LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 13

09:47

 

โต๊ะตัวยาวขนาดใหญ่ตั้งกลางชั้นสองใช้สำหรับให้พนักงานนั่งพักเล่นพักผ่อนพูดคุยกัน บ้างก็ใช้พื้นที่นี้นั่งหาข้อมูลหรือแรงบันดาลใจจากบรรดาแผ่นเสียงและตำราหนังสือมากมายที่อัดแน่นอยู่บนชั้นวาง บางครั้งก็ยังใช้เป็นที่ประชุมงานหรือจัดงานสังสรรค์ช่วงปีใหม่ของคนทั้งบริษัท


ชายหนุ่มย้อมผมสีอ่อนเดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติมาพร้อมกับชายหนุ่มตัวผอมย้อมผมสีน้ำเงินทั้งเจาะทั้งสักทั่วตัวที่ตั้งใจมาชงกาแฟและสูบบุหรี่คลายเครียดมองโต๊ะที่มีใครคนหนึ่งง่วนอยู่กับการติดแผ่นพลาสติกใสบนปากกระบอกแกนทิชชู่ที่มีวัตถุทรงสามเหลี่ยมอยู่ภายในท่ามกลางอุปกรณ์ทำงานประดิษฐ์ที่กองอยู่ตรงหน้า


“แดฮยอน มึงทำอะไรของมึงอยู่เนี่ย” ชายหนุ่มผมสีอ่อนเกือบขาวผู้มีชื่อว่าจอง ดงอุค หรือที่คนในวงการเรียก Penomeco ถามพลางหยิบลูกปัดหลากสีในถ้วยกาแฟออกมาดู


“ทำกล้อง”


“กล้อง...กล้องอะไรของมึงวะมีลูกปงลูกปัดด้วย”


“กล้องเหี้ยอะไรไม่รู้ กูจำชื่อแม่งไม่ได้” ฝ่ายที่กำลังหยิบกระดาษสีดำเจาะรูตรงกลางติดบนแผ่นพลาสติกบอกโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเพื่อนร่วมงาน


“ไม่รู้จักเรียกอะไรแต่เสือกนั่งทำอะนะ...มึงไหวแน่เปล่า งานมันเครียดจนบ้าไปแล้วหรือไง บอสเขาก็ให้มึงไปนั่งทำงานข้างนอกกับหยุดวันอาทิตย์ได้นี่ยังจะเครียดอะไรอีก ดูพี่ฮันเฮสิ ลูกค้ายังสั่งแก้งานมาสองอาทิตย์แล้วยังไม่เสร็จเลย”


“มึงอย่าไปยุ่งกับมันเลยดงอุค...ตั้งแต่มีรูมเมทอยู่ด้วยมันก็บ้าๆบอๆแบบนี้แหละ” ดงฮยอนที่ชงกาแฟเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ว่างฝั่งข้ามว่า


“บ้าๆบอๆยังไงวะ”


“ช่วงไหนต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดพอได้เวลาพักมันก็เอาแต่ไปตระเวนหาซื้อของฝาก ไอ้ตุ๊กตาลูกเจี๊ยบเนี่ยเห็นที่ไหนเป็นต้องซื้อ บางทีก็ไปเที่ยววานคนนั้นวานคนนี้ไปเอาเซ็นต์ศิลปินให้ เหล้าก็ไม่แดกสั่งแต่น้ำส้ม ล่าสุดกูเพิ่งเห็นมันนั่งเปิดดูคลิปสอนทำอาหารกับเอาหนังสือเล่มหนาเท่าอิฐมาอ่านอยู่เลย”


“เฮ้ย จริงดิ...นี่มึงเครียดมากขนาดสมองกลับเลยเหรอวะ”


“เครียดเหี้ยอะไร โง่สิไม่ว่า” ชายหนุ่มตัวสูงชะลูดผมสีดำสนิทสวมเสื้อแขนสั้นเผยรอยสักทั่วทั้งแขนแทรกขึ้น


“โง่...มันโง่ยังไงอะพี่”


“อะ พวกมึงถอยก่อน เดี๋ยวจะแสดงให้ดูว่ามันโง่ยังไง” ซองวอนทำท่าแหวกอากาศให้รุ่นน้องผู้ร่วมงานถอยแล้วเดินไปกอดอกยืนค้ำหัวรุ่นน้องที่กำลังเลือกลูกปัดกับเศษริบบิ้นและกระดาษที่ไว้เป็นรูปต่างๆอย่างเคร่งเครียด


“เฮ้ย ไอ้กล้องที่มึงนั่งประดิดประดอยทำอยู่เนี่ย ทำให้ยองแจปะ”


“ครับ”


“เขาขอให้ทำเหรอไง”


“เปล่าหรอกพี่...พอดีได้ยินเขาพูดเรื่องเพื่อนสมัยเด็กเคยทำไอ้กล้องห่านี่ให้ ผมเลยอยากทำให้เขาบ้าง”


“มึงจะทำให้ทำไม อิจฉาเพื่อนเขาหรือไง”


“ไม่ได้อิจฉา ก็แค่ตอนนี้ผมเป็นคนสนิทของเขา และน่าจะสนิทกว่าเพื่อนสมัยเด็กที่เขาไม่ได้เจอตั้งนมตั้งนานแล้วด้วยก็เลยอยากทำอันใหม่ให้เขาแทนอันเก่า”


“ทำแทนอันเก่าแบบนี้ แถวบ้านกูเขาเรียกอิจฉาว่ะ”


“ผมไม่ใช่เด็กน่า จะมาอิจฉาอะไรไร้สาระ เออ พี่ อย่าเพิ่งชวนผมคุยนะ ผมต้องใช้สมาธิ”


“แค่เลือกลูกปัดกับกระดาษต้องใช้สมาธิขนาดนั้นเลย”


“เดี๋ยวมันสวยไม่เท่าของเพื่อนเก่าเขา”


“เออ ไอ้จั๊ดง่าว...ง่าวจนกูขี้เกียจจะพูดละ”


“ดี...พี่ไม่ต้องพูดแหละดี ผมจะได้มีสมาธิ”


ซองวอนพ่นลมร้อนผ่านปากให้กับความโง่เง่าไม่เข้าท่าของรุ่นน้องเพราะเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังจากคนอื่นหรือกระทั่งได้รู้ได้เห็นการกระทำของอีกฝ่ายที่มีต่อรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยของเขาอีกคนนั้นมันมากเกินกว่าจะเป็นเพียงเพื่อนสนิท


