LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 3

09:03



นิ้วป้อมเคาะบนเคาน์เตอร์ไม้จากชายหนุ่มที่นั่งเท้าคางห่อตัวอยู่ใต้เสื้อหนาๆ สองชั้นสะท้อนเสียงเป็นจังหวะเหมือนกำลังนับเวลา ตากลมโตทั้งคู่จดจ้องบานประตูร้านแทนหน้ากระดาษสรุปแนวข้อสอบที่ต้องใช้สอบในวันมะรืนอยู่นานจนไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าของร้านสาวซึ่งกอดอกมองอยู่พักใหญ่แล้ว




“เรามีธุระอะไรหรือเปล่า ถ้ามีจะกลับก่อนก็ได้นะ ลูกค้าเหลืออีกไม่มาก พี่ชารุเขาจัดการได้” คำถามนั้นเรียกให้อีกคนได้สติหันกลับมามองทางต้นเสียงก่อนจะเดินไปช่วยหิ้วกระเป๋าและข้าวของมาถือเอง





“เปล่าครับ ผมไม่ได้มีธุระอะไรนะครับ”





“พี่เห็นเรามองประตูอยู่ตั้งนาน นึกว่าเรามีนัดติวกับเพื่อน ที่จริงช่วงนี้เราไม่ต้องมาก็ได้นะ อีกวันสองวันจะสอบอยู่แล้วด้วย”





“ไม่เป็นไรครับ ปกติผมจะอ่านหนังสือเตรียมตัวไว้อยู่บ้างแล้ว พอใกล้สอบก็แค่ทวนเอาจากแนวข้อสอบที่จงฮวานมันสรุปอีกหน่อยก็ได้ครับ แล้วนี่พี่นาเรจะกลับแล้วเหรอครับ”





“จ้า พี่รู้สึกมึนๆ หัวเลยว่าจะกลับไปนอนก่อน”





“พี่จะกลับยังไงครับ...กลับแท็กซี่หรือเปล่า ผมจะได้ไปเรียกรถให้”






“เพื่อนพี่คนที่เราเห็นเมื่อวานเขาจะมารับน่ะ”






“งั้นผมออกไปส่งนะครับ” ชายหนุ่มบอกรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูและหิ้วของทั้งหมดเดินขึ้นบันไดตามหลังไปส่งเจ้าของร้าน เมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติผมสีบลอนด์โบกมืออยู่หน้ารถแวนสีดำคันใหญ่ก็อยู่ช่วยจนขนทุกอย่างขึ้นรถเรียบร้อยถึงถอยหลังมาโค้งให้คนทั้งคู่






จุนซอยืนมองรถยนต์ที่เคลื่อนห่างออกไปพลางลดมือที่โบกไหวๆ เพื่อร่ำลาลงและตอนนั้นเองที่เขาเผลอเหลือบตาไปยังช่องว่างหน้าร้านที่เคยมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่แต่สามวันมานี้กลับไม่เห็นกระทั่งฝุ่นจากรอยยางรถ






...ไม่มีเวลามาร้านแต่มีเวลามาจอดรถรอตอนเที่ยงคืนกว่าได้ทุกวัน...






สายลมแห่งค่ำคืนพัดมาต้องผิวหน้านวลให้สัมผัสถึงความเย็น เจ้าตัวหลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนหันหลังก้าวลงบันได หากเมื่อสายตาทอดไปยังบันไดขั้นสุดท้ายกลับพบเพื่อนสนิทตัวใหญ่ที่สวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนธรรมดาแต่มีออร่าความหล่อทะลุทะลวงยืนถือถุงกระดาษอยู่






“อ้าว...มึงมาไงเนี่ย”






“มาเมื่อกี้” จงฮวาตอบขยับถอยจากผนังที่ยืนพิงเดินตามเพื่อนที่หันมามองพร้อมผลักประตูเข้าไปในร้านสัก






“เมื่อกี้...ตอนที่กูรอส่งพี่นาเรอยู่อะนะ”






“เออ”






“ไมไม่เรียกเล่า”






“เห็นมึงคุยกับพี่เขาอยู่เลยมารอตรงนี้”






“แล้วมาทำไร”






“มาร้านสักคงมากินข้าวมั้ง มานี่ก็ต้องมาสักสิวะ”






“อะไร สักอีกล่ะ หนังสงหนังสือสอบไม่อ่านหรือไง”






“นี่มึงลืมไปมั้ยว่าถามใครอยู่ กูคนสรุปแนวข้อสอบให้พวกมึงอ่านนะ แบบกูนี่ไม่ต้องอ่านก็จำได้หมดแล้ว ว่าแต่มึงเถอะอ่านถึงไหน ถ้าสอบรอบนี้ไม่ผ่าน มึงได้ลงทะเบียนเรียนต่อเทอมหน้าแน่” เสียงทุ้มจากคนตัวใหญ่ตอบมีรอยยิ้มบางตรงมุมปาก






“ถึงคะแนนสอบกูจะลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ท็อปฟอร์มได้ลำดับต้นๆ แบบมึง แต่กูก็เกรดเฉลี่ยใช้ได้อยู่นะเว้ย”






“เออ ไอ้คนเก่ง...สอบพรุ่งนี้ยังมีหน้ามาทำงาน”






“ทีมึงยังมาสักได้เลย...จะมาสักนี่ได้จองคิวไว้กับใครเปล่า”






“ไม่ได้จอง เวลากูจะมาสักก็มาเลยไม่เคยจอง”






“ปกติพี่เขาไม่ค่อยสักให้คนไม่จองคิวสักเท่าไหร่นะ”






“กูรู้จักกับพวกพี่เขา มาสักก็บ่อย...ไม่ใช่คนแปลกหน้า ไว้เป็นใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาสิ แบบนั้นค่อยสงสัยว่าจะไปบอกตำรวจ”






“อา เข้าใจล่ะ แต่มึงก็เลือกเวลามาสักเก่งเนาะ รู้ได้ไงว่า อีกเดี๋ยวพี่ชารุจะสักเสร็จแล้วจะว่างยาวถึงห้าทุ่มน่ะ...เอาเหอะ มึงนั่งรอก่อนแล้วกัน จะไปเอาน้ำมาให้ มีน้ำเปล่ากับชากุหลาบ มึงจะเอาไร”






“ไม่ต้องก็ได้”






“ไม่ได้...มึงเป็นลูกค้า ยังไงก็ต้องเอาน้ำมาให้”






“งั้นน้ำเปล่าแล้วกัน”






“ที่จริงมีเบียร์ด้วย แต่ต้องจ่ายเพิ่ม อากาศแบบนี้จิบเบียร์สักหน่อยน่าจะดีนะ” อยู่ๆ การเสนอขายสินค้าอื่นก็เพิ่มเข้ามาพร้อมกับน้ำเปล่าที่ถูกยัดใส่มือ






“ไอ้ห่า...ใจคอจะขายของกับเพื่อนกับฝูงเลย”






“เอ้า ลูกจ้างที่ดีเขาต้องช่วยเจ้าของทำมาหากินทุกทางนั่นแหละ”






“ช่วยเขาเพราะชอบเขาไม่ใช่ไง” คำนั้นสวนมาเหมือนแหย่แม้ตามีแววเศร้าแฝง แต่คนฟังไม่ทันเห็น






“อันนั้นก็ใช่ แต่กูได้เงินเดือนต้องทำงานให้คุ้มกับเงินด้วยดิ”






“ไหนว่าโดนน้องพี่เขาใช้งานหนัก มันก็น่าจะคุ้มค่าแรงแล้วไม่ใช่เหรอ”






“เขาไม่ได้มาทุกวันนี่หว่า ช่วงนี้แทบไม่มาร้านเลย เพราะงั้นช่วยขายเครื่องดื่มหากำไรเข้าร้านแถมได้เงินค่าแรงเพิ่มด้วยดีกว่าอีก”






“วันนี้ก็ไม่มาเหรอ”






“ไม่”






“เสียดายว่ะ นึกว่าอยู่” คนตัวใหญ่บอกพลางยกมือกำหมัดชกกับมืออีกข้างเล่น






“จะต่อยให้เหรอ”






“เรื่องอะไรจะต่อย กูไม่ใช่อันธพาลนะ อย่างดีก็แค่ให้บัตรเนื้อย่างผูกมิตร”






“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะใช้ความยูโดสายดำมาช่วย” เสียงของลูกจ้างหนุ่มลากยาวก่อนจะหยิบอัลบั้มรอยสักหลายเล่มมาส่งให้ “มึงมาสักนี่เตรียมลายมาเองปะ ถ้าไม่มีลองเลือกจากในนั้นดู หรือไม่ก็ดูเป็นแนวๆ แล้วค่อยให้พี่ชารุออกแบบใหม่ก็ได้”






“ว่าแต่ทำไมพี่นาเรเขากลับเร็วจัง”






“พี่เขาปวดหัวก็เลยกลับก่อน จะว่าไปตั้งแต่กูมาทำงานที่นี่จนเข้าเดือนที่สาม กูเห็นพี่นาเรไปโรงพยาบาล แถมยังกลับบ้านเร็วตลอด พอถามพี่เขาก็ยิ้มบอกไม่เป็นไร”






“ไม่ลองถามคนอื่นดูล่ะ”






“ถามแล้วแต่กล้ามปูมันบอกแค่ว่า อย่าโง่อย่างเดียวเลย”






“กล้ามปู...มึงนี่ คนนั้นเขาเป็นน้องชายพี่นาเรไม่ใช่เหรอ เขาอายุเท่าไหร่ถึงกล้าไปเรียกเขาอย่างนั้นวะ”






“สามสิบเอ็ด สามสิบสองมั่ง”






“อายุมากกว่ามึงตั้งเยอะไปเรียกเขาแบบนั้นเขาไม่ด่าตายเลยเหรอ”






“ก็ใครใช้ให้มาเรียกกูว่าไอ้อ้วนก่อนล่ะ”






คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากเพื่อนสนิทที่เอื้อมมือมาขยี้หัวแรงๆ จนผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มนั้นยุ่งไปหมด






“มึงนี่หัวร้อนตลอดเลย เอานี่ไปกินเผื่อจะใจเย็นขึ้น”






“ไรอะ” ฝ่ายขี้สงสัยรับถุงกระดาษมาเปิดดู “ซาลาเปานี่...โอ๊ะ ไอ้ซาลาเปาร้านนี้นี่ใช่ร้านที่ออกทีวีแล้วคนต่อคิวซื้อนานๆ ปะ”






“จำได้ด้วย”






“ได้ดิ...มีอะไรที่กูอยากแดกแล้วกูจำไม่ได้บ้าง ล่ะนี่ยังไง มึงไปต่อคิวซื้อมาเหรอ”






“เรื่องอะไรจะไปต่อคิว กูฝากสาวที่คุยๆ กันอยู่ซื้อมาต่างหาก เห็นเขาอยากกินอยู่เลยฝากซื้อเผื่อ”






“ดีเนาะ มีสาวไปซื้อของให้แดก”






“กูก็เอามาให้มึงแดกต่ออยู่นี่ไง”






“อ่ะเปลี่ยนใหม่ เอาเป็นว่ามีมึงเป็นเพื่อนสนิทเนี่ยก็ดีเนาะ”






จุนฮวานมองริมฝีปากที่เหยียดกว้างอวดฟันขาวกับตาที่หยีเล็กของฝ่ายตรงข้าม แม้จะอึดอัดในสถานะที่ถูกขีดเส้นใต้ไว้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบไป






...รู้จักกันตั้งแต่อนุบาลจนจะจบมหาวิทยาลัยก็เกือบยี่สิบปีแล้ว...
 


...ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหนที่มันเข้ามาอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา...





“เฮ้ย เหม่อไรเนี่ย พี่เขาเรียกให้เข้าไปสักต่อแล้ว” เสียงเรียกนั้นดึงให้หลุดจากโลกความคิด คนตัวใหญ่กระพริบตามองเพื่อนที่เดินไปอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงินลูกค้าถึงค่อยมองไปทางรุ่นพี่ที่กวักมือเรียกอยู่หน้าห้องสักและเดินตามการเรียกนั้นไป






ชารุรออยู่ในห้องถามไถ่ถึงลายที่อยากสักเหมือนทุกครั้ง หากคราวนี้แทนที่จะมีตัวอย่างแบบที่วาดด้วยตัวเองมาให้ ลูกค้าที่พ่วงสถานะรุ่นน้องอายุห่างเป็นสิบปีกลับถามถึงลายที่เด็กในร้านเป็นคนวาดตามสั่งของน้องชายคนรักมาให้เสียอย่างนั้น






“ถ้าผมเลือกลายที่มันออกแบบมาสัก มันจะได้เงินด้วยมั้ยครับ”






“ได้สิ”






“งั้นผมเลือกลายนี้สักตรงต้นแขนขออย่าเลยศอกนะครับ ตรงนั้นไว้เผื่อสักลายอื่น แล้วก็รบกวนพี่อย่าบอกจุนซอมันนะว่าผมเอาลายที่มันวาดมาสัก”






คนอ่อนกว่าชี้นิ้วไปยังรูปใบหน้าตรงของอสูรละม้ายหมาป่าพ่นลมหายใจเป็นวงไฟน่ากลัว มองรุ่นพี่ที่พยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมก็นั่งลงบนเก้าอี้ปล่อยให้แขนของตนเองกลายเป็นพื้นที่สร้างงานศิลป์ของช่างอย่างเต็มที่






ขณะนั้นภายนอกพนักงานของร้านกลับมานั่งจดจ่อกับการอ่านสรุปแนวข้อสอบอีกครั้ง แต่เวลาที่พักสายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูอยู่เช่นนั้น กระทั่งเวลาล่วงไปเป็นชั่วโมงพร้อมกับการมาถึงของลูกค้าสาวสวยที่หอบกลิ่นน้ำหอมผสมบุหรี่แรงๆ เข้ามาถึงได้ลุกขึ้นทำหน้าที่ของตัวเอง






“สักเสร็จแล้ว มึงจะไปไหนต่อเปล่าเนี่ย” หลังส่งลูกค้าอีกรายเข้าไปในห้องสักและเก็บเงินค่าสักตามจำนวนที่เจ้าของร้านเรียบร้อยก็เริ่มเปิดคำถามใหม่






“ไม่ละ แต่มึงน่ะเลิกงานกี่โมง”






“เก็บร้านอะไรเสร็จก็เที่ยงคืนนู้น”






“เที่ยงคืนเหรอ” ฝ่ายถามยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูตัวเลขบนหน้าปัดบอกเวลาห้าทุ่มตรง “อีกสองวันจะสอบอยู่แล้ว มึงกลับตอนนั้นกว่าจะถึงบ้านก็นานจะนอนพอที่ไหน เอางี้มั้ย มานอนหอกูก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน”






“ไม่เอา”






“ทำไมอีกอ่ะ รอบก่อนที่มึงบอกจะมาค้างก็ไม่มานั่น มึงยังไม่บอกเหตุผลกูเลยนะ”






“ไม่อยากกวนพวกมัน”






“ไม่กวนหรอก มันยังบอกให้มึงมานอนได้”






“แต่กูไม่ได้เอาบัตรนักศึกษามา หนังสือ เครื่องเขียน ไม่มีห่าอะไรสักอย่าง นอกจากเงินติดตัวหมื่นวอนไว้เติมเงินในทีมันนี่เนี่ย”






“มึงนี่แม่ง บัตรนักศึกษาทำไมไม่พกติดตัวไว้วะ อา แบบนี้ดีกว่า อีกชั่วโมงมึงก็เลิกงานแล้วนิ เดี๋ยวกูรอไปส่งมึงที่บ้านให้ วันนี้กูเอารถมาขับไปถึงนู้นไม่น่าเกินสี่สิบนาที”






“มึงขับบิ๊กไบค์มาเหรอ”






“อืม...เห็นวันก่อนมึงบ่นอยากนั่งไม่ใช่ไง”






“อยากขับไม่ใช่อยากซ้อน”






“มึงนี่แม่งยังจะมีหน้ามาอยากขับ ห่า ไอ้ขาซ้ายมึงที่ต้องใส่เหล็กดามไว้ข้างในนั้นเพราะขับมอไซด์คว่ำมารอบแล้วนะ”






“มึงนี่ขี้บ่นจัง บ่นกว่าแม่กูอีกเนี่ย”






“มึงก็อย่าทำให้กูเป็นห่วงสิวะ วันนี้ให้กูขับไปส่งแล้วกัน”






“ก็...” ในนาทีที่กำลังตัดสินใจจะตอบตกลงอยู่นั่น รถสีดำที่จอดในซอยข้างร้านสะดวกซื้อกลับลอยเข้ามาในความคิดให้ลังเล






...ถ้าวันนี้ไม่ไปลุงคนนั้นต้องรอเก้อเพิ่มจากสองวันเป็นสามวันเชียวนะ...




...ไม่อยากทรมานคนแก่นานเกิน...






“ไม่เอาดีกว่า...กูนั่งรถเมล์ถึงจะช้าแต่ยังได้หลับ”






“หลับบนรถไม่สบายเท่ามึงถึงบ้านเร็วแล้วนอนบ้านหรอก”






“อากาศมันเย็นด้วย กูไม่ค่อยอยากโดนลมเย็นๆ กลัวไม่สบาย”






“เอาเสื้อคลุมกูที่อยู่ใต้เบาะไปใส่ก็ได้”






“กูอยากกลับรถเมล์ไง ละอีกอย่างถ้ามึงไปส่งกูถึงบ้านกว่ามึงจะกลับมา กว่ามึงจะได้อ่านหนังสือ กว่าจะได้นอน กูไปรถเมล์กูสบายใจกว่า”






คนเป็นเพื่อนสนิทฟังคำตอบเหยียดยาวนั้นพลางเม้มปากอยู่พักหนึ่งก็อ่อนใจยอมจำนนให้แต่โดยดีเพราะไม่อยากเซ้าซี้ให้รำคาญ






...ยกเหตุผลมาขนาดนี้ยังรั้น มันจะโมโหเปล่าๆ ...






“ก็ได้ งั้นกูกลับไปอ่านหนังสือสอบก่อนแล้วกัน มึงเองระหว่างนี่ก็อ่านตุนไว้เยอะๆ ล่ะ อย่าสอบตกเพราะกูขี้เกียจติวให้ เข้าใจมั้ย”






“รู้น่า ขับรถกลับระวังๆ ล่ะ ฝันดีนะมึง”






คนตัวเล็กกว่าโบกมือไปมาให้กับเพื่อนซี้ตัวใหญ่ที่ผลักประตูออกจากร้าน จากนั้นจึงกลับมานั่งอ่านหนังสือรอให้ถึงเวลาร้านปิดก็นับเงินจากแคชเชียร์รวมยอดส่งให้เจ้าของร้านจัดการต่อ






“เราสอบวันไหนนะ”






“มะรืนนี้ครับ”






“เราจะกลับยังไง”






“รถเมล์ครับ”






“ไปรถเมล์มันนานนิ เอานี่ไปสิ ไปขึ้นแท็กซี่ไปจะได้กลับบ้านอ่านหนังสือเร็วหน่อย” คนเป็นผู้ใหญ่กว่าหยิบเงินส่งให้






“ไม่เป็นไรครับ”






“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”






“ผมชอบนั่งรถเมล์น่ะครับ ผมรู้สึกว่ามันนั่งแล้วสบายดี”






“แบบนั้นหรอกเหรอ”






“ครับ”






“ถ้าเราสบายใจแบบนั้นก็เอาเถอะ พี่ไปก่อนนะ” น้ำเสียงเข้มแต่อุ่นจากรุ่นพี่ที่ช่วงวัยห่างกันมากบอก เพราะเป็นคนไม่ชอบซักไซ้ให้ได้ความอะไร นอกจากจะเป็นเรื่องไม่ดีของคนใกล้ชิดจึงมักจะปล่อยความสบายใจของอีกฝ่ายไปเสมอ






จุนซอโค้งให้ก่อนจะลากเท้าฝ่าความเย็นของอากาศยามดึกไปยังป้ายรถประจำทาง ตากลมทอดไปยังซอยข้างร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามที่ยังโล่งอยู่ แต่ไม่ถึงห้านาทีก็มีรถยนต์สีดำคันที่คุ้นเคยแล่นมาจอด






