LOVE TOXICAL : HIMUP CHAPTER 4

10:21



(กรุณาอ่านพร้อมฟังเพลงประกอบ)



ติ๊ง.....


เสียงข้อความเข้าดังขึ้นคล้ายเป็นการแจ้งเตือนให้กลุ่มนักศึกษาหนุ่มที่นั่งล้อมวงอยู่หน้าบรรดาปูดองและอาหารทะเลสดๆจานยักษ์ควักโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมาดูกันจ้าละหวั่น คงมีเพียงชายหนุ่มจากคณะวิทยาศาสตร์การกรีฑาที่ยังคงนั่งตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย


แม้จะมีเสียงข้อความตามมาอีกคำรบ หากเจ้าตัวยังคงจดจ่ออยู่กับการละเลียดไข่ปูเข้าปากโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะที่ชะโงกหน้าดูหน้าจอมือถือราวกับกำลังรอข้อความสำคัญและเมื่อไม่พบการติดต่อใดจึงเงยหน้ากลับมาให้ความสนใจกับของอร่อย กระทั่งได้ยินเสียงข้อความเด้งไม่หยุดอยู่พักหนึ่งจึงพร้อมใจกันมองไปยังคนชอบดองการอ่านและตอบข้อความชาวบ้านเป็นประจำซึ่งตอนนี้ยอมสละตะเกียบคีบปลาแซลมอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู


“จงออบ มึงเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เหรอวะ” ชายหนุ่มตัวสูงหน้าคมผิวออกแทนหน่อยๆ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยถามทันทีที่เห็นไอโฟนรุ่นล่าสุดอยู่ในมือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมซึ่งไม่ใคร่จะมีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาแต่ไหนแต่ไร


ทว่าฝ่ายถูกถามไม่ตอบสิ่งใดเพียงไถหน้าจอไล่อ่านข้อความจากใครคนหนึ่งที่ส่งเข้ามาชุดใหญ่ก่อนจะเงยหน้าที่ยับย่นจากความสงสัยขึ้นมายังเพื่อนอีกสี่ชีวิตที่นั่งอยู่ด้วย


“มึงว่าคนเราจะตัดสูทเจ็ดวันเจ็ดสีเจ็ดตัวแล้วไม่ใส่แต่ส่งไปซักเพื่ออะไรวะ”


“เอาอีกล่ะ ปริศนาธรรมมึงมาอีกแล้ว ครั้งก่อนมึงก็ถามเรื่องรูมเมทของพี่เจ้าของร้านกาแฟที่มาเฝ้าตอนเปิดร้านไป รอบนี้มีสูทมาเฉย” คนที่ถามเรื่องโทรศัพท์ใหม่แต่ไม่ได้รับคำตอบเปลี่ยนบทสนทนากลางคันและนำให้อีกฝ่ายถามขึ้นมาอีก


“บ้านมึงเป็นร้านซักรีดไม่ใช่เหรอวะโดคยอม มันเคยมีคนส่งสูทเจ็ดวันเจ็ดสีเจ็ดตัวไปซักบ้างปะ”


“ไม่มีหรอก...ใครมันจะบ้าส่งสูทตั้งหลายสีมาซักทีเดียว ส่วนใหญ่ก็ซักอบรีดแค่ตัวสองตัวเอง”


“ใช่มะ คนปกติที่ไหนเขาจะมีสูทเยอะแยะหลายสีขนาดนั้น”


“ที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอก...พวกนักแสดง นักร้อง ไอดอลหรือพวกคนดังในวงการบันเทิงน่ะ ส่วนใหญ่จะมีสปอนเซอร์ส่งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับให้สวมเวลาออกไปข้างนอก ไปออกงานหรือสนามบินเพื่อโปรโมทแบรนด์เหมือนกันนะ”


ชายหนุ่มหน้าเรียวตาเฉี่ยวชั้นเดียวรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มหนาสวมแว่นตาทรงกลมเลนส์สีเหลืองบอก ร่างสูงโหย่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดสีดำทับด้วยสูทเรียบๆผู้มีใช้ชื่อจริงว่า ควอน ฮยอนบินในวงการและมีดีกรีเป็นทั้งนายแบบ นักแสดง แรปเปอร์ให้บอยแบนด์วงหนึ่งซึ่งเป็นเจ้ามืออาหารมื้อหรูอันเป็นผลจากต้องการฉลองที่ได้เป็นนายแบบประจำห้องเสื้อดังแห่งหนึ่งถึงสามปีเต็มด้วยสนนราคาค่าตัวสูงลิบลิ่ว


“แต่ลุงช้างไม่ใช่นายแบบหรือคนในวงการบันเทิงซะหน่อย ใครมันจะมาเป็นสปอนเซอร์เสื้อผ้าให้กัน”


“ลุงช้าง”  โดคยอมกับฮยอนบินประสานเสียงแล้วถามออกมาพร้อมกัน “ใครวะ”


“เจ้านายคุณป้าน่ะ” คำตอบนั้นดังมาจากเพื่อนตัวสูงผิวขาวจัดที่ปากยังเคี้ยวของกินจนแก้มตุ่ยที่เรียกกันในชื่อจริงว่า จุนฮง หรือฉายาสั้นๆว่าเผือก ตามสภาพผิว


“เอ้า ไหนมึงเคยบอกว่าไม่ชอบเจ้านายแม่มึงไม่ใช่ไง ไหงไปรู้ได้ว่าเขามีสูทเจ็ดตัวเจ็ดสี” คนผิวเข้มเพียงคนเดียวในวงยังสงสัย


“ก็มันทำคุณป้าล้มจนต้องเข้าเฝือกเลยต้องไปทำงานบ้านแทนน่ะสิ”


“เอ้า จริงดิ ไม่เห็นรู้”


“มึงจะรู้ได้ไง ในเมื่อมันไม่เล่าให้ฟัง”


“แต่กูก็เจอมันทุกวัน ทำไมมันไม่เล่าแต่เสือกถามห่าอะไรก็ไม่รู้ตลอดเลย”


“กูกินข้าวเที่ยงกับมันไง ตอนเที่ยงมันพอมีเวลา มันก็ก็เอาแต่พูดสารพันปัญหาของลุงช้าง อย่างเมื่อวานยังมาถามเรื่องแยกส้อมทั้งหมดบนโต๊ะอาหารอยู่เลย”


“ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่าส้อมบนโต๊ะมันมีกี่แบบ...ลุงช้างแม่งก็พาไปแดกอาหารโรงแรมซะหรูเลย เมนูก็ภาษาประหลาดอ่านไม่ออกสักตัว”


“อะไร แค่ไปทำงานบ้านไม่ทันไรเขาพาไปเลี้ยงข้าวด้วย สปอร์ตเป็นบ้า ไม่สิ บางทีเขาอาจจะเอาใจมึงเพื่อทำคะแนนกับแม่มึงก็ได้”


“ทำคะแนนยังไง...แม่กูไม่รู้เรื่องกูไปทำงานแทนด้วยซ้ำ”


“ไมงั้นวะ”


“คือแม่กูเขายืมเงินลุงช้างมาเปิดร้านข้าวน่ะ แบบหักหนี้จากเงินเดือนอะไรแบบนั้น ทีนี้พอแม่ทำงานไม่ได้ กูกลัวเขาจะหาว่าหนีหนี้แล้วก็ไม่อยากให้ใครมาทำงานแทนแม่ เดี๋ยวเงินเดือนแม่มันจะเป็นของคนอื่นแทนก็เลยทำเองดีกว่า”


“แล้วบริษัทแม่มึงเขาไม่ส่งคนมาแทนเหรอไง”


“ป้าที่หางานแม่บ้านให้เขาบอกจะส่งคนมาแทนแต่ลุงช้างบอกไปว่า จะไม่จ้างคนอื่นมาทำความสะอาดแทนแม่จนกว่าแม่จะหายน่ะ”


“อย่างนี้ก็ไม่ได้เงินเดือนสิ แต่ถ้าไม่ได้เงิน มึงเอาเงินจากไหนไปซื้อโทรศัพท์ใหม่วะ”


“ไม่ได้ซื้อ”


“ไม่ซื้อแล้วที่มึงใช้อยู่นั่นคืออะไร” โดคยอมชี้นิ้วไปยังโทรศัพท์มือถือในมือ


“ไอ้เนี่ยเหรอ อ้อ พอดีโทรศัพท์กูตกลงไปในอ่างตอนกูล้างจานแล้วมันพัง ลุงช้างแกเลยให้เครื่องเก่าแกมา”


“เครื่องเก่า...เครื่องเก่าห่าอะไร ไอ้เนี่ยแม่งเพิ่งวางตลาดไปเองนะ”


“ขายตอนไหนไม่รู้ ซื้อมาแล้ว ตอนนี้มันก็เรียกว่าเก่าได้”


“ไอ้บ้า...มันไม่เก่าหรอก มันคือรุ่นใหม่ล่าสุดต่างหาก”


“มันจะใหม่ได้ไงเล่า ก็ลุงแกเคยใช้แล้วเอามาให้กูใช้มันก็เหมือนของมือสองแล้ว”


“โอ๊ย เถียงกับคนอย่างมึงทีไรกูปวดหัวทุกที”


“แล้วทำไมถึงเรียกเขาว่าลุงช้างล่ะ” ฮยอนบินที่เพลินกับการกินปูดองพักใหญ่เริ่มถามอีก


“ลุงช้างแกตัวใหญ่ไง ตัวสูงๆแต่มีเนื้อมีหนังไม่ใช่ผอมแห้ง ละเวลาแกบ่นหรือดุทีเสียงแกจะดังเหมือนช้างตกมันเลย”


“โอโห ถ้าเป็นกู ได้รู้ที่มาชื่อแบบนี้ กูโกรธอะ”


“กูไม่ได้ด่านะ แค่เรียกตามลักษณะกายภาพกับนิสัยใจคอต่างหาก”


“ลุงช้างอะไรนี่คงเป็นพวกขี้โมโหสินะ”


“ไม่หรอก แค่นิสัยแปลกๆ แบบว่าทำอะไรต้องเป็นระเบียบแบบแผน ทุกอย่างต้องสะอาดสะอ้าน ชอบบ่นเรื่อยเปื่อย ใช้ภาษาเก่า สุภาษิตอะไรที่กูไม่เข้าใจ อ้อ เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจด้วย เหงาก็ไม่ยอมรับว่าเหงา แต่แกก็ถือว่าใจดีอยู่ล่ะนะ”


“ลุงช้างอะไรนี่คงจะแก่แล้วดิ...คนแก่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” จุนฮงว่าหลังวางแก้วน้ำอัดลมที่กระดกเมื่อครู่ลงบนโต๊ะ


“ถ้าลุงช้างแก่...คุณอาก็แก่เหมือนกันแหละ”


“ไม่แก่ คุณอาไม่แก่สักหน่อย อายุแค่สามสิบต้นๆ เขาไม่เรียกแก่ยังหล่อปึ๋งปั๋งอยู่เลย” ประโยคนั้นสวนกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับปากที่เชิดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์


“ก็อายุพอๆกัน ถ้าลุงช้างแก่ คุณอาต้องแก่ด้วยถึงจะถูก”


“อะไร ลุงช้างเขาอายุสามสิบกว่าเองเหรอ โห อ่อนกว่าคุณป้าตั้งเยอะเลยนะ”


“อ่อนกว่าแต่ทำตัวแก่เป็นบ้า ชอบปวดหลัง ปวดขา มียาต้องกินตลอดด้วย”


“ดูท่ามึงจะเข้ากับเจ้านายของคุณป้าได้ดีเลยนะเนี่ย” โดกยอมยังคงไม่ลดละข้อสงสัย


“เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เสียแค่ขี้บ่นอย่างเดียว”


“เพราะงั้นตอนนี้มึงก็เลยเลิกคิดว่า เขาทำดีกับมึงเพื่อเข้าหาแม่มึงงั้นดิ”


“ก็กูไม่เห็นเขาไปยุ่มย่ามอะไรกับแม่ เคยมีส่งดอกไม้ไปเยี่ยมที่โรงบาลครั้งหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะถามเอามาจากกูว่าแม่เป็นยังไง ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยพูดถึงลุงช้าง เวลาไปหาก็ถามถึงแต่เรื่องกู...โว้ย อะไรอีกเนี่ย” จงออบพูดไม่ทันจบเสียงข้อความก็ตามมาอีกระลอก พอกดเลื่อนดูก็เห็นรายชื่อยี่ห้อสูทพร้อมรูปภาพรวมทั้งเสื้อผ้าอื่นที่ต้องไปตรวจรับยาวเป็นหางว่าว


“ลุงช้างส่งข้อความมาเหรอ”


“เออ...ส่งมาย้ำเรื่องไปรับสูทที่ร้านซักรีด แล้วมึงดูชื่อยี่ห้อสูทแต่ละตัวดิ บลูเบอร์รี่งี้ บานาน่างี้ สูทหรือผลไม้ กูงง”


