LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 6

00:21





ช้อนส้อมกระเบื้องสีน้ำเงินถูกมือใหญ่รวบวางบนจานที่เหลือเพียงซอสราดกับเศษผักเล็กน้อยก่อนที่หลังกว้างจะเอนพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ ตาคมกวาดมองการตกแต่งด้วยสีสันสดใสตามสไตล์ร้านอาหารบราซิเลี่ยนอย่างสนใจอยู่พักหนึ่งก็หันกลับมายังชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวจัดสวมเสื้อหนังสีดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกันที่หมู่นี้ชักจะเจ้าเนื้อจนแก้มเริ่มออกแต่ยังเหมือนพระเอกหนังอยู่ดี


“มึงหาร้านอาหารเก่งนะ” เสียงต่ำลึกเปรยขึ้น “ร้านที่ชาวบ้านเขาไม่รู้จัก เสือกรู้หมด แสนรู้จริง”


“โอโห คุณยงนัม ปากหมาแต่เช้าเลย”


“ปากหมาอะไร นี่กูชมมึงอยู่นะ” 


“แสนรู้มันไว้ชมคนที่ไหน มันไว้ชมหมาเว้ย...มึงนี่แม่ง เลิกกับแฟนเมื่อวานแน่หรือเปล่า ไอ้เราก็ห่วงว่าจะเฮิร์ตเลยชวนออกมา ที่ไหนได้ดูสบายกว่าตอนไม่มีแฟนไปอีก”


“โถ ฮิมชาน ทำมาพูด ที่มึงชวนกูออกมานี่ไม่ได้ห่วงกูห่าอะไรหรอกก็แค่ไม่อยากอยู่บ้านวันเสาร์คนเดียวมากกว่า คนอื่นแม่งคงไม่ว่าง ไอ้ยงกุกมันก็หนีไปกกเมียเด็กที่บ้านสวนแล้วซะด้วย หวยเลยมาออกที่กูเนี่ยไม่ใช่ไง”


ยงนัมสวนกลับอย่างรู้ทันตามประสาเพื่อนสนิทที่เคยเรียนร่วมชั้นกันมา ถึงแม้ฮิมชานจะสนิทกับทางยงกุกเสียมากกว่า อีกทั้งช่วงมหาวิทยาลัยต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายไปเรียนคนละคณะแต่ก็ยังคบเป็นเพื่อนกันเช่นเคย


“ยอมรับแบบไม่ตอแหลก็ใช่...นอกจากมึงก็ไม่มีใครว่างเสาร์นี้เลย ส่วนใหญ่ว่างกันวันอาทิตย์”


“แล้วมึงไม่ออกไปวันอาทิตย์แทนวะ...ชวนกูออกมาวันนี้กูเหนื่อยนะว้อย”


“เหนื่อยเหี้ยอะไรมากมาย”


กูเพิ่งฟื้นไข้เช้าวันศุกร์ ออกไปบอกเลิกแฟนตอนเที่ยงเขายื้อกูอยู่ตั้งนานกว่าจะจบ พอจะแวะไปร้านสักดูพี่นาเรหน่อยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมกรอกคะแนนเด็กที่มาคัดตัวทีมบาส พอกูกินยากันไว้ก็น็อก มาตื่นตอนมึงโทรหา ยังไม่ทันทำห่าไรก็ออกมาเลยเนี่ย” พอได้นึกย้อนถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เจ้าตัวก็ถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมาไล่ดูข้อความ 


...เมื่อเช้าเขาเพิ่งเห็นว่า ไอ้น้องชั่วมันลบข้อความของไอ้อ้วนไปเลยไม่รู้ว่ามันพิมพ์อะไรมาบ้าง...


...เขาเคยส่งข้อความไปหาก่อนครั้งเดียว นอกนั้นไอ้อ้วนจะเป็นฝ่ายส่งข้อความทักมาก่อนแต่นี่ไม่มีวี่แววว่ามันจะส่งอะไรมาหา


...มันทำให้เขาหงุดหงิดแต่จะให้เขาส่งข้อความไปหามันก่อนน่ะ ฝันไปเถอะ...


“ชีวิตดูน่าสงสารเนาะ”


“คงไม่น่าสงสารเท่าคนแต่งแล้วหย่าสองสามรอบ”


“ได้แต่งงานยังดีกว่าคบใครไม่เคยรอดเกินสองเดือนหรอกน่า”


“อ้าว ฮิมชาน พูดงี้อยากมีเรื่องเหรอไง”


“มีก็ได้นะ...พักนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย ต่อยกับมึงหน่อยอาจจะดี”


“อารมณ์ไม่ดีเลยเอาแต่แดกสิถึงได้อ้วนขึ้น”


“ขนาดอ้วนยังมีสาวทิ้งเบอร์ให้ทุกวี่ทุกวัน”


“สัตว์ มั่นหน้าเหลือเกินนะมึง”


“ก็พอกันแหละวะไม่งั้นจะเป็นเพื่อนกันได้ไง” ฮิมชานสวนด้วยมุมปากที่ยกสูงและถามต่อ “เอาไง มึงจะต่อยกับกูหรือเปล่า”


“เพิ่งแดกข้าวอิ่มๆจะออกไปเบิร์น...ได้จุกตายห่า”


“เดินจากนี่ไปฟิตเนสมึง อาหารก็ย่อยแล้ว”


“ใครจะเดินจากนี่ไปฟิตเนส...ไกลฉิบหาย”


“ไม่ไกลหรอกน่า แค่สี่ห้ากิโลเอง”


“มึงจะไดเอทก็ไดเอทไปคนเดียวอย่าลากกูไปเกี่ยวด้วยสิวะ กูเพิ่งฟื้นไข้นะว้อย”


“นักกีฬาอย่างมึงเดินแค่นี้ทำบ่น...นักกีฬาภาษาอะไรของมึงเนี่ย”


“อุตส่าห์ขับรถมาจะเดินกลับเฉย พอถึงเวลากลับต้องเดินกลับมาเอารถอีกเนี่ยนะ”


“กูให้คนรถที่บ้านมาเอาแทนได้”


“สัตว์...แล้วรถกูละ”


“มึงก็เดินกลับมาดิ...วิ่งมาระดับมึงไม่ถึงสิบนาทีหรอก”


“กูยอมเดินก็ได้นะ ถ้ามึงซื้อคอร์สออกกำลังที่ฟิตเนสกู”


“อะไร...ตอนนี้กูก็เป็นเมมเบอร์ฟิตเนสมึงอยู่แล้ว ซื้อคอร์สไปเมื่อสามเดือนก่อน นี่จะให้กูซื้ออีกละ”


“ก็ซื้ออีกคอร์สไปให้เพื่อนให้ฝูงคนอื่นก็ได้”


