[OS LOVETOXICAL] Hapless - Jackbam
08:37
ร่างบนเตียงลืมตามองเพดานด้วยอาการปวดหัวราวกับสิ่งที่อยู่ใต้กะโหลกจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงก่อนที่อาการคลื่นเหียนจะแล่นขึ้นมาจนต้องตะกายลุกจากเตียงวิ่งพรวดจากห้องนอนไปยังห้องน้ำด้านนอกเพื่อปล่อยสิ่งที่กินดื่มไปเมื่อคืนวานลงอ่างล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
...วอดก้าแก้วเดียวเล่นเอาแฮงค์รุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ...
น้ำรินจากก๊อกถูกมือทั้งสองข้างรองและสาดไปบนหน้าอย่างแรงคล้ายเรียกสติและเมื่อลืมตาขึ้นมองกระจกก็ได้เห็นเงาสะท้อนของผู้ที่มีดวงหน้าหวานละมุนคล้ายเด็กผู้หญิงทั้งที่เจ้าตัวเป็นผู้ชายที่เพิ่งผ่านวัยบรรลุนิติภาวะมาหมาดๆซึ่งมีไฝเม็ดเล็กอยู่ใต้ดวงตากลมโตดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าขณะที่จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มหนานั้นก็แดงก่ำ
เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นพักหนึ่งก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเปิดประตูเข้ามาข้างในพร้อมกับคำขานเรียนอ่อนโยนติดแหลมน้อยๆจะดังขึ้นจากด้านหลัง
“แบม...เราเป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของชื่อกระพริบตาหยิบผ้าขนหนูบนชั้นเช็ดหน้าอย่างแรงจนแห้งก็วางผ้าโปะไปที่เก่า...ร่างผอมซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดตัวโคร่งสีหม่นที่เก่าย้วยจนชายปิดกางเกงยืดขาสามส่วนสีเหลืองถึงเข่าหันมาหาลูกพี่ลูกน้องหน้าตาน่ารักทั้งที่อีกฝ่ายเป็นพี่อายุมากกว่าหลายปีแต่ความตัวเล็กกว่าและหน้าเด็กทำให้เหมือนอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน
“ไม่เป็นไรครับ...ผมสบายดี
ก็แค่ดื่มกับเพื่อนเยอะไปหน่อย” กันต์พิมุกต์ หรือที่คนสนิทเรียกว่า แบมแบม
ตอบกลับ...แม้ปากจะบอกไม่เป็นไรแถมริมฝีปากยังเหยียดกว้างแต่ไม่เหมือนรอยยิ้มเลยสักนิด
คิม
จินฮวานมองหน้าของน้องชายลูกครึ่งไทยเกาหลีที่ถูกญาติจากเมืองไทยส่งมาเรียนหนังสือและพักอาศัยกับเขาราวนาทีก็ถอนใจแล้วเดินเข้าไปลูบผมนุ่มสีน้ำตาลอ่อนของน้องเป็นเชิงปลอบ
...ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรแต่หมู่นี้เหมือนน้องจะอารมณ์ไม่ดีบ่อยๆ
“พี่ก็...มาลูบผมผมทำไม ผมไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”
คนเป็นน้องเบี่ยงหลบหลังโดนลูบหัวไปหลายที
“นี่ก็สองทุ่มแล้ว เรานอนทั้งวันเพิ่งมาตื่นเอาตอนนี้คงหิวแย่ อาหารเย็นอยู่ในครัวนะ ถ้าหิวก็กินก่อนได้เลยนะ” เพราะรู้คนเป็นพี่จึงไม่ถามอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกลึกๆในใจ
“สองทุ่มร้านก็ปิดแล้วนี่ครับ
ทำไมพี่ไม่กินพร้อมผมล่ะ”
“พอดีมีลูกค้าประจำเขาสั่งดอกไม้เพราะต้องใช้ด่วน
ที่ร้านมีสต็อกไว้พอดีก็เลยต้องไปส่งให้ก่อน”
“แล้วไม่ให้พี่แทฮยอนไปส่งล่ะครับ” เขาถามไพล่ไปถึงผู้ช่วยของพี่ชาย
“แทฮยอนเขาไปช่วยจัดดอกไม้ที่งานแต่งงานแทนพี่...น่าจะกลับมาพรุ่งนี้”
“เอ...เดี๋ยวนี้
พี่ยอมให้พี่แทฮยอนเขาไปทำงานแทนด้วยแล้วเหรอ
ไหนตอนนั้นมีต้องไปจัดดอกไม้งานแต่งซ้อนกันพี่ยังต้องวิ่งรอกไปทำทั้งสองที่เองเลย”
คนเป็นน้องถามด้วยความสงสัย พลางคิดถึงชายหนุ่มลูกมือพี่ชายผู้มีเรือนผมสีอ่อนเกือบขาว
ดวงตาเล็กเรียวบนใบหน้าละมุนละม้ายแมวยามไม่มีรอยแย้มใดเลยยิ่งให้ความรู้สึกแสนเศร้า
“ก็อยากให้เขาได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“ลูกค้าเขาไม่ว่าเหรอที่พี่ให้พี่แทฮยอนไปแทน”
“ลูกค้าเขารีเควสเองด้วย”
“อ้อ
อย่างนี้นี่เอง...แล้วไอ้ที่ที่พี่ต้องไปส่งดอกไม้มันอยู่ไหนเหรอครับ”
“ร้านคุณมินจองน่ะ”
“อ้อ ร้านนั้นมันก็ใกล้ๆเองเนาะ”
คนอ่อนกว่าผงกหัวขึ้นลง “ดอกไม้เยอะไหมครับ ถ้าผมถือได้ล่ะก็ ผมไปส่งให้เองก็ได้”
“อย่าดีกว่า...ตอนนี้แถวนั้นเขากำลังก่อสร้าง
เดี๋ยวจะกลับไม่ถูก เราชอบหลงทิศหลงทางอยู่ด้วย”
“มันแค่สองป้ายรถเมล์เอง จะไปหลงได้ยังไงกันครับ”
“ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆก็หลงออกจะบ่อย”
“อย่าขุดเรื่องเก่ามาพูดสิครับ
ตอนนี้ผมหลงซะที่ไหนล่ะ...อีกอย่างพี่เองก็เหนื่อยมาทั้งวัน ผมเอาแต่นอนกินแรงกว่าจะตื่นมาก็ค่ำ
พลังงานยังไม่ได้ใช้เลย พี่ให้ผมไปส่งแทนดีกว่า”
