OS KYEOMKOOK : COINCIDENCE

21:15




ตึก...ตึก...ตึก


เสียงลูกบาสกระแทกพื้นปะปนมากับเสียงเสียดสีของพื้นรองเท้าและเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังลอดจากสนามกีฬากลางแจ้งผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียนชั้นหนึ่งของอาคารคณะศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งนักศึกษาภาควิชาออกแบบสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มใช้เป็นสตูดิโอในการเก็บงานเวิร์คช็อประหว่างเรียนหรือใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานที่อาจารย์มอบหมาย


ชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวสีขาวลายทางแนวนอนสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวขาดเข่าง่วนอยู่กับการเก็บปักลายเป็นสี่เหลี่ยมด้านหลังของชุดสูทสีเทาล้อมกรอบผ้าส่วนที่ทอลายตารางหมากรุกสีน้ำตาลสลับเทาอยู่ริมหน้าต่าง 


แว่นตาทรงกลมไร้กรอบบนใบหน้าขาวเหมือนกระต่ายนั้นแทนที่จะอยู่ตรงตำแหน่งดวงตากลับคอยแต่เลื่อนลงมากองตรงสันจมูกในทุกครั้งที่ก้มหน้าหากเจ้าตัวหาได้สนใจยังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้า


“ทำไมข้างนอกเสียงดังจัง”


“มันก็ดังของมันอย่างนี้ทุกเย็นแหละ ทำไงได้ก็ห้องเราดันไปติดกับสนามกีฬา เลิกเรียนแล้วคนอื่นเขามาออกกำลังกันก็เสียงดัง”


“ไม่ดิ วันนี้มันดังกว่าทุกวันนะ เหมือนจะมีเสียงเชียร์ด้วย”


“นี่ไม่รู้เหรอว่า วันนี้พวกนิเทศเขาจับกลุ่มถ่ายหนังสั้นกัน...ได้ยินว่า อาจารย์เขาให้โจทย์เกี่ยวกับเล่นกีฬา”


“ทำไมรู้ล่ะ”


“ต้องรู้สิก็แฟนฉันอยู่นิเทศ”


บทสนทนาระคนเสียงหัวเราะระหว่างนักศึกษาหญิงที่เหลืออยู่ในห้องเพียงไม่กี่คนนั้นคล้ายเสียงแมลงที่ลอยวนอยู่ในหู แม้จะนึกรำคาญอยู่บ้างหากผู้ชายที่เหลือคนเดียวในห้องก็จำใจต้องปล่อยหูทวนลมไปด้วยอยากให้งานเสร็จทันกำหนดส่ง


“จองกุกจะกลับหรือยัง” หนึ่งในกลุ่มนั้นหันมาถามขณะเก็บข้าวของลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับแต่เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าเพียงส่งเสียงตอบสั้นๆ


“ยัง”


“พวกเราจะกลับแล้วล่ะ ถ้าไงตอนนายจะกลับอย่าลืมปิดไฟนะ”


“อืม”


จอน จองกุกส่งเสียงในลำคอตอบรับแทบไม่ได้สนใจคำลา กระทั่งบานประตูจะเปิดหรือเลื่อนปิดแรงเพียงใดด้วยสมาธิเขาอยู่กับกับคอลเลคชั่นเสื้อผ้าของตนเองที่จะได้ไปเดินแสดงบนเวทีแฟชั่นโชว์ของภาควิชาที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้คนภายนอกได้เห็นผลงานการออกแบบของนักศึกษาที่มีฝีมือดี


...และเขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเพียงคนเดียวของชั้นปีที่ได้รับโอกาสนี้...


ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนเย็นชาออกจะเฮฮาเสียด้วยซ้ำเพียงแต่ช่วงนี้มีงานสำคัญที่กดดันทำให้เขาค่อนข้างเครียดจนไม่อยากสนใจอะไรนอกจากสิ่งที่ทำอยู่


เขายุ่งอยู่กับมันโดยไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศภายนอก ไม่รู้กระทั่งว่ามีบางสิ่งพุ่งจากสนามบาสมาทางตนเองจนมันกระแทกเข้าอย่างแรงกับเสาของอาคารเกิดเป็นเสียงสนั่นหวั่นไหวเฉียดบานหน้าต่างที่เขายืนอยู่ ความตกใจทำให้เข็มทิ่มเข้านิ้วชี้เต็มๆจนเลือดหยด


“บ้าเอ๊ย” เขาสบถออกมาแล้วยกนิ้วขึ้นมาดูดเลือดเข้าปากพร้อมกับใครคนหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินแหวกพุ่มไม้ที่กั้นระหว่างตึกศิลปกรรมกับสนามกีฬาเข้ามาเก็บลูกบาสที่ตกอยู่


