LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 4

09:17


โต๊ะตัวยาวตั้งเรียงถัดกันมาหลายแถวโดยแต่ละแถวจะถูกกั้นเป็นคอกแบ่งสัดส่วนพร้อมติดป้ายชื่อครูผู้สอนไว้เพื่อให้สามารถนั่งทำงานหรือให้นักเรียนเข้ามาติดต่อส่งงานแม้จะผ่านช่วงเวลาหลังเลิกเรียนมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่ในห้องพักครูประจำระดับชั้นมัธยมต้นยังมีครูนั่งทำงานต่ออีกหลายคน พลันเมื่อเสียงเลื่อนประตูตามมาด้วยเสียงไอโขลกใหญ่จากใครคนหนึ่งดังขึ้น ผู้ที่ก้มหน้าก้มตากับงานของตนก็พร้อมใจกันเงยหน้ามองยังชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กแก็ตวอร์มกับกางเกงวอร์มสีดำมีหน้ากากอนามัยคาดปิดจมูกและปากผู้เป็นต้นเสียงซึ่งกำลังเดินกลับมายังโต๊ะของตนเอง


“ส่งเกรดเสร็จแล้วเหรอคะ” ครูสาวที่นั่งใกล้ๆประจำตำแหน่งครูวิชาภาษาเกาหลีเอ่ยถาม


“ครับ” เสียงที่ต่ำแหบอยู่แล้วยามป่วยยิ่งแหบแห้งตอบกลับ


“ที่จริงกว่าจะถึงกำหนดส่งเกรดให้ฝ่ายทะเบียนก็อีกตั้งสองอาทิตย์ ครูบังไม่เห็นต้องหักโหมเลย ยิ่งป่วยๆอยู่ด้วย” ครูสาวสวมแว่นหน้าผู้มีวัยมากกว่าคนแรกยืนเก็บเอกสารตรงตู้ด้านหลังของห้องพักครูหันมาบอกด้วยท่าทางและน้ำเสียงห่วงใยอย่างชัดเจน


“ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆน่ะครับ ยิ่งเทอมนี้เด็กๆต้องไปเรียนต่อม.ปลายกันแล้ว ถ้าออกเกรดช้าเขาจะวางแผนการเรียนต่อกันไม่ถูก อีกอย่างก่อนจะป่วยผมก็รวมคะแนนตัดเกรดไว้เกือบเสร็จแล้วครับ ผมเลยไม่มีปัญหาอะไร”


“แต่ครูบังต้องออกแดดไปสอนเด็กนักเรียนทั้งวันด้วยไม่ใช่เหรอคะ แบบนี้จะไม่อาการหนักกว่าเดิมเหรอคะ” ครูสาวผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ที่นั่งอยู่ใกล้ประตูถามอีก


“ผมตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปกินยาแล้วนอนพักอยู่ครับ...นี่ผมยื่นใบลาไว้แล้ว ได้พักจริงๆสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ”


“ไม่สบายจะขับรถไหวเหรอคะ ถ้ายังไงให้ฉันพาไปฉีดยาที่โรงพยาบาลแล้วค่อยไปส่งครูบังที่บ้านก็ได้นะคะ”


ครูพละศึกษาเพียงคนเดียวในชั้นมัธยมต้นของโรงเรียนรัฐบาลมีชื่อแห่งหนึ่งในโซลที่เพิ่งหยิบกระเป๋าหนังสีดำที่ฝากน้องชายฝาแฝดสั่งตัดจากร้านทำกระเป๋าในอิตาลีมองหน้าครูสาวหน้าตาสวยโฉบเฉี่ยวผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษพลางเลิกคิ้วสูงก่อนจะยิ้มจนตาหยีอย่างมีไมตรี


ครูผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบเข้าหาเขา ทั้งขอความช่วยเหลือ เข้ามาชวนคุย คอยห่วงใยความเป็นอยู่คอยซื้อหาของมาให้กินสารพัด แต่เมื่อไหร่ที่มีใครชวนเขาไปดื่มหลังเลิกงาน เขาจะปฏิเสธอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเสมอเพราะไม่อยากยุ่งยากกับความวุ่นวายที่จะตามมาในภายหลัง 


...เขาขึงเส้นกั้นความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวและเพื่อนร่วมงานไว้อย่างแน่นหนา แม้เพื่อนสนิทจะเคยแซวให้คบกับคนที่ทำงานเขาก็มักจะให้คำตอบไปว่า ใครจะไปคบกับคนในที่ทำงาน เดี๋ยวชีวิตได้วุ่นวายตายห่า...


“ครูบังไม่ต้องขยันขนาดนี้ก็ได้นะครับ วิชาพละน่ะไม่ใช่วิชาหลักอะไร มาทำใกล้ๆส่งก็ไม่มีใครว่าหรอกครับเพราะยังไงเด็กนักเรียนก็โหวตให้ครูบังได้รางวัลครูดีเด่นอยู่แล้ว” เสียงเข้มจากครูมากวัยกว่าเกือบสิบปีที่นั่งถัดไปอีกโต๊ะเรียกให้คนถูกกระทบกระเทียบที่ยังไม่ตอบอะไรเพียงเดินไปใกล้โต๊ะของครูผู้นั้น


“ไม่เสมอไปหรอกครับ คนเราถ้าขยันทำงานจริงคนอื่นจะเห็นเอง แต่ถ้าขยันออกปากแถมเลียขนหน้าแข้งคนอื่น นอกจากจะไม่อร่อยแล้ว ชีวิตยังไม่เจริญไปไหนเลยก็มีให้เห็นเยอะนะครับ” เขาบอกด้วยเสียงแหบพลางทำตาหยีทั้งที่ริมฝีปากใต้หน้ากากไม่มีกระทั่งรอยแยกทำให้ครูอีกห้าชีวิตกลืนน้ำลายเฮือก


...ทุกคนต่างรู้ ครูบังเป็นคนใจดี คุยสนุก ชอบช่วยเหลือแต่พอเป็นเรื่องงานหรือเรื่องไม่จริงแล้วล่ะก็ครูบังจะเป็นคนจริงจังและตรงไปตรงมาชนิดที่ไม่ว่าใครก็เถียงได้ยาก...


“ตั้งใจทำงานเข้านะครับ...อย่าส่งเกรดคนสุดท้ายเหมือนเทอมก่อน ฝ่ายทะเบียนเขาจะประเมินคะแนนครูคิมต่ำกว่าเดิม และถ้าครูคิมมีเวลาพูดเรื่องไร้ประโยชน์ ก็น่าจะเอาเวลานั้นไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับเด็กนักเรียนจริงๆมากกว่านะครับ” ประโยคหวังดีหลุดจากปาก ตาคมจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ก้มหน้าหลบสายตาอยู่ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มหยันแล้วขยับตัวก้าวพ้นจากห้องพักครูกลับไปยังรถปตัวเองที่จอดอยู่ตรงลานกว้างข้างอาคารเรียน


...พวกเห็บนี่น่ารำคาญ พอเอาจริงเข้าหน่อยก็ไปไม่เป็น...


ปกติแล้วเขามักจะโดนเพื่อนร่วมงานชายเขม่นอยู่บ่อยๆ และเขาก็ไม่ใช่คนประเภทจะยอมให้ใครมากล่าวพาดพิงในสิ่งที่ไม่จริง หลายครั้งเขาจึงมีคะแนนประเมินจากเพื่อนร่วมงานบางคนต่ำกว่าเกณฑ์ หากนั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะยังไงผลงานการวิจัยด้านการศึกษาของเขา รวมไปถึงการสอนที่ทำให้เด็กนักเรียนเครียดน้อยลงมากเป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนมองเห็นทำให้ความเป็นคนตรงของเขาไม่ใช่สิ่งที่ถูกเพ่งเล็ง หรือถ้าถึงตาจนต้องออกจากการเป็นครูเขาก็ไม่เดือดร้อนอะไรเพราะยังไงก็มีงานการกับธุรกิจรองรับอยู่แล้ว


...ที่สอนเพราะสนุกและยังเป็นห่วงอนาคตของชาติ ไม่งั้นคงเลิกสอนเอาเวลาไปนอนนานแล้ว...


ชายหนุ่มสลัดสิ่งรำคาญใจด้วยสตาร์ทรถขับออกไปยังท้องถนนที่ความมืดของค่ำคืนโรยตัวลงมาครอบคลุมทั่วทุกบริเวณของประเทศเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านไปให้อาหารสุนัขสุดที่รักและนอนพักรักษาอาการป่วยที่แทรกเข้ามาเพราะงานหลวงงานราษฎร์พุ่งเข้ามาให้ทำทั้งวี่ทั้งวันจนคนแทบไม่เคยล้มป่วยเกิดป่วยขึ้นมาซะได้


...ดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงพักจากการซ้อม ทำให้เขาในฐานะผู้ช่วยโค้ชไม่ต้องรอกไปทำหน้าที่ แต่จะแย่หน่อยก็ตรงที่แฟนคนล่าสุดเธอเป็นแอร์โฮสเตสและเพิ่งบินไปตุรกี เขาเลยดอดไปหาเพื่อให้เจ้าหล่อนพยาบาลไม่ได้


มาถึงตรงนี้อาการของเขาเหมือนจะหนักลงกว่าสองสามวันแรก มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาได้นอนยาวๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงสะดุ้งตื่นก่อนถึงเวลาที่เด็กเปรตมันจะกลับบ้านเสียทุกที พอตื่นก็นอนไม่หลับจนต้องขับออกไปดูมันขึ้นรถเมล์นั้นแหละถึงกลับมานอนได้อย่างสบายใจ


...เด็กนรกทั้งตัวจริงทั้งในแชทอย่างนั้นทำให้เขาใช้ชีวิตลำบากลำบนไปหมด...


