LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 10

10:02


ร่างสูงของชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีดำลายทางขาวสลับดำทับด้วยเสื้อคลุมยีนแขนยาวกับกางเกงยีนสีซีดขาดเข่ายืนกอดอกมองจานชามที่วางคว่ำสะเด็ดน้ำบนตะแกรงข้างอ่างล้างจานอยู่นานหลายนาทีกว่าที่จะมีเสียงถอนหายใจลอดออกมาพร้อมกับมือที่ขยี้ผมจนยุ่งเหยิงด้วยความเครียดที่อัดล้น






สถานการณ์หลังคืนดีกันได้สามอาทิตย์ดำเนินไปด้วยการที่เขาถูกงานหนักถาโถมจนไม่สามารถปลีกตัวมานั่งทำงานในร้านกาแฟได้ อย่างดีก็แค่ส่งข้อความมาหา ถึงจะได้รับการตอบกลับสั้นๆ ตามปกติ หากสิ่งที่ทำให้เขากังวลคือการพยายามลากสังขารกลับมานอนบ้านในตอนดึกเพื่อพบบ้านช่องที่สะอาดสะอ้าน ไหนจะอาหารในตู้เย็นที่มีขนมปังกับแยมอัดแน่นแทบจะเบียดบังอาหารปรุงสำเร็จพร้อมอุ่นที่เขาเตรียมไว้หมด






การที่คนเกลียดการทำความสะอาดเข้าไส้ลุกมาทำความสะอาดบ้านแบบที่ไม่เคยเห็นเลยตลอดสองปีที่อยู่ด้วยกัน รวมถึงการออกจากบ้านเช้าขนาดที่เขาเองต้องไปทำงานเช้ามากเหมือนกันยังออกมาไม่ทันได้เจอ






ลำพังการไม่ได้เห็นหน้ากันเลยก็ทำให้อึดอัดใจมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้ความหวาดระแวงจะถูกโกรธเติมผสมลงมาด้วย






ทุกคืนเวลากลับถึงบ้านเขามักจะยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนยองแจเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์และแอบหวังว่า เจ้าของห้องจะเปิดประตูออกมาเข้าห้องน้ำหรืออะไรสักอย่าง จนล่วงเลยไปหลายนาทีถึงจำนนยอมกลับไปนอนพลิกตัวหลับๆ ตื่นๆ บนเตียงถึงเช้าเหมือนเดิม






อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถหลับได้บ้างโดยไม่ฝันถึงเรื่องร้ายในอดีต แม้จะไม่มีเหล้ากรอกปากเหมือนเดิม และบางทีเขายังเห็นเพื่อนร่วมบ้านยิ้มกว้างอยู่ในความฝันของตัวเอง





“ไม่ไปทำงานเหรอ” เสียงคุ้นเคยเอ่ยถามจากเบื้องหลังเรียกให้อีกคนหันไปทางต้นเสียงเพื่อพบกับเพื่อนร่วมบ้านสวมเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงินกับกางเกงยีนสีเข้มที่ทำให้ขาทั้งสองข้างยิ่งดูเล็กเหมือนขาผู้หญิงยืนมองอยู่







ฝ่ายถูกถามนิ่งงันอย่างนั้นพักหนึ่งก่อนจะกระพริบตาปริบพลางยิ้มกว้างในนาทีที่เห็นหน้านวลของคนตัวผอมจ้องมาอย่างใคร่รู้






“กำลังจะไปน่ะ”






“อ้อ” คนตรงข้ามพยักพเยิดอย่างเข้าใจตั้งท่าจะเดินผ่านประตูครัวที่พิงอยู่ออกไปข้างนอก หากการถูกเรียกอย่างไม่เต็มเสียงจากคนที่ยืนหน้าอ่างล้างจานทำให้ชะงักหันกลับมาใหม่






“คุยกันหน่อยได้มั้ย”






“ไมอะ...มีไร”






“คือ...อา...คือ...” ทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกไว้แต่ความระแวงจะถูกเกลียดนั้นทำให้การถามสิ่งในใจยากเย็นเลยพูดติดขัดอยู่อย่างนั้นจนคนรอฟังอยู่หลายนาทีถอนหายใจพลางเลิกคิ้วเอ่ยออกมาแทน






“ถ้าไม่พูดสักที ฉันไปล่ะนะ”






“เดี๋ยวดิ” เสียงร้องลั่นหลุดจากปากทันทีที่อีกคนยู่ปากและตั้งท่าจะเดินหนี






“อะไรของนายเนี่ย มีอะไรก็พูดสิ ปล่อยฉันยืนรอแล้วไม่พูดซะที”






“คือ...หมู่นี้...นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”






“ปัญหาอะไร”






“ไม่รู้สิ”






“ไม่รู้แล้วมาบอกฉันมีปัญหาได้ไง”






“บ้าน...บ้านมันดูสะอาด ทั้งที่ฉันไม่ค่อยอยู่น่ะ”






“แล้วไง” การกอดอกถาม ทำปากคว่ำเหมือนเด็กเวลาเอาแต่ใจที่แสดงออกมานั้นพอทำให้อีกคนใจชื้นพอจะเลียบๆ เคียงถามโดยแกล้งยกคนอื่นมาอ้างถึงไว้ก่อน






“พี่ฮิมชานได้ส่งใครมาทำความสะอาดหรือเปล่า”






“ทำไมต้องคิดว่าพี่ฮิมชานส่งใครมาล่ะ ฉันทำงานบ้านเองเป็นนะ”






“นายทำงานบ้านเองเหรอ”






“อืม”






“ไหนว่าเกลียดงานบ้าน จานชามก็ไม่เห็นเคยล้าง”






“ที่ไม่ล้างเพราะนายบอกให้กองไว้เองนี่ แต่สองสามอาทิตย์มานี้นายอยู่สตูดิโอตลอดนิ ถ้านายไม่ทำจะเหลือใคร นอกจากฉันเล่า”






“พวกข้าวก็ด้วย ข้าวที่ฉันซื้อไว้ไม่เห็นกิน”






“ช่วงนี้ฉันต้องไปร้านเช้ากว่าปกติเลยไม่มีเวลามานั่งอุ่นข้าว เลยซื้อขนมปังกับแยมมาตุนไว้ปาดๆ กินตอนเช้ามันเร็วดี แล้วพี่ฮิมชานเขารู้จากเพื่อนว่านายงานยุ่งก็เลยให้เด็กเอาข้าวกลางวันกับเย็นมาส่งให้น่ะ แต่บางวันฉันก็เอาข้าวที่นายซื้อมากินตอนเย็นนะ กลัวมันหมดอายุก่อน”






“ทำไมถึงต้องไปที่ร้านเร็วด้วย”






“ตอนนี้ลูกค้าคุณตาคุณยายมาโรงพยาบาลกันตอนเช้าเยอะกว่าปกติ เหมือนว่าทางโรงพยาบาลจะจัดโปรโมชั่นตรวจสุขภาพล่ะมั่ง วันนั้นฉันไปเปิดร้านเห็นพวกคุณตาคุณยายแกมายืนรอหน้าร้านกันตั้งนาน ปล่อยคนแก่ยืนรอ ฉันรู้สึกไม่ดีก็เลยตื่นไปเปิดร้านเร็วหน่อยจะได้ไม่มีใครต้องมายืนรอ”






“อา”






“อ้อ ละต่อไปถึงนายจะอยู่หรือไม่อยู่บ้าน ฉันก็จะทำงานบ้านเองแล้ว”






“ฮะ...ทำไมอะ”






“ก็แค่ไม่อยากเอาเปรียบ”






“เอาเปรียบเรื่องอะไร”






“ฉันทำตามเวรไง”






“แต่นายไม่เห็นเคยทำเลย”






“ต่อไปจะทำแล้วไง นายจะได้ไม่ลำบาก”






“ลำบากอะไรกัน” คำถามนั้นมาพร้อมกับท่าทางหงอยๆ เหมือนแมวโดนดุของคนตัวสูง หากอีกฝ่ายกลับตัดบทไล่เสียดื้อๆ






“ไปทำงานเถอะน่า”






“ยองแจ” เสียงขานชื่อลากยาวมีแววละห้อยอย่างน่าสงสารก่อนจะอ้อมแอ้มถามเสียงเบา “นาย...ยังโกรธฉันอยู่เหรอ”






“โกรธเรื่องอะไร” เจ้าของชื่อว่าพลางเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจสาเหตุแห่งคำถาม






“ก็เรื่องก่อนหน้านี้...นี่...ฉันขอโทษจริงๆ นะ”






“ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธไง อะไรของนายเนี่ย จะไม่ไปทำงานใช่มะ งั้นฉันไปก่อนแล้วนะ”






“ขอฉันเดินไปขึ้นรถไฟพร้อมนายจะได้มั้ย” คำขออย่างกล้าๆ กลัวๆ หลุดจากปาก






“จะมาก็รีบมา ฉันทิ้งร้านไว้นานๆ ไม่ได้” เจ้าของบ้านขมวดคิ้วบอกพร้อมกวักมือให้คนถามรีบๆ ตามมาก่อนจะสวมรองเท้ารีบออกจากบ้านตรงไปยังทางเดินริมถนนมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟของตนเองที่อยู่ไม่ไกลนัก






แดฮยอนคว้าข้าวของวิ่งกระหืดกระหอบตามลงมาเร่งฝีเท้าอย่างเร็วกระทั่งไปเดินข้างๆ ในระนาบเดียวกันสำเร็จ ยองแจเหลือบมองหน้าเปื้อนยิ้มของคนข้างตัวครู่หนึ่งด้วยความคิดถึงแต่สักพักก็หันกลับมามองทางดังเก่า






หลายอาทิตย์ที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นโอกาสให้เขาได้ใช้ความพยายามทำอะไรก็ตามที่จะไม่เป็นการรบกวนเพื่อนร่วมบ้านเหมือนที่เคยทำมาและพยายามรักษาสถานะความเป็นเพื่อนเท่านั้นเอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกเหงามากและมีบางคืนที่รู้สึกเศร้าจนน้ำตาหยดออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่เขาจะไม่เรียกร้องหรือทำอะไรให้อีกฝ่ายลำบากใจ






“ขอโทษนะที่ฉันไปนั่งทำงานที่ร้านนายไม่ได้ ทั้งสัญญาไว้แท้ๆ แต่งานมันยุ่งมากจริงๆ ในบริษัทนี่แทบไม่มีใครโงหัวออกจากสตูดิโอส่วนตัวได้สักคน”






“ฉันรู้ว่านายยุ่ง แถมเจ้านายก็ดุขนาดนั้นคงไม่กล้าไถลไปไหนหรอก”






“นายรู้ได้ไงว่าบอสฉันดุ” การถามพาให้เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความสงสัย






“ก็ช่วงนี้พี่ฮันเฮเขาแวะมาที่ร้าน เห็นบอกว่าจะมาหาแรงบันดาลใจการทำงาน หอบคอมมาด้วยแต่ไม่เห็นทำงานสักที เอาแต่เหม่อจนเย็นถึงออกไป ทีนี้เมื่อวานบอสนายเขาโทรเข้ามาที่ร้าน บอกว่าตามพิกัดในมือถือของพนักงานมา พอเขาบรรยายลักษณะ เขาฝากให้บอกด้วยว่าจะกลับมาทำงานหรือเอาซองขาว เท่านั้นแหละพี่เขาวิ่งออกจากร้านไปเลย”






