LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 11

09:22


รถออดี้เคลื่อนไปบนถนนอย่างไม่เร่งร้อนด้วยคนขับพยายามชะลอความเร็วเพื่อจะใช้เวลาร่วมกับผู้โดยสารที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูข้าวของที่ซื้อจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เป็นของฝากครอบครัวและคนสนิทเท่าที่จะนานได้โดยไม่โจ่งแจ้งเกินไป


มีหลายครั้งที่เขาเหลือบมองไปยังร่างผอมที่เริ่มหยิบแม่เหล็กติดตู้เย็นรูปดวงดาวทั้งหลายมาจินตนาการเล่นคนเดียวแทบไม่สนใจอีกคนที่พยายามชวนคุยเรื่องรอบตัวยังดีที่ยังส่งเสียงหรือตอบเป็นคำสั้นๆให้รู้ว่าฟังอยู่


ถึงอย่างนั้นฝ่ายคนขับกลับยิ่งเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างตามในทุกคราที่เห็นรอยยิ้มหรือได้ยินเสียงใสหัวเราะชอบใจ


“เมื่อกี้ฉันซื้อของที่พิพิธภัณฑ์มาฝากนายด้วยนะ” 


“ไรอะ” เพียงได้ยินคำว่าของฝาก หน้าที่ก้มอยู่กลับเงยมองไปยังเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็นสารถีอย่างกระตือรือร้น จากนั้นถุงกระดาษที่ซุกในกระเป๋าเสื้อก็ถูกควักส่งให้


คนผอมรับถุงกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือมาเปิดดู เมื่อเห็นพวงกุญแจรูปพระจันทร์เรืองแสงสีเหลืองนวลๆโอบกอดพระอาทิตย์กระทั่งโดนแดดสาดกระทบลงมาพระจันทร์กลับคืนสีขาว ขณะที่พระอาทิตย์กลายเป็นสีส้มแดงยิ่งทำให้คนได้รับตื่นเต้นถึงขนาดหยิบมันมาซุกเข้ากระเป๋าสลับกับส่องในแดดอยู่หลายที สุดท้ายก็เอาไปหอยกับโทรศัพท์มือถือแล้วหมุนมันเล่นไปมาเหมือนเด็กที่มีความสุขง่ายๆจากของใกล้ตัว


“ชอบของที่ฉันซื้อให้มั้ย” ทั้งที่เห็นอาการลิงโลดนั้นแต่ต้นก็ยังถามหาคำตอบที่ทำให้ตัวเองชื่นใจ


“ชอบสิ แต่ทำไมตอนฉันดูของไม่เห็นพวงกุญแจนี่ในร้านเลย” 


“มันเหลืออยู่อันเดียวน่ะ ฉันเห็นว่าน่ารักดีก็เลยซื้อมาให้”


“น่ารักจัง”


“ฉันเหรอ” คนขับแหย่แต่ไม่คิดว่าจะได้คำตอบที่ทำให้ริมฝีปากที่แย้มกว้างอยู่แล้วขยายขอบเขตเพิ่มขึ้นอีก


“น่ารักหมดเลย ขอบคุณน้า” 


“ถ้ามีคนถามก็บอกเขาด้วยนะว่าฉันซื้อให้”


“ได้เลยฮับ พี่แดฮโยง” ความดีใจที่เอ่อล้นทำให้เจ้าตัวลืมระมัดระวังว่าควรขีดเส้นเว้นระยะห่างเลยเผลอทำตัวเป็นเด็กออกไปอีกเช่นเคย 


ดวงหน้าขาวละเอียดเหมือนผืนหิมะหน้าหนาวประดับดวงตากลมที่หรี่เล็กตามแรงเหยียดของมุมริมฝีปากปนเสียงหัวเราะใสออกมาให้ได้ยินยามกระทบกับแสงตะวันที่หักเหจากคอนโซลหน้ารถเปล่งประกายทำให้อีกคนรู้สึกเต็มตื้นคล้ายยังนั่งอยู่ในห้องฉายดาวที่มีดาวพร่างพราวท่ามกลางความมืดเวิ้งว้างของจักรวาล


...ยิ้มของใครคนหนึ่งเป็นจักรวาลของใครอีกคนได้หรือเปล่า...


อาจจะเว่อไปหน่อยแต่ยิ้มของยองแจสวยงามเหมือนจักรวาลและเขาอยากเป็นดาวเคราะห์ในจักรวาลแห่งรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน


“นี่ มองฉันทำไม มองทางข้างหน้าสิ” ผู้โดยสารเหลือบตาขึ้นมาเห็นสารถีเอาแต่มองหน้าตนแทนถนนร้องลั่นพลางตีแขนแรงๆไปหลายทีเพื่อเรียกสติ


“โอ๊ะๆๆ ขอโทษที” เจ้าตัวว่าหันกลับมาตั้งสมาธิกับการขับรถอย่างปลอดภัยกระนั้นหางตายังเหลือบมองคนข้างๆเป็นระยะ


ยองแจเอนหลังพิงเบาะทอดสายตาออกไปยังใบไม้เปลี่ยนสีข้างทางสลับกับคนขับพลางหมุนพวงกุญแจเล่นด้วยอารมณ์ที่สดชื่น กระทั่งล้อรถบดเข้ากับคลื่นลูกระนาบระหว่างที่รถกำลังเลี้ยวเข้าลานจอดของสถานที่แห่งหนึ่งทำให้ตัวที่คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่โน้มไปข้าง
 

พลันแขนของคนขับกลับยื่นมากันไว้ไม่ให้ลำตัวผอมโน้มกระแทกเป็นจังหวะเดียวกับที่สัญชาตญาณกระตุกให้ผู้โดยสารยกมือเตรียมยันคอนโซลรถไม่ให้โดยตัว เมื่อเห็นบางสิ่งกำลังปกป้องมือทั้งสองเลยถลาคว้าหมับตรงแขนนั้นแทน


“ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงเข้มจากคนตัวสูงถามอย่างเป็นกังวลขณะเหยียบเท้ามิดเบรก 


ยองแจกระพริบตาเหลือบตายังใบหน้ารูปหัวใจหล่อระคนน่ารักเหมือนแมวของเพื่อนร่วมบ้านที่ชะโงกมาใกล้จนเห็นรอยยับย่นของหน้าผากและไฝเม็ดเล็กๆใต้นัยน์ตาที่สะท้อนเงาตนเองอยู่หลายนาที


ความร้อนผะผ่าวแล่นไปทั่วร่างพาให้เลือดสูบฉีดแรงปรับสีพวงแก้มขาวกลายเป็นสีแดงระเรื่อ หัวใจเต้นแรงราวกับใกล้จะระเบิด...ถึงจะมีภูมิต้านทานจากการอยู่ด้วยกันมานานอยู่แต่พอถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยสีหน้าจริงจังก็เริ่มมีอาการอีก


“ไม่เป็นไร รีบๆขับรถต่อไปเหอะ” เขาบอกเสียงดังรีบหันหน้าหนีเพื่อซ่อนความรู้สึก หากเสียงเข้มทุ้มจากข้างๆ กลับสวนมาก่อน


“ขับไม่ได้”


“ทำไมอะ”
 

“ก็นายกอดแขนฉันอยู่”


สิ้นคำมือฝ่ายที่กอดแขนแข็งแรงแนบกับตัวแน่นอยู่พักใหญ่รีบปล่อยมือออกแทบมาจับแก้มแทบจะทันทีที่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปแต่ยังไงก็ทำใจกล้าหันไปทางคนขับไม่ได้อยู่ดี


...หน้าร้อนขนาดนี้มันต้องแดงมากแน่ๆ ใครจะยอมให้เห็นได้เล่า...


“จริงๆฉันขับรถมือเดียวได้นะแต่ฉันจะถอยรถเข้าไปจอดช่องข้างหน้านี้ ถ้าไม่ใช้สองมือมันอันตรายน่ะ เดี๋ยวนายกลัวฉันขับรถขึ้นมาอดไปเที่ยวด้วยกันอีกพอดี”  ฝ่ายไม่รู้เรื่องรู้ราวพูดต่อกระทั่งถอยรถจอดเข้าช่องว่างได้เรียบร้อยหันมาเห็นคนผอมกัดเล็บก้มหน้างุดก็ว่า “เป็นอะไร หิวเหรอถึงกินเล็บแบบนั้นน่ะ เลิกกัดเล็บเถอะ เราถึงร้านข้าวที่ฉันจองไว้แล้ว”


“อืมๆ” ผู้โดยสารพยักหน้าปลดเข็มขัดนิรภัยได้ก็เปิดประตูลงไปยืนสูดลมหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออกเป็นจังหวะตามหลักที่พี่ยงกุกเคยสอนให้ลองทำตอนป่วยเพื่อปรับความว้าวุ่นใจคืนสู่ปกติ แต่ยังไม่ทันจะดีขึ้นเพื่อนร่วมบ้านก็คว้ามือไปจับเสียดื้อๆ


“ที่จอดรถมันอยู่ข้างหลัง เราต้องเดินไปอีกหน่อยนะ”
 

คนตัวสูงคว้ามือขาวมากุมไว้แน่นแล้วออกเดินไปตามทางปล่อยอีกคนที่ยังจัดการกับความรู้สึกของตนเองไม่ได้ให้อ้ำอึ้งกับการคิดคำมาทัดทาน ทว่าในนาทีที่ผ่านประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปในร้านอาหารที่จำลองบรรยากาศภายในจักรวาลประดับด้วยดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหางและอุกกาบาตสารพัดก็มัวแต่ตะลึงจนลืมไปหมดทุกอย่างปล่อยให้มือถูกจูงไปนั่งยังโต๊ะที่จองไว้กลางร้านอย่างว่าง่าย


“ว้าว” ยองแจร้องขณะกวาดตามองไปโดยรอบพร้อมหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แบบเดียวกับที่เคยเห็นในสารคดีเกี่ยวกับยานอวกาศทางโทรทัศน์ และเมื่อก้มหน้าลงบนโต๊ะสีเงินจะมีจอทัชสกรีนฉายอนิเมชั่นเกี่ยวกับอวกาศอยู่