หลังคะยั้นคะยออยู่นานในที่สุดคนเป็นพี่ก็อ่อนใจยอมให้ไปส่งดอกไม้แทนแต่ไม่ลืมที่จะให้นามบัตรของร้านลูกค้าพร้อมกำชับให้หยิบโทรศัพท์ติดตัว
มีอะไรให้รีบโทรหา ถ้าเกิดหลงทางให้แชร์พิกัดมาจะได้ไปรับถูก
“แล้วก็อย่าไปหาเรื่องกับคนร้านตรงข้ามเขาล่ะ” คนเป็นพี่ดักทางพลางมองผ่านประตูกระจกใสของร้านดอกไม้อันเป็นสถานที่ทำงานไปยังร้านฝั่งตรงข้ามที่เมื่อก่อนเป็นเพียงตึกร้างไร้คนอาศัยแต่บัดนี้ถูกตกแต่งใหม่กลายเป็นตึกสไตล์โมเดิร์นเรียบหรู
จากการสนทนากับเจ้าของร้านฝั่งตรงข้ามที่เดินมาสั่งดอกไม้กับเขาในตอนเช้าบ่อยๆทำให้รู้ว่า
ร้านนั้นเป็นบาร์โฮสต์ที่เปิดอย่างถูกกฎหมายและไม่มีการขายบริการ
แต่คนที่จะเข้าร้านนี้ได้ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น
ย่านนี้ไม่ใช่ย่านสำหรับนักท่องเที่ยวกลางคืนและค่อนข้างเงียบ
การที่บาร์โฮสต์เลือกมาเปิดที่นี่จึงกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ในชุมชนพอสมควร
หากเมื่อผ่านไปก็ไม่มีใครพูดอะไรด้วยทางร้านไม่เคยมีนักเที่ยวหรือเรื่องอะไรให้เดือดร้อน
จะมีก็แต่น้องเขาที่หัวร้อนกับการมีร้านนั้นตั้งอยู่
“ผมเคยไปหาเรื่องเขาเมื่อไหร่ มีแต่ทางนั้นแหละมาหาเรื่อง”
“พี่ยังไม่เคยเห็นเขาทำอะไรเลย มีแต่เรานั้นแหละ
คราวที่คุณแจบอมเขาเดินผ่านหน้าร้านเราก็เอาน้ำไปสาดเขาไม่ใช่เหรอ”
“ผมก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ได้ตั้งใจ”
“ที่หน้างอตอนเขามาสั่งดอกไม้นั่นก็ด้วย”
“ผมไม่ได้หน้างอสักหน่อย ก็บอกแล้วว่าเหนื่อยก็เลยไม่มีอารมณ์ยิ้ม”
เสียงของคนอ่อนกว่าเริ่มแข็งขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“แต่พอพูดถึงคนทางร้านนู้นทีไรเสียงเราจะแข็งตลอด
ตอนนี้เองก็ด้วย”
“ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าใช้เสียงพูดยังไง...ไม่เอาล่ะ
ผมรีบไปส่งดอกไม้ดีกว่าจะได้กลับมากินข้าวพร้อมพี่”
แบมแบมตัดบทความรู้ทันของพี่ชายเสียดื้อๆ
แล้ววิ่งตื้อหอบดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกไปข้างนอกร้าน
ตากลมมองชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูคอยตรวจบัตรสมาชิกของหญิงสาวหรือชายหนุ่มที่ต้องการเข้าไปข้างในไม่กี่วินาทีก็หันกลับเริ่มก้าวเท้าไปตามทางด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
โฮสต์เป็นคำที่ฝังอยู่ในใจแบมแบมตั้งแต่วันที่พี่สาวคนสนิทซึ่งเป็นญาติกันและเคยดูแลเขาตอนเด็กๆไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอยู่ๆก็บินกลับเมืองไทย
กลับมาแล้วก็เอาแต่เก็บตัวร้องไห้จนมารู้เอาตอนหลังว่า
ถูกโฮสต์หนุ่มที่นู้นหลอกให้เสียทั้งตัวทั้งเงินทั้งใจจนท้อง
...สภาพของพี่สาวในตอนนั้นทำให้เขาฝังใจว่า พวกนั้นเป็นคนเลวและมันยิ่งแย่ตรงที่จิตสำนึกคอยแต่รู้สึกว่ามีโฮสต์อยู่ตรงที่ๆเขาต้องเห็นและเดินผ่านทุกวัน
ชายหนุ่มหน้าเด็กถอนหายใจเดินเลียบถนนใหญ่ผ่านป้ายรถประจำทางที่มีคนรออยู่บางตาไปจนถึงแนวกำแพงภาพดอกไม้สีขาวของเขตก่อสร้างที่เขาไม่เคยสังเกตด้วยปกติเส้นทางนี้ไม่ใช่ทางที่เขาใช้เดินทาง
ความมืดและความเงียบครอบคลุมลงมาแต่ไม่ทำให้คนเคยชินกับบรรยากาศรู้สึกอะไร
ดอกกุหลาบสีแดงสวยถูกส่งต่อไปยังลูกค้าเรียบร้อย
คนตัวผอมเก็บเงินใส่ในกระเป๋าเสื้อคลุมเดินออกมาตั้งหลักที่หน้าร้าน
ด้วยอากาศที่เย็นและคอก็แห้งพาดเลยอาศัยความจำทางเลาๆเดินเลี้ยวเข้าซอยไปเรื่อยๆแต่การก่อสร้างในละแวกนั้นเองที่ทำให้เส้นทางถูกปิดกั้นและกลายเป็นสุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเดินหลงมาในดงไหน
“ที่ไหนวะเนี่ย”
เขาร้องออกมาพลางมองไปรอบตัวที่ถูกล้อมไว้ด้วยเขตก่อสร้างทั้งสี่ทิศ
มือคว้านหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าหยิบออกมาเปิดโปรแกรมบอกพิกัดและเส้นทางทั้งที่ทางยังเดินมั่วๆ
...ความสามารถในการหลงทางของเขาค่อนข้างสูงพอๆกับความสามารถในการเมานั้นแหละ
ในนาทีที่ยังเพ่งมองพิกัดตัวเองบนหน้าจอกลับมีเสียงกระทบกระแทกกันแต่ไม่ได้เกิดจากสิ่งของแต่อย่างใดดังอยู่ไม่ไกล และเมื่อเงยหน้าหันไปมองในซอยที่มีแสงไฟสลัวตามเสียงนั้นก็พบเข้ากับชายตัวสูงใหญ่ถือปืนจ่ออยู่ตรงหน้าชายร่างหนาอีกคน ที่ความสูงนั้นเป็นรองอยู่มากยืนอยู่ท่ามกลางชายอีกหลายคนที่นอนแน่นิ่งเกลื่อนพื้น
...แกร็ก...
เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ผู้ตกเป็นรองจะลดตัวลงต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยพร้อมเบี่ยงตัวใช้สันมือกระแทกแขนที่ถือปืนของอีกฝ่ายอย่างแรงและเร็วจนทำให้ปืนหลุดกระเด็น
เมื่อต่างฝ่ายต่างไร้อาวุธฝ่ายตัวใหญ่วาดหมัดชกเข้าใส่คนตัวเล็กกว่าอย่างไม่ปราณีปราศรัย หากฝ่ายตรงข้ามก็ตั้งการ์ดหลบแล้วสวนกลับทุกช่องโหว่ของร่างกายเก้งก้างของคนตรงหน้า
เมื่อต่างฝ่ายต่างไร้อาวุธฝ่ายตัวใหญ่วาดหมัดชกเข้าใส่คนตัวเล็กกว่าอย่างไม่ปราณีปราศรัย หากฝ่ายตรงข้ามก็ตั้งการ์ดหลบแล้วสวนกลับทุกช่องโหว่ของร่างกายเก้งก้างของคนตรงหน้า
เมื่อไล่ต่อยเข้าประชิดคลุกวงในได้ผู้เสียเปรียบทางรูปร่างจึงใช้ศีรษะกระแทกหนักเข้าที่ลูกกระเดือก
แขนข้างหนึ่งถูกจับไขว้เป็นหลักแทนเสาเพื่อใช้พลิกตัวหมุนอ้อมมาอยู่เบื้องหลัง
จากนั้นจึงบิดอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกแตกและใช้มันแทนเชือกรัดเข้าลำคอดึงทั้งร่างให้ลงมานอนอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับตัวออกแรงทั้งหมดที่มีรัดคอให้แน่นขึ้นทุกขณะพร้อมกับใช้เท้าถีบตัวเองให้หมุนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาอยู่หลายนาทีกระทั่งร่างใหญ่แน่นิ่งไป
จากนั้นจึงบิดอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกแตกและใช้มันแทนเชือกรัดเข้าลำคอดึงทั้งร่างให้ลงมานอนอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับตัวออกแรงทั้งหมดที่มีรัดคอให้แน่นขึ้นทุกขณะพร้อมกับใช้เท้าถีบตัวเองให้หมุนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาอยู่หลายนาทีกระทั่งร่างใหญ่แน่นิ่งไป
ชายคนนั้นปล่อยแขนคู่ต่อสู้ที่ห้อยร่องแร่งกระแทกพื้นพลางสอดมือเข้าไปในสาปเสื้อคลุมเพื่อหาอะไรบางอย่างจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนเหยียดตัวตรงพลางปัดเศษดินเศษฝุ่นที่เปื้อนเสื้อและเดินข้ามร่างที่นอนบนพื้นตรงออกมา
ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายังคนตัวผอมที่ยืนดูฉากต่อสู้อันดุเดือดอยู่ตรงปากทาง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายังคนตัวผอมที่ยืนดูฉากต่อสู้อันดุเดือดอยู่ตรงปากทาง
ทั้งที่มองเห็นหน้าไม่ชัดด้วยซ้ำแต่แบมแบมกลับรู้สึกได้ว่ากำลังสบตากับคนที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมตร...ความกลัวแล่นขึ้นมาถึงหัวใจทำให้มือเท้าเย็นเฉียบและเท้าก็ขยับวิ่งใส่เกียร์สี่คูณร้อยอย่างไม่รู้ทิศทางแบบไม่คิดชีวิต
“นั่นอะไรอ่ะ”
เขาถามตัวเองพลางเกาะเสาไฟฟ้าหอบหายใจด้วยความเหนื่อย...นอกจากในละครกับหนังแล้วยังไม่เคยเห็นการต่อสู้อันดุเดือดระดับเสียงกระดูกหักลั่นให้ได้ยินต่อหน้าต่อมาก่อน
“ต้อง...ต้องแจ้งตำรวจ”
มือเล็กหยิบโทรศัพท์ที่ตัวเองวิ่งกำแน่นมาตลอดทางขึ้นมากดต่อสายหาเจ้าหน้าที่
ทว่าตอนนั้นเองกลับมีมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคีมจับเข้าที่ข้อมือจนมือกางออกพร้อมกับโทรศัพท์ที่หลุดจากมือ
หากไม่ทันตกถึงพื้นก็มีอีกมือซ้อนรับมันไว้ได้เสียก่อน
ตากลมเบิกกว้างหันไปทางเจ้าของมือแข็งที่จับตัวเองไว้
ในระยะใกล้ที่มีแสงไฟทางสาดลงมาเผยให้เห็นชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีอ่อนกับดวงหน้าหล่อเหลาแต่ดุดันน่าเกรงขาม...นัยน์ตาสีน้ำผึ้งดุจพญาอินทรีคมกริบดูราวกับจะอ่านผู้ถูกมองได้ลึกถึงตะกอนความคิด
ชายผู้นั้นพูดภาษาจีนด้วยน้ำเสียงแหบเย็นคล้ายตั้งคำถามแต่คนไม่เข้าใจความหมายเลยแม้แต่น้อยเริ่มตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ได้แต่มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองถูกริบใส่กระเป๋าของคนอื่นไปต่อหน้าก่อนที่มือหนาจะล้วงเข้ามาในเสื้อด้านในเพื่อคลำหาอะไรบางอย่าง
“จะเอาอะไรเอาไปเลย อยากได้เงินก็เอาไป”
เขาหยิบเงินค่าดอกไม้ออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมยื่นไปหาแต่ฝ่ายนั้นกลับไม่กระทั่งชายตามองเลยด้วยซ้ำ
