LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 5

08:13





ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด


เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือเรียกให้คนตัวผอมที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงรู้สึกตัวตื่นพลางคลำหาโทรศัพท์มือถืออย่างงัวเงียเพื่อจะปิดเสียงและนอนต่อแต่หาไม่เจอเสียที สุดท้ายเลยจำใจลุกจากเตียงสะบัดผ้าห่มแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนเตียงมาโทรหาแม่เพื่อส่งเสียงบ่นยาวเหยียดเหมือนได้รับศีลรับพรจากบุพพาการีแต่เช้า จากนั้นจึงเดินออกจากห้องพร้อมกับไถนิ้วบนจอกดเข้าโปรแกรมแชทไล่หาข้อความของลุงปากร้ายแต่ไม่มีอะไรตอบกลับก็ชักกังวล


...ไปไหนอะ...


จุนซอย่นหน้าผากกำโทรศัพท์มือถือไว้ในมือพร้อมหอบเสื้อผ้าชุดเดิมตรงไปยังห้องน้ำ หลังจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เดินต่อมายังโซฟา เมื่อเห็นเพื่อนซี้นอนตะแคงหลับสนิทอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นบนเตียงก็นึกแปลกใจด้วยตอนแรกไม่ทันได้สังเกตว่า นอนอยู่คนเดียวเลยเขย่าปลุกเพื่อนยกใหญ่


“ทำไมมานอนตรงนี้วะ”


“หื้อ”  จงฮวาส่งเสียงในคอค่อยๆลืมตาพยายามปรับตาให้สู้แสงที่สาดผ่านผ้าม่านสีขาวในห้องนั่งเล่นถึงได้เห็นหน้าขาวของเพื่อนชะโงกมองห่างออกไปไม่กี่สิบเซนติเมตร


“ทำไมไม่ไปนอนที่เตียง นอนบนโซฟาแบบนี้ไม่ปวดหลังเหรอ”


“ปวดดิ แต่ถ้าต้องแลกกับการถูกมึงถีบตกเตียงตั้งไม่รู้กี่รอบ กูนอนตรงนี้สบายกว่าเยอะ”


“อะไร...กูนอนดิ้นขนาดนั้นเลย”


“เออ มึงโมโหใครมาหรือไง ถึงละเมอถีบกูอยู่นั้น ถีบจนซี่โครงกูจะร้าวอยู่แล้ว”


“ละทำไมไม่ปลุกกูวะ”


“เห็นมึงหลับสบายจะให้ปลุกก็สงสาร เลยหนีมานอนตรงนี้ดีกว่า...ว่าแต่นี่กี่โมงแล้ว”


“เกือบแปดโมงแล้ว”


“ยังเช้าอยู่เลยนี่หว่า...ช่วงนี้นอกจากจัดงานโปรเจคจบก็ไม่มีเรียน มึงจะรีบตื่นทำเหี้ยอะไรเนี่ย”


“นาฬิกาปลุกก็เลยตื่น”


“แล้วจะทำอะไรต่อ”


“ไปหาอะไรกินหน่อยค่อยกลับไปบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า อ้อ มีลูกค้าจ้างออกแบบหน้าเว็บไว้กำหนดส่งมะรืนนี้ต้องไปทำให้เสร็จแล้วไปหาซื้อข้าวเย็นไว้ให้แม่ค่อยนั่งรถมาที่นี่ใหม่” คนตัวขาวจัดที่ถอยลงมานั่งขัดสมาธิบนพื้นทวนตารางชีวิตให้ฟัง


“เดินทางกลับไปกลับมาแบบนี้เหนื่อยตาย”


“เหนื่อยก็จริงแต่กูไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว”


“แต่แม่มึงบอกกูว่า เห็นมึงกลับบ้านดึกทุกวัน อยากให้กูแนะนำหอให้มึงหน่อย มึงจะได้ไม่ต้องคอยเทียวไปเทียวมาแบบนี้ พอเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับมา”


“หาหอที่นี่อะนะ โอ๊ย แพงตายห่า กูไม่มีปัญญาอยู่หรอก ขนาดพวกมึงมีตังค์ยังต้องแชร์ค่าห้องกันเลย”


“ก็ไม่ต้องหาดิ มานอนอยู่นี่แทนได้”


“ให้มาอยู่ช่วยแชร์ค่าห้องด้วยอะเหรอ”


“ไม่ต้อง...มึงมาอยู่ฟรีได้เลย”


“โอย ใครจะบ้ามาอยู่ฟรีทั้งที่พวกมึงจ่ายเงินกันหมด”