“เกลียดมึงจริงๆ” เขาพึมพำออกมาระหว่างเหยียบคันเร่งพาตัวเองโซเซไปจนถึงบ้าน หลังให้อาหารทิกเกอร์และล้างหน้าล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้ารวมทั้งกินข้าวต้มสำเร็จรูปร้อนๆตามด้วยยาก็เข้านอน ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกในตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังเป็นเวลานาน จนคว้านหาต้นเสียงเจอจึงกดรับสาย


“ยงนัม...ตอนนี้มึงอยู่ไหน” ว่าที่พี่เขยถามผ่านปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนลน


“บ้านสิพี่” 


“บ้านมึงหรือบ้านใคร”


“บ้านผมสิ จะบ้านใครได้ นี่พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“มึงดีขึ้นหรือยังวะ...ถ้าพี่จะให้มึงมาสักให้ลูกค้าที่ร้านแทนจะไหวหรือเปล่า”


“ทำไม...พวกพี่จะไปไหนกัน”


“นาเรเขาบอกพี่ว่าปวดหน่วงๆวะ พี่เลยจะพาไปหาหมอหน่อย แต่พอดีมีลูกค้าต่างชาติคนหนึ่งเขานัดสักไว้ตอนสี่ทุ่ม สักเสร็จจะขึ้นเครื่องกลับสเปนพอดี ถ้ามึงไหวยังไงมาช่วยก่อนได้มั้ย”


“ทำไมพี่ไม่เรียกยงกุกมันมาสักแทน...วันนี้วันธรรมดา มันไม่ต้องอยู่กกเด็กกุหลาบคงว่างมาแทน”


“มึงนี่เป็นแฝดกันยังไงถึงไม่รู้ว่ายงกุกมันไปทำงานที่ญี่ปุ่นยังไม่กลับมาวะ”


“เอ้า ทำไมจะไม่รู้ไม่ได้ ผมเป็นพี่ไม่ใช่เมียเด็กมันนิถึงจะรู้ทุกเรื่อง” 


“เอาล่ะ เอาอีกล่ะนะ...มึงจะแขวะจุนฮงให้ได้อะไรขึ้นมา”


“อะไร้ ไม่ได้แขวะ ผมแค่เปรียบเปรย” เขาตอบแล้วไอหนักออกมา


“ไม่เอาแล้ว ไอขนาดนี้ กูไปหาเพื่อนแทนดีกว่า”


“ไอ้อ้วนมันอยู่ร้านนี่พี่ ลองให้มันสักแทน”


“จะให้จุนซอมันสักแทนได้ไง กูไม่เคยสอนมันสักนะ แล้วมันก็กลัวเข็ม วันก่อนมันเข้ามาเห็นกูฉีดยาชาให้ลูกค้าหน้างี้ซีดเป็นศพ ขืนให้มาสักมันได้ตายพอดี”


“อะไร...ไอ้อ้วนมันกลัวเข็มเหรอ”


“เออ”


“โตเป็นควายแล้วยังจะกลัวอะไรกับเข็ม”


“คนจะกลัวมันก็กลัว อายุเท่าไหร่มันก็กลัวได้ ดูมึงสิ กลัวความรักยังไม่เห็นจะมีใครเขาด่า”


“โห พี่ ผมไม่ได้กลัวความรักนะเว้ย แค่แฟนผมเขาบินไปทำงานที่ตุรกี”


“ก็ขอให้คบนานเกินครึ่งปีมันสักคนเถอะ”


“เอิ่ม สรุปคือพี่จะโทรมาด่าหรือจะโทรให้ไปช่วยกันแน่”


“มึงก็บอกมาแค่ว่าไหวไม่ไหว ไม่ใช่หาเรื่องแขวะคนอื่น”


“แล้วลูกค้าเหลืออีกกี่คน”


“คนเดียว”


“คนเดียว...ถ้าแค่คนเดียวผมไปให้เองก็ได้”


“เฮ้ย ถ้ามึงไม่ไหวนี่บอกกูนะ อย่าฝืน”


“ขอบคุณครับที่เป็นห่วงแต่ผมคิดว่า ถ้าสักคนเดียวน่าจะไหวอยู่”


“อืม...งั้นฝากด้วยล่ะกันพี่ได้พานาเรเขาไปหาหมอก่อน แค่นี้นะ ขอบใจมาก” ชารุบอกลาแล้วกดวางสายอย่างรีบร้อน ปล่อยทิ้งให้คนเป็นน้องไอออกมาโขลกใหญ่อยู่พักหนึ่งก็ลุกจากเตียงไปหน้าล้างหน้าตา


...ไม่ได้เจอไอ้เด็กเวรในร้านหลายวัน ได้ไปด่าแทนพิมพ์ด่าในแชทสักหน่อยคงจะดี...
--------------------------------
เล็บที่ถูกตัดสั้นเป็นอาจิณของลูกจ้างหนุ่มแทบจะกุดเข้าเนื้อเพราะความกังวลทำให้เจ้าตัวเผลอกัดมันอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งตากลมมองเห็นหญิงสาวเจ้าของร้านสักที่ตัวเองแอบรักมานานนั่งหายใจเข้าออกยาวๆพลางกุมท้องด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ โดยที่ตัวเองทำได้แค่หาแอมโมเนียให้ดมและพัดวีได้เท่านั้นก็ใจเสีย จนเหลือบเห็นพี่เจ้าของร้านสักอีกคนเปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมกวักมือเรียกถึงได้พยุงร่างผอมบางบนเก้าอี้พาไปส่งขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่หน้าร้าน


“พี่โอเคมั้ยครับ” คนอ่อนกว่าเป็นสิบๆปีถาม ค่อยๆใช้ทิชชู่ในมือซับหน้าผากซึ่งพราวไปด้วยเหงื่อให้ฝ่ายที่นอนพิงกับเบาะข้างคนขับอย่างห่วงใย


“โอเคอยู่นะ”


“ถ้าพี่ไม่สบายขนาดนี้ก็น่าจะปิดร้านนะครับ”


“ไม่อยากปิดน่ะ...ถ้าปิดก็ว่างเกิน พี่อยู่ว่างๆไม่เป็นหรอก”


“อยู่ว่างๆตอนไม่สบายน่ะไม่เป็นไรหรอกครับหรือถ้าจำเป็นต้องทำอะไร เรียกใช้คนอื่นเอาสิครับ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็จะเรียกใช้ผมทั้งวัน ผมจะไม่บ่นเลย”


“เราเนี่ยเป็นเด็กดีจังเลยนะ” นาเรว่ามองสีหน้าท่าทางขึงขังของฝ่ายตรงข้ามก็หลุดยิ้มอย่างเอ็นดูออกมา


“อย่ามองผมเป็นเด็กซี ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ...จะเรียนจบแล้ว”


“เรียนจบก็ยังเด็กอยู่นะ ว่าแต่เราน่ะถ้าเรียนจบแล้วจะยังทำงานให้ร้านพี่ต่อได้หรือเปล่า”


“ให้ผมทำตลอดไปเลยก็ยังได้”


“ทำขนาดนั้นไม่ได้หรอก...เราต้องหางานหลักทำด้วย”


“งานนี้ก็เป็นงานหลักของผมได้นะ”


“เงินรายชั่วโมงมันไม่เยอะหรอก เราเคยบอกพี่นี่ว่าเราอยากหาเงินเยอะๆให้แม่ได้ใช้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นหางานหลักทำให้ได้แล้วถ้ามีเวลาค่อยมาหาค่าขนมที่ร้านพี่”


“เกาหลีไม่ได้หางานง่ายนะครับ...ถึงยังไงผมก็คงต้องทำงานที่นี่ต่อ ถึงจะหางานหลักได้ก็จะทำต่ออยู่ดี”


“แต่บางทีพี่เขาอาจมีช่วงที่ต้องปิดร้านไปพักยาวๆ เราทำงานพิเศษรายชั่วโมง ถ้าไม่ได้ทำงานหลักจะเคว้งเอาน่ะสิ” ชายเจ้าของร้านสักที่เพิ่งขึ้นรถประจำตำแหน่งคนขับตอบแทน


“พี่นาเรป่วยหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ฝ่ายอ่อนกว่าหน้าซีดถามเสียงอ่อย


“ไม่ได้หนักอะไรหรอก”


“ถ้างั้นทำไมถึงจะปิดร้านล่ะครับ”


“ไว้อีกอาทิตย์สองอาทิตย์พี่จะบอกเหตุผล แต่ตอนนี้พี่ต้องไปโรงพยาบาลก่อน เฝ้าร้านดีๆนะ ถ้ากลับมาทันพี่จะกลับมาแต่ถ้าไม่ทันฝากเราปิดร้านด้วยนะ”


จุนซอพยักหน้ารับแล้วถอยหลังออกมายืนรอจนกระทั่งรถแล่นหายไปจากสายตาก็ถอนหายใจเดินโซเซกลับเข้ามานั่งที่เก่าในร้านและฟุบหน้าลงบนโต๊ะ...ความวิตกกระวนกระวายจากการเห็นเจ้าของร้านสาวปวดท้องจนต้องไปหาหมอกระทันหัน เมื่อรวมเข้ากับการไม่ได้เห็นลุงปากร้ายมาร้านเป็นอาทิตย์แต่เจอแค่ตอนเขารอขึ้นรถกลับบ้านทำให้การรออีกสามชั่วโมงกลายเป็นเรื่องยาก


วันไหนที่ไม่เห็นหน้าลุงปากร้ายเขามักจะรู้สึกโหวงในท้องอยู่หน่อยๆ บางทีเขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอดกินน้ำปั่นฟรีก็เลยรู้สึกท้องว่าง แต่ตอนที่เลิกงานออกไปรอรถประจำทางแล้วเห็นรถของลุงปากร้ายจอดอยู่ที่เก่าก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา หรือแม้แต่การได้ส่งข้อความไปกวนประสาทเพื่อให้ได้รับข้อความด่ายาวเหยียดกลับมาให้อ่านก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา


...ไม่ใช่ความคิดถึงหรอกน่า ก็แค่ชินกับการโดนด่า พอไม่มีเสียงด่าให้ได้ยินขึ้นมาก็เลยรู้สึกแปลกๆเท่านั้นเอง...