“ปล่อยผมไปเห้อ...ผมไม่ใช่ศัตรูของคุณหรอก
ผมแค่เดินมาส่งดอกไม้แล้วหลงทาง สายตาผมก็สั้นมองอะไรไม่ชัดหรอก
เมื่อกี้นี้คุณทำอะไรกันผมก็ไม่เห็น” เขาพยายามอธิบายยาวเหยียดจนแทบลิ้นจะพันกัน
ทั้งที่ปกติเวลาพูดเกาหลีจะใช้เวลาคิดด้วยกลัวจะพูดผิด แต่ฝ่ายนั้นยังคงค้นอาวุธต่อไปเหมือนไม่เข้าใจภาษาที่สื่อสาร
...ความกลัวทำให้เขาหลับตายกมือไหว้ปลกขอชีวิตก่อนจะถูกโยนขึ้นมานั่งบนรถสปอร์ตหรูสีดำในตำแหน่งข้างคนขับ
“คุณ...คุณจะพาผมไปไหน
ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไอ้พวกนั้นผมก็ไม่รู้จัก
เขาทำอะไรกันผมก็ไม่รู้ ขอเหอะ ปล่อยผมไปเหอะ”
คนตัวเล็กร้องบอกเป็นภาษาเกาหลีลั่นรถ ทว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรนอกจากสตาร์ทรถขับออกไป
เสียงล้อรถบดไปบนถนนด้วยความเร็วราวกับรถแข่งทำให้คนถูกจับใส่กุญแจมือกลัวลานเอียงตัวแนบกับประตูฝั่งตนเอง
ส่วนมือก็จิกแน่นอยู่บนสายเข็มขัดนิรภัย
ไม่นานกลับมีรถยนต์สีดำอีกคันแล่นทะยานมาขนาบข้างแล้วกระแทกฝั่งคนขับเต็มแรงอย่างจงใจแต่ด้วยความแข็งแรงของรถยนต์ทำให้มันไม่บุสลายเพียงเซจากเส้นทางที่แล่นมาเล็กน้อย
ไม่นานกลับมีรถยนต์สีดำอีกคันแล่นทะยานมาขนาบข้างแล้วกระแทกฝั่งคนขับเต็มแรงอย่างจงใจแต่ด้วยความแข็งแรงของรถยนต์ทำให้มันไม่บุสลายเพียงเซจากเส้นทางที่แล่นมาเล็กน้อย
เสียงสบถเป็นภาษาจีนดังขึ้นพร้อมกับการหมุนพวงมาลัยกระแทกตัวถังรถอีกคันที่โจมตีพร้อมกับการเร่งความเร็วถึงขีดสุด
หากรถคันนั้นยังไล่ตามไม่หยุดจนขนาบข้างได้อีกรอบก็กระแทกเข้าใส่และตั้งรับการกระแทกกลับอย่างไม่ลดละ
ลำพังแค่ถูกคนแปลกหน้าที่คาดว่าจะเป็นผู้ร้ายลากมาด้วยหัวใจก็แทบวายอยู่แล้วแต่ใครจะคิดว่ามันจะมีขั้นแอดวานซ์กว่า
แบมแบมได้แต่หลับตาจิกเบาะแทบขาดอยู่กับความกลัวตาย รับรู้ถึงความแรงของการกระทบกันรถที่ทำให้ตัวเขาโยกโยนไปมารวมทั้งเสียงกระทบเสียดสีเหมือนในหนังแอคชั่นไม่มีผิด
แบมแบมได้แต่หลับตาจิกเบาะแทบขาดอยู่กับความกลัวตาย รับรู้ถึงความแรงของการกระทบกันรถที่ทำให้ตัวเขาโยกโยนไปมารวมทั้งเสียงกระทบเสียดสีเหมือนในหนังแอคชั่นไม่มีผิด
...พ่อจ๋า แม่จ๋า คุณพระคุณเจ้า
จะให้มาตายกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ไม่ได้นะ...
มือผอมพนมมือทาบอยู่บนหน้าผากได้แต่สวดมนต์คาถาชินบัญชรที่จำขึ้นใจเพราะใช้สวดไล่ผีเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวตอนกลางคืน
เขาสวดมนต์อยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์เฉียดตายสิ้นสุดลงเมื่อไหร่กระทั่งข้อมือข้างหนึ่งถูกกระชากออกจากการพนมและฝ่ามือวางทาบลงบนจออะไรสักอย่างพร้อมกับเสียงเอ่ยเป็นภาษาจีนยืดยาว
คนตัวเล็กหรี่ตาเหลือบมองไปยังผู้ร้ายข้างตัวจึงได้เห็นว่า
อีกฝ่ายกำลังโทรศัพท์อยู่กับใครสักคนโดยมืออีกข้างถือไอแพดพร้อมกับปรายมองเขาด้วยหางตาทำให้ร่างผอมรีบหันเข้าหาประตูรถฝั่งตัวเองแล้วซบหัวลงบนเบาะ
ขณะที่รถยนต์ยังคงเคลื่อนต่อไปข้างหน้าราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น
“你叫什么名字”
เสียงแหบเข้มเอ่ยขึ้นอย่างไร้แววอารมณ์ครั้งหนึ่งก็เงียบไปนานก่อนที่จะตามมาด้วยประโยคสั้นๆอีกหลายประโยคที่คนได้ยินฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ
“พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ พูดเกาหลี อังกฤษหรือไทยไม่ได้หรือไงเล่า”
ร่างผอมที่ตะแคงหันหลังให้เจ้าของรถพึมพำเสียงเบากับตัวเองคนเดียว
หากทันทีที่มือใหญ่ตะปบลงบนบ่าบังคับให้ต้องหันกลับมามือผอมจะยกพนมไหว้แต่ถูกคว้าไว้พร้อมกับกระดาษแข็งอะไรสักอย่างก็ยัดใส่มือ
“曾经看见过吗” คำถามตามมาอีกระลอกทำให้คนผอมที่รู้สึกได้ถึงบางสิ่งในมือหรี่ตาที่ปิดสนิทขึ้นน้อยๆ
ก่อนจะเห็นภาพถ่ายของใครคนหนึ่งลางๆ
และเมื่อเปิดตากว้างเป็นปกติจึงเห็นชายหนุ่มเรือนผมสีขาวอมเทาที่แม้จะหันข้างก็ยังดูหล่อเหลาราวเทพบุตร
“你认识不认识这一位”
“ฮะ...พูดอะไรนะ”
“你认识不认识这一位” ฝ่ายนั้นย้ำคำเดิมพลางชี้นิ้วลงบนหน้าของผู้ชายในภาพถ่ายนั้น