“แหม ขายเก่งเหลือเกิน ไอ้สันขวาน”


“ไม่ขายเก่งจะมีแดกมะ”


“ไว้ชกกันเสร็จก่อน ค่อยพิจารณาอีกที”


“โอ้...อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย” 


“จะเดินไปกับกูได้ยัง”


“เออ” คนผิวเข้มกว่าส่งเสียงในคอ 


หลังเคลียร์ค่าอาหารเรียบร้อยชายหนุ่มทั้งสองจึงเดินออกจากร้านไปตามทางเท้าริมถนนผ่านรถยนต์ของตนเองและตึกรามร้านรวงจนผ่านเข้าไปในตึกสีดำความสูงห้าชั้นดูทันสมัย ด้านข้างมีเสาสูงติดป้ายโลโก้ของบริษัทที่ใช้สถานที่แห่งนี้รวมกันโดยในชั้นสี่และห้านั้นถือเป็นชั้นที่มีสถานออกกำลังกายซึ่งมียงนัมเป็นเจ้าของ


ผู้บริหารหนุ่มผ่านประตูไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับเพื่อแวะสนทนากับพนักงาน จากนั้นจึงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาวอร์มร่างกายรอเพื่อนอยู่ในห้องซ้อมมวย เมื่อเตรียมร่างกายเรียบร้อยก็พร้อมขึ้นสังเวียน ทั้งคู่วางหมัดใส่กันอย่างมีชั้นเชิงเช่นคนเคยเรียนมวยสมัครเล่นมาก่อน


การซ้อมมวยดำเนินไปถึงครึ่งชั่วโมง ฮิมชานก็แยกไปเล่นเวทกับเทรนเนอร์ส่วนตัวซึ่งตอนแรกเขาเคยให้ยงนัมเป็นคนจัดการแต่ภายหลังงานของอีกฝ่ายยุ่งมากจึงเปลี่ยนเป็นเทรนเนอร์คนอื่น ส่วนเจ้าของฟิตเนสก็แยกเข้าห้องทำงานเรียกตัวพนักงานขอรายงานรายรับรายจ่ายประจำเดือนเพื่อนำมาตรวจด้วยตนเองรอบหนึ่งถึงส่งให้พนักงานจากสำนักงานบัญชีที่จ้างไว้มาจัดการต่อ


ชายหนุ่มหมกมุ่นกับงานจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างตามนิสัย เมื่อเงยหน้าจากกองงานที่ทำเสร็จเรียบร้อยอีกทีท้องฟ้าสดใสสีครามด้านนอกกลับทาบทอด้วยสีส้มทองจากดวงตะวันที่คล้อยลงตรงกึ่งกลางของเส้นขอบฟ้าถึงลุกจากเก้าอี้ไปเล่นเวทเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังร้างจากเครื่องออกกำลังกายไปหลายวัน


หากแทนที่ใจจะจดจ่อกับการออกกำลังกาย ความคิดกลับวนเวียนถึงแววตาห่วงกังวลของเด็กในร้านสักจนไม่รู้ตัวเลยว่า ใช้เวลาไปกับการมองนาฬิกามากกว่าใช้สมาธิกับอย่างอื่นกระทั่งมีเพื่อนฝูงโผล่มาออกกำลังกายด้วยถึงลืมเด็กคนนั้นไปได้


หลังร่ำลากับเพื่อนด้วยใกล้เวลาฟิตเนสของตนเองกำลังจะปิดทำการเขาถึงเข้าไปอาบน้ำล้างตัวจึงไม่ได้ยินเสียงข้อความของโทรศัพท์มือถือในตู้ล็อกเกอร์ พอนุ่งผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างออกมาเปิดล็อกเกอร์ด้วยผมเผ้าที่ยังเปียกหมาดๆ แสงสว่างของจอโทรศัพท์ทำเอาเขารีบหยิบมันออกมาเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเด็กกวนประสาทส่งมาหาแต่กลายเป็นข้อความของพี่สาวไปเสียนี่


...แกอยู่ไหน ว่างมากินเนื้อย่างที่ร้านXXXตอนห้าทุ่มมั้ย...


...พี่ชวนเพื่อนกับจุนซอเขามากินด้วย จะได้บอกเรื่องแต่งงานกับท้องเลยทีเดียว...


...ถ้าว่างก็มาล่ะ จะรอ...


“ฉิบหาย” 


เขาสบถลั่นออกมากลางห้องแต่งตัว ความที่รู้ถึงความรู้สึกลูกจ้างในร้านที่มีต่อพี่สาวทำให้ความเป็นห่วงแล่นเข้ามา นาทีนั้นเขาฉวยเสื้อกับกางเกงยีนส์รวมทั้งรองเท้าออกมาสวม มือใหญ่ยัดข้าวของจำเป็นทั้งโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถลงกระเป๋ากางเกงยีนส์ได้เจ้าตัวก็วิ่งลงบันไดจากชั้นห้าตั้งใจจะลงมาหารถยนต์แต่มาถึงชั้นล่างกลับไม่เจอรถถึงนึกได้ว่าจอดมันทิ้งอยู่ที่ร้านอาหารคนละเส้นทางกับร้านอาหารที่พี่สาวชวนไว้ในข้อความเลยตัดสินใจวิ่งแทบไม่คิดชีวิตไปยังร้านนั้นแทนการวิ่งไปเอารถ


เหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัวยิ่งกว่าอาบน้ำ หากยงนัมไม่สนใจยังคงวิ่งต่อไปถึงหน้าร้านเนื้อย่างเจ้าอร่อยที่อยู่ไม่ไกลจากร้านสัก แสงไฟสีเหลืองภายในร้านเนื้อสว่างขนาดสาดออกมาถึงภายนอกคลอด้วยเสียงเพลงฮิปฮอปยอดฮิตของช่วงนี้พร้อมกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์อย่างดีโชยทั่ว


ชายหนุ่มกระชากประตูเข้าไปยืนหันรีหันขวางมองหาพี่สาวอยู่ทั่วร้านถึงได้เห็นลูกจ้างของร้านนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้านติดกับกำแพงนั่งกระดกโซจูทั้งขวดเงียบๆท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงจากเพื่อนสนิทของพี่สาวและพี่เขยซึ่งถูกเชิญมาร่วมแสดงความยินดี 


อยู่ๆเจ้าของร่างอ้วนกลมซ่อนหน้าอยู่ใต้หมวกคลุมของเสื้อฮู้ดสีดำก็ลุกพรวดขึ้นมายืนตรงหน้าหญิงสาวเจ้าของร่างพลางยกขวดโซจูในมือขึ้นสูง