...กล้ามปูจะรู้มั้ยว่าพี่นาเรไม่สบาย...


...แล้วถ้าพี่นาเรต้องนอนโรงพยาบาลจะทำยังไงดี...


...พี่ชารุจะป่วยไปด้วยหรือเปล่า... 


...บางทีพี่นาเรกับพี่ชารุก็เหมือนเป็นคนๆเดียวกัน บรรยากาศเวลาที่พี่สองคนเขาอยู่ด้วยกันนั้นดูอบอุ่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ส่งต่อถึงกันก็ดูมีความหมายราวกับมีโลกส่วนตัวระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นมากั้นไม่ให้เขาเข้าถึง


...อา ทำไมกล้ามปูถึงไม่มานะ


...ตอนเที่ยงคืนยังขับรถมารอได้เลยนี่ ทำไมถึงแวะมาที่ร้านไม่ได้ล่ะ


...เกรดเด็กก็ทำเสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงหายไปเป็นอาทิตย์อีกแล้วนะ...


คำถามมากมายปะปนอยู่ในสมองพาลให้คนคิดปวดไปทั้งหัวถึงขนาดที่ไม่สามารถจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอยู่เฉยๆเลยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วขยับหน้าแนบแก้มข้างหนึ่งกับโต๊ะคนละด้านกับประตูเพื่ออ่านข้อความที่ถูกส่งเข้ามา และในตอนที่จะพิมพ์ข้อความแจ้งอาการเจ้าของร้านสาวให้เพื่อนรู้เป็นจังหวะเดียวกับที่ตรงประตูมีเสียงสัญญาณบอกถึงการมาของลูกค้าจึงยกหัวหันกลับไปดูก็เห็นคนคุ้นเคยสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีดำทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้น


ความดีใจทำให้ริมฝีปากของคนเด็กกว่าเกือบจะยิ้มอยู่แล้ว ถ้าไม่ฉุกคิดได้ว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ยิ้มเพราะไม่ได้คิดถึงอีกฝ่ายเลยจะหดยิ้มกลับ ทว่าความยินดีในใจไม่อาจบังคับดวงตากลมทั้งคู่ให้หยุดเต้นระริกเหมือนลูกหมาเจอเจ้าของ


“มองอะไร บ้านมึงไม่มีคนหล่อให้มองเหรอไง” ความแหบแห้งของเนื้อเสียงจากฝ่ายยังไม่สวมหน้ากากอนามัยนั้นทำให้คนฟังรู้ในทันทีว่าป่วยแต่ยังเฉไฉไปเรื่องอื่น


“โอ๊ย อย่าหลงตัวเองดิ...มองเพราะนึกว่าเป็นลูกค้าต่างหาก ละมาร้านนี่รู้เปล่าว่าพี่นาเรไม่สบาย พี่ชารุเลยพาไปหาหมอ”


“มึงนี่ก็ถามแต่อะไรโง่ๆ ถ้าไม่รู้กูจะมาได้ไง” ผู้มาใหม่ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ยาวสำหรับให้ลูกค้านั่งรอพลางมองไปยังเข็มสั้นที่ชี้เลยเลขเก้าไปเล็กน้อย


“โหย ทำไมกล้ามปูเสียงทุเรศขนาดนี้เนี่ย ไม่สบายเหรอ” คนถามมีสีหน้าและแววตาตระหนกกังวล แม้ปากจะเจื้อยแจ้วพูดกวนประสาทก็ตาม


“เสือก” ฝ่ายอายุมากกว่ามองหน้าเด็กที่เขาเติมท้ายว่าเปรตติดปากและตอบสั้นคล้ายไม่สบอารมณ์ ทว่ามุมปากกลับเผลอเหยียดออกเป็นรอยยิ้มพาให้อีกคนหลุดยิ้มจนตาหยีอัตโนมัติ


“ยิ้มไร” 


“ก็กล้ามปูยิ้มอะ”


“เด็กเปรต”


“แค่นี้ทำไมต้องด่าด้วย ไม่เห็นตั้งหลายวันนึกว่าจะหายปากมอมแล้วซะอีก”


“ลามปามล่ะไอ้เหี้ย พูดกับผู้ใหญ่แต่ละ แค่กๆ...” คนแก่กว่าหลุดไอออกมาชุดใหญ่อยู่หลายนาที...ไหล่กว้างหนาห่อเข้าหากันจนหลังงอ พอหยุดไอได้ก็ปิดตาเอนหลังพิงกำแพงเพื่ออัดอากาศหายใจเข้าปอด 


“โหย ไออะไรขนาดนี้ ไหนดูดิตัวร้อนเปล่า” เสียงจากผู้อ่อนกว่าดึงให้อีกคนลืมตาขึ้นมาใหม่ ทันทีที่เห็นหน้าของเด็กกวนประสาทชะโงกมาหาและหันหลังมือทำท่าจะอังหน้าผากก็คว้าข้อมือขาวมาจับไว้แน่น


“เสือกอีกแล้วนะ” 


“โธ่เอ๊ย เราก็แค่จะดูว่าตัวร้อนมั้ยเอง เดี๋ยวเป็นลมแบกไปโรงพยาบาลไม่ไหวนะ แต่ถ้าไม่อยากให้ยุ่ง เราไม่เสือกก็ได้” คนอ่อนกว่าลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่สนใจจะเดินหนีแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยมือหนำซ้ำยังออกแรงรั้งให้หันมาใหม่อีกรอบ


“อะไรเนี่ย ปล่อยดิ”


“ไหนว่าอยากรู้ว่ากูตัวร้อนไม่ร้อนไม่ใช่ไง” น้ำเสียงแหบแห้งบอกพร้อมดึงหลังมือขาววางทาบบนหน้าผากเพื่อสัมผัสความร้อนจัดของผิวเนื้อจนมือสะบัดออกจากการเกาะกุมออกมาได้อัตโนมัติ


“โค้ชนักกีฬาบ้าอะไรป่วยเนี่ย”


“ไอ้ห่า กูก็คน ป่วยเป็น”


“ตัวร้อนขนาดนี้กลับบ้านไปนอนเหอะไป้”


“ไปได้ที่ไหน...กูต้องรอสักให้ลูกค้า”


“เอ้า ยังมีลูกค้าอีกเหรอ ไม่เห็นพี่ชารุบอกเลย ในตารางก็ไม่มี”


“กูจะไปรู้ได้ไง พี่เขาโทรให้กูมากูก็มา”


“ลูกค้าจะมากี่โมง”


“สี่ทุ่ม”


“บอกเขาให้มาวันหลังไม่ได้เหรอ”


“ทำไม่ได้โว้ย ลูกค้าเขาสักเสร็จก็บินกลับ...นี่ถ้าไม่ใช่ว่าพี่กูเขาไปโรงพยาบาลกูคงนอนสบายอยู่บ้านไปแล้ว”


เมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวเจ้าของร้านหน้าของคนอ่อนกว่าก็หม่นลง ตากลมที่เปล่งประกายสดใสเป็นนิจหรี่เล็กเช่นเดียวกับหว่างคิ้วที่บีบตัวเข้าหากันจนยู่ยี่ ด้วยเหตุนั้นทำให้ฝ่ายที่นั่งพิงกำแพงอยู่ถอนหายใจออกมา



“พี่กูเขาไม่เป็นไรหรอกน่า”


“จริงอะ”


“เออ”


“แต่พี่เขาไม่สบายบ่อยมากเลยนะ เมื่อก่อนพี่เขาเป็นแบบนี้หรือเปล่า”


“อาการผู้หญิงก็งี้แหละ”


“พี่เขาปวดท้องเพราะมีประจำเดือนเหรอ”


“มึงจะเข้าใจแบบไหนก็เรื่องของมึงเหอะ”


“แล้วกล้ามปูล่ะ” คนเด็กกว่าย้อนกลับ


“ทำไม”


“เป็นไรมั้ย”


“กูไม่ตายง่ายๆหรอกน่า”


“หาหมอแล้วเหรอ”


“หมอจะมารู้ดีกว่ากูได้ไง”


“กล้ามปูนี่เลอะเทอะใหญ่ละ ไม่ใช่หมอซะหน่อยทำมารู้ดีกว่าได้ไง” 


“เด็กเปรต” ฝ่ายอายุมากกว่าสบถแล้วลุกจากม้านั่งเดินผ่านหน้าคนเป็นเด็กตรงไปทางห้องพักด้านหลัง “กูอยู่ห้องข้างหลัง ลูกค้ามาเมื่อไหร่เรียกด้วย”  


