LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 7

12:28




 เหงื่อกาฬจากการใช้แรงงานผสานกับความร้อนของดวงตะวันอาบท่วมกายคร้ามแดดของชายผู้ง่วนอยู่กับการติดเครื่องตั้งเวลาเข้ากับก็อกสนามที่มีท่อต่อจากระบบรดน้ำที่เขาใช้เวลาในการดำเนินการเพียงลำพังอยู่หลายวันเหลือก็เพียงการทดสอบว่าจะใช้งานได้ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่



เพราะมีแผนท่องเที่ยวระยะสั้นในประเทศแถบยุโรปด้วยรถไฟ อีกทั้งมียังมีแผนระยะยาวในการเดินทางกลับเกาหลี ทว่าการเดินทางครั้งนี้หาได้มีเพียงยงกุกคนเดียวเช่นทุกคราวหากเขายังต้องพาเด็กในปกครองซึ่งผูกพันอาลัยในสวนและบ้านหลังนี้ด้วยเป็นพื้นดินสุดท้ายที่เต็มไปด้วยร่องรอยของบุพพาการีและแม่นมผู้ล่วงลับกลับไปให้ได้ทำให้เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อนถึงจะสามารถโน้มน้าวใจ



ความอ่อนไหวไวต่อสิ่งรอบข้างทางความรู้สึกของจุนฮงเป็นอีกเหตุผลนอกเหนือจากความรักที่ทำให้เขาทะนุถนอม แม้เขาจะจัดได้ว่าเป็นคนให้ความสำคัญกับรายละเอียดในทุกสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ทว่ากับเด็กในปกครองผู้เป็นเจ้าของหัวใจนั้นเป็นยิ่งกว่างานที่ต้องละเอียดละออต่อการวางแผนและตอบสนอง



ร่างสูงโปร่งก้าวไปตามร่องทางเดินดินมีเพียงกางเกงยีนส์ขายาวเก่าๆสวม เผยให้เห็นมวลกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นลอนเต็มแน่นสมส่วนอันเป็นผลแห่งการออกกำลังกายและคอยขยับตัวใช้ทั้งสมองรวมถึงแรงงานแทบทุกเมื่อเชื่อวันขยับถอยจากช่องทางเดินในสวนพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นเพื่อนับเวลาถอยหลังให้ระบบรดน้ำทำงานตามที่ตั้งค่าไว้



ลมรำเพยโชยพาดพาลให้กุหลาบบนพุ่มโน้มคลอนตามกระแส กลิ่นหอมฟุ้งจรุงจมูกละม้ายกลิ่นผิวเนื้อนุ่มของผู้ร่วมเรียงเคียงหมอนรอยยิ้มอุ่นกว้างก็ระบายลงบนหน้า...นิ้วเรียวของไล้สัมผัสยังกลีบกุหลาบสีชมพูอ่อนพิสุทธิ์อันเป็นตัวแทนคนรักอ่อนเบาโดยมิทันสังเกตใครคนหนึ่งที่เร้นกายย่องมาใกล้



พลันหัวจ่ายน้ำขยับหมุนเป็นวงพาสายน้ำจากท่อส่งสาดกระเซ็นไปโดยรอบ...เสียงจากความตกใจอุทานขึ้นเรียกให้ฝ่ายจดจ่อกับการทำงานของระบบรดน้ำหันไปหาจึงพบเข้ากับเด็กในปกครองยืนเปียกปอนกลางสวน



“เบบี้โรส” เสียงแหบต่ำของผู้มากวัยกว่าขานเรียกผู้ที่กำลังย่างเท้าเปล่าออกจากพุ่มกุหลาบที่ซุ่มซ่อนออกมายังช่องทางเดินของสวนให้หยุดนิ่งเพื่อให้ตนได้เป็นฝ่ายเดินไปหาเสียเอง



เด็กหนุ่มวางขาเพรียวข้างที่เพิ่งพ้นขอบอิฐริมทางเดินมาชิดกับขาอีกข้างทำให้ชายเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวที่ถูกหยาดน้ำสะอาดจากหัวจ่ายซึมลึกจนเห็นถึงผิวเนื้อขาวละมุนพะเยิบพะยาบจนชายเสื้อเลิกผ่านต้นขาขาวไปยังส่วนอ่อนไหวที่ยังคงอ่อนตัวไร้ซึ่งอาภรณ์ใดบดบัง



เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเหลือปลายเป็นสีอ่อนจากการย้อมเล็กน้อยลีบลู่แนบดวงหน้าหวานละมุนพราวด้วยหยดน้ำ เปลือกตาประดับแพขนตาหนาเคลื่อนสูงเพื่อให้ดวงตากลมสวยดุจกระต่ายน้อยมองเห็นชายตรงหน้าได้ถนัดตา



“หิวน้ำมากเหรอเรา” คำถามแกมหยอกเอ่ยคำพร้อมรอยยิ้มอุ่นอ่อนยังผลให้ฝ่ายตรงข้ามคลายริมฝีปากนุ่มสีระเรื่อออกทีละน้อยพลางกวาดตาทั่วเรือนกายแกร่งสีน้ำผึ้งเปื้อนเหงื่อกระทั่งร่างนั้นขยับเข้าใกล้จึงช้อนตาฉ่ำน้ำสบประสาน



“ใช่ครับ...ผมหิวน้ำ” คนเป็นเด็กรับคำ



“ในตู้เย็นก็มีน้ำให้เราดื่ม”



“คุณอารู้ได้ยังไงว่าผมหิวน้ำดื่ม บางทีผมอาจจะหิวน้ำอย่างอื่นก็ได้”เสียงอ่อนใสว่าพร้อมกับปลายนิ้วขาวที่ยื่นสัมผัสเบาบนผิวเนื้อตรงลอนหน้าท้องของผู้ปกครองหนุ่มด้วยแววตามุ่งมาดปรารถนา



ผู้มากวัยกว่ายังคงยิ้มงแม้นจะเห็นประกายความต้องการทางสายตาชัดเจน หากโมงยามแห่งอรุณรุ่งต่างจากคืนค่ำและด้วยรักด้วยรักหาใช่เพียงใคร่จึงอดทนแสร้งทำไม่รู้ด้วยคำนึงถึงความเหมาะสม...



“หิวโค้กเหรอ”.




เพียงยินคำถามปากบางอมสีชมพูแดงอ่อนจางตามธรรมชาติกลับคว่ำลงเช่นเดียวกับแก้มนวลที่ตูมเต่งด้วยอมลมไว้จนเต็ม




“คุณอางะ...ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นซะหน่อย” คนอ่อนวัยบอกพลางยื่นปากล่างออกมาอย่างไม่ได้ดังใจ อาการนั้นยิ่งทำให้ยิ้มเอ็นดูของฝ่ายตรงข้ามเหยียดกว้างพร้อมกับมือสากสีเข้มค่อยๆลูบเช็ดน้ำเย็นออกจากหน้าขาวให้




“เราเปียกไปหมดแล้วนะ...รีบเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะไป”




“แล้วคุณอาล่ะครับ ไม่อาบด้วยกันกับผมเหรอ”



“ไม่จ้ะ”



“ทำไมง่า...คุณอาเองก็เปียกเหมือนกันนี่นา”




“เพราะตอนนี้อาทดสอบระบบรดน้ำในสวนอยู่ไงครับ อีกอย่างที่อาเปียกมันก็แค่เหงื่อ ไม่ใช่เปียกน้ำเย็นทั้งตัว เกิดเราไม่สบายเพราะน้ำเย็นๆขึ้นมาคงได้นอนซมแทนที่จะได้ไปเที่ยวกับอาแน่ๆ หรือว่าเราไม่อยากไปอยู่แล้วเลยยอมเป็นหวัดกันนะ”



“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ...ก็แค่อยากอาบน้ำพร้อมคุณอา แต่ถ้าต้องอดเที่ยวกับคุณอา ผมไปอาบน้ำเองคนเดียวก่อนก็ได้”