เพียงนาทีแรกที่เห็นรถคันนั้น แม้จะไม่เห็นตัวเจ้าของรถเลยแต่นั่นก็มากพอให้ริมฝีปากอิ่มคลี่บานเป็นรอยยิ้มกว้าง ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในใจภายใต้โมงยามแห่งการรอคอยให้รถประจำทางสายที่รออยู่มาถึง






เมื่อรถประจำทางสายนั้นมาจอดเทียบป้ายรถ เท้าของคนตัวกลมเพราะสวมเสื้อหลายชั้นก็ก้าวขึ้นไปนั่งริมหน้าต่างฝั่งที่ใกล้กับรถยนต์ที่จอดอยู่โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งยืนรอเป็นเพื่อนอยู่ห่างๆ






ตากลมสีน้ำตาลสวยแกล้งมองเพ่งกระจกหน้ารถที่เคลือบฟิล์มกันแดดไว้ราวกับจะส่องไปให้ถึงตัวคนขับกระทั่งรถเริ่มออกตัวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับรถอีกคันที่เริ่มเดินเครื่องขยับแล่นไปบนถนน






บานประตูหลักของห้องชุดในอาคารหรูเปิดออกพาแสงไฟจากโถงทางเดินสาดเข้ามาให้เห็นร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในความสลัวลาง พลันเมื่อผ่านเข้าไปในอีกห้องหลอดไฟบนเพดานกลับทำงานอัตโนมัติพาความสว่างมาให้ทุกอย่างชัดเจนในสายตาก็พอดีกับที่กุญแจรถถูกโยนไปกองเอกสารบนโต๊ะที่มีแล็ปท็อปเปิดโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับจัดการเรื่องเงินเดือนพนักงานเปิดหราอยู่






ยงนัมเปิดฝาน้ำขวดใหญ่มากระดกดื่มแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ทั้งที่งานยุ่งจนไม่มีเวลาแวะไปช่วยงานที่ร้านสักมาหลายวันแถมไม่ได้ไปสังสรรค์กับใครที่ไหน แต่ไม่รู้ทำไมพอใกล้เที่ยงคืนปุบต้องหยิบกุญแจขับรถออกไปดูเด็กกวนประสาทคนนั้นทุกวัน






...ขนาดงานจะเสร็จอยู่แล้ว พอเห็นจะเที่ยงคืนใจก็สั่งร่างกายให้ลุกทันที...






เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมถึงต้องออกไป มันก็โตขนาดนั้นแล้วแค่ยืนรอป้ายรถเมล์คนเดียวมืดๆ ไม่เห็นต้องสนใจ แต่ถ้าไม่ออกไปดูให้เห็นกับตาว่ามันขึ้นรถกลับบ้านแล้ว ใจมันจะร้อน กระวนกระวายไปหมด






“มึงนี่แม่ง ทำกูวุ่นวายฉิบหาย” เขาบ่นออกมาอย่างหัวเสีย กระแทกตัวบนเก้าอี้โยนขวดน้ำลงถังขยะใต้โต๊ะและเริ่มทำงานต่อ ในใจก็คิดเพียงว่า พรุ่งนี้ต้องไปเฝ้าร้าน






...จะไปด่าให้สมความน่ารำคาญของมึงเลย ไอ้เด็กเวร...
----------------------------------------


หลังเสร็จจากงานสอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนมัธยมต้นที่สอนและออกกำลังกายในฟิตเนสของตนเองเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อมสำหรับการแข่งขันเพาะกายช่วงสิ้นปี ยงนัมก็โผล่ไปยังร้านสักที่ตนเองร่วมลงขันหุ้นอย่างที่โทรมาบอกพี่สาวไว้ หากเมื่อก้าวเข้าไปในร้านกลับไม่เจอตัวคนที่หมายมั่นจะมาด่าให้สมอยาก อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ช่างสักรวมถึงเก็บร้านคนเดียวเพราะพี่สาวและว่าที่พี่เขยต้องไปงานแต่งงาน






ชายหนุ่มอยู่โยงเฝ้าร้านเพียงลำพังโดยไม่ถามไถ่ถึงเด็กชอบกวนประสาทราวกับการไม่มีตัวตนอยู่ของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องต้องให้ความสำคัญอะไรเลยไม่มีใครแจกแจ้งอะไรให้ฟังเช่นกัน ทว่าพอปิดร้านขับรถเพื่อจะกลับบ้านก็อดไม่ได้ที่จะวนไปจอดยังข้างร้านสะดวกซื้อเพื่อพบกับป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คน ทำให้ตลอดคืนนั้นเขาแทบไม่เป็นอันนอน เอาแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ววางกลับไปดังเก่า






...สนใจทำไม มันจะหายไปไหนก็เรื่องของมันสิ...






ทั้งที่บอกตนเองหนักแน่นไว้เช่นนั้น หากการไปร้านวันที่สองโดยไม่เห็นเด็กคนเดิมคอยวอแวกวนประสาทให้เขาได้ด่าก็เริ่มหงุดหงิด ยิ่งเห็นว่าพี่สาวกับว่าที่พี่เขยปิดปากเงียบเหมือนไม่เคยจ้างใครมาทำงานเลยขอตัวไปซื้อกาแฟเพื่อไม่ให้อาการหัวร้อนถูกปล่อยออกมาให้ใครเห็น






มือใหญ่ผลักประตูเข้าไปในร้านกาแฟของรุ่นน้องที่รู้จักกันจากการที่เพื่อนสนิทของตัวเองซึ่งสนิทกับน้องชายฝาแฝดของเขามากกว่าพาน้องคนนี้ไปออกทริปถ่ายรูปบนเขาก็เลยได้เจอ จากนั้นก็เริ่มคุยกันบ่อยเพราะเล่นเกมออนไลน์ในทีมเดียวกัน มาระยะหลังเขาเริ่มมีกิจการของตัวเองเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันไปโดยปริยาย






ชายหนุ่มหน้าขาวละมุนดูอ่อนนุ่มเหมือนขนมมาร์ชเมลโล่สวมเสื้อแขนยาวสีชมพูทับด้วยผ้ากันเปื้อนเงยหน้าจากเคาน์เตอร์หลังเครื่องชงกาแฟมามอง เพียงเห็นหน้าก็เลิกคิ้วสูงใส่






“ไง” ฝ่ายอายุมากกว่าทักแล้วหันไปรอบร้านที่เหลือเจ้าของร้านกาแฟเพียงคนเดียวแทนที่จะมีรุ่นน้องของตนเองอีกคนที่รู้จักจากการไปดื่มซึ่งเขาได้ยินจากเพื่อนซี้อีกคนว่ามักมาอยู่ที่นี่บ่อย แม้แต่พนักงานในร้านที่เด็กกวนประสาทมันเคยว่าเพราะเขาชอบมาซื้อกาแฟตอนร้านใกล้ปิดทำให้ต้องจ้างคนมาอยู่ช่วยเฉพาะเวลานั้นก็ไม่เห็น






“พี่มาซื้อกาแฟเหรอครับ” หลังก้มหัวให้เป็นเชิงทักทายกลับไป เจ้าของร้านก็เปิดบทสนทนากลางความเงียบของร้านที่กำลังจะปิดทำการ






“เออ แล้วนี่มึงอยู่คนเดียวเหรอ”






ฝ่ายถูกเรียกแทนชื่อว่า มึง จ้องหน้าคนอายุมากกว่าเขม็งพลางเม้มปาก รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่กับสรรพนามนั้นแต่พยายามอดทน






“พี่เรียกผมว่ามึงเลยเหรอ เรียกชื่อผมแทนก็ได้นะ”






“โทษที กูลืมไปว่ามึงไม่ชอบให้เรียกมึง”






“ตะกี้พี่ก็เรียกมึงอยู่นะ”






“เออ พี่ไม่ได้ตั้งใจ อย่าถือสาพี่นักเลย”






“ครับ” เสียงตอบรับนั้นเบาหวิวอย่างคนที่รู้ว่าอีกสักพักก็จะโดนเรียกเหมือนเดิมใหม่






“อยู่ร้านคนเดียวเหรอ แดฮยอนกับเด็กในร้านเราไปไหนวะ”






“ทำไมพี่ถามถึงเขาขึ้นมาล่ะ”






“พี่ได้ยินซองวอนมันบอกว่าแดฮยอนมันชอบมาเฝ้ามึงที่นี่”






“เฝ้า...เฝ้าผมอ่ะนะ โอ๊ย พี่เข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ได้มาเฝ้าผมซะหน่อย เขาแค่อยากมาหาน้องที่ผมจ้างกับมานั่งหว่านเสน่ห์ใส่ลูกค้าผมต่างหาก นี่ก็ไปทำงานต่างจังหวัดอีกวันสองวันถึงจะกลับ ไปนู่นก็คงได้เบอร์สาวมาอีกเป็นกระบุงเลยมั่ง” ยองแจเอ่ยยาวเกือบจะหลุดยู่ปากอย่างเอาแต่ใจออกมา แต่อีกคนกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร






“อ้าว อย่างนั้นหรอกเหรอ ก็ว่า...คนอย่างมันไม่น่ามานั่งทำงานอะไรในร้านกาแฟ ถ้าร้านเหล้าล่ะไม่แน่ แล้วเด็กในร้านล่ะไปไหน”






“ไปสอบ ว่าแต่พี่เถอะทำไมถึงมาซื้อกาแฟเอง จะว่าไปสองสามวันมานี้ก็ไม่เห็นเด็กในร้านพี่มาซื้อกาแฟเลย หรือว่าเด็กคนนั้นเขาลาออกไปแล้ว”






“ไม่รู้แม่ง”






“อ๋อ งั้นวันนี้พี่จะสั่งอะไร อเมริกาโน่เย็นเหมือนเดิมหรือเปล่า”






“เออ”




“โอเค เดี๋ยวผมทำให้นะ ยังไงรบกวนพี่พลิกป้ายที่แขวนตรงลูกบิดข้างนอกประตูจาก OPEN เป็น CLOSE ให้ผมได้มั้ย จะได้ไม่มีลูกค้าหลงเข้าร้านมาอีก”






“อ้อได้” คนตัวใหญ่พยักหน้าเดินไปจัดการป้ายให้ตามคำขอ จึงเดินกลับมายืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟดังเก่า