“ได้...กล้ามปูพักไปก่อนเลย เดี๋ยวจะออกไปซื้อยาให้”คนเด็กกว่าตะโกนไล่หลังและมองกระทั่งเห็นร่างสูงหายเข้าไปหลังร้านก็เดินกลับไปตรงเคาน์เตอร์ที่นั่งประจำของตัวเองเพื่อหยิบเงินในกระเป๋าสะพายหลังที่วางซุกใต้โต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงกำหนดที่ลูกค้าจะมาจึงหยิบป้าย กรุณารอสักครู่ไปแขวนหน้าร้านก่อนจะวิ่งตื้อออกไปข้างนอก


ยงนัมหลับตาเอนหลังอยู่บนโซฟาในห้องพักด้วยความรู้สึกคล้ายถูกค้อนทุบอย่างแรงตรงหัว แม้จะกินยาแก้ไข้ชนิดไม่ง่วงโดยให้เพื่อนเป็นเภสัชช่วยจ่ายให้ชั่วคราวเข้าไปก็บรรเทาอาการไม่ได้มาก ช่วงเวลาที่ได้เพียงพักสายตาดำเนินไปหลายสิบนาทีกว่าที่เสียงก็อกแก็กจะเรียกให้เปลือกตาขยับลืมขึ้นถึงเห็นร่างอ้วนกลมใต้เสื้อฮู้ดสีดำกำลังยกชามข้าวต้มกับน้ำชาสีเหลืองอ่อนๆในถ้วยกระเบื้องวางลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา


“อะกินเข้าจะได้กินยา”


“กินยาตอนนี้ พอลูกค้ามากูได้ง่วงตายห่า” 


“งั้นกินข้าวกับจิบน้ำขิงก่อนค่อยกินยาหลังสักเสร็จก็ได้” เจ้าตัวยุ่งตอบกลับขณะใช้เท้าเขี่ยเก้าอี้ไม่มีพนักพิงมาใกล้โซฟาเพื่อใช้นั่ง จากนั้นจึงหยิบเอากระปุกยาสีน้ำเงินฝาเขียวขนาดเล็กกว่าฝ่ามือออกมาเปิดฝายื่นให้ “ละเนี่ยวิคส์ เอามาทาใต้จมูกกับคอแล้วก็พันผ้าไว้ วิธีนี่แม่เคยทำให้ตอนหายใจไม่ออกกับเจ็บคอมากๆ พันไว้สักพักมันจะดีขึ้น”


“อะไรของมึงเนี่ย...คิดว่ากูจะเชื่อวิธีการบ้าบออะไรของมึงหรือไง”


“โห ก็ลองดูก่อนจะเป็นไรไป”


“อยากให้กูลองนักทำไมไม่มาทำให้เองวะ”


“อะไรกัน...กล้ามปูอายุเยอะแล้วนะ แค่ทายาตรงคอกับพันผ้าทับไว้นี่ทำเองไม่ได้เหรอ”


“ไอ้เหี้ยนี่เมื่อไหร่จะหยุดเรียกกล้ามปูกับลุงกับกูสักที กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะ แล้วอย่าคิดว่ากูไม่สบายจะไม่มีแรงโบกหัวมึงหลุดล่ะ หัวมึงก็เท่านี้ตบเบาๆก็หงายแล้ว ” หลังจากต่อปากต่อคำเสียงไอโขลกใหญ่ก็ตามมาอีกระลอก คนอ่อนกว่าเลยเดินไปเปิดดูตู้เก็บของด้านในสุดของห้องแล้วหยิบเอาผ้าพันคอไหมลื่นผืนยาวจากบนชั้นที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครติดมือมา


ชายหนุ่มมากวัยกว่าหรี่ตามองเด็กที่สะบัดผ้าพันคอวางราบบนโต๊ะแล้วม้วนๆพับๆมันอยู่หลายที ถึงลากเก้าอี้มาหาเขาใกล้ๆ พลางบอกให้เขาเงยหน้าก่อนที่เนื้อครีมในกระปุกจะถูกปลายนิ้วป้ายใต้จมูกและรอบต้นคอบางๆ กลิ่นหอมเย็นชื้นจากสมุนไพรหลายชนิดแล่นผ่านจมูกที่ตีบตันให้หายใจสะดวกขึ้น


ตาคมเหลือบต่ำลงมายังเรือนผมสีเข้มมีกลิ่นหอมของยาสระผมที่ขยับขึ้นลงตามมือที่กำลังพันผูกผ้าพันคอ กระทั่งอีกฝ่ายขยับถอยหลังแล้วขำพรืดทันทีที่เห็นผลงาน คิ้วเข้มของเขาก็ขมวดเข้าหากัน


“ขำเหี้ยอะไร”


“ฮิ...เพิ่งรู้ว่ากล้ามปูก็เหมาะกับหูกระต่ายเหมือนกันนะเนี่ย”


“เด็กเวร...เล่นอะไรของมึงอีก” เขาร้องอย่างอ่อนแรงขยับลุกไปส่องกระจกข้างประตู พอเห็นคอตัวเองมีผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลพันรอบคอและผูกด้านหน้าไว้เป็นหูกระต่ายก็หมุนมันไปด้านหลังแล้วหันกลับมาทางเด็กกวนประสาทที่ถือน้ำขิงตามมาหัวเราะอยู่ใกล้ๆ


“โหย ผูกไว้แบบนี้ก็น่ารักดีออก ทำไมต้องด่ากันด้วย ละคำด่าก็มีแต่เด็กเวร เด็กเหี้ย เด็กเปรต วันนี้อุตส่าห์ไปซื้อยาให้ไม่เห็นเรียกเด็กดีบ้างเลย” ประโยคที่ไม่ผ่านการกระบวนการคิดพลั้งผ่านปากออกไปก่อความเงียบให้ทั้งห้องในทันที


เมื่อได้โอกาสคิดทบทวนถึงคำพูดเมื่อครู่ก็รู้สึกแปลกๆ...ยิ่งเห็นหน้าคมดูเฉยเมยตากลมก็กลอกไปมาพลางนึกคำทำลายความเงียบแต่ไม่ทันได้ขยับปากผมกลับถูกมือใหญ่ขยี้จนยุ่งเหยิง


“อย่างมึงเรียกเด็กเปรตก็ถูกแล้ว” เจ้าของเสียงแหบแห้งว่า ยกมือพ้นจากผมนุ่มที่ขยุ้มเมื่อครู่ได้ก็เดินออกไปด้านนอกเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกค้าต่างชาติผมสีทองตาสีฟ้าตัวสูงจะผลักประตูเข้ามาพอดี 


ยงนัมยืนคุยกับลูกค้าเป็นภาษาอังกฤษอยู่ครู่หนึ่งก็เดินนำเข้าไปในห้องสักเพื่อทำงานตามหน้าที่ปกติ...แม้ว่าจะมึนหัวอยู่มาก หากกลิ่นเย็นลึกที่อวลอยู่ใต้จมูกชวนให้หายใจคล่องขึ้นมาก


เสียงเครื่องสักดังก้องภายในห้องสักเรียกให้ลูกจ้างหนุ่มขยับจากหลังเคาน์เตอร์ถือยาพ่นแก้ไอไปเกาะขอบประตูชะเง้อดูอยู่ห่างๆอย่างเป็นห่วง ขณะที่ช่างสักพ่วงตำแหน่งหุ้นส่วนร้านขยับเอี้ยวตัวมาหยิบเครื่องมือตาก็เหลือบเห็นเข้าพอดีปากที่ซ่อนใต้หน้ากากก็เหยียดกว้าง


...เด็กอย่างมึงนี่มันยังไงกันวะ...


เขาพึมพำอย่างอารมณ์ดีมากกว่าจะหงุดหงิด ช่วงเวลาแห่งการทำงานดำเนินไปเกือบสองชั่วโมงแผ่นหลังขาวคร้ามแดดน้อยๆของชายตะวันตกผิวขาวก็เต็มไปด้วยลายเส้นสวยงามของเพอร์ซิอุสวีรบุรุษในตำนานกรีกจับงูพิษที่สงบนิ่งบนศีรษะของเมดูซ่าซึ่งถูกบั้นออกด้วยดาบชูขึ้นอย่างองอาจ


หลังลูกค้ารายสุดท้ายร่ำลาและทิ้งท้ายไว้ว่าจะกลับมาสักด้วยอีกเพราะชอบผลงาน ยงนัมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ที่มีลูกจ้างตัวกลมยืนนับเงินในเครื่องคิดเงินอยู่ พอสั่งไปว่าให้ปลุกตอนเก็บร้านเสร็จก็ฟุบหน้าหลับไปแทบจะทันทีกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เพราะได้กลิ่นนมลอยมาแตะจมูกและเมื่อลืมตาดูก็เห็นหน้าขาวที่มองผ่านๆมีส่วนละม้ายเมียเด็กของน้องชายฝาแฝด ทว่าในยามอยู่ใกล้ๆกลับพบความแตกต่างที่มากกว่าจมูกโด่งเพียงอย่างเดียว


“กลับบ้านกัน” เสียงอ่อนร้องบอก ผมหน้าม้าของคนเด็กกว่าปัดไปด้านข้างตามทิศทางเดียวกับที่หัวเอนซบ ดวงตากลมสีน้ำตาลทอดมาสะท้อนเงาของตัวเขานั้นเต็มไปด้วยความห่วงกังวล