“เด็กดี...ไปอาบน้ำนะและถ้าจะใจดีกับอาสักหน่อย ทำอาหารกลางวันให้อาหน่อยนะครับ”



“ถ้าผมเป็นเด็กดีแล้วจะไม่มีอะไรให้ตอบแทนผมเลยเหรอครับ” คนเป็นเด็กต่อรอง



ผู้ปกครองหนุ่มเลิกคิ้วให้กับอาการเหลือบตามองมาอย่างหงอยๆคล้ายรอขนมของเด็กตรงหน้าแล้วหัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับเข้าไปหอมแก้มนวลนั้นเบาๆอย่างรักใคร่พลางกระซิบฝากคำข้างหูที่ทำให้ผิวขาวฝาดเลือด



“รีบไปเถอะที่รัก อาไม่อยากให้มีใครได้เห็นร่างกายสวยๆของเรานอกจากอาคนเดียว” เสียงแหบลึกกระซิบหยอกขณะฝากรอยอุ่นของฝ่ามือไว้บนสะโพกหนั่นด้วยรอยยิ้มกว้างอุ่นอ่อนทำให้ผู้อ่อนวัยหน้าแดงซ่านพยักหน้ารับรีบเดินกลับเข้าบ้านไปทำตามคำขอ



ยงกุกมองตามร่างขาวบอบบางผ่านประตูบ้านเข้าไปได้ก็ก้มหน้าก้มตาจัดการทดสอบระบบน้ำอีกหลายรอบเพื่อหาจุดบกพร่องในการแก้ไขเพื่อที่การจากบ้านไปครั้งนี้จะไม่มีข้อผิดพลาดพาให้ลูกสมุนของกุหลาบน้อยในหัวใจแห้งเหี่ยวหมดสวนจนเวลาล่วงเลยเข้าเที่ยงวันจึงได้ฤกษ์เก็บข้าว จากนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปในดงกุหลาบยังจุดที่มีป้ายไม้ซึ่งมีรูปวาดการ์ตูนชายหญิงบนนั้นปักอยู่เพื่อหากลีบดอกที่ร่วงหล่นบนพื้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วเคล้ามันเข้ากับดินจึงกรอกมันลงในโหลแก้วเล็กและหมุนปิดโหลด้วยฝาครอบที่คล้องกับสายสร้อยคอจนแน่น



...ถ้าผมไปเที่ยวไกลจากบ้าน พ่อ แม่กับยายเขาคงไม่เหงามากใช่ไหมครับ...



คำถามไร้เดียงสาตามประสาเด็กที่ยึดติดสถานที่แห่งนี้เป็นสรณะในคืนก่อนหน้าวนเวียนอยู่ในความคิดคำนึง สุดท้ายเขาจึงเก็บดินที่แม้นไม่มีเศษเถ้ากระดูกหลงเหลือกับกุหลาบทำเป็นสร้อยเพื่อให้คนในปกครองได้มีเครื่องรางเสมือนหนึ่งได้อยู่ใกล้บุพการีที่รักยิ่งตลอดเวลา



ทุกรายละเอียดในความปรารถนาของเบบี้โรสคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ ถึงอย่างนั้นก็ต้องตามทันโลกเขาจึงไม่ตามใจไปเสียทุกอย่างและพยายามตะล่อมสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อคงรอยยิ้มหวานไว้บนใบหน้าให้เขาได้ชื่นใจ



เสียงเปิดและปิดลงกับกรอบของประตูไม้เรียกให้เด็กที่ยืนในมุมครัวของบ้านละสายตาจากซอสครีมเห็ดในหม้ออยู่ในมุมครัวของบ้านให้หันไปตามเสียงก็เห็นผู้ปกครองหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงทางเข้าของส่วนครัว



“รออาอาบน้ำหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะออกมากินข้าวด้วยแต่ถ้าเราหิวจะกินก่อนก็ได้” อีกฝ่ายบอกพลางไล้มองเสื้อยืดแขนสั้นลายทางขาวสลับเส้นสีน้ำเงินกับเอี๊ยมกางเกงขาสั้นที่คนอ่อนกว่าสวมอยู่แล้วผละหายไปอาบน้ำอยู่พักหนึ่งก็กลับมาหาเด็กคนเดิมที่นั่งเท้าคางรอพร้อมกับสปาเก็ตตี้ครีมซอสเห็ดสองจานวางเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะโดยข้างจานหนึ่งมีเอสเปรสโซ่ร้อนวางเคียงอยู่



“วันนี้ผมทำสปาเก็ตตี้ซอสเห็ดล่ะ” พ่อครัวประจำวันบอกชื่อเมนูขณะเหลือบตามองผู้ปกครองที่กำลังใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้นำเข้าปากด้วยสีหน้าลุ้นระทึก ด้วยครั้งก่อนเขาลองทำสปาเก็ตตี้ครีมซอสรสชาติมันยังไม่เข้าที่ พอได้ลองทำเป็นครั้งที่สองก็พยายามศึกษาเคล็ดลับและชิมด้วยตัวเองอยู่นานกว่าจะได้รสชาติที่ลงตัว



“เหนื่อยแย่เลยสิเรากว่าจะทำอาหาร กว่าจะปรุงรสให้อร่อยแบบนี้ ขอบคุณนะครับ” ผู้ชิมรสเอ่ยชมโดยไม่ต้องร้องขอทำให้หน้าพ่อครัวบานเป็นจานเชิง



“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ แค่คุณอาอร่อยก็พอแล้ว”



“ต้องขอบคุณสิเพราะเราอุตส่าห์ตั้งใจทำให้อากิน”



“ผมเป็นเด็กดีใช่มั้ยครับ”



“จ้ะ แต่ไม่ต้องถามหารางวัลนะ ตอนนี้อายังไม่มีให้” ฝ่ายผู้ใหญ่ดักทางเด็กที่กำลังขยับปากจะพูดอย่างรู้ทันแล้วหัวเราะเบาให้กับการยื่นปากเหมือนเป็ดออกมาจึงเปลี่ยนเรื่อง “อาเห็นเป้ของเราบนเตียง...จัดของเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ”



“ครับ...จัดเสร็จตั้งแต่เช้าแล้วแต่ผมไม่ได้เอาอะไรไปเยอะเพราะคุณอาบอกให้ไปซื้อระหว่างทางได้ก็เลยมีแค่เป้ใบเดียว”



“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”



“แล้วคุณอาล่ะครับจัดกระเป๋าหรือยัง”



“จ้ะ”



“งั้นพอกินข้าวเสร็จแล้วเราจะไปเลยหรือเปล่าครับ”



“ใช่”



“โอเคครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วตักอาหารฝีมือตนเองเข้าปากเพื่อประทังความหิวโหยของตนเอง กระทั่งอาหารในจานพร่องไปจึงขยับลุกหยิบจานแก้วทั้งหมดไปล้าง เมื่อเสร็จเตรียมตัวสะพายกระเป๋าเป้สวมรองเท้าออกไปยืนรอนอกบ้านเพียงลำพังตามคำสั่ง



จุนฮงผินหน้าหาสวนกุหลาบนิ่งนานราวกับกลัวว่าบ้านหลังนี้จะสูญสลาย...การไม่เคยจากบ้านนานเกินวันเมื่อต้องจากไปหลายอาทิตย์เลยทำให้ใจโหวงหวิวถึงแม้จะจำคำของผู้ปกครองได้ดีว่า บุพพารีและยายวิเวียนจะเฝ้ามองเขาอยู่บนสวรรค์แต่ก็อดไม่ได้ที่จะห่วง



“ไปกันเถอะ” เสียงแหบอุ่นจากผู้ปกครองเรียกให้คนเป็นเด็กออกเดินตามหลังไปยังบิ๊กไบค์คันงามที่ถูกเข็นออกไปนอกรั้ว หลังเก็บกระเป๋าสัมภาระของตนเองใส่ในกล่องติดท้ายรถและล็อกประตูรั้วเรียบร้อยเจ้าของรถก็หันไปหาฝ่ายที่เอาแต่ยืนมองผ่านช่องว่างระหว่างไม้ตรงประตูพลางถอนหายใจอย่างอาวรณ์เลยเดินเข้าไปลูบผมจึงได้ยินคำถามตามประสาเด็กดังขึ้น