“ยินดีด้วยนะครับพี่...ยินดีด้วยจริงๆ” คนอ่อนสุดในวงเอ่ยด้วยเสียงอ้อแอ้...ฤทธิ์เหล้าทำให้ความยับยั้งชั่งใจทั้งหลายหายเป็นปลิดทิ้ง


ความรู้สึกของจุนซอหนักอึ้งมาตั้งแต่ได้ยินหญิงสาวในดวงใจบอกข่าวดีเรื่องมีลูกและจัดงานแต่งกับพี่ชารุในร้านสัก ตอนนั้นเขาต้องฝืนยิ้มเหมือนไม่เป็นไรทั้งที่ข้างในเต็มไปความสับสนทางอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่ามันคือความเศร้า ความเสียดาย ความผิดหวัง ความโล่งใจหรืออะไรกันแน่


“ท่าทางเราจะเมาแล้วนะ กลับบ้านเถอะเดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่ให้ไปรับส่ง” นาเรบอกอย่างเป็นห่วงเอื้อมมือไปสะกิดว่าที่สามีตามกฎหมายให้ตามแท็กซี่


“ไม่ๆ ผมไม่ได้เมานะ ผมแค่...ยังไงดีล่ะ แบบว่า ตั้งแต่วันที่พี่มาแนะแนวช่วงม.ปลายจนถึงตอนนี้พี่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดสำหรับผมเลยนะ ผมน่ะชอบ...” คนอ่อนกว่าเกือบจะสารภาพความในใจของตนเองไปหมดสิ้น หากนาทีนั้นกลับถูกบางคนใช้มือตะครุบอุดปาก ส่วนเอวก็ถูกแขนใหญ่แข็งแรงรวบพร้อมลากห่างออกมาจากโต๊ะ


“เมามากล่ะนะอ้วน กลับๆๆ” ผู้เข้ามาลากตัวบอกเสียงดังค่อยหันไปโค้งให้ทั้งวงจึงว่า “เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งมันเอง พวกพี่สนุกกันต่อเถอะ”


คนตัวใหญ่กึ่งอุ้มกึ่งลากเอวฝ่ายที่อายุน้อยกว่าหลายปีออกห่างจากร้านมุ่งหน้าไปทางรถที่ตนเองจอดอยู่ เพียงห้าร้อยเมตร อีกฝ่ายถึงเริ่มดิ้นพยายามขืนตัวไว้ด้วยการจิกปลายเท้ากับทางเดิน


“อ้วน...นี่มึงโง่หรือโง่วะเนี่ย”


“ฮ่าๆๆ...ไรเล่า” ฝ่ายที่หน้าตาเคร่งเครียดเมื่อครู่อยู่ก็หัวเราะร่าเหมือนคนบ้าถามออกมา


“เมาจนไม่รู้กาลเทศะแล้วนะมึง”


“ไม่ได้เมา เมาไร ไม่มี้” 


“เสียงอ้อแอ้ขนาดนี้ยังกล้าบอกไม่เมา เดี๋ยวพ่อตบหัวหลุดเลย ไอ้เด็กเปรต”


“ลุงกล้าม”


“ใครวะ”


“อยู่ตรงนี้แค่สองคนจะให้เรียกหมาที่ไหนอะ” 


“เอ้า ไอ้เด็กนี่”


“เราไม่อยากแพ้ทั้งที่ยังไม่พูดอ่า”


“พูดไร”


“ก็อยากสารภาพกับพี่เขาว่า ชอบเขามาตั้งแต่ที่พี่เขาไปแนะแนวอาชีพตอนม.ปลายและยังชอบอยู่” 


“พูดเรื่องที่ทำให้ครอบครัวชาวบ้านเขาร้าวฉานอะนะ มึงคิดว่าบอกแล้วจะได้อะไร บอกให้สบายใจตัวมึงคนเดียวเหรออ้วน”


“นั่นสิ...นั่นสิ พูดไม่ได้หรอกเนาะ ฮ่าๆ พวกพี่เขาดีกับเราจะตาย จะให้ทำลายพวกเขาได้ไง ใช่ ใช่”


“เออ เข้าใจซะได้ก็ดี”


“แต่ว่าแอบรักเขาเนี่ยมันเจ็บจังนะ ฮ่าๆ ทำไมถึงเจ็บมากขนาดนี้” คนอ่อนกว่าพูดพลางหัวเราะก่อนน้ำตาจะรื้นลงมานองเต็มหน้า ร่างกลมทรุดลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นถนนริมทางเท้าและสะอื้นฮักจนตัวโยน


“เอ้า ไอ้ห่า...หัวเราะอยู่ดีๆ ร้องไห้เฉย แล้วจะนั่งบนถนนทำไมวะ ลุกขึ้นมา”


“ถนนมันเย็นดีออก...ฮึก...อากาศหนาวจัง พอคนเราอกหักอากาศรอบตัวมันจะเย็นขึ้นเหรอ”


“พูดห่าอะไรของมึงเนี่ย...ลุกสิว้อย ไอ้เด็กคนนี้นิทำไมเป็นคนแบบนี้วะ” คนแก่กว่าถามพลางถอนหายใจทั้งที่มือยังจับแขนข้างหนึ่งของคนบนพื้นไว้


“อยากให้ลุกก็อุ้มหน่อยดิ” 


“ไม่”


“โหย กล้ามลุงก็ออกใหญ่โต อุ้มเราหน่อยไม่ได้ไง”


“เป็นเด็กสองขวบหรือไงถึงมาร้องให้คนอื่นเขาอุ้ม”


“งั้นก็นอนมันตรงนี้ดีกว่า” เพราะคนเด็กกว่างอแงเริ่มเหยียดขาตั้งท่าจะเอนหลังลงไปนอนกับพื้นถนนเลยถูกอีกคนรั้งไว้ให้อยู่ในท่านั่งเหมือนเก่า


“ลุกขึ้นมา”


“ไรเนี่ย กระชากเราเฉยเลย เราบอกให้อุ้มไม่ใช่กระชาก”


“ใครจะไปอุ้มมึง ห่าเอ๊ย”


“โห กล้ามปูเนี่ยนอกจากไม่หล่อยังใจดำเหมือนตัวอีก” 


“ไอ้เวร กูไม่อยากกระทืบคนเมาหรอกนะ บอกมาดิว่าบ้านอยู่ไหน”


“อยู่ไหนแล้วนะ บนสวรรค์ล่ะมั่ง”


“สวรรค์ไม่มีเด็กอ้วนแบบมึงหรอก”


“รู้ได้ไง กล้ามปูเคยตายล่ะเหรอ”


“อ้าวไอ้...เอาดีๆ บ้านมึงอยู่ไหนกูจะได้ไปส่ง” 


“อยู่แถวๆซอโซน่ะ แต่หน้าโง่ๆอย่างนี้ไปไม่ถูกหรอก”