ถึงแม้เขาจะไม่มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรด้วยรุ่นน้องคนสนิทของตนอีกคนก็มีคนรักเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงแถมยังนิสัยดีน่ารัก


“เห็นยัง...เห็นความโง่มันยัง” คนแก่สุดเดินกลับมาหารุ่นน้องอีกสองคนที่จิบกาแฟร้อนมองอยู่


“ผมไม่เห็นเข้าใจว่ามันโง่ยังไง”


“ต้องให้กูสาธยายอีก เออ ไปสูบบุหรี่ก่อนแล้วกูบอกให้ฟัง” พี่ใหญ่ในวงสนทนาชวนแล้วเดินนำทั้งคู่หายเข้าไปในห้องพิเศษสำหรับสิงห์รมควันทั้งหลายได้ใช้ร่วมกันปล่อยทิ้งคนที่อยู่โยงรอลูกค้าอนุมัติงานให้อยู่ลำพังอีกครั้ง


แดฮยอนหยิบดินสอวาดเป็นรูปสัตว์กระทั่งสิ่งของขนาดจิ๋วบนริบบิ้นและตัดตามเส้นอย่างยากลำบากเลยไม่ทันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกอดอกยืนมองอยู่ข้างหลัง แม้จะมีเสียงกระแอมไอก็ยังไม่คิดจะหันไปหาจนได้ยินเสียงเรียบเย็นเยือกอันคุ้นเคยถามว่า ทำอะไรอยู่ถึงได้สติวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที


“ทำอะไรอยู่” เจ้าของบริษัทผู้ที่แม้จะหน้าตาดีดูภูมิฐานหากแทบไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดทางสีหน้ายากแก่การคาดเดาแถมยังเข้มงวดกวดขันเรื่องงานเพื่อให้ออกมาดีที่สุดสำหรับลูกค้าทำให้พนักงานทั้งเกรงขามและเกรงใจ


“ผม...ผมก็รอลูกค้าอนุมัติผ่านงานอยู่ไงครับ”


“มึงไม่ได้อ่านเมล์หรือไง ลูกค้าเขาแอพพรูฟให้มึงเป็นชั่วโมงแล้ว”


“อ้าว...เหรอครับ ผมนึกว่าลูกค้าเขาจะพิจารณาเสร็จตอนเย็นก็เลยไม่ทันได้เช็กอีเมล์”


“แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่”

 
“ผมทำกล้อง...เออ กล้องคา...คา อะไรสักอย่างอยู่ครับ”


“กล้องคาไลโดสโคปใช่มั้ย”


“ครับ...กล้องนั้นแหละ”


“ทำไมมึงไม่ซื้อตัวเจาะที่เป็นรูปหัวใจหรือรูปสัตว์มาใช้วะ วาดแล้วตัดเอาอย่างนั้นเมื่อไหร่จะเสร็จ”


“อ้าว มันมีตัวเจาะพวกนั้นด้วยเหรอครับ”


“มี...แต่ถ้าจะซื้อมึงต้องไปร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆหน่อยมันจะได้มีให้มึงหลายแบบ แล้วไอ้นั้นน่ะพอมึงเอากระดาษไขปิดแล้วมึงเอาพลาสติกใสแปะทับอีกทีมันจะได้ไม่ขาด เสร็จแล้วค่อยห่อกระดาษเก็บงานแต่มึงต้องห่อแน่นๆล่ะ ไม่งั้นแกนมันจะหลุดออกมาด้วย”


“ทำไมบอสรู้ล่ะครับ”


“หลานกูเขาชอบพวกดวงดาว ชอบทำงานประดิษฐ์ เขาบอกว่าอยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ พ่อแม่เขากับกูก็เลยช่วยสนับสนุนเลยรู้ว่าต้องไปซื้อที่ไหน”


ลูกน้องหนุ่มกระพริบตาปริบมองเจ้านายของตนเองอยู่พักหนึ่งก็หลุดยิ้ม ถึงแม้เจ้านายของเขาจะดุและน่ากลัวขนาดไหนแต่พอเป็นเรื่องของหลานชายก็กลายเป็นคนอ่อนโยนไปในทันที


“บอสรักหลานจังนะครับ...ไม่คิดจะมีลูกเองบ้างเหรอครับ”


“จะมีลูกได้ไง กูยังไม่มีเมียเลย”


“ไม่มีที่คุยๆกันอยู่บ้างเหรอครับ หรือคนที่บอสคิดว่าน่าจะเข้ากันได้”


ดงกั๊บไม่ตอบแค่ยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอกมองลูกน้องตนเองด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามสไตล์ ทว่าดวงตากลับแข็งกร้าวเสียจนฝ่ายลูกจ้างหนาวๆร้อนๆ ก่อนคำเตือนที่ทำให้ต้องกลืนน้ำลายเฮือกก็ดังขึ้น


“ยุ่งแค่เรื่องตัวเองก็พอ...เรื่องคนอื่นน่ะไม่ต้องเสือก แล้วมึงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกยาว”  


“ครับ” ลูกน้องหนุ่มรับคำแค่ลุกขึ้นยืนโค้งรอให้เจ้านายที่หันหลังเดินลิ่วผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติไปจนลับสายตาถึงกลับมาจดจ่อกับการตัดกระดาษอันเป็นส่วนประกอบหนึ่งของกล้องคาไลโดสโคปอีกครั้ง

------------------------------------------
เมล็ดกาแฟพันธุ์ดีในขวดโหลถูกเทใส่ลงในเครื่องบดพาให้กลิ่นกาแฟหอมอบอวลไปทั่วร้านก่อนที่บาริสต้าควบตำแหน่งเจ้าของร้านจะบรรจงชงคาปูชิโน่เย็นลงแก้วทรงสูงและวางมันลงบนถาดพร้อมกระดาษรองจึงเรียกคนที่กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะมาเสิร์ฟเครื่องดื่ม


“จงออบ...เสิร์ฟกาแฟให้พี่หน่อยครับ”


ชายหนุ่มตาเฉี่ยวชั้นเดียวหน้าดูซื่อๆงงๆสวมเสื้อยืดแขนยาวสีเทากับกางเกงยีนส์ทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเข้มวางมือจากการเช็ดโต๊ะเดินกลับมายังหลังเคาน์เตอร์เพื่อล้างมือจนสะอาดถึงนำกาแฟไปเสิร์ฟยังลูกค้าคนเดียวในร้านซึ่งเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่หนาสวมเสื้อยืดสีเทาพอดีตัวที่ทำให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงเต็มชัดแต่หน้าตากลับใจดีเหมือนสุนัขพันธุ์ซามอยด์ตัวใหญ่ที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะกระจกที่มีแก้วกาแฟเหลือติดก้นนิดหน่อยกับจานเปล่าสองใบที่เหลือเพียงเศษเค้กเลยขออนุญาติเก็บจานกับแก้วเปล่ากลับมา