“มึง...อันนี้แบรนด์เสื้อผ้า เนี่ย เบอเบอร์รี่ ไม่ใช่บลูเบอร์รี่ ส่วนนี่ก็ดอลเช่ แอนด์ แกบาน่า ไม่ใช่บานาน่า” ฮยอนบินที่ชะโงกหน้ามาดูรายชื่อบนจอช่วยแก้คำอ่านออกเสียงให้ใหม่


“โอย...อ่านยากขนาดนี้ใครจะไปเรียกถูกเล่า”


“แต่เท่าที่ดูจากแบรนด์ที่ส่งมา...ท่าทางลุงช้างของมึงเนี่ยถ้าไม่ได้อยู่วงการแฟชั่นก็ต้องรวยพอสมควร ไม่งั้นซื้อสูทพวกนี้ไม่ไหวหรอก เอาแค่สูทสีเขียวของสเตฟาโนริชชี่ขั้นต่ำก็ห้าพันเหรียญแล้ว แปลงเป็นเงินบ้านเราก็ราวๆ ห้าล้านสามแสนวอน”


“เฮ้ย...จริงดิ” โดคยอมร้องลั่นด้วยความตกใจในจำนวนเงิน “โว้ย ซื้อสูทราคานี้เจ็ดแปดตัวได้นี่ ไม่เรียกรวย เขาเรียกเศรษฐี”


“จะเรียกเศรษฐีก็ได้แหละ ขนาดฝาหม้อใบเดียวยังราคาตั้งหลายแสนวอน” เจ้าของต้นเรื่องอันเป็นเหตุในการสนทนาบอกหน้าตาเฉยเมยพาลนึกถึงรอยถลอกบนฝาหม้อที่บัดนี้ยังซ่อมไม่ได้


“ลุงช้างเขาชื่อจริงว่าอะไร” นายแบบหนุ่มถามหยั่งเชิง


“ถามทำไมอะ”


“ถ้าลุงช้างเขารวยแถมมีสูทราคาแพงเยอะขนาดนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่กูเคยทำงานให้หรือรู้จักก็ได้”


“กูจำชื่อจริงเขาไม่ได้หรอก”


“มึงจะไปรับสูทให้เขาจะไม่รู้ชื่อเขาได้ไงวะ”


“ไม่รู้ ลุงช้างแกส่งบาร์โค้ดมาทางข้อความไปให้ทางร้านเขาสแกน...พอสแกนเสร็จพนักงานเขาจะเอาเสื้อผ้ามาให้เองแล้วจะมีลิสต์รายการเสื้อผ้าที่ส่งซักมาให้เช็กว่าเสื้อผ้าครบมั้ย”


“ไม่ถามแม่มึงดูล่ะ”


“โดคยอม มึงหัดแคะหูบ้างนะ เมื่อกี้กูเพิ่งพูดเองมะว่าแม่กูไม่รู้ว่ากูไปทำงานแทน”


“เออดี ทำงานกับคนชื่ออะไรก็ไม่รู้ ถามจริงไปเรียกเขาว่าลุงช้าง เขาไม่โกรธบ้างเหรอวะ”


“ถ้าเขาโกรธ กูคงโดนเขายิงตายห่าไปนานแล้ว”


“อะไร...ลุงช้างแกยิงปืนได้ด้วย”


“ยิงได้ดิ แกเป็นนักกีฬายิงปืนเลยนะ”


“งี้มึงต้องระวังไว้หน่อยนะ เผื่อวันไหนมึงไปทำเขาไม่พอใจ ได้แดกลูกกระสุนแทนข้าวแน่”


“โอ๊ย อย่างลุงช้างอะเหรอแค่ทำตามที่แกบ่นหน่อยก็จบเรื่องแล้ว...ว่าแต่ฮยอนบิน ไอ้ของที่มึงบอกจะให้กูอะเอามาด้วยเปล่าเนี่ย”


“ของอะไรวะ” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มแต่ดูตัวเล็กตัวน้อยเสมอเวลาอยู่กับผู้ปกครองเงยหน้าจากอาหารมาถาม


“แพ็กแกจนวดเท้าแผนไทยน่ะ...พอดีกูได้บัตรจากเพื่อนมาฟรีก็เลยจะยกให้จงออบมันเอาไปให้คุณป้านวด”


“มีกี่ใบ”


“ห้าใบแต่จงออบมันขอไปสองใบ อีกใบกูจะเก็บไว้เอง มึงกับโดคยอมจะเอาปะล่ะ เดี๋ยวกูเอาให้”


“เอา” สองเสียงจากนักศึกษาหนุ่มสองคนประสานตอบ


ฮยอนบินหยิบบัตรจากในกระเป๋าส่งให้เพื่อนทั้งโต๊ะแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ คงมีแต่จงออบที่เหลือบตาเห็นกล่องข้อความเด้งขึ้นมาหน้าจอแต่ครั้งนี้แทนที่จะเฉยกลับลุกพรวดขึ้นมา


“โอ๊ะ...มึง กูต้องไปแล้ววะ อยู่ๆโค้ชก็เรียกให้ไปพร้อมกันที่สนามซ้อมกะทันหัน ไปนะ ยังไงโดคยอมมึงอย่าลืมเรื่องร้านนวดล่ะ” ชายหนุ่มบอกลาทันทีที่เห็นข้อความจากกลุ่มนักกรีฑา มือยัดโทรศัพท์แล้วฉวยกระเป๋าสะพายหลังที่แขวนตรงพนักเก้าอี้ อีกมือก็หยิบปูดองติดตัวไปได้ก็วิ่งตื้ออย่างเร็วออกไปจากร้าน ทิ้งให้เพื่อนอีกสามคนต่างมองหน้าแล้วหยิบช้อนกับตะเกียบมาตักอาหารต่อด้วยเคยชินกับความรีบร้อนอันเป็นปกติของเพื่อนสนิทผู้นี้ไปแล้ว
-----------------------------
การประชุมแผนการตลาดในไตรมาสที่สองของบริษัทอันหนักหน่วงยาวนานจบลงใกล้เวลาเลิกงานพอดี ฝ่ายผู้บริหารและพนักงานระดับหัวหน้างานต่างเดินออกจากห้องประชุมกลับไปยังส่วนทำงานของตนเอง


ประตูกระจกกัดลายเป็นตัวอักษรบอกตำแหน่งประธานผู้บริหารสูงสุดเลื่อนเปิดก่อนที่เจ้าของห้องจะถือกระเป๋าคลัชท์หนังสีดำกลัดเข็มกลัดสีทองรูปดอกกุหลาบไว้ในตำแหน่งที่ผู้คนมองเห็นได้ชัดก้าวออกมาเพื่อเดินทางไปประชุมงานส่วนตัว ทว่าระหว่างที่กำลังจะผ่านหน้าห้องของเพื่อนสนิทซึ่งดำรงตำแหน่งเดียวกันกลับมีบางสิ่งที่ทำให้ต้องหยุดและถอยหลังกลับมาใหม่


“อะไร...นี่มึงจะกลับบ้านล่ะ” ยงกุกเอ่ยถามด้วยเสียงแหบต่ำเป็นเอกลักษณ์ ขณะมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ยิ้มกว้างให้กับหน้าจอโทรศัพท์โดยมีกระเป๋าคลัชท์หนังสีน้ำตาลเปิดค้างอยู่


อีกฝ่ายเหลือบตายังเจ้าของคำถามไม่กี่วินาทีก็หยิบของใส่กระเป๋าของตัวเองต่ออย่างไม่สนใจนักทำให้ผู้ถามซึ่งได้รับข้อมูลบางอย่างมาตัดสินใจเดินเข้าไปหา

                                                                 
ช่วงสองสามเดือนก่อนเขาต้องไปดีลงานกับลูกค้าและผู้ร่วมทุนที่ต่างประเทศ เมื่อกลับมาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ออฟฟิศมากนักทำให้ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนรักอย่างฮิมชานมากนัก กระทั่งได้รับข้อความจากซูโฮและยงฮวาเล่าถึงพฤติกรรมแปลกๆ เช่นว่า เริ่มจะกลับบ้านเร็วขึ้น ทุกวันพุธและวันอาทิตย์งดรับการนัดหมายทุกกรณี


หรือจะเป็นการปรึกษาเรื่องข้อกฎหมายในการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนนักกีฬาอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ปกติวิสัยหลังหย่าร้างรอบที่สองฮิมชานไม่มีทางกลับออกจากออฟฟิศต่ำกว่าสองทุ่มเว้นเสียแต่จะมีเรื่องงานหรือมีนัดหมายกับใครไว้ ถึงอย่างนั้นเพื่อนฝูงหรือผู้ใหญ่จนถึงคนสนิทแทบทั้งหมดมักจะงานยุ่งกว่าจะว่างพบกันได้มักจะเป็นช่วงค่ำจนถึง ยิ่งได้เห็นการจัดลิสต์ชื่อร้านอาหารกลางคืนวันพุธและร้านอาหารวันอาทิตย์ยาวเหยียดอยู่บนแมคบุ๊กที่ยังเปิดใช้งานต่อหน้าต่อตาในตอนที่เดินไปหาเลยอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัย


“มึงจะเปิดร้านอาหารใหม่หรือไง”


“ฮะ” ฝ่ายโดนถามส่งเสียงตอบเพียงเท่านั้น


“หรือเจอว่าที่เมียคนที่สามแล้ว ยังไงก็พามาให้กูเห็นหน่อย เดี๋ยวพลาดหย่าอีกรอบจะแย่ไปกันใหญ่”


“อะไรของมึงวะ” สุดท้ายเจ้าของห้องก็วางกระเป๋าเงยหน้ามองคู่สนทนาพร้อมถามกลับด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด


“งั้นมึงจะลิสต์รายชื่อร้านอาหารเปิดดึกวันพุธกับร้านอาหารวันอาทิตย์เยอะแยะ ไหนจะเก็บเป็นโฟลเดอร์อย่างดีขนาดนี้ไปทำไม”


สิ้นคำฝ่ายที่ตีหน้ายับย่นอยู่ตรงชุดโต๊ะรับแขกถึงกับกระโจนพรวดมาพับปิดแมคบุ๊กแล้วตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด


“งานน่ะ”


“งานอะไร”


“งานส่วนตัว มึงไม่ต้องยุ่งหรอก”


“เดี๋ยวนะครับคุณคิม...คุณคิมกล้าใช้คำว่าไม่ต้องยุ่งเลยเหรอครับ ทั้งที่ยุ่งกับผมมันทุกเรื่อง พอผมจะยุ่งกับเรื่องคุณหน่อยมีการบอกไม่ต้องยุ่งได้ด้วย” ผู้เป็นเพื่อนทั้งร่วมงานและเพื่อนรักในชีวิตจริงว่าพลางเขม่นตาคมดุมองด้วยความฉงนเสียเต็มประดาเลยทำให้อีกคนถึงกับแยกเขี้ยว


โดยส่วนใหญ่บัง ยงกุกในสายตาคนอื่นจะเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก ดูภูมิฐาน มีหลักการ น่าเชื่อถือ สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างแต่ใครจะรู้ว่า มิสเตอร์เพอร์เฟ็คที่หลายคนว่ามีความกวนบาทามากขนาดไหน


“กวนตีนจังครับคุณบัง”


“ก็กวนตีนพอๆกับคุณนั้นแหละครับ คุณคิม”


“ถ้าจะอยู่กวนตีนแบบนี้ กลับบ้านไปกกเมียเด็กของมึงเถอะครับ”


“ยังไม่ใช่เมียครับ แต่ถามว่าอยากกลับไปกกไหม ก็อยากนะครับแต่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด เขาอยู่หอของมหาวิทยาลัย มีเวลาเข้าออกแน่นอน คงจะออกมากินมื้อดึกวันพุธกับใครไม่ได้ แล้วคุณคิมล่ะครับจะรีบกลับไปไหน หรือว่าที่เมียคนที่สามเขารออยู่”


“โว้ย แค่กูอยากกลับบ้านเร็ววันหนึ่งนี่มันร้ายแรงมากเลยไง”


“วันหนึ่งอะไรกัน...ไอ้ซูโฮกับยงฮวามันส่งข้อความมาถามกูว่า มึงหายหัวไปไหนทุกวันพุธกับอาทิตย์มาสักพักแล้ว มีปัญหาหรือเหี้ยอะไรก็บอกกันหน่อย ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้ช่วยแก้ หรือให้ยงฮวากับกูดูโหงวเฮ้งเมียคนที่สามสักหน่อยค่อยแต่งก็ยังดี”


“โวะ เมียเมอคนที่สามห่าอะไรไม่มีเว้ย”


“ไม่มีแล้วกลับบ้านเร็วไปทำไร”


“ไปดูคนมาทำความสะอาดบ้าน”


“ไหนมึงบอกว่าแม่บ้านคนปัจจุบันของมึงทำงานบ้านเรียบร้อยดี ไว้ใจได้ แล้วจะกลับไปดูเขาทำไม โอ้ หรือว่ามึงจะชอบแม่บ้านตัวเองเข้า”