“ไอ้เหี้ยเอ๊ย อะไรของมึงเนี่ย เมาแล้วลามปาม อยากโดนกูถีบมากหรือไง”


“เอะอะก็ใช้กำลัง กล้ามปูรู้ปะพวกที่ชอบใช้กำลังเขาว่าเป็นพวกสมองทึบ”


“ทึบบ้านมึงสิ”


“ฮิๆ ก็มีดีแค่แรงเยอะใช่มั้ยละ นอกนั้นไม่เห็นมีไรดีเลย”


“ทำไมมึงชอบวอนหาตีนกูนักนะ”


“ละทำไมกล้ามปูต้องปากหมาใส่เราด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าหน้าเหมือนปลาชนเขื่อน ดีแค่สูงกับมีกล้ามทำไมสาวถึงติดนัก นี่ถ้าสาวๆเขาเห็นน้องแฝดสุดเท่ของตัวเข้า เขาคงเทไปทางนั้นหมด อา...อากาศหนาวจัง น้ำตาห่านี่จะไหลอะไรหนักหนาวะ” หลังมือขาวของคนพูดพยายามปาดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะแห้งเพราะในใจยังปวดแปลบ


“หยุดร้องได้แล้ว ไม่งั้นกูจะถ่ายคลิปประจาน”


“มันหยุดไม่ได้อะ”


“อกหักแค่นี้จะร้องไห้ทำไม”


“ทำมาพูด กล้ามปูเคยอกหักไง”


“ไม่เคย”


“งั้นก็เงียบปากไปเลย” 


“เฮ้อ...” อีกฝ่ายถอนหายใจยาวแล้วทรุดลงไปนั่งบนขอบทางเดินริมถนน “นี่มันจะตีสองแล้วนะ กลับบ้านได้แล้ว”


“ยืมตักให้นอนหน่อยดิ”


“เด็กเปรต”


“โอ๊ย นี่ลุงพูดดีๆไม่เป็นเลยเหรอ เออ เราไม่นั่งด้วยแล้ว ไปดีกว่า” อยู่ๆคนที่นั่งเหยียดแข้งขาก็ลุกจากถนนเดินโซเซไปอย่างไม่มีจุดหมายทำให้อีกคนต้องผุดลุกตามมาคว้ามือไว้


“มึงจะไปไหน”


“กลับบ้านดิ”


“ไปยังไง”


“เดินไป”


“โง่อีกล่ะ...แถวบ้านมึงมันตั้งไกล ขืนเดินไปได้ตายห่าพอดี”


“กล้ามปูสิโง่ ร้องไห้ไปเดินไป ถึงบ้านน้ำตาก็แห้งพอดี”


“โอ๊ย สมองมึงนี่”


“คนไม่เคยอกหักจะมาเข้าใจอะไร”


“เออ ขอโทษล่ะกันที่เป็นคนเสน่ห์แรงเลยไม่เคยอกหัก”
 

“แหวะ...แบบกล้ามปูเนี่ยนะเสน่ห์แรง หลงตัวเอง” คนตัวอ้วนแลบลิ้นทั้งน้ำตาก่อนจะหันไปเห็นร้านขายเครื่องแอลกอฮอล์ที่มีไวน์เรียงเต็มชั้นโชว์อยู่ตรงกระจกหน้าของร้านก็เขย่าแขนข้างที่ถูกจับไว้ไปมา “เฮ้ยๆๆ กล้ามปู ดูดิ ไวน์เต็มเลย ซื้อให้หน่อย”


“เมาขนาดนี้จะซื้อเพื่อ”


“เบื่อโซจู อยากดื่มไวน์บ้างงะ”


“มีตังค์เหรอ ไวน์ดีๆไม่มีถูกๆหรอกนะ”


“เอาแบบไม่ดีมาก็ได้”


“ไม่อร่อย”


“แค่แดกเอาเมา ไม่ได้เอาอร่อย น้า กล้ามปู ยืมตังค์ซื้อหน่อยน้า” มือของคนพูดสอดเข้ามากอดแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกคนไว้แน่นเหมือนเด็กอ้อนขอของเล่น


“ไม่”


“โหย น่านะ ไม่ได้เหรอ แค่ขวดเดียวเอง”


“เรียกพี่ดิแล้วจะซื้อให้”


“โอ๊ย ไม่เห็นน่าเรียกพี่ตรงไหน”


“งั้นก็ไม่ต้องแดก” ฝ่ายแก่กว่าบอกเสียงแข็งเพราะคิดว่าเจ้าตัวดีคงไม่พูดออกมาแน่ๆ


“จริงๆเล้ย เสพติดการถูกสาวเรียกพี่คะพี่ขามากหรือไง”


“กวนตีน”


“ก็ได้...พี่ยงนัม ซื้อไวน์ให้น้องหน่อย” คนหน้าขาวลอยหน้าลอยตาพูดแล้วยิ้มกว้างจนตาเล็กหยี่นั้นบีบน้ำตาให้ไหลออกมา


“ห่า บทจะเรียกก็เรียกง่ายซะ”


“อยากแดกอะ พี่ยงนัม ซื้อ ซื้อ”


“เดี๋ยวดิโว้ย ขอกูดูตังค์ก่อน” มือใหญ่ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหานับธนบัตรโดยไม่ทันเห็นว่าถูกชะโงกมอง


“เงินเยอะจัง เงินเยอะงี้ซื้อให้ฟรีใช่มะ” 


“ฟรีบ้านมึงสิ” 


“โหย ซื้อให้น้องให้นุ่ง”


“มีน้องแบบมึงกูซื้อให้หมายังจะดีกว่า”


“ก็ถือซะว่าเราเป็นหมาก็ได้”


“เออ รอนี่ล่ะกัน” สั่งเสร็จคนตัวใหญ่ก็ผลักประตูหายเข้าไปในร้านและออกมาอีกครั้งโดยมีถุงพลาสติกหิ้วติดมายื่นให้ พอฝ่ายเรียกร้องเปิดออกดูเห็นน้ำขวดใสๆกับน้ำสีแดงงมีฟองด้วยก็โวย


“นี่อะไร ไม่ใช่ไวน์สักหน่อย”


“แดกไวน์ตอนนี้ พรุ่งนี้หัวมึงได้ปวดระเบิดตายห่า เอาน้ำเปล่ากับน้ำแดงไปแดกแทนก่อน ละนี่ตกลงมึงจะบอกทางกลับบ้านมึงมาได้ยัง กูจะให้ติดรถไปลงบ้าน และขอบอกไว้ก่อนเลยว่ากูเพิ่งเปลี่ยนเบาะใหม่มา มึงได้นั่งเนี่ยถือว่ามีบุญมากนะ” 


“ต้องให้กราบเลย... อา ไม่ไหวแล้วจะอ้วก” 