ใครคนนั้นเหยียดตัวที่ก้มขึ้นตั้งตรงโอบลูกบาสไว้ในวงแขนข้างหนึ่งและขยับเข้ามาใกล้บานหน้าต่าง


ดวงหน้าหมดจดคมสันกับนัยน์ตาสีน้ำผึ้งสวยรวมเข้ากับร่างกายสูงใหญ่นั้นดูราวกับมีเชื้อสายต่างชาติอยู่ในกายของฝ่ายตรงข้ามจ้องมาหาก่อนจะยิ้มกว้างพลางเคาะหน้าต่างบอกเป็นนัยให้เปิดมาคุยกัน


จองกุกส่ายหน้าและชี้นิ้วไปที่กรอบหน้าต่างเป็นเชิงว่าเปิดไม่ได้ ฝ่ายนั้นเลยผละไปและวิ่งกลับมาใหม่พร้อมกระดาษและปากกาในมือ


...ขอโทษที่ทำให้ตกใจ...


กระดาษแผ่นแรกที่มีลายมือภาษาเกาหลีขยุกขยิกถูกเปิดขึ้นมาและพลิกเปลี่ยนไปอีกหน้า


...บังเอิญผมทำลูกบาสหลุดมือ ขอโทษนะครับ...


ชายหนุ่มหลังหน้าต่างด้านนอกโค้งขอโทษ เมื่อเห็นอีกคนพยักเพยิดเหมือนไม่โกรธเคืองอะไรก็ยิ้มให้อีกครั้งและเดินกลับไปที่สนามปล่อยให้คนที่อยู่ลำพังในห้องเวิร์คช็อปกลับมาจดจ่อกับงานของตัวเองอย่างไม่มีรู้เวลากระทั่งเงยหน้ามองตัวเลขบนนาฬิกาข้อมือที่ล่วงมาถึงสามทุ่มกว่าจึงหยุดมือ


ผ้าที่พับอยู่บนโต๊ะถูกสะบัดคลุมหุ่นโชว์เพื่อกันฝุ่น...เขาทยอยเก็บอุปกรณ์ของตนเองที่เกลื่อนโต๊ะลงกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่มีช่องมากมายกั้นไว้ให้เก็บไว้เป็นระเบียบเพื่อง่ายในการหยิบใช้ จากนั้นจึงยัดมันใส่ในกระเป๋าที่สะพายอยู่โดยไม่ลืมปิดไฟและล็อกห้องจากด้านใน


เพราะใช้ห้องเป็นคนสุดท้ายตลอดเลยมีหน้าที่ปิดล็อกประตูเหมือนทุกวันแต่วันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป เมื่อเขาเห็นถุงพลาสติกสีดำแขวนอยู่ตรงลูกบิดมีสติ๊กเกอร์เขียนข้อความแปะไว้


...แทนคำขอโทษครับ...


จองกุกหรี่ตาดึงหูหิ้วออกจากลูกบิดเพื่อดูข้าวของข้างในที่มีน้ำผลไม้กับปลาสเตอร์ลายกระต่ายเล็กๆน่ารักอยู่ในนั้น


“อะไรของเขา...ก็บอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ” เขาบ่นพึมพำขณะก้มมองของในถุง ในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่า มีบัตรนักศึกษาตกอยู่บนพื้น เมื่อหยิบขึ้นมาส่องดูใต้แสงสว่างตรงทางเดินถึงรู้ว่าเป็นบัตรนักศึกษาของคนที่ทำลูกบาสหลุดมือ


...คิม ยูคยอม...คณะนิเทศศาสตร์


พออ่านชื่อในใจได้ก็หันรีหันขวางมองไปทางสนามกีฬา ทว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน ครั้นจะฝากให้ยามที่กะดึกของมหาวิทยาลัยไปคืนก็กลัวไม่ถึงมือเลยจำเป็นต้องเก็บบัตรนั้นไว้ที่ตัว


...ไว้พรุ่งนี้จะไปคืน...
---------------------------------------------------------------------------------------
วันนี้เป็นอีกวันที่มีคาบเรียบแน่นตลอดช่วงเช้าทำให้จองกุกลืมเรื่องบัตรนักศึกษาที่เก็บได้เมื่อวานไปสนิทกว่าจะนึกขึ้นได้ก็ตอนที่แยกกับเพื่อนในภาครีบมากินข้าวก่อนเพื่อจะได้ไปจัดการเก็บรายละเอียดเสื้อผ้าที่เขาทำค้างไว้ด้วยกลัวว่าจะหาเวลาจากตารางเรียนที่อัดแน่นต่อช่วงบ่ายยันเย็นได้น้อย


...ฝากพี่ยุนกิไปคืนได้ไหมหว่า...