ชอบกับผีมึงสิไอ้เหี้ย พอดีแม่บ้านกูเขาไม่สบาย ลูกเขาเลยมาทำงานแทน แต่มันเป็นเด็กผู้ชาย มันก็ทำไม่ค่อยสะอาด รอบก่อนก็ทำฝาหม้อที่พี่เจย์ถลอกไปรอบ ไอ้ชุดกาแฟเซรามิกจากอิตาลีมันก็ทำเกือบแตก ไม่ไปคุมแม่งได้บ้านพังพอดี”


“ไม่เห็นมึงบอก”


“ก็มึงไม่อยู่ให้กูบอก”


“โทรหรือส่งข้อความไม่ได้งั้นสิ”


“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่หว่า”


“ไม่สำคัญ...อืม...แล้วนี่เขามาทำงานตอนไหน”


“ราวๆสามทุ่ม”


“มาอะไรตอนนั้น”


“มันยังเรียนอยู่เลยแถมยังเป็นนักกีฬามหาลัยกับเขตอีก กว่าจะเรียน กว่าจะซ้อมอะไรเสร็จก็เย็นแล้ว ไหนยังต้องทำงานพิเศษของมันอีก กว่าจะมาได้ก็มีแค่ตอนนั้น”


“วันอาทิตย์ล่ะ...มึงหายไปไหน”


“อยู่บ้านสิวะ”


“อยู่บ้าน” เสียงแหบต่ำนั้นทวนซ้ำแล้วส่ายหัว “ไม่มีทาง คนอย่างมึงอยู่บ้านวันอาทิตย์คนเดียวไม่ได้หรอก”


“อะไรของมึงนักเนี่ย กูไม่ใช่เด็กที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้นะเว้ย”


“โถะ ฮิมชาน อย่าให้กูพูดเลยวะ”


“ไม่พูดก็ดี ขี้เกียจฟังเหมือนกัน”


“มึงนี่น่ะ เอาดีๆ มึงหายไปไหนทุกวันอาทิตย์”


“ดูเด็กมันทำความสะอาด”


“อ้อ เขามาทำงานบ้านให้มึงทุกวันพุธกับอาทิตย์ มึงเลยต้องอยู่คุมนี่เอง”


“เออ”


“ถ้าต้องคอยคุมเพราะทำของพังแบบนี้นะ มึงน่าจะให้เขาส่งแม่บ้านคนอื่นมาแทนจะได้มีเวลาไปไหนต่อไหน”


“ไม่ได้”


“ทำไมจะไม่ได้ คนเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วอย่างมึงนี่ ใครก็รู้ว่าทำงานพลาดทีมึงจัดการยังไง แต่เด็กคนนั้นเขาทำของรักของหวงมึงเกือบพัง ดันให้ทำงานต่อ”


“เด็กมันไม่ค่อยมีเงิน กูสงสารก็เลยให้มันทำๆไปก่อน”


“อ๋อ เด็กมันไม่ค่อยมีเงินมึงก็เลยยอมให้ทำงานต่อ พอทำงานเสร็จมึงก็พาไปเลี้ยงข้าวงี้ปะ”


“กูเห็นมันหิวซกมาทุกทีจะไม่หาอะไรมันแดก กูทำไม่ลง”


“เลี้ยงข้าวทีไม่ต้องให้แดกดีมากตลอดก็ได้ม้าง”


“กูก็ไม่ได้เลี้ยงดีอะไรสักหน่อย”


“เหรอ...แต่ไอ้ชื่อร้านที่กูเห็นเมื่อกี้ มันไม่มีร้านไหนราคาถูกเลยนะ”


“บางคืนกูหิว จำเป็นต้องไปแดกกับมันด้วยก็เลยหาร้านดีๆสำหรับตัวเองไว้ก็เท่านั้น”


“หื้อ...ไปกินกับเขามาด้วย”


“อืม”


“ตกลงลิสต์ร้านอาหารนี่ไม่ใช่เรื่องงานใช่มั้ย”


“ก็...เออ”


“มึงทั้งไปคุมตอนทำงาน พาไปกินข้าวแถมเลี้ยงอย่างดี ไม่รับนัดใครในสองวันนั้นอีก...อืม ฟังไปฟังมากูว่าเขาดูสำคัญกว่าที่ปากมึงบอกอีก” ยงกุกว่ามองเพื่อนรักหน้าตายหากแววตากลับคาดคั้นเหมือนรู้ทันไปเสียหมด แต่อีกฝ่ายก็ยังหาคำมาเถียงได้ไม่ลดละ


“กูแค่กลัวของพังบวกกับสงสารมันนิดหน่อยเลยช่วยก็เท่านั้น”


“สงสารเหรอ แน่ใจว่าแค่สงสาร...กูเคยเห็นมึงสงสารคนมาเยอะนะฮิมชาน แต่ไอ้ที่สงสารจริงจังขนาดไปขอคำปรึกษาข้อกฎหมายเรื่องการเป็นสปอนเซอร์กับซูโฮมันโดยไม่บอกกูสักคำเนี่ยยังไม่เคยเจอ”


ถึงฮิมชานจะเป็นคนใจดีและรักเด็กอยู่มาก ทว่ายงกุกยังไม่เคยเห็นฮิมชานช่วยเหลือเด็กคนไหนด้วยตัวเองเลยสักที ส่วนใหญ่การช่วยเหลือมักจะเป็นการหางานให้กับคนจรจัดไร้ที่พึ่ง สำหรับการช่วยเด็กมักจะเป็นในแง่บริจาคเงิน รับอุปการะเด็กผ่านมูลนิธิหรือบริจาคเงินให้เด็กยากไร้ในองค์กรระดับโลก


...เลี้ยงเด็กตัวเป็นๆมันไม่เหมือนเราอุปการะผ่านมูลนิธิหรอกนะโว้ย...


คำนั้นเป็นคำที่มันเคยเอ่ยกับเขาเมื่อตอนที่เขาตั้งใจจะเป็นผู้ปกครองคอยดูแลลูกชายของผู้มีพระคุณที่ตอนนี้อยู่ในสถานะเด็กในปกครองและคนรักของเขาด้วย


“เฮ้ย...ไอ้เรื่องสปอนเซอร์นี่กูเห็นว่ามันดีกับภาพลักษณ์องค์กร แล้วมันก็ไม่ใช่ในนามบริษัทเราแต่ในนามบริษัทกู กูเลยไม่บอกมึงไง”


“งั้นนักกีฬาที่ว่าคงไม่ใช่เด็กคนนี้สินะ”


“มันก็...” ครั้งนี้เสียงของคนยกข้ออ้างมาร้อยแปดเงียบหายไปในตอนท้ายพร้อมกับที่เจ้าตัวเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋าและถือมันติดตัวตรงหน้าโต๊ะทำงานคว้าแมคบุ๊กมาหนีบไว้ใต้แขนอีกข้างก็ก้าวเท้าผ่านเพื่อนรักออกไปนอกประตูห้องพลางว่า “มึงมีประชุมงานนอกต่อไม่ใช่ไง ไปได้แล้วม้าง”


“ไม่เป็นไรหรอก ขอกูเสือกเรื่องมึงให้จบก่อนแล้วค่อยไป”


“เออ พ่อคนขี้เสือก ถ้ามึงไม่รีบก็ดี ช่วยปิดไฟในห้องกูให้ด้วยแล้วกัน กูไปล่ะ” ฮิมชานบอกก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินเลี่ยงคำตอบไปเสียดื้อๆ ถึงอย่างนั้นคนเป็นเพื่อนยังตะโกนถาม


“หนีเฉยเลยนะมึง”


“ไม่ได้หนี กูแค่จะไปซื้อของ”


“ซื้ออะไร”


“ของสดโว้ย รำคาญ แดกข้าวร้านดีๆหน่อยก็ไม่ได้ เยอะสิ่ง กูกลับไปทำกินเลี้ยงมันเองแม่ง” คนพยายามหนีตะโกนกลับโดยไม่หันไปหาคู่สนทนาของตนเองเลยแม้แต่น้อย


ยงกุกกอดอกทอดสายตายังหลังกว้างของเพื่อนที่ห่างออกไปไม่ไกล ความเป็นเพื่อนกันมายาวนานการได้เห็นอีกฝ่ายเลี่ยงการตอบคำถามเวลาถูกจี้ใจดำในสิ่งที่เจ้าตัวไม่อยากยอมรับก็หลุดยิ้มขำ


...ถ้าความสงสารเด็กสักคนทำให้มึงเหงาน้อยลงก็คงไม่เป็นไรมั้ง...
-------------------------------------------
เสียงกระดิ่งพร้อมบานประตูที่เปิดออกเรียกให้ชายหนุ่มที่กำลังเช็ดพื้นอยู่เงยหน้าไปหา เมื่อเห็นลูกค้าสวมฮู้ดปิดผมปิดหน้าเดินลากขามายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เอ่ยปากสั่งอเมริกาโน่ร้อนกับเมนูช็อกโกแลตเพิ่มเครื่องจัดเต็มกับเจ้าของร้านพ่วงตำแหน่งบาริสต้าทั้งที่อีกไม่กี่นาทีจะปิดร้านแล้วก็หันกลับไปมองชายหนุ่มอายุมากกว่าตนซึ่งนั่งเท้าคางมองไปทางเดียวกับเขาเมื่อครู่พลางเคาะนิ้วเป็นจังหวะ


ใบหน้าหล่อเหลาระคนน่ารักนั้นแม้จะยิ้มแย้ม หากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคมทั้งคู่กลับเย็นเยือกเป็นภาพที่จงออบเห็นจนชินตาแต่ยังออกอาการหวาดๆเสียทุกครั้งที่ได้เห็น เพราะปกติเพื่อนร่วมบ้านของเจ้านายเขานั้นออกจะเป็นคนอัธยาศัยดี เจ้าคารมคมคายเสียจนเวลามาก็มักจะมีคนตามมานั่งจนเต็มร้าน แถมยังมีนิสัยชอบแกล้งชอบแหย่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยอะไรแต่พอมีลูกค้าคนไหนมาทำท่าสนิทสนมรวมทั้งลูกค้าขาประจำคนนี้โผล่มาทีไรความน่ากลัวจะเข้ามาแทนที่


อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องแรก เพราะระหว่างเจ้านายเขากับรูมเมทนั้นมีอะไรอีกหลายอย่างที่แปลกเยอะเสียจนเขาอดไม่ได้ต้องถามไถ่เอากับผู้มากประสบการณ์อย่างโดคยอมอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะการหอบงานมาทำแต่ตลอดเวลาที่เขาทำความสะอาดหรือเสิร์ฟก็จะเห็นพี่เขานั่งมองพี่ยองแจอยู่เสียส่วนใหญ่


ยิ่งเห็นใครพูดด้วยมากหน่อยพี่เขาจะลุกไปเท้าคางมองอยู่แถวเคาน์เตอร์ พอลูกค้าเยอะก็ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟพร้อมเอนเตอร์เทนให้เสร็จสรรพ ถึงเวลาปิดร้านก็กุลีกุจอทำเป็นหลัก เวลาพี่ยองแจต้องออกไหนสักที่มักจะอาสาไปด้วยหรือถ้าไปด้วยไม่ได้ก็เป็นต้องใช้ให้เขาโทรหาพี่ยองแจแทนประจำเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รับสาย


ส่วนตัวเจ้านายเขาเองดูท่าทางรำคาญเวลาเห็นคนตามรูมเมทตัวเองเข้ามานั่งในร้านและชวนคุยเยอะๆ ถึงอย่างนั้นถ้าวันไหนที่พี่แดฮยอนไม่มาถึงพี่ยองแจจะชวนเขาคุยตลอดแต่พอคล้อยไปสักหน่อยก็มีอาการเหม่อ


เพราะมัวย้อนอยู่ในความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของรูมเมทคู่นี้กว่าจะรู้ว่าคนที่นั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะไม้ลุกพรวดไปยืนกอดอกพิงตรงเคาน์เตอร์ก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มเข้มเอ่ยคำ


“รบกวนคุณช่วยมาซื้อกาแฟก่อนปิดร้านสักครึ่งชั่วโมงได้มั้ยครับ” คำถามทีเล่นทีจริงนั้นพาให้ทั้งเจ้าของร้านและลูกจ้างหันไปทางคนถามเป็นตาเดียว ส่วนลูกค้าผู้ซ่อนหน้าใต้ฮู้ดที่ได้ยินทุกคำชัดเจนก็มองไปยังฝ่ายเปิดประเด็นด้วยเช่นกัน


“คือ...” เจ้าของร้านเอ่ยขัดเพราะกลัวจะเกิดปัญหา หากกลายเป็นลูกค้าที่พูดขึ้นมาก่อน


“ผมไม่ได้อยากมาซื้อกาแฟตอนนี้หรอกนะ เคยบอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าร้านนี่ปิดกี่โมง แต่กล้ามปูน่ะแก่แล้วก็เลยขี้โมโห ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะเกรงใจใครแถมด่าเก่งอีก ถ้าผมไม่ทำตามก็หาเรื่องมาด่าไม่หยุดไม่หย่อน นี่ถ้าไม่รีบกลับก็โดนโทรมาตามยิกๆอีก ยังไงผมจะไปย้ำเรื่องนี้กับเขาอีกที ขอโทษจริงๆนะครับ”