“จริงดิ”






“บอสนายเขาไม่ได้ด่านะแค่พูดเรียบๆ แต่รู้สึกได้เลยว่าน่ากลัว พี่ฮิมชานเวลาเขาโกรธก็เป็นแบบนี้ เพราะงั้นฉันถึงบอกให้นายรีบไปทำงานไง”






“ที่จริงบอสฉันเขาไม่ได้น่ากลัวอะไรมากหรอก ถ้าทำงานดี ส่งงานตรงเวลา ให้เขาเห็นหน่อยว่าเราตั้งใจทำงาน อย่างฉันเนี่ยไม่เคยโดนบอสด่าเรื่องงานเลยนะเพราะงั้นเวลาฉันขอบอสไปทำอะไร บอสเขาไม่เคยขวาง แต่พี่ฮันเฮเขาเป็นพวกถ้าคิดงานไม่ออกเป็นต้องหนีไปไหนสักแห่งเพื่อให้สมองโล่ง พี่เขาพกลูกอมไว้อมเวลาเครียดด้วยนะ”






“แล้วนายล่ะ...เวลาเครียดเรื่องงานนายทำยังไง”






“ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะออกไปดื่ม แต่เดี๋ยวนี้แค่ได้กลับมาเจอนายที่บ้านก็พอ”






“ไม่เห็นเคยเจอเลย” ประโยคนั้นลอยผ่านปากเบาหวิว...แปลกที่คนข้างๆ กลับได้ยินและสวนคำตอบขึ้นมาแทบจะทัน






“ฉันกลับบ้านทุกวันนะ แต่กว่าจะมาถึงนายก็เข้านอนไปแล้ว พอเช้าฉันตื่นมา นายก็ออกไปก่อนฉันอีก”






“ไม่เห็นรองเท้าเลยนึกว่าไม่กลับ”






“ฉันเอารองเท้าใส่ตู้ไว้จะได้ไม่รกหน้าประตูน่ะ แล้วข้าวฉันก็ซื้อมาเติมให้ในตู้เย็นด้วย นายไม่รู้เหรอ”






“ก็...ไม่ได้ว่างมานั่งนับจำนวนกล่องข้าวซะหน่อย”






คนตัวเล็กกว่าพึมพำเหมือนบ่นกับตัวเองคนเดียว พลางเหลือบตามองไปยังเพื่อนร่วมบ้านที่ยังคงยิ้มกว้างอยู่ตลอด






...รอยยิ้มแบบนั้นน่ะ...


...รอยยิ้มแบบที่ทำให้ใจทั้งอุ่นและเต้นแรง...


...รอยยิ้มแบบเดียวกับที่แจกจ่ายให้ทุกคน...






ยองแจเม้มริมฝีปากหันกลับไปเดินต่อจนกระทั่งถึงร้านกาแฟของตนเองที่มีผู้สูงอายุนั่งดื่มกาแฟกันอยู่ข้างในก็ปรายตาทางเพื่อนร่วมบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้เวลาชั่งใจอยู่นาทีสองนาทีก็เอ่ยปาก






“ดื่มกาแฟก่อนไปทำงานมั้ยหรือจะเอาติดไปดื่มที่ทำงานก็ได้”






“ให้ฟรีเหรอ”






“เอาบัตรสะสมแต้มที่ให้ไว้ครั้งก่อนมาแลกสิ”






“ไอ้เราก็นึกว่าให้ฟรี งกจัง” ถึงจะว่าอย่างนั้น หากผู้พูดกลับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตากลมคมสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายล้อกับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนในหยดน้ำบนต้นไม้หน้าร้านส่งให้คนตรงหน้าเจิดจ้าจนตาพร่าไปหมด






...ดวงตะวันยังไงก็เป็นดวงตะวันอยู่วันยังค่ำ...






“ฉันไม่เอากาแฟฟรีหรอก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นใหม่พร้อมกับบัตรสะสมแต้มที่ถูกหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นมาหา “เอาบัตรนี้แลกกับการได้เห็นหน้านายก็พอ”






ถ้อยคำจากเสียงเข้มและมือใหญ่ที่วางทาบลงมาบนเรือนผมเสริมด้วยนัยน์ตาที่ทอดมาหาอย่างอ่อนโยนเหลือเกินนั้นกร่อนหัวใจที่พยายามเข้มแข็งให้วูบไหวและเต้นแรง






“วันอาทิตย์นี้นายปิดร้านใช่หรือเปล่า”






“อืม”






“งั้นเราไปเที่ยวด้วยกันนะ”






“ไปเที่ยว...ว่างเหรอ”






“ถ้าวันนี้ลูกค้าคอนเฟิร์มว่างานผ่าน พรุ่งนี้ฉันจะได้หยุดยาว”






“แล้วจะไปไหนอะ ถ้าไปงานเลี้ยงรุ่นแล้วกลับในสิบนาทีแถมมีคนฟันหักด้วยแบบวันนั้นนี่ไม่เอาแล้วนะ”






“ไม่ดิ ไปที่ที่นายอยากไป ไอ้พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีดาวเยอะๆ ที่นายบอกนั่นไง ไปด้วยกันนะ ขับรถลุงนายไปกันก็ได้”






“เอาจริงเหรอ”






“จริงสิ หรือว่านายไม่ว่าง”






“มันก็...”






“อา... ถ้านายมีนัดก็ไม่เป็นไร” เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาเจิดจ้าคู่นั้นหม่นแสงลงและเป็นผลให้ใจคนมองอ่อนยวบ






“ไม่ได้มีนัดหรอก”






“งั้นไปเที่ยวกันได้ใช่มั้ย” ถ้อยคำตอบเดียวเปลี่ยนให้แววละห้อยในแววตากลับมาสดใส






“ก็...อืม...พรุ่งนี้นะ” คนตัวเล็กกว่าทวนคำพยักหน้าขึ้นลงเป็นพักๆ เฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามที่ยิ้มกว้างโบกมือลาก่อนเดินต่อไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ห่างออกไปกี่ร้อยเมตรจึงกลับเข้าร้านส่งยิ้มให้กับกลุ่มลูกค้าสูงอายุแม้หัวใจจะห่อเหี่ยว






รอยสุขและรอยเศร้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ในใจมาเนิ่นนานสามารถพังครืนทุกความพยายามตลอดสามอาทิตย์จนหมดสิ้น...ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะทำใจให้ตัวเองอยู่ในสถานะเพื่อนจริงๆ ได้สักที
------------------------------------------------
แม่กุญแจคล้องประตูลงในล็อกจนเกิดเสียงเป็นสัญญาณบอกถึงการสิ้นสุดเวลาทำงานอย่างแท้จริง ยองแจถอนหายใจพลางบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการทำงานติดต่อกันกว่าสิบสี่ชั่วโมงซึ่งเกินเวลาปกติไปมาก






ความเป็นเจ้าของร้านที่จัดการทุกอย่างในร้านคนเดียว เมื่อต้องตื่นเช้ามากมาเปิดร้านแถมยังต้องปิดร้านเกินเวลาเพราะรุ่นพี่คนสนิทของพี่ฮิมชานและเป็นแฝดผู้พี่ของพี่ยงกุกโทรมาบอกให้รอเด็กในร้านสักตัวเองมาซื้อกาแฟ






ถึงจะเป็นแฝดกันแต่ยงนัมกลับไม่ค่อยเหมือนยงกุกสักเท่าไร ถ้าไม่ใช่เวลางานหรือคั่วอยู่กับสาวละก็จะกลายสภาพเป็นคนแข็งๆ พูดจาโผงผางแบบพวกปากร้ายขนานแท้แต่เอาเข้าจริงกลับใจดีมาก






...เพียงแต่การเรียกเขาว่ามึงตลอดเวลามันสะกิดใจยังไงไม่รู้...






“เป็นแบบนี้ทุกวันไม่น่ารอด” เขาบ่นพึมพำขณะคิดถึงงานหลังร้านทั้งเช็กสต๊อก งานบัญชี พวกเมนูใหม่ประจำเดือนที่สุมๆ ไว้เพราะมัวง่วนอยู่หน้าร้านเป็นหลัก






การเปิดร้านกาแฟเป็นงานหนักกว่าที่คนนอกจะมองเห็น ต้องอาศัยใจรักและอะไรอีกหลายปัจจัย โชคดีที่เขาไม่ต้องเสียค่าเช่าร้าน ไม่ต้องเสียเงินลงทุนในการตกแต่ง ทำเลดี อีกทั้งการอยู่ร้านทำให้เขาไม่มีเวลานั่งคิดฟุ้งซ่าน






...แต่งานมากไปก็กลัวจะล้มตึงไปกลางร้าน พอพี่ฮิมชานรู้เข้าได้โดนส่งกลับสวีเดนแน่...






“จ้างคนมาช่วยเฉพาะตอนเย็นดีมั้ยนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน ไปซื้อของก่อนดีกว่า”






เขาพึมพำบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนจะโบกเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังร้านที่ตนเองซื้อเมล็ดกาแฟเป็นประจำ หลังซื้อของตามต้องเรียบร้อยก็หิ้วถุงเดินออกมาหมายจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านอีกรอบก็เจอเข้ากับผู้ชายสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนยืนถือถุงพลาสติกจากร้านเดียวกันยืนสูบบุหรี่อยู่






“อ้าว” ฝ่ายนั้นอุทานออกมาทันทีที่เห็นหน้าและยิ้ม “จำผมได้หรือเปล่า”






“ได้”






“ฮ่าๆ หายไปไหนมา ไหนว่าอีกสองสามอาทิตย์จะมาซื้อเมล็ดกาแฟ นี่หายไปเดือนกว่าเลยนะครับ”






“มีคนซื้อมาให้เลยไม่ได้มา” เขาตอบกลับพลางกลอกตาทวนความจำ “คุณยังจะเลี้ยงกาแฟฟรีผมอยู่หรือเปล่า”






“เดี๋ยว...นี่จำได้จริงๆ เหรอ” ท่าทางของคนถามที่ตอนแรกหัวเราะเพราะไม่เชื่อว่าจะจำได้จริงเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ






“จำหน้าได้ จำของฟรีได้ แต่ชื่อน่ะจำไม่ได้นะ”






“ผมชื่อจงฮวาน...มุน จงฮวาน”






“อืม”






“จะดื่มกาแฟก็มาสิ ร้านผมอยู่ใกล้ๆ เนี่ยเอง”






“เลี้ยงเหรอ”






“เลี้ยง”






ชายหนุ่มผู้นั้นรับคำค่อยๆ พลางยิ้มขำกับท่าทางเหมือนเด็กรอขนมของคนตรงหน้า จากนั้นจึงเดินนำไปตามทางเท้า โดยมีอีกฝ่ายเดินตามหลังเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ ตกแต่งสไตล์มินิมอลเรียบง่าย






หญิงสาวหน้าตาน่ารักสวมผ้ากันเปื้อนสีครีมโผล่หน้าจากเคาน์เตอร์ออกมาหา ภายหลังได้นั่งคุยกันระหว่างไม่มีลูกค้าถึงได้โอกาสแนะนำตัวเองและรู้สถานะของเพื่อนใหม่ว่าทั้งคู่เป็นคนรักและเจ้าของร้านแห่งนี้ร่วมกัน