“มาอยู่แทนในส่วนของกูไง เพราะกูไม่ค่อยได้กลับบ้าน”


“ไม่เอาหรอก เกรงใจ”


“เกรงใจทำไม กูเป็นเพื่อนสนิทมึงนะ”


“กูพึ่งมึงมาเยอะแล้วอะ พอเรียนจบจะให้มึงช่วยเหลือต่ออีก มันรู้สึกไม่ดี”


“มึงแม่ง คิดมากวะ”


“ต้องคิดหน่อย โดนด่าว่าโง่บ่อยจนรู้สึกเหมือนไม่มีสมองไปจริงๆแล้วเนี่ย”


“ใครด่า”


“จะมีใครล่ะ”


“น้องพี่นาเรเหรอ”


“เออ”


คำนั้นตอบกลับรวดเร็วพาให้จงฮวาลุกจากโซฟาขึ้นมานั่งมองเพื่อนที่นั่งไถจอโทรศัพท์ดูภาพถ่ายสุนัขแสนรักนามว่าโมจิอย่างอึดอัดก่อนจะเปิดปากถามออกมา


“สนิทกับเขามากหรือไง” ประโยคที่หลุดจากปากของเพื่อนสนิทไม่ใช่สิ่งที่คนนั่งชื่นชมความน่ารักของสัตว์เลี้ยงตัวเองอยู่บนพื้นคิดว่าจะได้ยิน ใบหน้าขาวน่ารักที่เงยมาหาเลยยู่ยี่ไปหมด


“ไม่...ใครจะไปสนิทกับตาแก่ปากร้ายอย่างนั้นกัน”


“ก็เห็นมึงพูดถึงเขาบ่อย”


“พูดถึงที่ไหน ด่าให้ฟังสิไม่ว่า”


“เหรอ”


“คนอะไรก็ไม่รู้นิสัยโครตแย่เลย ชอบทำให้คนอื่นวุ่นวาย เวลามึงไปสักก็อย่าไปคุยกับลุงแกเยอะละ เดี๋ยวติดเชื้อหลงตัวเองมา กูหงุดหงิดตายห่าเลย”


“ฮ่าๆ...ถ้าแบบนั้นกูก็สบายใจ ละนี่มึงจะกลับเลยเหรอ”


“เออ”


“ทำไมไม่อาบน้ำแล้วเอาเสื้อกูมาใส่ก่อนวะจะได้ไม่ต้องกลับบ้าน ส่วนงานปกติมึงอัพโหลดไว้เผื่องานหายอยู่แล้ว เอาคอมกูไปใช้ก่อนก็ได้”


“กูใส่ไม่ได้มันใหญ่เกิน กางเกงมึงที่กูใส่นี้กูต้องมัดไว้ไม่งั้นหลุด”


“แดกข้าวเหมือนงูเหลือม เสือกผอม”


“ใช้พลังงานเยอะก็เงี้ย”


“นั่งอยู่ร้านสักใช้พลังงานอะไรนัก”


“พลังงานในการรับคำด่าไง”

“มึงนี่นะ”


“แล้วนี่มึงไม่ต้องออกไปทำงานเหรอ”


“กูมีประชุมตอนสิบโมง แต่ออฟฟิศมันไม่ไกล ไม่ต้องรีบก็ได้”


“โอเค งั้นกูไปหาไรแดกก่อนล่ะกันนะ ขอบคุณสำหรับที่ซุกหัวนอนนะ ไว้เจอกัน” จุนซอหยิบกระเป๋าขึ้นพาดบ่าพลางโบกมือลาเพื่อนเป็นการใหญ่ก็วิ่งหยิบรองเท้าบนชั้นมาสวม จากนั้นก็พรวดผ่านประตูออกไปโดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของห้องในตอนนี้ทำได้เพียงกลัดกลุ้มอยู่กับชื่อที่อีกฝ่ายละเมอหาเมื่อคืน
*********************
กลิ่นกาแฟคั่วบดหอมกรุ่นอบอวลไปทั้งห้องทำให้ร่างสูงโปร่งสวมเสื้อยืดขาวทับด้วยสูทสีกรมท่ากับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำหิ้วถุงที่มีกล่องอาหารสำหรับคนป่วยรวมทั้งน้ำเกลือแร่เดินตามกลิ่นไปถึงในห้องครัวจึงได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาคล้ายกันแต่ตัวใหญ่กว่านั่งจิบกาแฟดูข่าวกีฬาผ่านไอแพดซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะกลางในครัวอย่างสบายอารมณ์


