LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 8

09:28



โมงยามแห่งความมืดมิดของค่ำคืนโรยตัวลงมาครอบคลุมพื้นโลกซีกตะวันออกอีกครา แสงไฟสว่างจากร้านค้าและอาคารบ้านเรือนทดแทนแสงตะวันที่ลับหาย ใครคนหนึ่งในร้านสักวางแก้มแนบกับโต๊ะตะแคงมองออกไปทางประตูอย่างจดจ่อด้วยรอคอยให้คนในใจก้าวเข้ามาให้เห็นหน้าอย่างเคย


ตากลมสีน้ำตาลเหมือนเปลือกไม้อ่อนเหลือบตามองนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือ...สามทุ่มสี่สิบห้านาที...สำหรับวันนี้เขาเหลือเวลาอีกเพียงห้าสิบนาทีที่อาจได้เห็นใครคนนั้นผ่านประตูเข้ามา


เกือบสามอาทิตย์แล้วที่ลุงปากร้ายไม่มาร้าน ไม่ส่งข้อความตอบกลับ รถคันที่คอยมาจอดรอส่งเขาขึ้นรถกลับบ้านก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ไม่มีใครในร้านพูดถึงการหายไปของลุงแก แม้ในตอนที่จุนฮงและแฝดผู้น้องของพี่นาเรแวะมาหาก็ไม่มีข่าวคราวใดหลุดออกมาให้ล่วงรู้ กระนั้นเขากลับไม่คิดจะเปิดปากถามถึงด้วยคิดว่าการหายไปของอีกฝ่ายไม่สลักสำคัญอะไรทั้งที่รู้สึกโหวงไปทั้งท้อง


ช่วงเวลากลางวันเขามักจะง่วนอยู่กับการทำงานบ้านให้แม่ เตรียมพื้นที่จัดแสดงผลงานโปรเจคจบของทั้งเอก ทำพอร์ตสมัครงาน เคลียร์งานฟรีแลนซ์และขลุกอยู่กับพวกจงฮวาทำให้ลืมความว่างเปล่าอย่างไม่มีสาเหตุไปได้ แต่พอตกเย็นเพียงเหยียบเท้าเข้ามาในร้านสักตาก็เอาแต่จ้องอยู่ตรงประตูอย่างไม่รู้ตัว


บางครั้งเขาถึงขั้นโยนเหรียญทำนายการมาหรือไม่มาของอีกฝ่าย บางคราเขาก็เอาแต่ถามตัวเองว่า อีกฝ่ายจะมามั้ยหรือไปหลงสาวที่ไหน หากไม่มีสักครั้งที่จะยอมรับว่า อาการของตัวเองเป็นผลมาจากความคิดถึง


“จุนซอ” เสียงเข้มจากรุ่นพี่เจ้าของร้านเรียกหาทำให้อีกคนผงกหัวพาตัวเองกลับมานั่งหลังตรงเหมือนเก่า


“ครับ”


“เราได้สั่งของอะไรไว้หรือเปล่า เห็นนาเรบอกพี่ว่าเมื่อวานมีคนส่งจดหมายจ่าหน้าถึงเราแต่ไม่มีชื่อผู้ส่งมาหา พี่ก็ลืมหยิบลงมาให้ พอเห็นถึงนึกได้” ห่อกระดาษสีน้ำตาลมัดโดยรอบด้วยเชือกถูกยื่นมาหา


“ไม่นิครับ...ผมไม่ได้สั่งอะไรนะ”


“จริงเหรอ...หรือมันจะเป็นของคนที่แอบชอบเราส่งมาก ถ้าไงเราลองเปิดดูแล้วกัน” รอยยิ้มจากผู้มากกวัยกว่ายามเชิญชวนให้เปิดจดหมายดูมีนัยยะแต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็น



“ครับ”



“เออ ละเดี๋ยวพี่ต้องกลับไปรับนาเรที่บ้านก่อน ถ้าไงเราเก็บร้านเลยก็ได้นะ เราเก็บร้านคนเดียวได้ใช่มั้ย”


“จะปิดเลยเหรอครับ” คนอ่อนกว่าร้องถามด้วยท่าทางตกใจ


“ปิดเลยก็ได้...ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่มีลูกค้าแล้ว อีกอย่างร้านสักมันไม่เหมือนร้านเสื้อข้างบน ไม่มีลูกค้าขาจรหลงเข้ามา”