บริกรสาวสวมผ้ากันเปื้อนสกรีนลายชุดนักบินอวกาศเดินมาแนะนำวิธีการสั่งอาหารออนไลน์ผ่านจอทัชสกรีนบนโต๊ะรวมถึงวิธีเปลี่ยนหน้าจอเมนูอาหารเป็นเกม 8 บิตยิงอุกกาบาตฆ่าเวลาระหว่างรออาหาร



ทุกความแปลกใหม่ที่เจอสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนไม่ค่อยได้ออกไปไหนไกลจากบ้าน แม้แต่การเลือกอาหารที่มีป็อบอัพตัวการ์ตูนน่ารักออกมาทุกครั้งที่สัมผัสจอก็กลายเป็นความสนุก


“หิวไม่ใช่เหรอ อยากกินอะไรก็สั่งสิ”


“ก็เมนูมันเยอะ ชื่อก็แปลกๆ บางอันไม่มีรูปประกอบด้วย ถ้าสั่งมาไม่อร่อยหรือมีเต้าหู้ด้วยจะทำยังไงล่ะ”


“เรียกพนักงานมาถามสิว่าเมนูแต่ละอันเป็นยังไง” 


“จะถามทุกเมนูพนักงานคงเหนื่อยแย่” 


“งั้นก็เลือกชื่อเมนูที่ชอบมาสิ”


“ที่ชอบมันเยอะแล้วก็ไม่มีรูปให้ดูด้วยนี่”


“ไม่เป็นไร ฉันกินให้ อยากสั่งอะไรก็สั่งมาเถอะ อะไรที่นายกินไม่ได้ ฉันจะกินให้หมดเอง ฉันพวกกินง่ายอยู่แล้ว นายกินแต่ของที่นายชอบก็พอ”
 

“ได้เหรอ”



“ได้สิ” คนตัวสูงเท้าคางตอบคนตรงข้ามพลางยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีทำให้คนลังเลใจยิ้มหวานกดเลือกเมนูอาหารตามชื่อที่ชอบ เมื่อจอขึ้นกล่องข้อความได้รับออเดอร์เรียบร้อยก็เปลี่ยนจอมาเล่นเกมแทนพร้อมเอ่ยปากชวน


“เกมนี่มันเล่นแข่งกันได้ด้วยนะ มาเล่นแข่งกันมะ” 


“ฉันเล่นไม่เป็นหรอก แต่ถ้าสอนก็น่าจะเล่นได้”


“มันไม่ยากหรอก แค่กดเลื่อนซ้ายขวา กดตรงนี้ตอนยิงแค่นั้นเอง”


“อ้อ”


“เล่นได้ใช่ปะ มาแข่งกัน” 


คนสอนกดเริ่มเกมและเพลินอยู่กับการเล่นเกมที่แบ่งเป็นสองจออยู่พักหนึ่งก็ชนเข้ากับอุกกาบาตแต่อีกฝั่งกลับยังเล่นต่อได้เรื่อยเหมือนเป็นเรื่องง่ายทั้งที่ยานอวกาศเร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวในระดับที่ยากเกินกว่าคนเชี่ยวเกมประเภทนี้บางคนจะกดทัน


“อา แพ้ละ” ฝ่ายไม่เคยเล่นเกมมาก่อนร้องแล้วเงยหน้าไปยังคนที่เบิ่นปากบ่นพึมพำเหมือนเด็กไม่พอใจในผลเทียบคะแนนบนจอ
 

“นี่เล่นครั้งแรกจริงเหรอ ทำไมได้คะแนนเยอะงี้อะ ไม่ได้ดิ เล่นครั้งแรกต้องคะแนนน้อยกว่าสิ”
 

“มันฟลุ๊กน่ะ”


“งั้นเล่นใหม่”


“โอเค เล่นอีกรอบดู” เพราะเห็นอาการเอาแต่ใจก็รู้ตัวว่าต้องทำยังไงจึงรับปากแล้วแกล้งกดตามไม่ทัน เมื่อผลคะแนนออกมาอีกครั้งถึงได้เห็นรอยยิ้มดีใจปรากฏบนหน้านวลนั้น


อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ถึงชื่อเมนูจะได้แรงบันดาลใจจากกลุ่มดาว หากหน้าตาอาหารก็ปกติจะมีก็แค่การทำชิ้นเนื้อสัตว์กับผักให้มีรูปทรงหรือเสิร์ฟในภาชนะที่รูปร่างหน้าตาเหมือนชิ้นส่วนยานหรือดวงดาวต่างๆ กับน้ำเท่านั้นที่สีสันสวยแปลกตา


แดฮยอนตักอาหารลงในจานให้เพื่อนร่วมบ้านที่กำลังเคี้ยวปลาแซลมอนอยู่ในปากพลางกดนิ้วบนหน้าจอเล่นเกมซึ่งนานๆครั้งถึงเงยหน้าตักกับข้าวใส่จานให้เขาบ้าง


“ชอบเกมนี่มากเหรอ วันก่อนฉันเห็นข่าวผ่านๆว่ามันมีเคสมือถือที่เป็นเกมบอยแบบเล่นได้จริง ถ้ากินข้าวเสร็จเราไปซื้อกันมั้ยจะได้เล่นเกมยิงอุกกาบาตได้ไง” เขาถามจ้องเม็ดข้าวที่ติดตรงมุมปากของคนที่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะขยับลุกขึ้นเล็กน้อยเพื่อเอื้อมมือออกไปดึงมันออกให้


“ข้าวติดปากแล้ว กินจนข้าวติดปากแบบนี้แสดงว่าอาหารร้านนี้อร่อยใช่มั้ย”


“งืม”


“ไม่เอางืมสิ...ไหนยิ้มให้ดูหน่อย ฉันจะได้รู้ว่าอร่อยจริง”


“อื้อ” ผู้ถูกถามเงยหน้าจากเกมส่งยิ้มกว้างจนตาหยีเพื่อยืนยันทำให้คนเลือกสรรร้านอาหารจากการทิ้งคำถามในทุกกลุ่มแชทที่ตัวเองอยู่หน้าบานด้วยความสุขถูกเติมลงมาจนเต็มหัวใจ


“อร่อยก็กินเยอะๆรู้มั้ย”


“นายไม่กินล่ะ” เมื่อเกมโอเวอร์เจ้าตัวก็หยุดเล่นกลับมาสนใจสิ่งรอบข้างถามกลับ


“แค่เห็นนายกินก็อิ่มแล้ว”


“ไม่เอาสิ ต้องกินด้วยกัน” พูดเสร็จก็จัดแจงตักกับข้าวให้จานตรงข้าม บทสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศและคำถามถึงความชอบทั้งหลายที่พรั่งพรูเข้ามาแต่ปากอิ่มยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลาด้วยบรรยากาศของอวกาศมีผลให้ความรู้สึกต้องระวังตัวจางลง


ช่วงเวลาที่ทั้งโลกเหมือนมีเพียงทั้งสองนั้นหยุดชะงักในตอนที่มีชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งหน้าตาคมคายสวมเสื้อยืดขาวทับด้วยสูทลำลองสีเทากับกางเกงขายาวสีเดียวกับสูทก้าวมาหาถึงโต๊ะ


“ยองแจ” เสียงแหบต่ำเรียกในจังหวะที่ทั้งสองกินน้ำ เจ้าของชื่อเป็นฝ่ายแหงนหน้าไปหาตามเสียงดังกล่าว เพียงเห็นหน้าของชายผู้นั้นก็ยิ้มอวดฟันขาว


“อ้าว พี่ยงกุก...พี่มากินข้าวกับจุนฮงเหรอครับ”


“เปล่า พี่มีนัดกินข้าวกับลูกค้าน่ะ”


“นัดกินข้าว...วันอาทิตย์เนี่ยนะครับ แบบนี้จุนฮงไม่อาละวาดตายเลยเหรอ”


“ไม่หรอก เบบี้โรสเป็นเด็กดี ถ้าอธิบายเหตุผลชัดเจนเขาจะเข้าใจได้เอง”


“ละตอนนี้จุนฮงเขาอยู่ไหนเหรอครับ”


“หัดทำกิมจิอยู่บ้านพ่อแม่พี่น่ะ”


“ทำกิมจิที่บ้านพ่อแม่พี่เหรอครับ...โหย แบบนี้ได้ตีกับพี่ยงนัมตายพอดี”


“ยงนัมมันไม่อยู่...ไปเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมแบดที่อินชอน ว่าแต่เราเถอะ ไปยังไงมายังไงถึงอยู่นี่”


“เมื่อกี้ผมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์มาก็เลยแวะกินข้าวที่นี่...เนี่ยผมได้พวงกุญแจอันนี้มา แดฮยอนซื้อให้ผม มันเจ๋งมากเลยแหละ แบบว่าพอมันโดนแดดฝั่งพระอาทิตย์จะเป็นสีส้มแต่พอเก็บไว้ที่มืดพระจันทร์มันจะเรืองแสงด้วย” คนอ่อนกว่าว่าอวดพวงกุญแจเป็นการใหญ่


แดฮยอนเหลือบตายังชายหนุ่มมาดนักธุรกิจที่ลูบผมของรูมเมทนิ่ง ขณะที่ภาพความทรงจำวันวานที่ทั้งคู่กินข้าวร่วมกันโดยมีเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ซึ่งเขารู้สึกพิเศษอยู่ด้วยก็ย้อนกลับมา


บัง ยงกุกคือผู้ชายที่เขาเห็นครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงอำนาจที่ยากจะต่อกร ภาพลักษณ์สุภาพอบอุ่นหากลึกลงมีอำนาจยากต่อกร เปรียบเหมือนน้ำนิ่งผิวหน้าหากไหลเชี่ยวลึกเกินจะหยั่งด้วยตา


“ไปเที่ยวกับรูมเมทเรามาสินะ” 


“ใช่ครับ...แดฮยอนขับรถพาผมมา”
 

“สวัสดีครับ ไม่พบกันนานเลย สบายดีใช่ไหมครับ” ประโยคทักทายจากผู้มากวัยกว่าที่ยืนส่งยิ้มบางแต่ฝ่ายที่ก้มหัวพลางยิ้มตอบสัมผัสได้ว่า มันเป็นยิ้มของผู้รู้เท่าทันหาใช่ความยินดีจากการพบหน้า


“ผมซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็นมาฝากพี่กับจุนฮงด้วยนะ แต่มันอยู่ในรถ” คนกลางยังคงเจื้อยแจ้วด้วยลืมเรื่องที่พี่ชายต่างสายเลือดอีกคนเคยเล่าถึงความบาดหมางเล็กๆระหว่างทั้งคู่ไปสนิท


“ไม่เป็นไร พี่แวะไปเอาที่ร้านเราวันหลังได้” ยงกุกบอกทอดสายตาหาผู้เป็นน้องด้วยแววอุ่นละมุนก่อนจะดึงเศษใบไม้สีเหลืองในเส้นผมนุ่มด้วยปลายนิ้วออกแล้วลูบผมที่กระดกขึ้นให้เรียบดังเก่า


คนนอกวงสนทนาจ้องทุกอากัปกิริยาของอดีตผู้ว่าจ้างงานสอนเปียโนเขม็งทั้งที่ริมฝีปากยังแย้มกว้าง ความหวงแหนแผ่ขยายผลักความกร้าวแข็งจากด้านมืดที่เก็บซ่อนไว้ให้ผุดขึ้นมาทางแววตา 


“เราบอกฮิมชานไว้หรือเปล่าว่าจะออกมาเที่ยวน่ะ” ทั้งที่รู้ถึงความรู้สึกนั้นยังชวนน้องคุยเช่นเดิม


“ผมส่งข้อความไปบอกไว้เมื่อคืนครับ”


“อย่างนั้นเหรอ”


“พี่ยงกุกกินข้าวกับลูกค้าเสร็จแล้วเหรอครับ”


“ลูกค้าพี่ยังมาไม่ถึงน่ะ พอดีเห็นเราก่อนเลยแวะมาหา อ้อ พี่มีนี่ติดมาด้วย จำได้ว่าเราชอบ” สิ้นคำมือที่ล้วงในกระเป๋าเสื้อสูทก็หยิบเอาลูกอมเคลือบช็อกโกแลตในห่อกระดาษสีน้ำตาลเข้มสามชิ้นวางลงบนโต๊ะ


“อันนี้มันลูกอมช็อกโกแลตจากเบลเยี่ยมนี่ครับ”


“ใช่...ที่จริงพี่ซื้อมาฝากเราห่อใหญ่แต่ยังไม่เอาไปให้ กะว่าจะรอฮิมชานพาเราไปหาหมอฟันก่อนค่อยให้”


“ทำไมต้องรอหมอฟันด้วยล่ะครับ”


“เราชอบกินแต่ขนม พอมีขนมก็ไม่ค่อยกินข้าว ยิ่งกระดูกเปราะอย่างเรา ถ้าฟันไม่แข็งแรงมันจะไปกันใหญ่ ถ้าหมอฟันว่า ฟันเราแข็งแรงพี่จะให้เรากิน ตอนนี้ก็กินแก้อยากสองสามเม็ดไปก่อนนะ”


“พี่พูดเหมือนผมเป็นเด็กเลยงะ”


“เราไม่ค่อยแข็งแรง แต่ไม่ยอมดูแลตัวเอง พวกพี่ก็ต้องห่วงสิ” เสียงต่ำลึกกล่าวคำพลางลูบผมน้องเบาๆเหมือนลูบหัวเด็กตัวน้อย “ถ้ากินข้าวเสร็จเราจะกลับบ้านเลยหรือไปไหนต่อ”


“ผมไม่รู้หรอก ต้องถามคนคิดโปรแกรมเที่ยว” คนเป็นน้องว่าพยักเพยิดหน้ามาทางฝั่งตรงข้าม “เราจะไปไหนกันต่อไหม”


“ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี่ ถ้าพอมีเวลาฉันจะพาไปซื้อเคสเกมบอยที่ฮงแดด้วย”


“อย่างนั้นหรือครับ ก็ดีครับ...ก็ดี หวังว่าน้องผมจะสนุกและปลอดภัย” ผู้มากวัยว่ากวาดตาคมกลับมายังเพื่อนร่วมบ้านของน้องด้วยยิ้มตรงมุมปาก...ความหวงระคนความโกรธเต้นระริกในดวงตาแม้นริมฝีปากจะขยายเหยียดเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ส่งให้ใบหน้าแข็งกระด้าง 


“พี่ไปก่อนนะ” ฝ่ายท้าทายบอกลาทั้งที่สายตาจดจ้องอยู่ผู้ที่พยายามกดความร้อนอยู่ภายใน “ไว้พบกันใหม่นะครับ”



“ครับ” เสียงเข้มเค้นผ่านคอออกมาอย่างลำบากส่งให้อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากและเดินผละไปยังโต๊ะอาหารที่จองไว้ยังมุมด้านใน


ยงกุกทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ระหว่างรอลูกค้าต่างชาติ ระหว่างนั้นเขายังคงเฝ้าสังเกตรุ่นน้องและอดีตครูสอนเปียโนของคนรักกระทั่งทั้งคู่ออกจากร้านไปจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในช่องกระเป๋าด้านในสูทออกมากดโทรออกและเปรยด้วยเสียงเรียบเย็น


“คิม ฮิมชาน ว่างแล้วโทรกลับกูด่วน”
----------------------------------------
บันไดหินทอดไปสู่สวนสาธารณะขนาดย่อมเรียงรายด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ต่างผลัดใบเปลี่ยนสีส้มเหลืองสะพรั่ง ยามต้องลมเย็นก็ปลิดขั้วร่วงหล่นราวสายฝนโปรยปรายลงมายังสองชายหนุ่มที่เดินย่ำเท้าไปตามทางที่มีเหล่าใบไม้และดอกไม้แห้งโรยกรุยเกลื่อนพื้น


ยองแจดุ้นลูกอมช็อกโกแลตด้วยลิ้นอยู่ในปากไปมาพลางหันมองไปรอบๆก่อนจะแกะห่อลูกอมอีกเม็ดยื่นให้เพื่อนร่วมบ้านอย่างอารมณ์ดีจนไม่ทันสังเกตเห็นแววดุดันของแรงโทสะเคลือบบนดวงตากลมแต่คมนักคู่นั้น


“นี่ ลูกอมจากเบลเยี่ยมเลยนะ ไม่มีขายในเกาหลีด้วย อะแบ่งให้” เจ้าของลูกอมว่าแล้วเหยียดริมฝีปากอิ่มออกเสียกว้างจนตาโตหรี่เล็กเป็นเส้นขีด เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนหัวร้อนจากถ้อยคำของผู้มากวัยกว่าเมื่อครู่สลายรีบก้มไปกัดดึงลูกอมทั้งเม็ดออกจากเปลือกที่แกะไว้เพียงครึ่ง


“อร่อยมั้ย”


“อืม อร่อยมาก” คนตัวสูงเก็บลูกอมไว้ในกระพุ้งแก้มข้างซ้ายตอบขณะมองอีกฝ่ายที่เดินห่อไหล่ซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวโคร่งฝ่าลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งพัดผ่านมาตลอดทางเลยถอดเสื้อนอกของตัวเองออกมาจะคลุมให้


“หนาวเหรอ เอาเสื้อฉันไปใส่มั้ย” คำถามอย่างห่วงใยเรียกให้อีกคนเงยหน้าจากพื้นเกลื่อนด้วยใบไม้ขึ้นมายังร่างสูงโปร่งที่ตอนนี้มีเพียงเสื้อคอเต่าแขนยาวกับยีนส์สวมอยู่เท่านั้นก็กลัวทางนั้นจะหนาวเลยส่ายหน้าแรงๆแทนคำตอบ


“ไม่เอาหรอก”


“ทำไมล่ะ”


“เดี๋ยวนายหนาว”


“ไม่เป็นไร ฉันทนอากาศหนาวได้”


“ไหนว่าเป็นโรคมืออุ่นแต่ตัวหนาวไง เอาเสื้อมาให้ฉันนายก็หนาวตายพอดี”


“นั่นสินะ งั้นทำแบบนี้ก็แล้วกันจะได้ไม่หนาวทั้งคู่” การตอบรับนั้นหลุดจากปากคนสูงกว่าพร้อมกับเสื้อคลุมสีเทาที่ถูกสวมกลับมาดังเก่าและในนาทีต่อมามือใหญ่ก็เอื้อมมากุมมือขาวของอีกคนไว้แน่น


“ไรอะ จับมือทำไม”
 

“จับมือไว้มันอุ่นดีนะ”


“ไม่เอา เดี๋ยวคนอื่นเขามอง” ฝ่ายถูกจับมือไว้ร้องตากลมกลอกมองไปยังผู้คนในสวนสาธารณะจึงพยายามดึงมือตัวเองกลับ ทว่านอกจากมือจะเป็นอิสระไม่ได้แล้วยังหายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมของเพื่อนร่วมบ้านอีก


“แบบนี้ก็ไม่เห็นแล้ว”


คำอธิบายการแก้สถานการณ์แบบตามใจตัวเองหลุดจากปากหอบเอาสายลมแรงอีกระลอกเคลื่อนมาปะทะร่าง ฝ่ายที่ถูกถือวิสาสะจับมือหนาวเยือกจนสั่น แม้ใจจะเต้นแรงเหลือเกินหากสุดท้ายก็ยอมรับว่าอากาศนั้นหนักหนาเกินกว่าจะรับมือไหวเลยปล่อยให้มือถูกกุมไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกทั้งยังจำต้องขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อไม่ให้คนแปลกหน้ารอบข้างสังเกตเห็นอย่างช่วยไม่ได้


“พวงกุญแจที่ฉันซื้อให้มันมีไฟด้วยนะ” เพราะอยู่ๆคนข้างตัวเกิดเงียบเสียดื้อๆ คนสูงกว่าเลยยกเรื่องของพวงกุญแจขึ้นมาพูดถึง


“จริงเหรอ”


“ใช่ ลองกดวงกลมดำๆตรงตัวเชื่อมสายห้อยกับพวงกุญแจดูสิ”


