LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 12

23:49

.
...ฉันจะรอนายนะ  ถึงต้องรอเป็นร้อยปี ฉันก็จะรอวันที่นายกลับมาหาฉัน...


คำอำลาแสนเศร้าด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยของเด็กชายคนหนึ่งดังก้องในความฝันปลุกคนตัวผอมที่นอนซุกใต้ผ้าห่มให้สะดุ้งตื่นลืมตาโพล่ง แสงแดดอุ่นจากดวงตะวันส่องผ่านม่านสีขาวสะอาดสาดกระทบกับนัยน์ตาจนต้องยกมือข้างหนึ่งกรองแสงนั้นไว้


ยองแจพลิกตัวนอนตะแคงกลับมาอีกทางพลางย้อนคิดถึงเรื่องราวในความฝันอันเป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พ่อต้องพาเขากับครอบครัวไปสนามบินเพื่อย้ายถิ่นฐานไปอยู่สวีเดน


เด็กชายอายุสิบสองผอมเก้งก้างผิวขาวจัดสวมแว่นตาหนากับเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงสีเดียวกันกล่าวกับเขาพร้อมยื่นแหวนเงินประดับเรือนบนด้วยหินอุกกาบาตของรักของหวงให้เขาไว้เป็นของขวัญวันลาจาก


“จินยอง” เขาเอ่ยนามคนในฝันแล้วผุดลุกจากเตียงเดินไปหยุดยืนหน้าชั้นวางหนังสือข้างหน้าต่างหยิบเอากล่องเหล็กรูปดวงดาวซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นกล่องใส่ช็อกโกแลตจากเบลเยี่ยมที่เพื่อนคนสำคัญผู้นั้นหอบมาให้เป็นของฝากออกมาเปิดดู


จดหมายเขียนจ่าหน้าด้วยลายมือโยกโย้ถึงผู้รับในนาม ปาร์ค จินยองหลายฉบับผูกรวมไว้ด้วยเชือกป่านอัดแน่นอยู่ภายในรวมทั้งข้าวของและแหวนในความฝันที่ตอนนี้ขนาดของมันเล็กเกินกว่าที่เขาจะสวมมันติดนิ้วตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ได้แล้ว


ตั้งแต่จำความได้เขาก็มีจินยองอยู่ในชีวิต ทั้งอยู่บ้านติดกัน  เรียนห้องเดียวกัน มีความชอบหลายอย่างคล้ายกันในระดับที่มองตาก็รู้ได้ถึงความคิดภายในโดยไม่ต้องเอ่ยปาก กระทั่งแบ่งปันความสุขและทุกข์เศร้าที่มีเพียงทั้งคู่เท่านั้นรับรู้


...น่าเสียดายที่การสูญเสียครอบครัวของพี่แจบอมทำให้ทุกคนต้องแยกจาก


ในวันที่ต้องห่างไกลกันเขาเขียนจดหมายหาจินยองทุกวันเพื่อบรรเทาความคิดถึง แม้ในช่วงเวลาเศร้าหมองจากความแปลกใหม่ของสิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่จดหมายทั้งหมดถูกตีกลับ หนำซ้ำเมื่อตัดสินใจขอพ่อโทรทางไกลกลับไปหาผู้รับสายกลายเป็นแม่เลี้ยงของเพื่อนที่เขาชังในความใจร้ายถึงขั้นเคยฟ้องพ่อแม่แต่ไม่มีใครรับฟังแล้วแจ้งไว้ว่า จินยองเกลียดเขาและไม่ต้องการคุยกับเขาอีกแล้ว


...แต่เขาไม่เคยเชื่อคำพูดนั้นจึงเพียรโทรไปหาด้วยหวังว่าจะมีสักครั้งที่เป็นผู้อื่นรับ หากไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้ง เพียงเปล่งเสียงก็โทรกระแทกหูใส่ พอนานไปก็ไม่สามารถติดต่อหมายเลขโทรศัพท์นั้นรวมถึงตัวของจินยองได้เลย


ช่วงที่ตัดสินใจกลับมาเรียนต่อที่เกาหลีเขาเคยพยายามตามหาด้วยการกลับไปหมู่บ้านเก่าซึ่งกลายเป็นหมู่บ้านรกร้างรอการพัฒนาโดยบริษัทหนึ่งที่ควบรวมกิจการของครอบครัวพี่แจบอม...พี่ชายคนสนิทที่เสียชีวิตพร้อมครอบครัวในอุบัติเหตุรถชน


ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมีหลายครั้งที่เขาร้องไห้และได้แต่คิดว่าถ้ามีจินยองอยู่ตรงนี้ด้วยเขาคงมีให้แบ่งปันทุกข์สุขไม่ต้องรอความสงสารเห็นใจจากใครอื่น


...นานแล้วนะที่ไม่ได้แวะไปที่นั้น...

...วันนี้จะแวะไปหา...


เจ้าของห้องถอนหายใจเก็บข้าวของทั้งหมดไว้ดังเก่าแล้วหยิบเสื้อผ้าออกไปอาบน้ำตามปกติ ก่อนจะไปชงกาแฟทิ้งไว้ในครัวถึงออกมายืนดูคนที่หลับเป็นตายไม่มีท่าจะตื่นอยู่บนพื้นหน้าโซฟา


ร่างผอมทรุดลงไปนั่งยองๆมองคนหน้าเหมือนแมวอยู่พักหนึ่งก็หลุดยิ้มเอื้อมมือไปปัดเส้นผมที่ระบนหน้าผากถึงค่อยเลื่อนมาแตะเม็ดไฝใต้ตาและดันปลายจมูกเล่นไปมาอย่างเบามือด้วยความสนุก


...ไม่รู้ทำไมเวลาเห็นแดฮยอนหลับไม่ได้สติอยู่ตรงนี้เขาถึงอดไม่ได้ที่จะแหย่เล่น...


...บางทีถ้าเขาเลี้ยงแมวได้โดยไม่แพ้ขนสัตว์ เขาอาจจะเล่นกับมันแบบนี้...



แดฮยอนแกล้งนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยประสงค์จะได้รับสัมผัสอุ่นรวมทั้งกลิ่นเมล็ดกาแฟผสมกลิ่นจางของลาเวอร์ในครีมอาบน้ำจากปลายมือนั้น


ความจริงเขาไม่ได้พิสมัยกลิ่นเมล็ดกาแฟมากมายนักหรอก แต่พอเป็นกลิ่นกาแฟบนมือเจ้าของบ้านเขากลับอยากดมมันซ้ำแล้วซ้ำอีก


ระยะสามสี่เดือนหลังมานี้เขาจะนอนจับมือยองแจจนหลับหรือกอดตุ๊กตาที่ยองแจให้ยืมนอนและรอให้ถึงเช้าเพื่อจะได้เห็นอาการเลิ่กลั่กที่เขาว่ามันน่ารักดีของอีกฝ่าย จากนั้นจะเดินออกไปร้านกาแฟพร้อมกันซึ่งถ้าวันนั้นไม่มีเหตุจำเป็นให้เข้าออฟฟิศก็จะอยู่โยงจนถึงเวลาร้านปิด 


ถึงอย่างนั้นเขากลับพอใจที่จะอยู่บ้านด้วยกันมากกว่าที่ร้าน เพราะเขามักจะเจอทั้งรุ่นพี่จอมอู้อย่างพี่ฮันเฮที่คอยหนีมาพักพิงชวนรูมเมทเขาคุยอยู่นานสองนาน ไหนจะลูกค้าประจำที่มาซื้ออเมริกาโน่เย็นกับน้ำอย่างอื่นก่อนปิดร้านเพียงสิบนาทีทุกวัน ล่าสุดยังมีเด็กพาร์ทไทม์ที่ได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษถึงขนาดที่เขาทนไม่ไหวต้องเข้าไปวอแวกับเด็กมันบ่อยๆเพื่อกันไม่ให้เด็กคนนั้นใกล้ชิดมากเกินไป


คนแกล้งหลับดมกลิ่นหอมจากมือของรูมเมทอยู่อย่างนั้นจนพอใจถึงทำทีแกล้งขยับตัวเหมือนจะตื่นอยู่ราวสองนาทีจึงลืมตาก็เห็นเจ้าของบ้านชะเง้อคอมองหาอะไรบางอย่างหน้าโทรทัศน์เลยหยั่งเชิงด้วยการถาม