ทั้งที่รู้สึกเวียนหัวจากอาการป่วยจนทุกอย่างดูพร่ามัว น่าแปลกที่เด็กตรงหน้าดูจะค่อยๆชัดเจนขึ้นในสายตา....ความอุ่นอวลอย่างไม่รู้สาเหตุคล้ายถูกเติมลงมาในใจให้รู้สึกอิ่มเต็ม แววตาน่ารักที่วิตกกับอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายพาให้มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมเจ้าตัวยุ่งเบาๆ


“เออ กลับแล้ว”


“กลับยังไง”


“ขับรถสิวะ”


“ขับได้เหรอ แท็กซี่มั้ยจะเรียกให้”


“กูขับมาได้ก็ขับกลับได้”


“แน่ใจ”


“เออ”


“งั้นก็ขับกลับบ้านไปนอนเลยนะ อย่าไถลไปไหน”


“จะให้กูไถลไปไหน แฟนกูยังไม่กลับจากไฟลท์ที่ตุรกีเลย”


“ไม่ได้หมายถึงบ้านแฟนลุงสิ”


“แล้วหมายถึงอะไร”


“ลุงก็รู้อยู่แล้ว ทำเป็นถามไปได้”


“รู้อะไร”


“ลุงเนี่ย น่าเบื่อจริงเลย” เด็กเจ้าปัญหาโวยใส่ขณะดึงตัวเองขึ้นจากการแนบหน้ากับโต๊ะมานั่งเหยียดลงตรงตามปกติทำให้อีกฝ่ายผละจากโต๊ะตามขึ้นมานั่งท่าปกติบ้าง


“มึงก็น่าเบื่อเหมือนกันแหละ...เกลียดเด็กอย่างมึงจริงๆ”


“เกลียดแล้วมาคุยด้วยทำไมอะ”


“สมเพชหรอกถึงคุยด้วย”


“คุณลุงนี่นอกจากจะน่าเบื่อแล้วยังไม่น่ารักอีกต่างหาก”


“น่ารักไปทำไม ในเมื่อกูหล่อมากอยู่แล้ว”


“โว้ย หล่ออะไรกัน กลับดีกว่า ไม่อยากคุยกับคนหลงตัวเอง...ละเอานี่กลับไปกินด้วย ไม่อยากทิ้งเสียดายของ” 


จุนซอร้องพลางพ่นลมหายใจฟึดฟัดอย่างรำคาญ กระแทกถุงที่มีข้าวต้มกล่องกับยาทั้งหลายใส่อยู่ลงโต๊ะก่อนจะฉวยกระเป๋าใต้เคาน์เตอร์มาสะพายไหล่และลุกไปสับแผงไฟที่ห้องด้านหลัง พอล็อกประตูร้านเดินขึ้นบันไดมายังพื้นระดับปกติได้ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเปิดประตูฝั่งคนขับอยู่พอดี


“พี่ชารุโทรมาหาลุงบ้างเปล่า” คนอ่อนกว่าเอ่ยถาม


“ไม่ได้โทร”


“แล้วพี่นาเรล่ะ”


“ไม่”


“ไม่มีใครโทรมาบอกลุงเลยเหรอว่า พี่เขาไปโรงพยาบาลมาเป็นยังไง”


“คงตรวจยังไม่เสร็จ เพราะถ้าเสร็จแล้วเขาไม่ปล่อยมึงมานั่งถามกูหรอก พวกพี่กูเขารักมึงเหมือนลูกซะขนาดนั้น แค่กๆ เดี๋ยวเขาก็บอกในกรุ๊ปแชทเอง”


“รักเหมือนลูกคือไร”


“นี่ก็โง่ไม่สิ้นสุด...พอล่ะ กูกลับดีกว่า”


“จะกลับแล้วเหรอ ขับรถกลับไหวแน่เปล่า ให้ตามรถพยาบาลมารับกลับดีกว่ามะ หรือจะให้เรียกกู้ชีพมาให้แทนดี” ถึงปากจะเอ่ยแซว หากในใจกลับห่วงยิ่งกว่าห่วง


...น่าแปลกที่บางครั้งเขาก็เหมือนจะห่วงลุงปากร้ายตรงหน้ามากกว่าคนที่เขาแอบชอบมาเป็นหลายปีเสียอีก...


“กวนตีน...จะไปไหนก็ไปเลยไป” 


“โห ทำมาเป็นไล่ ถึงไม่ไล่ก็ไปอยู่แล้ว” จุนซอว่าพ่นลมหายใจแรงผ่านจมูกมองแสงไฟหน้ารถยนต์ของคนตัวใหญ่ที่สว่างวาบอยู่ไม่ถึงนาทีก็สะบัดหน้าก้าวเท้าไปยังป้ายรถประจำทางเพื่อกลับบ้านตามปกติ 


เมื่อทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตรงป้ายรถโดยสารประจำทาง ความเคยชินทำให้ตาทอดออกไปยังซอยข้างร้านสะดวกซื้อกระทั่งเห็นรถที่คุ้นเคยแล่นมาจอดยังที่ประจำ ถึงแม้ทุกวันเวลาได้เห็นจะรู้สึกอุ่นใจแปลกๆ ทว่าวันนี้คนเด็กกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายมารอส่งเหมือนเคยเลยเดินขึ้นรถโดยสารประจำทางที่แล่นมาจอดเทียบท่าอยู่พอดี


...กว่ารถจะมาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง แทนที่จะได้นอนมารอกันแบบนี้ ยอมไปต่อรถดีกว่า...


ยงนัมขมวดคิ้วทันทีที่เห็นร่างอ้วนกลมหายไปพร้อมกับรถประจำทางคนละสายกับที่ขึ้นอยู่ประจำ เลยสตาร์ทรถขับตามออกไป โดยมืออีกข้างก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ส่งข้อความ






หลังได้คำตอบตาคมก็ปรายมองไปยังด้านหลังของรถโดยสารประจำทางผ่านกระจกหน้ารถพลางถามตัวเองว่าจะขับรถตามทำไมในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าตัวกวนประสาทเลยหักรถเลี้ยวไปในเส้นทางที่พาตัวเองกลับถึงบ้าน 

 

หากในตอนที่กินยาแล้วล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอนโดยมีทิกเกอร์สุนัขสุดที่รักนอนเบียดอยู่ๆข้าง มือใหญ่กลับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูห้องแชทของเด็กคนเดิมที่ไม่มีข้อความใหม่ใดส่งมา


“สนใจมันทำไม สนใจแค่ตัวเองก็พอ ป่วยจะตายห่าอยู่แล้ว” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง พยายามข่มตาหลับด้วยความกระวนกระวายอยู่พักหนึ่งยาแก้ไข้ถึงได้ออกฤทธิ์พาให้หลับสนิทลงได้เสียที
---------------------------------------------------------------------------
“ตายแล้วเหรอวะ” เสียงแหบลึกละม้ายคล้ายเสียงของตนเองยามปกติปลุกให้คนที่นอนซมรู้สึกตัวตื่นและเมื่อเปลือกตาขยับลืมขึ้นได้ถึงเห็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกันเพียงแค่ฝ่ายนั้นมีรายละเอียดบางส่วนที่ดูคมกว่าสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ขายาวขาดๆนั่งไขว้ห้างกระดิกเท้าอยู่ข้างเตียง ส่วนทิกเกอร์กลับลงไปซุกตัวนอนอยู่บนเบาะประจำตรงพื้น


“มาทำเหี้ยอะไร” ประโยคที่โพล่งผ่านปากแม้จะแห้งแต่ก็ดีกว่าเมื่อวานมาก


การได้นอนพักผ่อนโดยไม่มีงานการทำตั้งแต่เมื่อวาน นอกจากลุกมากินข้าวกินยา อ่านข้อความที่บอกว่า พี่สาวไม่เป็นอะไรแค่พักผ่อนน้อยกับตอบข้อความจากเด็กกวนประสาทคนเดิมทำให้อาการปวดหัวและเจ็บคอทุเลาแต่ยังไม่มากพอจะหายเป็นปกติ 


“งั้นกูกลับ” คนตรงเก้าอี้ผุดลุกจากเก้าอี้หันหลังเตรียมตัวกลับตามปาก


“ไอ้เวร...นี่กูพี่มึงนะ ทำไมต้องกวนตีนกับพี่มึงขนาดนี้”


“ห่างกันไม่กี่นาทีเอง”


“ยังไงกูก็เกิดก่อนล่ะวะ”


“ดีเนาะ มีแรงปากหมาแต่เสือกไม่มีแรงรับโทรศัพท์...นี่ถ้าไม่ใช่แม่โทรไปตามกูให้มาดูมึงเพราะมึงไม่รับโทรศัพท์เลยกลัวมึงตาย กูคงไม่มาให้มึงด่าอยู่ตรงนี้หรอก”


“เหี้ย...ใจคอมึงจะเป็นห่วงพี่มึงหน่อยไม่ได้เลย ชีวิตนี้จะห่วงแค่เมียเด็กตัวเองหรือไง”


“พาดพิงอย่างนี้คงอยากโดนกูกระทืบมากกว่าป่วยตายสินะ”


“พูดถึงหน่อยเดียวทำเป็นไม่พอใจเชียวนะมึง”


“ไม่หน่อยล่ะ...พูดถึงบ่อยเหมือนเป็นโรคประสาท ถ้าอิจฉามากก็หาเมียจริงๆให้ได้สักคนเถอะไป้”


“กูอิจฉาเหี้ยอะไร คบเด็กผู้ชายไม่มีนมไม่มีตูดไม่มีเหี้ยอะไรให้จับนอกจาก...นั้นแหละ มีตรงไหนให้พิศวาส”