ลูกค้าประจำที่ไม่ค่อยให้ใครเห็นหน้าเห็นตาโค้งแล้วโค้งอีกอย่างรู้สึกผิด ก่อนที่เสียงแจ้งเตือนข้อความถี่ยิบนั้นจะเป็นตัวการให้อีกฝ่ายทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้ววางเงินหิ้วเครื่องดื่มออกจากร้านไป


นักศึกษาหนุ่มมองกระจกบานใสของร้านยังร่างอ้วนกลมที่ลากเท้าไปตามทางอยู่ด้านนอกราวกับไม่อยากไปถึงจุดหมายเร็วนักอยู่เกือบนาทีจึงหันกลับไปทางสองชายหนุ่มตรงเคาน์เตอร์ที่เริ่มสนทนากันเบาๆ จนเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้ยิน ประจวบกับที่เหลือบเห็นนาฬิการ้านก็กลัวจะไปทำงานบ้านไม่ทันเลยตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาด


เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างสะอาดเอี่ยมเลยรีบไปล้างเนื้อล้างตัวถอดผ้ากันเปื้อนสะพายกระเป๋าเพื่อรีบไปเอาสูทให้ทันก่อนร้านจะปิด พอเดินออกมาหน้าร้านถึงได้เห็นว่าเจ้าของร้านถูกมือใหญ่ของผู้เป็นรูมเมทลูบหัวอย่างเบามือราวกับกำลังแตะต้องของสำคัญไม่ใช่การลูบเพื่อขยี้เอามันส์อย่างที่ทำกับเขามาก่อนหน้า


“เด็กดื้อ” คนผิวเข้มตัวสูงว่าพลางยิ้มร่าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ผละออกไปคุยข้างนอกร้านทำให้ฝ่ายถูกลูบหัวก้มหน้านิ่งไม่ยอมขยับเงยหน้าด้วยใบหูที่แดงก่ำทั้งสองข้าง แม้ลูกจ้างหนุ่มจะบอกลาพร้อมผลักประตูออกมานอกร้านเจ้านายเขาก็ยังอยู่ในท่าเดิม


จงออบกลอกตาไปมาขณะก้มหัวให้แดฮยอนที่ยืนโทรศัพท์ได้แต่คิดในใจว่า พรุ่งนี้คงมีปริศนาธรรมข้อใหม่ไปให้โดคยอมให้ขบคิดอีกแน่ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงร้านซักรีดจะปิดจึงวิ่งสุดฝีเท้าผ่านย่านโรงพยาบาลเลยไปจนถึงย่านการค้าที่อยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก


อาคารสีดำล้วนสูงสามชั้นอยู่ระหว่างห้องเสื้อแบรนด์ชั้นนำจากยุโรปซึ่งตกแต่งทั้งภายนอกเรียบหรูด้วยโทนสีดำทองและขาว ขณะที่ภายในดูโอ่โถงราวกับโรงแรมมากกว่าจะเป็นร้านซักอบรีดและมีคาเฟ่ลับสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอย่างมากอยู่ชั้นบน


พนักงานสาวสวยแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำดูภูมิฐานตรงเคาน์เตอร์โค้งต้อนรับอย่างสุภาพทำให้ชายหนุ่มที่แม้จะมารับเสื้อผ้าให้เจ้านายแม่ทุกวันพุธรู้สึกแปลกที่แปลกทางทุกที ยิ่งตอนสแกนคิวอาร์โค้ดกับเครื่องบนโต๊ะเรียบร้อยพนักงานชายอีกคนจะเข็นชุดที่เก็บในซองกันอากาศกันฝุ่นออกมาให้ตรวจสอบและยื่นไอแพดมาให้เช็กรายการเสื้อผ้าด้วยวิธีปฏิบัติเหมือนกับพ่อบ้านตามคฤหาสน์ในหนังฝรั่งทำให้เขายิ่งอึดอัดไปกันใหญ่


...ทำไมร้านสำหรับคนรวยมันถึงแปลกกว่าชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปขนาดนี้นะ...


“เออ รบกวนคุณพนักงานช่วยตรวจรายการเสื้อผ้าที่ส่งซักจากในรายการที่เจ้านายผมส่งมาให้ได้มั้ยครับ” เขาอ้อมแอ้มถาม เพราะไม่สันทัดเรื่องยี่ห้อเสื้อผ้าราคาแพงทุกครั้งที่มาเขาจะให้พนักงานร้านช่วยทำหน้าที่ตรวจสอบว่าเสื้อผ้าได้รับครบตามจำนวนแทน


พนักงานขานรับคำขอด้วยรอยยิ้มและจัดการทุกอย่างตามคำขอ เมื่อส่งมอบชุดทั้งหมดถึงมือตามมาด้วยคำลาของลูกค้า อีกฝ่ายก็โค้งอีกคำรบพร้อมตอบรับคำลาด้วยการขอบคุณและเชิญกลับมาใหม่ด้วยท่วงท่านอบน้อมจนคนที่ถูกใช้มาชักจะขนลุก


...ในชีวิตไม่ค่อยมีใครสุภาพกับเขา พอมาเจอการปรนนิบัติเหมือนเป็นคนสำคัญอะไรนี่มันทำให้เกร็งไปหมด...


...ถ้าไปร้านซักรีดแบบทั่วไปในฐานะลูกค้าประจำก็คงจะหาเรื่องคุยสนุกๆกันได้ แต่การมาที่นี่ทำให้รู้สึกถึงความต่าง ความห่าง และไอ้การถูกแบ่งสถานะตัวเองอย่างชัดเจน ขีดเส้นไม่ให้ผู้แตกต่างล้ำเข้ามาคงมีส่วนทำให้ลุงช้างเหงาแต่ไม่ยอมรับตัวเอง


...เพราะขี้เหงาแถมขี้บ่นเหมือนคนแก่แต่ลุงช้างก็ใจดีมาก เขาเลยต้องหาเรื่องไปแหย่ไม่ให้ลุงช้างรู้สึกแย่จนเกินไป...


“คนรวยนี่เขาเหงาเหมือนลุงช้างทุกคนเลยมั้ยนะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองและกอดชุดสูทในถุงสูญญากาศมุ่งหน้าต่อไปยังย่านพักอาศัยที่เรียกได้ว่าแพงที่สุดในโซล
-------------------------------------------
นิ้วแข็งกดลงบนแป้นตัวเลขข้างประตูก่อนที่นักศึกษาหนุ่มจะหอบสูทเจ็ดตัวผ่านเข้าไปในห้องชุดสุดหรู หลังถอดรองเท้าแล้วใช้นิ้วเท้าคีบมันไปวางบนชั้นเก็บรองเท้าและเดินเข้ามาถึงส่วนห้องนั่งเล่นได้ก็พบกับเจ้าของห้องกำลังนอนเอกเขนกกระดิกเท้าสบายใจอยู่บนโซฟาหนังวัวราคาแพงดูภาพยนตร์หนังต่างประเทศสมัยยุคห้าศูนย์ซึ่งฉายอยู่บนจอพลาสม่าขนาดใหญ่ขนาบด้วยชุดโฮมเธียเตอร์ที่ให้เสียงและความรู้สึกเสมือนนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์จริงๆ


“มาแล้วเหรอ” เสียงเข้มติดแหบเล็กน้อยจากผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยลอยโดยไม่หันมามองแสร้งวางท่าไม่สนใจการมาถึงของอีกฝ่าย ทั้งที่ก่อนหน้ายังกระวนกระวายหยิบโทรศัพท์มือถือรอข้อความหรือการโทรกลับแต่พอได้ยินเสียงสัญญาณเปิดประตูก็กระโจนมาบนโซฟาคว้ารีโมทมากดเปิดหนังรักคลาสสิคที่เพื่อนรักยัดใส่เป็นเพลยลิสต์ไว้ในยูเอสบีซึ่งเขาเสียบคาไว้อย่างนั้นมานานโดยไม่เคยสนใจดูนอกเสียจากเด็กคนนี้จะโผล่หน้ามา


ฮิมชานไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงตั้งตาคอยการมาถึงของเด็กกวนประสาทที่ชอบเรียกเขาจนติดปากว่า ลุงช้าง ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยมาทำความสะอาดตรงเวลา ชอบพูดโพล่งขวานผ่าซากไม่สนใจความต่างระหว่างวัย เวลาสั่งอะไรเป็นต้องบ่นก่อนถึงทำ แถมยังไม่ยอมตอบข้อความหรือรับโทรศัพท์เขาเลยสักที


เด็กคนนี้รวมนิสัยของมนุษย์ที่เขาเกลียดไว้เกือบครบถ้วน ถึงอย่างนั้นเวลาได้รับข้อความส่งมาหาห้วนเตือนให้กินยา หรือการโทรกลับมาตามอารมณ์ แม้แต่การแซะความเป็นคนรวย คนแก่ขี้โรคแต่ก็ลากเขาไปข้างนอกเพื่อทำอะไรที่ผู้ใหญ่วัยอย่างเขาไม่ค่อยทำกันแล้ว เช่น ลากไปอ่านการ์ตูนฟรีในร้านหนังสือ กอบลูกอมฟรีจากร้านอาหารมายัดใส่กระเป๋าเขาแล้วว่าเก็บไว้อมหลังกินยานะกลับทำให้เขายิ้มออก


...เด็กคนนี้ทำความสะอาดได้แย่ขนาดที่เขาต้องจ้างบริษัททำความสะอาดมาทำแทนในวันอื่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังตั้งตาคอยให้ถึงวันพุธและวันอาทิตย์เร็วๆ...


“ก็เห็นว่าผมยืนอยู่ทนโท่ยังจะถาม ละนี่ลุงจะกระดิกเท้าแบบนั้นอีกนานมะ สูทก็หนักยังกะหินไม่ยอมลุกมาช่วยเล้ย” แค่หันไปเห็นหน้าเสียงเรียบๆของคนเป็นเด็กก็บ่นขึ้น


“เกินไป...สูทอะไรหนักเหมือนหิน”


“ก็สูทลุงช้างไง”


“มันจะหนักอะไรนักหนา ปกติไปเอาเสื้อผ้าไม่เห็นบ่น พอให้ไปเอาสูทหน่อยนี่บอกหนัก หนักเหนิกอะไร ไหมอิตาลีมันเบาจะตาย” ฮิมชานสวนผุดลุกจากโซฟาเดินไปหา


“เบานัก ทำไมลุงช้างไม่ไปเอาเองอะ”


“เอ้า...ไอ้นี่ ถ้าต้องไปเอาเองฉันจะจ้างแม่บ้านทำไมวะ”


“อ๋อ เพราะเห็นว่าให้ค่าจ้างเลยใช้แหลกดิ กับแม่ผมลุงก็ใช้ไปแบกเสื้อผ้าหนักๆแบบนี้เหมือนกันใช่ปะ หน้าเลือดจริงๆ” อีกฝ่ายว่าพลางหรี่ตามองคนตัวสูงกว่าที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงสวมเสื้อยืดสีเหลืองกับกางเกงวอร์มขายาวสีม่วงดูคล้ายคนแก่ไม่สนโลกมากกว่าเป็นนักธุรกิจที่มีสูทแพงระยับเจ็ดตัวเจ็ดสี


“วันไหนเสื้อผ้าเยอะฉันก็ให้คนรถไปรับแทน”


“ทีผมไม่เห็นลุงเอาคนรถไปรับเสื้อแทนบ้างเลย”


“เสื้อผ้าไม่กี่ชุดจะให้คนรถไปขนให้เปลืองน้ำมันทำไม...ยังไงก็เถอะหยุดบ่นแล้วรีบเอาเสื้อฉันไปเก็บได้ล่ะ” ฝ่ายอายุมากว่าบอกพร้อมชี้นิ้วไปทางห้องแต่งตัวที่อยู่ระหว่างห้องนอนและห้องน้ำด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วกลับไปนั่งบนโซฟาดังเก่า รอกระทั่งเห็นคนเป็นเด็กโผล่ออกมาก็เปิดปาก


“เสร็จแล้วใช่มั้ย มานวดมือให้ฉันหน่อย”


“อีกล่ะ นวดอีกล่ะ ผมมาทีไรลุงช้างเป็นต้องให้นวดทุกทีเลยเนาะ รอบนี้มือเป็นอะไรอีกอะ ไม่ไหวเล้ย ลุงน่ะหัดออกกำลังกายซะบ้างนะ อายุยังไม่หกสิบเลยนะทำไมกระดูกกระเดี้ยวแย่ขนาดนี้”


“เฮ้ย ใครว่าฉันไม่ออกกำลังกาย เห็นฉันอย่างนี้แต่ฉันไปฟิตเนสทุกอาทิตย์นะ”