เขาถามตัวเองในใจพาลนึกไปถึงรุ่นพี่คณะนิเทศที่สนิทกันแต่พอกดโทรศัพท์หาเจ้าตัวกลับปิดเครื่อง จะให้เดินไปเองถึงตึกนิเทศที่อยู่คนละฟากโลกกับคณะศิลปกรรมก็เห็นจะไม่ไหว...ชั่วขณะที่ตัดสินใจไม่ได้อยู่นั่นก็มีใครคนหนึ่งถือถาดอาหารกลางวันมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงนุ่มนั้นถามเรียกให้อีกคนเงยหน้าจากจานข้าวผัด เมื่อเห็นหน้าเหมือนลูกครึ่งของคนที่พบกันเมื่อวานก็กระพริบตาปริบแล้วส่ายหน้าไปมา


“เมื่อวานผมซื้อน้ำผลไม้แทนคำขอโทษ...คุณได้ดื่มหรือยังครับ”


“ยัง...แช่ไว้ในตู้เย็นที่บ้าน” ฝ่ายถูกถามตอบกลับแล้วล้วงมือไปในกระเป๋าสะพายคว้านหาบัตรนักศึกษาอยู่นานกว่าจะเจอและยื่นส่งให้ “คุณทำนี้ตกไว้แน่ะ”


“โอ้ ผมทำตกไว้เหรอ ไม่รู้ตัวเลย”


“คงจะตกตอนที่เอาของมาให้ผมมั่ง”


“อา ขอบคุณมากนะครับ” มือเรียวยื่นมาหยิบบัตรนักศึกษากลับไปอย่างนอบน้อมก่อนคำถามจะตามมาอีกคำรบ “แล้วนี่มาคนเดียวเหรอครับ”


“ใช่”


“บังเอิญจัง ผมก็มาคนเดียวเหมือนกัน” อีกฝ่ายว่าพลางยิ้ม “ผมนั่งด้วยได้ไหม”


“ได้สิ แต่ถ้าคุณกินช้าผมคงอยู่รอกินเสร็จพร้อมกันไม่ได้หรอกนะ”


“คุณมีธุระเหรอครับ”


“ก็ไม่เชิงธุระหรอกแต่ผมต้องรีบไปทำชุดให้เสร็จน่ะ”


“ชุด...ชุดอะไรเหรอครับ”


“พอดีว่าที่คณะของผมเขาจะมีจัดงานแฟชั่นโชว์ของนักศึกษาทุกปี ทีนี้อาจารย์เขาชอบชุดที่ผมออกแบบก็เลยให้โอกาสให้ผมเอาชุดของผมไปร่วมด้วย งานมันก็จะมีอีกสองอาทิตย์แล้ว ชุดของผมมันยังไม่ไม่เรียบร้อยแล้วผมก็อัดลงทะเบียนเรียนไปหลายวิชาแถมที่บ้านผมก็มีอุปกรณ์ไม่พร้อมเหมือนที่มหาลัยด้วย ผมกลัวชุดจะไม่เสร็จเลยต้องหาเวลาเท่าที่มีไปทำ”


“ที่อยู่จนดึกก็เพราะแบบนี้นี่เอง” คนตัวใหญ่กว่าพยักหน้าขึ้นลง


“รู้ได้ไงว่าผมอยู่จนดึก”


“ก็เมื่อวานผมกลับแล้วคุณยังไม่กลับเลย”


“เสร็จงานนี้ก็ได้กลับบ้านเร็วแล้วล่ะ”


“พยายามเข้านะครับ”


“อืม ขอบคุณ” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ทั้งสองพูดกันเพราะหลังจากนี้จองกุกก็ยัดทุกอย่างเข้าปากราวกับพายุแล้วขอตัววิ่งตื้อไปที่ห้องเวิร์คช็อปเพื่อทำงานที่คั่งค้างอยู่ราวชั่วโมงก็ได้ฤกษ์หยุดมือเพื่อกลับไปเรียนวิชาต่อไปที่ลงทะเบียนไว้


และเป็นอีกครั้งที่ตอนเปิดประตูออกมามีของแขวนอยู่ตรงลูกบิดด้านนอกแต่ครั้งนี้เป็นถุงผ้าที่มีแซนด์วิชและนมกล้วยพร้อมกระดาษโน้ตเขียนใส่ไว้


...ขอบคุณที่เก็บบัตรนักศึกษาให้ผมนะ ยังไงเอานี่ไว้รองท้องเผื่อตอนเย็นไม่มีเวลากินข้าวจะหิว...