บรรยากาศในร้านเงียบเหงา ประจวบกับมีช่วงหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างเผลอคิดถึงคนที่ไม่มาให้เห็นหน้าหลายวันแต่ใจไม่ยอมรับเลยหลุดถอนหายใจออกมาพร้อมกันทำให้ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนทั้งที่ปกติก็พูดคุยกันได้ปกติ






“พี่ช่วยเก็บร้านมั้ย” ท้ายที่สุดคนอายุมากกว่าก็อาสา ถือแก้วอเมริกาโน่ร้อนเดินร่อนไปทั่วร้านช่วยเช็ดโต๊ะและเก็บเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง ปล่อยเจ้าของร้านทำความสะอาดข้าวของไปจนเรียบร้อยจึงเสนอตัวเดินไปส่งถึงบ้านให้






ระหว่างทางทั้งสองต่างสรรหาเรื่องสัพเพเหระมาคุยแต่ดูเหมือนบทสนทนามักจะพาลให้คิดถึงใครคนเดิมที่ติดอยู่ในใจกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่ต่างต้องแยกย้ายได้ในใจก็เต็มไปด้วยความเหงาระคนประดักประเดิด






ยงนัมล้วงมือในกระเป๋ากางเกงยีนสีดำที่สวมขณะเดินกลับจากหน้าอาคารที่พักของรุ่นน้อง เพราะไม่มีอารมณ์จะกลับเข้าร้านเท้าที่ก้าวไปข้างจึงหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไปหยุดตรงป้ายรถเมล์






ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก็สังเกตเห็นรถประจำทางสายที่เด็กเวรตะไลคนนั้นแล่นผ่านเลยลองเดินย้อนเส้นทางดูก็พบว่าป้ายประจำทางที่อยู่ก่อนหน้าห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรขนาบข้างด้วยร้านอาหารและฝั่งตรงข้ามยังเป็นร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ทำให้สว่างและมีคนเดินไปมาอยู่ตลอด






“ไอ้โง่เอ๊ย...เดินมาป้ายนี่ก็จบ เสือกไปยืนรอรถตรงป้ายมืดๆ” เขาว่าพลางส่ายหัวโยนแก้วกาแฟร้อนในมือที่ดื่มจนหมดลงถังขยะแล้วเดินกลับร้าน






เสียงกระดิ่งตรงประตูเรียกให้นาเรหยุดการหยอกล้อกับว่าที่สามีซึ่งกำลังคุยกับลูกในท้องอย่างสนุกสนานหันมามอง...เพียงเห็นคิ้วขมวดบนหน้าคมคร้ามแดดของผู้เป็นน้องเข้ามาใกล้พร้อมกับการกอดอกวางท่าเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพื่อถามถึงรุ่นน้องของเธอเองก็เกือบขำ ดีที่ยังไว้ฟอร์มตีหน้านิ่งทัน






“พี่...ไอ้อ้วนมันลาออกไปแล้วเหรอ”






“เอ้า สนใจด้วยเหรอ เห็นไม่ถามก็นึกว่าไม่สนใจ” คนเป็นพี่ตอบหน้าตายแลความร้อนรนของน้องอยู่ครู่หนึ่งจึงต่อ “จุนซอเขาไปสอบ”






“ไปสอบไม่เห็นมันบอกผมเลย”






“แล้วทำไมเขาต้องบอกแกด้วย”






“ผมเป็นหุ้นส่วนร้านนี้ก็เท่ากับเป็นเจ้านายมันเหมือนกัน เวลามันจะขาดงานก็ควรบอกผมสิ”






“พี่รับรู้และอนุมัติแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกแกเลย”






“ถึงอย่างนั้นก็ควรมีมารยาท โทรมาขออนุญาตผมสิ”






“จุนซอไปสอบนะไม่ได้ไปเที่ยว จะให้โทรรายงานหุ้นส่วนหมดทุกคนไม่ต้องได้สอบกันพอดี อีกอย่างเขาไม่มีเบอร์ติดต่อแกด้วยจะให้เขาโทรจิตไปหาหรือไง”






“โทรเข้าร้านมาก็ได้”






“แกไม่มาตั้งหลายวัน คิดว่าโทรเข้าร้านแล้วแกจะอยู่รับเหรอ”






“ทิ้งโน้ตไว้ให้ผมหน่อยก็ไม่ได้ ไอ้งานที่ผมสั่งมันไว้ก็ไม่เอามาส่ง”






“ถ้ามึงหมายถึงงานวาดลายดอกไม้ที่ให้จุนซอมันไปทำนั่น มันอยู่กับกูแล้ว” ว่าที่พี่เขยแทรกขึ้นมาหน้าตายเช่นกัน






“ผมสั่งงานมัน แทนที่จะเอามาวางในห้อง เสือกเอาไปให้พี่เนี่ยนะ ไอ้เด็กนี่แม่ง”






“แกเป็นอะไรของแกนักหนา แค่จุนซอไม่มานี่พาลเขาอยู่ได้” เสียงคนเป็นพี่แว้ดเสริมตามด้วยอีกเสียงคอยสำทับ






“หงุดหงิดขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะคิดถึงมันหรอกใช่มั้ย”






ประโยคจี้ใจดำจากว่าที่พี่เขยทำให้คนเป็นน้องชะงักนิ่งพร้อมกับตาคมที่กะพริบขึ้นลงแล้วกลอกไปข้างบนเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว






“ใครว่าผมคิดถึงมัน แค่ไม่ชอบที่มันไม่มีมารยาทต่างหาก โวะ ผมไม่เถียงกับพวกพี่แล้ว ขอผมไปกินน้ำก่อนจะออกมาช่วย ถ้าพวกพี่จะกลับไปพักก่อนก็ไปได้เลย ผมอยู่เอง” เขาตัดบทเดินหนีมาสงบสติอารมณ์ในห้องพักด้านหลังร้าน มือใหญ่เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขวดในตู้มากระดกดื่มก่อนจะพ่นพรวดออกมาเพราะได้รสชาและกลิ่นของกุหลาบจากในน้ำไหลลงคอ






“เหี้ยเอ๊ย ใครแม่งเอาชากุหลาบของไอ้เด็กกุหลาบมาใส่ขวดแช่เย็นวะ” เขาสบถแทบคำรามยกแขนเช็ดน้ำที่เปื้อนปากโยนขวดน้ำไปตรงโซฟา ตาคมกร้าวกวาดมองทุกขวางหูขวางตาไปหมด






...ท่าทางจะทำงานหนักเกินไป...




...พรุ่งนี้คงต้องไปดื่มคลายเครียดกับเพื่อนสักหน่อย...


----------------------------------------------------------


ร้านอาหารฝรั่งเศสตกแต่งในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ช่วงสองทุ่มของคืนวันศุกร์เต็มไปด้วยผู้คนเข้ามาใช้บริการ ณ โต๊ะใหญ่กลางร้านมีกลุ่มหนุ่มสาวแต่งตัวเช่นพนักงานบริษัททั่วไปนั่งล้อมวงกินดื่มพูดคุยกันอย่างออกรส






หญิงสาวผมสั้นผิวขาวสวมเดรสสีดำทับด้วยเสื้อสูทสีครีมปรายตาไปหาชายหนุ่มผิวเข้มหน้าคมตัวสูงใหญ่ที่ก้มหน้าตัดชิ้นสเต็กในจานเข้าปากสลับกับหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมาคอยดูมากกว่าจะเป็นคนเปิดบทสนทนาอย่างเคยจึงเอ่ยถาม






“นายมีนัดกับแฟนหรือไง”






“หื้อ” เสียงนั้นดังขึ้นในคอ เหลือบมองยังแฟนของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าหล่อนซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนของเขาไปด้วย “เปล่า”






“หรือพี่นายเขาเรียกไปช่วยเฝ้าร้าน”






“ไม่ วันนี้บอกแล้วว่าไม่ไป”






“งั้นทำไมถึงเอาแต่ดูโทรศัพท์อยู่ได้”






“เออ กูเห็นมึงหยิบโทรศัพท์ออกมาหลายรอบล่ะ ถ้ามีสาวเรียกหาจะไปก่อนก็ได้” เพื่อนอีกคนว่า จากนั้นคำถามอีกมากมายจากเพื่อนสนิทรอบวงก็ประดังเข้าใส่ราวกับทุกคนต่างรอโอกาสนี้มานาน






“ยังคบกับสาวคนที่กูเห็นรูปที่มึงถูกแท็กในไอจีอยู่หรือเปล่า”






“พวกกูแต่งงานกันจะหมดล่ะนะ นอกจากมึงกับซังกิลก็ไม่มีใครโสดแล้วนะเว้ย”






“มึงเลิกคบใครแค่ไม่กี่เดือนก็เลิกเถอะ อายุปูนนี้แล้วหาเมียเป็นตัวเป็นตนสักคนจะได้มีลูกทันใช้”






“ระดับมึง ทั้งหน้าตา การงาน ฐานะก็ดี ผู้หญิงที่ไหนเขาก็อยากได้ ลองใช้บริการหาคู่จากบริษัทกูดูมั้ย เผื่อจะเจอสักคนที่ใช่”






“เอาใหญ่ล่ะพวกมึง พอเห็นซังกิลมันไม่มาหน่อย หาเรื่องรุมกูเฉย”






“รุมอะไร พวกกูแค่เป็นห่วง ก็รู้ว่าพวกมึงบ้างานแต่เรื่องหาคู่ครองที่เหมาะสมกับวัยอย่างเราๆ มันก็สำคัญ”






“ไว้ซังกิลมันคบกับแฟนเกินครึ่งปีก่อน กูจะหาแฟนแบบจริงจัง”






“แบบนั้นกูว่าพวกมึงได้โสดจนแก่ตายไปด้วยกันแน่”






“จะอะไรกับกูมากมายเล่า เออ เดี๋ยวนะ ขอกูคุยโทรศัพท์แป้บนึง” คนถูกทั้งโต๊ะรุมทึ้งด้วยประเด็นเรื่องคู่ชีวิตหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเพื่อรับสายและสนทนาเพียงสองสามนาทีก็ลุกขึ้นหยิบสูทที่พาดบนเก้าอี้มาสวม






“กูไปก่อน”






“อะไร จะไปแล้วเหรอ” เพื่อนซี้ร่างท้วมที่นั่งหัวโต๊ะถามขึ้น






“พี่กูโทรมาตามให้ไปดูร้าน”