ด้วยพื้นฐานเดิมเป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดีเพียงแต่ถูกความไม่มั่นใจเบียดบัง เมื่อได้นั่งสนทนากันไม่นานก็กลายเป็นพูดคุยแบบกันเองสนิทปาก






“ได้เข้ากลุ่มคาเฟ่อินโซลไว้หรือเปล่า”






“ฮะ กลุ่มอะไรนะ”






“กลุ่มคาเฟ่อินโซลน่ะ มันเป็นกลุ่มไว้ให้คนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟในโซลใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องกาแฟกัน”






“มีด้วยเหรอ ไม่เห็นเคยรู้”






“มีสิ...เดี๋ยวฉันลากเข้ากลุ่มให้เอามั้ย กลุ่มเรามีทั้งเว็บ ทั้งเฟซบุ๊ก ทั้งคาทกด้วยนะ จะลากเข้ากลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ร้านนายให้ด้วย”






“ฉันไม่เล่นเฟซบุ๊กน่ะ คาทกก็ด้วย”






“เออ ใช่ นายบอกไว้รอบก่อนว่าไม่เล่นคาทก...แต่จริงๆ นะ นายใช้ชีวิตยังไงในเกาหลีโดยไม่มีคาทกเนี่ย”






“เมื่อก่อนฉันอยู่สวีเดนน่ะ ที่นั่นเขาใช้วอทแอพกัน พอกลับมาเกาหลีก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่แล้วเลยไม่ได้เล่น”






“พอแอดเข้ากลุ่มไปก็มีคนคุยด้วยเองแหละ เท่าที่คุยกันยองแจน่ารักออกนะ เดี๋ยวก็มีเพื่อนมาคุยด้วย หรืออย่างน้อยพวกเราสองคนจะได้คุยด้วยไง”






“เอางั้นก็ได้” เขาตอบรับข้อเสนออย่างว่าง่ายเพราะไม่ใช่คนติดโซเชียลอยู่แล้ว การมีช่องทางสื่อสารกับคนใหม่ๆ เพิ่ม นอกจากจะมีประโยชน์ทางธุรกิจแล้ว อาจทำให้เขาพึ่งพาเพื่อนร่วมห้องน้อยลง






ยองแจนั่งในร้านราวๆ ชั่วโมงก็ขอตัวกลับบ้านโดยมีจงฮวานและแฟนสาวออกมาส่งขึ้นแท็กซี่ กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงบ้านได้ก็นานเป็นชั่วโมงจนเจ้าของร่างผอมรีบหยิบขนมปังมากินต่างข้าวเย็นไม่กี่คำก็เข้าอาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องล้มตัวนอนบนเตียงทันที






ตากลมหลับลงอย่างอ่อนล้า หากเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือปลุกให้ลุกขึ้นมารับสายเพื่อคุยกับครอบครัวที่อยู่อีกซีกโลก พอตั้งท่าจะวางอีกก็มีข้อความจากเพื่อนร่วมบ้านเด้งให้ต้องตอบ




...กินข้าวหรือยัง...


...นอนฝันดีนะ...


...พรุ่งนี้อย่าลืมล่ะ...


...เก้าโมงไปเที่ยวกัน...






ชายหนุ่มอ่านทวนข้อความเหล่านั้นพลางกัดเล็บที่นิ้วอย่างวิตก...ความกลัวในการสร้างความทรงจำที่ดีจะทำให้ตัดใจยากไปกว่าเก่าก่อตัวในใจและค่อยๆ จินตนาการไปถึงจุดแตกหัก หากอีกฝ่ายรู้ถึงความรู้สึกแท้จริง






“ไม่ไปก็ไม่ได้อีก” เขารำพึงอย่างหมดอาลัยตายอยากเพราะทนปฏิเสธเพื่อนร่วมบ้านที่แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยชัดเจนทำให้ลำบากใจอยู่อย่างนี้






แดฮยอนสำคัญกับเขาในระดับที่ว่า แม้ตัวเองจะเจ็บจากการกระทำของอีกฝ่าย อยู่แล้วก็ยังเจ็บได้มากขึ้นอีก หากได้เห็นความเศร้าของอีกคนเข้า...






ริมฝีปากอิ่มเชิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ตากลมได้แต่จ้องจอโทรศัพท์ที่มีข้อความจากในกลุ่มคาเฟ่อินโซลและคาเฟ่ละแวกร้านที่มีมากจนต้องเข้าไปปิดแจ้งเตือน






“คุยอะไรเยอะแยะจัง” นิ้วผอมไถข้อความในห้องแชทคาเฟ่ละแวกร้านผ่านๆ จนได้อ่านข้อความจากใครคนหนึ่งบอกว่า กำลังตามหาคนเล่นเกมออนไลน์เกมหนึ่งที่ดังมากในเกาหลีซึ่งเขาเองอ่านรีวิวกับกระแสเกมนี้มาหลายทีก็สนใจอยากจะเล่นแต่ไม่รู้จะรวมทีมกับใครเลยพับความคิดไป






...คนเพิ่งเล่นก็เข้าทีมได้ครับ ขอแค่ฝีมือไม่กาก...






ข้อความเสริมท้ายเข้ามาจากคนเดิมหยุดความลังเลใจให้นิ้วผอมกดพิมพ์ข้อความส่งเข้าไปในห้องนั้นเป็นข้อความแรก






...ขอเข้าทีมด้วยคนครับ...
---------------------------------------------------------
บานประตูห้องเจ้าของค่ายเพลงปิดลงพร้อมกับการพนักงานหนุ่มคนหนึ่งสวมฮู้ดคลุมปิดหน้าปิดตาก็เดินโซซัดโซเซออกมา จากนั้นจึงลากเท้าไปรอลิฟต์เพื่อกลับไปนอนพัก ขณะที่ลงมาถึงชั้นหนึ่งก็สวนทางกับรุ่นพี่คนสนิทพอดี






“อะไร งานมึงผ่านแล้วเหรอ ทำไมผ่านง่ายจังวะเนี่ย” ฮันเฮร้องถามมองกระเป๋าสะพายบนหลังรุ่นน้องตาโต ยกมือที่ถือกาแฟร้อนขึ้นมาตรงหน้าแทนการชี้นิ้ว






“ผ่านแล้ว...ละงานพี่ล่ะ ลูกค้าโอเคยัง” อีกฝ่ายถามกลับจ้องถ้วยกาแฟร้อนเขม็งด้วยคิดเองในใจว่าเป็นกาแฟจากร้านรูมเมทตัวเอง






“โอเคกับผีอะไร ยังไม่ได้ส่งเขาเลย”






“งานไม่เสร็จแต่พี่ยังออกไปซื้อกาแฟถึงที่ร้านยองแจอีก...เห็นวันก่อนยองแจเล่าให้ฟังว่าบอสโทรเข้าร้านไปตามพี่กลับไม่ใช่เหรอ นี่ยังถ่อไปซื้อกาแฟไกลๆ อีก บอสรู้ได้โดนด่าหูแตก”






“ใครจะกล้าไปร้านยองแจมันตอนนี้วะ เมื่อกี้กูแวะไปซื้อกาแฟข้างสนามบาสใกล้ๆ ออฟฟิศมาเว้ย ว่าแต่มึงเหอะปกติเวลาออกจากสตูดิโอมึงทีสภาพหยั่งกะผีดิบ วันนี้เสือกมีสติดีเหลือเกินนะ งานเสร็จแล้วแบบนี้คงตามไปดื่มฉลองกับพวกซูอุงมันล่ะสิ”






“ไม่อะ ผมจะกลับบ้าน”






“กลับบ้าน...มึงเนี่ยนะ” รุ่นพี่หนุ่มเลิกคิ้วสูงเหมือนไม่เชื่อในคำพูดนั้น






“พรุ่งนี้ผมมีนัด”






“อ๋อ มีนัดกับสาวเลยจะกลับบ้านนอนสินะ...สาวมึงนี่สวยเปล่าวะ แต่ระดับมึงแล้วไม่สวยคงไม่ควงหรอก สาวธนาคารที่มึงคั่วเมื่อสองสามเดือนก่อนยังสวยหยดเลยนินะ”






“สาวที่ไหนพี่ ไม่มี”






“ตอแหลอีกละ”






“ตออะไรเล่า ผมไม่ได้คุยกับสาวที่ไหนมาพักหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวกับยองแจเขาต่างหาก โอ๊ะ จะสี่ทุ่มแล้ว ผมไปก่อนนะพี่ อยากกลับบ้านให้ทันก่อนเขาเข้านอน” คนเป็นน้องตัดบทโบกมือลาวิ่งไปสแกนบัตรเสร็จก็วิ่งพรวดตรงไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับบ้าน






แม้จะรีบมากเพียงใดเวลาก็ยังล่วงผ่านเกินกว่าที่คาดหวัง ไฟในบ้านปิดมืดเหมือนอย่างเคยคงมีเพียงไฟตรงชานพักหน้าประตูทางเข้าที่ยังเปิดสว่าง ชายหนุ่มถอดรองเท้าเก็บใส่ตู้ลากเท้าพาตัวเองไปยังห้องนอนในความมืดอย่างชำนาญ ทว่าตอนที่บิดประตูกลับมีบางอย่างคล้ายเชือกคล้องเข้ามาในมือจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดฉายไฟถึงได้เห็นว่ามีถุงกระดาษใบหนึ่งแขวนอยู่






เขาคว้ามันติดมือเข้ามาเปิดดูกระปุกอาหารเสริมบำรุงสมองพร้อมโน้ตเขียนข้อความด้วยลายมือที่เรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นมาบนหน้า






...ซื้อมาฝาก กินทุกวันนะ มันบำรุงสมอง...






ไม่มีชื่อลงท้าย หากเขาจำลายมือนี้ได้แม่นเพราะมันเป็นลายมือเดียวกับที่เขาเห็นจนชินตามาตลอดสี่ปีที่เรียนมหาวิทยาลัยและอีกสองปีกว่าที่อยู่ด้วยกัน






ลายเส้นปากกาโยกโย้อ่านยากอย่างที่ไม่ว่าใครมาขอยืมเลคเชอร์ไปถ่ายเอกสารยังยอมแพ้แต่เขากลับชอบ กระทั่งรูปวาดดวงดาว ดอกไม้และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่เจ้าของลายมือชอบวาดไว้ตามมุมกระดาษคล้ายวาดคลายเบื่อเขาก็ชอบมากเหมือนกัน






...ลายมือยองแจน่ะถึงจะอ่านยากแต่ก็น่ารักดี...