“เอ้า ไอ้ห่า จะอ้วกเหรอ แม่งเอ๊ย เอาถุงนี่ไปรองก่อน  หมดท้องยัง เอาน้ำเปล่าบ้วนปากด้วย บ้วนปากไม่ใช่ให้แดก ถุยทิ้งด้วยสิว้อย” 


ตัวปัญหาทำท่าพะอืดพะอมหนักร้อนถึงผู้ใหญ่ที่มาด้วยต้องหยิบน้ำมาถือเพื่อเอาถุงไปใช้รองแถมยังต้องคอยลูบหน้าลูบหลัง มองดูเด็กที่อาเจียนอย่างบ้าคลั่งลงในถุงอย่างกังวลมากกว่าจะรังเกียจและส่งน้ำให้ในตอนที่ทุกอย่างจบสิ้น


ร่างอ้วนกลมอาเจียนจนแข้งขาอ่อนไถลลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ตาจะปิดไม่ปิดแหล่เช่นเดียวกับสติที่ไม่เข้ารูปเข้ารอยเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกลุงปากร้ายแบกขึ้นหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ หากความที่เท้าลอยสูงจากพื้นทำให้พาลนึกถึงเครื่องโยกสำหรับเด็กรูปเครื่องบินที่เคยเล่นสมัยก่อน


“บรื้นๆ บินไปเลย”


“บรื้นไปเลยบ้านพ่อมึงสิ” เขาสบถพยายามจัดท่าทางตัวเองเพื่อแบกเด็กกวนประสาทไม่ให้ร่วงตก น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกหนักอะไรเลยแม้จะมีมนุษย์ตัวกลมๆเหมือนน้ำหนักเยอะอยู่บนหลัง


“ลุงพาไปหาพ่อได้เหรอ”


“บอกทางกลับบ้านมาสิวะ”


“แต่พ่อเราไปสวรรค์ตั้งแต่เราสี่ขวบล่ะนะ กล้ามปูพาไปได้เหรอ”


“ไม่ได้”


“ไม่ได้จริงดิ เสียดายเนาะ โอ้ๆๆ...กล้ามปู ปู้ ปู ดูตรงนั้นดิ ขนาดจอนั่นยังเป็นสีชมพู ฮือๆๆ เป็นแค่จอโทรทัศน์ยังมีความรักเลย” เจ้าของมือขาวที่เพิ่งตบไหล่เพื่อชี้ชวนให้ดูจอโฆษณาขนาดยักษ์บนตึกสูงใกล้สี่แยกจราจรซึ่งกำลังฉายภาพโปรโมทรายการประกวดหาเกิร์ลกรุ๊ปเฉพาะกิจวงใหม่ในเกาหลีบอกก็ปล่อยโฮออกมา


“มึงนี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว บอกทางไปบ้านแบบละเอียดมา กูจะได้ไปส่ง”


“ฮึก เห็นมะ เราบอกแล้วว่ากล้ามปูไปไม่ถูก รำคาญเราแล้วสิ รำคาญมากก็ทิ้งให้นอนข้างถนนเลยเด้”


“โว้ย พูดจาไม่รู้เรื่องเลยนะมึงเนี่ย ถ้าไม่บอกทางมากูจะพาไปบ้านกูแทนนะเว้ย”


“อะไรกาน” เสียงอ้อแอ้ลากยาวพร้อมนิ้วขาวที่เอื้อมมาจิ้มสันกรามของผู้ทำหน้าที่ให้หลังใช้โดยสาร “เป็นไรกันถึงมาชวนเราไปบ้าน”


“เด็กเหี้ย...กูชักจะปวดหัวเพราะมึงจริงๆแล้วนะเนี่ย”


“ปวดหัวอีกแล้วเหรอ” หน้ามือขาวขยับจากสันกรามเปลี่ยนมาทาบหน้าผาก “ตัวก็ไม่ร้อนนี่ สงสัยจะชอบป่วยการเมืองบ่อย นิสัยไม่ดี”


“รำคาญจริง ทิ้งมึงไว้ตรงนี้เลยดีมะ” เพียงแค่ขู่คนเด็กกว่าที่จดจ่ออยู่กับการมองกรวยจราจรได้ยินเข้าเลยร้องไห้หนักไปกว่าเก่า


“ฮึก กล้ามปู ดูกรวยจราจรดิ ฮือ มันมีคู่ด้วย” 


“แล้วไง”


“กล้ามปู ฮือ กล้ามปูจะทิ้งเราไว้กับกรวยพวกนี้จริงๆเหรอ” 


“ไม่อยากให้โยนทิ้งตรงนี้ก็เงียบๆ”


“ถ้าเงียบขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวกล้ามปูก็เหงา”


“เหงาเหี้ยอะไร”


“ที่หาเรื่องด่าทุกวันเพราะเหงาไม่ใช่ไง”


“กูจะเหงาอะไร เพื่อนกูก็มีเยอะแยะ ไหนจะสาวอีก จัดสรรเวลาไม่ทันแล้วเนี่ย”


“ถ้าไม่เหงาก็เลิกหาเรื่องกันสิ”


“มึงก็อย่าทำตัวให้กูอยากด่าสิวะ” 


“โถ แค่หน้าคล้ายคนรักของแฝดตัวเองก็โดนด่าแล้ว”


“มึงไม่เหมือนน่า อ้วนเตี้ยแบบมึงเนี่ยก็ไม่เหมือนล่ะ จะมีก็แค่ปาก หมาเหมือนกัน”


“หุ้ย คำก็อ้วนสองคำก็อ้วน ถ้าอ้วนนักแบกเราไหวได้ไง”


“มึงเงียบสักนาทีเหอะ กูปวดหัว” สิ้นคำนั้นเองตัวปัญหาบนหลังก็เงียบเสียง แม้คนตัวใหญ่จะขยับเท้าก้าวไปข้างหน้าอยู่หลายนาทีก็ยังเงียบ


“เฮ้ย ไอ้อ้วนหลับเหรอ หลับจริงดิ เด็กเปรต ตื่นมาชวนกูคุยเดี๋ยวนี้เลย”


“โอย ตะกี้บอกให้เงียบๆเองแล้วทีนี้จะมาเรียกทำไม เห็นแหมะ พอเราเงียบก็เหงา กล้ามปูนี่ไม่หล่อแล้วยังปากไม่ตรงกับใจอีก” คนอ่อนกว่าที่ตายังพราวด้วยน้ำว่าแล้วซุกหน้าลงกับหลังกว้างจึงได้กลิ่นน้ำหอมโชยมา “น้ำหอมนี่หอมดีจัง ใช่ น้ำหอมแจกฟรีปะ”