เพียงได้คำแนะนำเจ้าตัวก็หยิบโทรศัพท์มือถือห้อยพวงกุญแจพระจันทร์กอดพระอาทิตย์มากดดู เมื่อเห็นไฟสีขาวล้อมรอบตัวเชื่อมเหมือนดาวกระพริบก็หัวเราะเสียงใสออกมา


“มีจริงๆด้วย” 


“ลูกเล่นมันเยอะเลยขายหมดไว” 


“นายตาไวงะ ซื้อแต่ของที่ฉันชอบมาให้ตลอดเลย ขอบคุณนะ” 


ยองแจยิ้มจนตาหยีก่อนจะเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือในมือเป็นวงกลมและจ้องพวงกุญแจที่หมุนตามแรงนั้นอย่างอารมณ์ดีจนลืมความขัดเขินประดักประเดิดก่อนหน้าเหลือเพียงความสดใส ยิ่งสายตาเห็นตู้ขายไอศกรีมและอัตโนมัติก็ลากอีกคนให้กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามตัวเองมา


“กินไอติมกัน”


“หนาวอย่างนี้จะกินไอติมอีกเหรอ”


“ก็อยากกินนี่ กินไม่ได้เหรอ” ฝ่ายโดนขัดใจถามพร้อมกับแก้มที่ตูมเต่งจากการอมลมเหมือนเด็กเอาแต่ใจตามเคย แต่นั้นกลับทำให้ผู้มองเห็นส่งผ่านความเอ็นดูผ่านแววตาและรอยยิ้ม


“ไม่ได้จ้ะ เดี๋ยวเป็นหวัดนะ เอาน้ำส้มตู้ข้างๆไปกินแทนดีกว่า”


“น้ำส้มไม่เหมือนไอติมอะ”


“กินน้ำส้มรับวิตามินซีไปก่อน เดี๋ยวเรากลับค่อยแวะซื้อไอติมก่ก็ได้ ในบ้านมันมีฮีตเตอร์จะได้กินไอติมแล้วไม่เป็นหวัดไง ถ้าเป็นหวัดเดี๋ยวพี่ฮิมชานเขาดุเอานะ”


“ก็ได้” พอยกพี่ชายคนสนิทขึ้นมา เสียงอ่อยก็ตอบรับอย่างเสียไม่ได้


แดฮยอนอมยิ้มล้วงมือคว้านหาเศษเหรียญในกระเป๋าเสื้อแต่หาไม่เจอเลยจำใจต้องปล่อยมือที่กุมไว้เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กกว่าชักมือกลับมาอยู่ข้างลำตัวได้ดังเก่าเพียงแต่ตอนนี้มือเคยเย็นเฉียบกลับอุ่นจนไม่รู้สึกอะไรกับอากาศรอบตัวนัก


“ขอน้ำส้มกล่องขาวนะ ยี่ห้อนั้นอร่อยดี”


“ได้สิ”


“ขอบคุณนะ” เสียงอ่อนเอ่ยพร้อมรับกล่องน้ำส้มเจาะหลอดเรียบร้อยมาดูดอึกใหญ่โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าผู้ซื้อให้เอาแต่มองจ้องด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปรยคำถามขึ้นมาอีกชุด


“เวลาอยู่กับฉันมีความสุขมั้ย” 


“ก็สนุกดี”


“สนุกกว่าอยู่กับคนอื่นหรือเปล่า เวลาที่เรามาเที่ยวด้วยกันสองคนแบบนี้นายมีความสุขใช่มั้ย ถ้าครั้งหน้าฉันพานายไปในที่ที่นายอยากไปอีก นายจะไปกับฉันมั้ย”


“ครั้งหน้าถ้าไปเที่ยวด้วยกัน เราไปที่ที่นายอยากไปก็ได้” 


“ก็บอกแล้วไงว่า ที่ที่นายอยากไปคือที่ที่ฉันอยากไป”


นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกลมหากคมนักทอดมาหาอย่างอ่อนละมุนราวกับบุคคลตรงหน้าเป็นทรัพย์สินเลอค่าชิ้นโปรดทำให้อีกฝ่ายกลอกตาไปอีกทางเหมือนไม่เห็นทั้งที่มือกำแน่นอย่างอดกลั้นแล้วเปลี่ยนบทสนทนาเสียดื้อๆ


“เนี่ยรู้เปล่าว่า น้ำส้มนี่เป็นของโปรดพี่ยองวอนกับหลานๆฉันเลยนะ เวลาฉันกลับสวีเดน พี่ยองวอนจะสั่งให้ซื้อน้ำส้มยี่ห้อนี่กลับไปด้วย ซื้อไปเป็นลังพอมีหลานกินด้วยไม่กี่วันก็หมด สงสัยปีใหม่หนนี้คงต้องซื้อไปหลายๆลังจะได้พอกิน” 
 

การเล่าถึงความชอบของคนในครอบครัวไพล่ถึงการเดินทางกลับต่างประเทศอันห่างไกลจากเกาหลีเกือบหมื่นกิโลเมตรอย่างไม่คิดอะไรทำให้คนที่เฝ้ารอการกลับมาใจแทบขาดในเวลานั้นถึงสองครั้งสองคราเม้มริมฝีปาก


...มันเป็นช่วงเวลาที่คิดถึงมากแต่พูดว่าคิดถึงออกไปเท่าไหร่ก็ไม่เท่ากับความรู้สึกในใจ...


“นี่ ช่วงปีใหม่น่ะฉันไปเที่ยวสวีเดนบ้านนายได้ไหม” ประโยคที่เปรยออกมาเรียกคนดูดน้ำส้มผ่านหลอดให้หันไปหา


“อยากไปบ้านฉันเหรอ...แต่ตั๋วมันแพงมากนะ”


“กู้นายได้ไหมล่ะ ฉันผ่อนให้แต่อย่าคิดดอกเบี้ยแพงนะ เดี๋ยวฉันไม่มีปัญญาหาเงินมาคืน”


“ทำไมอยู่ๆถึงอยากไปบ้านฉันงะ”


“เพราะฉันไม่มีบ้านให้กลับน่ะ พอได้ยินนายพูดถึงคนที่บ้านก็เลยอยากรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวอะไรอย่างนั้นบ้าง นายคงไม่รู้หรอกว่าปีใหม่ที่ไม่มีนายอยู่บ้าน มันเหงามาก ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากออกไปสังสรรค์ข้างนอกเพื่อจะได้คิดถึงนายน้อยลง ถ้าปีใหม่นี้เราไปด้วยกันมันน่าจะดีกว่า” 


ผู้อาศัยร่วมบ้านระบายออกมาจนหมดสิ้น แม้นใบหน้าจะแต้มยิ้มแต่ดวงตากลับฉายแววหมองหม่นน่าใจหาย


“ตอนฉันไม่อยู่บ้าน นายเหงาเหรอ” 


“ถ้ามีคำอื่นให้ใช้แทนคำว่าเหงามากๆได้ ฉันก็จะใช้คำนั้น”


“นายมีเพื่อนตั้งเยอะตั้งแยะจะเหงาได้ไง”


“แต่ไม่มีใครเหมือนนาย”


ประโยคสวนกลับอย่างไม่ใช้ความคิดตริตรองใดๆมีความจริงจังระคนเว้าวอนน้อยๆในน้ำเสียงกระทั่งแววตา และการแสดงออกนั้นทำให้คนพยายามจะไม่ล้ำเส้นอดสำคัญตัวเองขึ้นมาไม่ได้


...ก้อนกรวดก้อนนี้มีความหมายกับพระอาทิตย์อยู่บ้างใช่หรือเปล่า...


“ฉันอยากให้ปีใหม่ที่จะถึงนี้มีนายอยู่ด้วยจริงๆนะ”


“ถ้าอยากไป เดี๋ยวฉันเอาเงินมรดกของคุณลุงมาซื้อให้”


“แล้วจะคิดดอกเท่าไหร่”


“ไปฟรีก็ได้ ที่จริงค่าตั๋วเวลาฉันไปสวีเดนก็เอามาจากบัญชีมรดกที่คุณลุงยกให้ฉันนั้นแหละ ก็อย่างที่เคยบอก ทุกอย่างในชีวิตฉันตอนนี้ได้มาจากมรดกของคุณลุงเป็นส่วนใหญ่”


“ฟรีไม่ได้หรอก...เงินมรดกของนายคือเงินที่นายควรเก็บไว้ใช้เอง”


“ได้สิ ในเมื่อตอนนี้มันเป็นเงินฉันแล้ว”


“เป็นเงินนายยิ่งฟรีไม่ได้ใหญ่”


“ทำไมอะ ทีนายยังซื้อนั่นซื้อนี่ให้ฉันทั้งที่ไม่ค่อยมีตังค์ได้เลย”


“มันไม่เหมือนกัน”


“ไม่เหมือนยังไง”


“นายทำอะไรต่อมิอะไรให้ฉันเยอะแล้ว ฉันไม่อยากเป็นภาระน่ะ” ชายหนุ่มตัวสูงกว่าคู่สนทนาว่าพลางส่งยิ้มอุ่นให้ครู่หนึ่งก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่างจึงต่อ “เออ เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในร้านน่ะ ไอ้กระดูกเปราะที่พี่ อา ฉันควรจะเรียกคุณยงกุกมากกว่าสินะ นั้นแหละ ที่คุณยงกุกเขาว่ามันเป็นโรคเหรอ มันมีสาเหตุจากอะไรแล้วมันอันตรายมากหรือเปล่า”


“มันเกี่ยวกับฟันน่ะ คล้ายๆฟันผุ ไม่อันตรายอะไรหรอก” หลังได้ยินคำถามอีกฝ่ายก็กลอกตาไปมาเช่นเด็กคิดหาคำปดมาโกหก


“จริงอะ”


“จริงสิ...ถึงฉันจะเคยไม่สบายแต่มันก็เป็นนานแล้ว ตอนนี้แข็งแรงดีไม่เชื่อจะวิ่งรอบสวนให้ดูเลยก็ได้” 


“แต่ชื่อโรคมันฟังน่ากลัว ไม่น่าแค่ฟันผุง่ายเลย”