“คุณจะถามผมว่า
เคยเห็นคนในรูปนี้ไหมใช่หรือเปล่า” แบมแบมเดาคำถามเหลือบตามองเสี้ยวหน้าหล่อคมแต่ไร้ความรู้สึกอย่างหวาดระแวงแล้วส่ายหน้า
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก”
เจ้าของรถมองอาการของคนต่างชาติต่างภาษาที่สื่อสารด้วยภาษาทางกายแทนครู่หนึ่งก็หยิบกระดาษอีกใบอออกมาจากในกระเป๋าส่งให้
อีกฝ่ายรับกระดาษที่พับเป็นแผ่นเล็กมากางออกดูก็เห็นรูปถ่ายของชายหนุ่มที่อยู่ในภาพถ่ายก่อนหน้ากับชายที่กำลังขับรถอยู่ตอนนี้สวมสูทยืนอยู่ข้างกัน
“ผมไม่เคยเห็นเขาอ่ะ”
คำตอบนั้นยังคงเดิมทำให้คนหน้าดุละความสนใจกลับมายังท้องถนนและปล่อยคนที่ถือรูปทั้งสองใบอยู่ในมือได้มีเวลาพินิจพิเคราะห์จนสังเกตเห็นเค้าโครงหน้าที่มีความละม้ายกันอยู่ของคนทั้งสอง
ส่วนภาพตัวอักษรเขียนด้วยพู่กันที่แขวนประดับอยู่ด้านหลังก็น่าจะเป็นภาษาจีน
“Are you Chinese”
ภาษาที่ใช้ถามถูกเปลี่ยน
ทว่าคนขับยังคงนิ่งงันเหมือนหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ขับรถ
แม้จะย้ำอีกสองครั้งแต่ไม่มีการตอบสนองปล่อยให้คนถามที่ยังหวาดหวั่นต่อคนร้ายข้างๆยอมแพ้หันหน้ามองตรงไปยังหนทางตรงนี้ที่ไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน
“คุณจะพาผมไปฆ่าจริงดิ ผมเพิ่งอายุยี่สิบเมื่อไม่นานมานี้เอง
เพิ่งจะดื่มเหล้ากับเขาเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมไม่ใช่ตำรวจหรือนักข่าวหรอก
อันธพาลอะไรก็ไม่ใช่ด้วย คุณก็น่าจะเห็นว่าผอมแห้งแรงน้อยแบบผมจะไปมีปัญญาสู้ใครได้”
เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปไหนแถมใจก็กลัวแต่ถ้าเงียบก็เครียดอึดอัดเลยต้องบ่นออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดแทน
เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปไหนแถมใจก็กลัวแต่ถ้าเงียบก็เครียดอึดอัดเลยต้องบ่นออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดแทน
“ผู้ชายในภาพดูคล้ายๆคุณเลยเขาเป็นญาติคุณเหรอ...คงไม่ใช่คนเกาหลีหรอกใช่ไหม
ทำไมถึงถามหาเขาหรือว่าคุณกำลังตามหาเขาอยู่
เขาหายไปเหรอหรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่หน้าตาระดับนี้อาจจะเป็นนายแบบหรือนักแสดงอยู่เอเจนซี่ไหนสักที่ล่ะมั่ง
คุณน่าจะปล่อยผมลงข้างทางแล้วไปหาแถวนั้นมากกว่า หรือถ้าคืนมือถือให้ผมนะ
เดี๋ยวผมค้นให้ว่าจะไปยังไง”
ชายหนุ่มหน้าเด็กยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆพลางสังเกตป้ายที่อยู่ริมถนนเพื่อหาทางหนีทีไล่แต่ไม่มีป้ายอะไรพอให้อ่าน
ชายหนุ่มหน้าเด็กยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆพลางสังเกตป้ายที่อยู่ริมถนนเพื่อหาทางหนีทีไล่แต่ไม่มีป้ายอะไรพอให้อ่าน
...ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ
พี่จินฮวานจะรู้หรือเปล่าว่าเขาถูกลักพาตัวมา
...อาจจะกำลังตามหา
...จะแจ้งตำรวจหรือเปล่า ยังไม่ 24 ชม.เลยจะรับแจ้งความไหมนะ
...จะแจ้งตำรวจหรือเปล่า ยังไม่ 24 ชม.เลยจะรับแจ้งความไหมนะ
...แต่กว่าจะหากันเจอ
ป่านนั้นเขาคงโดนหมกเป็นปุ๋ยไปแล้วมะ
“คุณเป็นนักฆ่าหรือมาเฟียจากจีนสินะถึงได้ล้มคนตัวใหญ่กว่าตัวเองตั้งเยอะขนาดนั้นได้
พวกนั้นคงเป็นมาเฟียแก๊งค์ตรงข้ามคุณดิ เฮ้อ นี่จะจับผมไปฆ่าจริงเหรอ ไม่สิ
หรือจะจับเราไปทรมานเพื่อเค้นความจริง โอ๊ย คุยกันก็คนละภาษาคงจะได้เรื่องหรอก
ไม่เอานะถ้าทรมานกันล่ะก็ ผมเลือกฆ่าดีกว่า แต่ทางที่ดีคุณปล่อยผมไปอ่ะง่ายสุด
สัญญาเลยว่าจะไม่บอกใคร ชื่อคุณผมก็ไม่รู้ หลักฐานอะไรเกี่ยวกับคุณก็ไม่มี อ๊ากกกก
จริงๆเล้ย ไม่อยากพูดกับคนที่จะฆ่าตัวเองเลย แต่ถ้าไม่พูดก็ปวดหัวตุบๆ”
ร่างผอมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาขยี้ผมจนยุ่งไปหมดด้วยความเครียด
พลันเสียงท้องร้องจากความหิวที่ไม่มีอะไรให้กระเพาะย่อยเลยกลับดังขึ้นทำให้คนทั้งกลัวทั้งเครียดกัดฟันด้วยความโมโหและเมื่อเหลือบตาไปยังคนข้างก็เห็นฝ่ายนั้นปรายตามานิดหน่อยก็หันกลับไป
...จะโดนฆ่าอยู่แล้วยังมีหน้ามาหิว...
