเรื่องใส่เสียดื้อๆ

 


“ใครเขาจะมาเจรจาเรื่องค้าอาวุธทุกวันกันล่ะ” เจ้าของสถานที่ตอบกลับแต่พอเห็นสีหน้าตระหนกเข้าก็ยกยิ้มมุมปากแล้วเสริมความเพิ่ม “พี่ล้อเล่นน่ะ”

 


“ล้อเล่นเหรอ...แต่หน้าพี่ไม่บอกว่าล้อเล่นเลย”

 


“ก็แกล้งนายมันสนุกดี”

 


“แกล้งให้ผมตกใจนี่สนุกเหรอ”

 


“อย่างน้อยก็มีอะไรให้คิดนอกจากเรื่องที่นายไม่อยากคิดนะ”

 


ตากลมมีร่องรอยบวมช้ำจากการร้องไห้หนักหลบตาแทบจะทันทีที่ได้ยินคนตรงข้ามพูดราวกับอ่านใจเขาได้

 


“กินอะไรรองท้องก่อนไป จะได้กินยา”

 


“พี่รู้ได้ยังไงว่าผมต้องกินยา” เรื่องที่ไม่มีใครอื่นนอกจากครอบครัวและคนสนิทในปัจจุบันรู้เมื่อหลุดจากปากคนที่ไม่เคยพบมานานเป็นสิบปีทำให้เจ้าตัวตกใจขึ้นมาอีก

 


“ความจริงพี่เจอตัวนายมาสักพักแล้วล่ะ ก็เลยพยายามสืบดูว่านายอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร สืบไปสืบมาถึงรู้ว่าก่อนหน้านี้นายป่วยหนักและตอนนี้ก็ยังต้องกินยาต่อเนื่องอยู่”

 


“พี่...สืบเรื่องผมด้วยเหรอ...สืบมานานแค่ไหนแล้ว”

 


“ไม่กี่เดือนหรอก”

 


“แล้วทำไมไม่มาให้เห็นหน่อยล่ะ ก่อนหน้านี้ผมเจอพี่ฮยอนอูด้วย แต่พี่เขาไม่เห็นบอกเลยว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ พอผมขอเบอร์ติดต่อคนอื่นๆพี่เขาก็บอกว่า พวกพี่ไม่ใช่คนเดิมที่ควรมายุ่งด้วยอีกแล้ว”

 


“เขาบอกแบบนั้นเหรอ”

 


“อื้อ...”


 

“นายก็ควรเชื่ออยู่นะ”


 

“เชื่ออะไร...เชื่อว่าไม่ควรยุ่งกับพี่น่ะเหรอ”


 

“ใช่”


 

“ถึงพี่จะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่พอคุยกันพี่ก็ไม่เห็นจะต่างจากเดิมเลย ไอ้นิสัยชอบแกล้งนั้นก็ไม่เห็นเปลี่ยนไปเลย”


 

“อย่างนั้นเหรอ” อีกฝ่ายรับคำพลางเหยียดยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นคนอ่อนกว่าก็ไม่พูดอะไรแค่เขี่ยอาหารในจานไปมาพักหนึ่งถึงตักเข้าปาก

 


แม้รสชาติจะอร่อยล้ำแต่เขากลับไม่รู้สึกอยากอาหาร ในสมองครุ่นคิดอะไรมากมายรวมทั้งเรื่องที่ว่าไม่อยากกลับบ้าน อยากจะอยู่ที่ไหนสักที่เพื่อตั้งหลัก ความที่หนีออกมาทันทีเลยไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่างกระทั่งกระเป๋าสตางค์ มือถือก็ปาใส่ไปแล้วแต่จะให้กลับไปก็ทำไม่ได้

 


ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดสับสน...กินไปได้ไม่ถึงครึ่งก็วางจานลงบนจานพลางถอนหายใจ ตอนนั้นเองที่พนักงานคนเดิมเอาถ้วยพลาสติกใส่ยาหลากสีหลายเม็ดมาเสิร์ฟให้


 

เพียงมองก็เห็นว่ายาเหล่านั้นมีรูปทรงและสีแบบเดียวกับที่กินอยู่ประจำ เมื่อหยิบกระดาษพิมพ์รายชื่อยาทั้งหมดที่ถูกทับอยู่ใต้แก้วถึงรู้ว่า มันคือยาทั้งหมดของเขาจริงๆ