“ลุงช้าง...ไอ้การไปยกเวทสองสามทีก็พักแล้วลุงบอกว่า ออกกำลังกายอะ มันไม่ใช่นะ”


“ยกเวทสองสามทีพักบ้าอะไรเล่า ถ้าจะได้ยกสองสามทีก็เพราะมีสาวมาชวนฉันคุยต่างหาก”


“มีสาวมาชวนคุยด้วย”


“แน่นอน หล่อระดับนี้แล้ว”


“หล่ออะไรเล่า ที่เขาคุยกับลุงช้างเพราะเขาจะหาผู้ลงทุนไปทำธุรกิจกับเขาเปล่า”


“โว้ยไอ้เด็กนี่”


“จริงๆจะออกกำลังกายไปคุยไปก็ได้ อย่าหาข้ออ้างออกกำลังนิดๆหน่อยๆดิ”


“อ้างอะไร ฉันจ้างเทรนเนอร์นะเว้ย จะมาออกกำลังนิดหน่อยได้ไง”


“เทรนเนอร์ชื่ออะไร เผื่อเจอใครจะได้บอกว่าอย่าไปจ้าง เทรนออกกำลังยังไงให้ลูกค้าเจ็บออดๆแอดๆ หรือว่าลุงช้างเป็นเพื่อนกับเทรนเนอร์ พอทำไรไม่ไหวทีก็พักที พอขาดความต่อเนื่องเลยไม่ดีขึ้น”


“เห็นฉันเป็นคนยังไง...ฉันไม่ใช่คนเหลาะแหละนะ เวลาทำอะไรฉันทำจริงเสมอ”


“งานก็ส่วนงาน ออกกำลังกายก็ส่วนออกกำลังกาย ไม่ใช่ว่าจะทำเหมือนกันซะหน่อย”


“จะนวดไม่นวด”


“ถ้าไม่นวดอะ”


“ข้าวเย็นน่ะยังอยากกินอยู่มั้ย”


“แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับนวดมือด้วย”


“วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะทำอาหารกินที่บ้าน ถ้ามือเจ็บฉันจะทำกับข้าวได้ไง”


“ก็โทรสั่งเอาสิ”


“ไม่อยากกินของอร่อยก็ตามใจ” เจ้าของห้องเอ่ยจบก็เอนหลังกับพนักพิงมองภาพเคลื่อนไหวบนจอโทรทัศน์ปล่อยคนเด็กกว่าที่เคยลิ้มลองรสชาติอาหารของอีกฝ่ายและรู้ว่าอร่อยมากมาก่อนแล้วให้ยืนอยู่อย่างนั้น


“คนแก่นี่น่าเบื่อจริงๆ” เสียงบ่นลอยมา “มาดิ จะให้ผมนวดมือไหนก็บอกมา”


ฝ่ายถูกถามไม่ตอบเพียงยื่นแขนข้างซ้ายไปในอากาศตามต้นเสียงก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือผอมสากมีรอยแผลเป็นนูนจากการวิ่งล้มถลาระหว่างฝึกซ้อมที่นวดอยู่บนมือของเขา


ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดีกับร่องรอยบนฝ่ามือของคนอ่อนกว่าขนาดที่ฝากเพื่อนซื้อครีมทามือและครีมทาลดรอยแผลเป็นจากลอนดอนซึ่งเขาเคยใช้ทาแผลโดนมีดบาดจากไอ้มืดที่มีไถเงินสมัยไปเรียนที่นั้นมาให้เด็กคนนี้ได้ใช้ แต่เขากลับห้ามริมฝีปากไม่ให้เหยียดกว้างในทุกครั้งที่มือถูกบีบนวดอย่างใส่ใจไม่ได้


“ทาครีมที่ฉันให้บ้างหรือเปล่าเนี่ย”


“ก็ใช้อยู่บ้าง”


“ก็ว่าทำไมมือมันยังสากเหมือนเดิม ฉันบอกให้ทาทุกวันไม่ใช่ไง”


“โอ๊ย ผมก็ลืมบ้างได้มั้ยล่ะ ผมไม่ได้ว่างมานั่งบรรจงทาครีมที่มือทุกคืนหรอกนะ”


“อุตส่าห์ซื้อมาตั้งแพง ทาให้มันคุ้มกับที่ฉันเสียตังค์หน่อยสิวะ”


“ผมไม่ได้ขอให้ลุงซื้อนะ”


“เออ ฉันเสือกเองแหละ” คนแก่กว่าเอ่ยเรียบๆแม้ตาจะจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ หากการได้เห็นหางตาลู่ลงนั้นเป็นอาการที่คนอ่อนกว่าจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิดทั้งที่ข้างในขำจนแทบบ้าแต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับเฉยเมย


“ถ้าไม่อยากให้ลืมก็เตือนผมสิ”


“เตือนยังไงวะ โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปอ่านก็ไม่ตอบ ขนาดฉันให้ยืมมือถือไปใช้แทนเครื่องพังๆแล้วแท้ๆยังทำตัวเหมือนเดิมเลย”


“ผมไม่ว่างนี่ ถ้ามันขึ้นว่าอ่านแล้ว ก็แปลว่าผมรู้แล้วไง”


“ตอนโทรมาบอกให้ฉันกินยายังโทรหาได้แต่ฉันโทรหากลับไม่รับ เป็นเด็กยังไงของเราวะเนี่ย”


“ผมก็เป็นของผมแบบนี้มาตั้งแล้ว ขนาดเพื่อนสนิทผมมันยังไม่เห็นว่าอะไรเลย ละลุงช้างนี่ไม่มีคนอื่นให้โทรหาหรือส่งข้อความเลยไง เนี่ยเวลาผมมาทีก็เจอลุงนอนเกลือกดูหนังอยู่ในบ้านทุกที ไม่มีคนเขาชวนออกไปไหนบ้าง ใจคอจะไม่มีเพื่อนจริงดิ”


จงออบถามเช่นทุกครั้งที่มาด้วยส่วนใหญ่ถ้าไม่นอนดูหนังคลาสสิคยุคเก่าก็เอาแต่อ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นเปียโน เวลาโทรศัพท์ดังทีก็เห็นมีแต่คุยเรื่องงาน นอกจากออกไปหาข้าวกินข้างนอกกับเดินไปส่งเขาที่บ้าน อาจจะมีบางทีที่เขาลากลุงช้างไปเดินซื้อของหรือเดินเล่นริมถนนก็ไม่เห็นลุงช้างเคยออกไปไหนทำให้พาลคิดไปว่า ลุงช้างทำงานหนักจนไม่มีเพื่อนจริงๆไปแล้ว


“เพื่อนน่ะมีแต่มันนัดไปข้างนอกด้วยกันวันอื่นแล้วจะให้ฉันออกจากบ้านไปทำซากอะไร”


“ไม่ไปสนามยิงปืนเหรอ”


“ฉันส่งปืนไปให้ช่างทำความสะอาด เลยไม่มีปืนไปซ้อมยิง”


“ส่งไปตอนไหน”


“เดือนกว่าได้แล้วล่ะมั่ง”


“ลุงช้างเอาปืนไปทิ้งไว้กับช่างเป็นเดือนเลยเหรอ”


“เออสิ”


“แต่ปืนมันต้องมีใบอนุญาตพกด้วยไม่ใช่เหรอ เอาไปทิ้งไว้นานๆเกินช่างลุงเอาไปยิงคนตายทำไงอะ”


“ช่างประจำน่ะ...เขาจัดการเรื่องปืนให้ฉันมาหลายปีแล้ว”


“ช่างเถื่อนเปล่าเนี่ย”


“ก็ไม่เชิง”


“โหย อย่างนี้ถ้าเขาเอาไปยิงคนตายจริงลุงช้างก็มีสิทธิ์ติดคุกดิ”


คำถามมีแววน้ำเสียงเป็นห่วงเจืออยู่นั้นทำให้ฮิมชานละสายตาจากจอโทรทัศน์ไปมองหน้าคนอ่อนวัยกว่าที่ขมวดคิ้วดูทุกข์ร้อนก่อนจะหันกลับมายังจอด้วยมุมปากที่เหยียดออกทีละน้อย


“ถามเยอะนะ...เป็นห่วงเหรอ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชายังวางมาดก่อนที่ไหล่จะกระตุกแทบทรุดในตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายแทรกขึ้น


“แต่คนรวยอย่างลุงช้างคงหาทนายเก่งๆมาช่วยไม่ให้ติดคุกได้อยู่ล่ะ แล้วนี่ลุงหายปวดมือยัง ผมจะได้ไปทำความสะอาดซะที”


“เออ รีบไปทำเลยไป ฉันจะได้ไปทำกับข้าว” เจ้าของห้องส่งสียงในคอโดยที่สายตากลับมาจับนิ่งยังที่เก่า


“งั้นผมไปทำความสะอาดก่อนละกันนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ปล่อยมือใหญ่หนาของคนอายุมากกว่าเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจะขัดล้างพอไม่เห็นคราบความสกปรกเลยสักจุดเหมือนเคยเลยได้แต่เทน้ำยาขัดพื้นไปแกนๆ พอฉีดน้ำราดจนเท้าหมดความเหนียวของน้ำยาก็ผละไปทำความสะอาดห้องแต่งตัวกับห้องนอนซึ่งสะอาดเรียบร้อย แม้แต่ตอนที่เดินสำรวจแถวโถงกลาง ผ่านไปในห้องนั่งเล่นรวมถึงระเบียงอีกรอบก็ไม่พบความสกปรกใดราวกับมีคนทำความสะอาดมาก่อน


จะว่าไปถึงเขาไม่มาห้องมันก็สะอาดของมันอยู่แล้ว แต่การที่เขายังถ่อมาตามข้อความที่ลุงช้างคอยส่งมาแจ้งเตือนทุกวันทั้งที่ไม่ถึงวันทำความสะอาดเพราะรู้ดีว่าถ้าเขาไม่มาอยู่คอยกวนประสาทลุงช้างสักสองสามชั่วโมง ลุงช้างต้องเหงาจนเฉาตายแน่ๆ


ความจริงตอนแรกภาพของลุงช้างในความคิดจากการได้ยินและเห็นเพียงผิวเผินคือผู้ชายรวยๆหยิ่งๆที่คิดจะจีบผู้หญิงม่ายแบบแม่เขาเล่นๆ ทว่าเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนอกจากหลงตัวเองเรื่องความหล่อกับมีข้าวของแพงระยับใช้ตลอดแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเหมือนพวกเศรษฐีสักเท่าไหร่


หลายครั้งที่ออกไปกินข้าวและแวะสวนสาธารณะ เขามักจะเห็นลุงช้างพูดคุยอยู่ในวงล้อมของเด็กหรือผู้เฒ่าผู้แก่อยู่เสมอ ยิ่งเวลาเจอคนจรเนื้อตัวมอมแมมหิวโซลุงช้างจะเข้าไปนั่งคุยข้างๆอย่างไม่รังเกียจ


ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่าทำไมลุงช้างชอบคุยกับคนจรจัด แต่วันก่อนได้ยินลุงช้างคุยโทรศัพท์บอกใครสักคนให้ช่วยไปดูคนจรจัดที่สวนสาธารณะ ถ้าอยากได้งานทำกับที่พักจะหาให้เพื่อจะได้ไม่ต้องนอนข้างถนนอยู่อย่างนั้น


กับตัวเขาเองลุงช้างก็ช่วยเหลือตลอด ทั้งเรื่องให้ยืมโทรศัพท์มาใช้ มีเสื้อผ้าดีที่ไม่ใส่แล้วก็ยกมาให้ คอยถามไถ่ความเป็นอยู่และสารทุกข์สุกดิบในแต่ละวัน กระทั่งคอยถามเรื่องอาหารการกินเขาเป็นประจำถึงขนาดสั่งอาหารเย็นให้มาส่งในวันที่เขาไม่ได้มาทำความสะอาดถึงบ้าน


...ลุงช้างน่ะทำอะไรให้ชีวิตเขาเยอะเลยแต่เขาไม่มีอะไรจะตอบแทนลุงช้างนอกจากทำให้ลุงช้างเหงาน้อยลง ถึงแม้ลุงแกจะไม่ยอมรับว่าตัวเองเหงาก็ตามเถอะ...