“ลูกค้าคนนั้นเขารู้จักพี่เหรอ” ลูกจ้างพาร์ทไทม์ที่ทำงานในร้านครบเดือนแล้วกระซิบถามหลังยกแก้วกับจานลงในอ่างล้างหลังเคาน์เตอร์


“ไม่อะ”


“แต่ผมเห็นเขามองพี่อยู่นะ มองตั้งหลายรอบ มองไปยิ้มไป นึกว่าคนรู้จักของพี่ซะอีก”


“จริงเหรอ ไม่เห็นรู้เลย”


“ก็พี่ไม่ได้มองไง แต่ผมเห็น”


“เขาคงจะมองเพราะไม่รู้จะทำอะไรล่ะมั้ง”


“ไม่รู้จะทำอะไรก็น่าจะกลับบ้านนะครับ” 


“คงรอใครอยู่ด้วยก็เลยยังไม่กลับ”


“แต่พี่บอกผมว่าเขามาตอนห้าโมงเย็น นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้วนะครับ คนที่รอยังไม่มาอีกเหรอ”


“พี่ไม่รู้เหมือนกันอะว่าทำไมเขานั่งนานแต่เขาเป็นลูกค้านี่ แล้วเขาก็สั่งกาแฟพี่กับขนมตั้งเยอะ ถ้าสั่งกาแฟแก้วเดียวสิพี่จะให้นายไปไล่” เจ้าของร้านพูดติดตลก


“อีกครึ่งชั่วโมงก็ปิดร้านแล้ว ถ้าเขายังไม่ไปจะทำไงอะครับ”


“ก็บอกเขาว่าปิดร้านแล้ว แค่นั้นแหละ”


“งั้นผมไปกวาดถูร้านไว้ก่อนแล้วกันนะครับ”


“อืม”


คนอ่อนกว่าเดินออกจากเคาน์เตอร์เข้าไปห้องด้านหลังหยิบเอาไม้ถูพื้นอเนกประสงค์ที่กวาดและเช็ดได้ในคราวเดียวได้ก็ออกมาทำความสะอาดพื้นเตรียมไว้เหมือนทุกวัน หากทุกครั้งที่เงยหน้ามองไปทางลูกค้าคนเดียวในร้านซึ่งนั่งอยู่มุมเสาห่างจากเคาน์เตอร์ไปไม่ใกล้มองเจ้าของร้านอยู่ก็เหลือบตามองบนพยายามถูพื้นโดยรอบให้สะอาดค่อยมุ่งหน้าไปแถวโต๊ะตัวนั้น


ตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่เขามีความรู้สึกว่า พี่ยองแจเป็นเจ้าของร้านที่ใจดีน่ารักบอบบางเลยอยากปกป้อง พอเห็นใครมีท่าทางไม่น่าไว้ใจหรือดูจะสนใจพี่เขาเป็นพิเศษมันจะรู้สึกยุบยิบอยู่ไม่ค่อยสุขไปหมด


“ร้านปิดสองทุ่มนะครับ” เขาแจ้งแล้วขยับไม้ถูพื้นไปมาโดยคอยเดินบังไม่ให้ลูกค้าผู้นั้นมองเห็นเจ้าของร้านได้ถนัดอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้คนที่น่าจะจัดการกับเรื่องนี้ได้มาถึงกระทั่งเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งตรงกระจกร้านเดินผ่านมาก็คว้าไม้ถูพื้นวิ่งออกไปยืนรอรับแทบจะทันที


“พี่แดฮยอนครับ”

 
“อะไร มีอะไร” คนที่หิ้วถุงกระดาษเดินยิ้มมาตลอดทางชะงักหลุดถามออกไปทันที


“ทำไมวันนี้พี่มาช้าจัง”


“เอ้า...วันนี้พี่เข้าออฟฟิศไปส่งงานก็เลยมาช้า เรามีอะไรหรือเปล่า”


“ผมน่ะไม่มีหรอก แต่หมอนั่นน่าจะมี”


“ใครวะ”


“ลูกค้าน่ะครับ”


“ลูกค้าเขาทำไม”


“ผมเห็นเขามองพี่ยองแจตลอดเลย มองไปยิ้มไป ขนาดไปยืนบังแล้วก็ยังมอง มองจริงมองจัง มองเหมือนไม่เคยมองใครมาก่อนในชีวิต” เพราะเคยถูกฝากฝังให้คอยดูแลเจ้าของร้านเวลาที่อีกฝ่ายไม่อยู่บวกกับความร้อนในใจคนอ่อนกว่าเลยเปิดปากฟ้องไปจนหมดสิ้น


แดฮยอนละสายตาจากพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านมองเข้าไปภายในร้านก็เห็นเพื่อนร่วมบ้านของเขายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์คุยกับชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ผมสีบลอนด์ท่าทางดูดีคนหนึ่งอยู่ก็หน้าตึงรีบจ้ำเท้าตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ฝ่ายลูกค้าที่กำลังรอเงินทอนหันหน้ามามองก็ร้องทักด้วยรอยยิ้มจนตาหยี หากไม่ทันไรแขนของเขากลับถูกล็อกและโดนลากออกจากร้านไปแทบจะทันที


“มึงมานี่ได้ไงวะ แดน” ประโยคคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นทำให้คัง แดเนียลหรือที่หลายคนมักจะเรียกสั้นๆว่า แดน ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เรียนมัธยมปลายเดียวร่วมทั้งมหาวิทยาลัยคณะเดียวกันมาถึงกับยกมือลูบต้นคอเพราะทำตัวไม่ถูก


ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันเพราะต่างฝ่ายต่างยุ่ง ส่วนใหญ่จึงได้คุยกันในคาทก กระนั้นเท่าที่จำได้เมื่อก่อนเวลาพบกัน รุ่นพี่ที่เขาสนิทมากคนนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด พอเห็นท่าทางไม่คุ้นเคยเลยรู้สึกแปลกไปหมด...