“ไม่เชื่อใช่ปะ นายไม่เชื่อใช่มะ ได้” คนเกลียดการถูกสงสารโดยเฉพาะจากคนที่รักพยายามซ่อนคำโกหกไว้ด้วยการแกล้งตะโกนเหมือนท้าทายก่อนจะหันหลังวิ่งตื้อออกไปข้างหน้า


“เดี๋ยวสิ” อีกฝ่ายร้องเท้าขยับจะวิ่งตามไปแต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่เขาตั้งค่าใช้เสียงนี้เฉพาะหมายเลขของออฟฟิศเท่านั้นกลับดังขึ้นมาจึงจำเป็นต้องหยิบมันมารับสายขณะเดินตามร่างผอมไป


“วันนี้หยุดครับ...ฮะ ลูกค้าขอแก้งานส่วนอินโทรนิดหน่อยเหรอครับ ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่โซลนะครับกว่าจะถึงคงราวๆบ่ายสามนู้นเลย ยังไงก็ต้องส่งคืนนี้เหรอครับ เขาให้เงินค่าแก้งานเพิ่มด้วย อา...เข้าใจแล้วครับ”


แดฮยอนตอบรับคำสั่งของปลายสายยังคงจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมบ้านที่วิ่งไปถึงสนามเด็กเล่นในสวนห่างจากเขาไปไม่กี่เมตร จังหวะที่กดวางสายร่างผอมกลับสะดุดล้มลงไปนั่งคลุกเศษใบไม้บนพื้นพอดีจึงหลุดสบถวิ่งพรวดไปหาทันที


ยองแจขยับนั่งชันเข่ามองรอยถลอกตรงเข่าใต้รอยขาดของกางเกงจากการขูดกับหินก่อนที่ชายหนุ่มตัวสูงกว่าจะวิ่งเข้ามาประชิดตัวก้มมองแผลด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด


“เป็นอะไรไหม เจ็บมากหรือเปล่า นี่ล้มเป็นแผลเลยเหรอ บ้าฉิบ ขอโทษจริงๆนะ เดี๋ยวฉันไปซื้อยามาใส่แผลให้”


“ขอโทษทำไม แผลแค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก”


“ข้างนอกอาจแค่ถลอกแต่ข้างในกระดูกอาจจะเป็นอะไรก็ได้ ขานางยิ่งเล็กๆอยู่ด้วย”


“ถลอกนิดเดียวเอง เลือดไม่ได้ออกซะหน่อย กระดูกยังดี ขยับขาได้อยู่เลย ดูสิ”


“อีกพักอาจจะเป็นก็ได้ มานี่ ขึ้นหลังฉันมา ฉันจะพาไปซื้อยาล้างแผลก่อนแล้วไปโรงพยาบาลต่อ”


“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นายอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ดิ” 


“ใหญ่สิ เรื่องของนายไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องเล็กสำหรับฉันเลยนะ” เสียงทุ้มจากเจ้าของใบหน้ารูปหัวซึ่งบัดนี้ความจริงจังของสีหน้าแววตาทำให้ไม่เห็นเค้าความน่ารักที่เคยปะปนกับความหล่อเหลาเหลืออยู่และนั่นเป็นเหตุให้อีกคนส่งเสียงอ่อยๆอย่างสำนึกผิด


“อย่าดุสิ”


“ฉันไม่ได้ดุนะ ฉันแค่เป็นห่วง”


“แผลมันเล็กนิดเดียวจริงๆนะ พี่ฮิมชานเคยเห็นฉันเป็นแผลมากกว่านี้ยังบอกแค่ว่าเจ็บหน่อยเดียว เป่าเพี้ยงก็หาย”


“เป่าเพี้ยงก็หายแน่เหรอ” คิ้วหนาของคนสูงกว่าเลิกขึ้นพร้อมคำถามแล้วก้มลงพ่นลมอุ่นรดบนรอยถลอก


“เพี้ยง”


ฝ่ายไม่ทันตั้งตัวเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แขนถูกดึงให้ขึ้นมาพาดอยู่ไหล่ที่ลาดลงของคนตัวสูงกว่าที่ย่อขาลงเพื่อให้เขาขึ้นไปขี่หลังได้


“ขึ้นมา”


“อะไร”


“ฉันจะพานายไปที่รถก่อนค่อยไปหาซื้อยากับปลาสเตอร์ให้ พอทำแผล ส่งนายกลับบ้านเสร็จ ฉันต้องไปเคลียร์ที่ออฟฟิศแต่จะรีบกลับมาหา”


“นายมีงานด่วนก็รีบขับรถกลับบ้าน จะได้ออกไปทำงาน เดี๋ยวฉันไปหาซื้อยาเองได้”


“จะขี่หลังหรือจะให้อุ้มไป” คนสนุกสนานเป็นอาจิณเสนอหนทางด้วยเสียงและใบหน้าเรียบนิ่งละม้ายบางคืนที่เมากลับมาโดยไม่สนคำทัดทานบีบให้อีกฝ่ายต้องจำนนยอมขี่หลังโดยดุษฎี 


แผ่นหลังที่ดูจะแคบยามอยู่ใกล้กลับกว้างกว่าที่เคยคิดไว้ คงมีเพียงกล้ามเนื้อแข็งแรงซึ่งซ่อนใต้เสื้อผ้าเท่านั้นที่ยองแจคุ้นชินเกินกว่าจะประหลาดใจด้วยเคยเป็นฝ่ายถูกนอนกอดอยู่หลายเดือน


กระนั้นกลิ่นน้ำหอมและความใกล้ชิดพาความอุ่นมาให้จากชายหนุ่มที่แบกร่างผอมๆของเขาไว้บนหลังในตอนกลางวันแตกต่างจากตอนกลางคืนอย่างสิ้นเชิงจนเขาไม่กล้าขยับไปใกล้ได้แต่เกร็งตัวเองไว้ไม่ให้เผลอไปซบเพราะกลัวเสียงหัวใจที่ดังแทบทะลุจากอกออกมาแล้วจะส่งไปถึงอีกคนได้


“นี่ ไหนว่าจะเดินไปที่รถไง ทางนี้มันคนละทางกันเลยนะ” เมื่อตั้งสติสังเกตเส้นทางคนตัวผอมก็โวยขึ้น


“ฉันจะไม่เดินกลับไปที่รถจนกว่านายจะหยุดเกร็ง ถ้านายยังเกร็งอยู่แบบนี้จะเป็นตะคริวบนรถเอานะ นายอยู่บนหลังฉันแบบสบายๆเถอะ ฉันไม่ทำตกหรอก” ครั้งนี้คนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอุ่นอ่อน


ยองแจเม้มริมฝีปากยินถ้อยคำอ่อนโยนด้วยใจที่ยังเต้นไม่เป็นส่ำ ตากลมเหลือบยังผู้คนในสวนสาธารณะที่มองมาด้วยความสงสัยแทบเป็นตาเดียวก็ทำตัวไม่ถูก ความเกลียดกลัวการจับจ้องจากสายตาของคนแปลกหน้าอันเป็นผลมาจากเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยที่มักตกเป็นเป้ามองเพื่อนินทา ท้ายสุดเจ้าตัวก็ยอมทิ้งน้ำหนักก้มซ่อนหน้าซบบนหลังของเพื่อนร่วมบ้าน


นาทีที่เจ้าของหลังสัมผัสได้ถึงร่างผอมที่แนบลงมากับหัวที่ซุกอยู่ใกล้ๆคอราวกับมีสารแห่งความสุขหลั่งไหลมาให้รู้สึกอิ่มอุ่นไปทั้งใจ แม้สายลมเย็นจะพาดผ่านมาโอบล้อมก็ไม่อาจทำให้รอยยิ้มกว้างจางหายไปจากใบหน้า


ความสุขของเขาในช่วงสองปีกว่ามานี้มักเป็นเรื่องที่ทำให้ยองแจยิ้มเสียส่วนใหญ่และมันคงจริงอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้า 


...ยองแจน่ะเป็นจักรวาลแห่งรอยยิ้มของเขา..
-------------------------------------------------
ประตูสตูดิโอติดป้ายชื่อจอง แดฮยอนปิดลงพร้อมกับชายหนุ่มตัวสูงโปร่งที่ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงโถงทางเดินของออฟฟิศที่เรียงรายต่อกันด้วยสตูดิโอส่วนตัวของพนักงานรวมไปถึงห้องอัดเสียงและห้องตัดต่อเช่นปกติ ทว่าครั้งนี้เจ้าของห้องออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างบนหน้าแทนอาการสะโหลสะเหลเหมือนทุกคราด้วยมียาใจเป็นยิ้มหวานและข้อความจากเพื่อนร่วมบ้านซึ่งส่งมาบอกให้ตั้งใจทำงานจะได้เสร็จไวๆ


แดฮยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตั้งใจว่าจะพิมพ์ข้อความส่งไปหาคนที่รออยู่บ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายโทรเข้ามาพอดี โดยบนหน้าจอนั้นปรากฏชื่อผู้โทรหาว่า พี่ฮิมชาน จึงกดรับสาย


“ตอนนี้มึงอยู่ไหนวะ” เสียงเข้มจากรุ่นพี่คนสนิทที่ไม่ค่อยจะได้เจอกันบ่อยนักถามขึ้น


“อยู่ออฟฟิศอะพี่แต่กำลังจะกลับ พี่มีอะไรหรือเปล่า”


“กูจะโทรมาขอยืมเปียโนของเล่นของมึงหน่อย เห็นมันวางอยู่ในห้องนั่งเล่น แบบสวยดีเลยว่าจะเอามาจำลองเผื่อใช้เป็นไอเดียทำของเล่นคอลเลคชั่นใหม่”
 

“เปียโนหลังนั้นมันของยองแจเขานะพี่ ถ้าพี่จะยืมก็ไปขอเขาสิ”


“กูเคยขอแล้ว แต่มันบอกให้มาขอมึง”


“ขอผมได้ไงพี่ ผมให้ยองแจเขา คนตัดสินใจให้ยืมได้ต้องเป็นเขาสิ”


“กูบอกไปแล้วไงว่า กูเคยขอมันแล้วแต่มันให้มาขอมึง แค่มึงบอกได้ก็จบ”