“นายทำอะไรน่ะ” 


“หารีโมทอยู่” เสียงตอบกลับมีแววร้อนลน


“รีโมทเหรอ” เขาถามกลับทำท่าสะลืมสะลือพลางทอดสายตาไปยังรีโมทในมือของอีกคนจึงว่า “ไม่ใช่ว่ามันอยู่ในมือนายแล้วหรอกเหรอ”


“เออ จริงด้วย” ฝ่ายตั้งคำถามหันมองตามคำบอกเมื่อเห็นรีโมทอยู่ในมือดังว่าก็เลิ่กลั่กกลอกตาไปมา ทว่าคนที่เห็นอาการดังกล่าวเต็มสองตาคิดว่ามันน่ารักมากเสียจนอยากจะบอกแต่ก็ทำได้เพียงยิ้มกว้างแทนเท่านั้น


“นี่จะมาดูทีวีเหรอ”


“ก็...อืม แต่ถ้านายจะนอนต่อล่ะก็เดี๋ยวฉันเปิดเสียงเบาๆให้”


“ไม่แล้วล่ะ”


“นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง...ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ทำไมไม่ให้นอนเยอะๆล่ะหรือว่ามีนัดจะออกไปไหน”


“วันนี้วันอาทิตย์ ฉันก็เคยบอกแล้วนิว่า บอสให้ฉันหยุดได้ทุกวันอาทิตย์”


“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ฉันนึกว่านายอาจจะมีนัดกับเพื่อนคนอื่น”


“ไม่มีหรอก แล้วนายล่ะจะออกไปไหนหรือเปล่า ถ้าไม่มีที่ที่นายอยากไป วันนี้เราอยู่บ้านด้วยกันนะ นายมีซีรี่ย์ที่ยังดูค้างอยู่เลยไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันโทรสั่งของอร่อยๆมากิน” 


คนบนพื้นเสนอความคิดเช่นทุกอาทิตย์ที่เจ้าของบ้านไม่มีแผนจะออกไปไหนข้างนอก ส่วนใหญ่เขาจะขอให้อยู่บ้าน สั่งอาหารมากิน แล้วนั่งดูหนังสืบสวนอาชญากรรมไปเรื่อยๆ หรือถ้าเขานึกอยากอ่านหนังสือขึ้นมาก็จะหยิบมันมานั่งอ่านบนพื้นพิงขาของคนบนโซฟาเงียบๆ


ทั้งนี้เขาไม่ใช่คนประเภทชอบอ่านหนังสืออะไรสักเท่าไหร่ นอกจากต้องหาข้อมูลเพื่อประกอบการทำงาน แต่หมู่นี้เขามักจะแวะเข้าร้านหนังสือเพื่อซื้อหนังสือเกี่ยวกับดาราศาสตร์มาศึกษาเพราะอยากเข้าถึงความสนใจของเพื่อนร่วมห้องให้มากที่สุด หากหนังสือเล่มโปรดของเขานอกจากหนังสือภาพดวงดาวกลับเป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องเจ้าชายน้อยที่คนรักดวงดาวซื้อให้เป็นของขวัญ


นอกจากนี้ยังมีหลายครั้งที่เขาจะชวนให้เล่นเกมกระดานอย่างเกมเศรษฐีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปเล่นเกมออนไลน์กับบรรดาผู้คนที่เขาไม่รู้จัก มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากขนาดที่เขาถึงกับถามตัวเองหลายครั้งว่า ทำไมโลกนี้ถึงไม่มีแค่วันอาทิตย์กัน


“วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอก” เจ้าของห้องบอกขณะทอดสายตาผ่านหน้าต่างตรงระเบียงไปด้านนอกอย่างไม่มีจุดหมาย ฝ่ายรับหน้าที่สารถีหลายครั้งหลายหนจึงถามสวนขึ้น


“ไปไหนล่ะ”


“วันนี้นายไม่ต้องไปด้วยหรอก”


“อ้าว...ทำไมงั้นเล่า”


“วันนี้ฉันไม่ได้จะไปเที่ยวน่ะ ถ้านายไปด้วยจะเบื่อเอานะ”


“รู้ได้ไงว่าจะเบื่อ”


“ก็แถวนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านร้าง”


“แล้วทำไมถึงอยากไปที่นั่น...จะไปถ่ายรูปเหรอ”


“เปล่าหรอก”


“ถ้าไม่ได้ไปถ่ายรูปจะไปทำไมกัน”


“ฉันแค่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเก่านะ แต่ที่นั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านเก่าโทรมๆเพราะมันถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่วันที่ครอบครัวของเจ้านายของพ่อฉันเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ นายไปด้วยยังไงก็ไม่สนุกหรอก”


“มันไม่ได้มีแค่บ้านเก่าไม่ใช่เหรอ มันยังมีความทรงจำของนายด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันน่ะก็อยากไปเห็นเหมือนกันนะว่าตอนเด็กนายใช้ชีวิตอยู่แบบไหนมา” เสียงทุ้มเอ่ยคำพร้อมรอยยิ้มกว้างจากคนหน้าหล่อละม้ายแมวมีความเต็มใจจะไปด้วยทุกที่อย่างไม่มีเงื่อนไข น่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับเม้มปากอย่างอึดอัด


...ความใจดีนั้นกัดกร่อนหัวใจเขา...

...แม้จะสุขใจในบางครา หากเขาตระหนักรู้ได้ถึงความทุกข์ที่รอวันระเบิด

...ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนถึงจะห้ามตัวเองไม่ให้เผลอคิดไปไกลเกินสถานะเพื่อน


ช่วงนี้แดฮยอนมักจะใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่าที่ผ่านมาทำให้เผลอไผลพอใจไปกับความสุขหลวงๆ ก่อนที่ค่ำคืนในตอนที่ต้องเป็นฝ่ายถูกจับมือเพื่อช่วยให้หลับถึงคิดได้ว่า มันเป็นการไถ่โทษ หัวใจก็หนักอึ้ง


“เดี๋ยวฉันไปอุ่นข้าวไว้ให้ในครัวแล้วจะไปอาบน้ำ ระหว่างนี้นายกินข้าวกินยารอฉันก่อนนะ”


“อืม” แม้จะอึดอัดใจหากไม่อาจปฏิเสธความหวังดีพร้อมรอยยิ้มที่มอบให้ได้จึงรับคำในลำคอแล้วยืนรอจนอีกคนหายไปจากห้องถึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าไล่อ่านและตอบข้อความที่ถูกส่งเข้ามา จากนั้นจึงกลับเข้าครัวไปดื่มกาแฟและกินข้าวซึ่งถูกอุ่นร้อนรออยู่


“จะไปหรือยัง” เพื่อนร่วมห้องเกาะขอบประตูชะโงกหน้าร้องถามเข้ามาหลังใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์พร้อมปะพรมครีมบำรุงผิวและน้ำหอมแบบลวกๆ จนลืมโกนหนวดให้เกลี้ยงให้ทุกวัน ทว่าหน้าสดกับไรหนวดเหนือริมฝีปากกลับทำให้ดูมีความหล่อมากกว่าความน่ารักเป็นเท่าตัว


“ไปสิ” เขาตอบรับเดินออกจากบ้านลงลิฟต์ก่อนขึ้นรถในฐานะผู้โดยสารและคอยบอกเส้นทางในการไปให้ถึงที่หมายอย่างชำนาญโดยไม่มีการลังเลหลงทิศทางเหมือนทุกครั้งราวกับเคยไปมานับครั้งไม่ถ้วน


รถออดี้เคลื่อนพ้นจากเขตเมืองหลวงไปยังชานเมืองอันเงียบสงบรื่นร่มไปด้วยต้นไม้เต็มสองข้างทาง คนตัวผอมนั่งเกาะกระจกมองไปด้านนอกอย่างกระตือรือร้นรู้สึกเหมือนกำลังกลับบ้านอีกหน ทว่าเมื่อเข้าไปในเขตพื้นที่ของบ้านเก่าที่เจ้าตัวจำไว้แม่นไม่เคยลืมกลับไม่พบบ้านหลังใหญ่เก่าทรุดโทรมเป็นแนวเหมือนเก่า คงมีเพียงพื้นดินโล่งเตียนที่มีบ้านหลังหนึ่งรอการทุบทำลายอยู่ลิบๆกับรถบดอัดดินรวมทั้งรถแบคโฮหลายคันจอดอยู่คล้ายกำลังมีการปรับปรุงสถานที่เตรียมก่อสร้าง