“หายป่วยแล้วเหรอ” ยงกุกเลิกคิ้วถามพลางวางถุงกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ครัวข้างเครื่องชงกาแฟเรียกให้แฝดผู้พี่เอนหลังหันมามองพร้อมตอบกลับ


“เออ” 


“เห็นมั้ย...เพราะมึงเอาแต่เล่นโทรศัพท์แทนนอนพักเลยไม่หายสักที พอกูยึดโทรศัพท์ไว้ หวัดแม่งหายเลย”


“ไม่เกี่ยวกันโว้ย ที่หายไวเพราะกูภูมิคุ้มกันกูดีต่างหาก แล้วนี่จะยึดโทรศัพท์กูไว้อีกนานมั้ย บอกจะคืนวันนี้ แต่ดันออกไปข้างนอก...ออกไปไม่พอยังหน้าด้านเอาโทรศัพท์คนอื่นติดตัวไปอีกนะมึง”


“กูบอกจะคืนวันนี้แต่ไม่ได้บอกว่าคืนตอนไหนนะ”


“สัตว์”


“มึงนี่...ไม่หยาบสักวันมันจะตายหรือไง”


“กวนตีนกับพี่มึงขนาดนี้ยังมีหน้าให้กูพูดดีด้วยอีกเหรอ”


“กูเป็นห่วงหรอกถึงได้ยึด...ขืนให้มึงไว้คงไม่ได้นอน คนเหี้ยอะไรโทรศัพท์สั่นทุกนาที ถ้ามีสวิตช์ปิดเปิดได้อีกหน่อยเป็นเครื่องนวดได้เลยนะ”


“คนเพื่อนเยอะก็แบบนี้แหละ”


“เพื่อนอย่างเดียวกูไม่ว่าหรอก แต่ดันมีสาวด้วยนี่สิ...ไหนมึงว่า เลิกหมดแล้ว ไหงเขายังส่งรูปใส่บิกินี่กับชุดนอนแนบเนื้อมาให้อีกวะ”


“คนไหน”


“จำไม่ได้”


“เอามาให้ดูดิ”


“กูบล็อกกับลบให้แล้ว”


“เฮ้ย นี่มึงถึงขนาดเข้ามายุ่งในแชทกูเลยเหรอ” คนเป็นพี่ไม่กี่นาทีโวยลั่น


“หวังดีหรอก...แล้วก็กับแฟนใหม่มึงอะ ถ้ายังไม่จริงจังมากก็เลิกเหอะ”


“อ้าว ไอ้เวร...บอกให้กูหาเมียทุกวัน พอกูหาได้มึงจะให้เลิก”


“คนนี้ไม่โอเคหรอก”


“รู้ได้ไง”


“กูมีเพื่อนเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินนั้น...มันบินไฟล์ทเดียวกับที่แฟนมึงบอกพอดีก็เลยถามดู ถึงรู้ว่า เขาไม่ได้บินแต่ลางานไปญี่ปุ่น”



“ไปญี่ปุ่นเนี่ยนะ เข้าใจผิดเปล่า”


“ไม่ผิดหรอก”


“เขาอาจมีธุระกะทันหันก็ได้”


“ไปหาสามีที่ญี่ปุ่นเขาเรียกธุระเหรอวะ”


“ฮะ...ว่าไงนะ”


“แฟนใหม่มึงเขาแต่งงานกับคนญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อนกูเขายังไปงานแต่งอยู่เลย”


“ตอแหลเปล่าเนี่ย...อยากให้กูเลิกกับแฟนขนาดต้องตอแหลกันเลยเหรอ”


“จะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมึง...แต่เขาส่งรูปงานแต่งมาให้กูดูด้วย”


“ไหน...เอามาดูดิ” แฝดผู้พี่ว่ายื่นมือออกไปขอหลักฐาน อีกฝ่ายเลยเปิดห้องแชทที่คุยค้างกดขยายรูปยื่นให้น่าแปลกที่คนรู้ความจริงเพียงขยายรูปไปมาด้วยสีหน้าเฉยชาไม่มีความเศร้าเสียใจอะไรเลย


“แต่งจริงหรือโฟโต้ช็อป”


“ขนาดนี้ยังจะ...”