“ผมถามพวกพี่ฮันเฮมา พี่เขาบอกผมว่าพี่ชอบมาที่ร้านนี่เลยมารอ”


“รอกูทำเหี้ยอะไร”


“นี่พี่โมโหผมเหรอครับ” คนตัวใหญ่แต่ตัวถามเสียงอ่อยทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกตัวพยายามยั้งความหัวร้อนจากการได้เห็นภาพรุ่นน้องกับรูมเมทคุยกันเมื่อครู่


“เปล่าหรอก...พี่แค่งงที่เห็นมึงมาหา กูไม่เห็นหน้ามึงตั้งนาน เวลามีนัดรวมรุ่นมึงก็บอกแต่ไม่ว่างต้องสอนเต้น ละนี่จะมาทำไมไม่บอกกูก่อนวะ”


“ผมบอกพี่ในคาทกแล้วนะว่าจะมาหาพี่ที่ร้านตอนห้าโมงเย็น เห็นพี่ตอบมาว่า ได้ๆ แต่ขอทำงานให้เสร็จก่อน ผมก็เลยมารอ”


ฝ่ายที่ยืนฟังคำตอบย่นหน้าผากพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข้อความถึงจำได้ว่า ก็อปข้อความส่งไปให้คนที่ทักมาในแชทไปส่งๆช่วงที่นั่งทำกล้องเรียกชื่อยากนั้นอยู่


“เออ โทษทีพอดีงานยุ่งเลยลืม” เขาปดเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเขาชอบก็อปข้อความเดียวกันตอบกันทุกคนยกเว้นก็แต่รูมเมทที่เขามักจะร่ายยาวส่งไปหา “แล้วมึงมาหากูนี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 


“คือ...ผมจำได้ว่าพี่เคยถามหารูมเมทอยู่ ผมมีคนที่เขาหารูมเมทอยู่พอดีก็เลยอยากมาคุยกับพี่เรื่องนี้”


“มาคุยกับกูเรื่องหารูมเมทเนี่ยนะ ไอ้ห่าแดน กูหารูมเมทได้เป็นชาติแล้วโว้ย”


“อ้าว หาได้แล้วเหรอ ผมไม่เห็นรู้เลย”


“มึงหัดอ่านข้อความในกรุ๊ปบ้างนะ...ไม่ใช่กดเข้ามาให้มันเลิกขึ้นเลขแจ้งเตือนอย่างเดียว”


“แล้วพี่หารูมเมทได้จากไหนเหรอ”


“รุ่นพี่กูแนะนำมา” คนแก่กว่าเกือบจะหลุดปากพูดแล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมเอกเดียวกันแต่ฉุกคิดได้ว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นรุ่นพี่เอกเดียวกันเช่นเขาแถมยังเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่มันนั่งมาหลายชั่วโมงคงไม่แคล้วจะถือความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมาเกาะแกะอีก

“รูมเมทพี่เขาใจดีมั้ย”


“ถามทำไม”


“ก็เผื่อว่า ผมอาจจะขอไปค้างบ้านพี่สักสองสามวัน”


“มาคงมาค้างห่าอะไร ไม่ได้ บ้านมึงก็ใหญ่ยังกะวัง กลับไปนอนบ้านมึงนู้นไป้ หรือถ้ามึงอุตริคิดจะเปลี่ยนบรรยากาศการนอน โน้น ไปเปิดโรงแรมนอนโน้น เด็กนอกบ้านรวยมีรถสปอร์ตขับจะนอนหลับในโรงแรมหรูสิบดาวยังได้เลย”


“โหย...พี่ก็พูดเกินไป คนรวยน่ะพ่อไม่ใช่ผม”


“แต่มึงเป็นลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจค้าปลีกอันดับต้นๆของประเทศ เงินพ่อมึงก็เหมือนเงินมึงนั้นแหละ”


“เหมือนเงินผมอะไรล่ะ ถ้าเหมือนจริงล่ะก็เวลาผมอยากใช้เงินผมต้องอนุมัติเงินออกมาใช้ได้เองดิ”


“รอพ่อมึงเขาเกษียณ เขาก็ยกมรดกให้มึงเอง”


“กว่าจะเกษียณอีกนานเลย”


“ละนี่ทำไมถึงพูดเรื่องเงินวะ อย่าบอกนะว่ามึงมีปัญหาเรื่องเงินเลยจะมายืมกู”


“มันไม่เชิงเรื่องเงินอะครับ”


“ทะเลาะกับพ่อหรือไง”


“ก็ประมาณนั้น”


“ทะเลาะเรื่องอะไร”


“มันยาวน่ะพี่ แต่ถ้าพี่อยากฟังให้ผมไปค้างบ้านพี่สิ”


“ไอ้แดน กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้”


“แค่วันสองวันก็ไม่ได้จริงๆเหรอพี่” คนตัวใหญ่พยายามต่อรองทำหน้าอ้อนสุดฤทธิ์


“ไม่ได้โว้ย”


“ทำไมล่ะครับ”


“รูมเมทกูเขาเป็นเจ้าของบ้านที่กูอยู่ด้วยและกูไม่ได้ทำสัญญาเช่าอะไรด้วย เพราะงั้นเกิดกูพาคนแปลกหน้าไปค้างแล้วเขาไม่พอใจไล่กูออกจากบ้านขึ้นมาก็ซวยดิ”


“อ๋อ...รูมเมทพี่เป็นเจ้าของบ้านนี่เอง”


“มึงเข้าใจใช่มั้ย เข้าใจก็ดี แล้ววันหลังมีไรโทรมาหากูแทนส่งข้อความนะ ตอนกูเบลอๆกูชอบตอบอะไรไม่รู้เรื่อง อีกอย่างไม่ต้องมาที่ร้านกาแฟนี่อีกล่ะ พี่ฮันเฮแม่งต่างหากที่ชอบมานั่งอยู่นี่ไม่ใช่กู อยากเจอไปรอเจอหน้าออฟฟิศนู้น ยังดีนะที่วันนี้กูอยากแดกขนมเลยแวะมา ไม่งั้นมึงรอเก้อแน่”


“อา ครับ”


“แล้วนี่...กูให้ มึงไปหาที่นอนสักคืนสองคืน ไปคิดให้ตกค่อยไปง้อพ่อมึงแล้วกัน” รุ่นพี่ผู้โกหกหน้าตายมาตลอดการสนทนาตัดบทการไล่รุ่นน้องไปแบบเนียนๆด้วยการหยิบธนบัตรห้าหมื่นวอนสองใบจากในกระเป๋าสตางค์ส่งให้


“เฮ้ย...พี่ให้ผมแสนวอนเลยเหรอ เมื่อก่อนผมจำได้ว่าพี่ไม่ค่อยมีเงินต้องทำงานพิเศษตลอด ไหงตอนนี้รวยจัง”