มือเรียววางถุงกระดาษวางบนโต๊ะทำงานด้วยรอยยิ้มกว้าง แม้จะออกไปอาบน้ำกลับเข้าห้องกลืนอาหารเสริมลงคอตามด้วยน้ำและล้มตัวนอนบนเตียงแล้วก็ยังหุบยิ้มไม่ลง ยิ่งได้เห็นข้อความตอบกลับในโทรศัพท์ที่ยาวกว่าปกติก็ฮัมเพลงออกมา






การได้รับความเอาใจใส่จากเพื่อนร่วมบ้านทำให้หัวใจถูกความสุขลดทอนความหวาดหวั่นจะถูกเกลียดชังลงได้บ้าง






ร่างสูงบนเตียงนอนมองเพดานในความมืดพยายามข่มตาให้หลับแต่ความตื่นเต้นพาให้ความคิดเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ มีช่วงหนึ่งที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มดีใจจากยองแจเหมือนเมื่อครั้งได้รับเสื้อยืดพร้อมลายเซ็นของบรรดาศิลปินคนโปรดจนผล็อยหลับไปและสะดุ้งตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้งตอนตีสี่






เขาลุกเดินไปเปิดไฟในห้องหยิบโทรศัพท์มองเวลาบนจอแล้วโยนกลับไปบนเตียง ในหัวคิดเพียงว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปเที่ยวครั้งแรก เสื้อผ้าในตู้ถูกหยิบมาจับสลับและทดลองใส่บนร่างอยู่อย่างนั้นราวชั่วโมงถึงได้ชุดที่ลงตัว






จบกับเรื่องเสื้อผ้าก็ได้ฤกษ์โกยโคโลจญ์กับน้ำหอมจากลิ้นชักตู้เสื้อผ้าออกมากองบนพื้นเพื่อดมว่ากลิ่นไหนที่หอมสดชื่นพอเหมาะกับช่วงเวลากลางวันอันสดใสและน่าจะเป็นกลิ่นที่เจ้าของบ้านชอบอีกชั่วโมงกว่าก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว






เงาสะท้อนในกระจกปรากฏภาพของชายหนุ่มตัวสูงสวมสเวตเตอร์คอเต่าสอดชายใต้ขอบกางเกงยีนขาวยาวมีเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาพาดอยู่ข้างอ่าง ใบหน้าเรียวหล่อเหลาระคนน่ารักที่โกนหนวดและประโคมครีมดูเกลี้ยงเกลา ผมเผ้าก็จัดเข้าทรงไว้อย่างดีกำลังฉีดพรมน้ำหอมบนตัวในจุดกระจายกลิ่น






...ตอนไปเดทกับผู้หญิงยังไม่พิถีพิถันเท่าไปเที่ยวครั้งนี้เลย...






แดฮยอนคว้าเสื้อคลุมเปิดประตูออกจากห้องน้ำเดินไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อแหวกม่านดูบรรยากาศภายนอก ผืนฟ้ากว้างเปรียบเสมือนผ้าใบผืนใหญ่ในโมงยามเช้ามืดซับสีฟ้าครามผสมส้มทองจางๆ ไปทั่ว






เพราะไม่รู้จะทำอะไรฆ่าเวลาระหว่างรอ เขาเลยเปิดดูคลิปสอนทำอาหารและค้นตู้เย็นหยิบอาหารสำเร็จที่ใกล้หมดอายุมาเป็นวัตถุดิบแทนการออกไปซื้อของสด แต่ความเป็นมือใหม่ทุกอย่างเลยทุลักทุเลไปหมด กว่าจะปล้ำกับเครื่องครัวจนได้ซุปมักกะโรนีมาถ้วยหนึ่งได้ก็ต้องเสียเวลาทำความสะอาดครัวอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะเข้าสู่ปกติ






ถึงจะไม่มีเหงื่อออกหากความกลัวว่าเนื้อตัวจะไม่สะอาดเป็นเหตุให้เจ้าตัววิ่งพรวดไปห้องน้ำ เช็คความเรียบร้อยของตัวเองพร้อมปะพรมน้ำหอมเพิ่มอีกนิดเสริมความมั่นใจจึงออกมาใหม่ ทว่าครั้งนี้กลับมีเจ้าของบ้านยืนหาวหวอดอย่างคนเพิ่งตื่นอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ






ตากลมบนดวงหน้านวลขาวกะพริบปริบแล้วกวาดลงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของเพื่อนร่วมบ้านอยู่เป็นนาทีก็หลุดยิ้มออกมา






“ตื่นเช้ากว่าไปทำงานอีกเนาะ...แต่งตัวเต็มแถมหอมฟุ้งเชียว ไปพิพิธภัณฑ์นะไม่ใช่ไปเดทกับสาว หรือว่าตื่นเต้น นี่นายอยากไปมากขนาดนั้นเลยเหรอ คงไปที่นี่ครั้งแรกเลยสิ” ถ้อยความถามไถ่ในเชิงหยอกมาพร้อมเสียงหัวเราะใสเช่นเสียงระฆังกังวาน ริมฝีปากอิ่มเหลือบสีเลือดจางๆ ตามธรรมชาติเหยียดกว้างนั้นชวนไม่อยากละสายตา






“มันตลกมากเหรอที่ฉันตื่นเต้นน่ะ...ที่ฉันตื่นเต้นเนี่ย ไม่ใช่เพราะได้ไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์หรอกนะ แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวกับนายสองคน ในที่ๆ นายอยากไปต่างหาก” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยอย่างจริงจังเช่นเดียวกับแววตาเป็นผลให้เจ้าของบ้านหลุบตามองพื้นพลางยู่ปากแทนการยิ้มให้กับท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออก ก่อนจะแกล้งทำเป็นปัดมือไล่ให้ถอยเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำบ้าง






“ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้นะ” คนที่ตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสี่บอก






“อืมๆ” เขาส่งเสียงตอบรับในคอก็หายเข้าไปอาบน้ำพักหนึ่งถึงกลับออกมาใหม่






ร่างผอมซ่อนอยู่ใต้กางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อแขนยาวสีขาวมาทับด้วยเสื้อคลุมไหมพรมสีน้ำเงินคลิบขอบชายเสื้อไว้ด้วยสีขาวที่ซื้อมาตั้งแต่สมัยยังอ้วนทำให้ช่วงไหล่ลู่ตกจนแขนเสื้อคลุมปิดมือทั้งสองข้างแทบมิด






ปกติเขาแทบไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อผ้าที่หอบมาจากสวีเดนตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยกับเสื้อผ้าสมัยอ้วนเป็นหลัก นอกนั้นก็สั่งผ่านเว็บไซต์เอา






พี่ฮิมชานกับพี่ยงกุกไม่ว่างพอจะไปเดินเล่นซื้อของกับเขาหรอก ส่วนจุนฮงเองพอเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มยุ่ง กับพี่ยงนัมยิ่งแล้วใหญ่ยังไม่เคยชวนไปเที่ยวไหนโดยไม่มีพี่ฮิมชานเลยสักที






เจ้าของบ้านก้าวเท้าไปยังโต๊ะกินข้าวในครัวที่มีถ้วยกระเบื้องสีขาวสองใบวางอยู่พร้อมช้อน เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นมักกะโรนีข้องอลอยอยู่ในน้ำซุปใสล้อมไปด้วยแครอท หอมใหญ่กับมะเขือเทศที่หั่นไม่เท่ากันเลยสักชิ้น






“นี่นายทำกับข้าวเองเหรอ”






“อา...ใช่”





“ไหนว่าทำกับข้าวไม่เป็น”






“ฉันตื่นเช้าไปหน่อย ไม่มีอะไรทำก็เลยลองทำดู”






“กินได้เหรอ” มือผอมหยิบช้อนมาตักคนซุปในถ้วยพลางขมวดคิ้ว แต่เมื่อเงยหน้ามองเลยไปยังฝ่ายตรงข้ามเห็นนิ้วมือที่เท้าบนโต๊ะมีรอยแผลมีดบาดซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำแผล ปากก็เริ่มบิดไปมา






“มันกินได้นะ ฉันชิมแล้วแต่ถ้านายไม่มั่นใจ ฉันจะอุ่นอย่างอื่นให้...อ้าว จะไปไหนอะ” เพียงเห็นคนตัวผอมจ่ำเท้าพรวดออกไปเสียดื้อๆ พ่อครัวฝึกหัดร้องถามเสียงหลง ใจเริ่มกังวลกระทั่งได้เห็นกล่องยาถูกหิ้วมาเปิดวางบนโต๊ะพร้อมกับการลากเก้าอี้มานั่งของอีกคนก็แปลกใจ






“เอามือมา” ประโยคออกคำสั่งลอดจากริมฝีปากอิ่ม มือขาวฉุดมือเรียวเต็มไปด้วยรอยแผลมาหาตัว ค่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีเช็ดทำความสะอาดและปิดปลาสเตอร์กันน้ำทับลงไป






แดฮยอนจ้องคนที่ก้มหน้าก้มตาทำแผลพลางบ่นยาวราวเทศนาด้วยรอยยิ้ม ยิ่งตอนที่คนตัวผอมเก็บกล่องปฐมพยาบาลวางบนโต๊ะ เดินไปชงกาแฟและกลับมานั่งตักซุปมักกะโรนีเข้าปากจนเกลี้ยงชามก็คล้ายกลับมีความอุ่นเติมลงมาในใจจนเต็ม






...ยองแจน่ะเป็นนางฟ้าของเขาจริงๆ นะ...






“วันนี้เวรนายทำความสะอาดใช่ปะ ล้างจานด้วยนะ ล้างเสร็จ ฉันจะพาไปดูรถของคุณลุง” เจ้าของบ้านบอกหลังซดอาหารเช้าฝีมือรูมเมทที่รสชาติเหมือนอาหารเด็กก่อนจะหิ้วกล่องปฐมพยาบาลกลับไปเก็บแล้วเดินมาหยิบกุญแจรถของคุณลุงกับกระเป๋ากล้องจากในห้องนอนมาด้วย






...ซุปมักกะโรนีชามนี้รสอ่อนมาก สู้ซุปไข่ที่พี่ฮิมชานเคยทำให้กินลวกๆ ยังไม่ได้เลย แต่ความตั้งใจนั้นทำให้คำวิจารณ์ถูกเก็บไว้กับตัว






พ่อครัวฝึกหัดพ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมบ้านล้างจานชามเก็บคว่ำบนตะแกรงข้างอ่างเรียบร้อยก็โผล่มาในห้องนั่งเล่น จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากห้องลงลิฟต์ไปยังชั้นจอดรถใต้ดินของอาคาร






รถออดี้ซีดานรุ่นเก่าสีดำถูกขัดสีทำความสะอาดจนเงาวับไม่เหมือนรถถูกจอดทิ้งเผยโฉมหลังผ้าคลุมรถถูกดึงออกจนหมด เจ้าของรถเหลือบมองคนตัวสูงที่กำลังตรวจเช็กสภาพรถยนต์รอบคัน






ท่าทางมุ่งมั่นและความละเอียดในการตรวจสอบรถทีละจุดเพื่อความปลอดภัยนั้นเสริมให้คนที่มีเสน่ห์แพรวพราวกับทุกคนดูดีกว่าเก่าถึงขนาดทำให้คนทำอะไรไม่เป็นนอกจากขับรถอย่างเดียวกำหมัดพยายามสะกดใจให้หยุดเต้นแรง






...เมื่อไหร่จะหยุดเป็นแบบนี้ซะที...