“แต่งงานแล้วจริงเหรอเนี่ย เสียดายวะ ตอนมีเซ็กส์ด้วยกันโครตมันส์  ให้ทำอะไรไม่อิดออด ยั่วเก่งแถมยังฟิตไม่เหมือนคนแต่งงานแล้วเลย”


ยงกุกกอดอกถอยหลังไปยืนพิงกำแพงในครัวจ้องพี่ชายที่ไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนอะไรกับการถูกหลอกนอกจากบ่นเรื่องบนเตียงตามประสาคนไม่เคยรักใครจริงจังมาก่อน


ส่วนใหญ่แฝดผู้พี่ของเขามักจะเลือกคบหาผู้หญิงที่หน้าตาสวยก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องหน้าที่การงานนิสัยใจคอจะศึกษาต่อในภายหลัง และด้วยความเป็นคนรักครอบครัวและตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง เวลาผู้หญิงคนไหนมีปัญหามากมันก็เลิกเสียดื้อๆไม่ยื้ออะไรทั้งนั้น


...บางทีมันอาจจะมีคนอยู่ในใจแล้วแค่ยังไม่รู้ตัว...


...ไอ้ใครที่ว่าอาจจะทำงานพิเศษอยู่ร้านสักตั้งแต่หกโมงเย็น...


“ใจไม่ได้อยู่กับเขา คิดแต่จะเอาเขาอย่างเดียว แบบนั้นไปเอากับคนที่มีใจให้ดีกว่ามั้ย”


“ใคร”


“เขาอยู่ใกล้จนจะทิ่มตามึงอยู่แล้วทำเป็นโง่”


“หมายถึงมึงอะนะ” เจ้าของห้องร้องเสียงหลงพลางห่อไหล่ทำท่าขนลุกปนขยะแขยงเลยถูกแฝดน้องถีบเก้าอี้เกือบร่วงกระแทกพื้นเข้าให้


“ห่า ถีบแบบนี้จะฆ่ากันหรือไง”


“ไอ้โง่...ฉลาดทุกเรื่องทีเรื่องนี้ละโง่ รำคาญพวกปากไม่ตรงกับใจ กูไปทำงานแล้วรอรับเบบี้โรสกลับบ้านสวนดีกว่า อยู่กับคนอย่างมึงแล้วหงุดหงิด” แฝดผู้น้องด่าด้วยสีหน้าเอือมระอาเต็มทนหยิบโทรศัพท์วางบนโต๊ะได้ก็จ้ำพรวดหายออกไปปล่อยให้แฝดผู้พี่กระพริบตาปริบมองตามหลัง


“เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกเนี่ย” เขาบ่นออกมาแล้วเหลือบตายังโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะก่อนจะหยิบมาเปิดไล่ดูรายชื่อผู้ถูกบล็อกเป็นอันดับแรก พอเห็นว่าไม่มีใครต้องใส่ใจเลยทิ้งให้ถูกบล็อกไว้อย่างนั้นเพื่อจะออกมาไล่อ่านข้อความโดยเฉพาะข้อความที่เด็กกวนประสาทอาจส่งมาหา พลันเสียงแจ้งเตือนข้อความกลับดังขึ้นและผู้ส่งมาหาคือแฟนสาวคนล่าสุด

‘คิดถึงจัง หายหวัดหรือยังเอ่ย ขอโทษที่ไม่อยู่ดูแลนะคะ ยังไงให้ฉันไปรับคุณมากินข้าวมั้ยคะ ได้ยินว่ามื้อเที่ยงที่โรงแรมXXXอร่อย ไปกินข้าวที่นั่นกันนะคะ


ยงนัมกวาดตาอ่านข้อความจากแฟนสาว เพราะยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่รับรู้จากแฝดผู้น้องของตนเองมากนักจึงเลยจะออกไปกินข้าวด้วยเพื่อพบหน้าเผื่อถามไถ่อะไรแล้วเจ้าหล่อนหลุดออกมาเองจะได้บอกเลิกไม่ยาก


...บางครั้งเขาก็เบื่อที่ต้องอยู่กับความสัมพันธ์รักๆเลิกๆไม่ได้เจอรักแท้กับคนอื่นเขาสักที...
-----------------------------------
เสียงสัญญาณการเปิดออกของประตูเรียกให้ลูกจ้างหนุ่มประจำร้านสักที่นอนฟุบหน้าอยู่ตรงเคาน์เตอร์อย่างห่อเหี่ยวเงยหน้าขึ้นมาหา หากคนที่เดินเข้าในร้านกลับเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อตัวโคร่งแขนยาวสีขาวขลิบขอบเสื้อด้วยสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ขาสั้น