“อา...ครับ งั้นพี่ไปก่อนได้เลยครับ เดี๋ยวผมอยู่ปิดร้านเอง”


“งั้นพี่ฝากด้วยนะ ขอบใจมาก” ชารุตบบ่าพลางยิ้มกว้างวางกุญแจร้านไว้บนเคาน์เตอร์ได้ก็เดินออกจากร้านไปในทันที


ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้กวาดตามองไปรอบร้านสักอันเงียบเหงาจึงเดินไปกลับป้ายแขวนตรงประตูร้านจากเปิดเป็นปิด จากนั้นจึงลงมือทำความสะอาดจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เหมือนทุกวันจนเอี่ยมอ่องก็กลับมาเอากระเป๋า เมื่อเห็นห่อกระดาษจ่าหน้าถึงเขาวางอยู่บนเคาน์เตอร์เลยหยิบมันมาเขย่าเพื่อฟังเสียงดูแต่ก็เดาไม่ถูกว่าคืออะไร


ความอยากรู้ทำให้เขาแก้เชือกที่ผูกโดยรอบและค่อยๆแกะเทปกาวแปะรอบขอบของกระดาษที่นำมาพับแทนพัสดุออกอย่างระวังด้วยเคยชินกับการแกะหีบห่อพัสดุของแม่ให้อยู่ในสภาพดีเผื่อมีกรณีที่แม่เบื่อของที่ซื้อจะได้ใช้ของพวกนี้ห่อตอนต้องส่งของมือสองที่ขายได้ให้ลูกค้า


ภายในห่อกระดาษนั้นมีดอกไม้อบแห้งชมพูเข้มสวยวางอยู่เหนือกระดาษแข็งใบหนึ่ง มือขาวเลยดึงมันออกมาดูถึงเห็นข้อความลายมือหวัดเขียนว่า


...กูยังไม่ตายนะแค่มาเก็บตัวกับเด็กในทีม
หัวหน้ากูเขาให้งดใช้โทรศัพท์
กูไปเขาโครโยซานมาเห็นดอกอาเซเลียมันร่วงอยู่
เห็นว่ามันสวยดีเลยอยากให้เห็น
อย่าแดกเข้าไปละอ้วน มันไม่ใช่ของกิน...


ไม่มีการลงท้ายชื่อผู้เขียน หากข้อความกระทั่งสรรพนามเรียกขานบนกระดาษใบนั้นชัดเจนพอให้ทราบถึงตัวผู้ส่งทำเอาคนอ่านหลุดหัวเราะลั่น


...ไปเก็บตัวหรอกเหรอ...


ความปลอดโปร่งโล่งใจแล่นเข้ามาแทนที่ความมืดครึ้มประหนึ่งเมฆอุ้มน้ำ ทว่าความรู้สึกคิดถึงอย่างยิ่งยวดที่เจ้าตัวไม่เคยยอมกลับพาน้ำตาอุ่นใสให้คลอออกมา


“บ้าเอ๊ย” เขาพึมพำด่าตัวเองได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมคนไม่ชอบร้องไห้อย่างเขาถึงน้ำตาไหลให้กับเรื่องที่ดูงี่เง่าขนาดนี้ มือขาวยกปาดน้ำอุ่นให้พ้นจากหน้าและดวงตาอยู่หลายนาทีจนสงบสติอารมณ์ได้จึงห่อทุกอย่างที่ได้รับกลับไว้ดังเก่าและเก็บใส่กระเป๋าเดินออกมานอกร้าน 


ระหว่างกดล็อกแม่กุญแจตรงประตูด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดซึ่งบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือร้ายกันแน่ หูกลับแว่วคล้ายได้ยินเสียงแสนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังแต่เจ้าตัวคิดว่าหูฝาดจึงปล่อยไปจนได้ยินเสียงนั้นชัดๆอีกครึ่งตากลมกลับเบิกกว้างรีบหันหน้ากลับไปทางต้นเสียง


ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมแจ็กแก็ตวอร์มสีเทากับกางเกงออกกำลังกายขายาวขนาดพอดีตัวสีเดียวกันยืนล้วงกระเป๋าอยู่บนขั้นบันไดที่ทอดสู่พื้นถนนปกติ 


“ยิ้มไรไอ้อ้วน” 


“ยิ้มไร...ไม่ได้ยิ้ม” เพราะไม่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงมานานทำให้ปากของคนอ่อนกว่าเหยียดออกอย่างไม่รู้ตัว