“ที่คุณอาบอกว่าพ่อ แม่กับยายท่านมองผมอยู่บนสวรรค์น่ะ พวกท่านจะตามผมไปเที่ยวด้วยหรือเปล่า แล้วพวกกุหลาบในสวนจะเฉามั้ยถ้ามีแค่น้ำกับแดดแต่ไม่มีผมคอยดูแล”



“อาจัดการเรื่องดูแลกุหลาบให้เราแล้ว พวกกุหลาบน่ะมันไม่เป็นไรหรอกอารับรอง ส่วนเรื่องที่ว่าพ่อ แม่กับยายของเราจะตามไปเที่ยวด้วยมั้ย เชื่อเถอะว่าท่านตามเราไปทุกที่แน่นอน แต่ถ้าเรารู้สึกไม่ดีล่ะก็สวมนี่ไว้สิจะได้รู้สึกดีขึ้น”



สร้อยคอห้อยขวดโหลโดมจิ๋วบรรจุด้วยดินยื่นมาตรงหน้าทำให้คิ้วของเด็กหนุ่มเลิกขึ้นคล้ายต้องการจะถาม



“อารู้ว่าเราใจหายที่ต้องไปจากบ้านไกลๆ แต่คำว่าบ้าน ความรู้สึกถึงบ้านมันไม่ใช่สถานที่เสมอไปหรอกนะ บางครั้งบ้านมันก็อาจจะหมายถึงคนในบ้านหรือใครสักคนที่ทำให้รารู้สึกเหมือนบ้าน ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ อาเข้าใจความรู้สึกของเราดีก็เลยเอาดินตรงที่โปรยเถ้าของพ่อแม่เรากับกุหลาบในสวนใส่ไว้ในโหลนี่ เราจะได้รู้สึกเหมือนว่า เราไม่ได้ไปไหนไกลจากบ้านเราเลย”



ถ้อยคำอ่อนโยนที่บอกกล่าวมีรอยแย้มอุ่นกว้างอย่างรู้ลึกถึงความต้องการทำให้คนเป็นเด็กตื้นตันจนน้ำตาซึมโผเข้าไปกอดซบกับอกของชายหนุ่มตรงข้าม



...ความอ่อนโยนละเอียดลออของผู้ปกครองหนุ่มเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจ...



...เขารู้สึกได้ถึงความรักที่มากล้นโดยไม่จำเป็นต้องมีคำว่ารักให้ได้ยิน...



“เบบี้โรสที่รัก...เราตาแดงไปหมดแล้วนะ” ประโยคนั้นนุ่มนวลเช่นเดียวกับสัมผัสจากฝ่ามือที่ประคองหน้านวลให้เงยหา ริมฝีปากประทับซับเบาบนหยดน้ำตาเพื่อประโลมปลอบเช่นนั้นหลายนาที



“ผมรักคุณอานะ รักมากๆเลย” เด็กหนุ่มว่าพลางสะอื้นฮักปล่อยให้นิ้วเรียวสากลูบเช็ดน้ำตาอุ่นออกจากหน้าและปล่อยให้สร้อยถูกสวมผ่านศีรษะลงบนลำคอและเหยียดริมฝีปากส่งยิ้มให้กับเจ้าของรอยอุ่นจากมือซึ่งลูบจับบนเรือนผมตนเองอย่างทะนุถนอม



“ออกไปดูโลกข้างนอกกันเถอะ”



การเชื้อเชิญมาพร้อมกับยื่นมือเรียวมาให้มือขาวนุ่มได้จับก่อนที่บิ๊กไบค์จะพามันทะยานไปบนถนนท่ามกลางบ้านเรือนเก่าแก่และแมกไม้สวยงามคงสภาพบรรยากาศความเป็นเมืองชนบทโบราณได้เป็นอย่างดี



เด็กหนุ่มวางศีรษะไว้บนหลังและกอดเอวเจ้าของมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่ตนเองซ้อนท้ายเฝ้ามองข้างทางที่ค่อยๆเปลี่ยนจากความเงียบสงบไปสู่ความวุ่นวายพลุกพล่านผ่านพลาสติกเคลือบใสตรงส่วนหน้าของหมวกกันน็อก



บิ๊กไบค์คันงามแล่นมาหยุดอยู่หน้าตึกอิฐเก่าแก่สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมวิคตอเรียนสูงเพียงสี่ชั้นตั้งอยู่ตรงหัวมุมของถนนซึ่งชั้นสามและสี่ยังคงไว้ซึ่งความเก่า หากสองชั้นล่างถูกแปลงโฉมให้ทันสมัยด้วยการฉาบสีขาวไว้ภายนอก กรอบหน้าต่างใสบานยาวทรงโค้งด้านบนของชั้นสองถูกเปลี่ยนเป็นทรงเหลี่ยม ผิดกับชั้นหนึ่งที่ส่วนผนังเก่าถูกทุบและเติมกลับลงมาด้วยหน้าต่างใสบานยาวเรียงต่อกัน กระทั่งประตูยังเปลี่ยนเป็นบานเฟี้ยมสองบานกรุกระจกใสไปเสียครึ่ง โดยกั้นช่องโล่งที่อยู่ติดกับตึกบล็อกอื่นไว้สำหรับจอดจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ได้



ตากลมของคนเป็นเด็กกวาดมองทุกอย่างรอบตัวหลังส่งหมวกกันน็อกให้ผู้ปกครองซึ่งกำลังเข็นรถโดยสารเข้าไปเก็บอย่างหวาดๆ ความไม่คุ้นเคยในตึกรามที่ดูเก่าโทรมที่ถูกขัดสีเปลี่ยนรูปแบบให้ดูทันสมัยอย่างเรียบง่าย มีหลายตึกที่ผนังถูกตกแต่งด้วยผลงานป็อบอาร์ตและกราฟิตี้อาร์ตบนผนัง ไหนจะการแต่งตัวตามใจอย่างไม่สนใจสายตาใคร ยังดีที่มีร้านรวงอิสระมากมายริมทางให้เด็กจากเมืองเคนต์ซึ่งเริ่มชินกับการเดินเล่นในย่านการค้าเพราะผู้ปกครองพาไปทุกวันศุกร์ไม่รู้สึกแปลกแยกจนเกินไป



ยงกุกหยิบพวงกุญแจกับกระเป๋าสะพายหลังสีดำออกจากกล่องเก็บท้ายรถแล้วเดินออกไปหาเด็กในปกครองที่ตื่นๆกับบรรยากาศใหม่ก็หลุดยิ้มและส่งมือออกไปให้อีกฝ่ายจับเพื่อความอุ่นใจถึงค่อยผลักประตูเข้าไปในคาเฟ่สไตล์ลอฟ์ทดิบๆคล้ายบาร์เหล้าซึ่งมีลูกค้านั่งจิบกาแฟทำงานอย่างเงียบเชียบมีเพียงเสียงเพลงจากศิลปินแนวโซลและอาร์แอนด์บีในยุค 70 ถึง 90 เปิดคลออยู่



“เฮ้ ไม่เจอกันนานเลยนะดรูว์ เอสเปรสโซ่เพิ่มช็อตเหมือนเดิมมั้ย” เสียงจากบาริสต้าหลังเคาน์เตอร์บาร์ปูนเปลือยร้องถามทันทีที่เห็นหน้าผู้มาใหม่



“ไม่ล่ะพีท ฉันดื่มมาแล้ว”



“อ้อ ซัลมานรออยู่ชั้นสี่ แล้วนั่น...ใช่ เด็กที่ชาร์ลบอกหรือเปล่า” บาริสต้าพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงถามไปทางเด็กหนุ่มที่เกาะแขนของผู้สูงวัยกว่าไว้แน่น