ชายหนุ่มหน้าเด็กนั่งกุมขมับอย่างอับจนหนทาง
ยินเสียงเจ้าของรถพูดภาษาจีนคล้ายคุยโทรศัพท์อยู่ก่อนจะเหยียบเบรกกะทันหันจนเชลยที่อยู่ด้วยแทบหน้าคะมำกระแทกคอนโซลรถดีที่เข็ดขัดนิรภัยรั้งไว้ก่อน
“อะไรของ...เฮ่ยยยย” เขาหลับตาหวีดออกมาสุดเสียงหลังกระแทกเข้ากับเบาะเต็มแรงเพราะอีกฝ่ายเล่นถอยรถด้วยความเร็ว
พอลืมตาได้ก็อยากจะเปิดปากด่าแต่ด้วยไฟสูงจากรถอีกคันที่สาดเข้ามาทำให้ต้องกระพริบ
ทันใดนั้นรถคันนั้นใส่เกียร์พุ่งเข้าหาและรถที่เขาโดยสารเองก็ทะยานเข้าใส่ด้วยความเร็วเช่นเดียวกัน
“โว้ย จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว”
เจ้าของรถไม่สนใจต่อเสียงเอะอะโวยวายยังคงเร่งความเร็วอย่างไม่ลังเล
หากในนาทีที่จะชนกัน เขากลับหักพวงมาลัยชนไฟหน้ารถตรงข้ามจนรถตนเองแฉลบย้อนศรข้ามเลนแล้วเร่งความเร็วให้ท้ายรถอยู่ในตำแหน่งที่นั่งคนขับของรถตรงข้ามได้ก็ถอยรถอย่างเร็วอัดกระแทกสลับกับเดินหน้าอยู่หลายครั้งจึงขับไปยังถนนข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุโดยที่คนโดยสารยังปิดตาเกาะสายเข็ดขัดนิรภัยของตัวเองเอาไว้แน่น
“นี่ไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้วะถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
เขาโวยออกมาทั้งที่หลับตาอีกรอบ...ไม่รับรู้ต่อความเร็วที่ผ่อนลงทีละน้อยจนมาอยู่ในระดับปกติด้วยเส้นทางถูกเปลี่ยนจากออกนอกเมืองกลับเข้ากรุงโซล
“ถ้าผมตายเมื่อไหร่ล่ะก็ผมจะเป็นผีมาหลอกคุณ จะเป็นวิญญาณอาฆาตที่ไล่ก็ไม่ไป
หมอผีก็ปราบไม่ได้ จะเป็นแบบผีชบา ผีในชัตเตอร์ ผีในบุปผาราตรี ผีในเดอะริง จูออน
ผีประเภทโรคจิตที่หลอกหลอนคุณไม่มีสิ้นสุดเลย คอยดูสิ”
คนขี้กลัวเฉพาะผีต้องมาเจอเหตุการณ์เฉียดตายหลายรอบตะโกนลั่นรถไม่ยอมหยุดทั้งที่ยังนั่งขดยกเท้ามาอยู่บนเบาะกอดเข็มขัดนิรภัยแน่นเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวไว้ก่อนจะสะดุ้งโหย่งเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือใหญ่ที่ตบลงเบาๆบนหัวตามด้วยประโยคภาษาจีน
“别孩子气了” เสียงเข้มแหบยังเรียบสงบแต่อ่อนลงอย่างรู้สึกได้ทำให้คนตัวผอมที่นั่งคุดอยู่กล้าลืมตาจ้องหน้าคนขับที่ไม่มีรอยแย้มใด
สักพักอีกคนก็เปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมมาลากผู้โดยสารให้ตามหลังจนเข้ามาในร้านสะดวกซื้อที่ค่อนข้างกว้างและมีของให้เลือกซื้อเยอะกว่าร้านแถวบ้านเขาเสียอีก
แซนด์วิชทูน่ากับนมกล้วยจากบนชั้นถูกหยิบและยื่นมาหาพร้อมแบงค์ห้าหมื่นวอนโดยผู้ชายตัวหนาที่ไม่เคยยิ้มให้เห็น
แบมแบมเหลือบตามองอีกฝ่ายที่พลางคิดสงสัยในใจว่า
มันเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตหรือเปล่า
“ใจคอจะให้กินแซนด์วิชแค่นี้ก่อนตายเหรอ” พอบ่นออกปากเป็นภาษาไทย
ทางนั้นกลับเดินผ่านไปไหนไม่รู้แล้วกลับมาใหม่พร้อมตะกร้าและกวาดของกินบนชั้นที่ยังเหลืออยู่ลงไปเสร็จก็ยื่นตะกร้ามาหา
“นี่...นี่คุณเข้าใจภาษาไทยเหรอ” ภาษาไทยตามมาอีกคำรบแต่ถูกสวนกลับด้วยภาษาจีน
“你就在这儿等着” คนตัวหนาว่าพร้อมชี้นิ้วลงพื้นเป็นการสื่อสารที่คนดูเข้าใจได้ว่า
ให้รอที่นี่ แล้วเดินเลี้ยวหายไปยังล็อกสินค้าถัดไปหน้าตาเฉย
“ใครจะไปรอ...เดี๋ยวจะหนีให้ดู”
ปากพลั้งพูดออกไปอย่างนั้นก่อนจะฉุกคิดได้ว่า ตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่สาธารณะ
ไหนๆก็ฟังเกาหลีไม่ออก ถ้าเขาบอกแคชเชียร์ให้ช่วยโทรหาตำรวจอาจจะรอดก็ได้
ไวเท่าความคิดเขาถือตะกร้าเพื่อเดินไปหาแคชเชียร์แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนก็ถูกใครคนหนึ่งเข้าประชิดใช้แขนล็อกคอเขาไว้พร้อมกับของแข็งเย็นๆจะกระแทกเข้าที่หลังผอม
“เงียบ
ไม่งั้นกูยิงมึงไส้แตก”
เสียงแหบหยาบข่มขู่ข้างหูก่อนที่เขาจะโดนลากผ่านประตูร้านโดยแคชเชียร์ไม่เห็นความผิดปกติ
ร่างผอมถูกดันให้เดินไปข้างหน้าตามทางที่มีแสงไฟทางสลัวโดยปืนถูกสลับตำแหน่งขึ้นมาจี้อยู่ตรงคอ แม้จะรู้สึกกลัวแต่ความเหนื่อยท้อเริ่มมีผลให้อาการกลัวตายลนลานลดลง
ชั่วนาทีที่ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าผู้ชายที่ขับรถพาเขามาเสี่ยงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับเดินล้วงกระเป๋ามาหยุดอยู่ตรงหน้าห่างออกไปไม่กี่เมตร
ร่างผอมถูกดันให้เดินไปข้างหน้าตามทางที่มีแสงไฟทางสลัวโดยปืนถูกสลับตำแหน่งขึ้นมาจี้อยู่ตรงคอ แม้จะรู้สึกกลัวแต่ความเหนื่อยท้อเริ่มมีผลให้อาการกลัวตายลนลานลดลง
ชั่วนาทีที่ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าผู้ชายที่ขับรถพาเขามาเสี่ยงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับเดินล้วงกระเป๋ามาหยุดอยู่ตรงหน้าห่างออกไปไม่กี่เมตร
เสียงตะโกนภาษาจีนจากคนที่จับเขาเป็นตัวประกันดังขึ้น
ทว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพียงทอดสายตาไร้แววอารมณ์มาหาคนพูดภาษาเดียวกับตัวเองราวนาทีจึงไล้สายตาลงมายังตัวประกันที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลืออย่างเหนื่อยๆ
ก็หันหลังกลับเหมือนไม่สนใจความเป็นความตายของตัวประกันหรือปืนที่อาจเล็งมายังตัวเอง
...อยากฆ่าอยู่แล้ว ไม่ช่วยก็ถูกแล้วแหละ...