“มึงยิ้มอยู่ชัดๆ ยังจะบอกไม่ได้ยิ้ม” อีกฝ่ายด่าแม้ตนเองจะยิ้มตอบอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน 


“แก่แล้วตาไม่ดีก็ไปตัดแว่นมะ”


“แม่งเอ๊ย ไม่เจอหน้าตั้งเกือบเดือน นอกจากจะอ้วนเหมือนเดิมแล้วปากยังหมาไม่เลิกอีก” 


“เหอะ...แล้วนี่มาไม” 


“เอ้า นี่ร้านกูนะห่า กูกลับจากเก็บตัวมาจะมาร้านตัวเองไม่ได้ไง แล้วนี่ทำไมปิดร้านไวจังวะ”


“พี่นาเรบอกว่าวันนี้มีนัดกินข้าวทั้งครอบครัว แฝดน้องตัวเองกับจุนฮงก็ไปด้วย”


“อ้าว ไม่เห็นมีใครบอกกูเลย”


“ว้ายยยย...ที่ไม่มีใครบอกเพราะเขาไม่นับเป็นครอบครัวเปล่าเนี่ย”


“ปากหมาล่ะมึงนี่...ไม่นับเป็นครอบครัวเหี้ยอะไร แม่กูเขาก็ไม่ได้ไป ยังเที่ยวเพลินที่ปูซานอยู่เลย”


“นัดกินข้าวตามประสาคนมีคู่ล่ะม้าง ไอ้คนไม่มีเลยไม่ถูกชวน”


“โห ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวกู...โอ๊ะ” คนแก่กว่าสบถแต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดึงให้ต้องกดรับสาย “เออ กูเพิ่งกลับลงมา อะไร ร้านไหนนะ อ้อ ไอ้ร้านอาหารฝรั่งเศสตรงสี่แยกนั่นใช่มั้ย เด็กกุหลาบมันมาด้วย โว้ย เอาแม่งมาด้วยกูคงกินข้าวลงหรอก เออๆ ไว้เจอกัน”


“เขาโทรมาแล้วเหรอ”


“เออสิ...บ้านกูเขาไม่ลืมกูกันหรอก”


“งั้นก็ไปสิ ปล่อยคนอื่นเขารอนานไม่ดีนะ”


“เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้ว...กูไม่ใช่เด็กไร้มารยาทแบบมึงนะ”


“มาถึงก็เอาแต่ด่าๆเป็นบ้าเหรอไง จะไปไหนก็รีบไปเลย ชิวๆ” 


“เด็กเปรต”


จุนซอสะบัดมือไล่มองฝ่ายตรงข้ามที่ยักไหล่แล้วเดินขึ้นบันไดหายไปตามการไล่ พลันหัวใจคล้ายร่วงหายไปถึงขนาดที่เท้าก้าวพรวดตามไปข้างบนจึงได้เห็นว่าอีกคนยืนกอดอกพิงตึกเหมือนรออยู่


“มึงกินข้าวยังวะอ้วน” 


“ถามทำไม”


“ถามเฉยๆไม่ได้ไง”


“ไม่ได้”


“เด็กเวร เอาดีๆ กินข้าวหรือยัง”


“ยัง”


“แดกหมูสามชั้นกันมะ” ฝ่ายที่ยืนรออยู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเฉยเมย


“นี่ชวนเหรอ”


“เออ” 


“ทำไมไม่ไปกินกับครอบครัวเล่า”


“เขาไปกินอาหารฝรั่งเศสกัน”


“ก็ไปกินดิ”


“มึงนี่โง่จริงๆด้วยเว้ย...ไม่เข้าใจไงว่ากูเพิ่งลงจากเขา กูต้องการพลังงานไปแดกอาหารฝรั่งเศสมันไม่ได้พลังงานเท่าหมูสามชั้นย่างหรอก”


“ต้องการพลังงานแต่กินหมูสามชั้นย่างเนี่ยนะ...ไขมันล้วนๆเลยนั่น”


“ยังไม่แดกข้าวไม่ใช่ไง มึงจะแดกมั้ย”


“อะไร...นี่ชวนจริงเหรอ ไมไม่ไปกินกับที่บ้านอะ”


“คราวหน้าก็ได้”


“ที่จริงคงตั้งใจเลี่ยงเจอจุนฮงแน่เลย โหย แก่ขนาดนี้ละยังทำตัวเป็นเด็ก” 


“เด็กเปรต ทำไมกูต้องเลี่ยงเจอมันด้วย เรื่องเยอะจริงเว้ย จะไปไม่ไปเนี่ย”


“เราจะไปให้ก็ได้ แต่...”