“อืม”



“โอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” การทักทายส่งตรงมาหาทำให้คนไม่ทันตั้งตัวผงกก้มหัวรับและเดินขึ้นบันไดตามการจูงผ่านไปยังชั้นสองและสามที่มีผู้คนเดินชมผลงานประติมากรรมหน้าตาประหลาดๆ จนมาถึงชั้นสี่อันเป็นส่วนของสำนักงานถึงได้พบกับชายชาวอินเดียสวมเชิ้ตผ้าฝ้ายลินินสีขาวอมครีมกับกางเกงยีนส์สีดำพับปลายขาเหนือข้อเท้ากับรองเท้าสีน้ำเงิน



“ไง” เมื่อชายผู้นั้นหันมาเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็กแก็ตสีดำกับยีนส์ขายาวยืนอยู่ก็เดินเข้ามาสวมกอดตามประสาเพื่อนสนิทพร้อมกับสนทนาเป็นภาษาอินเดียสั้นๆอยู่สองสามนาทีจึงละสายตาไปหาเด็กหน้าตาจิ้มลิ้มผิวเหลืองค่อนไปทางขาว



“นี่อาซัลมานเป็นเพื่อนแล้วก็หุ้นส่วนแกลอรี่ของอาจ้ะ” ผู้ปกครองหนุ่มแนะนำเรียกให้ผู้อ่อนวัยยื่นมือไปหมายจะจับเขย่าตามปกติแต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอด



“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เจลโล่” ซัลมานว่าค่อยๆปล่อยมือที่กอดรัดร่างบางและหันไปหาเพื่อนด้วยการเคลื่อนไหวที่กรีดกรายในบางจังหวะดูไม่เหมือนชายแท้เสียเท่าไหร่ “สิบห้าย่างสิบหก ไม่คิดว่าเด็กไปหน่อยเหรอ”



“ไม่หรอก...ฉันมั่นใจว่าจะเป็นทั้งผู้ปกครอง ทั้งคนรักที่ดีให้เขาได้และฉันหวังว่าเขาจะเป็นเด็กดีและเป็นคนรักที่ดีของฉันเช่นกัน” อีกฝ่ายตอบแล้วยิ้มบางด้วยแววตาจริงจังไร้แววกังวลใด



“ฉันได้ยินจากชาร์ลเรื่องเด็กของนายมาบ้างแล้วล่ะ ตอนแรกยังคิดเลยว่า ชาร์ลพูดเล่นเพราะนายไม่มีทีท่าสนใจอะไรผู้ชายด้วยกันเหมือนฉัน พอมาได้ยินคำพูดนายวันนี้แล้ว ถึงจะคิดว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะรักกับเด็กอายุเท่านี้แถมนายยังเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายอีก แต่การที่นายแนะนำใครสักคนกับคนสนิทอย่างฉันว่าเป็นคนรักเป็นครั้งแรกแบบนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนความคิดคนจริงอย่างนายได้แล้วใช่มั้ยล่ะ”



“เขาจะเป็นเพศไหนไม่สำคัญหรอก ขอแค่เป็นเขาก็พอ”



“แหม ฉันล่ะเกลียดท่าทางสบายๆของนายซะจริง ไอ้ฉันน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ที่จะมีปัญหาคงเป็นชาร์ลนั้นแหละ คนเถรตรงออกจะหัวโบราณหน่อยๆแบบชาร์ลนี่ไม่น่าจะรับไหว”



“รับไหวไม่ไหวก็เรื่องของมันสิ ฉันไม่ได้ขอให้ทุกคนในโลกเข้าใจสิ่งที่ฉันรัก ถ้าความเป็นเพื่อนต้องจบลงเพียงเพราะฉันรักเด็กคนนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอยู่สักหน่อยแต่ระยะเวลาที่คบหามันเป็นเพื่อนมา มันเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายอยู่นะ อย่างมากก็แค่บ่นตามประสานั้นแหละ”



“มั่นใจจังเลยน้า เอาเป็นว่านายมาเซ็นเอกสารต่อสัญญาเช่าชั้นล่างของทอมก่อน นายอ่านสัญญาฉบับแก้ไขที่ฉันส่งให้ทางเมล์แล้วใช่มั้ย”



“อืม”



“เอ้านี่เอกสาร ฉันกับทอมแล้วก็พยานอีกสองคนเซ็นเอกสารไว้แล้ว” ซัลมานส่งเอกสารในซองกระดาษสีขาววางบนโต๊ะยาวกลางห้องที่ใช้สำหรับนั่งประชุมงาน ฝ่ายหุ้นส่วนพยักหน้ารับหยิบมันมาพลิกอ่านเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในรายละเอียดแต่ละจุดอยู่พักใหญ่จึงจรดปลายปากกาเซ็นลงไปยังจุดที่เว้นว่าง



“แล้วนี่จะเอาไงต่อ”



“ขอฝากรถไว้นี่สักอาทิตย์สองอาทิตย์สิ”



“จะไปไหนล่ะ”



“ว่าจะไปเที่ยวน่ะแล้วก็ระหว่างนี้อย่าให้พีทมันเอารถฉันไปขับอวดสาวที่ไหนล่ะ”



“รู้หรอกน่าพ่อคนรักรถ”



“อืม...ไว้เจอกัน”



“เช่นกัน ดีใจที่ได้พบนะเจลโล่” หุ้นส่วนชาวอินเดียสัญชาติอังกฤษบอกลาพลางโบกมือเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ผู้มาเยือนทั้งคู่เดินลงบันไดลับจากสายตา



ชายหนุ่มเชื้อชาติเกาหลีโดยแท้เหยียบลงยังพื้นชั้นล่างของแกลอรี่และหยุดแวะตรงเคาน์เตอร์บาร์เพื่ออำลาบาริสต้าจึงผลักประตูก้าวออกไปยืนรอคนเป็นเด็กที่ตามหลังมามาด้วยสีหน้ามีบางอย่างติดในใจ



“มีอะไรอยากบอกอามั้ย” เขาถามเช่นทุกครั้งที่สังเกตเห็นความผิดปกติของฝ่ายตรงข้าม



จุนฮงกระพริบตามองผู้ปกครองของตนเองอย่างเงียบงันด้วยถ้อยคำจากการสนทนาเมื่อครู่พรั่งพรูราวกับมีกลีบดอกไม้อ่อนนุ่มทับถมลงมาให้รู้สึกอิ่มอุ่น คำเน้นย้ำสถานะในฐานะคนรักยังสะท้อนก้องในหูพาให้ดวงตากลมสวยระริกสั่นอย่างตื้นตัน



“ผมขอกอดคุณอาได้มั้ยครับ” การร้องขอจริงจังนั้นดังขึ้นทำให้คิ้วเรียวหนาของชายมากวัยกว่าที่กำลังยิ้มเลิกสูงคล้ายจะถามจึงมีคำอธิบายต่อมา “ที่คุณอาบอกกับอาซัลมานว่าผมเป็นคนรักและจะเลี้ยงผมเป็นอย่างดีน่ะ ผมดีใจนะ...ดีใจมากจนอยากกอดคุณอาแน่นๆ”



“มานี่สิ” สิ้นคำฝ่ายได้รับคำขอยกยิ้มมุมปากเรียกหาพลางกางแขนออกกว้างๆต้อนรับร่างบางกรุ่นกลิ่นกุหลาบของเด็กในปกครองมาไว้ในอ้อมกอด ท่ามกลางสายลมโชยผ่านร่วมกับผู้คนจนถึงรถราที่สัญจรไปมา



“ผมรักคุณอาจัง” เจ้าของหน้านวลที่ซุกซบเอ่ยรับสัมผัสของฝ่ามือที่ลูบบนเรือนผม เมื่อขยับตัวออกจากอ้อมแขนกระเป๋าสะพายข้างทำจากหนังสีน้ำตาลเรียบบรรจุกล้องโพรารอยด์ กล่องฟิลม์กับสมุดไดอารี่ขนาดเท่าพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งก็ถูกส่งมาตรงหน้า