“โอโห มึงจะดูถูกเงินที่กูเสียให้เคาน์เตอร์อาร์มานี่มากไปแล้ว”


“อะไร...ใช้อาร์มานี่เชียว หน้าตาดูไม่น่ามีตังค์เล้ย”


“ถึงกูไม่รวยเท่าน้อง แต่ก็มีเงินล่ะกัน” 


“งั้นกลับไปซื้อไวน์ให้หน่อย”


“ไม่เอา”


“ทำไมอ่า กล้ามปูอย่าขี้ตืดนักสิ”


“ไอ้เด็กคนนี้ ไม่เอาแล้ว อีกไม่ถึงสิบเมตรจะถึงบ้านกูอยู่แล้ว จะให้กูย้อนไปอีก กูไม่ไปหรอก” ทั้งที่ความตั้งใจแรกจะเดินไปให้ถึงรถเพื่อจัได้ขับกลับมาแต่เพราะเด็กบนหลังเอาแต่พล่ามไม่รู้เรื่องรู้ตัวอีกทีก็เดินเป็นสิบกิโลมาจนถึงละแวกบ้าน


...มันตัวเบากว่าที่คิดมากเลยแบกง่าย...


“นี่พามาบ้านจริงดิ ฮิๆ เราสนิทกันเหรอ”


“ห่าเอ๊ย กูแค่สมเพชหรอก” เสียงต่ำลึกเอ่ยอย่างระอาขณะก้าวเท้าผ่านประตูกระจกบานเลื่อนตรงไปยังลิฟต์เพื่อใช้มันพาไปถึงชั้นที่ตัวเองอาศัย 


หลังกดรหัสเสียบคีย์การ์ดเปิดประตูเข้ามาในบ้านที่ไฟเปิดสว่างอัตโนมัติตามการเคลื่อนของประตูถึงได้ฤกษ์วางร่างที่แบกมาเสียไกลลงบนพื้นพร้อมสั่งให้ถอดรองเท้า ทว่าคนที่เมาอย่างไร้สติเอาแต่ดึงเชือกผูกรองเท้าอยู่อย่างนั้นแถมหัวเราะไม่หยุดเลยเป็นหน้าที่เจ้าของบ้านต้องลำบากมาถอดให้แล้วยังต้องพยุงไปจนถึงห้องน้ำ


“กล้ามปู”


“อะไรอีก”


“อยู่บ้านกะใครเหรอ”


“หมา”


“แล้วพ่อกะแม่ล่ะ”


“พ่อไม่อยู่แล้ว ไปสวรรค์เหมือนพ่อมึงไง ส่วนแม่อยู่บ้านกับพี่นาเร”


“ละไหนหมา”


“ทิกเกอร์มันคงหลับ ไม่งั้นคงกระดิกหางมาต้อนรับกูแล้ว”


“ที่บ้านเราก็เลี้ยง”


“บ้านมึงอะนะ”


“อืม ชื่อโมจิ...น่ารัก”


“ทิกเกอร์น่ารักกว่าเยอะ”


“น่ารักกว่าก็เอามาให้ดู”


“มันหลับอยู่ไว้ค่อยดูพรุ่งนี้” 


“จริงนะ แค่กๆ” ถามได้ไม่ทันขาดคำคนเด็กกว่าที่นั่งอยู่บนพื้นก็มีอาการพะอืดพะอมและพ่นทุกอย่างที่เหลือในท้องใส่เจ้าของห้องเต็มๆ


“เหี้ยเอ๊ย” เขาสบถรีบถอดเสื้อเปื้อนอาเจียนออกจากตัวแล้วลากคนเมาไม่เหลือสติไปทิ้งตรงชักโครกเผื่อจะมีอาการอาเจียนอีก จากนั้นถึงออกไปจัดการกับของเสียตรงแถวประตูค่อยแวะกลับมาล้างอาเจียนในห้องน้ำแล้วอาบน้ำตามไปด้วย


“แบบนี้ยังจะหลับได้อี้ก”


ชายหนุ่มบ่นในตอนที่พันผ้าเช็ดตัวปกปิดช่วงล่างเดินออกมาเห็นเด็กกวนประสาทคอพับคออ่อนนอนพิงกับชักโครก มือใหญ่สอดเข้าไปใต้เสื้อฮู้ดสีดำที่มีคราบอาเจียนกระเซ็นใส่เพื่อถอดมันออกถึงรู้ว่ายังมีเสื้ออีกตัวซ่อนอยู่และไม่ได้มีแค่ตัวเดียวเสียด้วย


“อะไรของมึงเนี่ย คนเหี้ยอะไรใส่เสื้อสามชั้น” ถึงปากจะด่ามือก็พยายามดึงเสื้อชั้นแรกจนพ้นจากหัวแต่ด้วยกลิ่นอาเจียนที่ไม่มีทีท่าจะจางลงทำให้ต้องถอดเสื้อตัวที่เหลือออกจนหมดถึงรู้ว่า คนอ่อนกว่ายังมีเสื้อยืดเป็นปราการชั้นที่สี่แถมขนาดตัวที่เคยดูพองหนาเพราะเสื้อผ้ามาตอนนี้ทุกส่วนกลับผอมบางดูเก้งก้างไปหมด


“ตัวมึงก็เท่าเมี่ยงยังจะซ่าส์” เจ้าของบ้านส่ายหัวแล้วเดินข้ามคนที่นั่งบนพื้นห้องน้ำไปหยิบผ้ากับแก้วเพื่อรองน้ำจากก็อกมาผสมกับน้ำยาบ้วนปากและนำมันกลับมายังจุดเดิมถึงก้มลงไปประคองเพื่อเช็ดหน้ารวมทั้งให้ร่างผอมได้อมน้ำในแก้วเข้าไป 


“อย่าแดกนะห่า น้ำผสมน้ำยาบ้วนปาก บ้วนไป เออ เสร็จแล้วบ้วนทิ้งออกมา แบบนั้นแหละ” 


“กล้ามปู” เสียงนั้นเรียกอย่างระโหยโรยแรง “ปวดหัว นอนตรงนี้ได้มั้ย”


“มานอนห่าไรในห้องน้ำ ไปนอนบนเตียงสิ”


“อุ้มหน่อย” สองแขนขาวของคนตัวผอมยื่นออกมาข้างหน้าเหมือนเด็กรอให้อุ้ม หากอีกคนถึงจะถอนใจแต่ก็สอดแขนเข้าไปกอดอุ้มฝ่ายตรงข้ามลอยจากพื้นพาไปถึงห้องนอน


...ใจจริงเขาไม่อยากให้ใครนอกจากคนในครอบครัวเข้ามาถึงห้องนอน แต่ความรู้สึกในใจบอกให้หยวนๆ อีกทั้งห้องอื่นในบ้านก็ถูกเครื่องออกกำลังกายวางเต็มเลยให้ไปอาศัยไม่ได้อีก 