“ทำไมรถสะอาดจัง รถอาจจะเก่าแต่เครื่องยนต์อะไรก็ดีหมด ไม่เห็นเหมือนรถจอดทิ้งเลย” ประโยคคำถามนั้นเป่าความคิดวุ่นวายในหัวของเจ้าของรถจนกระเจิง






“อ๋อ พี่ฮิมชานเขาพามันไปอาบน้ำให้เดือนละสองครั้ง”






คนตัวสูงกว่าชะงักการปาดเหงื่อกลอกตามองบนเพียงได้ยินชื่อของรุ่นพี่ของตนหลุดมาให้ได้ยินอีกหน






...อะไรก็พี่ฮิมชานตลอดเลย...






“พี่ฮิมชานนี่เป็นยิ่งกว่าพ่อแล้วมั่ง” ปากขยับถามเหยียดยิ้มอ่อนทั้งที่ข้างในเริ่มหัวร้อนอย่างบอกไม่ถูก






“เป็นพ่อสิ...ขี้บ่นขนาดนั้น”






“ถ้าไม่ขี้บ่นล่ะ”






“ก็เป็นพี่”






“แค่นั้นเหรอ”






“แค่นั้นแหละ”






“อืม”






“ไมอะ...อยู่ๆ ทำไมถึงถามงั้น”






“ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่...ลืมไปว่านายสนิทกันมาก” ฝ่ายที่ลืมตัวเผยความคิดในใจออกไปว่าแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เออ พี่เขาเติมน้ำมันติดไว้ให้นิดหน่อยเอง สงสัยต้องไปหาปั๊มเติมเอง แต่พิพิธภัณฑ์ที่นายอยากไปมันอยู่ไหนนะ”






“อ้าว ยังไม่รู้ว่าอยู่ไหนเหรอ”






“ไม่รู้...นายไม่ได้บอกฉันไว้”






“เห็นชวนก็นึกว่าบอกแล้วซะอีก...พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์กวาชอน อยู่ในคยองกีน่ะ ตอนเด็กๆ ฉันไปบ่อยแต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าไปยังไงแต่มันมีเว็บไซต์บอกเส้นทางให้อยู่นะ เดี๋ยวเปิด GPS ในมือถือดูไปด้วยน่าจะขับไปถูกหรือถ้ากลัวหลงนั่งรถเมล์ ไม่ก็แท็กซี่แทนก็ได้”






“ไม่เป็นไร ฉันขับได้”






“ขับได้น่ะไม่กลัว กลัวหลง”






“ไม่หลงหรอก”






“แน่ใจ”






“ถ้าหลงก็วกหาทางใหม่ ถือว่าขับรถเล่น”






“หลงไปหลงมาคงได้ขับรถเล่นทั้งวันกันพอดี แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ค่อยได้นั่งรถเล่นมานานแล้ว จะหลงหน่อยก็ได้”






ท่าทางกลอกตาไปอีกและยู่ปากอย่างใช้ความคิดทำให้คนตัวสูงหลุดยิ้มก่อนจะรีบเดินไปแย่งเปิดประตูข้างคนขับให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง จึงอ้อมกลับมาขึ้นฝั่งคนขับสตาร์ทรถขับออกจากใต้อาคารไปยังถนนด้านนอก






ดวงตะวันแผดแสงแห่งอรุณรุ่งสาดทั่วผ่อนอากาศเย็นในฤดูใบไม้ร่วงให้อุ่นขึ้น ตึกรามร้านรวงเริ่มตกแต่งอาคารให้เข้ากับบรรยากาศ แม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกรายทางยังเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีส้มแดงสะพรั่งพาให้ทั้งเมืองคล้ายถูกย้อมสี






ยองแจเอียงหัวซบกับเบาะทอดสายตายังรถรา ผู้คน ต้นไม้ใบหญ้ากระทั่งอาคารบ้านเรือนด้านนอกรถอย่างสนใจ สีสันของต้นไม้ผลัดใบชวนให้คิดถึงความหลังเมื่อสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย






ช่วงฤดูใบไม้ผลิล่วงเลยถึงฤดูหนาวในคณะมักมีงานจัดแสดงดนตรีอยู่เสมอ บางคราก็มีจัดแสดงละครเวทีร่วมกับคณะนิเทศ ส่วนมากตัวเขานอกจากจะต้องแข่งขันกับคนอื่นเพื่อให้ได้โอกาสขึ้นไปร้องเพลงแล้ว ยังถูกโยนหน้าที่ประเภททำอุปกรณ์ประกอบเวทีหรือฉากมาเสมอ






ครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมเอกเคยรวมหัวกันทิ้งเขาให้นั่งทำฉากอยู่คนเดียว ทั้งที่พรุ่งนี้ต้องนำไปติดตั้งเวทีแล้ว หากทำไม่เสร็จคงได้ถูกรวมหัวโทษมาที่เขาแน่เลยจำใจต้องทนทำ แต่อยู่ๆ แดฮยอนกลับโผล่เข้ามา พอเห็นว่าทุกคนหายกันไปหมดก็ถอดเสื้อคลุมเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำตัวในนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วว่า






‘มา ฉันช่วยจะได้เสร็จไวๆ ’






ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบตัวเองเลย แต่ก็ยังลงมานั่งหลังคดหลังแข็งช่วยทำอยู่จนมืดและยังเดินมาส่งเขาถึงสถานีรถไฟอีก






เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายด้วยกัน สมัยเรียนอยู่สวีเดนก็มีคนที่คบหาเป็นผู้หญิง ทว่าผู้ชายมากเสน่ห์คนนี้เป็นคนเดียวที่ฉุดเขาขึ้นมาจากวงล้อมสังคมนักศึกษาที่เจ็บปวดและโดดเดี่ยว ไม่เว้นกระทั่งตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน






...ความใจดีที่เผื่อแผ่ทุกคนเป็นทั้งน้ำทิพย์และยาพิษรินหัวใจคนแอบรัก...






“หลับหรือเปล่า” สารถีประจำวันกลับขึ้นรถหลังเติมน้ำมันเสร็จเอ่ยถามเพราะเห็นทางนั้นนั่งตะแคงพิงหัวกับเบาะหันไปอีกทางอย่างนั้นตั้งแต่ขึ้นรถมา






“เปล่า”






“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอหรือเมารถ”






“ไม่ได้เมา”






“ไม่เป็นไรแน่นะ...ฉันเห็นนายนอนท่านั้นตลอดเลยไม่กล้าชวนคุย”






“ฉันสบายดี” น้ำเสียงเนือยเหมือนเหนื่อยตอบกลับ ตากลมมองยังตู้จ่ายน้ำมันอย่างเลื่อนลอยกว่าจะรู้สึกตัวคงเป็นตอนที่มือใหญ่เอื้อมมาลูบหัว






“เหนื่อยก็นอนนะ ถ้าไม่ไหวรีบบอกจะพาไปหาหมอ รู้มั้ย”






คนโดยสารฟังถ้อยคำอ่อนโยนรับรู้ถึงสัมผัสบนเรือนผม กระนั้นหัวใจยิ่งห่อเหี่ยวกว่าเก่าได้แต่พึมพำกับตนเอง






“ไม่ต้องใจดีมากก็ได้ ตัวเองก็เหนื่อยยังจะตื่นเช้ามาขับรถให้อีก”






ฝ่ายคนขับหันมองร่างผอมที่ซุกอยู่ใต้เสื้อตัวใหญ่สลับกับถนนข้างหน้าพลางเม้มปากด้วยรู้สึกถึงเส้นที่กั้นบางในความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับอีกฝ่ายและทำให้เขาอึดอัดไม่สบายใจอยู่เนืองๆ






เพราะยองแจไม่เคยพูดว่ารู้สึกอะไรอยู่ ทำให้เขาต้องเดาเอาเองจากท่าทางการแสดงออก ถึงส่วนใหญ่จะดูปกติแต่ลึกๆ เหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจจนเขากลัวว่าจะเผลอทำอะไรให้พอใจโดยไม่รู้






รถแล่นเข้ามาจอดในลานจอดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติกวาชอนเกินเวลากว่าความตั้งใจของคนชวนไปเล็กน้อย สองชายหนุ่มลงจากรถตรงไปยังช่องขายบัตรเลือกซื้อบัตรเข้าชมในทุกส่วนที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์รวมถึงห้องฉายดาว โดยคนชวนมาเป็นฝ่ายแย่งจ่ายเงินพร้อมอ้างเหตุผลว่า ยังไม่ได้ใช้เงินเดือนของเดือนนี้เลย






“ทำไมไม่ได้ใช้ล่ะ” ฝ่ายที่แยกจ่ายไม่สำเร็จกอดอกถามหน้ามุ่ย ขณะเดินเข้ามาในอาคารท่ามกลางเด็กนักเรียนตัวเล็กตัวน้อยด้วยกัน






“ฉันอยู่ออฟฟิศตลอดไง สวัสดิการข้าวมันมีให้ เหล้าก็ไม่ได้กิน มีแค่เติมเงินในทีมันนี่ไว้ขึ้นรถกับซื้อของกินนิดหน่อยเลยไม่ได้ใช้เงินน่ะ”






“ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยเหรอ”






“ก็สัญญาไว้นี่ ฉันเลยไม่ดื่มมาสามอาทิตย์แล้ว”






“แต่นายบอกว่านายกลับบ้าน” คนตัวผอมถามขึ้นเสียงอ่อยด้วยแววตาห่วงใย “ไม่เมาแล้วหลับได้หรือเปล่า”






“ก็หลับๆ ตื่นๆ แต่ดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะ”






“อย่างนี้ก็เหนื่อยแย่ รู้งี้ฉันไม่มาดีกว่า นายจะได้นอน”






“ไม่เหนื่อยหรอก ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันอยากมาเที่ยวกับนาย” คนตัวสูงกว่าบอกพลางยิ้มกวาดตามองไปรอบๆ “ไม่ยักรู้ว่าพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์มันมีอะไรให้ดูเยอะขนาดนี้”






“นายไม่เคยมาที่นี่เหรอ”






“ไม่...ฉันไม่ค่อยได้มาที่แบบนี้หรอก”






“โรงเรียนเขาไม่พามาหรือไง...ตอนฉันเรียนอนุบาลกับประถมที่เกาหลี ครูพามาทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์เยอะเลยนะ”






“ฉันเรียนที่บ้านน่ะ...กว่าจะได้เข้าเรียนในระบบก็ตอนม.ปลาย ช่วงนั้นส่วนใหญ่ก็เตรียมสอบซูนึงกันหมดเลยไม่เคยได้มา”






“อา” เสียงของคนฟังหลุดออกมา ตากลมจ้องยังอีกคนที่พูดพลางยิ้มเหมือนเคย แปลกที่มีความหม่นหมองแฝงจางๆ อยู่ในน้ำเสียง






ยองแจเม้มริมฝีปากอย่างไม่สบายใจที่ตนเองเหมือนไปสะกิดในสิ่งที่ไม่ควรถาม เลยทำทีเป็นชี้ชวนให้รีบไปเดินดูนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันน่าทึ่งทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างเพลินอยู่ในชั้นหนึ่งอยู่ราวชั่วโมงก็ขยับขึ้นมายังชั้นสอง