“แต่อะไร”


“กล้ามปูต้องเลี้ยงนะ”


“อะไร ให้กูเลี้ยงอีกล่ะ”


“ฮ่าๆ ไม่ได้เหรอ”


“มึงนี่แม่งเกิดมาเพื่อรีดไถชาวบ้านเขาหรือไง”


“อายุมากกว่าก็เลี้ยงหน่อยดิ” 


“แม่งเอ๊ย...เออ ก็ได้”


“ก็แค่เนี่ย”


จุนซอยิ้มสดใสจ้ำเท้าก้าวไปใกล้คนตัวใหญ่ที่ขยับจากกำแพงตึกแล้วออกเดินไปบนทางเท้าข้างๆกัน ก่อนที่เสียงต่ำลึกจะทักเรื่องเสื้อขึ้นมา


“เสื้อยีนส์ตัวนี้มันของกูนี่หว่า ไอ้ห่า ใจคอจะดอยของกูไปเป็นของตัวเองทุกอย่างเลยไง”


“ก็กล้ามปูไม่บอกนิว่าจะให้คืนยังไง อยากได้คืนชะ เราคืนให้” เจ้าตัวยุ่งบอกพร้อมถอดเสื้อยีนส์ที่สวมคลุมตัวทุกวันส่งให้


“เด็กเปรต” อีกคนสบถรับเสื้อมาพาดไว้บนบ่าถึงเห็นว่าเสื้อแขนยาวสีขาวลายทางดำที่คนข้างตัวสวมอยู่เป็นตัวเดียวกับที่ใส่ในวันที่เขาต้องลำบากแบกมันที่เมาเหมือนหมากลับบ้าน


“มึงนี่...ใส่เสื้อตัวนี้อีกล่ะ”


“ไมอะ”


“ห้ามแดกเหล้าที่ร้านนะมึง” 


“กล้ามปูกลัวเราเมาเหรอ” สิ้นคำฝ่ายอายุน้อยกว่าก็หัวเราะร่วนพลางสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปกอดแขนหนาจากมัดกล้ามเนื้อเอาไว้แน่น


“ไรของมึงเนี่ย มากอดแขนกูเฉย” 


“เกาะหน่อยดิ”


“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนเป็นเด็กๆ” ถึงบอกจะบ่นไม่พอใจแต่หัวของคนตัวใหญ่กลับเอนลงไปวางบนหัวของเด็กกวนประสาทที่ตัวเองเคยประกาศว่าเกลียดนักหนา


“แล้วเอาหัวมาซบเราไมอะ”


“ไม่ให้ซบก็อย่าเกาะ”


“ชิ” 


“กูไม่อยู่ไปเมาไหนมาเปล่า”


“เปล่า”


“เออ เด็กดี”


“ฮึ้ย ขนลุก” คนตัวขาวว่าพลางสั่นไหล่ทั้งที่ยังกอดแขนอีกคนไว้แน่น


“กวนตีน”


“ฮ่าๆ” 


เสียงหัวเราะแสนสดใสที่ดังขึ้นข้างกายนั้นแทบเปลี่ยนกลางคืนให้สว่างไสวเหมือนกลางวัน ยงนัมหลุดยิ้มไซ้หัวตัวเองลงบนหัวของคนตัวเล็กกว่าจนผมยุ่งเหยิงด้วยความอิ่มใจอย่างไม่มีสาเหตุ 


ก่อนหน้านี้ระหว่างต้องทำหน้าที่โค้ชในค่ายเก็บตัวบนเกาะคังฮวาโด เมื่อถึงเวลาพักจากการซ้อมเขาจะรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยากเช็กโทรศัพท์อยู่ตลอดแต่ในฐานะโค้ชจะทำตัวนอกกฎไม่ได้เลยหาวิธีแก้ความหัวร้อนด้วยการออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย แม้วันที่ได้พักเต็มวันแทนที่จะนอนเขากลับเดินขึ้นเขาไปชมธรรมชาติ กระนั้นตอนที่เห็นดอกอาซาเลียเข้าก็คิดถึงเด็กบ้านี่หนักกว่าเดิมเสียอีก


...เด็กเปรตทำชีวิตคนอื่นวุ่นวายฉิบหาย...