จุนซอหนุนหัวกับหมอนนอนเกลือกไปบนเตียงกว้าง ตาปรือมองยังชายหนุ่มตัวใหญ่ผิวสีน้ำผึ้งที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นสีดำ ส่วนท่อนบนกลับเปลือยเปล่าเผยให้เห็นความสวยงามแข็งแรงแน่นเต็มของมัดกล้ามเนื้อแต่ละส่วนซึ่งเกิดจากการฝึกฝนร่างกายอย่างหนักเป็นประจำอยู่ครู่หนึ่งเปลือกตาก็คล้อยลงมาปิดดวงตาสนิท แม้จะรับรู้ถึงความมืดจากการปิดไฟ สัมผัสของผ้าห่มนุ่มหอมที่คลุมลงมารวมทั้งพื้นที่ข้างเตียงซึ่งยุบตัวลงตามแรงกดของน้ำหนักตัวลุงปากร้ายก็คร้านจะลืมตา


ยงนัมล้มตัวลงนอนพยายามเว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับคนอ่อนกว่าไว้และข่มตาให้หลับด้วยกลัวจะความเหนื่อยจะพาอาการป่วยมาให้ หากก็หลับได้ไม่ถึงห้านาทีก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่หน้าอกจะถูกกำปั้นทุบเข้าให้


...เด็กเหี้ย...


“ยังกะก้อนหิน ไม่นุ่มเลย แบบนี้เป็นหมอนให้ใครไม่ได้หรอกน้า” 


“ไอ้ห่า เมื่อไหร่มึงจะหยุดเพ้อเจ้อซะทีวะ”


“กล้ามปู กล้ามปู ปู้ ปู” เสียงอ่อนเปลี้ยร้องออกมาเป็นเพลงขณะที่มือขยับจากอกมาตบเบาๆที่หน้าอีกคนแทน


“อะไรของมึง มาตบกูได้ไงเนี่ย”


“เราเจ็บ”


“เจ็บห่าอะไรอีก แล้วนี่ยังไง มาตีหน้าผู้ใหญ่แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน”


“ตีเบาๆเอง เจ็บเหรอ”


“เออ”


“หน้าสากจังอะ โกนหนวดเกลี้ยงๆไม่เป็นเหรอ ให้เราสอนมะ” 


“พอได้แล้วอ้วน นอนได้แล้ว” คนแก่กว่าออกคำสั่งจับมือบนหน้าออกก็พลิกตะแคงไปอีกทางด้วยคิดว่าจะได้นอนต่อ กระนั้นเสียงกลั้นสะอื้นกับการสั่นไหวของเตียงนอนทำให้ต้องพลิกตัวกลับมาหา


...คนเมาเวลาอกหักเพ้อเจ้อทุกคนเลยปะวะ...


“ร้องไห้อีกล่ะ จะร้องห่าอะไรนักหนา”


“อย่ายุ่งน่า” คนเด็กกว่าเอ่ยเสียงสั่น


“มึงเอาแต่ร้องกูจะนอนยังไง” 


“งั้นไปร้องในห้องน้ำก็ได้”


"มึงนี่จริงๆนะ มานี่มา”


“ไปไหนอะ”


“มาใกล้ๆกูสิวะ”


“เง้อ...ไม่เอาหรอก เดี๋ยวโดนปล้ำ แรงเยอะจะตายห่า เราสู้ไม่ได้หรอกนะ” เสียงร้องนั้นแหวกขึ้นมาท่ามกลางความมืด


“เหี้ย กูไม่ได้ชอบผู้ชาย”


“แล้วจะให้เข้าไปใกล้ทำไม”


“ถามเยอะจริงเว้ย” เขาบ่นอย่างอ่อนใจก่อนเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ค่อยๆสอดแขนไปใต้เอวผอมแค่ออกแรงดึงนิดหน่อยคนอ่อนกว่าก็เข้าไปในอ้อมกอด


กลิ่นหอมเย็นของเมนทอลจากครีมอาบน้ำผสมกับกลิ่นหอมเปลือกไม้ในครีมบำรุงผิวกรุ่นบนผิวกายหนา ทั้งที่น้ำตายังรินไหลไม่หยุดหย่อนไหนจะแอลกอฮอล์ที่ส่งผลต่อสติสัมปะชัญญะเลือนพร่า หากกลิ่นนั้นทำให้ใจของคนในอ้อมแขนเต็มโครมครามแต่ปากยังพูดกวนประสาทกลบเกลื่อน


“กอดไมอะ”


“กูให้ยืมอกจะได้หยุดร้อง”


“ไม่เห็นอยากได้เลย” 


“ห่านี่ กูไม่ได้ให้ใครมานอนกอดแล้วร้องไห้ฟรีๆหรอกนะ มึงได้ฟรีนี่ควรกราบตีนกูด้วยซ้ำ”


“แล้วสาวที่นอนด้วยล่ะ”


“ไม่ฟรี” 


“อะไร สาวมานอนกะกล้ามปูต้องเสียตังค์ด้วยอ๋อ นอนกับคนไปทั่ว กอดแล้วเราจะติดโรคปะ”


“นั่นปากหรือตีน ถึงกูจะทั่วก็ไม่มั่วนะมึง”


“ฮิๆ” เจ้าตัวยุ่งหัวเราะร่วนซบหัวลงกับอกแล้วใช้มือตบไปอีกรอบ “อกแข็งอะ นุ่มเร็วๆดิ”


“ตบอีกทีกูถีบจริงๆนะ” มือแข็งคว้ามือเล็กกว่าไว้แน่น


“ใช้กำลังอีกละ”


“เถียงกูได้ทำไมไม่หยุดร้องไห้สักที”


“แม่บอกว่าคนเราทำอะไรต้องทำให้สุด”


“ร้องไห้ด้วยเนี่ยนะ”


“อืม...ร้องไห้ให้หมด จะได้ไม่เหลือน้ำตามาร้องอีก”


“เสื้อกูเลอะหมดเพราะมึงเนี่ย พรุ่งนี้ซักเสื้อให้กูด้วย”


“ซักเองดิ”


“นี่กูทำบุญบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปจริงๆสินะ”


“ฮิ...ซักให้ก็ได้”


“ดี”


“กล้ามปู...พรุ่งนี้น่ะ”


“ไร”


“เราจะไม่ร้องไห้แล้ว”


“จะรอดู ถ้ามึงร้องให้กูเห็น กูจะเอาตีนเหยียบหน้ามึง” 


“ฮ่าๆ ถ้าไม่ร้องเอาตีนเหยียบหน้ากล้ามปูคืนได้ปะ”


“โวะ เด็กเปรต”