“อาจะให้นี่กับเรา ระหว่างที่เราเที่ยวด้วยกันอาอยากให้เราถ่ายภาพที่เราชอบและเขียนความประทับใจในแต่ละวันลงไป ทุกคืนอาจะเอามาอ่านพอจบทริปอาจะบอกเรื่องที่อาชอบที่สุดแล้วให้คะแนน ถ้าเราได้คะแนนเต็ม อาจะให้เราขออะไรจากอาก็ได้หนึ่งข้อแต่ต้องเป็นเรื่องที่เราทำได้ก่อนอายุยี่สิบนะ”



“คุณอารู้ได้ไงว่าผมจะขออะไร” คนเป็นเด็กบึนปากแทบจะทันทีที่ถูกดักทางอย่างรู้ทันเรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้เป็นอย่างดี



แม้ในบางคืนเขาจะถูกปฏิบัติด้วยรักอย่างผู้ใหญ่และเขาชอบการแตะต้องอย่างล้ำลึกนั้นอย่างมาก หากคำสัญญาที่ว่าจะไม่แตะต้องเกินเลยไปกว่าสัมผัสจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองของเขาเคร่งครัด



“ไปเดินเล่นกับอากันดีกว่า”



มือเรียวข้างเดิมยื่นมาให้ได้จับก่อนที่ทั้งคู่จะออกเดินบนทางเท้าผ่านตึกเก่าสไตล์วินเทจที่ผสมผสานความดิบได้อย่างลงตัวอย่างร่วมสมัยจนมาถึงตลาดบริคเลนซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของแปลกตาสวนทางกับผู้คนมากมายหลากเชื้อชาติที่เลือกจะใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ในละแวกนี้ จากนั้นก็เรื่อยเปื่อยตามร้านบูติคริมทางจนถึงแหล่งซื้อของตรงบ็อกอาร์ตที่สร้างขึ้นจากตู้คอนเทนเนอร์และข้ามไปเดินเล่นยังอาคารที่มีงานสตรีทอาร์ตทั้งหลายปรากฏอยู่ภายนอกอย่างเพลินตา



จุนฮงฟังข้อมูลละแวกนี้ก่อนจะมีสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวเคยเป็นแหล่งเสื่อมโทรมอันเป็นถิ่นอยู่อาศัยของคนไม่ใคร่จะมีเงินนักจากคนมากวัยข้างตัวอย่างสนใจพร้อมเก็บภาพด้วยกล้องโพรารอยด์อย่างที่ถูกสอนใช้มา



หมดเวลาไปเป็นชั่วโมงก็ลงเอยด้วยการที่คนเจนเส้นทางพาลงไปซื้อบัตรสำหรับใช้โดยสารรถสาธารณะในลอนดอนที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วย้อนกลับขึ้นมารอรถประจำทางใหม่ด้วยต้องการให้ผู้มาเยือนเป็นครั้งแรกได้มองเห็นภาพบรรยากาศของเมืองได้ถนัดตา



“เราเคยออกนอกเมืองที่เราอยู่บ้างหรือเปล่า” ยงกุกถามตาคมปรายมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งเอนศีรษะพิงลงบนไหล่เขาอยู่ข้างๆโดยที่มือยังจับประสานกันแนบแน่น



“ผมเคยไปอ็อกฟอร์ดกับที่โรงเรียนครั้งหนึ่งแต่ผมไม่อยากไปหรอก...ผมอยากไปกับพ่อมากกว่า” เสียงนุ่มเล็กอย่างเด็กที่ยังไม่ถึงคราวเสียงแตกกลอกตาตอบแล้วถอนหายใจคล้ายยังเศร้าก่อนจะเงยหน้าไปหาเจ้าของไหล่ที่กำลังอิงซบและยิ้ม “แต่คุณอาบอกผมว่า พ่อกับแม่แล้วก็ยายเขาอยู่บนสวรรค์ ละตอนนี้ท่านก็คอยมองดูผมจากข้างบนนั่น เวลาผมไปไหนพวกท่านก็จะเห็นผมใช่มั้ยล่ะครับเพราะงั้นมันก็เหมือนกับว่า ท่านมาเที่ยวกับผมด้วย ละก็ตอนนี้ผมมีคุณอาอยู่ข้างๆแล้วด้วย แค่มีคุณอา ผมก็ไม่ต้องการใครอีกแล้วล่ะ”



“มีแค่อาไม่พอหรอก เราต้องมีคนอื่นด้วย”



“คนอื่นที่ว่าคือใครครับ”



“คนเราต้องมีสังคมถึงจะอยู่รอดได้ เพราะงั้นเราถึงต้องมีคนอื่นอย่างเพื่อนหรือคนที่หวังดีกับเราในชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนที่ดีกับเรา มันยังมีคนที่หวังร้ายเกลียดชังเราผ่านเข้ามาด้วย”



“แต่คุณอาจะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่มั้ยครับ”



“มันก็อาจจะมีบางทีที่อาต้องไปทำงานเลยอยู่ใกล้ๆเราไม่ได้ แต่อาไม่มีวันทิ้งเราไปไหนนานเกินสองอาทิตย์แน่นอนครับ”



“ทำไมถึงต้องสองอาทิตย์ล่ะครับ”



“เพราะอาจะคิดถึงเรามากเกินไปซึ่งมันไม่ดีกับหัวใจของอา” เจ้าของนิ้วเรียวสีน้ำผึ้งซึ่งไล้ปัดเรือนผมนุ่มที่ปรกหน้าคนข้างกายบอก



“งั้นคุณอาก็ไม่ต้องไปทำงานสิครับ...ยังไงคุณอาก็เป็นผู้จัดการมรดกจะใช้เงินตรงนั้นก็ได้นะ”



“ไม่ได้หรอก”



“ทำไมจะไม่ได้ครับ”



“เพราะเงินนั่นไม่ใช่เงินของอาและอาเชื่อว่าการเลี้ยงคนรักของอาให้เติบโตเป็นคนที่ดีและสวยงามได้นั้นต้องเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของอา”



“ดีจัง”



“ดีอะไรเอ่ย”



“ดีที่ผมมีคุณอาอยู่ด้วย...ตอนแรก ผมหมายถึงตอนที่พ่อเสียน่ะ ผมเคยคิดว่าผมโชคร้ายที่เสียคนในครอบครัวไปหมด แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีความโชคดีอยู่ด้วย คุณอาเป็นความโชคดีของผมนะ แค่คุณอาอยู่ด้วยทุกวันของผมจะเป็นวันที่มีแต่ความสุข เป็นวันแห่งความโชคดี”



“ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจะพาเราไปเห็นความเป็นลอนดอนเท่าที่เวลาของเราจะอำนวยแล้วเราค่อยขึ้นรถไปปารีสกันนะครับ”



“เราจะไปปารีสด้วยเหรอครับ”



“ไม่ใช่แค่ปารีสนะแต่อาจะพาเราไปอีกหลายที่เลย”



“อืม” คนเป็นเด็กพยักหน้าทั้งที่ศีรษะยังอิงอยู่บนไหล่แข็งของผู้ปกครองพลางมองผ่านกระจกรถไปยังสิ่งแวดล้อมใหม่ภายนอก



รถโดยสารประจำทางสายยี่สิบเอ็ดใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงมาหยุดจอดยังป้ายจุดหมายปลายทางก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเท้าไปยังหอคอยลอนดอนและใช้เวลาเที่ยวชมอยู่ในนั้นโดยมีอดีตทหารรักษาพระองค์ที่กลายมาเป็นไกด์ในปัจจุบันพานำเที่ยวไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวอื่นรวมทั้งเดินชมเอง อีกทั้งไหว้วานคนรอบข้างให้ถ่ายรูปคู่ก็หมดเวลาไปถึงสองชั่วโมงครึ่งจึงได้ฤกษ์กลับออกมายังประตูทางเข้าเดิม