คิดถึงตรงนี้เขาก็ดึงตัวเองกลับมายืนตัวตรงออกเดินต่อปล่อยให้แขนถูกกอดไว้อย่างนั้นจนมาถึงร้านเนื้อย่างเจ้าประจำทำให้แขนถูกปล่อยอัตโนมัติ


ชายหนุ่มมองเด็กตรงข้ามที่ปิ้งเนื้อย่างคีบลงจานตัวเองเผื่อแผ่มาถึงเขาไม่หยุดหย่อน จนเนื้อย่างพูดเต็มสองจานเปล่าถึงได้นำมาห่อกับผักเติมเครื่องเคียงยัดเข้าปากอย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


...ตัวก็เท่าเมี่ยงแดกเหี้ยอะไรเยอะแยะ...


 ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในร้านบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างจนครบชั่วโมงก็ลุกจากโต๊ะโดยคนอายุมากกว่าเป็นฝ่ายจ่ายเงินทั้งหมด จากนั้นต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับเหมือนไม่มีเยื่อใยอะไรต่อกัน 


จุนซอลากเท้าไปตามทางเดินมาถึงป้ายรถประจำทางเพื่อรอรถกลับบ้านเช่นทุกวัน หากตากลมกลับจ้องนิ่งยังซอยข้างมินิมาร์ทแต่ไม่เห็นวี่แววรถคันที่รออยู่จะมาเสียทีก็เบะปาก ยิ่งตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาการมาถึงของรถโดยสารตรงป้ายขยับเหลือเพียงเลขตัวเดียวก็ถอนใจ แต่ไม่ทันไรกลับมีรถซีอาร์วีสีดำใหม่เอี่ยมแปลกตาแล่นมาจอดเทียบทางเท้าตรงที่เขายืนอยู่พอดี


กระจกรถเคลือบฟิล์มเข้มลดระดับลงเผยให้เห็นโฉมหน้าเจ้าของรถผู้เลี้ยงหมูสามชั้นย่างเมื่อครู่ซึ่งเท้าแขนกับขอบกระจกหันมามองพลางเลิกคิ้วแล้วเอ่ยปากถามตีหน้านิ่งราวกับไม่เคยขับรถมารอส่งอีกฝ่ายมาก่อน


“มืดแล้วยังไม่กลับบ้านอีก”
 

“ก็รถยังไม่มาจะกลับได้ไงเล่า”


หลังได้รับคำตอบต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันชั่วอึดใจก่อนที่ผู้แก่กว่าจะมุดกลับไปนั่งพิงเบาะคนขับแล้วเปรยถามออกมาโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาแม้แต่น้อย


“ไปนอนบ้านกูมะ”


“ฮะ”


“ดึกแล้วกว่ามึงจะถึงบ้าน...นอนบ้านกูง่ายกว่า”


“หู้ยไรเนี่ย...เราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงมาชวนเราไปนอนบ้าน คิดอะไรกะเราเปล่าเนี่ย” 


“เด็กเปรต...เพราะนอนน้อยแดกเยอะแบบนี้ไงถึงได้ทั้งอ้วนทั้งโง่”


“เราว่าเราก็อ้วนของเราเองนะ ทำไมถึงไปหนักหัวกล้ามปูจังอะ”


“ไอ้เหี้ยนี่ กวนส้นตีนไม่มีสิ้นสุด อยากสมองฝ่อเพราะนอนไม่พอก็เรื่องของมึงล่ะกัน กู...” 


ยงนัมพูดไม่ทันจบคำดีก็ได้ยินเสียงเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารข้างตัวจึงหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวยุ่งปีนขึ้นมานั่งพลางปรับเบาะให้สบายตัวเองมากที่สุดถึงหยิบเข็ดขัดนิรภัยข้างประตูฝั่งตัวเองมาคาดไว้


“เราไม่ชอบเพลงที่กล้ามปูเปิดในรถอะ...เราเปลี่ยนได้ปะ” คนถือวิสาสะขึ้นรถมาดื้อๆ เลื่อนนิ้วไปบนแผงเครื่องเสียงรถกดเปลี่ยนเพลงหน้าตาเฉย น่าแปลกที่ครั้งนี้เจ้าของรถไม่ว่าอะไรเพียงกระตุกยิ้มตรงมุมปากโยนเสื้อยีนส์ตัวเดิมที่พาดบนบ่าไปไว้บนตักอีกฝ่ายพร้อมสตาร์ทรถขับพ้นจากป้ายรถประจำทางมุ่งหน้าไปสู่อพาร์ทเม้นต์ของตนเอง