“มึงก็คิดอยู่แค่เนี่ยถึงมีเมียไม่ได้สักที”


“โถะ...ใครว่ากูหาไม่ได้ แฟนคนล่าสุดเป็นแอร์ฯนะเว้ย ทั้งหน้า ทั้งหุ่น ทั้งนิสัยสวยสมความเป็นนางฟ้า”


“แอร์ฯสายการบินเอมิเรตส์คนที่มึงส่งรูปมาให้ดูนั้นน่ะนะ...กูบอกได้เลย อีกสองอาทิตย์เลิก”


“รู้ได้ไงว่ากูจะเลิก”


“มึงไม่เลิกเขาก็เลิก”


“อย่าเดาส่งๆ น่า”


“ไม่ต้องเดากูก็รู้ เห็นๆกันอยู่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง” 


“ถ้ามึงจะมาถากถางหรือแค่มาดูว่ากูตายหรือยังนี่ กลับไปเลย กูจะได้นอน แล้วบอกไว้ก่อนนะว่าคนอย่างกูจะไม่ยอมตายตามแรงแช่งใครโดยเฉพาะแรงแช่งของไอ้เด็กกุหลาบแน่ๆ” แฝดผู้พี่ว่าพลิกตัวหันหลังพลางดึงผ้าห่มมาปิดถึงคอ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้เลยใช้มือคว้านหาโทรศัพท์ที่ตอนตื่นมากินยารอบแรกเมื่อเช้าเขาหยิบมาวางข้างหมอนเพราะตั้งใจจะตอบข้อความที่เด็กเปรตส่งมาแต่ไม่ทันได้ตอบก็หลับไปเสียก่อน


...หายไปไหนวะ...


“หาอะไรอยู่...ใช่ไอ้นี่หรือเปล่า” คำถามจากด้านหลังพาให้คนป่วยเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่ในมือน้องชายฝาแฝดเป็นที่เรียบร้อย


“เอาไปทำเหี้ยไรเนี่ย”


“กูเห็นมึงกำโทรศัพท์หลับอยู่...กูเลยว่าระหว่างที่กูต้องสงเคราะห์ด้วยการดูแลมึงอยู่นี่ กูจะยึดไว้ก่อนจะได้ไม่ห่วงเล่นโทรศัพท์จนอดนอน เดี๋ยวเป็นนานเกินวันศุกร์กูต้องให้เบบี้โรสมาอยู่นี่ ไม่อยากให้เส้นความอิจฉามึงกระตุกจนเส้นเลือดในสมองมึงแตกน่ะ” 


“น้องเหี้ย”


“แต่ถ้ามึงมีธุระอะไรสำคัญต้องใช้โทรศัพท์ก็บอกเหตุผลกูมาแล้วจะคืนให้”


“มือถือนั่นมันของกูมั้ย สามัญสำนึกพื้นฐานของคนมีอารยะเขาต้องรู้แล้วมั้ยว่าไม่ควรอ้างสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของในสิ่งของของคนอื่น ละทำไมกูต้องบอกเหตุผลที่กูต้องได้โทรศัพท์ของกูคืนด้วยวะ” 


“ปากดีนักนะมึง...ไว้พรุ่งนี้กูค่อยคืนแล้วกัน”


“ไอ้เหี้ย มึงจะยึดโทรศัพท์กูแต่หัววันงี้เลยเหรอ เกิดเมียกูโทรมาทำไง”


“ถ้าโทรมากูจะบอกให้เองว่า มึงไม่สบาย”


“คนอื่นที่ไม่ใช่เมียกูอาจจะโทรมาก็ได้”


“เพื่อนมึงเขารู้กันหมดว่ามึงไม่สบาย เห็นแม่บอกว่ามึงโทรไปขอที่ทำงานลาป่วยไว้แล้ว คงไม่มีใครเขาบ้าโทรหามึงเรื่องงานตอนห้าทุ่มครึ่งหรอกมั้ง หรือถ้ามีจริงๆกูจะบอกให้เองว่ามึงไม่สะดวกให้ฝากเรื่องไว้” เพียงรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไรหลุดจากปากน้องฝาแฝดถึงกับทำให้คนป่วยลุกพรวดขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงทันที


“ห่าเอ๊ย”


“อะไร”


“กูมีบางอย่างต้องออกไปทำ”


“ออกไปข้างนอกน่ะนะ...ออกไปไหน”


“ไม่ต้องเสือกสักเรื่องน่า”


“ต้องเสือกเพราะถ้ามึงออกจากบ้านแล้วเป็นไข้หนักกลับมาอีก กูต้องเอาเบบี้โรสมาอยู่นี่ และกูเพิ่งเตือนมึงไปเองนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ากูต้องเอาเบบี้โรสมา”


“สัตว์เอ๊ย”


“มีไรด่วนมากก็บอก เดี๋ยวกูออกไปทำให้...หน้ากูก็เหมือนมึง ไปแทนให้ คนอื่นเขาไม่รู้กันหรอก” น้องชายฝาแฝดยื่นข้อเสนอหน้าตายแกล้งไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งที่ก่อนหน้าได้อ่านข้อความโต้ตอบระหว่างพี่ชายอายุมากกว่าไม่กี่นาทีกับเด็กในร้านที่พี่สาวจ้างมาในห้องแชทตั้งแต่ข้อความแรกยันข้อความสุดท้าย


...ได้ยินจากพี่ชารุกับพี่นาเรว่า ยงนัมทำท่าเหมือนเกลียดเด็กในร้านแต่เอาเข้าจริงกลับห่วงยิ่งกว่าอะไรดี...


...ก็คงห่วง เพราะถ้าไม่ห่วงคงไม่ขับรถออกไปรอส่งจนเด็กมันถึงขนาดเปรยมาในแชท...


...ด่าเหี้ยเกือบทุกวินาทีแต่ความรู้สึกที่มีมันไม่ใช่เลย...


ช่างแม่งเหอะ” แฝดผู้พี่ตอบกลับทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก่อนจะล้มตัวลงนอนดังเก่า แม้ในใจจะรู้สึกกระวนกระวายแถมในหัวสมองก่อนหน้าจะรู้เวลาเริ่มโล่งอยู่ดีๆตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนมีของหนักกลับมาทับจนปวดหน่วงไปหมด


“ไม่ด่วนแล้วเหรอวะ”


“หุบปากแล้วเอายามาให้กูแทนเหอะ” คนป่วยหลุดตวาดออกไปสุดเสียง...ความหงุดหงิดทำให้ลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้าตนเองไม่สบายหนักเพียงใด


พลันบรรยากาศแห่งความเงียบงันระหว่างสองพี่น้องก็ดำเนินขึ้น ยงกุกกอดอกมองหน้าพี่ชายฝาแฝดของตนเอง เพราะถ้าไม่นับเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามเคยหัวเสียหนักตอนเขาพาเบบี้โรสมาแนะนำกับแม่ที่บ้านแล้ว ก็ไม่เคยถูกพี่แฝดโมโหตะคอกรุนแรงใส่ต่อให้ถูกเขากวนตีนหนักขนาดไหนก็ตาม


...มันฟอร์มไม่ยอมออกไปส่งเลยมาพาลหงุดหงิดเอากับเขาเนี่ยนะ...


...ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ


“จะเอายาใช่มั้ย รอแป้บนึง” แฝดผู้น้องบอกแล้วหันกลับไปหยิบยาที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงานพยายามกลั้นขำแทบตายอยู่หลายนาทีถึงยอมเอาน้ำขวดใหม่กับถุงยามาส่งให้


ยงนัมเปิดถุงยาที่เพื่อนเภสัชจัดมาให้ยัดใส่ปากแล้วเอี้ยวตัวไปเปิดลิ้นชักหยิบยานอนหลับแผงหนึ่งซึ่งเคยใช้กินและเหลืออยู่อีกไม่กี่เม็ดกลืนลงคอไปทั้งหมด จากนั้นจึงทาวิกส์รอบคอและใต้จมูกถึงล้มตัวลงนอนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวร้อนเพราะอะไร เนื่องจากในความคิดมีแต่เรื่องของเด็กที่ตัวเองเกลียดวนเวียนเต็มไปหมด


...ยิ่งโง่ๆอยู่ด้วยเกิดเผลอหลับจนไม่มีรถกลับหรือโดนไถเงินขึ้นมาจะทำยังไง...


...โธ่เว้ยไอ้เด็กเหี้ย เคยรู้บ้างไหมว่ากูวุ่นวายเพราะมึงไม่เดินไปรอรถอีกป้ายตามที่กูเคยบอกขนาดไหน...