“อามีการบ้านให้เราทำ” สิ้นคำกระดาษที่เขียนคำถามด้วยลายมือภาษาอังกฤษโดยมีเกาหลีกำกับด้วยก็ถูกยื่นมาให้เด็กที่กระดกน้ำดื่มอยู่ข้างๆรับไว้



“การบ้านเหรอครับ”



“อาจะให้เราตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่เราไปด้วยกัน โดยมีข้อแม้ว่าเราต้องหาคำตอบจากการย้อนกลับไปอ่านเอาจากป้ายหรือถามข้อมูลเอากับคนที่รู้เรื่องเท่านั้นและต้องเขียนเป็นภาษาเกาหลีอย่างเดียว”



“เกาหลีอย่างเดียวเลยเหรอครับ”




“ใช่จ้ะ”



“ยากงะ...ผมกลัวเขียนผิด”




“ไม่ยากหรอก เรายังคุยภาษาเกาหลีกับอาคล่องเหมือนคุยภาษาอังกฤษเลยนะ เรื่องเขียนก็คงไม่ยากเท่าไหร่หรอกและถึงจะเขียนผิดก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตรวจเจอคำผิดจะเรียกเรามาสอนเอง”




“แล้วคุณอาจะไปหาคำตอบกับผมด้วยหรือเปล่า”




“ไม่จ้ะ...ครั้งนี้อาจะให้เราหาคำตอบด้วยตัวเอง”




“ถ้าผมหาไม่เจอล่ะ”




“ข้อไหนตอบไม่ได้ไม่เป็นไรแต่อาขอให้เราลองหาคำตอบดูก่อน”




“ละคุณอาจะไปไหนตอนที่ผมหาคำตอบอยู่”




“อาจะออกไปนั่งอ่านหนังสือรอเราใกล้ๆประตูนี่ตรงสนามข้างนอกกำแพง”




“ถ้าผมกลับมาคุณอาจะไม่หายไปใช่มั้ยครับ” เสียงอ่อนถามอย่างหวาดระแวงและสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มพลางลูบหัวอ่อนโยน




"ไม่ต้องกลัวว่าอาจะทิ้งเราไปไหนหรอก...อาสัญญาต่อหน้าสร้อยที่เราสวมเลยว่า อาจะไม่ไปไหนจากตรงนั้นนอกจากจะลุกไปหาเรา”



“จริงนะ”



“จริงสิ...ถ้าเราหาคำตอบมาได้ครบนะ อาจะให้รางวัลพิเศษกับเรา”



“รางวัลคืออะไรครับ”



“อายังบอกตอนนี้ไม่ได้ ถ้าเราอยากรู้ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อน”



ถ้อยคำโน้มน้าวด้วยรอยยิ้มอ่อนละไมทำให้จุนฮงเม้มริมฝีปากถอนหายใจยาวออกมาด้วยความลังเลใจ ยิ่งเห็นฝูงชนนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ผ่านมาใกล้ก็หวั่นกลัวเลยอิดออดอยู่พักใหญ่แต่เมื่อผู้ปกครองจับจี้ดินโปรยอัฐิของบุพการีผสมกลีบกุหลาบแล้วกระซิบเบาว่า บอกพวกท่านให้ตามไปช่วยด้วยจึงยอมตกลงออกไปหาคำตอบ



“คุณอาห้ามหายไปนะ”



“ครับผม”



เมื่อกำชับตามประสาเด็กแล้วจึงพาตนเองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เคยเดินมาเพื่อหาข้อมูลมาเขียนใส่กระดาษโดยไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่สัญญาว่าจะนั่งรอนั้นคอยตามหลังเฝ้าดูอยู่ห่างๆและคอยลุ้นในช่วงเวลาที่เห็นว่า เด็กในปกครองละล้าละลังชั่งใจกับการจะเรียกถามใครสักคนอยู่นาน กระทั่งสุดท้ายเจ้าตัวก็ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างกล้าๆกลัวๆก็เครียดอยู่บ้างแต่พอได้เห็นการโค้งขอบคุณรวมทั้งรอยดีใจบนดวงหน้าจึงโล่งใจ



...เขาพยายามสอนให้เบบี้โรสรู้จักการอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีเขาอยู่ช่วยเหลือและสอนการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น...



ชายหนุ่มก้าวเท้าปะปนไปกับผู้คนเลือกเว้นระยะห่างมากพอที่จะไม่ถูกสังเกตเห็นแต่ก็เข้าถึงตัวได้หากเกิดหลงทาง จนได้เห็นอีกฝ่ายเตรียมจะกลับมาหาถึงได้เดินนำออกไปก่อน จากนั้นจึงแวะซื้อไอศกรีมโคนจากซุ้มอาหารเลียบกำแพงค่อยทำทีไปหาเด็กที่ชะเง้อคอมองหา



“คุณอาไปไหนมาครับ” คำถามแรกหลังจากหายไปหาคำตอบในการบ้านดังขึ้น



“ไปซื้อไอศกรีมมาให้เราไงจ้ะ” เขาตอบแสร้งทำเหมือนไม่ได้ขยับไปไหนไกลจากลานหญ้าข้างกำแพงหอคอยเลยแม้แต่น้อย “เป็นไงจ้ะ หาคำตอบได้หรือเปล่า”



“ครับ...ผมเขียนคำตอบไว้หมดแล้ว” ฝ่ายอ่อนวัยกว่าตอบรับแข็งขันรีบยื่นกระดาษที่เขียนคำตอบเป็นภาษาเกาหลีให้แต่กลับถูกสั่งให้พับเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายข้างที่มีกล่องโพรารอยด์กับไดอารี่อยู่พร้อมให้คำอธิบายโดยไม่ต้องถาม



“อาจะตรวจมันพร้อมไดอารี่ของเรา”



“อ้าว...ผมก็นึกว่าจะตรวจเลยซะอีก”



“อยากได้รางวัลพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอจ้ะ”



“ผมไม่อยากได้รางวัลพิเศษหรอก ผมอยากได้ความรักจากคุณอามากกว่า”



“เราก็ได้ไปหมดแล้วนะ”



“จริงเหรอครับ”



“อาเคยโกหกเราหรือเปล่าล่ะ”



หน้านวลของคนเป็นเด็กส่ายไปมาแทนคำตอบแล้วเดินเข้าไปกอดแขนผู้ปกครองของตนไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือไอศกรีมกินอย่างสบายอารมณ์ค่อยๆออกเดินจากหอคอยลอนดอนไปชมแม่น้ำเทมส์ที่ไหล่เอื่อยระหว่างข้ามสะพานคอหอยแล้วแวะพักเท้าในคาเฟ่จิบเครื่องดื่มชิมขนมกันอยู่พักใหญ่จึงค่อยเดินทางโดยรถประจำทางมุ่งหน้าสู่ลอนดอนอายอันเป็นกิจกรรมสุดท้ายของวันในลอนดอนก่อนเข้าสู่มื้อเย็นและขึ้นรถไฟไปปารีส



“คุณอาเตรียมทุกอย่างไว้หมดเลยเหรอครับ...ที่เราไปเที่ยวด้วยกันครั้งนี้คุณอาจองทุกอย่างไว้ให้หมดแล้วใช่หรือเปล่า” คนอ่อนกว่าถามขึ้นขณะถือตั๋วเข้าชมซึ่งแลกมาหลังจากมีการจองในอินเตอร์เน็ตล่วงหน้าขณะยืนอยู่ในแคปซูลกระจกของชิงช้าสวรรค์ซึ่งยังมีนักท่องเที่ยวทยอยตามเข้ามา



“ไม่จ้ะ...อาจองแค่ตั๋วรถไฟกับตั๋วของที่นี่เพราะอาอยากให้เราขึ้นไปเห็นทั้งลอนดอนตอนพระอาทิตย์ตกพอดี”



“ทำไมต้องตอนพระอาทิตย์ตกครับ”