“กราบกูด้วยล่ะ”


“ทำไมต้องกราบอะ”


“กราบในความใจดีที่ให้มึงได้นั่งรถคันใหม่ของกูเป็นคนแรกไง”


“เราได้นั่งคนแรกจริงดิ อู้หู้ ตื่นเต้วจุง แต่เราไม่กราบกล้ามปูหรอก ไม่ได้เป็นคนขอนั่งซะหน่อย”


“เรื่องของมึงล่ะกัน...เด็กเปรต...เออ อย่าลืมโทรบอกแม่ด้วยว่าจะมานอนบ้านกู เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”


“ชวนเองทำไมไม่โทรให้เองอะ”


“โวะมึงนี่...มานอนบ้านคนอื่นฟรียังให้คนอื่นเขาโทรไปบอกแม่มึงแทนอีก”


“ก็ครั้งก่อนที่เราเมาไม่ได้กลับบ้าน พอแม่เรารู้ว่ามานอนบ้านกล้ามปูก็เลยโดนสั่งไม่ให้มารบกวนอีก”


“ทำไมต้องห้าม”


“จงฮวามันไปบอกแม่ว่า เจ้าของร้านกำลังจะแต่งงาน แม่เรานึกว่ากล้ามปูคือคนที่จะแต่งงานก็เลยไม่ให้เรามารบกวนเวลาชีวิตคู่ พอเราอธิบายว่าเป็นคนละคน แม่เราบอกว่า เจ้านายไม่ใช่เพื่อนจะไปตีซี้ค้างบ้านเขาหน้าตาเฉยไม่ได้ก็เลยถูกสั่งห้ามน่ะ”


“จงฮวาคือใคร” 


“เพื่อนซี้เราดิ”


“ใช่คนที่บอกให้มึงมาทำงานที่ร้านพี่กูหรือเปล่า”


“อืม”


“ซี้กันอีท่าไหน ทำไมมันถึงไม่บอกอะไรมึงเลยวะ”


“บอกอะไรอะ”


“ช่างเหอะ...ละนี่มึงได้ของที่กูส่งมาหรือเปล่า”


“ไอ้ดอกไม้นั้นอะเหรอ...ให้ทำไมกินก็ไม่ได้”


“นั่นปะไร คิดแล้วว่าต้องอยากได้ดอกที่แดกได้ เด็กอะไรของมึงก็ไม่รู้ เหอะ ช่างแม่ง ไหน เอาเบอร์แม่มึงมาเดี๋ยวกูโทรให้เอง” เจ้าของรถบอกปัดหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อ ความที่ขี้เกียจตั้งค่าการเชื่อมต่อกับจอเครื่องเสียงเลยกดหมายเลขตามคำบอกโทรออกด้วยวิธีปกติ เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายตอบรับก็สวัสดีกลับอย่างสุภาพ


จุนซอจ้องสารถีที่ขับรถมือหนึ่งส่วนอีกมือก็คุยโทรศัพท์ก็เห็นสีหน้าท่าทางรวมถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนโหมดคนขี้โวยวายกลายเป็นผู้ใหญ่ดูภูมิฐานเอาการเอางานก็รู้สึกทึ่ง


“ไม่รบกวนหรอกครับ...แถวนี้มันแพงมากก็จริงครับ แต่บ้านที่ผมซื้อนี่ผมซื้อต่อมาจากครอบครัวเพื่อนที่ย้ายไปอเมริกาเลยไม่แพงเท่าไหร่ ตอนนั้นทำงานพิเศษเยอะครับ ได้ไปเป็นผู้ช่วยโค้ชในต่างประเทศด้วยเลยมีเงินเก็บพอซื้อขาด อ้อ ก็มีดื้อบ้างแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับผมจะดูแลเขาเป็นอย่างดี ครับ สวัสดีครับ”


“ทำไมกล้ามปูต้องอวดรวยกับแม่เราด้วยอะ” คนเด็กกว่าบ่นพึมพำหลังจากฟังบทสนทนาระหว่างแม่ตนเองกับเจ้าของรถเงียบๆมาตลอด