“กูไม่ได้รวย แค่ไม่ได้แดกเหล้าเลยมีเงินเหลือเพิ่ม นี่กูเห็นแก่ความเป็นน้องสายรหัสกูหรอกนะถึงให้ มึงเอาไปหาที่นอนเหลือก็เก็บไว้หาไรแดก”


“คือผมไม่อยากได้เงินอะพี่ ผมแค่อยากได้ที่นอน”


“ก็นี่ไง มึงเอาเงินกูไปเปิดเกสต์เฮ้าส์หรืออะไรก่อนก็ได้”


“ไม่ไหวหรอกพี่ ผมไม่ชอบนอนคนเดียว”


“โว้ย มึงจะเรื่องมากอะไรขนาดนั้นวะแดน ไม่อยากนอนเกสต์เฮ้าส์ก็ไปบ้านเพื่อนมึงเอาสิ”


“เพื่อนสนิทผมมันอยู่เมืองนอกกันหมดแล้วน่ะ พวกพี่คนอื่นเขาก็ยุ่ง ไม่ก็แต่งงานกันหมดจะให้ผมไปอยู่ได้ไง”


“บ้านญาติ”


“ญาติผมอยู่เมกากัน”


“อะไรนักวะ...มึงไปนอนบ้านพี่ซองวอนหรือบ้านพี่ฮันเฮมะ”


“ไม่เอาหรอก ผมไม่ได้สนิทกับพี่เขาเท่าพี่นี่”


“แดน...มึงไม่ใช่เด็กแล้วนะ ต้องมีคนนอนด้วยนี่ไม่ไหวมั้ง เอางี้มะ มึงไปคลับแล้วหาสาวในนั่นสักคน แบบมึงเนี่ยหาสาวไม่ยากหรอก หาได้ก็ขอเขาไปค้างด้วยจบ”


“พี่ ผมไม่ใช่คนประเภทจะไปนอนกับใครเขามั่วสั่วนะ ถ้าไม่รักผมทำไม่ได้หรอก”


“แล้วแฟนมึงล่ะมีมั้ย...มีก็ไปนอนกับเขา”


“ตอนนี้ไม่มี”


“เออ แล้วทำไมไม่ไปนอนบ้านจีซองมันวะ” คนอายุมากกว่าเอ่ยถึงชื่อเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายซึ่งสนิทกับอีกฝ่ายเหมือนกันขึ้นมา


“พี่เขาไม่รับโทรศัพท์”


“แม่งเอ๊ย...ถ้างั้นมึงเดินจากนี่ไปประมาณสามช่วงตึกมันมีโรงอาบน้ำอยู่ มึงไปอาศัยนอนที่นั่นก่อน เอาแบบที่ปูเสื่อนอนข้างนอกนะไม่เอาเป็นห้อง รับรองมึงไม่ได้นอนคนเดียวแน่”


“จริงเหรอครับ”


“จริง...ไปลองดูแต่มันไม่หรูหรอกนะ ถ้าติดหรูมึงอยู่ไม่ได้แน่”


“ผมก็ไม่ใช่คนติดหรูซะหน่อย”


“งั้นไปลองจะได้รู้”


“ถ้ามันเกิดไม่ดีล่ะ...ผมจะทำไง”


“มึงก็โทรหาจีซองมัน ถ้ายังโทรหาไม่ติดบอกกู...กูโทรให้” 


“เอางั้นก็ได้ ขอบคุณนะครับ” แดเนียลบอกด้วยสีหน้ามีแววกังวลแต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่โดยไม่รับเงินที่อีกฝ่ายยื่นมาให้


คนเป็นรุ่นพี่ยืนรออยู่กระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ย้อนกลับมาจึงผลักประตูกลับเข้าร้านกาแฟไปเหมือนเก่า แต่พอเห็นลูกค้าที่เขามาทีไรก็เห็นมาซื้อกาแฟเวลาเดิมเสมอสวมฮู้ดปิดหน้าปิดตายืนรอเครื่องดื่มอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทั้งที่อีกห้านาทีจะได้เวลาปิดร้านอยู่แล้วก็ขบกรามอยู่ในปากเสียแน่น


...ไอ้เวรนี่มาอีกแล้ว...


ลูกค้าประจำหันมองยังชายหนุ่มตัวสูงกว่าที่เดินเข้ามายืนข้างตนเอง ใบหน้าหล่อระคนน่ารักนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส่แต่ดวงตากลับแข็งกร้าวทำให้ฝ่ายที่โดนมองแรงเช่นนั้นทุกวันรู้สึกไม่ดีนัก หากก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะถึงจะบอกคนใช้มาซื้อก็ยังใช้มาอยู่ดี


“หมื่นหกพันวอนครับ” 


เจ้าของร้านแจ้งราคาพร้อมวางถุงกระดาษใส่เครื่องดื่มสองแก้วลงบนเคาน์เตอร์แล้วรับธนบัตรที่จ่ายมาพอดีใส่กลับแคชเชียร์ปล่อยให้ลูกค้าประจำหิ้วถุงออกจากร้านถึงได้ฤกษ์บิดตัวไปมาเพื่อคลายเมื่อยก่อนจะมองเพื่อนร่วมบ้านที่เดินเข้ามาเท้าแขนวางคางทับบนเคาน์เตอร์ยิ้มกว้างจนหน้ายับไปหมดอยู่ตรงหน้า


“วันนี้ลูกค้าเยอะเหรอ” ถึงจะหงุดหงิดใจกับลูกค้าคนเมื่อครู่แต่พอเห็นคนหลังเคาน์เตอร์ดูเหนื่อยก็เลยถามอย่างเป็นห่วง


“ไม่เยอะหรอก แต่พรุ่งนี้มีคนออเดอร์กากกาแฟไปทำสครับผิวเยอะเลยต้องตักใส่ถุง ดีมีจงออบช่วยนะไม่งั้นฉันทำไม่ไหวแน่เลย เออ ละนั่น ผู้ชายตัวใหญ่ๆคนนั้นน่ะเพื่อนนายใช่มั้ย”


“อา จะเรียกเพื่อนคงไม่ได้หรอก มันเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนน่ะ”


“รุ่นน้องสมัยมหาลัยปะ”


“ไม่ๆ ไม่ใช่” ฝ่ายถูกถามรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน


ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบคนโกหกเพราะได้ยินเจ้าตัวเปรยอยู่หลายที แต่เพราะไม่อยากให้มีใครถูกให้ความสำคัญหรือถามถึงมากกว่าตัวเองจึงโกหก