 


...การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคนอื่นโดยง่ายดูจะเป็นอิทธิพลในรูปแบบเดียวกับตอนที่พ่อของคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่

...ไม่รู้ว่าใช้เงินหรืออำนาจ ไม่ว่าอะไรที่ตระกูลนี้ต้องการไม่มีทางไม่ได้มา

 


“ปกติทางโรงพยาบาลจะไม่บอกอาการกับยาของคนไข้ให้คนนอกรู้ไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ถึงรู้ได้ล่ะ”


 

“มันก็ไม่ได้ยากอะไร...แล้วนี่เราจะกลับบ้านมั้ย” เพื่อเลี่ยงการก่อคำถามจึงเป็นฝ่ายชิงถามเสียเอง

 


ยองแจนิ่งฟังคำเหล่านั้นโดยไม่ตอบอะไรออกไปในทันที แค่ก้มหน้าหลุบตาต่ำมองมือซีดของตัวเองที่กลับมาประสานกันหลวมๆบนตัก พยายามจะไม่คิดถึงภาพที่ยังติดต่อหรือความรู้สึกทุกข์ทนที่ยังฝังตัว กว่าจะตัดสินใจขยับปากตอบออกมาได้ก็กินเวลานานหลายนาที

 


“ผม...อยากจะ...ไปอยู่ที่ไหนก็ได้...ที่ไม่มีใครเลยสักพัก”

 


“ก็ไปสิ”

 


“แต่ผมไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนด้วย”

 


“ถ้านายไม่อยากกลับบ้านและอยากไปอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีคนล่ะก็...พี่มีที่ที่หนึ่งที่น่าจะเหมาะให้นายไปอยู่”


 

“ที่ไหนครับ”


 

“พี่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน แต่พี่พาไปได้”


 

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะครับ”


 

“ถามเยอะไม่เปลี่ยนเลยแฮะ"



"ก็...ผมอยากรู้"



"เออ...ที่นั่นเป็นเซลฟ์เฮ้าส์ของพี่...เป็นที่ที่เข้าไปยาก มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ใครก็หาไม่เจอนอกจากพี่จะยอมให้เข้าไปเอง”

 


“ถึงขนาดมีเซลฟ์เฮ้าส์ แล้วยังเรื่องที่พี่บอกว่าต้องแกล้งตายจะได้ปลอดภัยนั้นอีก...แสดงว่า...เรื่องรถชนนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุใช่มั้ยครับ”

 


“อืม”


 

“แล้ว...แล้วเขาจะทำไปทำไมกัน”


 

“ผลประโยชน์ไง”


 

“ผลประโยชน์อะไรถึงต้องฆ่าต้องแกงกันด้วย”

 


“มันมีอะไรหลายอย่างในโลกนี้ที่โหดร้ายกว่าที่นายคิดนะ...มนุษย์เราทำเรื่องน่ากลัวเพื่อตัวเองได้ทุกอย่าง จะฆ่าสักกี่คนก็ได้ถ้าเพื่อผลประโยชน์ตัวเองน่ะนะ”

 


“แล้วพี่ไม่...ไม่ได้แจ้งตำรวจเหรอ”


 

“คิดว่าพวกคนใหญ่คนโตมันกลัวตำรวจกันเหรอ...ตำรวจสิต้องกลัวมัน”

 


“งั้น...คนพวกนั้น...ก็ยังลอยนวลอยู่สิ”

 


“ใช่...ยังลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด หนำซ้ำยังรวยเอารวยเอา”



เมื่อได้ยินเรื่องราวคร่าวๆจากพี่ชายสมัยเด็กที่เล่าออกมาด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สา ฝ่ายคนฟังที่จิตใจไม่ปกติอยู่แล้วยิ่งรู้สึกทั้งเศร้าและหดหู่จนแสดงออกมาทางสีหน้า


 

“ตอนนั้นพี่คงลำบากมากเลยสินะครับ”

 