“ไหนว่า วันนี้ไม่ต้องไปไงวะ”






“แม่ของพี่เขยกูเขาแวะมาเยี่ยมกะทันหัน ถ้ากูไม่ไปดูร้านแล้วใครจะอยู่ดู”






“แฝดมึงล่ะ”






“ติดงานอยู่ออสเตรีย”






“งานยุ่งกันจริงๆ มิน่า หาเมียไม่ได้ทั้งพี่ทั้งน้อง”






คำสุดท้ายที่หลุดจากปากกลุ่มเพื่อนสนิทเกือบทำให้คนฟังเกือบง้างปากพูดถึงคนรักของน้องชายฝาแฝดที่ตนเกลียดขี้หน้าแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เขายังไม่ยอมรับว่ามันเป็นเมียน้องในตอนนี้เลยได้แต่พ่นลมร้อนผ่านปากแล้วตัดบท






“กูไปล่ะ จีซอกกูฝากจ่ายค่าอาหารด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาเงินสดให้”






เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้าวพรวดพ้นจากร้านอาหารขึ้นรถขับออกไปจอดยังหน้าตึกที่ชั้นบนเป็นห้องเสื้อและคาเฟ่ส่วนชั้นใต้ดินเปิดเป็นร้านสัก...ใช้เวลาในการพับเสื้อสูทสั่งตัดราคาแพงวางไว้บนเบาะข้างคนขับอีกสองสามนาทีจึงลงจากรถ






ประตูร้านบานเดิมเปิดต้อนรับเช่นทุกครา ความรู้สึกบางอย่างในใจทำให้ตาคมตวัดไปทางเคาน์เตอร์ไม้ต้อนรับลูกค้าเป็นอันดับแรก หากคนที่อยู่ตรงนั้นกลับเป็นว่าที่พี่เขยกำลังล็อกลิ้นชักในเครื่องเก็บเงินอยู่ไม่ใช่เด็กอ้วนกวนประสาทที่เขาเห็นจนชินตามาตลอดสามเดือนครึ่ง






“พี่ล็อกเครื่องแบบนั้นจะปิดร้านกันแล้วเหรอครับ”






“เออ” ชารุเงยมองมาทางน้องชายคนรักที่กำลังเดินเข้ามาใกล้






“เอ้า...พวกพี่ปิดร้านแล้วจะโทรเรียกผมมาเฝ้าร้านทำไม”






“วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าจองคิวสัก นาเรเขาเลยอยากให้มึงช่วยเช็กสต็อกให้หน่อยว่ามีอะไรขาดมั้ยจะได้สั่งมาเติม แต่ถ้ามึงมีธุระก็ไม่เป็นไร”






“เขาไม่มีธุระหรอก เมื่อกี้ตอนโทรไปถามยังบอกมาได้อยู่เลย” นาเรที่แต่งตัวด้วยเดรสยาวสีเหลืองมัสตาร์ดหิ้วกระเป๋าสะพายโผล่ออกมาจากห้องน้ำบอก “เอ เมื่อกี้พี่ได้ยินเพื่อนแกพูดเรื่องแต่งงาน ไอ้ที่รีบมานี่คงตั้งใจหนีเพื่อนล่ะสิ”






“หนีเหนออะไร ผมเห็นพี่บอกจะพาแม่พี่ชารุไปค้างกับแม่เลยรีบมาหรอก”






“อ๋อ เหรอ” ฝ่ายพี่สาวลากเสียงยาวพยักพเยิดหน้าอย่างไม่เชื่อ






“กับผมล่ะไม่เคยเชื่อ ทีกับยงกุกมันนี่เชื่อจริงเชื่อจัง”






“น้องมันไม่เหมือนแก”






“ไม่เหมือนยังไง ผมเป็นแฝดพี่มันนะ”






“อย่างน้อยก็ไม่ปากแข็งเหมือนแก”






“ผมปากแข็งเรื่องอะไร”






“ไม่พูดดีกว่า...พูดไปก็เสียเวลา คนปากแข็งยังไงก็ปากแข็ง”






“พี่นี่พูดไม่รู้เรื่องเลยแฮะ...ผมไม่เถียงด้วยแล้วกัน พี่กับพี่ชารุไปทำธุระเหอะ ผมอยู่เอง” คนขี้รำคาญปิดเรื่องต่อล้อต่อเถียงระหว่างพี่น้องลงในทันที






“แหม รีบไล่เชียว เอาเถอะยังไงก็เช็กพวกกล่องตรงห้องพักข้างหลังด้วยว่ามีอะไรต้องทิ้งก็เอามาทิ้งด้วย...พี่ไปแล้วนะ อยู่กันดีๆ ล่ะ” ท้ายประโยคของพี่สาวสื่อถึงการเหลืออยู่ของคนในร้านมากกว่าหนึ่งคน แต่อีกฝ่ายไม่ตั้งใจฟังเพียงยกมือขยับไปมาเล็กน้อยแทนคำลาแล้วล็อกประตูพลิกป้ายปิดก่อนเดินไปห้องพักหลังร้านเพื่อเริ่มเคลียร์ข้าวของในนั่นเป็นอันดับแรก






จุนซอผงกหัวจากข้าวกล่องตรงหน้าเงยมองไปทางประตูที่เปิดขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งที่ก้าวมาขวางทางเข้าออก ตากลมโตสบเข้ากับตาคมของฝ่ายตรงข้ามเข้าอย่างจัง






ริมฝีปากเกือบจะเหยียดยิ้มออกมาแทบจะทันทีที่เห็นหน้า หากคนอ่อนกว่ารู้ตัวเสียก่อนจึงเม้มปากก้มหัวแทนการสวัสดีเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ข้างในดีใจมากอย่างที่เขายังแปลกใจตัวเอง






“เด็กเปรต เห็นผู้ใหญ่ไม่มีสวัสดีสักคำ” เสียงเข้มจากคนตัวใหญ่ลอยมากระทบกระเทียบเรียกให้อีกคนถือช้อนที่มีข้าวพูนหันไปมอง






“ตะกี้ก็ก้มหัวให้แล้วไง”






“ก้มหัวอย่างเดียวมันใช้ได้ที่ไหน”






“งั้นก็ สวัสดี โอเคยัง”




“พูดกับผู้ใหญ่ไม่มีหางเสียง ที่บ้านเลี้ยงมายังไงวะเนี่ย”






“โอ๊ย จะอะไรเยอะแยะเนี่ย ก็เห็นว่ากินข้าวอยู่ ไหนเคยบอกกินข้าวไม่ให้พูดไง เดี๋ยวข้าวกระเด็นโดนคนอื่น ล่ะตอนนี้มาสั่งให้พูดอยู่นั่น” เสียงนั้นโวยขึ้นอย่างเหลืออด เชิดหน้าไปหาคนที่ยืนกอดอกค้ำหัวอยู่หน้าโต๊ะทำให้ฮู้ดคลุมหัวร่วงไปกองตรงคอเผยให้เห็นผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงและปากอิ่มคว่ำอยู่บนหน้านวลขาว






ผู้มากวัยกว่าตีหน้านิ่งอยู่ครู่ก็เหลือบมะเขือเทศที่ถูกเขี่ยทิ้งในช่องหนึ่งของกล่องอาหารซึ่งดูก็รู้ว่ามาจากร้านสะดวกซื้อไม่ใช่ฝีมือพี่สาวเขาทำให้เหมือนทุกที






“ไม่แดกผักอีกแล้วนะมึงเนี่ย”






“ข้าวนี่ซื้อมาเองนะ ไม่ใช่พี่นาเรทำให้ จะเหลือผักสักชิ้นสองชิ้นเป็นไรไปเล่า ถ้าสงสารเด็กที่เอธิโอเปียมากนักก็เอาไปกินเองเลยไป” มือขาวหยิบส้อมจิ้มมะเขือเทศยื่นไปมา






“ปีนเกลียวเกินล่ะ เดี๋ยวกูโบกให้ ไอ้เด็กเปรต แค่อู้ไม่มาทำงานตั้งหลายวัน ยังมีหน้าเอาของเหลือมาให้กูแดกอีก”






“อู้อะไรเล่า ไปสอบมาต่างหาก ขอพี่ชารุกับพี่นาเรไว้ล่วงหน้าแล้ว”






“แต่ไม่บอกกูเนี่ยนะ”






“พี่นาเรกับพี่ชารุเป็นคนตกลงจ้าง บอกแค่พี่เขาก็พอแล้ว”






“ไม่ได้ กูเป็นหุ้นส่วนร้านเหมือนกัน จะไปไหนทำอะไรต้องบอกกูด้วย”






“ใจคอจะให้บอกทุกเรื่องเลยไง” ฝ่ายอายุน้อยกว่าว่าพลางเข่นเขี้ยวและลดเสียงลงบ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่มาร้านเองใครจะอยู่บอกได้เล่า คาทกหรือเบอร์มือถือก็ใช่จะมี” สิ้นคำบ่นอยู่ๆ ข้อมือขาวกลับถูกมือใหญ่ดึงไปหาตัวพร้อมกับโทรศัพท์ที่ถูกยัดใส่มือตามลงมา






“เมมเบอร์กับแอคคาทกมึงในมือถือกูด้วย”






“ทำไมต้องให้อ่ะ”






“กูจะเอาไว้เช็กเวลามึงอู้”






“นี่หูตึงเหรอ ก็บอกละไงว่าไปสอบ”






“กูไม่ไว้ใจเด็กเปรตอย่างมึง”






“วุ้ย ตาลุงคนนี้นิ ท่าจะหูตึง เพิ่งพูดไปแหม็บๆ ยังจะพูดซ้ำซาก” ถึงจะกระแทกเสียงแดกดันแต่คนอ่อนกว่าก็หยิบมือถือมากดเมมเบอร์กับแอคคาทกให้อย่างเสียไม่ได้ แล้วโยนมันกลับไปหาเจ้าของเครื่องที่พอได้รับมาก็กดโทรออกเมื่อเห็นเบอร์ตัวเองปรากฏบนหน้าจอมือถือของคนที่นั่งกินข้าวซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะจึงวางสาย






“เมมเบอร์กูไว้ด้วย...เมมชื่อกูดีๆ ล่ะ ถ้ากูเห็นมึงเมมชื่อกูเป็นคำด่า กูจะโบกหัวให้สมองมึงไหลลงไปกองกับพื้นเลย” เจ้าของร่างสูงใหญ่ผละจากหน้าโต๊ะเดินไปเปิดกล่องกระดาษที่เทินอยู่มุมห้องตะโกนข้ามมา






“ดุจัง ที่บ้านให้กินข้าวคลุกน้ำตาลเหรอ น่าเบื่อ ถ้ารู้ว่าวันนี้ต้องมาเช็กสต็อกกับคุณลุงสองคนนะจะไม่มาทำงานหรอก ขอลาต่อไปนอนตีพุงอยู่บ้านดีกว่า”






“ไอ้เด็กนี่...ใครลุงมึง กูไม่นับญาติเด็กอย่างมึง”






“ไม่อยากเป็นญาติด้วยสักหน่อย เรียกตามความแก่ตะหาก”






“มึงนี่นะ อยากโดนกูตบหัวหลุดจริงๆ ใช่มั้ย”






“ก็ใช้เป็นแต่กำลังเนาะ สมองไม่ใช้บ้างเลย”






“ปากอย่างมึงนี่ไปข้างนอกได้ถูกกระทืบตาย แล้วนี่จะแดกอีกนานมั้ย กาฟงกาแฟกูออกไปซื้อมาด้วย”






“จะไปซื้อได้ไง ร้านเขาปิดไปตั้งนานแล้ว”






ยงนัมยกนาฬิกาข้อมือดูหน้าปัดที่เข็มยาวและเข็มสั้นบอกเวลาสามทุ่มสิบห้าก็ปรายตาไปทางเด็กอ้วนที่ถือกล่องข้าวลุกไปทิ้งในถังขยะที่อยู่ไม่ห่างจากกาน้ำร้อนไฟฟ้านัก






“ซื้อไม่ทันก็ชงให้กูแดก”






“ฮะ ชงให้อะนะ จะเอาอะไรมาชง ไม่มีเครื่องทำกาแฟกับเมล็ดกาแฟคั่วสักหน่อย”






“กาแฟอยู่ข้างมึงนั่นไง”






ร่างกลมหันขวับไปตามคำสั่งถึงเห็นซองกาแฟทรีอินวันอัดแน่นในขวดโหลจึงเหลียวกลับมายังคนตัวใหญ่ที่กำลังยกลังกระดาษเตรียมจะขนไปยังห้องเก็บของที่มีประตูเชื่อมกับห้องนี้อยู่






“ไหนว่าไม่กินกาแฟซองไง”






“จะชงไม่ชง หรือต้องให้หักเงินเดือนข้อหาไม่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย”






“อยากหักก็หักไปเลย เดี๋ยวไปฟ้องพี่นาเรเอาที่หลัง”






“มึงจะฟ้องก็ฟ้อง เดี๋ยวกูให้ลูกค้ากูโทรมาคอมเพลนมึง”






“โว้ย เอะอะก็ส่งคนอื่นมาร้องเรียน แค่กาแฟแก้วเดียว ชงเองก็ได้ปะ...จริงๆ เลยตาลุงคนนี้” เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังขึ้นพร้อมกับการขยับตัวหยิบนั่นนี่มาชงกาแฟตามสั่ง ฝ่ายกำลังขนของได้ยินเข้าเลยเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว






“กาแฟได้แล้ว จะให้ไว้ตรงไหน” หลังแบกลังกระดาษเข้ามากองในห้องเก็บของเพื่อจัดการนับสต๊อก คนเด็กกว่าที่พิรี้พิไรในชงกาแฟซองแก้วเดียวอยู่นานถึงยอมเดินมาถามอยู่หน้าประตู






“เอาไว้ข้างนอก เดี๋ยวกูออกไป”






“ไปกินให้มันเสร็จๆ ไป จะได้ทำงานซะที”






“เด็กเวร...กล้าสั่งเจ้านายตัวเองเลยเหรอ”






“โอ๊ย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว รีบไปทำงานดีกว่าจะได้ไม่ต้องอยู่กับตาลุงหูตึงนานเกิน” โวยเสร็จร่างกลมก็หนีบปากกากับสมุดมุดไปยังซอกเล็กๆ หลังชั้นวางเหล็กเพื่อสวมถุงมือกับผ้าปิดปากกันฝุ่นต่อด้วยการตรวจนับของโดยไม่สนใจเลยว่าผู้ใหญ่คนเดียวในร้านจะออกไปจิบกาแฟหรือกลับเข้ามาเช็กของอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง






ลูกจ้างหนุ่มเขย่งเท้าพยายามจะดูกล่องที่วางอยู่เฉพาะชั้นด้านบนเหนือหัวซึ่งอีกนิดก็เกือบเอื้อมมือถึงเลยลองกระโดดเผื่อจะหยิบมันลงมาได้แต่เท้ากลับพลิกลงพื้น มือเลยคว้าเอาราวเหล็กหมายจะใช้เป็นหลักยันตัว หากความที่ชั้นเหล็กวางตั้งพื้นหาได้ยึดกับผนังทำให้มันเอนลงมาตามแรงดึง






ชั่วนาทีที่คิดว่าต้องโดนชั้นทับลงมาแน่ทำให้ตากลมปิดแน่น แต่แทนที่ทุกอย่างจะถล่มใส่ตัวกลับมีแขนแข็งของใครบางคนคว้าตัวเขาเอาไว้...ความประหลาดใจทำให้ตาลืมขึ้นปะทะกับแผ่นอกกว้างใต้เสื้อเชิ้ตลายทางและเมื่อเงยหน้าสูงขึ้นถึงได้เห็นของหุ้นส่วนร้านพ่วงตำแหน่งน้องชายของผู้หญิงที่เขาชอบจับคานเสาเหล็กดันชั้นให้กลับไปตั้งตรงดังเก่า






พลันขวดปิดฝาไม่สนิทกลับกลิ้งออกจากกล่องหกราดลงมาบนผมและลำตัวครึ่งบนจนชุ่มทั้งห้องคลุ้งด้วยกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์และน้ำยาลอกลาย






“เหี้ยเอ๊ย” เสียงแหบต่ำสบถใส่ ส่วนคนที่อยู่ใต้กำบังของแผ่นหลังกว้างนั่นอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูกจนเห็นน้ำยาไหลมาจะโดนหน้าเลยยกมือปาดมันออกให้






“หยุด” ฝ่ายตรงข้ามตะคอกลั่นพลางแกะกระดุมถอดเสื้อเชิ้ตออกมาขยุ้มถือในมือแล้ววิ่งพรวดไปห้องน้ำด้านนอก






จุนซอหน้าตาตื่นกะพริบตาปริบวิ่งตามไปเพื่อจะช่วยแต่ถูกคนตัวใหญ่ที่กำลังฉีดน้ำล้างผมล้างตัวอยู่สั่งให้รีบไปทำความสะอาดพื้นจะได้ไม่เป็นด่างเลยจำใจต้องคว้าไม้ถูพื้นไปจัดการกับกองของเหลวที่เจิ่งให้เรียบร้อยก่อน






“แม่งเอ๊ย” คนที่ยืนใต้ฝักบัวอาบน้ำสระผมใหม่สบถออกมาอีกคำรบอย่างหงุดหงิด กว่าจะจัดการตัวเองเสร็จก็ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีถึงได้คว้ากางเกงสแล็คมาสวมชั่วคราวเดินออกจากห้องน้ำ






จุนซอมองประตูห้องน้ำที่เปิดออกมองคนที่เปลือยท่อนบนเผยมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงจากการออกกำลังกายพราวด้วยน้ำอย่างเป็นห่วงพลางยื่นผ้าเช็ดตัวส่งให้ หากฝ่ายนั้นไม่มองหรือรับของเพียงเดินดุ่มไปยังตู้ล็อกเกอร์ในห้องสักตัวเองหยิบกางเกงยีนในนั้นออกมาเปลี่ยน พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นตัวก่อปัญหาถือผ้าขนหนูตรงดิ่งเข้ามาจับแขนเขาไว้






“เช็ดผม เช็ดผม” คำนั้นพร่ำบอกมืออุ่นทาบลงมาบนผิวเนื้อเย็นลากให้มานั่งบนเก้าอี้ ผ้าขนหนูสะอาดวางพาดบนหัวคนตัวใหญ่ตั้งใจเช็ดผมเปียกนั้นให้แห้งโดยไม่สนเสียงแข็งจากอีกคน






“กูเช็ดเองได้”






“จะเช็ดก็เช็ดตัวสิ เดี๋ยวเช็ดผมให้เอง”






“มึงนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง” ฝ่ายหัวคลอนตามแรงมือแทบตวาด ทำให้ตากลมบนหน้านวลของอีกคนสลดลงเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยื่นออกมาอย่างรู้สึกผิดนั้นมีผลให้ท่าทีแข็งกร้าวอ่อนลง






“ขอโทษ”






“เออ ถึงโง่ก็ยังดีที่รู้ตัวว่าผิด”






“เช็ดผมต่อได้เปล่าอะ” เสียงนุ่มถามอ่อยๆ






“จะเช็ดก็เช็ดแต่เช็ดให้สะอาดนะมึง ถ้าผมกูแห้งแล้วยังมีคราบอะไรติดอยู่ กูจะเหยียบมึงให้จมตีนเลย”






พอขู่ได้ดังใจเจ้าของร้านก็หยิบผ้าเช็ดเนื้อตัวที่เปียกน้ำจนแห้งสลับกับมองคนอ่อนกว่าที่คอยเช็ดหน้าเช็ดผมให้ไม่หยุดมืออยู่พักหนึ่ง ตัวก่อปัญหาก็เอียงคอก้มลงมาจ้องหน้าจ้องตาเขาเสียใกล้






แพขนตาหนาประดับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเหมือนเปลือกไม้สะท้อนเงาใบหน้าคมคร้ามแดดเป็นประกายล้อกับแสงไฟกับปลายจมูกโด่งที่อยู่ห่างออกไปเพียงสิบกว่าเซนติเมตรรับกับริมฝีปากสีเรื่อตามธรรมชาติบนหน้าขาวดุจน้ำนมนั้นดูน่ารักมากชนิดที่คนแก่กว่าไม่เคยรู้สึกมาก่อนเพราะไม่เคยใกล้ชิดกันขนาดนี้






...เด็กโง่เอ๊ย...