“นายบอกให้เขามารอที่นี่ใช่มะ”


“เฮ้ย เปล่านะ ฉันไม่เคยบอกให้มันมา พอดีมันโทรถามพี่ฮันเฮ พี่เขาอยู่ในสตูดิโอเลยไม่รู้ว่าฉันอยู่ออฟฟิศเลยบอกให้มันมารอที่นี่”


“แล้วเขามาหานายทำไม”


“เห็นว่าทะเลาะกับพ่อเลยจะหาที่นอน แต่มันไม่ชอบนอนคนเดียว นอนกับคนไม่สนิทไม่ได้ คนที่พอจะไปค้างด้วยได้ก็ไม่รับโทรศัพท์ มันเลยอยากมาขออาศัยฉันนอนด้วยแต่ฉันไม่ได้ให้มันมานอนหรอกนะ สบายใจได้”


“จริงๆ ถ้าเขาไว้ใจได้ นายจะให้เขามาค้างที่บ้านสักวันสองวันก็ได้นะ นายเองก็นอนไม่หลับถ้าไม่ได้จับมือหรือกอดตุ๊กตาของฉันนี่ สมมติรุ่นน้องนายคนนี้เขามานอนกับนายด้วยนายก็จับมือเขานอนซะจะได้หลับ”


“ไม่ได้หรอก ฉันน่ะไม่ใช่ว่าจะจับมือใครแล้วหลับได้นะ ถ้าไม่ใช่มือของนายหรือตุ๊กตาที่มีกลิ่นนายด้วยน่ะ ฉันนอนไม่หลับ” ประโยคที่สวนกลับรวดเร็วอย่างไม่ผ่านการคิดใดมาพร้อมกับความเครียดเคร่งทางสีหน้าทำให้คนฟังที่พยายามไม่ให้เผลอดีใจจนคิดไปไกลกลอกตาไปมา


...คำพูดที่ทำให้ใจเต้นแรง ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่การแสแสร้งแต่ไม่อาจยินดีตามน้ำคำนั้นได้...


“จะว่าไป รุ่นน้องนายนี่ตัวใหญ่ดีนะ กล้ามงี้หนาเลย” เจ้าของร้านเปลี่ยนบทสนทนาเอาเสียดื้อๆ ทว่าคนตรงข้ามกลับขมวดคิ้วและถามกลับทันที


“นายชอบคนตัวใหญ่กล้ามแน่นๆเหรอ พวกมีกล้ามแต่ไม่ได้เล่นจนใหญ่มากนี่ไม่ชอบเหรอ”


“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงถามฉันแบบนั้นล่ะ ถามเหมือนฉันเป็นผู้หญิงที่กำลังเลือกแฟนจากหุ่นเลย แต่ว่านะปกติแล้วผู้ชายเขาก็อยากมีกล้ามกันทั้งนั้นแหละ จะกล้ามเล็กกล้ามใหญ่มีไว้ก็ดูเฮลตี้ดี”


“พี่ชอบคนมีกล้ามเหรอครับ ผมก็มีกล้ามนะ กล้ามท้องผมนี่เป็นลอนอย่างสวย ใครเห็นใครก็ชม พี่อยากดูมั้ยครับ” นักศึกษาพาร์ทไทม์ของร้านที่ทำความสะอาดเก็บกวาดพื้นเรียบร้อยได้ยินเข้ารีบเสนอตัว ตาเล็กชั้นเดียวยังจ้องอยู่เพียงหน้าเจ้าของร้านเลยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาขึ้งเครียดของผู้มากวัยกว่าอีกคนที่ก่นด่าในใจ


...โถ พ่อนักกรีฑาห่าเอ๊ย...


ความจริงจงออบเป็นเด็กดีและเขาเองก็เอ็นดูน้องมันอยู่มาก แต่อยู่ผิดที่ผิดเวลาไปหน่อยทำให้หลายครั้งเขามักจะหาทางสกัดน้องออกจากรูมเมทเขาห่างด้วยวิธีการที่ดูเหมือนเป็นคนใจดี เช่น ชิงซื้อของกินให้น้องเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกอิจฉาหากน้องได้รับความใส่ใจจากรูมเมท  กระนั้นเขาก็ยังถือว่าการมีจงออบไว้ในร้านยังมีประโยชน์เพราะอย่างน้อยก็ยังช่วยเป็นหูเป็นตาเวลามีอะไร


“โอย ไม่ต้องเปิดให้ดูหรอก พวกนักกีฬามันต้องมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน เออ แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยัง พี่ซื้อข้าวหน้าเนื้อมาให้ เอาไปกินดิ”


เจ้าของร้านจ้องข้าวหน้าเนื้อสามกล่องใส่ในถุงพลาสติกที่เพื่อนร่วมบ้านมักจะซื้อมาฝากพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านเขาทุกครั้งที่แวะมาก็ได้แต่แกล้งหยิบจับของบนเคาน์เตอร์เหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเจ็บแปลบ


...เห็นหรือยังละ... 

...เขาไม่ได้ใจดีกับเราคนเดียวเสียหน่อย...


“นายทำความสะอาดเสร็จแล้วนิ จะกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ล็อกร้านเอง” เจ้าของร้านบอกกับพนักงานตัวเองขณะหยิบกระเป๋าสะพายข้างที่แขวนบนราวตรงผนังหลังเคาน์เตอร์ส่งให้


“อา...ครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะครับพี่” 


จงออบรับคำพร้อมโบกมือให้กับผู้มากวัยกว่าตนเองทั้งคู่แล้วสะพายกระเป๋าเดินลิ่วออกจากร้านเพื่อกลับไปอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ส่วนเจ้าของร้านก็ออกมาปิดล็อกประตูเหมือนทุกวันเพียงแต่วันนี้มีคนยืนรอจะกลับบ้านพร้อมกันด้วย


“กินข้าวหรือยัง” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นถามขึ้นทันทีที่เดินมาขนาบข้างในระดับเดียวกับคนตัวผอม


“กินแล้ว”


“ยาล่ะกินหรือยัง”


“กินเรียบร้อย”


“แล้ววันนี้กินอะไรไป”


“ข้าวหน้าไก่คาราเกะราดซอสกิมจิน่ะ”


“ซื้อมาเหรอ”


“เปล่า ฝีมือพี่ฮิมชานน่ะ พอดีช่วงสายๆพี่เขาแวะเอาข้าวมาให้ตุนกินเวลาอยู่ร้าน ฉันก็เลยเอามันมาเวฟกิน”