“เฮ้ย ทำความสะอาดเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วก็มากินข้าว” เสียงตะโกนเรียกให้คนที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นเดินไปหา เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นอาหารเกาหลีหน้าตาสวยงามราวกับอาหารจากโรงแรมหรูละลานตาเต็มโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่วนตัวพ่อครัวกำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างจานหินอ่อน


ถึงลุงช้างจะเคยเล่าให้ฟังว่าช่วงไปเรียนต่างประเทศเคยไปเข้าคอร์สเรียนทำอาหารและฝึกงานอยู่ในห้องอาหารของโรงแรมระดับสี่ดาวในลอนดอนเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อาหารที่ออกมานั้นไม่ต่างอะไรกับเชฟที่ทำงานด้านนี้มานานทำให้เขาถึงกับทึ่งเสียทุกครั้งที่ลุงช้างเข้าครัว


จะว่าไปลุงช้างแกทำอาหารก็เก่ง ยิงปืนก็ระดับนักกีฬาเขต งานธุรกิจอะไรก็ดูจะไปได้สวยมีเงินทองใช้อู้ฟู้ พูดได้หลายภาษา ส่วนไอ้เรื่องหน้าตาเขาเคยเอารูปลุงช้างไปเลียบๆเคียงๆถามเล่นกับเพื่อนผู้หญิงซึ่งต่างก็ลงความเห็นว่าหล่อเหมือนนักแสดง แต่เขาไม่มีทางปริปากชมลุงช้างเด็ดขาดเพราะแค่นี้ลุงช้างก็มั่นหน้าเกินเบอร์พอแล้ว


ชายหนุ่มนั่งมองหมูผัดซอสเผ็ดปั้นเป็นลูกกลมๆเสียบด้วยไม้ ต็อกพันเบคอนทอดโรยด้วยไข่กุ้ง ซุปกิมจิจัดเรียงด้านบนด้วยปลาแซลมอนสลับกับปลาทูน่าซ้อนกันอย่างสวยงาม หมูสามชั้นกับเนื้อย่างชีสห่อในกะหล่ำม่วง ตบท้ายด้วยปูดองจานใหญ่และข้าวสวยร้อนๆก่อนจะเงยหน้ารับช้อนส้อมกับตะเกียบที่พ่อครัวส่งมาให้จากฝั่งตรงข้าม


“แม่เราเป็นยังไงบ้าง” คนแก่กว่าเปิดประเด็นสนทนาขณะมองเด็กที่ตักข้าวเข้าปากอย่างหิวโหย


“แม่น่ะเหรอ...ก็ดีขึ้นแล้วแต่กระดูกยังไม่สมานหรอกนะต้องรออีกหน่อย ทำไมอะ ลุงคิดถึงแม่ผมเหรอ”


“ถ้าบอกว่าคิดถึงนี่จะตีความว่า ฉันอยากเป็นพ่อใหม่อีกมั้ย


“ผมไม่อยากได้พ่อแบบลุงช้างหรอก เยอะแยะเกิน”


“ฉันก็ไม่อยากเป็นพ่อเด็กกวนประสาทอย่างเราเหมือนกัน อีกอย่างฉันก็บอกปากเปียกปากแฉะแล้วนะว่า ฉันเคารพแม่นายเหมือนพี่สาวคนหนึ่งถึงเขาจะเป็นแม่บ้านของฉันก็เถอะ”


“ละทำไมลุงถึงถามเรื่องแม่ล่ะ แม่ไม่ได้โทรมารายงานอาการให้ลุงช้างฟังบ้างหรือไง”


“ไม่ เพราะฉันเป็นคนบอกให้แม่เราพักให้เต็มที่ ไว้หายดีค่อยโทรมาแจ้ง”


“โหย เจ้านายดีเด่นสุดๆ” คนอ่อนกว่าลากเสียงเนิบแล้วยิ้มกว้างจนตาหยีจงใจกวนประสาท หากก็ทำให้รอยยิ้มของอีกคนปรากฏขึ้นได้


“อยู่มหาลัยเป็นยังไง ไอ้สอบย่อยที่บอกฉันเมื่อวันอาทิตย์น่ะทำได้หรือเปล่า”


“ทำได้สิ ระดับนี้แล้วไม่มีทำไม่ได้หรอก แต่จะได้กี่คะแนนน่ะก็อีกเรื่องนะ”


“เหอะ แล้วเรื่องซ้อมล่ะ”


“วันนี้โค้ชเขาพาผู้ช่วยโค้ชคนใหม่มาแนะนำแทนคนเก่าที่ย้ายไปคุมอีกเขตน่ะ แต่เขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เขาคัดนักวิ่งที่ทำเวลาดีห้าอันดับแรกไปวิ่งจับเวลาตั้งหลายรอบ พอซ้อมเสร็จขาผมนี่สั่นพั่บๆนึกว่าจะเดินไม่ไหวแล้ว”


“ซ้อมหนักขนาดนั้นเลย”


“ปกติก็ไม่ขนาดนี้หรอก แต่ผู้ช่วยโค้ชเขาคงไฟแรงเลยให้พวกผมวิ่งกันสามสิบรอบเพื่อหาเวลาที่ดีที่สุด”


“บ้าแล้ว วิ่งสามสิบรอบ เท้าพังพอดี”


“มันไม่พังหรอก แต่จะอ้วกอะดิ ดีนะที่ผมซ้อมเสร็จไม่อ้วก เพื่อนมันพาไปเลี้ยงอาหารทะเล อ้วกออกมาล่ะเสียดายแย่”


“อะไร...นี่มีเพื่อนพาไปเลี้ยงอาหารทะเลด้วย”


“เอ้า ก็ต้องมีสิ ผมไม่ใช่พวกไม่มีเพื่อนแบบลุงช้างนิ”


“ใครว่าฉันไม่มีเพื่อนวะ ฉันน่ะมีเพื่อนเยอะนะเว้ยแต่พวกวัยทำงานมันยุ่งเลยไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกัน”


“มีเพื่อนก็ยังเหงา แบบนั้นไม่ไหวหรอกนะ”


“ใครว่าฉันเหงา ฉันก็อยู่ของฉันคนเดียวมาตั้งนาน ไม่เห็นจะเหงาอะไรเลยออกจะชอบด้วยซ้ำ” ฝ่ายที่ไม่เคยยอมรับคำว่าเหงาไม่ว่าจะจากเพื่อนหรือใครยังคงยืนกรานเสียงแข็ง


“นี่ลุงช้าง ผมจะบอกอะไรให้ การที่ลุงช้างชินกับการอยู่คนเดียวน่ะ มันไม่ได้แปลว่า ลุงช้างชอบการอยู่คนเดียวหรอกนะ ขนาดผมกินไก่ทุกวันผมยังไม่ชอบเลย


“ไม่ได้เหงาโว้ย...โตป่านี้จะมาเหงาอะไร”


“คนโตๆเขาก็เหงาเป็นเหมือนกันแหละ”


“อย่านับรวมฉันไปด้วยสิ”


“งั้น ถ้าผมไม่มาทำความสะอาดก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย ถ้าอาทิตย์ไหนผมเหนื่อยมากผมไม่มาที่นี่ได้หรือเปล่า แบบนั้นลุงช้างจะไม่เหงาใช่มั้ย”


คำถามนั้นทำให้มือคนฟังที่กำลังจะตักแกงกิมจิชะงัก ตาคมเหลือบยังผู้อ่อนวัยกว่าที่เคี้ยวของกินตุ้ยๆอยู่ในปากด้วยหน้าตาเรียบเฉยอันเป็นสีหน้าปกติของอีกฝ่ายอยู่แล้วก็เลิกคิ้วแต่ยัง หากเขาไม่ทันได้ตอบเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกลางเตรียมอาหารเป็นเหตุให้ต้องลุกไปรับสายเสียก่อน


“กินข้าวไปไม่ต้องรอ” เสียงเข้มบอกแล้วผละออกจากห้องครัว


คนเด็กกว่ามองตามแผ่นหลังใหญ่หนาจนลับสายตา ยินเสียงสนทนาเป็นภาษาต่างประเทศที่เขาฟังไม่ออกเลยสักคำพร้อมตักข้าวเข้าปากต่อไปไม่นานก็ชักอิ่มเลยนั่งนิ่งๆเพื่อจะรอ หากความอ่อนล้าจากการเรียน การอ่านหนังสือสอบ การซ้อมจนถึงงานพิเศษที่รุมเร้าทำให้เขาฟุบหน้าลงบนโต๊ะหวังเพียงจะพักสายตาสักครู่แต่กลายเป็นหลับขึ้นมาจริงๆ


หลังวางสายจากผู้ร่วมทุนจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ติดต่อมาเรื่องเครื่องจักรในโรงงาน ฮิมชานจึงเดินกลับเข้าไปในห้องครัวกว้างขวางแบ่งส่วนไว้ตั้งชุดโต๊ะเก้าอี้กินข้าวที่มีความกว้างเพียงสี่คนแต่เขาไม่ค่อยจะได้ใช้งาน นอกเสียจากเพื่อนจะขอมากินข้าวด้วยที่บ้านถึงได้เห็นชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตัวเองสิบกว่าปีฟุบอยู่บนโต๊ะซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าตัวหลับคาโต๊ะจึงยกเก้าอี้อย่างเบามือเพื่อนั่งกินข้าวต่อแทนการเลื่อนก่อนจะลุกไปจัดการใส่อาหารเก็บลงกล่องสูญญากาศตั้งเรียงไว้เป็นสองแถว


ตัวเลขนาทีบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลตรงผนังเปลี่ยนไปเรื่อยกระทั่งถึงจุดที่เลขชั่วโมงเดินทางมาถึงเลขศูนย์ เจ้าของร่างที่ฟุบหลับก็สะดุ้งตื่น ตาเล็กกระพริบถี่เพื่อการมองเห็นให้คงเดิมและมองไปยังแผ่นหลังกว้างของชายเจ้าของห้องที่ง่วนอยู่บนการล้างมือบนอ่างล้างที่มีจานชามเสียบในช่องเก็บจานอย่างเป็นระเบียบ


“ผมหลับไปเหรอ” คนอ่อนกว่าลุกจากเก้าอี้เดินไปเกาะขอบโต๊ะกลางชะเง้อดูถาม


“เออ”


“หลับไปนานแค่ไหนเหรอ”


“สิบนาที”


“สิบนาที” พอได้คำตอบฝ่ายถามก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เพียงเห็นตัวเลขก็ตาถลน “โอย ลุงช้างตาไม่ดีหรือไง สิบนาทีอะไร นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้ว”


“อ้าว เที่ยงคืนแล้วเหรอ มัวแต่ล้างจานเลยไม่ได้ดูเวลา” เสียงเอื่อยเฉื่อยตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทำให้คนได้ยินคำตอบถึงกับหรี่ตาเล็กลง


“ไม่ดูเวลาหรืออยากให้ผมอยู่นานขึ้นกันแน่”


เจ้าของห้องเหลียวหลังมาหาตามเสียงคำถามพลางชูมือที่สวมถุงมือยางเปื้อนด้วยฟองน้ำยาล้างจานให้เห็น


“แค่เห็นหลับกลัวปลุกจะบาป เลยปล่อยให้หลับ”


“ไม่บาปหรอก ผมกลับบ้านช้าไม่ได้อ่านหนังสือตุนครึ่งชั่วโมงเหมือนทุกวันแล้วเกิดมีสอบย่อยโผล่มา ทำไม่ได้ตอนนั้นแหละลุงช้างจะบาป”


“เอ้าปล่อยให้นอนก็ผิดอีก”


“แล้วจานเนี่ยจะล้างหมดยัง ถ้ายังเหลืออีกเยอะก็ถอยมาเลย ผมจะล้างเอง”


“ใบสุดท้ายแล้ว”


“งั้นผมกลับเลยได้มั้ย”


“จะกลับเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง”


“ไม่เอาหรอก”


“ทำไมอีกวะ...กะอีแค่ขับรถไปส่งจะอะไรหนักหนา”


“บอกไปลุงช้างก็ไม่เข้าใจหรอก”


“ไม่บอกอยู่แบบนี้ ฉันจะรู้ได้มั้ยว่าจะเข้าใจไม่เข้าใจ”


“ปัญหาคนจนกับคนรวยน่ะ”


“อะไรวะ”


“ก็อพาร์ทเม้นต์ผมมันไม่มีใครเขาขับรถเบนซ์สปอร์ตเปิดประทุนแบบลุงช้างกันหรอก อีกอย่างบ้านผมก็อยู่ไม่ไกลจากนี่สักหน่อย เดินไปยี่สิบนาทีก็ถึง”


“สนใจอะไรกับคนอื่น”


“ทีลุงยังสนใจเลย”


“เหอะ...พูดไม่รู้เรื่องจริงๆเลย”


“ผมน่ะพูดรู้เรื่อง ลุงช้างต่างหากที่ไม่รู้เรื่อง”


“โว้ย...ไม่ขับรถไปก็ได้ ฉันเดินไปส่งเหมือนเดิมแล้วกัน”


“ถ้าเดินไปส่งก็โอเค อย่างน้อยก็ได้ออกกำลังกาย”


“อะไร นี่ยังไม่จบกับเรื่องออกกำลังกายอีกใช่มั้ย”


“ผมไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย...เอาเป็นว่าผมไปเก็บของก่อน ลุงช้างกินยาหลังอาหารแล้วยัง ถ้ายังก็กินเร็วๆแล้วรีบตามมานะ ผมจะรอหน้าประตู”


“เออ สั่งยังกับเมีย” เจ้าของห้องบ่นพึมพำมองเด็กที่ผลุบหายไปจากครัวสักครู่จึงถอดถุงมือยางมาล้างไม้ล้างมือเสร็จก็เดินกลับไปห้องนอนเพื่อกินยาหลังอาหารและวิตามินเสริม จากนั้นจึงเข้าครัวกลับไปหิ้วถุงใส่กล่องอาหารหกกล่องเรียงต่อกันออกไปสมทบกับคนอ่อนกว่าที่ยืนมองนั่นมองนี่รออยู่