“ลำบากแต่ไม่เป็นไร ยิ่งลำบากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้พี่อยากอยู่ดูพวกมันตายอย่างทรมานมากเท่านั้น” ในช่วงท้ายของประโยคนัยน์ตารีมีประกายเคียดแค้นรุนแรงปรากฏขึ้นมาแว่บหนึ่งก็จางหาย “อย่าทำหน้าเศร้าไปเลย ต่อให้ตอนนั้นนายรู้ นายก็ช่วยอะไรพี่ไม่ได้หรอก เหมือนวันนั้นที่นายไปตะโกนบอกใครต่อใครในงานเลี้ยงเรื่องที่จินยองโดนแม่เลี้ยงทำร้ายนั้นน่ะ ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็ใช่ว่าจะมีใครจัดการเพราะเราก็เป็นแค่เด็ก...เด็กมันจะไปทำอะไรได้”

 


“ขอโทษที่ผมช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลย”

 


“ขอโทษทำไม...ไอ้คนที่ควรขอโทษไม่ใช่นายสักหน่อย แล้วก็วันนี้นายดูเหนื่อยมากแล้ว กินยาแล้วไปนอนเถอะ เผื่อพรุ่งนี้ตื่นมานายอาจเปลี่ยนใจเรื่องอยากไปอยู่ที่ที่ไม่มีคนอะไรนั้นแล้วก็ได้”

 


“ไม่...ไม่หรอก...ผมไม่เปลี่ยนใจหรอก”

 


“ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ...พี่รู้ว่านายไม่เปลี่ยนใจหรอก สภาพแบบนี้อย่าว่าแต่กลับบ้านเลย ไปหาพี่คนสนิทก็ยังไม่กล้าไปหาเลยมั้ง”

 


“พี่...พี่ชักจะ...ทำให้ผมกลัวแล้วนะ” ทุกคำที่พี่ชายสมัยเด็กเอ่ยออกมาเหมือนอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่งเริ่มให้ความรู้สึกไม่สบายใจ

 


...จริงอยู่ที่พี่แจบอมรู้ว่าเวลาเขาเศร้าจะเป็นยังไง แต่การอ่านขาดทุกอย่างที่เขาคิดหรือรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่เคยเป็นมา...

 


“พี่เป็นห่วงน่ะ...ก็เลยตามดู อย่าถือสาเลย น้องที่พี่รักมากคนหนึ่งไปอยู่กับคนไม่ดีจะให้พี่วางใจได้ยังไง” ในประโยคหวังดีนั้นมีสิ่งต้องสงสัยต่อคนฟังแต่ไม่ทันจะได้ถามก็ถูกตัดบทเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน “กินยาแล้วไปนอนได้แล้ว”

 


ยองแจพยักหน้าพลางเทยาทั้งหมดเข้าปากตามด้วยน้ำเปล่าตบท้ายด้วยน้ำส้มเพื่อข่มความขมให้หายลงคอไป จากนั้นคนตัวใหญ่ก็พาน้องขึ้นไปส่งยังห้องนอนของตัวเองซึ่งในนั่นแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงที่วางอยู่บนพรมสีดำกับโคมไฟตั้งพื้นราวกับห้องนี้เป็นห้องใช้ซุกหัวนอนสมชื่อ

 


“พี่ให้ผมนอนที่นี่แล้วพี่จะไปนอนตรงไหน”

 


“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก...ที่นี่ออกจะกว้างจะนอนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ปกติกลางคืนพี่ไม่ค่อยนอนหรอก มีงานต้องทำ”

 


“อ้อ...ผมลืมว่าพี่เปิดผับ เปิดบาร์ น่าจะไม่ได้นอนตอนกลางคืน”

 


“ส่วนเรื่องเสียงน่ะ รับรองว่าไม่มีเสียงดังรบกวนเพราะห้องนี้พี่ทำให้มันเก็บเสียง แล้วก็กินนี่เข้าไปด้วย”

 


พี่ชายสมัยเด็กคนเดิมหยิบแผงยาจากในกระเป๋ากางเกงมาแกะเอายาเม็ดเล็กสีฟ้าส่งให้ตามด้วยขวดน้ำเปล่าที่ไม่เห็นเลยว่าถือติดมือมาด้วยตอนไหน

 


“ยานี่...คือยาอะไรครับ”


 

“ยานอนหลับ...ยานี่กินได้ มันไม่ไปตีกับยาอื่นที่นายกินหรอก พี่ถามหมอแล้ว”