ความตกใจทำให้เขาทุบกระจกรถร้องให้จอดพลางดึงมือจับประตูอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้สารถีตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนใส่อีกครั้งก็ปลดล็อกยอมปล่อยให้ผู้โดยสารวิ่งพรวดลงจากรถ ส่วนตนเองก็ดับเครื่องรีบวิ่งตามลงมา


ยองแจหยุดยืนห่างจากแผงกั้นที่ล้อมรอบผืนดินซึ่งแต่เดิมเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลอิมที่นำมาปลูกสร้างหมู่บ้านแก่ผู้มีอันจะกินก่อนถูกควบรวมกิจการและขายทอดตลาดหลังเกิดเรื่องร้ายกับตระกูลอิมเข้า
 

ไกลออกไปสุดสายตายังคงเหลือคฤหาสน์เก่ารอการรื้อทิ้ง...คฤหาสน์หลังสุดท้ายของอาณาเขตอันเป็นบ้านของเพื่อนคนสำคัญทำให้ผู้มีอดีตมากมาย ณ พื้นดินแห่งนี้หวนคิดถึงความทรงจำเก่าก่อนโดยเฉพาะความทรงจำถึงจินยองนั้นดูจะแจ่มชัดกว่าใครทั้งหมด


หัวใจภายในอกคล้ายหล่นวูบตกพื้นพาให้นัยน์ตากลมทั้งคู่สั่นระริก หน้าขาวแดงเถือกไปถึงหูจากความอดกลั้นไม่ให้น้ำตาหลังรินแม้นจะเศร้าเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร


“ยองแจ” ผู้มาด้วยก้าวตามหลังมาเรียกหาพลางกวาดมองไปโดยรอบกระทั่งเห็นตราสัญลักษณ์ของบริษัทเจ้าของโครงการปรากฏบนแถบกั้นก็ลืมตัวขบกรามไว้แน่นราวกับเป็นสิ่งที่ตนเองชิงชังยิ่ง กระนั้นอีกฝ่ายยังนิ่งคล้ายไม่ได้ยินไม่แม้แต่จะเหลียวมายังคนตัวสูงกว่าที่ยืนเทียบอยู่ข้างๆ


“เขาทุบบ้าน” เสียงอ่อนทอดยาวอย่างเศร้าสร้อย “เมื่อก่อนฉันมาที่นี่ทุกอาทิตย์ มาทีไรก็เหมือนได้เห็นภาพความทรงจำเก่าๆย้อนมาอยู่ตรงหน้า มันเป็นความทรงจำที่ดีมากเสียจนทุกวันนี้ฉันก็ยังฝันถึง แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันเป็นทรัพย์สินของคนอื่นแล้วแต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้”


“อา”


“ยังดีนะที่วันนี้มา...อย่างน้อยก็ยังเหลือบ้านหลังนั้นไว้ให้เห็น”


“แล้วบ้านหลังนั้นน่ะ...บ้านใครเหรอ” ผู้ฟังจับแววน้ำเสียงหมองหม่นได้แต่แรกเอ่ยถามด้วยต้องการเบี่ยงประเด็นความเศร้าของอีกฝ่าย 


“บ้านของจินยอง” 


วินาทีที่ชื่อของคนสำคัญลอดผ่านริมฝีปากตาก็เริ่มสั่นระริก “เขาเป็นทุกอย่างของฉันเลยนะ...ตอนนั้นน่ะเขาเป็นทั้งเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิต คนที่ยอมหนีออกจากบ้านกลางดึกเพื่อมาดูดาวหางกับฉัน คนที่ไม่ว่าฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เคยทิ้งฉันไปไหน เขาใจดีมากเลยนะ ทั้งที่เป็นคนดีและบ้านก็รวยมากแท้ๆแต่ต้องถูกแม่เลี้ยงทำร้ายจิตใจโดยที่ฉันเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าอยู่ข้างๆ” 


“แล้วเขาไปไหนซะล่ะ” ถ้อยคำถามจากเสียงสดใสกลบลบความรู้สึกจริงแท้ในใจ


“ตอนที่ครอบครัวพี่แจบอมเสียน่ะ ที่ดินแถวนี้เป็นของครอบครัวพี่เขาที่แบ่งขายให้เพื่อนกับลูกน้องแต่ไม่ได้ซื้อกันด้วยเงินสดน่ะ พอเกิดเรื่องที่นี่เลยถูกยึด ทุกคนก็กระจายกันไปหมด ตอนฉันย้ายไปสวีเดน ฉันก็พยายามติดต่อจินยองกับพี่ทุกคนแต่ติดต่อใครไม่ได้เลย พอกลับมาฉันก็ลองตามหาดูแต่หาไม่เจอ”


“เขาเป็นคนสำคัญของนายมากเลยสินะ” คนสูงกว่ากลั้นใจถามอย่างหวาดหวั่น


“ใช่ และถ้าเป็นไปได้ ถ้าพระเจ้าจะใจดีกับฉันหน่อย ฉันก็อยากเจอเขาอีกสักครั้งในชีวิตถึงจะแค่ครั้งเดียวก็ตาม”


คำตอบมีแววอาวรณ์หนักหนามีผลให้หน้าเปื้อนยิ้มนั้นสลดลง นัยน์ตาคมเหลือบยังเจ้าของคำพูดที่เฝ้ามองยังบ้านหลังนั้นราวกับผู้เคยอาศัยในบ้านหลังนั้นสำคัญมากเหลือเกินก็เม้มปากสกัดกั้นความหงุดหงิดที่คุกกรุ่นอยู่ในอก...คนแปลกหน้าสำหรับเขาผู้นั้นถูกพูดถึงให้ได้ยินน้อยครั้ง หากทุกครั้งที่ถูกกล่าวถึงแววตาน้ำเสียงของผู้พูดนั้นมีความสุขเปี่ยมล้นจนเขาอดไม่ได้ที่จะคิดริษยา ทว่าครั้งนี้ใครคนนั้นพาความทุกข์เศร้ามาให้แก่นางฟ้าของเขา ผลแห่งความอิจฉาพาให้ใจร้อนลนระคนคล้ายถูกบีบเค้นอย่างแรงเสียจนเจ็บแน่นแทบน้ำตาตก


แผ่นหลังผอมใต้เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีฟ้าอมเขียวลายทางตรงสีขาวยังหยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าผืนดินที่ใกล้จะไม่เหลือสิ่งปลูกสร้างใดให้ได้เห็นโดยไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน พาให้ผู้ไม่เคยมีความทรงจำวัยเด็กร่วมกันมาหายใจติดขัดมีเพียงเท้าที่ก้าวถอยและเดินหน้ากลับไปยืนซ้อนหลังของอีกฝ่ายก่อนจะโน้มตัวลงวางหน้าผากไว้บนไหล่ด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับนักกีฬาที่พ่ายแพ้ต่อการลงสนามแข่งขันอย่างหมดท่า


เจ้าของไหล่สะดุ้งในทันทีที่รับรู้ถึงน้ำหนักและความอุ่นที่กดลงมาก่อนเหลือบตาไปยังหัวทุยของอีกคนที่ซบลงมาเลยเป็นห่วงจึงเปิดปากถาม


“เรากลับกันมั้ย...กลับกันดีกว่านะ ลมมันเย็นมากด้วย เดี๋ยวนายหนาวแล้วจะไม่สบายเอา” เสียงทุ้มเสนอออกมาอย่างอ่อนระโหย


“นายเป็นอะไรไป ปวดหัวเหรอ”


“ถ้าฉันเป็นคนที่นายคิดถึงตลอดเวลาก็คงดี” ประโยคนั้นพึมพำเบาเสียจนไม่เพียงพอจะให้คนได้ยินจับใจความได้เลยต้องทวนถามซ้ำ


“นายว่าอะไรนะ”