ยงกุกมองร่างใหญ่ใต้ผ้าห่มที่ตะแคงนอนไปอีกด้านอยู่ครู่หนึ่งด้วยมุมปากที่ยกขึ้นสูงทั้งตลกทั้งสงสารในการกระทำไม่ตรงกับใจของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบๆว่า 


“หงุดหงิดอะไรนักหนา...หงุดหงิดขนาดนี้นี่อยากให้กูโทรไปตามใครให้มาหามั้ย” สิ้นคำถามนั้นก็มีเสียงแห้งสวนกลับมาอย่างไว


“เสือก”


“เออ กูไม่เสือกแล้วก็ได้ นอนพักไป้” ฝาแฝดบอกพยายามทำเสียงเป็นปกติแม้จะไหล่จะสั่นจากการกลั้นหัวเราะ จากนั้นจึงปิดไฟเดินออกจากห้องแต่ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ที่ยึดไว้ออกมากดส่งข้อความไปหาพี่สาวให้ช่วยถามลูกจ้างในร้านที่พี่ชายฝาแฝดดูจะเป็นห่วงเหลือเกินว่าถึงบ้านหรือยัง ทิ้งให้เจ้าของห้องนอนอารมณ์เสียอยู่นานกว่าที่ฤทธิ์ยาจะพาสติหายไปโดยเขาไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า เด็กกวนประสาทซึ่งเขาเรียกด่าว่าเด็กเปรตเป็นประจำยืนชะเง้อคอรอหารถยนต์ของเขาตรงข้างมินิมาร์ท


จุนซอรู้สึกใจคอไม่ดีตั้งแต่ไม่เห็นหุ้นส่วนร้านปากร้ายมาปรากฏตัวแถมไม่ยอมส่งข้อความอะไรตอบกลับมาเลยตั้งแต่บ่าย ครั้นพอถามกับพี่ชารุซึ่งวันนี้มาเป็นช่างสักเพียงคนเดียวก็ได้คำตอบเพียงว่า มันลางานนอนพักอยู่บ้านคนเดียว ก็นึกเป็นห่วงถึงขนาดจะกดโทรไปหาแต่พอคิดได้ว่า อีกฝ่ายอาจจะนอนเลยตัดใจไม่โทรหาเพราะคิดว่าคงจะได้เห็นรถมาจอดรอส่งเขาขึ้นรถเหมือนเคย 


...ก่อนหน้านี้พี่นาเรส่งข้อความมาหา ถามเขาว่ากลับถึงบ้านหรือยัง...


...ทั้งที่เขาควรจะดีใจที่ได้รับความห่วงใยจากผู้หญิงที่ตัวเองแอบชอบมานานแต่ทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจเอาเสียเลย...


เขารออยู่จนกระทั่งรถโดยสารประจำทางสายที่ตนเองรอคันสุดท้ายผ่านหน้าไป กว่าจะรู้ตัวก้มมองนาฬิกาอีกทีก็ถึงกับถอนหายใจ หากลมร้อนที่พ่นผ่านออกมาหาใช่มาจากการตกรถแต่เกิดจากความไม่สบายใจที่ไม่เห็นคนที่เคยมาจอดรถรอปรากฏตัว


...เป็นอะไรหนักมั้ยนะ...


...โทรไปหาจะดีหรือเปล่า...


...แต่ส่งข้อความไปอ่านแล้วยังไม่ตอบกลับมาเลยนี่...


...อาจจะหลับอยู่จริงๆนั้นแหละ...


ความคิดมากมายปะปนมั่วอยู่ในหัวจนไม่เป็นอันคิดถึงวิธีเดินทางกลับให้ถึงบ้าน พอได้ยินเสียงบีบแตรใกล้ๆเลยได้สติหันไปทางต้นเสียงถึงได้เห็นบิ๊กไบค์คันงามจอดอยู่ตรงหน้าพร้อมคนขับตัวสูงใหญ่ที่กำลังดันหน้ากากกระจกตรงส่วนด้านหน้าของหมวกกันน็อกขึ้น


“มืดแล้วทำไมยังไม่ขึ้นรถกลับบ้านอีกวะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเหมือนไม่คิดว่าจะยังเห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน


“ยัง”


“รถเมล์สายที่มึงขึ้นมันหมดแล้วนะเว้ย”


“เอ้า...” เจ้าตัวอุทานยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะพ่นลมหายใจแรงออกมา “โอ๊ย ตีหนึ่งครึ่งแล้วเหรอเนี่ย เวรเอ๊ย จะกลับยังไงล่ะทีนี้ นั่งแท็กซี่จากนี้กลับแพงตายห่า”


“เรียกแท็กซี่กลับตอนนี้กว่าจะถึงบ้าน แม่มึงได้ด่าตาย”


“ถ้ากลับไปแบบไม่ปลุกคนทั้งบ้านกูไม่โดนด่าหรอก แต่กูกลัวไม่มีค่าแท็กซี่ต้องย่องไปหยิบเงินในห้องแม่ ถ้าแม่ตื่นกูตายแน่นอน ถ้าไงกู...” ฝ่ายที่ยืนบนฟุตบาทว่าพลางเหลือบตามองมายังเพื่อนที่ยังคร่อมบิ๊กไบค์อยู่


“ไม่ต้องมามองกูเลย...รอบก่อนมึงยืมไปกว่าจะคืน”


“แค่สองอาทิตย์เองทำบ่น กูยืมเงินมึงมาซื้อของทำพรอบโปรเจคจบ ไม่ได้ยืมไปเที่ยวเล่นเหมือนคนอื่นเขานะว้อย” 


“โห พูดแค่นี้ทำหัวร้อน เอางี้ คืนนี้มึงไปนอนห้องกูล่ะกัน เดี๋ยวกูโทรไปบอกแม่มึงให้”


“นอนห้องมึงอะเหรอ ไม่เอาหรอก”


“อะไรของมึงวะ ทีไปนั่งติว นั่งทำรายงานเสือกไปได้ พอให้มานอนค้างหน่อยล่ะเรื่องเยอะขึ้นมาเลย”


“กูไม่อยากนอนอะ”


“ทำไม”


“ก็...วันนั้นที่มึงชวนกูไปนอนบ้านอะ ไอ้ซอกฮวีมันมีไรกะสาวอยู่ตรงโซฟา ไม่รู้ว่าซอกฮวีมันรู้มั้ยแต่พักหลังๆนี้มันไม่ค่อยคุยกับกู กูคิดว่ามันอาจจะเห็นก็เลยโกรธแต่ไม่พูดเลยไม่อยากไป”


“อ้าว มึงเห็นเหรอ”


“เออ”


“เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ตั้งแต่วันที่มึงบอกให้กูไปค้างครั้งแรกนั้นแหละ”


“เรื่องแค่นี้เอง”


“แค่นี้ที่ไหนวะ”


“คนอย่างซอกฮวีมึงก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่า มันขี้อวดจะตาย มึงบอกมันว่าเห็นมันมีอะไรกะสาวบนโซฟา มันจะพูดอวดใส่สิไม่ว่า”


“แต่หมู่นี่มันไม่ค่อยกับกูนี่หว่า”


“โห ตัวใหญ่ ยังมีหน้ามาบอกคนอื่นไม่คุยด้วย มึงต่างหากที่ไม่ว่างมาให้พวกกูคุย ทำโปรเจคเสร็จก็มาทำงาน ชวนไปไหนก็ไม่ไปบอกแต่สงสารพี่นาเรต้องไปช่วยก่อน”


“ก็พี่เขาไม่สบายนี่หว่า เมื่อวานพี่ชารุต้องขับรถพาไปโรงพยาบาลกะทันหันเลยนะ”


“ไม่สบายเป็นอะไร”


“ไม่รู้ ถามแล้วพี่เขาไม่บอก”


“เอาเหอะ...เรื่องนั้นไว้ก่อน ตกลงมึงจะมานอนห้องกูมั้ย จะได้โทรไปบอกแม่มึงไว้”


“ถ้ามึงไม่ให้ยืมตังค์จะให้กูเดินกลับแทนแท็กซี่คงไม่ไหว คืนนี้ไปนอนห้องมึงก็ได้แต่โทรหาแม่กูให้ด้วย ใช้เสียงนุ่มๆแบบที่มึงใช้คุยกับสาวนะ แม่กูเขาบอกว่าเสียงมึงเหมือนพระเอกหนัง เขาชอบ เขาจะได้ไม่ด่ากูเอา” หลังจากอิดออดอยู่นานสุดท้ายก็ยอมซ้อนท้ายบิ๊กไบค์คันใหญ่ไปยังห้องของเพื่อนแทน


บานประตูเปิดออกเผยความมืดภายในห้องให้ผู้มาเยือนได้เห็นก่อนที่แสงจากหลอดไฟบนเพดานจะเปิดสว่างพอให้เห็นห้องชุดกว้างพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบครันซึ่งปกติเวลาจุนซอมานั่งสุมหัวคิดงานที่นี่ ในห้องมักจะเต็มด้วยบรรดาเพื่อนนอนเล่นระเกะระกะแถมยังโยนหน้าที่ทำรามยอนให้ทุกคนกินมาให้เขา


...พวกมันก็อยากกินอะไรอื่นเหมือนกัน เพียงแต่เขาทำอาหารอะไรไม่เป็นเลยนอกจากต้มบะหมี่สำเร็จรูป...