แบมแบมบอกตัวเองอย่างปลงตกขณะฟังภาษาจีนจากคนข้างหลังที่ตะโกนต่ออย่างไม่หยุดหย่อน ปากกระบอกปืนเลื่อนห่างจากคอระหงเปลี่ยนเป้าหมายเล็งไปยังหลังศีรษะของชายที่เดินห่างออกไปทีละน้อย
จังหวะนั้นเองที่คนตัวหนาเอี้ยวตัวกลับมาขว้างอะไรบางอย่างตรงไปทางคนตัวผอมที่ถูกจับเป็นตัวประกันสุดแรง
คนถูกจับอยู่ข้างหน้าเบิกตากว้างแล้วก้มหลบอย่างไวทำให้สิ่งนั้นแล่นกระแทกเข้าหน้าผากคนด้านหลังจนเซถลาพร้อมกับผู้ก่อเหตุที่วิ่งมาดึงแขนผอมให้ถอยมาอยู่ข้างหลังตนเองแล้ววิ่งต่อถึงตัวคนร้ายใช้เท้าถีบพื้นกระโดดขึ้นสูงแล้วแทงศอกลงบนกระหม่อมจนเกิดเสียงดังสนั่น
ชายหนุ่มหน้าเด็กมองฝ่ายที่มีปืนร่วงลงไปนอนกองบนพื้น
จากนั้นผู้ชายไร้อารมณ์คนเดิมก็เดินเข้าไปทรุดลงหยิบบางอย่างในเสื้อคลุมของคนนั้นเก็บใส่กระเป๋า
เมื่อเรียบร้อยจึงเดินเลยไปหยิบสิ่งที่ใช้เป็นอาวุธเมื่อครู่เดินกลับมายัดใส่มือเจ้าของร่างผอมที่ยืนอึ้งและจับแขนลากยัดกลับเข้าไปในรถ
“干得好” เจ้าของรถว่าขณะขับรถกลับไปบนถนน
โดยมีอีกคนนั่งมองจอโทรศัพท์มือถือตัวเองที่แตกละเอียด
แบตกับฝาหลังหลุดจากเครื่องทั้งที่เป็นโทรศัพท์ถอดแบตไม่ได้
...ซื้อจากเมืองไทยมาเกือบสามหมื่น
ดูพี่แกทำมันเป็นเศษเหล็กราคาไม่ถึงยี่สิบบาทดิ...
...ไม่ไหวแล้วไม่ไหว ไหนๆก็จะโดนฆ่าอยู่แล้ว ขอกูด่าหน่อยเหอะ...
“นี่คุณรู้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มันราคาเท่าไร
ผมเก็บเงินซื้อเป็นปีไม่ขอแม่สักบาทเลยนะ แล้วดูทำดิ ดูทำ โอโห
ไม่อยากจะเชื่อเลย หินแถวนั้นไม่มีให้ใช้เป็นอาวุธหรือไง
มือถือตัวเองก็มีไม่ใช่อ่ะ
คุณดูมีตังค์จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ทำไมไม่เอามาใช้
หรือคิดว่าเออ ยังไงผมก็ตายแน่เลยช่างแม่งมัน
คุณนี่แม่งลากคนไม่เกี่ยวข้องมาฆ่าไม่พอยังทำลายข้าวของอีก
อย่างน้อยฆ่าแล้วก็ควรให้มีอะไรให้ครอบครัวรู้บ้างดิวะว่าเป็นใคร
นี่ทำลายหลักฐานหมด หรือมันเป็นวิถีของมาเฟียใช่มะ แม่งโครตเลวเลย”
เจ้าตัวโวยวายเสียงดังลั่นรถเป็นภาษาไทยอย่างไม่กลัวตายแต่คนขับเพียงปรายตามองและขับรถต่อไป
“โฮสต์ที่ว่าเลวยังเด็กๆไปเลยพอเจอคุณ...มาเฟียแบบพวกคุณคงไม่มีหัวใจเลยสินะ
อยากฆ่าใครก็ฆ่า อยากทำไรก็ทำ คงไม่เคยรู้สึกสงสารหรือเห็นใจใครใช่มะ
เคยรักใครกับเขาบ้างไหมหรือชีวิตนี้เกิดมาฆ่าคนเป็นอย่างเดียววะ”
ยิ่งเจ้าของรถขับรถต่อไปอย่างไม่สนใจเสียงตะโกนอยู่คนเดียวจนเจ็บคอเลยแม้แต่น้อย
คนตัวผอมเลยได้แต่ฟึดฟัดบ่นกระปอดกระแปดเป็นภาษาไทยกับตัวเองคนเดียวอยู่นานกระทั่งรถที่โดยสารมาจอดเข้าข้างทาง
“อะไร...อะไรอีกล่ะ
อย่าบอกนะว่าถึงที่ที่คุณจะฆ่าผมแล้ว”
ฝ่ายถูกคว้าคอเสื้อลากลงจากรถโวยต่ออยู่จนเสียงแหบเกือบสิบนาทีถึงเพิ่งสังเกตว่า
ร้านอาหารตรงหัวมุมถนนที่เขายืนอยู่ตอนนี้มันเป็นละแวกเดียวกับร้านของลูกค้าที่เขาเอาดอกไม้มาส่ง
“เฮ้ย
ทำไมถึง...”
เสียงเล็กลอดออกมาได้เท่านั้นก็ถูกมือใหญ่ดึงเข้าไปซอยที่มีเพียงแสงไฟทางสลัวลางและดันแผ่นหลังผอมนั้นติดกำแพงบ้านของใครสักคนแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่พ่นรดบนแก้ม
...กำลังจะถูกฆ่าแล้วใช่ไหม...