ยงนัมบอกปัดความรู้สึกในใจที่ว่านั้นด้วยการด่ากลบเกลื่อน มือใหญ่ยกขึ้นด้วยอยากบีบแก้มนุ่มของคนตรงหน้าสักทีอย่างหมั่นเขี้ยว หากก็เปลี่ยนใจดีดนิ้วใส่หน้าผากไปแทน






“โอ๊ย เจ็บๆ ๆ ๆ” เพียงนิ้วแข็งกระทบลงมา ผู้อ่อนวัยกว่าถึงกับหน้าหงาย ปากร้องออกมาลั่นห้องไม่หยุด มือไม้ยกปิดหน้าผากไว้ด้วยความเจ็บ ขณะที่ตาปิดแน่นนั้นมีน้ำตาเล็ดออกมา






“ไร...เจ็บขนาดนั้นเลย สำออยเปล่าวะ” การถามแทบสบถหลุดจากปากเจ้าของนิ้วที่ดีดหน้าผากใส่อย่างไม่ปราณีปราศรัย พอไม่ได้รับการตอบสนองอะไรมากไปกว่าการกุมหน้าผาก ความลืมตัวทำให้เขาเอื้อมมือไปกดท้ายทอยเด็กคนเดิมให้ลงมาซบบนอกตนเองคล้ายจะปลอบ






“โดนแค่นี้ทำมาแหกปากโวยวาย มึงแม่งวุ่นวายฉิบหาย”






จุนซอลืมตาเพราะสัมผัสได้ถึงหลังมือที่ทาบไปบนผิวหนังหุ้มกล้ามเนื้อแข็งจึงได้เห็นแผงอกกว้างแกร่งสีน้ำผึ้งเจือกลิ่นหอมเย็นจากน้ำหอมที่ยังหลงเหลือปรากฏแก่สายตา ไออุ่นจากกายใหญ่และฝ่ามือที่คอยลูบผมถ่ายลงมาบนพวงแก้มมีผลให้หัวใจกลับเต้นแรงเสียดื้อๆ






...อะไรวะ อยู่ๆ ก็ใจเต้นกับกล้ามผู้ชาย...


...เพื่อนก็เล่นกล้ามกันทุกคน ไม่เห็นเคยเป็นแบบนี้เลย...






“หายเจ็บยัง” เสียงต่ำลึกถามอีก






“พวกใช้เป็นแต่กำลัง” คนที่เพิ่งมุดหนีพ้นจากวงแขนแกร่งร้อง






“ใครใช้ให้มึงยื่นหน้ามาใกล้กูล่ะ”






“ก็แค่จะดูว่าน้ำยามันเข้าหน้าเข้าตาบ้างหรือเปล่าแค่นั้นเอง”






“ถ้าเข้าตากูจะลืมตาอยู่ตรงนี้ได้เหรอ”






“ไม่แน่หรอก ตอนนี้อาจไม่เป็นไรแต่ต่อไปอาจจะเป็นก็ได้...เอางี้ ไปหาหมอกันดีกว่า ไปให้หมอเขาตรวจหน่อยว่าผิวหนังไม่เป็นไร”






“โวะไอ้นี่ พูดไม่รู้ฟัง ทำมาบ่นกูหูตึง มึงก็หูตึงเหมือนกันแหละ”






ยงนัมบ่นออกมาอย่างรำคาญพลางดึงผ้าเช็ดผมพ้นจากหัวและคว้าเสื้อยืดสีดำที่พาดบ่ามาสวมแล้วลุกขึ้นเดินเพื่อจะกลับไปตรวจนับสต็อกของในร้านอีกรอบ ก่อนจะหันไปข้างตัวมองมือป้อมขาวบนแขนที่ตัดกับสีผิวตัวเองชัดเจน






“ไปเถอะ เดี๋ยวออกค่ารักษาให้เอง นะนะ ไปด้วยกัน ไปตอนเช็กสต็อกเสร็จก็ได้”






“โว้ย มึงนี่ยังไงวะ” ปากคนขี้รำคาญยกเว้นเวลางานหรือพบปะสาวๆ ขยับเตรียมจะด่าต่อแต่เมื่อเห็นแววละห้อยฉายชัดจากตากลม บางอย่างในใจถูกจุดขึ้นพาให้ความกระด้างลดลง






“น่านะ ไปหาหมอกัน”






“เออน่า ไว้กูเกิดแสบหน้าขึ้นมาค่อยไป”






“แน่นะ”






“แน่”






“โอเค งั้นไปเช็กสต๊อกต่อกันเหอะ”






“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูเช็กเอง กูทำคนเดียวเสร็จเร็วกว่ามึงช่วยอีก”






“ไม่ให้เช็กสต๊อกล่ะจะให้ทำไร พอไม่มีไรทำก็มาว่าอู้งานอีก”






“มึงทำความสะอาดร้านไปอย่างเดียวพอ ทำให้สะอาดๆ กูเช็กสต็อกเสร็จเมื่อไหร่มาตรวจแล้วไม่สะอาดคงรู้นะว่าจะโดนอะไร”






“โดนกระทืบหรือโดนตบหัวอ่ะนะ...หุ...ไม่เห็นเคยโดนสักที”






“อยากโดนจริงใช่มั้ย กูจะได้สงเคราะห์ให้” เจ้าของนิ้วเรียวแข็งยื่นไปบีบแก้มนุ่มเหมือนซาลาเปาเล่นแล้วตบหัวเบาๆ อยู่หลายที “ไป กลับไปทำงานของมึงเลย”






“รู้แล้ว” ฝ่ายถูกสั่งว่าพยักหน้าแข็งขันกุลีกุจอวิ่งไปหยิบผ้าขี้ริ้วชุบน้ำ ปล่อยเจ้าของร้านกลับไปเช็กสต๊อกในห้องเก็บของ นานๆ ครั้งจึงแว่บไปแอบดูสักทีว่ามีอาการผิดปกติเกิดกับอีกฝ่ายหรือไม่






กว่ายงนัมจะเช็กสต๊อกเสร็จก็ปาเข้าเกือบเที่ยงคืน หลังล้างไม้ล้างมือเดินออกมาหน้าร้านก็เห็นไอ้ตัวดีเท้าคางนั่งรออยู่หลังเคาน์เตอร์ท่ามกลางพื้นที่สะอาดวิ้งเหมือนในโทรทัศน์ไม่มีผิด เพียงเห็นเขาโผล่มาฝ่ายนั้นก็ลุกมาหา






“เช็กสต๊อกเสร็จแล้วเหรอ”






“เออ”






“ไปหาหมอกัน”






“ไม่ไป”






“ทำไมอีกอะ”






“กูไม่ได้เป็นไรจะไปหาหมอทำไม”






“ก็เผื่อเป็น”






“โวะ ห่วงอะไรกูนักหนา กูไม่เป็นไรหรอกน่า”






“ไม่ได้ห่วง กลัวลุงตายแล้วต้องติดคุกตะหาก”






“เด็กเหี้ย” คำด่าสวนทันควัน แปลกที่คนอ่อนกว่าไม่โกรธกลับหัวเราะเสียงใสใส่เหมือนเด็กเล็กๆ






“ลองด่าโดยไม่มีคำหยาบมั้งดิ”






“เด็กเปรตอย่างมึงพูดดีๆ ด้วยไม่ได้หรอก โวะ ไม่เสียเวลาคุยกับมึงดีกว่า กลับไปได้ล่ะ กูจะได้ล็อกร้าน หยุด อย่าเซ้าซี้เหี้ยอะไรอีกนะ ไม่งั้นกูเอาตีนยันมึงออกไปแทนแน่”






“ก็ได้” สิ้นเสียงร่างกลมก็ก้าวฉับฉวยมือถือบนโต๊ะยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินออกไปยืนรออยู่ตรงปากทางขึ้นของร้านสักใกล้กับรถสีดำที่เจ้าตัวจำเลขทะเบียนรถได้ขึ้นใจ






เจ้าของร้านหนุ่มตรวจล็อกประตูในร้านเรียบร้อยก็หอบเสื้อผ้าเปื้อนน้ำยาที่ซักลวกด้วยน้ำสบู่กับน้ำเปล่าใส่ถุงพลาสติกก้าวขึ้นบันไดกลับขึ้นมายังพื้นระดับปกติ





ลมเย็นพัดมาต้องผิวเนื้อนอกชายแขนเสื้อปัดเส้นผมที่ใช้เพียงมือสางให้เข้าทรงแทนหวีตกลงมาปรกหน้าเป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาทอดเห็นเด็กกวนประสาทยืนห่อไหล่ชะโงกดูรถที่จอดอยู่






“ทำไรของมึงเนี่ย จะขูดรถกูหรือไง”






“นี่รถของกล้ามปูเหรอ” คนเด็กกว่าถามชี้นิ้วไปยังกระโปรงรถ






“อะไร ใครกล้ามปู”






“ก็กล้ามปูไง เห็นบอกมะชอบให้เรียกลุง เรียกกล้ามปูก็ได้”






“ไอ้เวรนี่ กล้าเรียกผู้ใหญ่อย่างนี้เลย”






“ไมอ่ะ อุตส่าห์เรียกชื่อตามลักษณะทางกายภาพล่ะนะ” คำตอบที่มาพร้อมการลอยหน้าลอยตาใส่ทำให้มือใหญ่เงื้อขึ้นเตรียมจะโบกใส่หัว






“กวนตีนไม่หยุดไม่หย่อน ตบให้คว่ำสักทีน่าจะหายกวนตีน”






“เนี่ยขู่อีกล่ะ แค่ตอบมาว่า ใช่รถคุงลุงมั้ยก็จบ”






“เออ รถกู มีปัญหาไรปะ”






“สวยดี...เอาล่ะ กลับดีกว่า”






“อะไร มึงยืนรอกูเพื่อจะถามแค่นี้เนี่ยนะ”






“ใช่”





“เด็กเปรตจริงๆ เล้ย จะไปไหนก็ไปเลยไป”






“ไปอยู่แล้วไม่ต้องไล่” ถึงจะถูกด่าสวนมา กระนั้นคนอ่อนกว่ากลับยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบให้พลางโบกมือหยอยๆ “บะบายนะกล้ามปู ถ้าเกิดแสบหน้าขึ้นมาอย่าลืมไปหาหมอน้า”