“แจจุนกับซอกฮวีมันไม่อยู่เหรอ”


“เออ ออกไปนอนบ้านแฟน” จงฮวานว่าขณะหยิบรองเท้าของเพื่อนที่ถอดทิ้งอยู่หน้าประตูวางบนชั้นให้


“แล้วมึงล่ะ...ทำไมไม่นอนบ้านแฟน”


“แฟนเฟินอะไร กูมีที่ไหนกัน”


“เอ้า เห็นแจจุนมันบอกในกรุ๊ปว่ามึงไม่ค่อยอยู่บ้าน นึกว่าไปอยู่กับแฟนซะอีก”


“มึงนี่ก็นะ...เดาไปเรื่อย กูแค่ไปทำงานเลยไม่ค่อยกลับบ้าน”


“ไปทำงาน ไอ้งานประจำที่มึงเคยบอกใช่มั้ย...ที่ว่าเป็นกราฟฟิคให้บริษัทของเล่น”


“ใช่”


“ดีเนาะ ได้งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ”


“แต่กูว่าจะลองสมัครงานอื่น”


“ทำไมอะ งานไม่ดีเหรอ”


“ดี...แต่กูไม่ใช่คนละเอียดอ่อนน่ะ ทำงานเกี่ยวกับเด็กมันต้องหาข้อมูลเยอะมาก แล้วกูก็เป็นพวกสายบู๊ลุยงานหนักๆ มาทำงานแบบนี้มันไม่ใช่ตัวกูเท่าไหร่ กูเลยไปคุยกับเจ้าของเขามา เขาก็ดีนะบอกให้กูหาสิ่งที่ชอบทำแล้วถ้ามีงานไหนน่าสนใจจะติดต่อมา ให้กูรับทำเป็นโปรเจคๆไป”


“โหย เจ้าของดีจัง”


“ถ้ามึงอยากไปทำ กูแนะนำมึงให้พี่เขาได้นะ”


“โอ๊ย ไม่เอาหรอก ให้คนอื่นฝากงานไม่เอา กูสมัครเองดีกว่า เดี๋ยวทำงานเขาเสียมึงจะซวยไปด้วย” คนตัวเล็กกว่าว่าส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธรุนแรง


“กล้าพูดนะ ไอ้งานที่ผ่านมาไม่ใช่กูหาให้เหรอ งานที่ร้านสักนั่นก็ด้วย”


“งานพาร์ทไทม์ไม่เหมือนงานประจำนะ”


“มึงจะกลัวทำไม เก่งออกขนาดนี้”


“เก่งห่าอะไร...นี่กูเกือบแก้ทีสิสไม่ทันส่งแสดงผลงานเชียวนะเว้ย”


“แต่ก็ผ่านมาได้นิ”


“ถึงไงก็ไม่เก่งเท่ามึงหรอก แก้นิดเดียวเอง”


“มึงนี่ขี้บ่นจัง” เจ้าของห้องบอกพลางลูบหัวเพื่อนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “ไป...มึงไปอาบน้ำเหอะ เหนื่อยมาทั้งวันจะได้รีบนอน”


“จะให้นอนไหน...โซฟาได้มะ”


“นอนโซฟาทำไม...ไปนอนห้องกูสิไป แล้วถ้าจะอาบน้ำเอาเสื้อจากในตู้กูมาใส่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูล้างจานตามเวรเสร็จค่อยตามไป”


“เออ” คนเป็นเพื่อนรับคำเดินไปยังห้องนอนของเพื่อนอย่างคุ้นเคย ปล่อยเจ้าของห้องให้จัดการกับชามกองโตที่เพื่อนซี้สมัยมัธยมพ่วงตำแหน่งรูมเมททำทิ้งไว้ให้ 


จงฮวานใช้เวลาจัดการจานชามทั้งหมดเกือบยี่สิบนาทีถึงมีเวลาเดินกลับห้องไปหยิบเสื้อผ้ามาอาบน้ำ แค่เปิดประตูเข้าไปเห็นเพื่อนรักตั้งแต่เด็กสวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นสีดำของเขายืนเปิดหนังสือภาพงานกราฟฟิกตรงชั้นไม้ที่เขาซื้อมาช่วงไปเที่ยวลอนดอนกับครอบครัวก็รู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นที่รุนแรงของหัวใจ


มันก็นานมากแล้วที่เขาสองคนไม่ได้นอนด้วยกัน เพราะพ่อส่งเขาไปเรียนพิเศษเยอะเสียจนกลับมืดทุกวัน ตอนนั้นจุนซอออกจะตัวสูงกว่าเขาซ้ำแต่มาตอนนี้ตัวของเพื่อนรักยามไม่มีเสื้อหลายชั้นสวมทับกลับผอมบางจนเขาเริ่มกลัวแล้วว่า เหล็กที่ดามขาไว้เพราะมอเตอร์ไซด์ล้มนั้นจะทะลุออกมา


“เฮ้ยมึง กูขอยืมหนังสือเล่มนี้หน่อยดิ” ฝ่ายถูกมองอยู่พักหนึ่งหันมาถามและด้วยผิวที่ขาวจัดตามกรรมพันธุ์ยามถูกแสงไฟส่องทำให้หน้านวลกระจ่าง ยิ่งตากลมมองตรงมายังเขาอย่างคาดหวังก็เหมือนมีระเบิดหย่อนลงมาในใจตูมใหญ่


“จะยืมก็ยืมไปดิ” เขาตอบกลับรีบหยิบเสื้อผ้าในตู้ออกมาจากนั้นก็ออกไปอาบน้ำโดยหวังว่าน้ำจะช่วยสงบจิตใจ


ทว่าสายน้ำเย็นฉ่ำไม่อาจดับความรู้สึกร้อนวูบวาบของตัวเองลง จงฮวานยังคงสัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อที่สูบฉีดอย่างแรงและหัวใจที่เต้นเร็วไม่เป็นปกติเหมือนเวลาได้ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ เพียงแค่ครั้งนี้มันออกจะรุนแรงเสียจนเขาคิดสงสัยว่า หัวใจสามารถฉีกขาดจากการแอบรักใครสักคนอย่างมากได้หรือเปล่า


ถึงปกติจุนซอจะมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาในระดับทีหลายครั้งเขาอยากสารภาพความในใจเพื่อข้ามความสัมพันธ์ไปยังจุดที่นอกเหนือกว่าเพื่อน กระนั้นสังคมของประเทศนี้ไม่มีใครยอมรับความรักชอบของเพศเดียวกันทำให้เขากลัวว่าจะถ้าอีกฝ่ายรู้เข้าจะรังเกียจเขาจนมองหน้ากันไม่ติด


...เขากลัวเสียจุนซอไปมากกว่าความอยากครอบครองซะอีก...


เจ้าของห้องกลับเข้ามาในห้องอีกทีก็เห็นทั้งห้องยังเปิดไฟอยู่มีก็แต่คนมาอาศัยที่นอนตะแคงหลับปุ๋ยอยู่ใต้ผ้านวมสีน้ำตาลบนเตียง เมื่อจัดการบำรุงหน้าเรียบร้อยถึงเดินไปมองร่างผอมบนเตียงใกล้ๆ แพขนตาหนาตรงเปลือกตาที่ปิดสนิทกับแก้มนุ่มขาวนั้นดูน่ารักมากจนเขาอดไม่ได้ที่จะจิ้มนิ้วลงบนปลายจมูกเบาๆ


“กล้ามปู...กินยาด้วยนะ” คำละเมอเสียงอ่อนอย่างห่วงใยนั้นทำให้คนได้ยินเข้าชะงักชักมือกลับและเมื่อคิดทบทวนถึงบทสนทนาก่อนหน้าขึ้นมา คนตัวใหญ่ก็เบือนหน้าหันออกไปทางหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


...ไหนว่าเกลียดขี้หน้ากันแล้วทำไมถึงนอนละเมอเรียกออกมาได้...


----------------------------------แวะคุยกันก่อน----------------------------
ขออนุญาติตัดตอน มาเม้นให้เราก่อนได้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน พรุ่งนี้เขียนต่อ 55555555555555555

 




You Might Also Like

2 Comments

  1. ปากแข็งไม่มีใครเกินปากไม่ตรงกับใจก็ไม่มีใครเกินก็ยงนัมนี่แหละคงกลัวเสียฟอร์มมากๆ จิกกัดกันยุตลอดเวลาทั้งที่เจอหน้าและไม่เจอหน้าไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ ความแฝดคุณอารู้อาการได้เลยนะแบบไม่ต้องสืบมากว่ากล้ามปูหงุดหงิดอะไรชอบตอนที่ยึดโทรศัพท์ มีความไม่ยอม แต่ก็บอกเหตุผลอีกฝ่ายไม่ได้ประมาณว่า ไม่ได้ไม่ได้จะให้แฝดรู้ไม่ได้555555 ไม่รุ้จะสงสารรึอะไรดี คงอัดอั้นตันใจน่าดู หงุดหงิดห่วงอ้วนน้อยแทบตายแต่จะแสดงออกให้แฝดตัวเองเห็นไม่ได้ กลัวเสียฟอร์มอ้วนน้อยก็ใช่ย่อย โอ๊ยยยยรัีบๆรู้ตัวเองกันสักที อยากรู้จะหวานสู้คุณอากับยัยกุหลาบได้มั้ยน้าาาาาา

    ตอบลบ
  2. โห้ยยยยย ไม่น่าเปงคูมคูเลยอ่ะกล้ามปู น่าเปงนักเลง อย่ามีปัญหากะเพื่อนร่วมงานเซ่ แล้วเนี้ยคนเรา พอไม่เจอก็คิดถึง พอไม่คุยก็คิดถึง แต่ปากละบอกว่าเกียดงั้นเกลียดงี้ รำคาญน้องนู้นนี่ ไม่ได้เรื่องเลยกล้ามปูนี่น้าาาา ป่วยแทบตายแต่ก็อยากไปส่งน้อง เป็นห่วงน้องงี้ แต่พอไปไม่ได้ก็พาลหงุดหงิดทุกสิ่งอย่าง ปากกล้ามปูกะก้อนหินอะไรหนักกว่ากันเนี้ย คนน้องก็ดีค่ะ หนูน่ารักค่ะ ลุงมันไม่น่ารักก็ด่าไปเลยค่ะไม่ต้องสนว่าแก่กว่า ยังไงต่อไปก็ทาสหนูอยู่ดี ทุกคนก็รู้สึกกันหมดละเหลือแต่สองคนนี้อ่ะเมื่อไหร่จะรู้สึกตัวสักทีคะ

    ตอบลบ