หากแดฮยอนกลับเงียบเพียงเงยหน้าจากไหล่ขยับถอยออกไปยืนอยู่ข้างหลังและเหยียดยิ้มกว้างเช่นทุกคราที่อีกฝ่ายหันหลังกลับมามอง ชั่วนาทีนั้นสายลมโชยพาดมาพากิ่งใบบนต้นไม้ให้สั่นไหวกระทั่งปลิดขั้วดอกไม้แยกเป็นกลีบลอยละลิ่วมาติดตรงใต้ดวงตาของคนหน้าละม้ายแมวหนุ่มที่มองผ่านๆดูราวกับเป็นหยดน้ำตาอย่างไรอย่างนั้น
“ดอกไม้ติดหน้าแน่ะ” เพื่อนร่วมบ้านว่าก้าวเท้าห่างจากแถบกั้นเขตก่อสร้างไปดึงมันออกแล้วยื่นให้ “เนี่ย ติดอยู่ใต้ตาพอดี กลีบสีขาวนี่เหมือนน้ำตากระดาษที่พวกตัวตลกชอบติดเลย”


คนตัวสูงดึงกลีบดอกไม้จากปลายนิ้วอีกคนแล้วแบมือมองดูมันปลิวตามลมลอยไปไม่ไกลก็ร่วงหล่นสู่พื้น


“บางครั้งคนเราก็ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา บางครั้งคนเราอาจจำเป็นต้องกลายเป็นตัวตลกทำให้คนชวนหัวทั้งที่ข้างในแหลกสลายไม่มีชิ้นดี” ถ้อยความราบเรียบเหมือนไม่รู้สาแม้นว่าหัวใจทั้งดวงจะแตกร้าวจากรอยแผลในอดีตลากยาวมาจนปัจจุบัน


“ดีนะที่นายไม่ใช่ตัวตลก ไม่งั้นฉันคงเสียใจแย่ ถ้าต้องเห็นนายยิ้มทั้งที่ร้องไห้...กับฉันน่ะนายไม่ต้องฝืนใจทำอะไรหรอก แค่ทำอย่างที่อยากทำแต่คิดถึงใจฉันหน่อยก็พอ” สิ้นคำรอยยิ้มของผู้พูดกลับปรากฏบนใบหน้าที่แดงก่ำจากความพยายามกลั้นน้ำตา 


คนตัวสูงกว่ายิ้มตอบพยายามกดความรู้สึกอิจฉาที่แล่นเข้ามาอีกคราหลังได้เห็นร่องรอยความเศร้าจากเพื่อนร่วมบ้านที่มีต่อใครคนอื่นซึ่งดูจะสำคัญเหนือกว่าเขาก่อนจะชวนให้ออกไปหาอะไรกิน โดยระหว่างทางที่ขับรถกลับฝ่ายผู้โดยสารยังคงเกาะกระจกมองสถานที่แห่งความทรงจำของตนเอง


ทั้งสองไปกินข้าวผัดกิมจิกับเกี๊ยวในร้านอาหารริมทางเจ้าดังแห่งหนึ่งที่ค้นเจอจากในอินเตอร์เน็ต กระนั้นคนตัวผอมกลับเหม่อลอยเหมือนยังติดค้างอยู่กับสถานที่ในความทรงจำวัยเด็กของตน สุดท้ายหลังขึ้นรถมาอีกครั้งฝ่ายที่เฝ้ามองอย่างอดทนมาตลอดเลยตัดสินใจเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากบ้านมุ่งไปศูนย์การค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ในควังเมียงแทน


“ทำไมถึงมาอิเกียล่ะ” ผู้โดยสารถามเมื่อรถแล่นเข้าใกล้อาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินมีตัวอักษรชื่อร้านสีเหลืองเด่นชัดปลูกสร้างไว้อย่างใหญ่โตก่อนที่ทุกอย่างจะหายลับไปกับตาแทนที่ด้วยบรรยากาศภายในอาคารจอดรถ


“นายมาอิเกียทำไมอะ จะซื้ออะไรเหรอ” คนคุ้นเคยกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์นี้ดีเนื่องจากอยู่สวีเดนมาก่อนถามอีก


“มาซื้อผ้าม่าน วอลเปเปอร์หรืออาจจะมีพวกชุดเครื่องนอนด้วย” สารถีบอกเท่านั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขโทรออก เมื่อปลายสายซึ่งเป็นรุ่นพี่และหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทที่ร่วมมือกับบริษัทแม่มาเปิดสาขาในเกาหลีกดรับก็เกริ่นถามไถ่ไปเรื่อยเปื่อยจึงค่อยวกถามหาส่วนลด


“ส่วนลดพ่อมึงสิ...กูเป็นหุ้นส่วนยังไม่เคยได้ส่วนลดสักกะวอน ละมึงเป็นใครจะมาถามหาส่วนลด เดี๋ยวกูโบกหัวหลุด” เสียงแหบต่ำลอดโทรศัพท์นั้นดังขนาดที่คนโดยสารยังได้ยิน


“ตะกี้พี่ยงนัมเหรอ”


“อืม”


“โทรไปทำไม"


"ก็พี่เขาเป็นหุ้นส่วน เผื่อจะขอส่วนลดได้"


พี่เขาไม่มีส่วนลดให้หรอก พี่ยงนัมน่ะเขาเป็นคนประเภทไม่ชอบใช้สิทธิ์พิเศษ อย่างเมื่อก่อนตอนพี่ฮิมชานจะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านให้ฉันน่ะ เขาก็มาเดินกับพี่ยงนัมนี่แหละแต่พอจ่ายเงินพี่เขาไม่แสดงตัวอะไรนอกจากเอาบัตรสมาชิกอิเกียให้พี่ฮิมชานยืม อ้อ จะว่าไป ไอ้บัตรสะสมแต้มกาแฟนี่พี่เขาต้องได้ฟรีห้าหกแก้วแล้วนะแต่ไม่เห็นเอามาแลกเลย สงสัยต้องบอกให้เด็กในร้านพี่เขาให้เอามาแลก”


“เออ เมื่อกี้ก็ลืมบอกพี่เขาเรื่องเวลาปิดร้าน...เขาจะได้ไม่ส่งใครมาซื้อกาแฟตอนนายกำลังเก็บร้านอีก”


“บอกทำไม พี่เขารู้เวลาเปิดปิดร้านอยู่แล้ว”


“อ้าว ถ้ารู้แล้วทำไมยังส่งคนมาซื้อตอนนั้นอีกล่ะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจเพราะพี่เขามาร้านสักตอนทุ่มกว่าบ่อยๆก็เลยต้องให้มาซื้อตอนนั้น”


“ร้านอื่นก็มีไม่เห็นไปซื้อ”


“พี่เขาคงอยากอุดหนุนฉันน่ะ”


“อุดหนุนแค่สองแก้วทุกวันแต่ต้องแลกกับเสียเงินจ้างคนมาช่วยแค่ช่วงปิดร้านเนี่ยมันไม่คุ้มเลยนะ”


“พี่เขาไม่ได้ให้มาซื้อทุกวันซะหน่อย บางอาทิตย์ไม่มาซื้อเลยก็มี”


“จริงดิ...แล้วทำไมเวลาฉันอยู่ร้านถึงเห็นเด็กนั่นมาซื้อตลอดเลย”


“ก็นายมาวันที่พี่เขาให้เด็กมาซื้อกาแฟทุกทีก็เลยเจอทุกครั้งไง”


“ถ้ามาไม่ทุกวันก็ไม่เห็นต้องจ้างจงออบ รอให้ฉันมาช่วยเก็บร้านก็ได้”


“นายไม่ได้ว่างขนาดนั้นสักหน่อย บางวันนายก็อยู่สตูดิโอข้ามวันข้ามคืน ขืนรอให้นายมาช่วย ฉันคงได้นอนที่ร้านพอดี อีกอย่างจ้างจงออบเขาก็เป็นเด็กดี ขยัน ตลกด้วย ยังไงค่าแรงเขาก็มาจากเงินค่าเช่าบ้านของนายอยู่ดี นายเองก็ชอบน้องเขานี่ จ้างน้องไว้ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร”


ยองแจว่าพลางหวนคิดถึงนักศึกษาพาร์ทไทม์หน้าตายที่เข้ามาสมัครงานในร้านเขาแบบงงๆและเขาก็รับทำงานแบบงงๆเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงรู้ว่าเด็กคนนี้น่ารัก ขยันทำงาน ชอบชวนเขาคุย เวลายิ้มหรือหัวเราะก็สดใสดีทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีเวลาที่เห็นเพื่อนร่วมบ้านคอยวอแวกับน้องอยู่ตลอด อย่างล่าสุดก็เห็นยอมให้ขี่หลังเดินเล่นไปทั่วร้าน แต่เขาไม่เคยคิดจะเลิกจ้างน้องเพราะยังไงน้องเขาก็ไม่ได้ทำผิด


...ในความเป็นเพื่อน ไม่มีเพื่อนคนไหนมีสิทธิ์ไปหึงหรือหวง...


เสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงยีนส์ทำให้ความคิดทั้งหลายมลายไปในอากาศ คนตัวผอมที่กำลังเดินตามหลังเพื่อนร่วมบ้านออกจากลานจอดรถเข้าไปภายในอิเกียหยิบมันออกมาดูหน้าจอซึ่งปรากฏชื่อของพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเหมือนพ่อคนที่สามจึงกดรับสาย


“พี่มีอะไรเปล่าอะ” เขาทักทายเช่นทุกครั้ง


“ถ้าไม่มีจะโทรหาไม่ได้หรือไง” ปลายสายย้อนด้วยประโยคเดิมเหมือนทุกที


“กินข้าวแล้ว กินยาแล้ว เมื่อวานนอนสี่ทุ่มครึ่ง” 


“พี่ยังไม่ทันได้ถามเลย แกจะบอกทำไมวะ”


“ก็พี่ถามแบบนี้ทุกวันจนรู้แล้วว่าต้องตอบอะไร”


“เออ กินข้าว กินยาเรียบร้อย นอนไม่เกินห้าทุ่มก็ดีแล้ว ละนี่วันนี้หยุดใช่มั้ย จะออกไปไหนหรือเปล่าพี่จะได้ขับรถไปรับ”


“พี่ว่างขนาดขับรถมารับมาส่งผมได้แล้วเหรอ เห็นวันก่อนยังมายืนบ่นเรื่องโปรเจคใหม่ตั้งแต่ร้านผมยังไม่เปิดดีเลย”


“คนเรามันก็ต้องมีวันหยุดกันบ้างสิวะ ไม่งั้นตายพอดี”


“แต่วันนี้แดฮยอนขับรถพาผมออกมาข้างนอกแล้ว จะให้พี่มารับมาส่งอีกคงไม่ได้หรอกนะ”


“อะไร แดฮยอนอีกแล้ว เหอะ นี่มันว่างทุกอาทิตย์เลยหรือไง ถึงได้มีเวลาขับรถพาเราไปไหนมาไหนตลอดเนี่ย”


“เห็นเขาบอกว่าเจ้านายให้หยุดวันอาทิตย์”


“อย่างนั้นเหรอ” ปลายสายพูดขึ้นก็เงียบไปพักหนึ่งจึงต่อ “เออ เมื่อกี้พี่ผ่านร้านแกมา ไอ้ประกาศรับสมัครพนักงานที่แกแปะข้างเสาร้านนี่คืออะไร”


“อ๋อ ผมได้คนตั้งนานแล้วแหละแต่ลืมเอาออก”


“ฮะ...นี่จ้างคนแล้วด้วย จ้างโดยไม่บอกพี่สักคำเนี่ยนิ ละลูกค้ามันเยอะมากหรือไง ถ้าเยอะมากทำไมไม่บอกพี่จะได้หาคนไว้ใจได้มาช่วย” เสียงเข้มจากปลายสายโวยวายลั่น


“ทำไมผมต้องรอให้พี่หาคนให้ตลอดด้วยล่ะ ผมไม่ใช่เด็กซะหน่อย”


“แกมันขี้สงสาร เกิดไปรับโจรมาทำงานจะว่าไง ไอ้เงินหายน่ะไม่เท่าไหร่แต่วันไหนเกิดโดนทำร้ายจะทำยังไง”


“โอ๊ย พี่นี่ก็มองโลกแง่ร้ายเหลือเกิน โจรบ้าบออะไรละ คนที่ผมจ้างเขาเป็นนักศึกษาแล้วก็เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยแต่ทางบ้านไม่ค่อยมีเงินก็เลยต้องหางานพิเศษทำ แต่เขามีเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังซ้อมเสร็จ ผมก็เลยให้เขาช่วยงานสองสามชั่วโมงก่อนปิดร้าน”


“เดี๋ยวนะ นี่แกจ้างพนักงานมาทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยนะ ไอ้บ้า ใครที่ไหนเขาจ้างงานอย่างนั้นกันวะ ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร มีแต่ขาประจำ ขาจรแทบไม่มี แกก็ดูแลร้านคนเดียวมาตั้งนาน ไม่เห็นมีปัญหา เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงนึกจ้างคน เปลืองเงินไม่เข้าท่า ”


“ก็มันมีลูกค้ามาตอนใกล้ปิดร้านพอดี ผมขี้เกียจปิดร้านช้าเกินก็เลยจ้างน้องเขาไว้ ไม่เป็นไรหรอกน่า น้องเขาไม่ค่อยมีเงิน จ้างไว้ก็ถือว่าช่วยๆกัน”


“กับคนอื่นนี่ใจดีเหลือเกิน กับพี่นี่พูดจาให้มันดีหน่อยยังไม่ได้ คุยด้วยทีปวดประสาทจะแย่”


“พี่ปวดประสาทก็ไปหาหมอสิ มาบอกผมจะได้อะไรเล่า”


“โวะ ไอ้เด็กคนนี้นิจะไม่หยุดกวนพี่ใช่มั้ย”


“ผมไม่ได้กวนนะ บอกด้วยความเป็นห่วง ไม่เอาล่ะ ไม่อยากคุยกับพี่แล้ว คุยไปคุยมาอีกสักพักได้ทะเลาะกันแน่เลย เอาเป็นว่าผมไปซื้อของก่อน ส่วนพี่ก็ไปทำธุระของพี่เถอะ บะบาย” เขาตัดบทเสียดื้อๆแล้วปิดเสียงโทรศัพท์ไม่สนใจต่อการสั่นสะเทือนจากการโทรเข้ามาของพี่ชายก้าวเท้าฉับไปหาคนที่ยืนรออยู่แถวหน้าประตูทางเข้าแล้วถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการมาซื้อ


“มาซื้อของที่นายชอบไง” คนตัวสูงตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินนำไปตามลูกศรบนทางเท้าผ่านรูมที่กั้นไว้เป็นห้องต่างๆภายในบ้านซึ่งจัดตกแต่งอย่างสวยงามน่าอยู่มากด้วยประโยชน์ใช้สอย แต่ไม่มีอะไรที่เป็นลายดาวหรือเกี่ยวกับอวกาศอย่างที่ตั้งใจจึงพากันกลับขึ้นรถขับกลับเข้าโซลตระเวนหาร้านเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านที่ต้องการโดยการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอยู่นานกว่าจะเจอ


ร้านกาแล็คซี่ออฟเลิฟซ่อนตัวอยู่ในซอยลึกย่านอิแทวอนขายทุกอย่างเกี่ยวกับดวงดาว เพียงเปิดประตูได้แหวกมือผ่านม่านคริสตัลรูปดาวระยิบระยับก็ทำให้ผู้หลงใหลในจักรวาลตื่นเต้น ยิ่งได้เห็นกล้องดูดาวโบราณหลากหลายขนาดใจก็เต้นรัวได้แต่เดินไปเดินมาดูนั่นดูนี่ไปทั่วด้วยแววตาเป็นประกายสดใสราวกับไม่เคยมีความเศร้าใดย่างกรายมาหา 


“น่ารักดีเนาะ ถ้าเอาไปติดในห้องคงดี” คนตัวผอมพึมพำจ้องมองผ้าม่านสีครามปักลายหมู่ดาวทั่วผืนสลับกับวอลเปเปอร์ลายสะเก็ดดาวในอวกาศ


“ซื้อมั้ย เดี๋ยวซื้อให้”
 

“ไม่เอาหรอก...ถ้าฉันอยากได้ ฉันจะซื้อเอง” เมื่อได้ยินข้อเสนอเจ้าตัวก็รีบปฏิเสธ


“ฉันเห็นนายมองอยู่ตั้งนานไม่ซื้อซะที”