“แล้วยองแจเขาให้พี่ยืมไหมล่ะ”


“เอ้า ไอ้ห่า กูเพิ่งบอกมั้ยว่ามันให้มาขอมึง”
 

“ผมให้เขาเป็นคนตัดสินใจ”


“อะไรของพวกมึงวะเนี่ย แค่เปียโนของเล่นหลังเดียวโยนกันไปโยนกันมา”
 

“ก็ของเขาอะพี่ จะให้ผมบอกได้ทั้งที่มันไม่ใช่ของผมแล้วได้ไง เดี๋ยวเขาโกรธผมขึ้นมาจะทำไง เขายิ่งเป็นคนเวลาไม่พอใจอะไรไม่ยอมพูดอยู่ด้วย ผมไม่อยากทำอะไรที่ยองแจจะไม่ชอบ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรถ้าเป็นสิ่งที่ยองแจต้องการ ผมจะให้เขาทำตามนั้น”


สิ้นเสียงปลายสายกลับเงียบสนิทคล้ายสัญญาณขาดหายจนเขาถึงกับดึงโทรศัพท์มือถือที่แนบหูออกมาดูหน้าจอว่ายังขึ้นการโทรอยู่จึงเอามันกลับมาที่เก่า


“มากไปเว้ย มากไป มึงเป็นแค่เพื่อนพูดซะยังกะเป็นแฟน” ในที่สุดปลายสายก็พูดออกมา


“ผมไม่ใช่เพื่อนนะ ผมเป็นแค่คนซื้อข้าวกับคนที่ดูแลเขา”


“เป็นเหี้ยไรของมึงเนี่ย พูดเหี้ยอะไรออกมารู้ตัวเปล่าวะ”


“รู้ตัวสิพี่ ผมน่ะไม่เป็นเพื่อนหรอก ถ้าเป็นแล้วเขาเศร้าหรือเกลียดผมขึ้นมา ผมยอมเป็นแค่คนซื้อข้าวกับคอยดูแลเขาดีกว่า”


“โวยคุยกับพวกมึงแล้วปวดหัว กูไม่คุยด้วยแม่งแล้ว” เสียงเข้มฟังเกรี้ยวกราดบอกออกมาเท่านั้นก็กดวางสายใส่


“เป็นงี้อีกแล้ว” ชายหนุ่มบ่นพึมพำขณะกดลิฟต์ตามประสาคนเคยประสบพบเจอเหตุการณ์โดนด่าเสร็จก็วางสายใส่จากรุ่นพี่ผู้นี้มาไม่น้อย


สมัยเคยสอนดนตรีอยู่สถาบันเดียวกันฮิมชานเป็นผู้ชายตรงๆแสดงออกชัดเจนไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไรนอกจากเวลาโกรธขึ้นมาที่ดูอันตรายเสียจนไม่จำเป็นเขาจะไม่เฉียดใกล้ แต่ไม่ใช่ว่าเขากลัวความโกรธของรุ่นพี่ผู้นี้เพียงแค่บางคราเมื่อถูกความโกรธหรือแรงเย้ยเยาะจากคนอื่นปะทะเข้าโดยตรงเขาจะคุมตัวตนจริงอีกด้านที่ยากจะมีคนรับได้ให้ใครเห็น กระนั้นตอนอยู่ในร้านอาหารเขากลับเผลอแสดงด้านมืดออกมาให้ยงกุกรับรู้


...แต่ยองแจไม่เหมือนจุนฮง...


อดีตนายจ้างของเขาไม่ใช่เจ้าของหรือคนรักยองแจสักหน่อย ทำไมต้องแสดงออกว่าสำคัญกว่าหรือรู้ทันต่อตัวตนที่ซ่อนอยู่ของเขา ไอ้ท่าทางอย่างนั้นมันทำให้เขาได้แต่คิดว่า เขาอยากเป็นคนที่สำคัญกว่าบรรดาทุกคนที่ยองแจรู้จัก


...และบางครั้งก็โลภขนาดที่ว่าอยากให้ยองแจดีกับเขาแค่คนเดียว... 



ระหว่างที่รอให้ลิฟต์มาถึง ชายหนุ่มตัวสูงอีกสองคนก็เดินมาประกบ เมื่อหันไปมองก็เห็นรุ่นพี่คนสนิททั้งฮันเฮและซองวอนยิ้มแห้งก่อนจะเชื้อเชิญให้ไปดื่มด้วยกันแต่เจ้าตัวปฏิเสธ


“อะไรวะ หมู่นี่มึงแทบไม่ออกไปดื่มอะไรกับใครเลยนะ จะไปดื่มฉลองงานกูกับซองวอนผ่านแค่นี้ไปไม่ได้”


เพราะคำพูดประชดแกมน้อยใจเป็นผลให้รุ่นน้องหนุ่มยอมตามใจไปดื่มสังสรรค์ในร้านไก่ทอดเจ้าประจำโดยเลือกสั่งน้ำส้มคั้นกับข้าวหน้าไก่มากินแทนเบียร์ทำให้รุ่นพี่ทั้งคู่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


“ใจคอจะแดกแต่ข้าวกับน้ำส้มเหรอวะ” ซองวอนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน


“ผมหิวอะ”


“เบียร์เอามะ”


“ไม่เอาอะพี่ แค่ก แค่ก ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย” เพื่อหาโอกาสหลบเลี่ยงกลับบ้านโดยไวชายหนุ่มจึงแกล้งไอแห้งๆแล้วตอบไปเหมือนคนป่วย


“ทำมาไอโชว์เลยนะไอ้นี่ ไม่สบายจริงหรือนางฟ้าของมึงเขาไม่ให้ดื่มกันแน่” ฮันเฮเสริมหยิบเบียร์มากระดกดื่มตาม


“มันก็ แค่ก เขาไม่อยากให้ผมเมา เขาเป็นห่วง ยิ่งช่วงนี้ แค่ก แค่ก ผมไม่ค่อยสบายเลยดื่มเหล้าไม่ได้เข้าไปใหญ่”


“นั่นปะไร อย่างที่กูบอกมึงมั้ยล่ะ” 


“โวะ กูนึกมึงพูดเล่นไม่คิดว่าเรื่องจริง นี่ แดฮยอน กูจะบอกอะไรให้นะ คนเราจะเรียกเพื่อนว่านางฟ้าได้เวลาเพื่อนทำอะไรที่ดีกับเรามากๆตลอดเวลา แต่ที่กูได้ยินมา มึงเป็นคนทำให้เขาทุกอย่างเลยไม่ใช่ไง” 


“พี่รู้ได้ไง” คนถามเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดอะไร แต่เมื่อได้คำตอบปากที่ยิ้มอยู่กลับหุบสนิทเช่นเดียวกับใบหน้าที่เรียบตึงแทบจะทันที


“รู้ดิ กูคุยกับยองแจมันในคาทกมา”


“พี่เอาคาทกยองแจมาได้ไงวะ” 


ฮันเฮเลิกคิ้วสูงในนาทีที่ถูกรุ่นน้องขึ้นเสียงแข็งใส่ ท่าทางที่ไม่ใคร่เป็นมิตรคล้ายยามเมาแทบไร้สตินั้นทำให้อึ้งไปนานกว่าจะได้สติตอบกลับ


“เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย อยู่ๆก็ตวาดใส่ กูเป็นพี่มึงนะเว้ยมาตวาดได้ไง”


“แค่กๆ ขอโทษทีพี่ พูดๆอยู่มันจะไอพอดีเลยต้องเสียงดังไล่เสลด” ฝ่ายรุ่นน้องแก้ตัวไหลลื่น


“เออๆ เสลดลงคอก็แล้วไป”


“ตกลง แค่กๆ พี่เอาคาทกเขามาจากไหนเหรอ”


“เอามาจากฮิมชานมัน”


“อ๋อ” เพียงรู้ต้นตอก็ลากเสียงทำเป็นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มทั้งที่ข้างในร้อนแทบเป็นไฟก่อนจะแกล้งไอออกมาโขลกใหญ่และตีหน้าเหยเกเหมือนคนปวดหัวแทบระเบิด “แค่กๆ พี่ แค่ก ผมไม่ไหวแล้วอะ ปวดหัวไปหมดเลย ผมขอตัวกลับก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้จะจ่ายค่าน้ำส้มให้”


“ปวดหัวมากเหรอวะ...รอแป้บนึง เดี๋ยวกูขับรถไปส่งมึงให้ บ้านมึงอยู่แถวซงพาใช่มั้ย” ซองวอนเสนอตัวด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เป็นไรพี่ แค่กๆ พี่ดื่มไปเหอะ ผมเรียกแท็กซี่หน้าร้านกลับได้ ไปก่อนนะครับ” เจ้าตัวปฏิเสธหยิบโค้ทมาสวมเดินลากเท้าเอนไปเอนมาเหมือนป่วยหนัก กระทั่งขึ้นแท็กซี่มาได้ถึงกลับคืนสภาพรีบบอกที่หมายคนขับพร้อมกำชับให้ซิ่งจนถึงบ้านในเวลาไม่กี่สิบนาที


เจ้าของบ้านลุกจากโซฟามองยังรูมเมทที่เดินโซเซอย่างเหนื่อยล้าผ่านห้องนั่งเล่นและหายไปพักใหญ่ก็หอบผ้าห่มพับไว้เรียบร้อยวางบนที่ว่างบนโซฟาส่วนตัวเองก็ไถลไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม่พูดไม่จาอะไรอยู่นานจนถูกถามขึ้นถึงแหงนหน้าไปหา


“เป็นอะไรไป”


“เปล่า”


“กินข้าวมาหรือยัง...เดี๋ยวไปอุ่นข้าวให้กินมั้ย”


“กินแล้วนายละกินหรือยัง”


“กินแล้ว เอาข้าวกล่องพี่เชฟที่นายเอามาแช่ไว้อุ่นกิน”


“อืม”


“เหนื่อยมากเลยเหรอ งั้นไปนอนพักเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกไม่ใช่เหรอ”


“ฉันได้หยุดต่ออีกสองวัน”


“อ้าวเหรอ แบบนี้ก็ดีสินายจะได้นอนเยอะๆ”