จองกุกย่นหน้าผากออกจะรู้สึกแปลกๆที่มีคนเอาของกินมาแขวนไว้ที่ประตู หากไม่มีเวลามากพอจะคิดอะไรจึงหยิบมันติดมือไปด้วยซึ่งวันต่อๆมาก็กลายเป็นว่ามีของกินแขวนอยู่ตรงประตูที่ห้องเวิร์คช็อปทุกครั้งที่เขาออกมา


ไม่ใช่แค่ของกินแต่เขายังเจอผู้ชายคณะนิเทศคนนั้นทุกครั้งที่ปลีกตัวจากเพื่อนไปกินข้าวกลางวันและมีบางทีที่บังเอิญเจอกันระหว่างเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย


ระหว่างทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีเรื่องสนทนากันมากนักเพราะความเร่งรีบของจองกุกเองแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่มีท่าทีจะอึดอัดรำคาญอะไรเพียงแต่ยิ้มให้ในทุกคราที่มองไปเห็น


ตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไร หากพอหลายวันเข้าก็รู้สึกว่ามันจะบังเอิญเจออะไรกันบ่อยขนาดนี้ทั้งที่ก่อนหน้าเขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นเลยสักครั้ง


...มันดูบังเอิญไปม้าง...


แต่เพราะไม่มีเวลามากพอจะคิดหาเหตุผลด้วยใจยังพะวงกับงานแฟชั่นโชว์ แม้ในวันที่คนอื่นหยุดกันจองกุกยังคงมามหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าและกลับบ้านในตอนค่ำ


“ตรงไหล่เหมือนจะหลวมไปหน่อย...แผ่นรองไหล่มันเลื่อนด้วย” เสียงของนายแบบที่เป็นแบบลองชุดแทนหุ่นบอกทำให้จองกุกเงยหน้าจากการเย็บเก็บชายแขนเสื้อที่จักรเย็บผ้าทำไม่ได้ขึ้นไปมอง


นายแบบหนุ่มรูปงามตัวสูงโปร่งที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่คณะวิศวกรรรมศาสตร์ที่รู้จักกันก่อนหน้าสวมชุดสูทสีเทากำลังดึงผ้าตรงส่วนแขนเสื้อเพื่อให้ดูว่าเป็นจริงอย่างที่พูด


“หลวมเหรอ”


“แก้ทันปะ”


“อีกไม่กี่วันมันจะเดินแล้วปะพี่ ทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้วะ”


“โห ดูพูดกับพี่มึงดิ...กูเพิ่งได้ลองวันนี้จะไปรู้ล่วงหน้าไหมว่ามันจะหลวม” ซอกจินตอกกลับ


“ไหล่พี่มันลู่เกินด้วยแหละเลยใส่ไม่พอดี”


“อ้าว...โทษกูอีกล่ะ”


“ผมจะเย็บแผ่นรองไหล่เพิ่มแล้วกันจะได้ไม่หลวม” เขาบอกวิธีแก้ปัญหาพลางถอนหายใจก่อนจะรับเสื้อสูทมาแก้ไขกว่าจะพอดีกับนายแบบได้ก็ถึงค่ำพอดี


รุ่นพี่ที่พ่วงตำแหน่งนายแบบขับรถมาส่งเขาแถวละแวกหอพักนอกมหาวิทยาลัยที่เขาอาศัยอยู่คนเดียว...วันอาทิตย์นี้เป็นวันที่สองที่ไม่มีของกินห้อยตรงประตูห้องเวิร์คช็อป พอหลุดจากความเครียดมาพักหนึ่งถึงเพิ่งรู้สึกว่ามือที่ไม่มีโน้ตเขียนให้กำลังใจกับของให้หิ้วมันโหวงๆอีกทั้งใจก็คิดไปถึงหน้าผู้ชายต่างคณะคนนั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ


...จะบังเอิญเจอกันอีกไหม...


เขาหลุดยิ้มถามตัวเองขณะเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากหอซึ่งไม่มีลูกค้าแล้วก็นึกขำกับการบังเอิญเจอกับคนที่น่าจะเรียกว่าเพื่อนต่างคณะได้แล้วเพราะคุยกันหลายทีถึงจะเป็นแบบถามคำตอบคำถามก็เถอะ


...ว่าแต่เขารู้จักชื่อเราหรือยังวะ เจอกันทีไรไม่เคยเรียกชื่อกันเลย...
...ไว้เสร็จงานแฟชั่นโชว์จะทำความรู้จักให้มากกว่านี้...


ระหว่างที่ถือตะกร้าเลือกน้ำอยู่ตรงตู้แช่เย็นกลับมีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนข้างๆเหมือนจะเดินไปยังอีกตู้แต่เพราะเขาขวางอยู่เลยไปไม่ได้ เจ้าตัวรีบหยิบน้ำอัดออกมาใส่ตะกร้าช่วงจังหวะที่ปิดประตูตู้หันมากวักมือให้เดินผ่านไป คนที่เขาเพิ่งคิดขำๆว่าอาจบังเอิญเจออีกกลับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว


“อ้าว” ยูคยอมอุทานออกมาทันทีที่เห็นหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพราย “สวัสดีตอนค่ำครับ”