“ก็ฉันไม่รู้ขนาดห้องเลยกะไม่ถูกว่าจะซื้อเท่าไหร่ถึงจะพอดี อีกอย่างซื้อไปก็ติดเองไม่ได้ต้องจ้างช่างมาอีก ฉันขี้เกียจฟังพี่ฮิมชานบ่นตอนโทรไปขอให้ช่วยหาช่าง”


“ก็ลองซื้อไปก่อน ส่วนเรื่องช่างฉันหาได้”


“นายอะนะจะหาช่างได้”


“ไม่เห็นยาก แค่ไปหย่อนถามไว้ในกรุ๊ปแชทเดี๋ยวก็มีคนช่วยหาช่างให้แล้ว”


“โห นิสัยไม่ดีเลย”


“ไม่ดียังไง...เวลาคนรู้จักฉันเขาอยากให้ช่วยยังมาถามทิ้งในแชทเลย”


“ทีพี่ฮิมชานเขาไม่เห็นทำแบบนั้นเลย ฉันอยากได้อะไรแค่บอกพี่เขาก็หาให้ได้แล้ว”


“ฉันไม่ใช่นักธุรกิจนะถึงจะได้หาคน หาของให้ได้แบบปัจจุบันทันด่วน แต่ถึงยังไงถ้านายอยากได้อะไร ฉันจะหามาให้จนได้แหละน่า อย่าคิดมากเลย ถ้าอยากได้ก็ซื้อ ถ้าไม่มีเงินเดี๋ยวฉันออกให้ก่อน ลองเอาไปลองทาบดูว่ามันเหมาะกับห้องมั้ย ส่วนช่างลองถามที่ร้านก็ได้ว่ามีบริการช่างมั้ย ถ้าไม่มีฉันจะหาช่างให้เอง”


“แต่ว่า...” พอตั้งท่าจะค้าน อีกฝ่ายก็แทรกด้วยการเรียกพนักงานมาแล้วสั่งทั้งวอลเปเปอร์และผ้าม่านรวมถึงโคมไฟจำลองดวงดาวและจักรวาลพร้อมหยิบบัตรเครดิตของตัวเองให้เสร็จสรรพเลยโวยขึ้น


“นี่ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะซื้อ”
 

“ไม่เป็นไร ซื้อไปก่อน ค่อยว่ากัน”


“รวยมากเหรอไง ถึงเที่ยวซื้อนั่นซื้อนี่ให้คนอื่นเขา เมื่อกี้ก็แย่งจ่ายค่าข้าว”


“ไม่รวยหรอก แต่มีพอเลี้ยงนายก็แล้วกัน” ประโยคนั้นมีรอยยิ้มกว้างจากคนหน้าเหมือนแมวที่ยื่นมาใกล้แถมมาทำให้หัวใจคนฟังเต้นโครมครามแต่ต้องห้ามตัวเองไว้


...บ้าบอ...

...ห้ามรู้สึกดีใจนะ...


“เดี๋ยวฉันจะจ่ายคืนให้”


“ไม่ต้อง...ฉันอยากซื้อให้”


“นายซื้อของให้ฉันเยอะแล้วน่า...เก็บเงินเก็บทองไว้ใช้เองบ้างเหอะ”


“ฉันใช้ไม่เยอะหรอก ยิ่งตอนนี้ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยมีเงินให้เก็บเพิ่มเยอะเลย”


“มีเยอะก็เก็บให้เยอะขึ้นสิจะได้มีเงินไปซื้อบ้านอยู่แทนเช่าเอาแบบนี้”


“เก็บเงินซื้อบ้านในโซลคงซื้อไม่ได้หรอก แพงจะตาย”


“งั้นวันหลังฉันคิดค่าเช่าเพิ่มนายจะทำไงอะ”


“ก็จ่ายเพิ่มไง”


“แล้วถ้าวันหนึ่งนายเกิดมีผู้หญิงที่อยากแต่งงานด้วยขึ้นมาจะทำไง จะเอาเธอมาแชร์ห้องฉันเพิ่มน่ะ ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”


“ฉันไม่แต่งหรอกน่า”


“กล้าพูดเนาะ คนอย่างนายน่ะมีคนชอบตั้งเยอะ คบไปคบมาต้องมีสักคนแหละที่อยากอยู่ด้วยไปตลอด” 


“จะว่าไปมันก็มีแต่ไม่ใช่แฟนน่ะ แล้วนายล่ะ มีคนที่อยากจะอยู่ด้วยไปตลอดหรือยัง”


“ตอนนี้น่ะเหรอ...” คนผอมกว่าลากเสียงปรายตายังคู่สนทนาครู่หนึ่งก็ละสายตาไปทางอื่นจึงต่อ “ยังหรอก แต่ก็อย่างที่เคยบอก ถ้าฉันสามสิบแล้วพี่ฮิมชานยังไม่มีใคร เราสองคนจะอยู่ด้วยกัน”


“แล้วฉันล่ะ...”
 

“นายก็ไปอยู่กับแฟนนายสิ”


“ทำไมถึงต้องไล่ฉันไปอยู่กับแฟนด้วย ถ้าเกิดฉันไม่มีแฟนล่ะ ถ้าตอนฉันอายุสามสิบแล้วยังไม่มีใคร ฉันอยู่กับนายด้วยได้มั้ย”


“ถึงตอนนั้นนายคงแต่งงานไปแล้วแหละ”


“ถ้าไม่แต่งล่ะ ถ้าฉันไม่มีใครสักคนนอกจากนาย...นายจะไม่ทิ้งฉันไปใช่มั้ย” 


ประโยคคำถามจากใจสวนกลับรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการคิดใดให้วุ่นวายกับสีหน้ากังวลใจมากนั้นทำให้อีกคนรู้สึกโหวงๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากไม่ทันจะได้พูดอะไรพนักงานในร้านก็เดินหิ้วถุงกระดาษใบใหญ่สามใบพร้อมใบเสร็จบัตรเครดิตที่รอการเซ็นจากเจ้าของบัตรกลับมาหา


แดฮยอนเซ็นชื่อลงไปตามปกติก็ชวนกลับบ้าน ต่างฝ่ายต่างเดินไปขึ้นรถที่จอดเทียบอยู่หน้าร้านเงียบๆกระทั่งถึงบ้านคนออกเงินก็เป็นฝ่ายหิ้วของทั้งหมดในถุงตรงไปทางห้องนอน


“เดี๋ยวๆจะทำไร จะเข้าห้องฉันเหรอ ไม่ได้นะ” เสียงจากเจ้าของบ้านแว้ดขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนร่วมบ้านหยุดยืนหน้าประตูห้องตัวเองพร้อมวิ่งไปยืนขวางประตูไว้โดยไว


“ถ้าไม่ให้เข้าแล้วฉันจะติดผ้าม่านกับวอลเปเปอร์ให้นายได้ไง นายทำเองไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”


“นายก็ทำไม่เป็นเหมือนกันแหละ”


“รู้ได้ไงว่าฉันทำไม่เป็น”


“ก็...ที่ร้านนายยังพูดถึงช่างอยู่เลย”


“นายถามเรื่องช่างเองไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยคุยเรื่องช่างด้วย แต่จริงๆแล้วของพวกนี้มันไม่ได้ติดยากอะไรขนาดนั้น รุ่นนี้มันมีกาวในตัว ไม่ต้องผสมกาวทาผนังเอง ยังไงนายให้ฉันลองดูก่อน ถ้าฉันทำเสีย ฉันจะจ้างช่างมาซ่อมห้องให้”


ยองแจเม้มปากมองหน้าของเพื่อนร่วมบ้านอย่างชั่งใจอยู่พักหนึ่งถึงยอมขยับพ้นจากประตูแต่ไม่วายยังสั่ง


“ติดม่านกับวอลเปเปอร์อย่างเดียวนะ ห้ามแตะของในห้อง”


“ใครจะแตะกัน แต่ถ้ากลัวนายก็อยู่คุมงานสิ เผื่อฉันเผลอไปจับอะไรในห้องนายเข้า นายจะได้เตือนทัน”


“ถ้าฉันอยู่มันจะไม่เกะกะเหรอ”


“ไม่หรอก นายตัวนิดเดียว อยู่ตรงไหนก็ไม่เกะกะฉันหรอก” ช่างจำเป็นตอบ แม้จะประเมินด้วยสายตาได้ว่าห้องนอนกระทั่งเตียงนอนเจ้าของบ้านเล็กกว่าห้องของเขา ดีที่มีตู้ติดผนังขนาดใหญ่ให้เก็บข้าวของทำให้มันดูไม่แคบถึงจะมีตุ๊กตาจำนวนมากกองเต็มเตียงไปหมด


...ห้องนี้มีกลิ่นของเทียนหอมอวลอยู่ด้วย...