ระหว่างนั้นเองที่แดฮยอนพบว่าคนข้างตัวดูจะสนใจเรื่องเกี่ยวกับอวกาศและดวงดาวเป็นพิเศษ กระทั่งมาถึงโซนวิทยาศาสตร์เกาหลีโบราณเพียงผ่านส่วนการแพทย์แผนโบราณ ภูมิปัญญาชาวบ้านและยุทธโธปกรณ์มายังเครื่องมือที่คล้ายแบบจำลองลูกโลกล้อมด้วยวงแหวนมีมังกรเป็นฐาน อยู่ๆ คนตัวผอมที่เดินข้างกันก็มาวิ่งตื้อรีบเข้าไปดูเป็นการใหญ่






“ไอ้นี่มันมีไว้ทำอะไร” ฝ่ายไม่เคยมาเดินตามไปและได้แต่ชี้นิ้วถามด้วยความสงสัย






“เครื่องนี้ใช้บอกการโคจรของดาวเคราะห์กับโลกน่ะ ของพวกนี้สร้างในสมัยโชซอนหมดเลยนะ”






“แล้วไอ้แผ่นเหลืองๆ กลมๆ ที่มีรูเยอะๆ ใช้ทำอะไร”






“มันเป็นแผ่นบอกตำแหน่งดาว วิธีใช้ก็แบบนี้...” คนตัวผอมอธิบายวิธีการใช้งานพร้อมวาดมือประกอบให้ฟังเสร็จสรรพ ก่อนจะย้ายไปดูนาฬิกาแดดและเครื่องไม้เครื่องมือโบราณที่เกี่ยวข้องกับการดูดาวอื่นๆ ด้วยความกระตือรือร้น






การฉีกยิ้มมองทุกอย่างด้วยดวงตาพราวระยับมีความสุขมากล้นถึงขั้นที่วิ่งกระโดดไปกระโดดเหมือนเด็กเล็กๆ ได้ของถูกใจทำให้ผู้วางแผนเที่ยวที่หวาดระแวงกับการถูกเกลียดมาพักใหญ่เหยียดริมฝีปากกว้างจนหน้าบานด้วยหัวใจที่อุ่นและพองโตราวกับความสุขจุกแน่นในอก






“ไปห้องฉายดาวกัน” คนชวนว่าแล้ววิ่งนำหน้าออกไปยังทางเข้าที่มีเด็กอนุบาลและประถมจำนวนมากรวมทั้งผู้ใหญ่อีกเล็กน้อยยืนต่อแถว เมื่อผ่านประตูเข้ามาจะเห็นห้องสีแดงสลัวทรงโดมกว้างขวางล้อมรอบด้วยเก้าอี้เอนนอนได้คล้ายในโรงหนังวางเรียงเป็นวงกลม






อาการตื่นตาตื่นใจกับห้องฉายดาวทำให้ยองแจตั้งท่าจะวิ่งไปเลือกที่นั่งไม่รอฝ่ายที่เดินตามมาด้วยกัน มือที่ใหญ่เลยคว้าหมับเข้าที่มือเย็นจัดนั้นไว้ราวกับกลัวจะหาย






“จับมือทำไม” คนตัวผอมถามเสียงแข็งหันไปขมวดคิ้วมองพร้อมบิดมือตัวเองออกจากการเกาะกุม หากมือใหญ่นั้นกลับแข็งเหมือนคีมเหล็กที่ยิ่งบิดก็ยิ่งแน่นไปกว่าเก่า






...หมอนี่ผอมแต่แรงเยอะจัง...






“มันมืด...ฉันกลัวหลง”





“มืดตรงไหน ยังไม่ทันได้ปิดไฟเลย”






“ตาฉันสู้แสงสีแดงๆ ไม่ค่อยได้ ถ้าไม่จับไว้อาจสะดุดด้วย” เหตุผลที่ฉุกคิดกะทันหันเอ่ยตอบ






“ไม่เห็นเคยรู้ว่าตาไม่สู้แสงสีแดงแล้วแบบนี้จะดูได้เหรอ”






“ฉันมีปัญหากับแสงแดงแบบเรื่อๆ น่ะ ถ้าเป็นแสงแดงจ้าๆ ฉันโอเคอยู่”






“มีงี้ด้วย”






“มีสิ ไม่เชื่อไปถามหมอก็ได้นะ” คนถือวิสาสะจับมือสวนทุกคำถามรวดเร็วด้วยแววตาละห้อยหาประหนึ่งจะยืนยันในความสัตย์จริง ทั้งที่ความจริงโกหกทุกถ้อยความ






“ถ้าตาเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้...เอาเถอะ ฉันให้นายจับมือก็ได้แต่เฉพาะตอนนี้เท่านั้นนะ” คำอนุญาตอย่างเสียไม่ได้หลุดจากปากคนที่ย่นหน้าผากย่นจมูกเหมือนเด็กเวลาถูกขัดใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายลากร่างสูงให้ตามมานั่งตรงเก้าอี้รอบนอกสุดของวงกลมด้านเดียวกับที่ผู้บรรยายนั่งอยู่






“จะนั่งตรงนี้เหรอ”






“นั่งตรงนี้จะเห็นทุกอย่างชัดที่สุด”






“ทำไมรู้”






“ชู่” เสียงที่มีลมผสมเข้ามาส่งสัญญาณให้หยุดพูด จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในบรรยากาศยามเย็นพร้อมกับเสียงจากผู้บรรยายที่เริ่มต้นแนะนำตัว กฎระเบียบและกำหนดการคร่าวๆ ในการฉายดาวครั้งนี้






ในไม่ช้าท้องฟ้ายามเย็นกลับมืดลง พลันหมู่ดาวฤกษ์และหมู่ดาว ต่างทยอยปรากฏตัวออกมา โดยมีการบรรยายสอนวิธีดูดาวเหล่านี้เกือบยี่สิบนาทีภาพก็เปลี่ยนไปสู่ห้วงอวกาศ มีดาวเคราะห์ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเผยตัวออกมาให้เรียนรู้วิธีศึกษาอีกสิบนาทีก็ดำเนินมาถึงการฉายภาพยนตร์เต็มโดมในหัวข้อ มหัศจรรย์แสงออโรร่า






แนวแสงสว่างหลากสีฉาบความมืดมิดของราตรีกาลเปลี่ยนรูปร่างอยู่ตลอดเวลานั้นดูราวกับม่านทำจากผ้าไหมเรืองแสงสะบัดพลิ้ว ตามมาด้วยต้นกำเนิดการเกิดแสงเหนืออันเกิดจากลมสุริยะปะทะกับสนามแม่เหล็กโลก






ภาพสมจริงใกล้เคียงสามมิติในระยะใกล้ประกอบด้วยแสงเสียงและการบรรยายสนุกทำให้ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจจนคนมาเป็นครั้งแรกไม่อาจละสายตา กระทั่งเด็กตัวเล็กตัวน้อยในห้องยังส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้น






เมื่อผู้บรรยายกล่าวลาทั้งห้องกลับสู่ความมืดมิดราวสองสามนาทีก็มีแสงแดงเรื่อๆ สว่างขึ้นมาแทนที่ หากคนที่ประสงค์จะมาพิพิธภัณฑ์ยังคงนั่งนิ่งมองไปบนจอว่างเปล่าราวกับจะซึมซับภาพที่ได้รับเมื่อครู่อีกพักหนึ่งจึงลุกขึ้นด้วยความอิ่มใจฉุดให้อีกคนลุกเดินออกจากห้องฉายดาวตรงดิ่งไปยังโซนของที่ระลึก






คนตัวสูงยอมปล่อยมือคนตัวผอมกว่าให้วิ่งไปสำรวจข้าวของตามความชอบแล้วค่อยๆ เดินตามคอยชะโงกมองอยู่ด้านหลัง ก่อนจะสะดุดตากับพวงกุญแจดวงจันทร์ที่โอบกอดดวงอาทิตย์ไว้แนบแน่นมีพื้นหลังเป็นกาแล็คซี่ทางช้างเผือกซึ่งเหลือเพียงอันเดียวบนราวจึงหยิบมันออกมาพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์หมายจะให้เป็นของขวัญตอนขึ้นรถ






...จำได้ว่ายองแจชอบพูดถึงดวงตะวันอยู่บ่อยๆ ซื้อไปฝากหน่อยน่าจะดี...






เขาสอดถุงกระดาษใส่พวงกุญแจในกระเป๋าเสื้อและเดินกลับมาก้มมองแม่เหล็กติดตู้เย็นใกล้ๆ กับคนที่กำลังเลือกแม่เหล็กดาวเคราะห์ดาวฤกษ์ต่างๆ อยู่สองสามนาทีก็ละสายตากลับมาแลเสี้ยวหน้านวลของเพื่อนร่วมบ้านที่ตอนนี้คอยแต่ขยับเข้าหาเสียใกล้จนเห็นถึงแพขนตาที่กะพริบปริบและความเนียนละเอียดของผิวแก้วเจือกลิ่นหอมจางของเปลือกไม้โชยมา






...ภาพและกลิ่นที่ใกล้เกินกว่าเคยมีมนต์ให้โลกของเขาหยุดหมุนไปชั่วขณะ...






“นายชอบอันนี้มั้ย”






คนที่หลงใหลในดวงดาวหยิบแม่เหล็กดาวศุกร์สีคล้ายพระอาทิตย์เคล้าพระจันทร์หันมาถามโดยไม่รู้ตัวว่าเผลอขยับไปหาจึงกลายเป็นหน้าตัวเองอยู่ห่างจากหน้ารูปหัวใจของฝ่ายตรงข้ามเพียงฝ่ามือกั้น






แววอ่อนละมุนในดวงตากลมแต่คมกล้าสบประสานตรงมาทำให้ผู้เห็นเข้าเกิดหน้าร้อนผ่าวผงะถอยกะทันหันเท้าเลยพลิกเกือบหงายดีที่มืออุ่นคว้าไว้ได้ก่อน




“เดี๋ยวล้มหรอก” คนตัวสูงเตือนดึงแขนให้ร่างผอมกลับมายืนตัวตรงแล้วเอื้อมมือมากุมมือไว้เช่นเดิม “จะซื้ออะไรอีกมั้ย หิวหรือเปล่า ถ้าหิว ฉันหาคาเฟ่ที่เขาแต่งร้านสไตล์อวกาศแบบที่นายชอบไว้แล้ว เดี๋ยวพาไปกินนะ”






“ไม่แล้ว”






“งั้นไปนั่งรอหน้าร้านก่อนนะ เดี๋ยวฉันจ่ายเงินเสร็จจะไปหา”






“ไม่เอา...ฉันจะจ่ายเอง อันนี้ของฉันซื้อไปฝากคนอื่น เมื่อกี้ก็แย่งจ่ายค่าตั๋วแล้ว รอบบนี้ฉันไม่อนุญาตให้นายแย่งฉันจ่ายอีก เข้าใจมั้ย” คำขู่เสียงแข็งหลุดจากปากแต่สีหน้าแววตากลับเหมือนเด็กออกคำสั่งกับผู้ใหญ่






“จ้า” เสียงลากยาวอย่างตามใจบ่งบอกความเอ็นดูชัดเจน






หลังจ่ายเงินเรียบร้อยทั้งคู่ก็เดินมานั่งตรงเก้าอี้ยาวใกล้กับประตูทางออกรอให้เด็กชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษานับร้อยต่อแถวกลับขึ้นรถไปก่อนเพื่อเวลาตนเองออกเดินทางจะได้ไม่หงุดหงิดกับรถติด






แดฮยอนนั่งมองทุกอากัปกิริยาของคนตัวผอมที่นั่งหันรีหันขวางมองไปทั่วอย่างสนใจใคร่รู้อยู่ข้างๆ ทั้งที่เดินเที่ยวจนทั่วแล้วอย่างเพลินตา ถึงขนาดที่อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ หากความกลัวทำให้ไม่กล้าเอ่ยปากขอได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าแกล้งกดนั่นกดนี่ไปเรื่อยเปื่อย






เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มานั่งดูบ้างเลยยกโทรศัพท์ตัวเองทำทีกำลังเซลฟี่ทั้งที่เอนกล้องหน้ากะจะให้ติดคนข้างๆ ที่ดูไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาด้วย






...แชะ...