“กูอวดอะไรที่ไหน...ผู้ใหญ่เขาถามจะไม่ตอบได้ไง”


“ละทำไมต้องเก็กด้วย แม่ไม่ได้นั่งอยู่นี่ซะหน่อย”


“เก็กบ้านมึงสิ กูเป็นผู้ใหญ่แล้ว กูรู้กาลเทศะ ไม่เหมือนหรอก เด็กเหี้ย กวนส้นตีนไม่เลิกรา”


“พูดกับเราดีๆก่อนดิ เราจะได้พูดดีๆตอบ”


“ทำไมต้องให้กูที่แก่กว่ามึงตั้งเยอะพูดดีๆด้วยก่อนวะ มึงสิต้องทำก่อน”


คนอ่อนกว่าบึนปากเอนหลังพิงเบาะทำไม่รู้ไม่ชี้ หากสักพักก็หันหัวไปทางคนขับทอดมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของฝ่ายที่มุ่งความสนใจกับการขับรถก็ยิ้มออกมา


“พี่ยงนัม”


“ไร”


“พี่ยงนัม”


“อะไร”


“พี่ยงนัม”


“อะไรของมึงเนี่ยจะเรียกหาเตี่ยมึงหรือไง” สุดท้ายเจ้าของรถก็ละสายตาจากท้องถนนมาตามเสียงเรียกถึงเห็นเด็กเจ้าปัญหาพิงหัวกับเบาะมองเขาตาใสแจ๋ว


“เนี่ย เราเรียกดีๆก็โดนกล้ามปูด่า"


"เรียกแบบนี้อย่าเรียกดีกว่าประสาท"


"หงุดหงิดอีกล่ะ ละรถนี่ก็ติดจังเลย ขนาดห้าทุ่มแล้วยังจะติดอีก”


“วันศุกร์ก็แบบนี้แหละไอ้ห่า คนเขาออกไปสังสรรค์กัน”


“แล้วกล้ามปูไม่ไปเหรอ”


“ไปไม่ไหว เปิดโทรศัพท์มาทีแม่งชวนออกไปข้างนอกมาหลายกลุ่มเกิน กูแยกร่างไปหาเพื่อนทุกคนไม่ไหวหรอก เหนื่อยด้วย กลับมานอนเอาแรงดีกว่า” 


“แล้วอยู่กับเราจะไม่เหนื่อยหนักกว่าเก่าเหรอ เห็นบ่นกวนตีนทุกนาทีเลยเนี่ย”


“ก็รีบๆนอนสิกูจะได้ไม่ปวดหัว”


“ละเสื้อเราที่กล้ามปูบอกจะเอามาฝากที่ร้านแต่ไม่เอามาซะทียังอยู่ดีปะ อย่าบอกว่าทิ้งนะ”


“ไม่ได้ทิ้ง”


“เห็นมะ กล้ามปูก็ดอยของคนอื่นเหมือนกันนี่นา ยังมีหน้ามาว่าคนอื่น” ฝ่ายนั่งข้างคนขับเถียงหยิบเสื้อยีนส์ที่อยู่บนตักมาห่มบนตัวยังคงไม่ละสายตาจากสารถี กระทั่งมีบางสิ่งถูกโยนลงมาบนเสื้อถึงก้มดูก็เห็นกุญแจกับคีย์การ์ดห้อยรวมอยู่กับพวงกุญแจรูปหมาจิ้งจอกอยู่ตรงนั่น


“มึงนี่นะน่ารำคาญฉิบหาย...กูไม่อยู่บ้านนี่หว่าจะให้เอาไปฝากไว้ยังไง ถ้าจะพูดมากขนาดนี้วันหลังเข้าบ้านกูมาเอาเองเลยมั้ย ยังไงมึงก็เป็นเด็กไม่มีมารยาทอยู่แล้วนิ”


“เราไม่เข้าไปหรอก เดี๋ยวของหายจะหาว่าเราขโมยอีก”


“ไปตอนกูอยู่สิวะ หรือถ้าไม่อยากสมองฝ่อเพราะนอนน้อยจะมานอนค้างก็ได้แต่โทรมาบอกกูก่อนล่ะ มาไม่บอกไม่กล่าวของกูหายขึ้นมาจะโบกให้”


“นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ ทำไม่แทงหวยแล้วถูกแบบนี้บ้างหว่า”