ด้วยความสูงระดับที่ลุกขึ้นยืนยังต้องเงยมองทำให้ในตอนแรกเห็นหน้าได้ไม่ชัด พอได้จับสังเกตอย่างละเอียดอีกครั้งจุนซอก็ถึงอุทาน เพราะใบหน้าเรียวนวลละมุนรวมทั้งผิวขาวจัดของคนตรงหน้านั้นมีส่วนละม้ายเขาอยู่ไม่น้อย


“โอ๊ะ” ผู้มาใหม่อุทานตากลมเบิกกว้างเหมือนตกใจที่เห็นคนมีใบหน้าคล้ายตนเองยืนอยู่อีกฝั่งคล้ายกับเงาสะท้อน ถึงอย่างนั้นเมื่อมองใกล้ๆจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของหน้าเขาดูจะนุ่มนวลลงตัวกว่า


“คุณลูกค้านัดไว้หรือเปล่าครับ” ตามประสาลูกจ้างทำให้ปากถามไปอัตโนมัติ


“ไม่ครับ...ผมไม่ได้มาสัก” ฝ่ายนั้นโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธอย่างสุภาพพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกกุหลาบจางที่โชยมาให้แตะจมูก “ผมรอคุณอามารับ”


“คุณอา” จุนซอกลอกตาไปมาเพื่อใช้ความคิดก่อนจะหันหน้าไปอีกทางและถามตัวเองว่า “ใครวะ”


“พี่คงจะเป็นคนที่คุณป้านาเรกับคุณลุงชารุจ้างมาช่วยงานใช่มั้ย ได้ยินคุณป้าบอกเหมือนกันว่า พี่เหมือนผมแต่ไม่คิดว่าจะเหมือนขนาดนี้”


“อา...นาย...เอ๊ยคุณ...เด็กกุหลาบ” เพราะตั้งสติไม่ทันปากเลยเรียกขานชื่อตามที่ลุงปากร้ายพูดจนติดหู


“โอ๊ยยยยยยยย ชื่อนี้...นี่อายงนัมเขาสอนให้พี่เรียกผมอย่างนี้เหรอ จริงๆเล้ย ไม่เจอกันตั้งนานนึกว่าอายุสมองจะพัฒนาขึ้น จะรู้จักพูดจาเป็นผู้คน ที่ไหนได้ไม่เห็นดีขึ้นเลย” คนตัวสูงกระฟัดกระเฟียด ความโกรธทำให้หน้าขาวแดงเถือกถึงหู


“เขาไม่ได้สอนครับแต่เขาเรียกให้ผมได้ยินเวลาเขาคุยกับพี่นาเร”


“ตาแก่คนนี้นิ...”


“ไม่ถูกกับเขาเหรอครับ”


“อย่าเรียกว่าไม่ถูกกัน ให้เรียกว่า เกลียดกันดีกว่า”


“เกลียดกัน?”


“เกลียดอยู่แล้ว ผมกับอาเขาน่ะอย่าให้พูดเลย คนปากไม่ดีแถมยังขี้อิจฉาแบบนั้น ชอบทำให้คนอื่นแตกแยก ดีที่เราสองคนรักกันมาก อาเขาเลยหาเรื่องให้เราแยกกันไม่ได้ เออ ผมได้ยินว่า อาเขาชอบแกล้งพี่ด้วยใช่มั้ย พี่อย่าไปยอมเชียวนะ ถ้าเขาทำอะไรไม่ดีใส่ ก็บอกไปเลยว่า คนอย่างนี้นอกจากทิกเกอร์คงไม่มีใครเอา”


“ทิกเกอร์”


“น้องหมาของคุณอาน่ะครับ...แต่คุณอาฝากให้อาเขาเลี้ยงแทน ยังดีที่ทิกเกอร์ไม่ติดนิสัยเสียๆของอาเขามา ไม่งั้นผมคงเสียใจตายเลย”


“อ๋อ”


“ละนี่อยงนัมเขามาปะครับ”


“ไม่รู้สิครับ”


“เขาไม่ได้บอกพี่ไว้เหรอ”


“ไม่เคยบอกครับ”


“อยากมาตอนไหนก็มาเหรอ”


“ครับ”


“อย่างนี้ก็ได้เหรอ ไหนคุณอาบอกว่า อาเขาอาสามาช่วยที่ร้านแต่คิดจะมาก็มา ไม่มาก็ไม่บอกหน้าตาเฉยเนี่ยนะ...ก็นี่แหละ คนแบบนี้ใครจะไปทนอยู่ด้วยไหว โอ๊ะ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวกับพี่เลยนินะ ผมชื่อชเว จุนฮง วันหลังถ้าเจอผมอย่าเรียกผมว่าเด็กกุหลาบนะ ให้เรียกชื่อแทนนะ”