หลังกดรหัสล็อกประตูบ้านเรียบร้อยทั้งคู่ต่างขึ้นลิฟต์ลงมายังชั้นล่าง ผ่านโถงส่วนกลางอันหรูหรากว้างขวางออกจากซอยที่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากโคมคริสตัลรายทางไปยังถนนเส้นหลัก หลังเที่ยงคืนในย่านเศรษฐกิจซึ่งมีที่ดินแพงที่สุดในประเทศยังคงมีร้านสำหรับนักท่องราตรีเปิดทำการเช่นเดียวกับร้านอาหารบางร้าน


“ครั้งหน้าถ้าเบี้ยเลี้ยงผมออก ผมจะเลี้ยงต็อกบกกีลุงช้างนะ” คนอ่อนกว่าเปรยขึ้นขณะมองไปยังโปสเตอร์ต็อกบกกีที่ติดตรงกระจกร้านอาหาร


“ไม่ต้อง”


“ไม่ได้หรอก ลุงช้างเลี้ยงผมบ่อยแล้ว ผมจะเลี้ยงคืนบ้างแต่ผมไม่มีเงินเลี้ยงต็อกในร้านหรูๆแบบที่ลุงช้างชอบไปหรอกนะ เต็มที่ก็เป็นร้านข้างทางธรรมดาๆ ไอ้ร้านแบบนั้นลุงช้างกินได้ปะ กินแล้วจะป่วยกลับบ้านไปอ้วกมะ”


“ทำไมต้องถามเสียงโอเว่อร์เหมือนฉันจะกินร้านข้างทางไม่ได้วะ”


“เอ้า คนรวยเขากินข้าวข้างทางด้วยเหรอ”


“กิน”


“จริงดิ”


“เออ คนรวยก็คนเหมือนกันนะเว้ย”


“รู้แล้วว่าคน แต่คนรวยๆเขาไม่น่ามานั่งกินข้างทางอะ”


“ถ้ามันอร่อยฉันก็กินหมด”


“อ๋อ ถ้าร้านอร่อยลุงถึงกินใช่ปะ”


“ก็แล้วแต่เพื่อนจะนัด”


“อะไร...ลุงช้างมีเพื่อนนัดกินข้าวด้วย” คำตอบนั้นทำให้อีกคนตาลุกวาว


“อ้าว เด็กเวรจะหาเรื่องหรือไง”


“เพื่อนลุงช้างน่ะเป็นคนจริงๆใช่ปะ ถ้าเป็นเพื่อนแบบบอทออนไลน์นี่ไม่นับนะ”


“โวะ ไอ้นี่ทำไมเข้าใจยากเข้าใจเย็นนัก”


“มีเพื่อนเป็นคนก็อย่าเหงาให้ผมเห็นสิ”


“เหงาอะไร บอกตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่เคยเหงา”


“จริงงะ งั้นผมไม่ไปทำความสะอาดให้ลุงช้างก็ได้สิ”


“ไม่มาก็ได้ แต่ฉันคงต้องขอให้แม่บ้านคนอื่นมาทำแทน ถึงตอนนั้นฉันคงต้องพักการหักหนี้ของแม่เราไว้จนกว่าแม่เราจะหายดีกลับมาทำงานให้ฉันได้”


“โห ลุงช้างนี่เขี้ยวเนาะ บ้านก็ออกจะสะอาดไม่เห็นต้องมีแม่บ้านไปทำความสะอาดเลย”


“แน่สิ ฉันเสียเงินแล้วนิ”


“งี้ที่เสียเงินเลี้ยงข้าวผมต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแหง่เลย”


“ฉันไม่ได้หน้าเงินไปซะทุกเรื่องหรอกนะ”


“อืมๆผมจะเชื่อก็ได้” เจ้าตัวเงยหน้าหรี่ตาใส่คนข้างตัวที่ตีหน้าขรึมอยู่พักหนึ่งจึงหันกลับไปมองเส้นทางข้างหน้า ลมเย็นโชยเอื่อยแล่นปะทะพาความเงียบครอบคลุมทั้งคู่อยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนคนอ่อนกว่าจะเอ่ยปากต่อในนาทีที่เห็นโปสเตอร์การ์ตูนเรื่องโปรดแปะอยู่ตรงกระจกใสข้างในร้านหนังสือที่ปิดแล้ว


“ลุงช้างไปญี่ปุ่นบ่อยมั้ย”


“บ่อย”


“ที่นั่นมีนักวาดการ์ตูนเจ๋งๆเยอะเลยเนาะ”


“นักวาดการ์ตูนเกาหลีก็เจ๋ง”


“ผมเคยฝันว่าวันหนึ่งถ้าผมพยายามมากพอจะได้ติดทีมชาติล่ะก็ คงจะได้ไปญี่ปุ่นกับเขาสักวัน”


“อยากไปทำอะไรที่ญี่ปุ่น”


“ไปอ่านการ์ตูนฟรี ไปดูพิพิธภัณฑ์เกมและของเล่น ไปตระเวนดูฟิกเกอร์ อาจไปเกมเซ็นเตอร์กับกินของอร่อยๆด้วย ถ้าผมได้ไปเมื่อไหร่ผมจะซื้อของมาฝากลุงช้างบ้าง”


“ชาติไหนจะได้ไป”


“โห ลุงช้างก็ ชาตินี่แหละ เชื่อผมสิ”


“ก็ขอให้เป็นจริงแล้วกัน” ผู้มากวัยกว่าอวยพรแล้วผายมือไปทางอพาร์ทเม้นต์กลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า “เอ้าถึงบ้านนายแล้ว เข้าบ้านดีๆล่ะแล้วก็เอานี่เก็บไว้กินไป”


“อันนี้ของผมเหรอ นึกว่าลุงช้างจะไปฝากน้องลุงช้างซะอีก” คนเป็นเด็กถามรับถุงใส่กล่องอาหารมาถือไว้อย่างงงๆด้วยปกติเวลาอีกฝ่ายหอบหิ้วกล่องบรรจุอาหารมาก็เพื่อขากลับจะได้แวะไปส่งเสบียงให้น้องนอกสายเลือดซึ่งดูเหมือนจะห่วงมากกว่าลูกซะอีก


“ของมันเดี๋ยวฉันเอาไปให้พรุ่งนี้เช้าก่อนเข้าออฟฟิศ”


“ดีจังเนาะเป็นน้องลุงช้างเนี่ย เอาใจใส่เก่ง”


“ไม่ดีหรอก ถ้าดีมันคงไม่เถียงทุกเรื่องอย่างนี้”


“ลุงช้างก็อย่าบ่นเยอะนักซี ไม่มีใครชอบคนขี้บ่นหรอกนะ”


“อะไร ใครขี้บ่นวะ”


“ก็ลุงช้างนั้นแหละ บ่นมันซะทู้กอย่าง”


“ชอบทำให้เป็นห่วงก็ต้องบ่นสิ”


“ที่บ่นเพราะเป็นห่วงเหรอ”


“ถ้าไม่สนใจคงไม่บ่นอะไรให้เมื่อยปากหรอก”


“โห...ฟังแล้วรู้สึกเหมือนลุงช้างเป็นคนดีเลย แสนดีขนาดนี้ไม่มีเพื่อนได้ไงอะ”


“เอาอีกล่ะ...รำคาญจริงวุ้ย”


“ลุงช้างรำคาญล่ะเหรอ งั้นผมไปอ่านหนังสือก่อนล่ะนะ อ้อ เกือบลืม” ฝ่ายที่ความสูงน้อยกว่าคว้านหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายของตนเองและหยิบเอาซองจดหมายยาวสีทองออกมาส่งให้


“อะไร”


“ของขวัญจากผมไง”


“จากเราเนี่ยนะ”


“อืม...ไว้ลุงช้างถึงบ้านค่อยเปิดนะ”


“ทำไมเปิดตอนนี้เลยไม่ได้”


“ถ้าลุงช้างไม่ทำตามที่ผมบอก มันจะระเบิดตัวเองในสามวินาที”


“เว่อร์”


“จริงๆ”


“เอาเหอะฉันขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว  รีบๆไปอ่านหนังสือแล้วนอนซะแล้วไอ้ข้าวในกล่องนั่นนะเอาไปแช่ช่องฟรีซซะ พอจะกินค่อยเอาออกมาอุ่นในไมโครเวฟ หน้าอย่างนี้คงไม่รู้วิธีอุ่นหรอกใช่มั้ย ไม่เป็นไรฉันเขียนใส่กระดาษไว้ในถุงให้แล้ว”


“ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้นน่า”


“เออ ฉันไปละ”


ฮิมชานบอกลาพลางยกมือขึ้นมาในระดับหน้าแทนการโบกมือลาแล้วหันหลังเตรียมตัวเดินกลับบ้านเหมือนทุกวันพุธและอาทิตย์แต่ต้องหยุดการก้าวกะทันหันเมื่อได้ยินเสียงของคนอ่อนกว่าดังไล่หลัง


“ลุงช้างมีเบอร์เทรนเนอร์ปะ”


“จะเอาไปทำไม” เขาเหลียวกลับไปถาม


“ผมจะโทรไปบอกเทรนเนอร์ของลุงช้างให้เขาออกกฎห้ามลุงช้างนั่งพักระหว่างออกกำลังกาย...ยกเวทแค่ทีสองทีก็พักเหนื่อยนี่ใช้ได้ที่ไหน”


“ไอ้เด็กบ้า แทนที่จะโทรหาเทรนเนอร์ เอาเวลามาโทรเตือนฉันแทนไม่ดีกว่าหรือไง”


“โทรหาลุงช้าง...ลุงช้างก็ไม่ทำหรอก”


“วิดีโอคอลมาสิจะได้เห็น”


“เอางั้นเหรอ ผมก็นึกว่าลุงช้างจะชวนไปดูที่ฟิตเนส” ประโยคที่มาพร้อมใบหน้าเฉยเมยคล้ายง่วงตลอดเวลาอย่างเคยทำให้คิ้วของคนได้ยินเลิกสูงอย่างไม่เชื่อหูก่อนถามกลับ


“วันอาทิตย์นี่เลยมั้ย”


“ก็ได้นะ ถ้าลุงขุดตัวเองออกจากบ้านไปฟิตเนสได้ แต่อย่าไปเช้านักล่ะ วันอาทิตย์ผมอยากตื่นสายๆบ้าง”


“สายน่ะกี่โมง”


“ไม่รู้หรอก เจอตอนไหนก็ตอนนั้น”


“เดี๋ยวก็เบี้ยว”


“ไม่เบี้ยวน่า ผมเคยเบี้ยวลุงช้างที่ไหน ถ้าผมสายนั่นอีกเรื่อง”


“เด็กเวร”


“อะไรเล่าแค่สายเองต้องด่ากันด้วย ก็นี่แหละน้า เพราะลุงช้างเป็นแบบนี้ไงน้องถึงเถียง โอ๊ะ นี่จะตีหนึ่งแล้วนิ ลุงช้างกลับไปได้ล่ะ รีบๆนอนนะจะได้มีแรงไปออกกำลังกาย”


“ไอ้คนที่ควรจะรีบนอนต้องเป็นเราต่างหาก”


“นอนยังไงเล่า ผมบอกแล้วว่าต้องอ่านหนังสือ”


“ถ้ามันเหนื่อยขนาดนั้นฟุบหลับตอนกินข้าวล่ะก็ เวลาไปทำความสะอาดจะนอนค้างที่บ้านฉันเลยก็ได้นะ ตอนเช้าเวลาฉันไปทำงานจะขับรถไปส่งที่มหาลัยให้”


“ไม่เอาหรอก”


“ทำไม”


“ผมไม่ได้ซี้กับลุงช้างขนาดจะไปนอนบ้านลุงช้างได้ซะหน่อย แล้วมหาลัยมันก็ไม่ได้ไกลอะไร ขึ้นรถเมล์สิบห้านาทีเดินอีกสิบนาทีก็ถึง อีกอย่างคนอย่างผมน่ะขนาดกินข้าวกลางวันยังต้องขอบัตรอาหารจากเพื่อน วันดีคืนดีมีรถเบนซ์สปอร์ตไปส่งคงได้นินทามันทั้งมหาลัย ผมไม่ชอบเป็นขี้ปากใคร”


“ตามใจ”


“โอเค ผมไปแล้วนะ ลุงช้างเดินกลับดีนะ อย่าไปสะดุดอะไรเข้าเดี๋ยวกระดูกหัก”


เจ้าของความสูงที่น้อยกว่าบอกลาพร้อมโบกมือไปมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วหายเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์ อีกฝ่ายเลยได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอาและออกเดินกลับทางเก่า ระหว่างทางก็ได้แต่มองซองจดหมายในมือพลางคาดเดาสิ่งที่อยู่ในซองก่อนที่ความสงสัยจะทำให้ตัดสินใจแกะซองก่อนถึงบ้าน


เสียงหัวเราะจากคนตัวใหญ่ดังขึ้นในนาทีที่เห็นแถบกระดาษใบเล็กๆเขียนว่า ผมได้มาจากเพื่อน ผมยกให้ลุงช้างนะ ติดบนแพ็กแกจนวดเท้าแผนไทยฟรีสองชั่วโมงถูกผู้รับดึงออกจากซองเพราะเจ้าตัวเคยได้รับบัตรลักษณะนี้จากร้านนวดแห่งนี้ในฐานะลูกค้าวีไอพี กระนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีแม้จะทราบว่ามันเป็นของฟรีก็ตาม


...แทนที่จะเอาไปใช้เอง ยังมีแก่ใจเอามาให้...