“อา” เพราะความตกใจทำให้หลุดตอบไปเท่านั้น


“คุณอยู่หอแถวนี้เหรอครับ”


“อืม...แล้วคุณล่ะ”


“บังเอิญจัง ผมก็อยู่หอแถวนี้เหมือนกัน”


“หอตรงไหนเหรอ”


“หอตรงข้ามกับ G25 น่ะครับ”


“ก็เดินไกลเหมือนกันนิ”


“ไม่ไกลหรอกครับ เดินสิบนาทีก็ถึง”


G25 มันก็มีของให้ซื้อได้ ทำไมมาซื้อที่เซเว่นล่ะ”


“ขนมที่ผมชอบมันหมดน่ะครับเลยต้องเดินมาซื้อที่นี่” คนตัวใหญ่บอกพร้อมชูตะกร้าที่มีขนมใส่เต็มขึ้นสูง “คุณเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยสินะครับ”


“รู้ได้ไง”


“คุณดูเหนื่อย...เหนื่อยกว่าก่อนหน้านี้ตั้งเยอะ”


“ก่อนหน้านี้”


“ผมหมายถึงเหนื่อยกว่าวันอื่นที่ผมเคยเห็น”


“อ้อ”คนย้อนคำร้องด้วยเข้าใจความหมายว่า คงเป็นวันแรกๆที่พบกันคงดูเหนื่อยน้อยกว่านี้


ทั้งสองจบบทสนทนาด้วยการแยกย้ายไปจับจ่ายซื้อของที่ตนเองต้องการก่อนจะวนมาเจอกันอีกทีที่ตรงแคชเชียร์...ยูคยอมรับเงินทอนและของจากพนักงานแล้วก้มหัวน้อยๆให้จองกุกแทนคำลาจึงออกจากร้านไป


จองกุกมองตามคนตัวใหญ่ที่เพิ่งออกจากร้านครู่หนึ่งก็หันกลับมาจ่ายเงินค่าของ ยังคงคิดแปลกใจกับการได้เจอกันเหมือนกับอีกฝ่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ


...นี่ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแถมหอก็อยู่ใกล้กันแต่ก่อนนี้กลับไม่เคยเจอกันได้ยังไง...


ชายหนุ่มนึกสงสัยผลักประตูออกจากร้านสะดวกซื้อกำลังจะข้ามถนนเพื่ออกลับไปยังหอพักที่อยู่ในซอยตรงข้ามกับเซเว่นก็พอดีกับที่คนตัวใหญ่ที่ยืนรออยู่ข้างหน้ายื่นน้ำเกลือแร่กับช็อกโกแลตให้


“กินนี่สิครับจะได้ดีขึ้น”


“ซื้อให้อีกแล้วก็เคยบอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อ...ที่ทำให้ตกใจเรื่องลูกบาสหรือจะเรื่องเก็บบัตรนักศึกษาให้ มันไม่ใช่บุญคุณอะไรขนาดต้องซื้อของกินให้ทุกวันหรอกนะ”  


“ผมไม่ได้ซื้อให้เพราะเรื่องนั้นหรอกครับ...ผมแค่ไม่ชอบเห็นคุณเหนื่อยก็เลยอยากหาอะไรให้กินจะได้หายเหนื่อย ถ้าไม่ชอบก็ทิ้งได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” คนตัวใหญ่บอกด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนทุกที


“ก็ไม่ได้จะทิ้งสักหน่อย”


“หอคุณอยู่ตรงไหนเหรอครับ”


“ในซอยตรงข้ามเซเว่นเนี่ยแหละ”


“หอที่เดินไปประมาณสองร้อยเมตรเลี้ยวซ้ายนั่นหรือเปล่าครับ”


“อา ใช่”


“เมื่อก่อนผมเคยไปหาหอแถวนั้นแต่มันเต็มก็เลยต้องไปอยู่อีกหอหนึ่ง”


“จริงดิ”


“ครับ...มาหาก่อนวันปฐมนิเทศ”


“ผมก็หาหอตอนนั้นเหมือนกันนะ แต่ผมคงมาก่อนเพราะตอนนั้นมันเหลือห้องหนึ่งพอดี”


“ครับ”


“ฉันเหนื่อยแล้ว ขอกลับหอก่อนนะ”


“ให้ผมช่วยหิ้วของไปส่งไหม”


“ไม่ต้องอ่ะ...ไปล่ะนะ” จองกุกบอกเก็บน้ำกับขนมของอีกฝ่ายลงถุงและเดินข้ามถนนไปยังปากซอยของหอ...เท้าก้าวไปข้างหน้าจนเจอทางเลี้ยวก็เหลียวไปมองตรงเซเว่นที่เปิดไฟสว่างเพื่อจะดูว่าคนตัวใหญ่หายไปหรือยังแต่ฝ่ายนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมเลยหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว


...ราตรีสวัสดิ์นะ คิม ยูคยอม...
-----------------------------------------------------------------------
บรรยากาศในหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยผู้คนทั้งฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ฝ่ายดูแลคิวและกำหนดการต่างๆ ไหนจะฝ่ายดูแลอุปกรณ์แสงสีเสียง ฝ่ายดูแลคนที่เข้าร่วมงานรวมถึงเหล่านักศึกษาภาควิชาออกแบบสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่มีโอกาสนำเสื้อผ้าของตัวเองเดินโชว์ในงานแฟชั่นโชว์ประจำปีของภาควิชา


จองกุกยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่แนบติดหูอย่างกระวนกระวาย ยิ่งสายตามองไปเห็นอาจารย์เดินตรวจผลงานของนักศึกษาที่บางส่วนก็อยู่บนร่างของนางแบบและนายแบบซึ่งแต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้ว


...ทั้งที่นัดเวลาไว้ดิบดีตั้งแต่เมื่อคืนแต่ซอกจินยังไม่โผล่มาให้เห็น แม้จะโทรศัพท์ไปหาก็ติดต่อไม่ได้...อีกไม่กี่ชั่วโมงงานจะเริ่มแล้วแต่ไม่มีนายแบบยิ่งทำให้เครียดเข้าไปอีก


ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกจากหูกดวางสายตั้งท่าจะโทรใหม่เป็นรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้ แต่โทรศัพท์กลับสั่นขึ้นมาก่อนและหน้าจอนั้นก็ปรากฏชื่อคนที่เขารออยู่


“พี่หายไปไหนเนี่ย ผมนัดพี่หกโมงเช้านะไม่ใช่หกโมงเย็น”


“พี่ซอกจินเขารู้แล้วครับ แต่เมื่อวานพี่เขากินอะไรไม่รู้ตอนนี้ท้องเสียยังไม่หยุดเลย” ปลายสายตอบกลับด้วยเสียงที่คล้ายว่าจะเคยได้ยินมาก่อน


“อ้าว...แล้วตอนนี้พี่เขาอยู่ไหน”


“โรงพยาบาลครับ”


“โอ๊ย แบบนี้ก็มาเดินแบบให้ไม่ได้สิ บ้าเอ๊ย จะทำยังไงดีวะ จะเดินแล้วด้วย” จองกุกสบถบ่นออกมาอย่างหมดหนทาง


“พี่เขาบอกให้ผมไปเดินแทนเขาน่ะครับ” อยู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยถึงภาระที่ถูกมอบหมาย


“จะมาเดินแทน...แทนได้ยังไง ตัวเท่ากันหรือไง”


“คิดว่าพอๆกันนะ”


“แล้วเคยเดินแบบมาก่อนหรือเปล่า...ไม่เคยเดินแล้วอยู่ๆจะมาเดินแทนมันไม่ได้หรอกนะ” เจ้าตัวถามแต่ปลายสายกลับเงียบมีเพียงเสียงจ้อแจ้อย่างอื่นมาแทนที่จนเจ้าตัวต้องดึงโทรศัพท์มาดูหน้าจอเพราะไม่แน่ใจว่ายังถือสายอยู่


“เคยเดินครับแต่ไม่ได้เดินนานแล้วเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบถ่ายเสื้อผ้าให้เฉยๆ” ใครคนหนึ่งเดินเข้ามายืนขนาบข้างพร้อมเอ่ยปากความไม่ทันตั้งตัวทำให้สะดุ้งโหย่งและเมื่อเงยหน้าสูงขึ้นไปกลับเห็นคนที่บังเอิญเจอกันบ่อยๆ


“เฮ้ย” เขาอุทานออกมา


“เสื้อพวกนี้ใช่ไหมครับที่ต้องใส่เดิน...ให้ผมลองเลยได้ไหม” คนตัวใหญ่ถามเหลือบมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราว ส่วนอีกคนก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับในคอก่อนจะช่วยนายแบบชั่วคราวสวมเสื้อผ้าของตนเองที่ใช้เวลาออกแบบตัดเย็บร่วมเดือน


“รู้จักกับพี่ซอกจินด้วยเหรอ” จองกุกถามระหว่างดันไหล่กว้างให้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อให้ช่างซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงช่วยทำผมแต่งหน้าหลังให้ลองเดินและลองเสื้อกับกางเกงแล้วปรากฏว่าใส่ได้ถึงขากางเกงจะเต๋อขึ้นมาก็ตาม


“ครับ...รู้จักตั้งนานแล้ว พอดีบ้านผมใกล้กับบ้านพี่เขา”


“จริงดิ”


“ครับ” คนตอบยิ้มกว้าง “บังเอิญจังคุณก็รู้จักพี่เขาด้วย...แถมผมยังได้มาเดินแบบให้คุณแทนพี่เขาอีก รู้ไหม ผมขำมากเลยตอนเห็นชื่อคุณที่พี่เขาเมมไว้”