“ครับ”


“พี่ไม่ต้องพูดกับผมเป็นทางการนักหรอก ผมอายุน้อยกว่าพี่นะ”


“อืม”


“งั้นผมเอาชากุหลาบไปแช่ในตู้เย็นที่ห้องข้างหลังก่อนนะ เสร็จแล้วจะออกมาคุยด้วยใหม่ อ้อ ชากุหลาบในตู้น่ะถ้าพี่อยากดื่มล่ะก็ดื่มได้เลยนะหรือจะเอากลับบ้านก็ได้เพราะผมเป็นคนทำเอง”


“ชากุหลาบในตู้เย็นนั้นนายเป็นคนทำเหรอ”


“ครับ”


“มิน่า”


“ทำไมเหรอครับ รสชาติไม่อร่อยเหรอ แต่ผมใช้กุหลาบที่บ้านสวนทำเชียวนะ ทุกคนได้ชิมเขาก็ชอบกันหมด ยิ่งใส่นมกับน้ำผึ้งลงไปด้วยยิ่งอร่อย พี่ไม่ชอบเหรอ”


“พี่ไม่ได้มีปัญหาหรอก เวลาให้ลูกค้าดื่มระหว่างรอเขาก็ชอบกัน แต่ลุงคนนั้นแกชอบเผลอดื่ม พอรู้ก็บ้วนทิ้งพี่เลยต้องคอยเช็ดพื้นอยู่เรื่อย”


“ยี้ สกปรก”


“แต่พี่ย้ายมันไปไว้ในช่องข้างล่างแล้วล่ะ แกจะได้ไม่ทำพื้นเลอะอีก”


“เห็นมะ...อายงนัมน่ะเก่งแต่ทำให้คนอื่นยุ่งยาก”


“นั้นสิ” คนอายุมากกว่าบอกตากลมทอดมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ถึงยังไงก็อดเฝ้ารอการมาถึงของตาลุงปากร้ายไม่ได้


...มาก็ไม่มา ข้อความก็ไม่ตอบ...


จุนซอทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์มองไปทางประตูตลอดเวลา แม้จะมีลูกค้าผ่านเข้ามาให้ต้อนรับอยู่คนสองคนแต่เมื่อส่งเข้าห้องสักได้ก็กลับมานั่งมองไปยังจุดเดิมและเมื่อบานประตูเปิดขึ้นอีกหน ครั้งนี้เขาถึงได้เห็นเจ้าของร้านสาวคล้องแขนเดินคุยมากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อยืดขาวทับด้วยสูทสีเข้ม


ชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมแทบจะถอดพิมพ์เดียวกันมากับชายอีกคนที่วันนี้ยังไม่โผล่มาให้เห็น กระนั้นก็มีหลายสิ่งที่แผกกันอยู่มาก ทั้งลักษณะทางกายภาพซึ่งคนตรงหน้าในตอนนี้ดูสูงโปร่ง หน้าเรียวมีองค์ประกอบคมชัดกว่า อีกทั้งท่วงท่าในการเดิน การสนทนานั้นทั้งมีเสน่ห์และสง่างามแต่ก็น่าเกรงขามเหมือนพวกนักธุรกิจเก่งๆที่เขาเคยเห็นในรายการโทรทัศน์


“เลิกอีกแล้วเหรอ...เพิ่งคบกันสองอาทิตย์เองไม่ใช่หรือไง” เสียงหญิงสาวเจ้าของร้านเอ่ยถามมีแววตระหนก


“ให้มันคบกับคนมีสามีแล้วไม่ได้หรอกครับ” 


“อะไร...แฟนใหม่มันนี่แต่งงานแล้วเหรอ ตายๆ จะหาแฟนทั้งที่ ทำไมชอบหาแต่อะไรก็ไม่รู้มาเนี่ย”


“มันยังไม่รู้จักความรักไงครับ พอเห็นใครที่คิดว่าน่าจะเข้ากันได้ก็เลยคบ”


“ชาตินี่มันไม่น่าจะได้แต่งงานแล้วมั้ง”


“ไม่แน่หรอกครับ ถ้าไม่โง่ก็น่าจะได้แต่ง” 


“เราหมายความว่ายังไง” 


คนเป็นน้องที่ยอมให้พี่สาวคล้องแขนยิ้มแล้วปรายตามองไปทางลูกจ้างของร้านที่ยืนยิ้มเก้อๆอยู่หลังเคาน์เตอร์เลยทักทาย