“อร่อยมั้ย”


“อร่อยสิ ฝีมือพี่ฮิมชานไม่มีคำว่าไม่อร่อยหรอก”


“นายคงชอบอาหารของพี่ฮิมชานมากเลยสิ”


“ใครๆเขาก็ชอบของอร่อยทั้งนั้นแหละ ยิ่งของอร่อยแถมฟรี ไม่มีใครไม่ชอบหรอก ว่าแต่นายเถอะกินข้าวหรือยัง”


“ยังเลย ตอนแรกฉันนึกว่าจะมากินกับนายน่ะ ฉันส่งข้อความมาถามว่านายจะกินอะไรด้วยนะแต่นายไม่ตอบ พอเลิกงานก็เลยมานี่เผื่อนายยังไม่กิน”


“แต่นายซื้อข้าวหน้าเนื้อมาให้จงออบตั้งหลายกล่อง ทำไมตอนนั้นไม่ซื้อเผื่อมาให้ตัวเองด้วยล่ะ”


“ฉันไม่ได้อยากกินข้าวหน้าเนื้อนิ”


“ไม่อยากกิน ก็ยังอุตส่าห์ไปซื้อให้อีกเนาะ”


“ฉันฝากเพื่อนที่ออฟฟิศมันซื้อน่ะ” เพราะไม่รู้ถึงความน้อยใจที่อีกฝ่ายแอบซ่อนทำให้ตอบออกไปด้วยรอยยิ้มซึ่งนั่นเป็นเหตุให้เข้าใจผิด


“นายหิวหรือเปล่า ถ้าหิวล่ะก็ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้ค่อยกลับบ้าน” คนถามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเอาข้าวในตู้มาเวฟกินได้”


“อืม” ยองแจตอบรับในลำคอยังคงมองตรงไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นดวงตาที่สั่นระริกจนต้องกระพริบเอาไว้เพื่อไม่ให้มีแววความทุกข์ใดหลุดลอดให้ใครแม้แต่ต้นเหตุเองได้เห็น 


บรรยากาศของความเงียบนั้นมีความอึมครึ้มอึดอัดแทรกตัวเข้ามาระหว่างทั้งคู่ แม้ในตอนที่กลับเข้ามาถึงบ้านแล้วเจ้าของห้องยังคงไม่พูดอะไรมากไปกว่าขอตัวไปอาบน้ำและหายไป ปล่อยเพื่อนร่วมบ้านครุ่นคิดขณะอุ่นอาหารกล่องในไมโครเวฟว่าได้ทำอะไรผิดพลาดจนถูกโกรธหรือเปล่า


...ทุกครั้งที่ยองแจเงียบ เขาจะเริ่มทบทวนในสิ่งที่ทำลงไป...


พักหลังมานี้เขามีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับยองแจมากกว่าเดิม การได้หัวเราะ เที่ยวเล่น กินข้าว ซื้อของและพูดคุยกันเป็นยิ่งกว่าความสุขของเขา ทว่ามีหลายครั้งที่คนช่างพูดกลับเงียบจนผิดวิสัย แม้เขาจะเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมาก็มักได้รับคำตอบว่า เหนื่อย และความเหนื่อยที่ว่านั้นเองที่ทำให้บางคืนเขายอมนอนกอดตุ๊กตาที่ถูกหยิบมาให้ยืมแทนการจับมือจนหลับ


...เขารู้ดีว่ายองแจมีบางอย่างติดค้างในใจและไอ้บางอย่างที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั้นทำให้เขากลัวจับใจ...


สิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในตอนนี้มีเพียงการเสียยองแจไป แต่เขายังเขลาเกินกว่าจะเข้าใจในสาเหตุเพราะอีกฝ่ายยังเลือกไม่เปิดเผยให้เขารู้ความลับในใจนั้น


เพราะมั่วแต่คิดหนักจึงตักข้าวยัดเข้าปากอย่างไม่รู้รสชาติคล้ายกินเพียงประทังชีวิต ขณะจ้องไปทางประตูครัวรอกระทั่งเห็นเจ้าของบ้านเดินผ่านไปไม่หยุดแวะเข้ามาก็รวบข้าวกล่องแยกทิ้งเศษอาหารและกล่องไว้ในถังขยะคนละแล้วรีบไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อตามเข้ามาสมทบให้ห้องนั่งเล่น


โทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นฉายภาพของผู้ประกาศข่าวหญิงกำลังรายงานสภาพอากาศวันพายุเข้าจะทำให้ช่วงนี้เกิดฝนตกหนักทั่วทุกพื้นที่ ทำให้คนเพิ่งเก็บเครื่องดูดฝุ่นเข้ามุมหลังจากทำความสะอาดพื้นห้องนั่งเล่นเพิ่งเสร็จเดินออกไปตรงระเบียงแหงนดูฟ้าสีม่วงเหลือบแดงช้ำเลือดช้ำหนองไร้เดือนดารา


“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามจากเบื้องหลังเรียกให้คนตรงระเบียงหันตามเสียงก็เห็นรูมเมทตัวเองตามออกมายืนเท้าแขนบนราวระเบียงข้างๆกัน


“มาดูฟ้าน่ะ...เห็นข่าวว่าพายุเข้า”


“จริงด้วย...ท่าทางคืนนี้ฝนน่าจะตกหนักนะ”


“อืม” คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงในคอพร้อมแหงนหน้าสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าปล่อยลมเย็นกรรโชกแรงให้พัดผ่านอยู่หลายนาทีก่อนจะก้มกลับลงมาในตอนที่ได้ยินเสียงจากคนข้างตัวพูดขึ้น


“ฉันมีอะไรบางอย่างอยากให้นายด้วย แบบว่าฉันทำอะไรพวกนี้ไม่ค่อยเก่งก็เลยใช้เวลาทำตั้งสามวันกว่าจะทำเสร็จ ถ้านายเห็นแล้วเกิดไม่ชอบจะด่าก็ได้นะแต่อย่าด่าแรงได้มั้ย”


ฝ่ายถูกร้องขอกระพริบตายังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินกระทั่งเห็นกระบอกทรงกลมห่อด้วยกระดาษห่อสีดำลายหมู่ดาวที่ถูกส่งมาตรงหน้า


“นี่อะไร”


“กล้องคาๆอะไรสักอย่างนั้นแหละ” แม้จะเรียกชื่อไม่ถูกเสียทีก็ยังประดิษฐ์มันจนเสร็จ


“คาไลโดสโคปน่ะเหรอ”