“พี่เขาเมมว่ายังไง”


“ไอ้กระต่ายคลั่ง” พูดแล้วก็หัวเราะ “ไม่เห็นคุณดูเหมือนอย่างนั้นเลย”


“จริงๆแล้วถ้าไม่ใช่เพราะยุ่งกับเรื่องแฟชั่นโชว์นี่ ผมก็เป็นพวกบ้าๆบอๆเลยนะ”


“เหรอครับ” นั้นเป็นคำตอบและเป็นเสียงสุดท้ายของทั้งคู่ที่ได้คุยกันในชั่วโมงต่อมา เหตุเพราะเวลาที่กระชั้นเข้ามาแล้วทำให้จงกุกต้องเร่งจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย กระทั่งถึงเวลาใกล้เดินโชว์ที่ต้องมารอหลังเวทีตามลำดับคิวซึ่งเขาได้คิวเป็นอันดับรองสุดท้าย


“ตอนเดินไม่ต้องคิดอะไรมากนะ ไม่ต้องประหม่า แค่เดินแบบที่ซ้อมนะ เข้าใจใช่เปล่า ไฟท์ติ้ง” เขาให้กำลังใจนายแบบชั่วคราวของตัวเองและวิ่งไปชะเง้อมองข้างเวที


ยูคยอมเหยียดตัวตรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก้าวไปบนรันเวย์โดยไม่มองพื้นเลยแม้แต่น้อย...ร่างสูงใหญ่ยามเยื้องย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งส่วนหน้าของเวทีนั้นดูสง่างามและตรึงสายตาของทุกคนให้จ้องมอง แม้แต่คนที่ออกแบบเสื้อผ้าเองก็ยังมองไม่วางตา


...ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย...


คนตัวใหญ่กลับเข้าหลังเวทีเพียงหลุดจากรันเวย์ได้ก็เหมือนองค์นายแบบออกจากร่าง ริมฝีปากนั้นส่งยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กกว่าที่ยืนตบมือรออยู่แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรกันเลย ทีมงานหลังเวทีก็บอกให้ทั้งนายแบบนางแบบและดีไซเนอร์จัดแถวเพื่อขึ้นไปเดินบนรันเวย์รวมถ่ายรูปบนเวที


นายแบบชั่วคราวเท้าเอวเป็นเชิงให้คล้องแขนด้วยรอยยิ้มสดใสทำให้อีกคนหลุดหัวเราะเบาๆแต่ก็ยอมเอามือสอดไปคล้องพากันเดินขึ้นเวทีไปยืนรวมกับคนอื่นๆ ก่อนพิธีกรจะประกาศปิดงานพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ที่มาร่วมงาน


“ผมช่วยถือนะ” ยูคยอมถามและฉวยเอาไม้แขวนชุดสูทที่ใส่อยู่ในถุงเสื้อกันฝุ่นจากมือของอีกคนมาถือ ขณะเดินตามหลังคนอื่นออกจากห้องประชุมที่ใช้จัดงานแฟชั่นโชว์


เมื่อพ้นจากอาคารในร่มทั้งคู่จึงได้เห็นท้องฟ้าด้านนอกที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินค่อนไปทางม่วงและไม่เหลือแสงตะวันใดให้เห็น...คนตัวเล็กกับตัวใหญ่เดินไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันมากด้วยต่างฝ่ายต่างคิดว่าเหนื่อยจนเดินมาถึงใกล้ละแวกหอพักของทั้งสองจึงมีคนปริปาก  


“แล้วนี่จะออกไปไหนอีกไหมครับ”


“ก็ว่าเก็บของเสร็จแล้วจะไปหาข้าวกิน” จองกุกหันไปมองคนข้างตัวที่แย่งทุกอย่างไปถือ “ไปด้วยกันสิ”


“ให้ผมไปด้วยเหรอ”


 “ใช่สิ...เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”


“เลี้ยงผมด้วย”


“ก็วันนี้คุณเหนื่อยช่วยผมทั้งวัน แถมวันก่อนหน้าคุณก็เอาของมาให้ผมกินตลอดแต่ผมยังไม่ได้ตอบแทนอะไรคุณเลย”


“ผมไม่ได้อยากให้คุณตอบแทนอะไรนะ อีกอย่างได้มาเดินแบบที่ไม่ได้เดินมานานก็สนุกดี”


“ไม่อยากไปเหรอ” คนตัวเล็กกว่าถาม มองหน้าอีกคนที่มองมายังเขาด้วยรอยยิ้มกว้างๆอุ่นๆนั้น “หรือคิดว่าอาจจะบังเอิญเจอกันที่ร้านข้าวอีกเลยไม่ไป”