“คุณคงจะชื่อจุนซอใช่มั้ย”

 "ครับ"


“ผมชื่อยงกุก ยินดีที่ได้พบ” เสียงต่ำลึกเหมือนกันเสียงที่เคยด่าไม่มีผิด แต่น่าแปลกที่พอเป็นผู้ชายคนนี้พูดกลับให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง


“เช่นกันครับ” คนอ่อนกว่าโค้งรับ


“ช่วงนี้คุณคงต้องเหนื่อยหน่อย พี่สาวผมเขามีหลายชีวิตต้องดูแลเลยทำงานที่ร้านไม่ได้มากเหมือนเก่า ส่วนแฝดผม เขาอาจจะทำให้คุณยุ่งยากไปสักหน่อยแต่อย่าไปถือสาเขานะ”


“ถือสาบ้างก็ดี มันน่ะชอบหาเรื่องจุนซอเขาอยู่เรื่อย บางทีก็ลามปามถึงจุนฮง” นาเรดึงแขนตัวเองจากแขนน้องค้านพลางส่ายหัวอย่างเอือมระอา


“ก็นั้นแหละผมถึงบอกว่ามันโง่ แล้ววันนี้มันไม่มาเหรอครับ ตอนสายผมแวะไปดูมันที่บ้านเห็นมันอาการดีขึ้นเยอะแล้วนะ”


“ไม่รู้สิ พี่โทรหามันไม่รับ พอชารุโทรไปมันปิดเครื่อง”


“สงสัยจะไปเคลียร์กับแฟนอยู่”


“เคลียร์...นี่คงไม่ใช่ว่ามันไปเจอกับสามีเขาหรอกนะ”


“ถ้าเจอคงไม่เป็นไร พี่ก็รู้ ถ้าไม่ใช่กับพวกเรามันฉลาดจะตาย มันรู้หรอกว่าต้องทำยังไง หรือเกิดมีเรื่องขึ้นมา นักมวยเก่าอย่างมันจัดการได้สบายอยู่แล้ว”


จุนซอกระพริบตาปริบกับข้อมูลที่ได้รับผ่านบทสนทนาของพี่น้อง มือขาวเตรียมหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความแต่ต้องเก็บเมื่อเห็นคนอ่อนกว่าวางชากุหลาบในขวดแก้วไว้ให้บนโต๊ะ


“นี่ของพี่ เอากลับไปกินบ้านได้นะ” จุนฮงบอกก่อนจะกระโจนไปหาชายหนุ่มมากวัยกว่าด้วยรอยยิ้มกว้างพาให้หน้านวลดูอ่อนหวานกว่าในตอนแรก มือที่โผล่จากชายแขนเสื้อเล็กน้อยเกาะแขนสีน้ำผึ้งไว้และเมื่อได้รับรอยแย้มกว้างอบอุ่นตอบกลับ แก้มขาวเลยขึ้นสีระเรื่อ


“รออานานมั้ย”


“ไม่นานหรอกครับ แค่ผมช่วยป้านาเรทำบัญชีเสร็จแล้วยังมีเวลาเหลือเอาชากุหลาบมาแช่ตู้แค่นั้นเอง”


“พูดอย่างนี้จะบอกอาว่ารอนานสินะ” เสียงเข้มแกล้งแหย่


“นานก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นคุณอาล่ะก็ผมรอได้เสมอแหละ”


“เด็กดี” เจ้าของนิ้วแข็งที่ยื่นมาบีบแก้มขาวเบาๆอย่างทะนุถนอมเอ่ยชม บรรยากาศอุ่นอวลหอมหวานราวกับยืนอยู่ท่ามกลางดงดอกกุหลาบนับร้อยนับพัน ยิ่งทำให้คนตัวสูงกว่าดูตัวเล็กกระจ้อยร่อย


“จะกลับเลยหรือเปล่า ป้าจะได้เอาขนมให้เราเอาไปกินที่บ้านสวน”


“ฮุ้ย...ป้านาเรทำขนมให้ผมเหรอ ดีจัง ผมคิดถึงขนมฝีมือป้านาเรจนจะลงแดงแล้วเนี่ย”


“เรานี่ก็พูดซะเหมือนขนมฝีมือป้าอร่อยมาก”


“อร่อยออกนะครับ ผมชอบขนมของป้าที่สุดเลย”


“ปากหวานจัง...ปากหวานขนาดนี้ป้าจะไม่รักเราได้ยังไง” ผู้นับศักดิ์ตนเองตามการเรียกน้องชายของเด็กตรงหน้าว่าพร้อมวางมือลงบนแก้มนุ่มอีกข้างอย่างรักใคร่