ช่วงที่แกล้งเมากลับบ้านเขาไม่เคยได้เข้ามาในห้องนี้เพราะถูกลากพาไปนอนในห้องตัวเองตลอด พอได้เข้ามาก็รู้สึกดีใจอย่างประหลาด


“ตัวนิดเดียวอะไร ฉันสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่านะ พูดยังกะฉันสูงเท่าเด็กสองขวบ”


“แต่ตัวเล็กกว่าฉันนะ แรงก็ไม่ค่อยจะมี”


“อะไร ใครว่าฉันไม่มีแรง ฉันน่ะแรงเยอะจะตาย” เจ้าตัวเถียงพลางชกลมในอากาศเลียนแบบนักกีฬาในโทรทัศน์อยู่ไม่นานเท้าที่เต้นฟุตเวิร์คเกิดพลิกทำให้หงายหลังดีที่มีแขนของเพื่อนร่วมบ้านยื่นมาเลยผวากอดแขนนั้นไว้เสียแน่น


“ระวังหน่อยสิ ล้มไปจะทำยังไง” เสียงเข้มดุแต่ดวงตามีแววเอ็นดูมากกว่าจะโกรธ


“ดุอีกล่ะ อย่าดุสิ ฉันไม่ชอบให้ใครมาดุฉันนะ” เจ้าของบ้านโอดบึนปากใส่


“ก็ดื้อนี่”


“ฉันไม่ได้ดื้อซะหน่อย”


“ดื้อ...ดื้อมากเลยด้วย ดื้อสมกับที่พี่ฮิมชานบอก แต่ถึงนายจะดื้อไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่ดื้อแค่กับฉันน่ะนะ” คนสูงกว่าบอกยังคงยิ้มอ่อนโยนทำเอาฝ่ายได้ยินชัดทุกคำร้อนไปทั้งหน้าแต่ไม่อาจแสดงออกอะไรนอกจากนิ่งไว้เท่านั้น “เอาล่ะ เดี๋ยวฉันเปลี่ยนผ้าม่านให้นายก่อนแล้วค่อยติดวอลเปเปอร์ให้ นายจะไม่อยู่ในนี่ก็ได้แต่ถ้าฉันเผลอแตะอะไรเข้าจะโวยไม่ได้นะ”


“รู้แล้วน่า ฉันจะนั่งรอตรงนี่แล้วกัน”


ยองแจปล่อยมือที่เกาะแขนอีกคนแล้วเดินไปนั่งบนเตียงและเอื้อมหยิบหนังสือนิยายสืบสวนที่พล็อตเรื่องเกี่ยวข้องกับการคำนวณวิถีดวงดาวซึ่งคนในห้องแชทกลุ่มเล่นเกมส์อุตส่าห์ส่งมาให้ยืมขึ้นมาอ่านต่อ หากก็อ่านไปได้ไม่นานก็พุ่งความสนใจมายังคนที่เปลี่ยนผ้าม่านหน้าต่างทั้งหมดเสร็จแล้วและกำลังเริ่มวัดขนาดผนังในห้องฝั่งที่โล่ง


ความคล่องแคล่วทะมัดทะแมงในงานช่างนั้นดูราวกับคนที่เคยผ่านการทำงานแบบนี้มา ยิ่งได้เห็นความเงียบขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าของห้องยิ่งรู้สึกว่า ผู้ชายตรงหน้ามีเสน่ห์กว่าเดิมทวีคูณ


ปกติเวลาอยู่ร้านแดฮยอนมักจะทำนั่นทำนี่ในร้านให้เขามากกว่านั่งทำงานของตัวเอง ทำให้เขาไม่เคยเห็นแง่มุมนี่มาก่อน แม้แต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันมาเวลาต้องจับกลุ่มทำงานก็ดูสบายๆเหมือนไม่เคยรู้จักคำว่าเครียดมาก่อนในชีวิต


ผ้าม่านสีขาวถูกพับวางไว้บนพื้นแทนที่ด้วยผ้าม่านหนาสีน้ำเงินครามลายหมู่ดาว ส่วนผนังด้านหนึ่งของห้องก็ใกล้จะกลายเป็นพื้นอวกาศเต็มที


“วอลเปเปอร์มันไม่พอจะติดทั้งห้องอะ” ช่างติดวอลเปเปอร์จำเป็นหันมาบอกคนที่นั่งอ่านหนังสือบนเตียง “เดี๋ยวฉันโทรสั่งให้เขาเอามาส่งเพิ่มนะ”


“ไม่ต้องหรอก แค่นี้นายก็เหนื่อยแย่แล้ว เอาแค่ติดฝั่งนั้นให้หมดอย่างเดียวก็พอ”


“แต่มันจะเหลือเศษสองสามแผ่นนะ”


“เก็บไว้ก็ได้ เดี๋ยวฉันเอามาห่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่ฮิมชานเขา”


“เอางั้นก็ได้” 


แดฮยอนตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินไปหยิบโคมไฟจำลองดวงดาวและอวกาศจากในถุงที่ซื้อมาโดยไม่บอกออกมาตั้งบนพื้นและรูดปิดม่านให้แสงสว่างลอดไม่ถึง คนบนเตียงตั้งท่าจะถามว่าทำอะไรเพราะชะเง้อคอมองจากบนเตียงไม่เห็น


พลันแสงดาวรูปทรงหลากหลายกลับกระพริบระยิบระยับหมุนเป็นวงไปรอบห้องอย่างช้าๆเล่นเอาเจ้าของห้องอ้าปากค้างอยู่ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มกว้างสอดส่ายสายตาไปทั่วด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีใครให้ความสำคัญกับความชอบในดวงดาวของเขามากพอนอกจากเพื่อนคนสำคัญในวัยเด็กของเขา


พ่อไม่เคยสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบเลยสักอย่าง แม่กับพี่ชายเองก็มองว่าเป็นเรื่องของเด็ก ส่วนพี่ฮิมชานเองถึงจะเคยซื้อกล้องดูดาวมาให้ก็เป็นแค่พวงกุญแจที่ใช้การจริงไม่ได้หรือพี่ยงกุกเองก็คอยซื้อของรูปดาวมาให้แต่ไม่มีใครยอมซื้อเครื่องผลิตดาวเทียมให้เขาเลยสักที


ส่วนใหญ่สิ่งที่เขามีทดแทนเวลาอยากเห็นดาวในวันที่พระจันทร์กระจ่างฟ้ากลบเลือนดวงดาวเสียสิ้นคือกล้องคาไลโดสโคปที่จินยองเคยทำไว้ให้ แม้ตอนนี้ลูกปัดและเศษกระดาษสะท้อนแสงจะเก่ามากแล้วแต่เขาก็ยังหยิบมันมาดูเล่นบ่อยๆ


“สวยจัง” เจ้าของห้องร้องออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างลุกจากเตียงยืนหมุนคอมองไปรอบๆแล้วว่า “เมื่อก่อนฉันน่ะเคยอยากได้กล้องดูดาว พยายามขอพ่ออยู่หลายทีแต่พ่อไม่ยอมซื้อให้ พ่อบอกว่าความฝันเรื่องนักบินอะไรนั้นมันไร้สาระ ตอนนั้นฉันถึงกับร้องไห้เลยแหละ พอจินยองรู้ เขาก็เลยทำกล้องคาไลโดสโคปมาให้ฉันแทน”


ชื่อของคนสำคัญคนเดิมหลุดจากปากมาทำให้คิ้วของคนได้ยินถึงกับขมวดยุ่งอย่างไม่ชอบใจปนเปไปกับความสงสัยในกล้องชื่อเรียกยากนั่นด้วย


“กล้องอะไรนะ”


“กล้องคาไลโดสโคปน่ะ...นายน่าจะเคยเล่นนะ ไอ้กล้องที่กระจกกับลูกปัดอยู่ข้างในพอส่องเข้าไปลูกปัดมันจะสลับลายไปเรื่อยๆ ครูที่โรงเรียนประถมเขยังสอนฉันทำเล่นด้วย”


“อ๋อ ไอ้กล้องนั้นเอง” อีกฝ่ายเออออแม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตากล้องที่ว่าคือยังไงด้วยสมัยเด็กเรียนหนังสือที่บ้านโดยครูดีกรีระดับด็อกเตอร์มาสอนรายวิชา เมื่อเสียแม่ก็นอกจากต้องเรียนทฤษฎีวิชาการอย่างเข้มงวดแล้วชีวิตที่เหลือต้องไปฝึกฝนการต่อสู้รวมถึงการยิงปืน


...ของเล่นไม่จำเป็นกับใคร แม้แต่แกก็ด้วย...