 


“แต่...ยาที่ผมกิน...มันทำให้ง่วงอยู่แล้วนะ”


 

“แค่ง่วงไม่ได้ทำให้หลับสนิท กินเหอะ...นายไม่ได้นอนเต็มอิ่มมานานแล้ว กินแล้วนอนจะได้หลับลึก ไม่ต้องมาคิดมาฝันอะไรให้ปวดหัว ตื่นมาเผื่อจะคิดได้ว่ามีคนที่รักนายมากอยู่”

 


ครั้งนี้มือขาวที่เพิ่งรับยานอนหลับถึงกับสั่น ตากลมเหลือบมองผู้พูดเองก็สั่นไม่แพ้กัน หากคนเป็นพี่ไม่พูดอะไรสักคำแค่ลูบผมนุ่มไปมาเบาๆ เฝ้ารอจนเห็นน้องกินยาแล้วล้มตัวลงนอนก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดให้ถึงคอ

 


“ราตรีสวัสดิ์”

 


แจบอมเอ่ยเท่านั้นก็ขยับลุกจากพื้นเดินออกจากห้องไป ทิ้งน้องไว้ให้อยู่กับความเงียบเหงาในบรรยากาศรอบข้างที่ไม่คุ้นเคยเอาสักเลย

 


ร่างผอมพลิกตัวกระสับกระส่ายไปหาจนสุดท้ายก็หยุดจ้องแสงไฟด้านนอกหน้าต่างที่มีเพียงบานเดียวในห้อง...การอยู่คนเดียวระหว่างรอฤทธิ์ยาทำงานพาให้คิดฟุ้งซ่าน ชั่วขณะหนึ่งในหัวก็จินตนาการภาพของหญิงสาวสวยคนนั้นนอนกอดก่ายกับเพื่อนร่วมบ้านอยู่บนเตียงก็ผุดขึ้นมา

 


...คนไม่รักทำยังไงเขาก็ไม่รัก...

...ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงมันก็ถูกต้องแล้ว...

...ไอ้ผิดเพศแถมน่ารำคาญคอยแต่เป็นภาระ...

...มีสิทธิ์อะไรถึงไปเรียกร้องหวังจะได้ความรักจากคนอื่น...

 


คิดถึงตรงนี้น้ำตาที่เหือดหายไปพักใหญ่ก็หวนกลับมาไหลริน ทั้งที่อยากหยุดคำนึงถึงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดแสนสาหัญแต่สมองดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย ความทรมานที่คั่งค้างอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้นบีบรัดจนหายใจไม่ออกอีกคราทำให้เขากำหมัดทุบไปบนอกเพื่อคลายความจุกแน่น กระทั่งอาการนั้นดีขึ้นถึงหันมาลูบแขนปลอบตัวเองเช่นที่ฮิมชานเคยทำเมื่อครั้งเขานอนซมอยู่โรงพยาบาล

 


...ในเวลาย่ำแย่ของชีวิตคนแรกที่เขาคิดถึงกลับเป็นฮิมชานเสมอ...

 


คนเดียวที่อยู่เคียงข้างผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน พี่ชายที่เป็นเหมือนพี่ทางสายเลือด เปรียบเสมือนเพื่อนและพ่อที่คอยปกป้องเขาไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็ตาม

 


...ถ้าพี่ฮิมชานรู้คงโกรธมาก...

...ทั้งที่อุตส่าห์พาเขามาในจุดที่มีความสุขได้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำมันพังลงอีก

...หรือบางทีพี่ฮิมชานอาจไม่โกรธ

...แต่อาจโทษตัวเองที่ปกป้องน้องอย่างเขาไม่ได้



น้ำอุ่นใสเอ่อจากขอบตาร่วงลงบนหมอนจนเปียกชุ่ม ยองแจสูดลมหายใจพลางพลิกตะแคงตัวเข้าหากำลังแล้วจ้องมองผนังว่างเปล่าด้วยความรู้สึกว่ารอยร้าวเก่าในหัวใจปริแตกออกมาใหม่ก่อนจะหลับลงไปเพราะความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยา

 

 