“อาจจะไม่ได้นอนก็ได้”


“ทำไมล่ะ”


“ช่างเถอะ” ความน้อยใจที่ยากจะอธิบายทำให้เขาพูดตัดบทและก้มหน้าที่แหงนไปหาเจ้าของบ้านอยู่นานสองนานกลับมามองจอโทรทัศน์ที่มีผู้ประกาศข่าวชายรายงานข่าวสภาพอากาศอยู่


ท่าทางเงียบของเพื่อนร่วมบ้านเป็นเรื่องสร้างความหวั่นวิตกแก่คนที่นั่งบนโซฟาด้วยเข้าใจว่างานคงหนักมากก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเลยได้แต่เขยิบตัวไปนั่งติดกับคนที่นั่งพื้นอยู่ก่อนที่เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช่ของเขาจะดังขึ้นมาก่อน


คนบนพื้นหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ามากดปิดเสียงแล้ววางคว่ำหน้าจอไว้บนพื้น ยิ่งทำให้อีกคนเข้าใจผิดว่าคงจะเหนื่อยมากเลยวางมือบนไหล่แล้วบีบไปมา


แดฮยอนนิ่งงันในนาทีที่สัมผัสได้ถึงมือที่ค่อยๆนวดเค้นไปตามแขนและไหล่ด้วยแรงไม่มากนัก หากนั้นมากพอจะเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนหน้าได้อีกหน


“เหนื่อยมากใช่ม้า ฉันนวดให้เผื่อว่าจะดีขึ้น”


“ขอบคุณนะแต่ไม่ต้องนวดหรอก ฉันไม่เป็นไรแล้ว” เจ้าของมือใหญ่ที่เอื้อมมาจับมือขาวบนไหล่ว่าแล้วเอนหัวลงไปพิงกับข้างต้นขาของอีกฝ่ายไว้ “นี่ฉันถามอะไรนายหน่อยได้ปะ”


“อืม”


“นายไม่เห็นบอกเลยว่ากลับมาเล่นคาทก...ใจคอจะให้คาทกกับคนทั้งโลกแล้วค่อยให้ฉันเหรอ” ถึงจะรู้สึกดีขึ้นมากก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องคั่งค้างในใจ


“ไม่ได้ดูคาทกเหรอ...ฉันแอดไปหานายคนแรกเลยนะ ส่งสติ๊กเกอร์ไรอันไปหาด้วย ไม่เห็นเลยเหรอ”


สิ้นคำผู้ตั้งคำถามรีบหยิบโทรศัพท์มือถือตนเองบนพื้นมากดดูก็เห็นจึงดังว่าก็หลุดยิ้มออกมาอัตโนมัติ


“ฉันดูแต่วอทแอพ ไม่ได้ดูคาทกนี่”


“ก็ฉันเห็นนายติดมือถือ ไม่ได้เอาแต่แชทหรอกเหรอ” 


“ที่ติดมือถือเพราะฉันรอข้อความจากนายต่างหาก แต่นายบอกฉันว่า นายเล่นแต่วอทแอพ ฉันเลยดูแต่วอทแอพเป็นหลัก ส่วนคาทกน่ะพอนายไม่เล่น เวลามีงานอะไรของออฟฟิศทางบอสจะให้คนโทรหาไม่เคยส่งข้อความมาเพราะงั้นฉันเลยไม่ค่อยเล่น บางทีฉันยังเคยก็อปๆข้อความเดียวกันไปตอบคนอื่นด้วยซ้ำ”


ประโยคตอบกลับนั้นเรียกให้คนฟังก้มลงไปมองยังหัวทุยที่ซบอยู่ข้างตัก ภายในใจมีคำมากมายอยากถามแต่ไม่กล้ากว่าจะอ้อมแอ้มออกมาได้สักคำถามถึงกับต้องกลั้นหายใจ


“คิดถึงนะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนั้นก็ก็อปวางเหรอ”


“อืม แบบว่าบางคนเขาทักมาฉันจะไม่ตอบเลยก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคอนเนคชั่นน่ะ สาวๆในคาทกฉันหลายคนที่ฉันคุยด้วยเพราะเขามีงานมาจ้างให้ทำหรือไม่ก็เขาไปโพสต์หาคนไว้ฉันก็เลยต้องตีเนียนคุยด้วยหน่อย”


“นิสัยไม่ดีเลยอะ”


“โห วันๆหนึ่งคาทกฉันมีคนทักมาตั้งเยอะ ไหนจะห้องแชทกลุ่มที่ฉันอยู่จะให้บรรจงตอบมันทุกคนไม่ได้หรอก แต่กับนายน่ะฉันไม่ได้ก็อปนะ”


“รู้...นายเล่นส่งข้อความอัพเดตชีวิตมาขนาดนั้นจะไปก็อปมาจากไหนล่ะ ทำยังกะเด็กรายงานตัวกับคุณครูเลย” ยามนึกถึงข้อความยาวเป็นพรืดเล่าเรื่องราวในแต่ละวันในแชททำให้ผู้พูดอดขำออกมาไม่ได้


เสียงหัวเราะเบานั้นมีผลให้หัวใจของผู้ได้ยินและมองเห็นอ่อนบางเสียจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ หากเสียงแจ้งเตือนข้อความของอีกคนกลับดังรัวไม่หยุดปากที่แย้มคลายจึงหุบลงทันที


...แม่งเอ๊ย ไอ้พวกห่านี่...


...มีอะไรต้องคุยถึงส่งข้อความมาเยอะขนาดนี้วะ...



“เออ ฉันขอยืมมือถือนายหน่อยได้มั้ย”


“ยืมไปทำไม”


“คือ มีคนบอกว่ามองไม่เห็นดิสเพลย์ที่ฉันเพิ่งเปลี่ยนใหม่ก็เลยทักมาคุยเรื่องงานไม่ได้ เลยอยากดูหน่อยว่าจริงหรือเปล่า” คนเจ้าแผนการเริ่มหาข้ออ้าง


“แต่ของฉันมันขึ้นนะ ลองดูสิ”


อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือมาหาเพื่อยืนยันแต่กลายเป็นทั้งเครื่องถูกดึงไปอยู่ในมือผู้ร้องขอที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกับดิสเพลย์ของตนเองทั้งที่ความจริงนิ้วกำลังทยอยบล็อกรายชื่อผู้ติดต่อที่ไม่ควรทำความรู้จัก กระทั่งเข้าไปลบข้อความทักทายค้างเก่าจากคนเหล่านั้นต่อด้วย


“ไหนบอกจะดูแค่ดิส ทำไมถึงบล็อกกับลบข้อความในแชทฉันอะ”


“ไอ้พวกนี้ชอบคุยไร้สาระ เดี๋ยวนายรำคาญเลยจัดการให้”


“อย่างนี้ก็ได้ด้วย”


“เชื่อฉันเหอะ ไอ้พวกนี้มันน่ารำคาญ ฉันยังไม่คุยกับแม่งเลย” เสียงเข้มตอบกลับสายตาจ้องอยู่บนจอโทรศัพท์กระทั่งสาแก่ใจแล้วจึงเงยหน้าถามเรื่องอื่น “เบื่อดูข่าวหรือยัง หาหนังดูมั้ย”


“นายอยากดูเรื่องอะไรล่ะ”


“เรื่องที่นายดูค้างอยู่”


“ช่วงนี้ฉันดูเรื่อง Cold Case อยู่น่ะ เนื้อเรื่องก็ประมาณว่า นักสืบหญิงคนเดียวของแผนกสืบสวนอาชญากรรมฟิลาเดเฟียได้รับมอบหมายงานสืบคดีอาชญากรรมยากๆ บางเคสก็เป็นคดีเก่าที่หาคนร้ายไม่เจอมานานแล้ว นายดูได้เหรอ”


“ได้สิ”


“ฉันดูไปสองตอนแล้วแหละ แต่เรื่องนี้มันจบในตอนเลย ถ้าไม่ดูแต่ต้นน่าจะดูรู้เรื่องอยู่” ฝ่ายเสนอบอกคว้ารีโมทมากดเชื่อมต่อไวไฟเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ดูภาพยนตร์และซีรีย์ถูกลิขสิทธิ์ที่สมัครเป็นสมาชิกประจำไว้ทันที


ทั้งคู่นั่งดูซีรีย์บนจอโทรทัศน์ด้วยกันอยู่พักหนึ่ง โดยคนบนพื้นมักจะเปรยถึงผู้ร้ายตัวจริงในแต่ละตอนขึ้นมาทั้งที่เพิ่งจะผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งเรื่องซึ่งในตอนจบก็เป็นจริงดังว่าBottom of Form


“นายเคยดูเรื่องนี้มาก่อนเปล่าเนี่ย” คนผอมถามหน้างอด้วยเข้าใจว่า อีกคนเคยดูมาก่อนแต่ตัวเขาโกรธเลยแกล้งดูด้วยเท่านั้น


“ฮะ...ยัง...ยังไม่เคยดู”


“แล้วทำไมทายผู้ร้ายถูกหมดเลยอะ”


“ไม่ยากอะไรนะ พวกนี้มันจะ...” ผู้คุ้นเคยคลุกคลีกับวิถีอาชญากรรมมาง้างปากเตรียมจะอธิบาย หากฉุกได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ใครรับรู้จึงเสเปลี่ยนคำตอบ “ฉันเดาเอา”


“เดาเนี่ยนะ”


“มันก็เหมือนเล่นเกมปริศนาเชาวน์ แค่เชื่อมโยงข้อมูลที่ได้มาผสมกับตรรกะบางอย่างก็รู้ตัวคนร้ายได้นะ”


“นายดูไม่เหมือนคนฉลาดเรื่องพวกนี้เลยอะ”


“อืม...ฉันอาจเป็นแมวโง่ๆตัวหนึ่งสำหรับนายก็ได้”


ยองแจยินคำอุ่นพลางเหล่ตามองเส้นผมสลวยบนหัวทุยของเพื่อนร่วมบ้านที่เอนมาอิงข้างต้นขาของตัวเองอยู่นานสองนานด้วยความรู้สึกขัดเขิน หากพอคิดได้ว่าสถานการณ์ตลอดวันนี้ทำให้เขาลืมไปเลยว่าควรจะขีดเส้นตัวเองไว้ในฐานะเพื่อน


...เมื่อไหร่จะจำซะทีว่า เขาไม่ได้ใจดีกับเราแค่คนเดียว...