“เมื่อไหร่มึงจะหยุดกวนตีนซะที พูดกับกูดีๆเป็นมั้ยเนี่ย”


“เมื่อตะกี้ก็เรียกพี่แล้วไง จะเอาไรอีกเล่า”


“เรียกอีกทีดิ” อยู่เสียงเข้มลึกมีแววนุ่มกว่าปกติเอ่ยขอเสียดื้อๆ เล่นเอาคนที่หยิบกุญแจมาถือไว้ในมือเริ่มรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแบบแปลกๆ


“ไม่เรียกแล้ว”


“อีกทีน่า อยากโดนกูด่าหรือไง”


“เรียกแล้วจะได้อะไร”


“ได้กุญแจสำรองห้องกูไปไว้ให้นอนก็บุญหัวมึงแล้วมั้ย”


“เราไม่ได้อยากได้นิ”


“เออ...กูโปรดสัตว์ผิดตัวเองแหละ ละถ้ากวนประสาทชาวบ้านเป็นอย่างเดียวก็นอนไปเลยห่า ถึงบ้านเดี๋ยวกูเรียกเอง” ผู้มากวัยกว่าบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยระอาเหลือบตายังผู้โดยสารที่พลิกตะแคงไปอีกทางเพียงครู่ก็กลับมาใช้สมาธิกับการขับรถ


“พี่ยงนัม” จู่ๆคนเป็นเด็กก็เรียกโดยที่ยังหันหลังให้ “พอใจยังอะ”


ยงนัมยินเสียงเด็กช่างเถียงแถมสร้างปัญหาให้เขาไม่หยุดหย่อน แม้สายตาจะมองตรงไปยังท้องถนนและรถคันหน้า ทว่าริมฝีปากกลับแย้มออกอย่างเบิกบานขณะลดมือที่จับพวงมาลัยข้างหนึ่งไปขยี้ผมนุ่มบนหลังหัวเสียยกใหญ่ด้วยความหมั่นเขี้ยว


“เออ พอใจแล้ว” 


สิ้นคำนั้นบทสนทนาระหว่างกันก็เงียบหาย ทว่าความรู้สึกอุ่นอิ่มคล้ายถูกเติมลงมาในใจราวกับต้นไม้ได้น้ำรดรินจนชุ่มฉ่ำ โดยต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ก่อเกิดระหว่างกันนี่กำลังจะแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไปในทางที่คนทั่วไปเรียกมันว่า...ความรัก




----------------------------แวเะคุยกันก่อน-----------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน เราเขียนแบบมาราธอนมาก เรารักสองคนนี้มาก
เราอยากได้โมเม้นมากซึ่งคู่นี้มันไม่มีเรืออะ เราว่ายด้วยตัวเองคนเดียว
ทับใจพี่กล้ามปูกะไอ้เด็กกวนประสาทแต่น่ารักบ้างเปล่า

ฮือ ฝากคอมเม้นด้วย คู่นี้ยังไม่จบนะแต่ต้องแบ่งไปเขียนคู่อื่นด้วย 

อย่าเพิ่งทิ้งกันไป 555555







You Might Also Like

1 Comments

  1. รวบรัดตัดตอนอ่ะ มีความโลภขอตอนที่9เลยได้มะ55555 คู่นี้เป็นอะไรที่น่ารักแบบกวนๆ แต่มันทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยกวนกันไปกวนกันมาแต่มองจากดาวอังคารก็ยังรู้เลยว่ารักกัน ตอนที่ยงนัมส่งของมาให้แล้วจุนซอมีน้ำตาทำไมเรามีน้ำตาด้วย อ่ออิน55555 ทำไมตอนจุนซอเรียกพี่ยงนัมแล้วเรายิ้มเป็นบ้าอ่ออินขั้น กว่า5555 อยากให้บิกความรู้สึกกันเร็วๆ แล้วก็ไม่อยากให้คนรอบตัวพี่ยงนัมล้อพี่ยงนัมดั้วแบบว่่ากลัวจะทำเป็นไม่รุ้ไม่ชี้แล้วเดี๋ยวจุนซอเสียใจ รีบเปิดใจกันซักที ทางนี้รอดูคนหวานแข่งกัน #รักไรท์ ขอบคุณที่หลังขดหลังแข็งสร้างงานดีๆมาให้อ่าน ขอบคุณจริงๆค่ะ

    ตอบลบ