“ทุกคนเขาก็รักหมดแหละ มีแค่อายงนัมกับอาชาร์ลสองคนแหละที่ไม่ชอบผม แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ใส่พวกอาเขาไว้ในตารางคนสำคัญของผมอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเล้ย”


สิ้นประโยคนั้นฝ่ายผู้ปกครองหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะเช่นเดียวกับหญิงสาวอายุมากสุดในห้องที่ขำเสียยกใหญ่


“กลับเถอะจ๊ะ...จากนี่กว่าจะขับรถถึงบ้านสวนคงเกือบเที่ยงคืนพอดี ยิ่งเรียนกับทำงานทั้งอาทิตย์มาเหนื่อยๆ เราสองคนไปพักผ่อนเถอะ” 


“งั้นผมกลับก่อนนะครับ...ไปแล้วนะจุนซอ ขอบคุณที่ตั้งใจทำงาน” ยงกุกบอกลาพี่สาวแต่ไม่ลืมจะบอกลากับลูกจ้างของร้านทำให้เด็กที่คล้องแขนผู้ปกครองตนเองอยู่หันกลับมาโบกมือให้เช่นกัน


“ไปแล้วนะครับ บะบายครับพี่จุนซอ ไว้เจอกันใหม่แล้วอย่าลืมที่ผมบอกนะ” 


จุนซอโบกมือกลับแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่าโดยไม่รู้ว่าตัวเองเผลอมองไปทางประตูเข้าอีกแล้ว ทำให้หญิงสาวเจ้าของร้านที่กำลังจะเดินไปหาคนรักในห้องสักถึงกับอมยิ้ม


“จุนซอ เลิกมองประตูเถอะ...วันนี้ยงนัมเขาไม่น่าจะมาร้านแล้วล่ะ”


“ฮะ...อะไรนะครับ”


“ยงนัมเขาไม่มาแล้วล่ะ เลิกมองประตูเถอะ”

“ผมไม่ได้มองประตูนะครับ ผมมองแสงไฟข้างนอกเฉยๆ” เจ้าตัวปฏิเสธเป็นพัลวัลหลังได้ยินทุกคำของนายจ้างชัดเจน


“จริงเหรอ”


“ครับ” 


“โอเคจ๊ะ ไม่มองก็ไม่มอง” นาเรพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนเชื่อทุกคำทั้งที่ในใจยังขำกับความปากไม่ตรงกับใจของคนทั้งคู่


...มันคงยากที่จะยอมรับว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน...
 

You Might Also Like

2 Comments

  1. แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงยงนัมกับยงกุกคนนึงอบอุ่นมากเวอร์ส่วนอีกคนก็กวนตีนจริงจังกับทุกเรื่อง55555อยากรู้ตอนที่รู้ใจตัวเองจะเป็นไง แต่เค้าว่าคนแบบนี้ถ้าได้รักจริงจังกับคนที่ใช่ก็จะเปลี่ยนโลกให้เป็นสีชมพูได้อย่างง่ายดายถึงเวลานั้นคนที่น่าอิจฉาที่สุดคงเป็นจุนซอ ยัยกุหลาบคงชังอาชาร์ลกับยงนัมมาก ขนาดแค่เอ่ยถึงยังจิกกัดเล็กๆ5555น่ารัก สงสารจุนซอชะเง้อคอรอคอยยงนัม นี่คนรอบตัวคงดูออกหมดแล้วแหละว่าสองคนนี้รู้สึกยังไงกัน เหลือแต่เจ้าตัวละนะไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง อ่อตอนยัยกุหลาบแนะนำตัวต้องเป็นเชวจุนฮงมั้ยอ่ะ แต่ที่อ่านเป็นเชวจุนซอ รักไรท์ค่ะ

    ตอบลบ
  2. เนี้ยขนาดพี่นาเรยังรู้ ทำไมสองคนไม่รู้ตัวสักทีนะ แล้วแบบโห้ยยย พิ่ลุงทำไมเปงคลหื่นกามงี้อ่ะ รับม่ะได้เลย ยั่มมาหื่นกามใส่น้องนะ ห้ามเลย แม่ตีนะพิ่ลุง คิดถึงกันแต่ไม่รู้ตัวว่าคิดถึงกันนี่มันก็นะ น่าสงสารจีๆ เลย คนไม่รู้ใจตัวเอง คือแบบน้องลูก เปงห่วงกะบอกว่าเปงห่วงซี่

    ตอบลบ