เสียงชัตเตอร์จากแอพลิเคชั่นกล้องถ่ายรูปที่ลืมตั้งปิดเสียงดังขึ้นเล่นเอาเจ้าของโทรศัพท์หายใจสะดุดสบถด่าในความเซ่อซ่าของตัวเอง






“ทำไรอะ”






คนถูกจับได้สะดุ้งกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอค่อยๆ หันไปมองคนที่ยู่ปากถามด้วยความสงสัย






“ฉัน...หาสัญญาณมือถือ”






“แต่ฉันได้ยินเสียงเหมือนนายถ่ายรูป”






“อ๋อ...เมื่อกี้ตอนหาสัญญาณฉันถ่ายเซลฟี่น่ะแต่ถ่ายไม่ติดนายหรอกนะ ไม่ต้องห่วง” คำแก้ตัวไหลไปเรื่อยไม่น่าเชื่อถือ โชคดีอีกคนกลับพยักหน้าแล้วก้มกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองทำให้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง






...ถ้ารู้ว่าแอบถ่าย โดนโกรธขึ้นมาทำไงวะ...






ยองแจง่วนอยู่กับการตอบข้อความพ่อและพี่ชายอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าปรายตาไปยังคนที่กำลังกดพิมพ์ข้อความอยู่เลยกล้าเปิดเข้าอินสตาแกรมตัวเองเพื่อลงภาพถ่ายในพิพิธภัณฑ์พร้อมแคปชั่นขอบคุณคนที่พามาเที่ยวก่อนจะลองกดเข้าไปดูในอินสตาแกรมรูมเมทที่ไม่เคยติดตามแต่ค้นหาจนจำได้ขึ้นใจ






รูปถ่ายอัพเดตล่าสุดเมื่อสองนาทีก่อนเป็นภาพถ่ายเจ้าของอินสตาแกรมกำลังทำนิ้วเป็นรูปหัวใจโดยที่ตรงกลางระหว่างนิ้วที่ไขว้กันมีรูปเขากำลังมองโทรศัพท์ติดมาพอดิบพอดี






แคปชั่นใต้ภาพพิมพ์ยาวเหยียดทำให้คนอ่านรู้สึกดีอย่างประหลาด ยิ่งได้เห็นความคิดเห็นผู้ติดตามและการโต้ตอบความเห็นเหล่านั้นด้วยแล้วก็หลุดยิ้มออกมา






“หิวยัง ไปกินข้าวกัน” คำชวนมาพร้อมกับการที่มือถูกจูงให้ออกเดินตาม เจ้าของมือเลยสะกิดเรียก






“นี่”






“หื้อ”






“ตอนนี้มันสว่างแล้วนะ ไม่มีไอ้แสงแดงๆ ที่นายแพ้ด้วย”






“อืม”






“แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยมือฉันอะ”






การถามอย่างตรงไปตรงมาดึงให้คนตัวสูงที่ถือวิสาสะจับมืออยู่เป็นนานหันกลับมาก้มมองมือใหญ่ที่กุมมือเรียวเย็นไว้แน่นชั่วอึดใจก็เหลือบกลับมายังดวงหน้านวลน่ารักอีกครั้ง






“ก็ฉันหนาว จับมือนายไว้จะได้อุ่น”






“ไม่เห็นจะหนาวเลย”






“ไม่หนาวอะไรกัน มือนายยังเย็นเป็นน้ำแข็งขนาดนี้”






“ฉันหมายถึงนายน่ะไม่เห็นดูหนาวเลย มือก็อุ่นยังกะใส่ถุงมือ”






“มืออุ่นใช่ว่าตัวจะอุ่นนะ ไม่เคยเจอคนมืออุ่นแต่หนาวจนสั่นบ้างเหรอ”






“ไม่เคย”






“ก็ฉันนี่ไง คนประเภทมืออุ่นตัวหนาว”






ฝ่ายที่ไม่อยากปล่อยมือยกทุกเหตุผลไหลไปเรื่อยอย่างไม่สิ้นสุดจนคนที่พยายามจะปลดมือจากการเกาะกุมถอนหายใจ






“นายนี่อะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวตาแพ้แสงสีแดง เดี๋ยวมืออุ่นตัวหนาว เป็นแต่อะไรแปลกๆ ที่ชาวบ้านเขาไม่เป็นกัน”






“เพราะมันเป็นโรคแปลกๆ ก็ช่วยเห็นใจหน่อยสิ”






“อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่เห็นเคยรู้ นึกว่าเป็นแค่โรคนอนไม่หลับ แล้วหมอไม่บอกวิธีรักษาบ้างเลยเหรอ มียาให้กินบ้างมั้ย”






“ฉันใช้วิธีธรรมชาติบำบัดเลยไม่มียา”






“เอ๊ะ มีแบบนี้ด้วย...ไปหาหมอที่ไหนมาเนี่ย”






“หมอโรงพยาบาลนั่นแหละ”






“โรงพยาบาลไหน”






“โรงพยาบาล...ที่บริษัทฉันทำประกันไว้ให้กับพนักงานน่ะ” คนถูกซักบอกชื่อโรงพยาบาลตามบัตรประกันสุขภาพที่ได้รับจากบริษัทแต่ไม่เคยได้ใช้เสียทีไปส่งๆ






“ถ้ามันไม่ดีขึ้นนายควรจะเปลี่ยนหมอนะ ไม่ใช่มาเที่ยวจับมือชาวบ้านเขาแบบนี้ เกิดไปจับมือสาวสุ่มสี่สุ่มห้าโดนต่อยมานี่เจ็บตัวฟรีเลยนะ”






“ปกติฉันไม่ค่อยมีอาการ แต่วันนี้อยู่ในที่ไม่ค่อยคุ้นก็เลยเป็นน่ะ”






“แล้วจะหายมั้ย ถ้าไม่หายไปหาหมอเหอะ” จากความไม่เชื่อในตอนแรก เมื่อฟังไปฟังมาก็ชักจะคล้อยตามจนเกิดเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ






“อีกพักน่าจะหาย”






“แน่ใจนะว่าอีกพักหนึ่ง”






“อืม”






“ถ้าอีกพักจะหาย ฉันให้จับมือก่อนก็ได้” ท้ายที่สุดคนทวงถามก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ก้าวเท้าตามหลังเพื่อนร่วมบ้านที่จับจูงประหนึ่งกลัวจะหายมากกว่าจะเป็นโรคอย่างยกมากล่าวอ้างไปยังลานจอดรถ






“นายดูชอบพวกดวงดาวอะไรนี่มากเลยเนาะ” การเฝ้าสังเกตมาตลอดการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เป็นประเด็นให้เริ่มบทสนทนาใหม่






“อืม เมื่อก่อนฉันเคยอยากเป็นนักบินอวกาศด้วยนะ”






“จริงดิ” คนถามอุทานตาโตอย่างคาดไม่ถึง






“จริง...ตอนเด็กๆ น่ะฉันฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ ชอบดูดาวก็เลยมาที่นี่กับจินยองบ่อยๆ ที่นายถามว่า ทำไมถึงรู้ว่าควรนั่งตรงไหนในห้องฉายดาวถึงเห็นชัดน่ะเพราะฉันมากับจินยองประจำไง”






เพียงชื่อคนแปลกหน้าผ่านมาให้ได้ยิน มุมปากที่กำลังยกจากการยิ้มกลับกระตุกแรง






“จินยองคือใคร”






“เป็นเพื่อนคนสำคัญของฉันเอง”






“ไม่เห็นนายเคยเล่าให้ฟัง”






“ก็ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลยตั้งแต่ไปสวีเดนก็เลยไม่ได้เล่า”






“ยังอยากเจอเขาอยู่มั้ย”






“อยากสิ อยากมาก...เมื่อก่อนตอนหมอนั่นมานอนค้างที่บ้าน เราเคยนอนคุยกันจนเช้าด้วยนะ”






“เหรอ”






“ตอนนั้นน่ะฉันมีความสุขมากเลย”






“มีความสุขกว่าอยู่กับฉันสินะ”






เพราะการกระแทกเสียงถามอย่างอดกลั้นความรู้สึกอิจฉาในใจไม่ได้นั้นทำให้ผู้ได้ยินเลิกคิ้วหันไปหา






“หื้อ”






“ฉันน่ะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องดวงดาวนักหรอก อะไรที่เกี่ยวกับยานอวกาศหรือกาแล็คซี่อะไรพวกนั้นก็ด้วย นายมากับฉันคงไม่สนุกเท่ามากับเพื่อนคนสำคัญของนายหรอก” คนตัวสูงเค้นยิ้มพยายามปรับเสียงที่เอ่ยออกมาให้กลับเป็นปกติแม้จะรู้สึกร้อนไปทั้งใจราวกับมีใครเอาไฟมาลนก็ตาม






...มันหงุดหงิดทุกครั้งเวลาที่ยองแจพูดถึงหรือให้ความสนใจใครขึ้นมา...






ลึกๆ ใจก็อยากให้ยองแจมีเพื่อน แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะทำความเข้าใจผลักดันให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นอันดับหนึ่งในสายตา






...พยายามเอาใจใส่ให้มากเท่าที่จะมากได้




...พยายามจะไม่ทำอะไรให้ถูกเกลียดชังอย่างที่เคยประสบพบมา




...ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหัวเสียเมื่อมีใครสักคนเข้ามาใกล้ยองแจมากเกินไป






“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” เสียงอ่อนถามพลางขมวดคิ้วให้กับท่าทางแปลกๆ ที่เห็นนั้น






“มันก็แค่...” เขาพูดได้เท่านั้นก็ส่ายหัวและเริ่มใหม่ “ขอโทษนะ”






“ขอโทษเรื่องอะไร”






“ที่ฉันพูดอะไรไม่เข้าท่าน่ะ”






“ดีนะเนี่ยที่รู้ตัว แต่ว่านะ มาพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์กับนายครั้งนี้ก็ดีออก ฉันสนุกมากเลย ไว้ครั้งหน้ามาด้วยกันอีกนะ”






ดวงหน้าพราวยิ้มหวานเงยมาหา นัยน์ตากลมสีน้ำตาลสวยทั้งคู่หรี่เล็กลงตามการเหยียดตัวของริมฝีปากเปล่งประกายสุกสกาวเหมือนดวงดาวยามค่ำนั้นน่ารักมากจนต้องยิ้มตามออกมา






“ครั้งหน้าไปที่ที่นายอยากไปด้วยกันอีกนะ”






“ได้ แต่ตอนนี้ฉันหิวข้าวแล้วล่ะ”






“งั้นไปกินข้าวกัน”