แบมแบมคิดในใจได้แต่หลับตาแน่นด้วยความกลัว...ในวาระสุดท้ายของตัวเองก็อยากจะให้ตายแบบไม่เจ็บปวดเลยเอ่ยปากขอทั้งที่ก็รู้ว่าฝ่ายนั้นฟังที่เขาพูดไม่ออก
“ขอตายแบบไม่เจ็บได้ปะ”
เขาบอกออกไปอย่างจริงจังก่อนจะลืมตาโพล่งในความมืดทันทีที่ได้ยินเสียงจากฝ่ายตรงข้ามตอบกลับเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว
“คุณไม่มีประโยชน์พอให้ผมฆ่าหรอก...อย่างคุณต่อให้แจ้งตำรวจว่าเจออะไรมาเขาจะหาว่าโกหกเอาเสียเปล่าๆ”
คนผอมกว่ากระพริบตาปริบยังคนตัวใหญ่อย่างตั้งตัวไม่ติด...สติหลุดตั้งแต่ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดภาษาไทยคล่องปร๋อราวกับเป็นภาษาบ้านตัวเอง
“ครั้งหน้าวิ่งซะแต่แรก
อย่ามัวแต่สอดยืนดู
รอบหน้าคงได้ถูกลากไปฆ่าจริงๆ”
เสียงเย็นลงน้ำหนักในแต่ละคำอย่างจริงจังพลางหยิบเงินจากในกระเป๋ายัดใส่กระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกให้โดยไม่บอกอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินนั้นก็ขยับถอยหันหลังเดินไปเสียเฉยๆ
หากในตอนที่คิดว่าจะถูกทิ้งไว้ทั้งที่สติยังไม่อยู่กับตัวดีฝ่ายนั้นกลับเหลียวกลับมามอง
“ถ้าคุณโชคดีมากพอ คุณจะไม่ได้เจอผมอีก” ถ้อยความสุดท้ายเอ่ยเป็นภาษาเกาหลีด้วยน้ำเสียงและใบหน้าไร้ความรู้สึก
ทว่าในวินาทีหนึ่งริมฝีปากหนานั้นกลับเหยียดออกตรงมุมปากที่บอกได้ยากว่าจะยิ้มหรือหยันจึงเดินจากไป
เหตุการณ์นั่นเป็นภาพสุดท้ายในความทรงจำเพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลโดยมีพี่จินฮวานเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
พอสอบถามเรื่องราวถึงรู้ว่า
พี่ชายออกตามหาจนพบเขานอนสลบอยู่ตรงปากซอยห่างจากร้านของคุณมินจองไปไม่ไกลแถมโทรศัพท์ก็พังยับแต่มีเงินเป็นฟ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ
แม้ว่าภาพเหตุการณ์จะกระจ่างชัดรวมทั้งประโยคสุดท้ายจะก้องอยู่ในหู
หากแบมแบมเลือกจะเชื่อว่าตัวเองสลบเลยทำโทรศัพท์หล่นจนฝันเป็นตุเป็นตะอยู่นานหลายเดือน กระทั่งคืนหนึ่งในฤดูฝนใกล้หนาวระหว่างที่หิ้วขนมปังลดราคาปอนด์ใหญ่เดินกลับบ้าน
สายลมย่ำค่ำแล่นมาปะทะกายพาฝุ่นเข้ามาในดวงตาทำให้ต้องหยุดขยี้ตาจนฝุ่นหลุดออกไปจึงเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเปิดประตูออกจากบาร์โฮสต์
ตากลมทอดไปยังชายร่างใหญ่หนาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงขายาวที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้และในนาทีที่ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ใต้แสงของไฟริมทาง
นัยน์ตาคมไร้แววอารมณ์สบประสานพร้อมกับการเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของใครคนนั้น มาทำให้หัวใจของอีกคนแทบหยุดเต้น
...ดูเหมือนหายนะจะมาเยือนแล้วไหมล่ะ...
--------แวะคุยกันก่อน--------
ฟิคสั้นแจ็คแบมที่เขียนนานมากทั้งที่สิบกว่าหน้าเอง ห่างหายจากการเขียนแจ็คแบมมานานและไม่มีอารมณ์ไปต่อด้วย สำหรับฟิคสั้นเรื่องนี้เขียนตามรีเควสและมันเป็นส่วนหนึ่งในฟิคหลัก Lovetoxical ด้วย แต่เราจะไม่เขียนคู่นี้แบบจริงจังแค่จะใส่มาให้เห็นเป็นครั้งคราวเพราะคู่นี้มีคนเขียนเยอะและเขียนสนุก แต่เราเขียนไม่สนุกอ่ะ แทบไม่มีคนอ่านเลย 5555 ยังไงก็ขออภัย ถ้าอ่านแล้วผิดหวัง อ่านจบแล้วคอมเม้นหน่อยนะจะได้รู้ว่าอ่านแล้ว 5555555
ฟิคสั้นแจ็คแบมที่เขียนนานมากทั้งที่สิบกว่าหน้าเอง ห่างหายจากการเขียนแจ็คแบมมานานและไม่มีอารมณ์ไปต่อด้วย สำหรับฟิคสั้นเรื่องนี้เขียนตามรีเควสและมันเป็นส่วนหนึ่งในฟิคหลัก Lovetoxical ด้วย แต่เราจะไม่เขียนคู่นี้แบบจริงจังแค่จะใส่มาให้เห็นเป็นครั้งคราวเพราะคู่นี้มีคนเขียนเยอะและเขียนสนุก แต่เราเขียนไม่สนุกอ่ะ แทบไม่มีคนอ่านเลย 5555 ยังไงก็ขออภัย ถ้าอ่านแล้วผิดหวัง อ่านจบแล้วคอมเม้นหน่อยนะจะได้รู้ว่าอ่านแล้ว 5555555
1 Comments
ไม่ใช่ไรท์เขียนไม่สนุกนะ ด้วยเนื้อเรื่องหรือเปล่า อ่านแล้วมันดูเครียดๆ เราว่าเรื่องมันต้องอ่านแบบยาว ๆ นะ
ตอบลบในความรู้สึกเรา แล้วที่แบมเจอเป็นใคร แจคสันเหรอ แล้วเขาเป็นใคร อ่านแล้วมีแต่คำถามหอ่ะไรท์ มาต่อนะ อยากอ่านต่อ อยากรู้ว่าแบมต้องได้ไปเกี่ยวข้องกับเขายัง โอ๊ยยาวแน่ ไ