“สี่ทุ่มแล้วนะ นายจะนอนหรือยัง”


“ไม่ง่วงหรอกแต่ไปนอนก็ได้ แล้วนายล่ะจะนอนเลยเปล่า”


“อืม”


แดฮยอนพยักหน้าลุกจากพื้นฉวยผ้ารองกับผ้าห่มที่หอบหิ้วจากในห้องนอนมาปูบนพื้นว่างหน้าโซฟาตามด้วยหมอนหนุนใช้พิงหลังบนโซฟาวางลงไป จากนั้นจึงยื่นมือมาหาเจ้าของบ้าน


“ขอจับมือหน่อย” ประโยคขอหน้าตาเฉยนั้นทำให้คนฟังโวยวาย


“อะไร จะมาจับมืออีกล่ะ ไม่เอาหรอก”


“เอาสิ ก็นายสัญญากับฉันเองว่าถ้าฉันไม่เมาล่ะก็นายจะให้ฉันจับมือจนกว่าจะหลับนี่”


“ไม่ได้บอกให้จับมือได้ซะหน่อย อันนั้นนายพูดของนายเอง”


“ถ้าไม่มีนายจับมือไว้ฉันกลัวฝันร้าย”


“วันก่อนๆที่ไม่มีฉันให้จับมือยังนอนได้เลย”


“แต่ไม่ได้หลับสนิทนะ ฉันนอนแบบหลับๆตื่นๆถึงตีสี่ หลังจากนั้นก็ตาค้างยันสว่างเลย”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ อย่างวันนี้ฉันก็ตื่นตีสี่มาถึงตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลย ถ้านอนคนเดียวอีกคงหลับๆตื่นๆเหมือนเดิม เพราะงั้นให้ฉันจับมือนายนอนหน่อยสิ แค่มีมือนายให้จับจนหลับมันอาจหลับสนิท เผลอๆอาจจะไม่ฝันร้ายด้วย นะ...ให้ฉันจับมือนอนหน่อย แค่ไม่นานหรอก”


“แล้วถ้านอนไม่หลับ ฉันไม่ต้องอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอ”


“ไม่หรอก...ถ้านายจับมือฉันไว้ ฉันจะหลับสนิทแน่นอน น้า ขอร้อง”


เจ้าของบ้านมองแววตาละห้อยอ้อนออดเหมือนแมวเซื่องๆร้องขออาหารประทังชีวิตก็นึกสงสารยื่นมือไปให้จับแต่ไม่วายส่งเสียงบ่น


“นายนิน่ารำคาญจริงเลย”


แดฮยอนยิ้มกว้างทรุดลงนั่งบนผ้าปูรองพื้นแล้วล้มตัวลงนอนโดยเหยียดแขนจับมือกับคนผอมบนโซฟาก่อนจะดึงผ้าห่มด้วยมือข้างที่เหลือและหลับตา



“พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ฉันจะไปสิงในร้านกาแฟนายทั้งวันเลย”


“จะมาทำไม นอนพักไปเหอะ”


“หลังจากนอนอิ่มฉันจะไปนั่งที่ร้านนายไง แล้วกลางวันกับหลังปิดร้านเราไปหาร้านข้าวอร่อยๆกินกันนะ”


“เดี๋ยวก็มีงานด่วนเข้ามาอีก”


“ไม่หรอก ฉันบอกบอสไปแล้วว่า ทำงานหนักเกินเลยไม่สบายขอพักก่อน”


“ไปโกหกบอสอย่างนั้นได้ไงเล่า”


“บางครั้งฉันก็อยากอยู่บ้านนานๆ บ้างนี่”


“ถ้าอยากอยู่บ้านก็ไม่ต้องไปที่ร้านฉันสิ นอนตีพุงที่นี่ไป”


“แต่บ้านที่ว่ามันไม่ใช่สถานที่แต่เป็นคนนี่นา”



“หมายความว่าไง”


“ถ้ามีนายอยู่ด้วย ตรงไหนก็เหมือนบ้านฉันทั้งนั้นแหละ”


ถ้อยความตอบกลับจากชายหนุ่มที่นอนหลับตาบนพื้นนั้นก่อความอุ่นร้อนทั่วดวงหน้านวลของคนบนโซฟาพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันย่างกรายเข้ามาด้วยฝ่ายหนึ่งรู้สึกวางใจที่ได้สัมผัสจากนางฟ้าประจำตัวที่เขาแต่งตั้งให้ในใจจึงเคลิ้มหลับ


“ชอบพูดเรื่อยเปื่อยกับคนอื่นพอๆกับที่ดีกับใครเขาไปทั่วเลยเนาะ”


ยองแจพึมพำขณะนั่งคุกเข่าก้มมองคนที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาโซฟาเพราะอยากจับมือให้ถนัดๆ กระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสงบนิ่งที่แม้เรียกอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะตอบรับจึงค่อยๆดึงมือของตัวเองออกมาทีละน้อยจนพ้นการเกาะกุมถึงค่อยลุกจากโซฟามาดึงผ้าห่มมาคลุมปิดคอเรียบร้อยก็หยุดมองอีกสองสามนาทีพลางลูบหัวเบาๆด้วยกลัวจะตื่น


“ราตรีสวัสดิ์” เขากล่าวลาผุดลุกจากพื้นตั้งใจจะเดินกลับห้องเพื่อเข้านอน ทว่าเพียงฝ่าเท้าก้าวไปสองก้าวกลับได้ยินเสียงคล้ายละเมอจากเพื่อนร่วมบ้าน


“ฉันไม่ได้ดีกับทุกคนนะ”

คนตัวผอมชะงักเหลียวกลับมาทางต้นเสียงเห็นอีกคนยังคงหลับก็ถอนหายใจเดินไปปิดไฟไล่ตั้งแต่หน้าประตู ห้องนั่งเล่น ก่อนไปจบที่ห้องนอนของตนเอง


ระหว่างที่นอนเกลือกกลิ้งคิดทบทวนเรื่องราวตลอดวัน...ทั้งที่มีความสุขมากเหลือเกินแต่ความเป็นจริงทำให้ทุกอย่างหนักอึ้ง


 
...บางทีถ้าเรารักกันได้คงจะดี...


...แต่นั่นคงเป็นแค่เรื่องสมมุติลมๆแล้งๆที่ไม่มีวันเป็นจริง...




---------------------แวะคุยกันก่อน-----------------------

ผู้ชายที่ผีทะเลแต่ก็อบอุ่นเหลือเกิน หอยเอ๊ยทำให้เขามากกว่าคนรักมากกว่าทุกสิ่งแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจำกัดความว่ายังไง ฮือ ขอบคุณที่เขามาอ่านนะคะ
ใครอ่านแล้วฝากเม้นหรือติดแท็กในทวิต #ficlovetoxical ก็ได้
จะได้รู้ว่ายังอ่านกันนะคะ ตอนนี้ประชากรคนอ่านน้อย 5555 แถมนี่เขียนยาวมากอีก ขออภัยจริงๆ ฮือออ








 












You Might Also Like

3 Comments

  1. โอ้ยยยยยวละมุนมากกกกกกกก พิเเดฮยอนคนอบอุ่นนนนนนนนน โห้นี่เขินมากเลยอะ ทำให้ขนาดนี้เเล้วรู้กันซะทีสิๆ โอ้ยเขายอมให้จับมือก่อนนอนด้วย โอ้ยเขิน>\\\\\\\< เเล้วตลกเรื่องเปียโน5555สรุปพี่ฮิมก็ไม่ได้55555 ไรต์สู้สู้ มาต่อไวไวน๊าาาา

    ตอบลบ
  2. ละมุนมากเลยกาก แต่ทำไมต้องมากำหนดสถานะอะไรกันแบบนั้น ขนาดยังไม่ใช่แฟนยังดูแลเอาใจใส่กันมากมาย ถ้าเป็นแฟนจะขนาดไหน มีแอบบล็อกคาทุกคนที่ไม่ใช่ตัวเองอีก 555 ตอนนี้ก็อ่านไปอมยิ้มตามไป เพราะน่ารักตามที่อ่านในสปอยเลย ขอบคุณที่ยังแต่งฟิคคู่นี้ให้อ่านค่ะ

    ตอบลบ
  3. ยองแจเป็นทุกอย่างของแดฮยอนแล้ว บ้าเอ๊ยยยยยยย อยากจะกรี๊ด ทำไมไม่ฟังคำพี่ๆเค้าบ้าง คนผีเอ๊ย หัดฟังความเห็นคนอื่นๆบ้างจะได้รู้ความรู้สึกตัวเองเร็วขึ้น อ่านไปแล้วก็จะบ้าตายกับทุกอย่างที่แดฮยอนทำ คือทำแบบนี้แล้วคุณยูของเราจะตัดใจได้ไง ไอ้บ้าเอ๊ยยย อ่านแล้วแอบหงุดหงิดนิดนึงค่ะ555 แบบได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมว่ะ ทำไมทั้งสองคนไม่เป็นแค่คนธรรมดาที่ ไม่มีปมชีวิตแบบนั้น ถ้ายองแจเป็นยองแจคนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่จะป่วยก็คงจะมีความมั่นใจมากพอที่จะถามแดฮยอนตรงๆ แล้วถ้าแดฮยอนไม่ใช่คนที่กลัวการสูญเสียคนรักไป ทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่านี้มากๆ อ่านแล้วก็แบบ เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ เหนื่อยค่ะ แค่อ่านยังรู้สึกว่าหนทางกว่าจะรักกันนี่คงอีกยาวไกลเลย แต่เรารอติดตามนะคะ ขอบคุณมากๆที่มาอัพเดตเรื่องนี้ให้อ่านตลอด เป็นกำลังใจให้คุณไรท์ค่ะ ขนาดเรานั่งอ่านเฉยๆยังใช้เวลานานเลย ต้องขอบคุณอีกครั้งจริงๆที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา

    ตอบลบ