ผู้มากวัยกว่าจ้องหลังเพรียวบางและไหล่ลู่ลงบอกถึงขนาดตัวที่ดูเล็ก แต่ความพองของเสื้อทำให้รู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ข้างใต้มากกว่าจะเป็นเนื้อกายจริงเพียงอย่างเดียว ณ ตอนนั้นเองที่เขาจดจำได้ถึงสัมผัสของมือที่รวบข้างเอวเพื่อช่วยไม่ให้เด็กอ้วนหงายท้องไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะฉุกคิดถึงเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าขึ้นมาได้






“เฮ้ย ไอ้อ้วน” เขาตะโกนเรียกไล่หลัง






“ไม” ฝ่ายตรงข้ามเหลียวมาหา






“โง่ๆ อย่างมึงน่ะ ไปสอบ พอทำข้อสอบได้อยู่ใช่มั้ย”






“วุ้ย ดูถูกกันอีกละ ทำได้ดิ อ่านมาตั้งเยอะ”






“เออ อย่าสอบตกให้รู้แล้วกัน”






“ไม่ตกหรอก ระดับนี้แล้ว”






“เหอะ ปากดี”






“เรียกเพื่อจะด่าหรอกเหรอเนี่ย คนแก่อะไรนิสัยเสีย”






“ไอ้นี่นิ จะไปไหนก็ไปไป้ เออ ตอนจะกลับก็เลี้ยวขวาตรงทางแยกซะ”






“ไมต้องเลี้ยวขวา ป้ายรถเมล์มันอยู่ทางซ้าย”






“ตามใจ กูถือว่าบอกแล้ว มึงจะทำไม่ทำก็เรื่องมึง”






“เอ้า พูดเองเออเองคนเดียวเฉย อย่าแก่แล้วแก่เลยดิ”






“โวะ เรื่องของมึงเหอะ” คนตัวใหญ่ตัดบทจบการสนทนาด้วยการกดรีโมทปลดล็อกรถและกลับขึ้นรถขับออกจากหน้าร้านไปพร้อมกับการเดินหนีของคนตัวกลม






...ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายคนละทิศละทางเหมือนไม่แยแสกันและกัน...






กระทั่งรองเท้าผ้าใบสีขาวแถบดำเหยียบลงบนพื้นใต้กันสาดของป้ายรถประจำทาง จุนซอนั่งห่อไหล่สอดมือที่เย็นทั้งสองข้างไปในกระเป๋าด้านหน้าของเสื้อแขนยาว ขณะทอดตาออกไปยังซอยข้างร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้าม






แปลกที่ครั้งนี้กลับไม่มีรถยนต์คันเดิมเข้ามาจอด แม้เวลาจะล่วงเลยจนรถประจำทางสายที่รอกำลังจะเข้าเทียบท่าอีกไม่ถึงห้านาทีก็ยังไม่มีวี่แววจะมาทำให้คนชะเง้อคอรออยู่ย่นหน้าผากอย่างร้อนใจ






...ปล่อยรอเก้อสองวันถึงกับเบื่อเลยเหรอ...




...แล้วไงล่ะ...




...มาไม่มาก็เรื่องของเขา สนใจอะไรล่ะ ไม่ชอบขี้หน้ากันอยู่แล้วนิ...









ทั้งที่ใจไม่ยอมรับว่ารอให้คนแก่กว่ามารอส่งเหมือนทุกวัน แต่ก็อดมองหาไม่ได้จนนาทีที่รถโดยสารประจำทางคันที่รออยู่จอดเทียบท่าถึงยอมรับว่า ไม่มาแน่แล้วเลยก้าวเท้าขึ้นรถไปนั่งริมหน้าต่างตามความเคยชิน






จังหวะที่ประตูของรถโดยสารประจำทางปิดลงเพื่อเตรียมเคลื่อนพ้นจากป้ายรถนั้นกลับมีเสียงแตรรถดังลั่นถนนทำเอาจุนซอสะดุ้งโหย่งหันไปมองทางต้นเสียงก่อนจะหลุดขำในนาทีที่เหลือบเห็นรถสีดำสตาร์ทเครื่องจอดอยู่ปากซอยข้างร้านสะดวกซื้อและยังคงยิ้มกว้างต่ออีกนานแม้นในตอนที่รถแล่นออกไป






ยงนัมมองท้ายรถโดยสารประจำทางที่ห่างออกไปไกลพอสมควรจึงลงจากรถเดินเข้าไปซื้อบุหรี่ออกมาสูบอยู่ด้านนอกพักใหญ่ในหัวครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ยังขับรถมาจอดดูเด็กกวนประสาทนั่นขึ้นรถกลับบ้าน






ตอนแรกตั้งใจจะขับรถไปหาร้านดื่มส่องสาวแทนการมาตรงนี้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหักพวงมาลัยกลับมานี้ในนาทีสุดท้ายแถมบีบแตรเสียลั่น ทั้งที่มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารอดูมันทุกวัน






“มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ ยงนัม” เขาสบถใส่ตนเองอย่างหัวเสียก่อนจะใช้เท้าเหยียบก้นบุหรี่ที่ดีดลงพื้นจึงขึ้นรถขับกลับบ้าน






กุญแจรถถูกโยนไปบนโต๊ะทำงานเหมือนเก่า ส่วนกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือถูกโยนทิ้งไปบนโต๊ะเล็กข้างเตียง จากนั้นเจ้าของห้องจึงคว้ากางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอนออกไปอาบน้ำอีกรอบจึงกลับเข้าห้องมานั่งดูข่าวกีฬาอีกครึ่งชั่วโมงก็ล้มตัวลงนอน






ชายหนุ่มหลับตาอยู่ได้สักพักก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง มือคว้านไปในความมืดหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูตัวเลขบนหน้าจอที่บอกเวลาตีสามยี่สิบเก้านาทีมาไถดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ ลามไปจนถึงรายชื่อในคาทก






ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเปิดแอคของตัวปัญหาขึ้นมา ชั่งใจอยู่ราวๆ สองนาทีก็ส่งสติ๊กเกอร์หมากอดอกทำหน้ามุ่ยไปหา และรอการตอบกลับอยู่เกือบสิบนาทีก็ตัดใจไสโทรศัพท์กลับไปดังเก่าแล้วล้มตัวลงนอนด้วยความงุ่นง่านในใจ





...ถึงบ้านไปพักหนึ่งแต่เสือกไม่ตอบข้อความกูนะ..




...เด็กเปรตอย่างมึงนี่แม่ง น่าโบกให้หัวโยกจริงๆ ...








---------------------แวะคุยกันหน่อย------------------


เข็นออกมาทั้งที่มีคนอ่านกี่คนหว่า นับนิ้ว 555
บทนี้เห็นความปากแข็งขั้นสุดของพี่ยงนัมมั้ย
คนประเภทไหนวะที่ออกมาดูเขาขึ้นรถ
ช่วยเขาทุกประการแต่บอกว่าเกลียดเขา
ไอ้ตัวแสบก็เหมือนกัน บทน่ารักก็น่ารักอิ๋บอ๋าย
อ่านจบอย่าลืมไปอ่านในฟิคแชทของจอยลดาด้วยนะ
ลิ้งนี่ https://goo.gl/gvB5kX มันต่อกัน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแล้วฝากแท็ก #ficlovetoxical
ในทวิตเตอร์ด้วยนะ จะเข้าไปเม้ามอยด้วย 5555555555




You Might Also Like

2 Comments

  1. จ้าอิลุงหลงเด็กจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วยังไม่รู้ตัวอีก อ้วนก็นะช่างยียวนกวนประสาทได้สมกันดีจริงๆแอบสงสารตอนโดนดุที่ทำน้ำยาหกนึกว่าจะงอนจะโกนธที่อิลุงมันพูดแรงๆแต่ป่าวเลยจ้าหยอกกันแรงแต่น่ารักมากเลยสำหรับสองคนนี้ ขำตอนที่แอบหงุดหงิดแล้วหวิวๆตอนที่ไม่เจอกันนี่ขนาดยังไม่ยอมรับยังเป็นขนาดนี้แล้วถ้าวันนึงยอมรับใจตัวเองแล้วทั้งคู่จะขนาดไหน #ขำสงสารยองแจก็อิลุงเรียกมึงทุกคำ😂😂😂

    ตอบลบ
  2. บรรยายอ้วนได้ค่ดของค่ดน่ารักอ่ะพี่ 5555555 พอกันเลยสองคน พอลุงไม่มาก็คอยนั่งมอง จุดพักสายตาคือประตู รอดูว่าลุงจะมารึเปล่า อ้วนไม่มาก็หงุดหงิด หัวร้อนไปหมด อ้วนไม่รายงานว่าไปไหนทำอะไรก็พาลไปทั่ว แต่แล้วก็ได้เจอกัน ตอนอ้วนจะหลุดยิ้มตอนเห็นลุงเดินเข้ามามันแบบบบ 😳😳😳 แงงงงงงง คือมันโอ้ยยยย ใจหนุ แต่ก็แค่แปปเดียวอิลุงแม่มมม มาถึงก็ด่าเลยเห็นหน้าอ้วนละด่าเลย แล้วตอนช่วยกันอ้วนที่ตู้จะล้มนะ อิลุงงงงค่ดเท่เลยค่ะ อ้วนก็ห่วงเนาะ ลุงก็ดื้อ อ้วนจะให้หาหมอเช็คดูก็ไม่ไป ฉากเช็คผมให้คือแบบโอ้ยยยยยยยย แม่ต๋าาาา เกือบกรี๊ดแตกตอนอ้วนก้มมองมาหลุดขำอิลุงดีดหน้าผากเข้าให้ รุนแรงตลอดแต่ก็ปลอบเค้าอ่ะเนอะ ย้อนแย้งจังคนเรา ไปรอส่งเค้าที่ป้ายรถเมล์เหมือนเป็นความเคยชินไปแล้วแหละ พอไม่ได้ไปรอส่งคงรู้สึกแปลกๆ ทั้งคนรอส่ง ทั้งคนรอเค้ามาส่ง ความรู้สึกคงเหมือนขาดอะไรไป 😳😳😳

    ตอบลบ