“อืม” คนหิวตอบรับสั้นจะเดินอ้อมไปขึ้นรถแต่เพราะมือใหญ่จับไว้เลยไปไหนไม่ได้จึงหันกลับมาออกคำสั่ง “จับมือไว้อย่างนี้ ฉันจะขึ้นรถยังไง”






“ปล่อยแล้วจะให้ฉันจับได้อีกหรือเปล่า” เจ้าของเสียงเข้มอ้อนถามตาละห้อยเยี่ยงแมวเชื่องๆ ผิดวิสัยปกติ






“ก็บอกแล้วไงว่าจะให้จับจนกว่าจะอาการดีขึ้น นี่หายยังล่ะจะได้เลิกให้จับ”






“ยังเลย”






“แต่จับมือก็จับพวงมาลัยเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้นะ”






“อา”






“ไว้อาการไม่ดีจะจับแขนให้แล้วกัน”






“ก็ได้” หลังต่อรองกันอยู่เกือบห้านาทีคนกะล่อนก็ได้ข้อสรุปเป็นที่น่าพอใจ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังอ้อมไปเปิดประตูส่งรูมเมทขึ้นรถไปก่อนถึงเดินกลับขึ้นรถและขับมันออกจากลานจอดกลับไปยังท้องถนนอีกครั้ง




------------------------------แวะคุยกันก่อน------------------------


ขอตัดตอนมาก่อนนะคะ เพราะมันยาวมากๆ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแล้วฝากคอมเม้นบอกหน่อยนะคะ
หรือติดแท็กที่ #ficlovetoxical จะได้รู้ว่าอ่านกันอยู่ เดี๋ยวมาลงต่อ
แต่คงอีกพักหนึ่ง เที่ยวอยู่นะคะ 5555555555


You Might Also Like

7 Comments

  1. มีความละมุน มีความกระล่อนของแด น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ แต่เมื่อไหร่จะเปิดใจบอกความรู้สึกกันสักที สงสารทั้งคุณเค้าทั้งกากด้วย เป็นฟิคที่ภาษาสวยเหมือนเดิมเลยค่ะ ชอบๆ เวลาที่อ่านเจอประโยคที่อยู่ในทวิตเตอร์ด้วย น่ารักมากค่ะอ่านไปอมยิ้มตามไป

    ตอบลบ
  2. แดฮยอน แกมันร้าย มารยามาก ไหลไปเรื่อย ชอบก็บอกชอบ หวงก็บอกหวง หมั่นไส้การกระทำทุกอย่างของมันจริงๆ สงสารก็แต่นางฟ้ามันเนี่ยแหละ เข้าใจคนแอบรักป่ะ ทำใจให้คิดแค่เพื่อนยังไง เจอเค้าทำดีด้วยที่พยายามมาก็หมดกันแล้ว เห้อออ รู้ใจกันสักทีสิ ลุ้นมาก แดฮยอนคนกากก็นะ ที่แกทำไปยิ่งกว่าชอบเค้าอีก ไอ้ทาส หลงเค้าจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ดีใจที่อัพแล้วนะคะ คอยรีคอยอ่านในทวิตตลอด มีทวงไปด้วยบ้างอย่าว่ากันนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รักมากอีกเรื่องค่ะ ใครไม่อ่านเราอ่าน ใครไม่เม้นเราเม้น ถึงแม้จะเม้นไม่เก่งแต่อยากให้รู้ว่า มีคนรอผลงานดีๆแบบนี้อยู่นะคะ สู้ววววววว

    ตอบลบ
  3. จิงๆแอบเข้ามาสิงซักพักใหญ่ๆแล้วแต่ไม่เคยแสดงตัว//ขออภัยที่ทำตัวไม่น่ารัก😅😅//
    ปกติไม่ใช่คนที่จะอ่านฟิคคู่เมนได้ทุกเรื่อง ถ้ารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันขัดๆกันก้อไม่อ่านต่อ แต่เรื่องนี้คือยอมอ่ะ แดแจ2-3รอบ บังโล่นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ😁😁
    ชอบภาษา ชอบการใช้คำ เนื้อเรื่องที่ไหลลื่นมีความสมเหตุสมผล(หาอ่านได้ยากมาก😅)
    บังโล่นี่อ่านไปยิ้มไปเหมือนคนบ้า มีความอบอุ่นหัวใจ มีความละมุน อบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบจิงๆอ่ะ รักเรื่องนี้เลย
    ส่วนแดแจนี่อยากชมมาก ไรท์แต่งเรื่องนี้ได้ดี บรรยายความรู้สึกของตัวละครได้โดนใจสุดๆ การแอบรักต้องประมาณนี้ ความรู้สึกที่อยากตัดใจแต่ทำไม่ได้ต้องเป็นแบบนี้..มันใช่ทุกอย่างเลยTT0TT
    พอได้อ่านตอนแรกคือทำใจไว้แล้วอ่ะว่าเรื่องนี้ต้องยาวแน่ๆ แววม่าก้อมาเต็ม//แต่ชอบแบบยาวๆนะ มันดูมีรายละเอียดเยอะ ค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร อีกอย่างคือพอเป็นเรื่องที่ชอบแล้วก้อไม่อยากให้รีบจบ//
    อินจัดจนบางทีอยากจะมุดเข้าไปแล้วลากทั้งสองคนมานั่งเปิดอกคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งไอ้ความรู้สึกตัวช้าของดยอนนานี่..พี่อยากจะทุบ!ทุบ!ทุบ!
    ถ้าถามว่าอินจัดขนาดนี้ทำไมอ่านไปแค่ไม่กี่รอบ...คือมันสุขปนเศร้า มันเหงาปนซึ้ง มันอึนมันหน่วง เค้าทนไม่ไหวอ่ะ..ใจบางงงง สงสารทั้งสองคนเลย รีบๆรู้ใจตัวเองได้แล้วพ่อคนกาก
    สิ่งที่เหมือนกันของการอ่านทั้งสองเรื่องคือ อยากจะกรี๊ดดังๆ ของบังโล่นี่กรี๊ดด้วยความฟินระดับม้วนตัวเป็นดักแด้..แต่แดแจนี่กรี๊ดเพราะอึดอัดคับแน่นใจหาที่ระบายอ่ะ..
    ..ยังไม่ได้อ่านฮิมออบกับนัมซอ รอให้อัพหลายๆตอนก่อน เพราะแค่สองเรื่องนี้ก้อสูบพลังชีวิตไปเกลือบหมดตัวละ😂😂
    สุดท้าย..เป็นกำลังใจให้คุณไรท์ครัช รีดเดอร์ตัวดำๆจิรออ่านอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน^^
    .....Kuro__96neko

    ตอบลบ
  4. ชอบความกะล่อนของเเมว555โรคบ้าบออะไรของเเก คุณเขาก็น่ารักกกก ยอมให้จับมือ นี่ขนาดยังไม่ม่านะ เเต่รู้สึกหน่วงๆนิดๆคุณเขาก็อยากให้ไม่รู้สึกเเบบนั้นเเต่คนกากนี่สิทำดีกับเขาเเต่ไม่กล้าบอกความรู้สึกจริงๆของตัวเองง ชัดเจนหน่อยยยย คุณเขาจะได้รู้ ไรต์สู้สู้ ยังรออ่านอยู่เสมอออ^^

    ตอบลบ
  5. สงสารความรู้สึกของทั้งคู่จังเลยอ่ะ มันแบบว่าเฮ้ออออออึกอึกอักอัก จะมีความสุขมันก็ไม่่สุดต่างคิดกันไปเองว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกันแต่จริงจริงแล้วความรู้สึกที่มีให้กันอ่ะมันโหยหามากเลยนะ อย่างกากอ่ะหึงเค้าหวงเค้าห่วงเค้าจนเก็บความรู้สึกไม่อยู่ขนาดนั้นยังทำเป็นเนียนๆนิ่งๆต่อความรู้สึกตัวเองทั้งที่ในใจพร้อมจะกลืนกินเค้าแล้ววววววว ส่วนคุณก็นะกำแพงสูงเสียดฟ้าแต่สุดท้ายก็ทลายลงมาแต่ก็ยังจะพยายามสร้างขึ้้นมาใหม่อยู่นั่น แล้วงี้เมื่อไหร่จะได้รักกันจริงจัง มัวแต่กลัวกันมัวแต่ไล่ต้อนกันไปมา แต่กากก็สู้จังค่ะเอาอกเอาใจแถมอ้อนนั่นนี่เยอะแยะไปโหมดดดดด เอาใจช่วยขอให้คุณเค้าระเบิดกำแพงใจตัวเองได้เร็วๆค่ะกากมันจะได้รวบทั้งตัวและใจเนอะ ปล.ชอบจังเวลาที่กากจับหัวคุณเค้าน่ารักมากกกกกกกกก

    ตอบลบ
  6. เนี่ยแถเก่งสุด ไปให้สุดค่ะพี่แดหนูทีมพี่ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้ละมุนมากเพราะความกะล่อนของพี่แด้ล้วนๆแต่เหมือนละมุนไม่สุดเพราะอิพี่แด้ไม่รู้ตัวสักทีโถ(ทีมพี่แด้จริงป่ะ) แต่น้องแจก็ไม่ทันพี่เขาสักทีโถลูกพี่เอ็นดู น่ายักกกกก(สองมาตรฐานป่ะ)เนี่ยก็ลุ้นไปเรื่อยๆให้ลงเอยได้กันๆเป็นฝั่งเป็นฝาคิคิ
    ขอบคุณฟิคค่าไรท์💛

    ตอบลบ
  7. ตอนนี้ยาวมากๆเลยค่ะ ยอมใจความทำตัวเป็นแมวอ้อนเจ้านายของแดฮยอน แต่บางครั้งเหมือนเจ้าแมวก็พร้อมกลายร่างเป็นเสือเวลาที่คุณยูพูดถึงคนอื่นแบบสนิทชิดเชื้อ นี่ขนาดไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะเนี่ย ขนาดแค่เพื่อนร่วมห้องยังขนาดนี้ ถ้าได้เลื่อนตำแหน่งมากกว่านี้เมื่อไหร่นี่ไม่ขังน้องไว้ในห้องพอดีเหรอคะะะะะ บทนี้คือดอนแถไปได้อีก555 ตลกตรงที่คนน้องก็เชื่อ เออ ให้มันได้อย่างงี้สิ
    สงสารแดฮยอนก็สงสารค่ะ คุณยูก็เหมือนกัน เวลาน้องเศร้าเราก็เจ็บปวดตาม เวลาอ่านเรื่องนี้แบบหวานปนขม อบอุ่นแต่ก็หน่วง ซึ่งเราว่ามันเจ็บปวด เป็นความรู้สึกแบบครึ่งๆกลางๆ ไปไม่สุดสักทางเสียที
    ไม่ว่าจะอ่านมากี่ตอนก็ยังประทับใจการบรรยายเรื่องของคุณตลอดเลยค่ะ แต่ไม่ได้พูดถึงในทุกบทเดี๋ยวคุณนักเขียนจะบอกว่าเราคัดลอกเม้นท์เดิมของตัวเองมา555 เราชอบจริงๆนะ ประทับใจมากๆ ทั้งการใช้ภาษาและจังหวะในการเขียน ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องนี้ออกมา รอติดตามต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ

    ตอบลบ