“เราจับมือกล้ามปูนอนได้มั้ย” 


“อะไรนะ”


“ขอจับมือนอนได้มั้ย”


“ทำไมกูต้องให้จับด้วย”


“ก็เวลาเราไม่สบาย แม่เราจะให้เราจับมือจนหลับ”


“เป็นเด็กประถมหรือไง กูให้มึงนอนกอดฟรีแล้วจะจับมืออีก คิดตังค์” เป็นอีกครั้งที่คนตัวใหญ่บ่นออกมาอย่างรำคาญโดยไม่รู้ว่าริมฝีปากนั้นเหยียดกว้าง


“งั้นเราไม่จับก็ได้” 


“เรื่องมากจริง” มือใหญ่กร้านแต่อุ่นเอื้อมจับมือเย็นเฉียบที่วางอยู่บนอก “ทำไมมือมึงเย็นนักวะ”


“จับมือเราไม คิดตังค์”


“เดี๋ยวกูตบหัวหลุด”


“ฮิ...กล้ามปูมืออุ่นจัง”


“แน่สิ กูเป็นผู้ชายอบอุ่น” 


“โอ๊ย จะอ้วก” 


“อะไร จะอ้วกอีกละ อ้วกอะไรเยอะแยะ”


“อ้วกไอ้ผู้ชายอบอุ่นนี่แหละ”


“รำคาญจริงเว้ย นอนสักทีเหอะ พรุ่งนี้เมาค้างอย่ามาร้องนะ”


“กล้ามปู”


“ไรอีก”


“ถ้าปากไม่หมาก็พอไปวัดไปวาได้นะเนี่ย อยู่กับสาวปากไม่หมาดิ...หาเมียสักคนได้ล่ะนะ แก่ฉิบหายแล้ว”


“เหี้ยเอ๊ย ถ้าจะหากูหาไม่ยากหรอก”


“หาไม่ยากแต่คบไม่ยืด...เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนตลอดล่ะสิ”


“อยากคบนานๆเหมือนกันแต่ยังไม่เจอคนดีๆ”


“คนดีของกล้ามปูคือแบบไหน”


“คนที่รับทุกอย่างที่กูเป็นได้...คนที่ทำให้กูคิดถึงตลอดเวลาและไม่งี่เง่าหาเรื่องทะเลาะเวลากูต้องไปทำงานไกลบ้านนานๆด้วย”


“ก็กล้ามปูเจ้าชู้อะ หายหัวไปตั้งนานผู้หญิงที่ไหนเขาก็นึกว่ามีกิ๊ก เขาจะไปรับได้ไง”


“กูไม่ได้ชั่วขนาดนั้น...เวลากูตั้งใจคบใครจริงจังกูก็คบแค่คนเดียว”


“แต่กล้ามปูชอบทำอะไรตามใจตัวเองด้วย ผู้หญิงเขาก็ไม่ชอบ”


“กูตามใจตัวเองตอนไหน”


“ทุกตอนแหละ...คิดอยากจะมาก็มา คิดจะไม่มาก็ไม่บอก ข้อความก็ไม่ตอบ ทักมาก่อนก็ไม่ได้” จุนซอร่ายยาวด้วยเสียงอ่อนแรงค่อยๆขยับเข้าไปใกล้คนกอดจนหน้าผากแนบกับกล้ามอก


“กูเป็นเจ้าของร้านนะ...กูจะมาตอนไหนมันก็เรื่องของกู”


“ก็นั้นแหละ พวกเอาแต่ใจใครเขาจะชอบ”


“เด็กกวนตีนแบบมึง คนเขาก็ไม่ชอบเหมือนกันแหละวะ” 


“ฮิๆ” เด็กเจ้าปัญหาหัวเราะคิกคักก็เงียบคงมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วผิวเป่ารดบนอกกว้างกับเสียงกัดฟันเหมือนหมาละเมอลอดมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว


...ความอุ่นของลมหายใจแม้จะมีกลิ่นเหล้าหึ่งโชยมากลับทำให้เขารู้สึกแปลกๆ กระนั้นเขากลับไม่มีความคิดจะปล่อยแขนจากการกอดเด็กคนนี้...


“อย่าหายใจบนอกกูสิวะ...นอนกัดฟันได้แต่อย่ากัดกูล่ะไอ้หน้าหมา” 


ยงนัมบ่นกระปอดกระแปดด้วยรอยยิ้มเป็นสุขโดยไม่มีสาเหตุ แขนใหญ่หนากระหวัดรัดร่างผอมที่นอนนิ่งมาแนบหาตัวก่อนวางคางคลึงเบาบนกระหม่อมของคนในอ้อมแขนแล้วจรดจมูกหอมหัวที่มีกลิ่นเหมือนนมเจือมากกว่ากลิ่นเหล้าไปเบาๆ


“วันหลังถ้ากูไม่ไปร้านกูจะบอก...มึงจะได้ไม่รอกูเก้อ ฝันดีล่ะไอ้อ้วน” เขาว่าพลางปิดตาปล่อยฤทธิ์ยาให้พาตัวเองจมลงไปในห้วงนิทราเท่าที่ความมืดแห่งค่ำคืนจะเหลืออยู่


 

You Might Also Like

2 Comments

  1. โอ๊ยยยยยย ฟินเวอร์ถึงจะเถียงกันตลอดแต่ทำไมมันน่ารักอย่างนี้อ่านไปยิ้มไปอ้วนน้อยเอ๊ยยยยยโชคดีแล้วลูกที่หนูได้คู่กับกล้ามปู ถ้ายอมรับหัวใจตัวเองกันได้เมื่อไหร่ละก็นะ คุณอาก็คุณอาเถอะชิดซ้ายแน่นอนเมื่อเทียบกับลุงกล้ามปู โอ๊ยยยอยากให้ได้กันเร็วๆจังจะดูซิว่ายังจะเถียงกันอีกมั้ยยยย

    ตอบลบ
  2. คือแบบ โอ้ยโอ้​ คือ กรีกรี๊ดดดดดดดดดดดดด​ ฮือฮืออออ​ เปงไมโครเวฟที่ป่าเถื่อน น้องงงงทำไมน่ารักง่ะ น่ารักไปเพื่อใคร ทำไม ทำม้ายยยย เพ้อจังเลยเด็ก เขาอุ้มกันง่ะ เขากอดกันแล้ว ฮือฮืออออ​ เริ่มขยับเข้าหากันมากขึ้น ในความปากหมายังมีความน่ารักซ้อนอยู่ แงงงแงงง พิ่ลุงงงงง ดูแลอ้วนดีๆ นะ อย่าตีอ้วน อ้วนตัวก็แค่นั้นเอง เดีเ​น้องหักกลาง รอนะคะ รอซั่มเหมอ

    ตอบลบ