“เด็กอะไรเนี่ย” เขาบ่นพึมพำเก็บแพ็กแกจลงซองแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรออก ชั่วขณะที่รอคอยการรับจากปลายสายเขายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าแม้จะถูกตัดสายทิ้งก็ยังไม่อาจหยุดรอยแยกของริมฝีปากไว้ได้


มือใหญ่กดต่อสายโทรศัพท์อีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่ใช่เบอร์เดียวกับที่แสดงบนหน้าจอว่าเป็นเบอร์ล่าสุดที่โทรออก เพียงอึดใจเดียวก็ได้รับการตอบรับจึงเอ่ยสิ่งที่ประสงค์ในใจออกไป


“โฮซอก มึงช่วยหาตารางเรียนของนักศึกษาที่มหาลัยมึงให้กูหน่อยได้มั้ย ชื่อมุน จงออบ อะไร มึงหาให้กูไม่ได้ ตลกแดกล่ะ ทีตารางเรียนเด็กกุหลาบละเสือกหาให้ยงกุกมันได้ คนอย่างมึงนี่แม่ง เออ สิบนาทีจะส่งให้ในคาทก โอ๊ย ไอ้เพื่อนรัก ให้มันได้ยังงี้ อืม กูโทรมาแค่นี้แหละไว้ค่อยนัดเจอกัน”

----------------------------------------
อาหารอุ่นร้อนจากในกล่องสูญญากาศที่เหลือจากการยัดเข้าปากอย่างไม่ปราณีปราศรัยถูกยัดใส่ช่องฟรีซในตู้เย็น ร่างผอมแต่มีกล้ามเนื้อสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกางเกงยีนส์ขายาวขาดเข่าจ้ำเท้าจากโต๊ะกินข้าวในห้องครัวที่คับแคบไปยังโซฟาที่มีพื้นพอให้วางโทรทัศน์รุ่นเก่าเครื่องหนึ่งได้เพื่อหยิบกระเป๋าคู่ใจใบเดียวที่มีสะพาย มือกร้านเปิดและปิดล็อกประตูบ้านเรียบร้อยก็เดินลงบันไดเพื่อไปเรียนตามปกติ


หกโมงเช้าเป็นเวลาจงออบเลือกออกจากบ้านและการเลือกลงทะเบียนเรียนในวิชาที่สอนตอนเช้าเสียส่วนใหญ่ก็เพื่อให้เหลือเวลามากพอในการซ้อมรวมทั้งทำงานพิเศษ โดยทุกครั้งที่เขาเดินพ้นจากอพาร์ทเม้นต์ด้วยความที่อยู่ในซอยลึกพอสมควรทุกอย่างเลยเงียบเชียบไม่มีคนโผล่ออกมาให้เห็น หากครั้งนี้กลับมีรถเบนซ์สปอร์ตหรูราคาแพงระยับจอดอยู่โดยมีชายหนุ่มสวมแว่นตาดำกับเสื้อคอเต่าสีเดียวกันทับด้วยสูทและกางเกงสีเทายืนกอดอกพิงรถอยู่


“จะไปเรียนยัง เดี๋ยวไปส่ง” เสียงเข้มติดแหบเอ่ยถามแทนการทักทาย ตาคมหลังแว่นทอดมองยังเด็กตรงหน้าที่หรี่ตามองเขาสลับกับรถซึ่งเขาไม่เคยขับให้อีกฝ่ายโดยสารเลยสักทีเพราะออกไปไหนมาไหนจะโดนลากไปขึ้นรถสาธารณะหรือเดินตลอด


“ลุงรู้ตารางเรียนผมได้ไง” คนอ่อนกว่าถามกลับขณะกวาดตาเล็กของตนไปทั่วรถหรูที่เคยเห็นข้างทางกับในโทรทัศน์


“ไม่เห็นยาก”


“นี่อย่าบอกนะว่าเจาะระบบคอมมหาลัยเพื่อเข้าไปดูตารางเรียนของผมอะ”


“ใครจะไปทำอย่างนั้นเล่า รีบๆขึ้นรถไปฉันมีประชุมเช้า”


“ประชุมเช้าแล้วไงอะ ผมไม่ได้ขอให้ลุงช้างมารับซะหน่อย”


“เออ ฉันเสือกเองแหละ ไม่ไปก็ไม่ไป ขี้เกียจรำคาญ เอาแค่ไอ้นี่ไว้ก็แล้วกัน” เจ้าของรถยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลให้เสร็จแล้วก็ขยับตัวเดินอ้อมกลับไปยังฝั่งคนขับทำเหมือนไม่สนใจฝ่ายคนอ่อนวัยกว่าที่กำลังเปิดดูสเปรย์พ่นคลายกล้ามเนื้อ ปลอกพันข้อเท้ากับแผ่นรองส้นเท้าในถุงนั้น


จงออบเงยหน้าจากข้าวของในถุงไปยังชายหนุ่มที่เปิดประตูรถฝั่งคนขับขึ้นไปนั่งทำคล้ายจะออกเดินทางแต่ลีลาไม่ยอมสตาร์ทรถเสียทีทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้า แม้เขาจะไม่อยากนั่งรถหรูของลุงช้างไปมหาลัยเพราะไม่อยากเป็นเป้าให้คนในคณะเอาไปพูดเป็นประเด็น ถึงอย่างนั้นการที่ลุงช้างใส่ใจกับการบ่นเรื่องซ้อมวิ่งหนักของเขาเมื่อวานถึงขนาดซื้อของและมารับถึงหน้าบ้านก็ทำให้เขารู้สึกดีราวกับมีอะไรบางอย่างที่อบอุ่นเติมลงมาในใจ


คนอ่อนกว่าเปิดประตูฝั่งข้างคนขับชะโงกหน้าเข้าไปยังเจ้าของรถที่นั่งรอเกือบหกนาทีกว่าจะสตาร์ทรถก่อนจะพาตัวเองเข้าไปนั่งบนเบาะหนังนั้นในท้ายที่สุด


“โห รถสปอร์ตคนรวยนี่สุดยอดเลยอะ” หลังสำรวจภายในรถที่เหมือนนั่งอยู่ในรถแข่งแต่การดีไซน์ภายในยังเน้นความสวยงามหรูหรายิ่งทำให้ฝ่ายไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถเช่นนี้มาก่อนถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น


“แน่สิ รถมันแพงนิ” เจ้ารถของรถว่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับอาการตื่นตาตื่นใจของอีกคน


“ในนี่มีกลิ่นคนรวยด้วยแหละ เพิ่งรู้ว่ากลิ่นคนรวยเขาเป็นแบบนี้”


“กลิ่นยังไง”


“กลิ่นมันให้ความรู้สึกอุ่นๆแต่ดมไปนานแล้วมันรู้สึกเย็นๆข้างในปอดงะ ปกติไม่เห็นจะได้กลิ่นหรือเพราะลุงช้างแต่งเต็มยศเลยได้กลิ่นก็ไม่รู้”


“เกี่ยวอะไรกันวะ”  


“ทำไมเข้าใจยากจังเนี่ย กลิ่นคนรวยที่ผมว่ามันคือกลิ่นน้ำหอมแพงของลุงช้างไง...ลุงช้างใช้น้ำหอมขวดเท่าไหร่เนี่ย ขวดละสิบล้านวอนได้เปล่า”


“เกินไป คนที่ไหนเขาจะใช้น้ำหอมราคาเท่านั้นกัน”


“ก็ลุงช้างไง”


“ฉันไม่ได้บ้าขนาดจะเอาเงินไปลงกับไอ้ของที่ไม่ได้สร้างกำรี้กำไรให้ฉันทุกอย่างหรอกนะ”


“ผมไม่รู้นี่ก็นึกว่ารวยแล้วจะซื้อของแพงๆตลอดเวลา”


ฮิมชานพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดทันทีที่ได้ยินคำว่า รวย ซึ่งกลายเป็นคนพูดของเด็กที่นั่งหน้าตายเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่บนเบาะผู้โดยสารข้างตนเอง


ตั้งแต่เล็กจนโต ตลอดชีวิตเขามีแต่คนเรียกว่า ลูกคุณหนู หรือไม่ก็ ลูกคนรวย อยู่เสมอและโดยมากแล้วเวลาที่มีใครไม่สนิทเรียกขานเขาเช่นนั้นมันมักจะเป็นไปในเชิงเหยียดหยันมากกว่าชื่นชม มันเลยทำให้เขาอยากจะหนีสังคมนักธุรกิจชั้นสูงถึงขนาดบินไปไกลถึงลอนดอน เลือกพักอยู่ในอพาร์ทเม้นต์รูหนูร่วมกับรูมเมทต่างเชื้อชาติอีกหลายชีวิต เริ่มทำงานพิเศษในร้านอาหารอย่างหนักหน่วง ใช้เงินที่หาได้จากการทำงานและเก็บเงินที่พ่อแม่ส่งมาในบัญชีไปเก็บในเซฟของธนาคารเพื่อใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่ไม่มีเงินถุงเงินถังอะไร


เมื่อกลับมาเงินทั้งหมดที่หามาได้ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงจากหยาดเหงื่อแรงสมองของเขาทั้งนั้น พอถูกคนเสียมารยาทพูดใส่บ่อยๆ แม้จะเป็นเจ้าเด็กกวนประสาทที่เขาค่อนข้างจะเอ็นดูเพราะนึกว่าเข้าใจในตัวตนเขาอยู่บ้างคอยย้ำบ่อยๆก็ชักจะหัวร้อน แต่พอได้ยินประโยคต่อท้ายจากเด็กคนเดิมก็ทำให้ริมฝีปากคลี่กว้างออกมาได้


“แต่ผมก็ชอบกลิ่นคนรวยนะ มันหอมดี”  คนอ่อนวัยกว่าบอกพลางยิ้มกว้างทำให้ตาเล็กหรี่ลงแทบเป็นเส้นขีด


“หึ” เสียงจากเจ้าของรถดังขึ้นในลำคอขณะสตาร์ทรถขับจากหน้าอพาร์ทเม้นต์กลางเก่ากลางใหม่ผ่านซอยลึกออกไปยังถนนใหญ่ แม้จะตีสีหน้าเคร่งขรึม หากเมื่อหางตาเหลือบเห็นคนอ่อนกว่ากวาดตามองอย่างสนใจก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง


...เด็กคนนี้มันกวนประสาทแต่ก็ทำให้เส้นรอยยิ้มบนหน้าได้ทำงานไม่หยุด...


-----------------แวะคุยกันก่อน----------------

หายไปนานเลยค่ะ เขียนฮิมออบบทนี้นานมากเพราะเปิดร้านอาหารกับดูแลแม่
เรื่องราวในบทนี้มีคนนั้นคนนี้ในพาร์ทคนอื่นมาปนด้วยนิดหน่อย
ทั้งนี้เราชอบความจงออบกับลุงช้างของเรามากเลยค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
ฝากคอมเม้นหรือติดแท็กในทวิตทีนะคะ เรารู้ว่าคนอ่านมีสองคนแต่คอมเม้นบอกเราที
ถ้ามาเป็นมหากาพย์ก็คงดี 55555555



You Might Also Like

1 Comments

  1. ต่อปากต่อคำกันดีจีิงๆพอๆกะคู่กล้ามปูเลย แต่ลุงช้างน่ะไม่เคยยอมรับตัวเองว่าเหงาเลย นี่ถ้าให้จงออบแกล้งหายตัวไปอยากรู้คนไม่เหงานจะอกแตกตายมั้ย คุณเพื่อนก็ช่างรู้ทันจังเอ่ยอะไรมาดักทางได้หมด สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันมานาน ชอบเวลาที่คู่นี้อยู่ด้วยกันมันเป็นความสัมพันธ์ที่ยังไม่ชัดเจนแต่สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ทั้งคู่มีให้กัน เรียกว่าค่อยๆเรียนรู้กันไป เหมือนจงออบเองก็จะรู้สึกดีที่ได้เจอลุงช้าง แบบนี่ถ้าวันนึงคนใดคนนึงหายไปนั่นแหละถึงจะได้รู้หัวใจตัวเองเนอะ #ขอบคุณที่อัพนะคะรอติดตามทุกเรื่องค่่ะ

    ตอบลบ