ยูคยอมยินคำของจองกุกพลางเลิกคิ้วคล้ายสงสัยทั้งที่ปากยังยิ้มทำให้คนที่หลุดพ้นจากวนเวียนความเครียดจากงานสำคัญและกลับมาสนใจสิ่งรอบข้างเช่นเดิมเริ่มพูดอะไรมากกว่าการถามคำตอบคำ


...มันมีความสงสัยอยู่ในใจตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา...เรื่องที่ว่าด้วยความบังเอิญเจอกันของเขากับคนตัวใหญ่ที่เดินมาข้างๆ ซึ่งมากกว่าจะใช้คำว่า บังเอิญ กลายเป็นเรื่องที่อยากจะถาม


“เราบังเอิญเจอกันบ่อยมากเลยนะ” คนตัวเล็กกว่าเกริ่นขึ้น


“ครับ”


“เหมือนว่าคุณจะอยู่รอบๆตัวผมแต่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนหน้านี้เลย”


“เหรอครับ”


“ผมเชื่อเรื่องเหตุบังเอิญนะ แต่ผมไม่เชื่อเรื่องบังเอิญที่มันเกิดเกินสามครั้งหรอก...ที่เราเจอกันเกือบทุกวันนั่นใช่ความตั้งใจหรือเปล่า” สุดท้ายคนช่างสงสัยก็เอ่ยสิ่งที่ค้างในใจออกมาพลางเหล่มองเสี้ยวหน้าเหมือนลูกครึ่งทั้งที่เป็นคนเกาหลีแท้ๆของอีกคนนิ่ง แปลกที่ฝ่ายถูกถามไม่มีทีท่าจะตกใจเพียงแต่ยิ้มกว้างโดยไม่พูดอะไรและส่งข้าวของในมือให้กลับไปสู่เจ้าของเมื่อเลี้ยวเข้าซอยตรงข้ามเซเว่นมา


จองกุกย่นหน้าผากจ้องหน้าของยูคยอมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากที่เคยเห็นนอกจากบนเวทีแฟชั่นโชว์และด้วยคิดว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรแน่ๆ เลยรับไม้แขวนมาถือไว้ก่อนที่คนตรงหน้าจะหยิบเข็มกลัดช่อดอกไม้สีฟ้าแซมเหลืองช่อเล็กๆผูกโบว์สวยพร้อมการ์ดใบหนึ่งจากในกระเป๋าบนอกเสื้อยีนส์ที่สวมอยู่ หยิบปากกาออกมาเขียนบางอย่างลงไปโดยคว่ำด้านสีขาวส่งให้และหันหลังก้าวเท้าไปข้างหน้าช้าๆ หากเดินไปเพียงห้าก้าวก็หยุดเหลียวหลังมาหาคนที่ยืนหน้าหอพักใหม่


“ผมไปก่อนนะ” เสียงอ่อนโยนนั้นเอ่ยขึ้นลอยดวงหน้าขาวพราวด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับดวงตาสีสวยที่เปล่งประกาย “ไว้เจอกันนะครับ”


ยูคยอมยังคงส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้แล้วหันหลังย่างไปบนถนนในซอยเล็กๆต่อและปล่อยให้จองกุกย่นหน้าผากมองตามอยู่ครู่หนึ่งจึงก้มมองเข็มกลัดและเข็มกลัดดอกไม้สดในมือก่อนจะพลิกการ์ดอีกด้านขึ้นมาดู


สิ่งที่ปรากฏบนการ์ดใบนั้นไม่ใช่คำอวยพรหรือรูปภาพสวยๆ หากเป็นภาพถ่ายของตัวเขาสมัยที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆซึ่งก็นานเกือบปีกำลังหัวเราะร่าโดยมีที่คาดผมหูกระต่ายที่เขาเอามาสวมเล่นหัว โดยตรงขอบสีขาวที่ล้อมกรอบภาพด้านล่างมีลายมือภาษาเกาหลีขยุกขยิกเขียนไว้ว่า


...ผมก็ไม่เชื่อนะ...
...ไม่เชื่อเรื่องบังเอิญที่เกิดเกินสามครั้งเหมือนกัน...

------------------- แวะคุย -------------------
OS เรื่องนี้เป็นรีเควสของคนที่มารีทวิตเราที่เราบอกว่าจะเขียนฟิคสั้นให้คนที่มารีแต่ขอคู่แรร์
เลยกลายเป็น OS คยอมกุกเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ถ้าไม่สนุกก็ขอโทษด้วยนะคะ
ยังไงบอกหน่อยน้าว่าอ่านแล้วเป็นยังไง ขอบคุณค่ะ 





You Might Also Like

1 Comments

  1. คุณคะะะะ มันละมุน หวานๆ แต่กรุ้มกริ่มมม ชอบมากค่ะ ชอบมากๆๆๆ

    ตอบลบ