ผู้ให้ที่พักพิงแวะขึ้นมาดูอาการน้องสมัยเด็กอีกครั้งตอนตีสาม ทุกอย่างภายในห้องตกอยู่ในความมืดมีเพียงเสียงหายใจเบาๆให้รู้ได้ว่ามีคนหลับอยู่ และเมื่อแสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมตั้งพื้นสว่างเสี้ยวหน้าซีดเซียวที่โผล่พ้นผ้าห่มเพียงครึ่งก็ปรากฏแก่สายตา

 


ชายหนุ่มถอนหายใจต่อภาพตรงหน้าและใช้ปลายนิ้วปาดน้ำที่เกาะพราวบนขนตายาวสวยนั้นให้ออกให้อย่างเบามือแล้วลูบหัวปลอบตามความเคยชิน

 


เมื่อก่อนยองแจเป็นเด็กเข้มแข็งและมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเจอเรื่องกดดันหรือเรื่องเศร้าใจ แม้แต่ตอนถูกพ่อตัวเองตบก็ไม่ยอมแพ้ยังพยายามปกป้องเพื่อนคนสำคัญ ทว่า ณ ตอนนี้เจ้าเด็กใจสู้คนนั้นกลับเปราะบางเสมือนแก้วที่แตกร้าวแล้วทั้งใบ

 


...ลำพังอาการเจ็บป่วยก็แย่พออยู่แล้ว ยังไปชอบไอ้ลูกฆาตกรไม่มีหัวใจซ้ำเข้าไปอีก...

 


“ทำไมไม่รักตัวเองบ้างเลย...ไอ้คนที่นายร้องไห้ให้มันไม่สมควรที่นายจะเสียน้ำตาให้มันหรอก ไอ้เวรนั้นน่ะก่อนจะเป็นคนที่นายรักมันก็เป็นแค่สวะที่ทำทุกอย่างตามที่พ่อชาติชั่วของมันสั่ง ต่อให้มันลบอดีตตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่มีวันลบสันดานดิบในตัวมันได้หรอก คนอย่างนั้นนอกจากตัวเองแล้วมันรักใครเป็นซะที่ไหน...และพี่จะไม่ยอมให้ไอ้ห่านี่มายุ่งกับนายอีก”

 


แจบอมคุยกับคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แม้มืออุ่นจะลูบผมนุ่มของน้องไว้อย่างทะนุถนอมแต่แววตายามคิดถึงทายาทของศัตรูกลับวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเกลียดชังสุดแสน ก่อนจะผุดลุกจากพื้นเดินออกจากห้องไปปล่อยความมืดมิดและเงียบเหงาของค่ำคืนให้กลับมาเช่นเดิม



----- แวะคุยกันก่อน -----

ปฐมบทแห่งความดราม่า ร้องไห้เป็นเผาเต่า ยังร้องต่ออีกหลายบท ไอ้คนโง่มันรู้แล้วนะ ส่วนคนเอาแต่อมพะนำก็เจ็บจนฟังอะไรไม่ไหวแล้ว ความใจดีเป็นเหตุแท้ๆเลย ละเนี่ยมีคนมาปั่นเพิ่มอีกละ พี่แจบอมนี้หนักกว่าพี่ฮิมชานอีก เพราะเขาแค้นส่วนตัวอะนะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแล้วก็คอมเม้นหรือติดแฮชแท็ก ficlovetoxical ในทวิตด้วยจะได้รู้ว่าอ่านอยู่ ขอตัวไปนอนก่อน ฮือ 

ปล. ฟังเพลงประกอบฟิคที่ลงด้วยนะคะ เพลงนี้แหละ เพลงทีบอกว่ายองแจรู้สึกยังไงในฟิค


You Might Also Like

1 Comments

  1. พังบอกได้คำเดียวว่าพัง พังทั้งคู่ สงสารใครก่อน เกือบแล้วอ่ะ เกือบจะดีแล้ว อีกนิดเดียว ฮืออ ปวดใจพลิกแผ่นดินหาก็คงไม่เจอเพราะเค้าไม่อยากให้เจอ ตายแน่ๆกากเอ๊ยยยย ครอบครัวคนรอบข้างคุณเค้าดูแลเป็นไข่ในหิน เอาใจช่วยนะเจ้ากาก ตามหาคุณเค้าให้เจอแล้วปรับความเข้าใจกัน อยากเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันคงจะหวานน่าดู😂

    ตอบลบ