คำจากผู้ชายที่เขาชิงชังยิ่งกว่าทุกสิ่งในโลกยังติดอยู่ในหูราวกับไม่มีวันสลัดพ้น แม้ชายคนนั้นจะไม่อยู่ตรงนี้ก็ตาม


“แล้วนายชอบโคมไฟนี่มั้ย”


“ชอบสิ...ซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย” 


“ไม่รู้ เขาแถมมา”


“เว่อร์...โคมไฟอันนี้ฉันเห็นราคาในร้านมาก่อนแล้วนะ แพงกว่าผ้าม่านอีก ไม่มีใครเขาบ้าแถมของราคาแพงกว่าที่ลูกค้าซื้อหรอก เดี๋ยวฉันจะหักเงินค่าของทั้งหมดวันนี้ออกจากค่าเช่าบ้านละกัน”


“หักทำไม ฉันอยากซื้อให้นายเองนิ”


“ไม่เอาหรอก ถ้านายยังขืนบอกว่าซื้อให้อีกนะ ฉันจะไม่เก็บค่าเช่าบ้านเดือนนี้ ถึงนายโอนมาฉันก็จะโอนคืน”


“ทำไมนายต้องมีปัญหาเวลาฉันซื้อของให้ด้วยนะ เวลาฉันซื้อให้คนอื่นไม่เห็นมันพูดอะไรกันเลย”


“ก็นั่นคนอื่น ไม่ใช่ฉัน อ้อ รู้สึกว่าน้ำส้มในตู้มันหมดแหละ เราลงไปซื้อด้วยกันมั้ย” เจ้าตัวชวนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ออกมาดูเวลาหลังปิดเสียงไปเสียนานถึงเห็นมิสคอลจากพ่อคนที่สามและข้อความจากพี่ชายที่ส่งมาว่าให้สไกป์คุยกับครอบครัวเลยเดินไปเปิดแล็ปท็อปบนโต๊ะทำงานข้างตู้ติดหนังเพื่อเข้าโปรแกรม


“อ้าว ไหนว่าจะลงไปซื้อของ”


“ฉันต้องคุยกับที่บ้านก่อน”


“งั้นฉันลงไปซื้อคนเดียวก็ได้” เพื่อนร่วมบ้านบอกเหลือบมองยังหน้าจอแล็ปท็อปที่มีหญิงสูงวัยกับชายหนุ่มหญิงสาวพร้อมเด็กเล็กๆอายุราวสามขวบอีกสองคนปรากฏอยู่เลยเดินไปทั้งโค้งและโบกมือทักทายอย่างที่เคยทำเหมือนครั้งก่อนที่อยู่ได้เห็นอีกฝ่ายสไกป์คุยกับครอบครัวก่อนจะขอตัวลงไปซื้อของ


...ครอบครัวยองแจหน้าตาใจดีทุกคน แต่เขายังไม่เคยเจอพ่อของยองแจที่ว่าดุเลยสักที...


แดฮยอนออกจากลิฟต์เดินพ้นจากประตูอพาร์ทเม้นต์เลี้ยวไปทางร้านสะดวกซื้อ ขณะที่มือถือโทรศัพท์ไล่ค้นหากล้องชื่อประหลาดๆนั่นอยู่พักหนึ่งกว่าจะเจอกล้องที่ลักษณะคล้ายกับที่เจ้าของบ้านอธิบายมา ถึงจะมีข้อความและโทรศัพท์จากใครต่อใครโทรมาหาแต่เขากลับสไลด์มันทิ้งไปทั้งหมด


“ขยันทำแต่อะไรที่กูไม่รู้จักจังนะมึงเนี่ย เป็นแค่เพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันตั้งเป็นชาติยังมีหน้ามาทำให้เขาคิดถึงอีก ไอ้เวรเอ๊ย” เขาบ่นคนแปลกหน้าที่ตัวเองหมั่นไส้อย่างหงุดหงิด แม้ตาจะจดจ่อกับการอ่านวิธีทำกล้องคาโลโดสโคปก็ตาม


ชายหนุ่มเดินผ่านร้านสะดวกซื้อเลยไปยังร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนที่อยู่ถัดออกไปไกลเป็นกิโลเพื่อซื้อหาอุปกรณ์ในการทำกล้องด้วยตั้งใจจะทำอันใหม่ทดแทนให้ หลังจากซื้อทุกอย่างได้ดั่งใจถึงค่อยกลับไปซื้อเครื่องดื่มกับขนมขบเคี้ยวกลับมาด้วย


“คุยเสร็จแล้วเหรอ” เขาถามทันทีที่เห็นเจ้าของบ้านนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นรออยู่


“อืม”


“แล้วนี้ดูหนังเรื่องอะไรอยู่”


“ยังไม่ได้ดู”


“ทำไมไม่ดูละ”


“ก็รอนายมาดูด้วยกัน”


“งั้นเหรอ” เขาตอบรับคำจากอีกคนเท่านั้นก็เหยียดยิ้มรีบหิ้วของไปแช่ตู้เย็นและกลับห้องโยนถุงอุปกรณ์ที่ซื้อมาไว้ในห้องก็กลับเข้าห้องนั่งเล่นทรุดลงนั่งบนโซฟาข้างๆคนตัวผอมที่นั่งเอกเขนกพร้อมยื่นกล่องดีวีดีภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นกับสืบสวนสอบสวนมาให้เลือกและนั่นทำให้เขาบอกตัวเองเหมือนที่เคยบอกมานับไม่ถ้วน


...อยากให้โลกนี้มีแค่วันอาทิตย์จริงๆ...
 

You Might Also Like

2 Comments

  1. กลิ่นหอมหวานลอยมาในบทสนทนา มีแต่ความห่วงใยที่อิกากมีให้คุณเค้า รักมากหลงมาก ถวายหัวเลยทุกอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น คุณก็อ้อนกากมันแบบไม่รู้ตัว ขำตอนที่ด่าให้จินยอง "ขยันทำแต่อะไรที่กูไม่รู้จัก" 5555 กากมันร้าย นี่ขนาดยังอยู่ในสถานะเพื่อนร่วมบ้านนะ ถ้าอยู่ในสถานะคนรักแล้วเนี่ย กากมันคงหึงหวงห่วงมากจนคุณไม่ได้กระดิกตัวแน่ๆเลย เหนือกว่าพ่อคนที่สามอย่างพิชานก็จะเป็นอิกากเนี่ยแหละนะ 😄

    ตอบลบ
  2. ฮือพี่แด้สายเปย์รูดปรื๊ดดดคนดีของบ่าวววววถ้าไมติดว่าไม่รู้ความรูสึกตัวเองสักทีอ่ะนะ ระวังไว้เหอะใครเขาจะชิ่งน้องแจไปจะมารู้ตัวทีหลังพี่จะสมน้ำหน้าหนักๆเด้อ (ทีมแด้จีงงงงงงงนะ) พี่ยังยืนยันคำเดิมน้องแจน่ารักซัมเม๋อออออออยากจะนอนอวยน้องแจซักสามวันคนดีของพี่ (สองมาตรฐานชัดๆ)ยังไงก็เอาใจช่วยนังพี่แด้นะหวังว่าจะรีบรู้ตัวเองแล้วสุขสมจริงๆสักทีแต่ปมชีวิตพี่แด้มันต้องสีดำแน่ๆแบดอ่ะชอบอ่ะชอบคนเลว (เอ๊ะ)

    ขอบคนฟิคหนุกค่าไรท์เนี่ยมีคนอ่านนะคะชูมือเป็น กลจ.ให้ในการสรรสร้างฟิคแดแจค่า ช่วงนี้เหี่ยวแห้งหาฟิคยากมากค่ะ เลิฟฟฟ😍😍

    ตอบลบ