“ช่วงเวลาสั้นๆระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากกลางวันเป็นกลางคืนในลอนดอนน่ะมันสวยมากเลยนะ...สวยเสียจนอาอยากให้เราได้มาเห็นด้วยกัน” ชายหนุ่มตอบรับแล้วทอดสายตาผ่านแคปซูลกระจกไปยังผู้คนที่ยืนรอคิวเป็นแถวยาวตามประสาวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มักจะมีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ



จุนฮงจ้องผู้ปกครองของตนเองที่ยืนถัดจากตนเองไปเพียงเล็กน้อย ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลาคร้ามแดดแม้เรือนผมจะหยักศกไม่เข้าทรงนั้นก็ยังดูสะอาดสะอ้าน การสวมเพียงเสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อคลุมกับกางเกงยีนส์ขายาวสะพายกระเป๋าขนาดกลางพาดบนไหล่โดยที่แสนจะธรรมดาแต่ดึงดูดคนรอบข้างให้เป็นเป้าความสนใจได้



...คุณอามีเสน่ห์มากอย่างที่ไม่น่าจะมีใครปล่อยให้หลุดลอด...อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเคยคบหากันใครมาก่อนจะได้พบเขาและคนพวกนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยเหมาะสมกับคุณอามากเป็นแน่



พลันความคิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของชายตรงหน้าก็ผุดพรายกลายเป็นคำถามที่ชวนให้รู้สึกริษยาถึงขนาดทำให้ตากลมเขม็งแข็งและเรียวปากเชิดขึ้นจากอารมณ์ขุ่นมัว



ท่าทางการแสดงออกชัดเจนจากความเป็นเด็กทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นได้แต่ไม่ปริปากเพียงลูบหัวอยู่อย่างนั้นราวนาทีสองนาทีคนที่คับข้องใจก็เผยมันออกมาเอง



“คุณอาเคยมาที่นี่แล้วใช่มั้ยครับ”



“ครับ”



“ที่หอคอยลอนดอน สะพานหอคอยกับคาเฟ่ที่เราแวะกินขนมกันก็ด้วยใช่หรือเปล่า”



“จ้ะ”



“ไปมาทั่วทั้งลอนดอนแล้วด้วยมั้ย”



“อืม”



“ไปกับใครเหรอครับ”




ครั้งนี้ผู้มากวัยกว่าไม่ตอบรับในทันทีเพียงหันมองเจ้ากุหลาบน้อยของเขาที่ทำเหมือนยืนมองการเคลื่อนที่ของแคปซูลไปตามวงล้อ ทว่าปากกลับบึนบิดไปมาคล้ายเริ่มจะหงุดหงิดและจะหัวร้อนมากขึ้นถ้าได้คำตอบเดียวกับที่อยู่ในใจก็ยิ้มขำ



“ส่วนมากอาจะไปคนเดียว”



“แล้วส่วนน้อยไปกับใครครับ”



“ส่วนน้อยน่ะเหรอ” ทั้งที่รู้คนแก่กว่ายังแกล้งพูดทำคิ้วขมวดเหมือนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงถามกลับ “แล้วเราคิดว่าอาไปกับใครล่ะ”



“ก็...อาจจะเป็นใครสักคน”



“ใครสักคนนี่คือใคร”



“คน...คนที่...ใครสักคนที่สวยๆ ผู้หญิงสวยๆ ที่คุณอาอาจจะเคยคบด้วย”



“คบลักษณะไหน”



“แบบที่อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แชร์อะไรให้กันและกัน”



“อ้อ...เราหมายถึงเพื่อนผู้หญิงสินะ”



“ผมไม่ได้หมายถึงเพื่อน




“แล้วใครล่ะ”




“คุณอางะ” คนเป็นเด็กโอดครวญเริ่มเบะปากแต่อีกคนยังทำไม่รู้เรื่องอมยิ้มรับคำ




“ครับผม”




“คุณอารู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงใคร”




“ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้จ้ะ”



“รู้สิ”




“ไม่...อาไม่รู้ เราต้องบอก อาถึงจะรู้”




“ก็แฟนเก่าของคุณอาไง...พวกนั้นน่ะเคยมากับคุณอาก่อนหน้าผมใช่มั้ยล่ะ พวกนั้นเคยมาเห็นลอนดอนตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้วด้วยใช่หรือเปล่า” คนเป็นเด็กพ่นลมร้อนผ่านจมูกแรงๆแล้วสาธยายความรู้สึกเป็นคำพูดอย่างฮึดฮัด



“แปลกนะ ทั้งที่เราอยู่ด้วยกันสองคนตรงนี้ ทำไมเราถึงเอาแต่ถามเรื่องคนอื่นล่ะ”



เสียงอุ่นเอ่ยขึ้นเรียบๆ เช่นเดียวกับสีหน้าราวกับจะโกรธอยู่ในทีนั้นเรียกสติให้คนเป็นเด็กฉุกคิดเลยปิดปากก้มหน้านิ่งก่อนทั้งร่างจะถูกโอบเข้าไปในอ้อมแขนของชายข้างตัว



“อาไม่ได้โกรธเราหรอกนะแต่ถ้าเราสนใจคนอื่นเกินไป เราจะมองไม่เห็นความเป็นจริงหรือหลงไปกับความขุ่นข้องหมองใจจนพลาดสิ่งที่ดีที่สวยงามกับชีวิตไป อย่างตอนนี้ที่เราเอาแต่คิดถึงเรื่องอดีตที่มันไม่มีวันย้อนกลับไป มันกำลังทำให้เรามองไม่เห็นเลยว่า ภาพที่อยู่ข้างหน้าเรานี่มันน่าสนใจมากขนาดไหน”



“ผมขอโทษจริงๆ”



“อีกอย่างนะ เราจำไม่ได้หรือว่า เราเป็นเจ้าของอา การเป็นเจ้าของนั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคตต่อจากนี้จะไม่มีใครที่อารักหรืองดงามมากกว่าเรา และมันจะเป็นอย่างนั้นเรื่อยไปจนกว่าเราจะเปลี่ยนใจไปจากอาเอง”



“ไม่นะ ผมไม่เปลี่ยนใจไปไหนหรอก” ฝ่ายอ่อนวัยกว่าร้องขึ้นแทบจะทันที



“อืม จะจริงหรือเปล่าอันนี้อาก็ไม่รู้ แต่คนอย่างอาไม่มีปัญญาจะรั้งหัวใจใคร โดยเฉพาะกับเบบี้โรสแสนสวยอย่างเราด้วยแล้ว อายิ่งไม่มั่นใจเข้าไปใหญ่” ชายหนุ่มว่าพลางถอนใจไหล่ลู่ตกเหมือนหมดกำลังใจ



“ไม่ได้นะ คุณอาต้องมั่นใจสิ...คุณอาก็รู้ว่า ผมรักคุณอามากแค่ไหน”



“ไม่รู้หรอกจ้ะ”



“รู้สิ”



“ถ้าอยากให้รู้เราต้องทำอะไรยืนยันสักอย่างนะ”



“งั้นแบบนี้ได้มั้ย”



เด็กหนุ่มขยับเข้าไปหอมแก้มผู้เป็นอาตามการเรียกขานหาใช่ตามสายเลือดและถอยมาส่งยิ้มหวานละไม ทำให้ฝ่ายตั้งท่ารอการอ้อนอยู่แล้วหัวเราะพลางจับมือขาวนุ่มขึ้นมาจูบหนักๆด้วยรักยิ่งแล้วดึงให้แผ่นหลังบางเข้ามาประชิดแนบกับอกโดยแขนทั้งสองกอดเอวไว้หลวมๆ



คนเป็นเด็กซบพิงศีรษะกับอกของผู้ปกครองที่เริ่มชี้ชวนพร้อมบรรยายถึงสถานที่เบื้องล่างตามการหมุนเป็นวงอย่างเนิบช้าของแคปซูลอย่างสนใจจนลืมไปสิ้นถึงความร้อนลนของจิตใจปล่อยให้ความสบายผ่อนคลายจากการมีผู้เป็นยิ่งกว่าหลักพักพิงเคียงใกล้



ความสุขสงบระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างไม่รู้จบสิ้น แม้นโมงยามคล้อยเคลื่อนไปตามเข็มสั้นยาวของหอนาฬิกาบิ๊กเบนเข้าสู่รอยต่อระหว่างกลางวันและคืนค่ำ ฟากฟ้าสีครามขาวใสอ่อนจางด้วยถูกสีส้มเหลืองทาทาบจนเต็มผืน หมู่เมฆวาดเส้นสายเป็นระลอกริ้วราวเกลียวคลื่นม้วนตัวสู่ฝั่งปะปนไปในผืนผ้าใบแห่งธรรมชาติสีทองเรืองรอง



ชั่วนาทีก่อนความมืดมนอนธการจะรุกไล่ดวงตะวันจนสิ้นแรงคล้อยต่ำลับโขดแนวขอบฟ้า  ยงกุกรั้งเอวบางของเด็กในปกครองที่อาบอุ่นทั้งร่างด้วยแสงสุดท้ายแห่งวันให้หันมาหานัยน์ตาสีนิลคมกล้าทอดลึกยังดวงตาอ่อนเดียงสาค่อยๆวางปลายจมูกสูดกลิ่นนมผสมแป้งบนพวงแก้มพลางสอดนิ้วสู่เรือนผมนุ่มรั้งให้เข้ามาประชิด



ริมฝีปากเลื่อนลงจรดแนบบนเรียวปากสีหวานนุ่มนวลถ่ายความร้อนสู่ความเย็นชุ่มจนอุ่น ปลายลิ้นดุ้นเบาเปิดทางเข้าสู่ความหอมหวานทีละน้อยอย่างอ่อนโยนจนถึงจุดที่ความแข็งกร้าวล่วงถึงความนุ่มนวลทั้งหมดได้ การเคลื่อนไหวครอบครองจึงเร่งร้อนหลอมละลายลมหายใจดุจเดียวกับเป็นลมหายใจของคนเดียวกัน



โลกย่างกรายสู่ความมืดมิดแห่งรัตติกาล หากทั้งคู่ยังดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งรักอย่างอ้อยอิ่งหาได้สนใจสายตาจากคนรอบข้างกระทั่งได้ยินเสียงประกาศฝ่ายผู้มากกว่าวัยจึงถอยริมฝีปากออกช้าๆ



“จูบนี่เป็นรางวัลที่เราทำของอร่อยให้อากินเมื่อตอนเที่ยง” ถ้อยคำกระซิบฝากข้างหูด้วยเสียงแหบต่ำทำให้คนได้ยินใจอ่อนระทวย เมื่อถูกพรมจูบซ้ำบนหน้าผากอย่างรักใคร่เอ็นดูหน้าขาวกลับแดงซ่านราวผลมะเขือสุก



แคปซูลเคลื่อนมาถึงด้านล่างพานักท่องเที่ยวให้ทยอยออกมาเหยียบพื้นดินอีกครา จุนฮงเดินออกมาพร้อมกอดแขนของผู้ปกครองไว้แน่น แก้มนวลฝาดเลือดแนบลงบนแขนแข็งแรงที่ซ่อนใต้เสื้อคลุมตัวนอกก่อนขานเรียก



“คุณอา”



“ครับ”



“นั่งรถไฟจากที่นี่ไปปารีสนานมั้ยครับ”



“ประมาณเกือบสามชั่วโมงได้”



“เราจะไปกันเลยหรือเปล่า”



“อาจองตั๋วรอบสองทุ่มครึ่งไว้น่ะ เลยว่าจะพาเราไปหามื้อเย็นอร่อยๆแถวสถานีเซนต์แพงครัสจะได้ไม่ต้องรีบร้อน กินเสร็จก็ขึ้นรถได้เลย”



“แล้วคุณอาจะให้รางวัลพิเศษกับผมเมื่อไหร่ครับ”



“หื้อ”



“ก็คุณอาบอกผมตอนที่เราอยู่หอคอยลอนดอนว่า ถ้าผมหาคำตอบในการบ้านที่คุณอาให้ครบ คุณอามีอามีรางวัลพิเศษจะให้ผมแต่ผมยังไม่เห็นได้เลยงะ...คุณอาจะให้ผมหลังจากกินมื้อเย็นแล้วหรือจะให้ตอนที่เรานั่งรถไฟไปปารีสเหรอครับ”



อาการบึนปากมองตาแป๋วทวงถามของรางวัลของเด็กตรงหน้าอย่างจริงจังดูใสซื่อเสียจนยงกุกอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มตูมไปมาเบาๆ



“สำหรับคืนนี้อาไม่มีของรางวัลจะให้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นคืนพรุ่งนี้ล่ะก็...มี” ประโยคท้ายลงน้ำหนักเสียงเต็มแน่นอย่างมีนัยยะ นัยน์ตาคมเรียบสงบมีประกายแวววอนร้อนแรงแทรกซ้อนจดจ้องลงมาหา เมื่อปลายลิ้นซึ่งเคยจูบซับความหวานจากกุหลาบน้อยเผยตัวตรงมุมริมฝีปากบนท่าทางนั้นดูราวกับสิงห์เจ้าป่าเฝ้ารอการลิ้มชิมรสกระต่ายตัวน้อย



“แล้วจะมีรางวัลเล็กๆน้อยๆก่อนได้รางวัลพิเศษมั้ยครับ”



“ถ้าเราหมายถึงจูบล่ะก็ไม่มีให้แล้วจ้ะ”



“ไม่จูบก็ได้แค่กอดผมหน่อยก็พอแล้ว”



“เรานี่น้า...ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้นะ” ชายหนุ่มดึงแขนที่ถูกเกาะไว้แน่นออกและกางกอดเด็กในปกครองพลางหอมแก้มตามอีกคำรบ



“ผมน่ารักเพราะผมเป็นเบบี้โรสของคุณอาและจะเป็นของคุณอาแค่คนเดียวด้วย”



“ของอาคนเดียวจริงเหรอ”



“จริงซี”



“ปากหวานจังเลย อย่างนี้อาจะไปไหนรอดล่ะ”



“ไปไม่รอดก็ดีจะได้อยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลย” เจ้าของร่างบางในอ้อมกอดว่าซุกหน้าลงกับอกแข็งเหมือนลูกกระต่ายในโพรงซุกไปหาไออุ่น



“แต่ตอนนี้อาหิวแล้วล่ะ เราขึ้นรถไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้เราอยากกินอะไร”



“อะไรก็ได้ที่คุณกินแต่ต้องไม่เผ็ดนะ”



“ได้ครับ...ได้ตามที่จะบัญชาเลย”



ชายหนุ่มน้อมรับคำบัญชาปล่อยแขนที่กอดรัดมาคว้ามือไปจับแทนก่อนทั้งคู่จะก้าวเท้าไปตามทางเดินท่ามกลางสายลมเย็นแห่งคืนค่ำที่พัดผ่าน



ตากลมของคนอ่อนวัยกว่ากระพริบมองแสงไฟระยิบระยับราวดวงดาวพร่างพราวทั่วหัวระแหงในลอนดอนอยู่หลายนาทีจึงแหงนหน้าสูงไปยังท้องฟ้าสีครึ้มมืดที่มีเพียงพระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นบอกเล่าถึงความสุขของวันนี้ภายในใจด้วยคิดว่ามันคงจะลอยไปถึงผู้เป็นที่รักบนสรวงสวรรค์



------------------แวะคุยกันก่อน--------------------------

ตัดตอนมาก่อนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ฝากให้กำลังใจหน่อย
อ่านแล้วคอมเม้นหรือติดแท็ก #ficlovetoxical เหมือนเดิมในทวิตน้าจะเข้าไปถกด้วย ฮือออออ บทนี่อาจจะเอื่อยๆหน่อยแต่ชีวิตสองคนนี้เขาเป็นอย่างนั้นงะ




You Might Also Like

0 Comments