“ใช่ๆ ฉันทำกล้องคาไลโดสโคปมาให้”


“ทำมาให้ฉันเนี่ยนะ”


“ใช่”


“ทำให้ทำไมกัน อันที่ฉันมียังใช้ได้อยู่เลย”


“แต่กล้องอันนั้นมีคนทำให้นายตอนเด็กนิ ตอนนี้โตแล้วมีคนทำให้ใหม่อีกอันหนึ่งไม่ได้เหรอ” เพื่อนร่วมบ้านถามเสียงอ่อนนัยน์ตาคมละห้อยหาเหมือนหมาถูกดุ


ทั้งที่ไม่อยากดีใจจนเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจมีใจให้บ้างแต่เมื่อรับกล้องมาถือในมือแล้วลองส่องเห็นความวับวาวระยิบระยับสะท้อนเป็นรูปแฉกของดวงดาวสวยงามแปลกตาแถมยังมีพระจันทร์และกระต่ายตัวจิ๋วที่ผู้ประดิษฐ์บรรจงตัดริบบิ้นอย่างตั้งใจอยู่ในนั้นด้วยก็ห้ามหัวใจตัวเองไว้ไม่อยู่


รอยยิ้มกว้างหวานละมุนงดงามแลกระจ่างสว่างไสวราวพระจันทร์ทรงกลดในหัวใจของผู้ได้ยลให้เต็มตื้นเสียจนลืมสิ้นความมืดมิดของมวลนภาเบื้องบน


“ชอบมั้ย” คนตัวสูงถามด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน


“ชอบสิ” คำตอบนั้นสั้นอย่างยิ่ง หากนั้นเพียงพอให้ใจคนได้ยินลิงโลด ชั่วเวลานั้นแห่งความสุขนั้นดำเนินไปชั่วครู่ก่อนที่เม็ดฝนจะโปรยปรายลงมาเรียกให้ทั้งคู่ต้องวิ่งจากระเบียงกลับเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่น


แดฮยอนหอบเบาะนอนที่พับกองไว้มุมหนึ่งของโซฟาปูบนพื้นแล้ววางหมอนกับผ้าห่มและตุ๊กตาลูกไก่สีเหลืองตัวกลมดิ๊กตามลงไป จากนั้นจึงนั่งลงบนเบาะแต่สายตากลับจดจ่ออยู่แต่เจ้าของบ้านที่นั่งบนพื้นใกล้ๆเพลินอยู่กับการส่องกล้องคาไลโดสโคปของเขาเล่นคล้ายเด็กได้ของถูกใจ ไม่ว่าโทรทัศน์จะเปลี่ยนจากรายการข่าวเป็นทอล์กโชว์แล้วแต่ทั้งคู่ไม่มีทีท่าจะสนใจภาพบนจอเสียเลย


คนตัวสูงนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งจึงเปลี่ยนอิริยาบถไถลลงไปนอนพลางหยิบหมอนย้ายมาวางใกล้กับฝ่ายที่กำลังพลิกดูรายละเอียดของลายห่อด้านนอกตัวกล้อง แม้ลึกๆในใจนึกอยากจะล้มลงไปนอนตักแทนหมอน หากก็กลัวเขาจะโกรธเอาจึงขอแค่เข้าไปใกล้มากเท่าที่จะมากได้


“ขอจับมือหน่อยครับ” คำร้องขอเอ่ยผ่านปากมีแววอ้อน ตาคมแหงนจ้องเพียงดวงหน้านวลเนียนอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อฝ่ายนั้นก้มหน้าพารอยยิ้มแสนหวานมาให้เห็นอีกคราพร้อมมือนุ่มข้างหนึ่งที่ยื่นมาให้เสมือนลืมสิ้นถึงเส้นแบ่งสถานะความเป็นเพื่อนที่เคยขึ้งตึงไว้ หัวใจเขาก็ยิ่งอิ่มอุ่น


กล้องคาไลโดสโคปถูกเจ้าของมือขาวหมุนพลิกไปเรื่อยเพื่อให้ดวงตาได้เห็นความสวยแปลกตาที่เปลี่ยนผันไปทุกครั้งที่ขยับกล้องหมุนไปอีกทาง ด้วยความสนใจอยู่เพียงของเล่นจึงไม่รู้สึกเคอะเขินต่อการถูกมืออุ่นใหญ่จับไว้และลืมตัวเผลอร้องเพลงคลอออกมาเบาๆ ทั้งที่ไม่กล้าร้องเพลงให้ใครได้ยินมานานมากแล้ว


Moon river, wider than a mile 
I'm crossing you in style some day 
Oh, dream maker, you heart breaker 
Wherever you're goin', I'm goin' your way


สายฝนด้านนอกตกกระทบราวระเบียงสาดกระเซ็นยังบานประตูเลื่อนกระจกนำอากาศเย็นครอบคลุมถึงในห้อง ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกถึงความหนาวด้วยหัวใจทั้งสองดวงนั้นอบอุ่น หัวทุยบนหมอนนอนฟังเพลงจากเสียงอุ่นนุ่มราวจะกล่อมทั้งโลกให้หลับฝัน มือใหญ่กุมมือเล็กเย็นเฉียบไว้พลางบีบเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมออย่างทะนุถนอมแล้วดึงมาแนบแก้มลงค่อยขยับปลายจมูกขึ้นมาเคลียคลอสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ในครีมอาบน้ำไว้เต็มปอดหลายทีก่อนจรดริมฝีปากจูบเบาบนหลังมืออย่างรักใคร่เฉกชายผู้ตกอยู่ในห้วงรักแต่ขลาดเขลาเกินกว่าจะยอมรับความจริงแท้ของหัวใจ


ยองแจชะงักลดกล้องคาไลโดสโคปลงจากดวงตาแทบจะทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอุ่นระคนสากจากไรหนวดที่โกนไม่เกลี้ยงของอีกฝ่ายบนหลังมือ เสี้ยวหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาเคล้าเคลียอ่อนโยนเช่นเดียวกับการลูบจับคล้ายกับมือของเขานี้เป็นของล้ำค่าที่ถูกเทิดทูนบูชา


...ความตกใจทำให้นิ่งงัน คงมีหัวใจเท่านั้นที่เต้นแรง...


ผู้หลงใหลในตัวเจ้าของความอ่อนนุ่มหอมหวนของมือโดยไม่รู้ตัวเหลือบตาจ้องดวงหน้านวลในนาทีที่เสียงเพลงขาดหาย นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มทั้งคู่ฉายแววเว้าวอนแม้นริมฝีปากจะเหยียดขยายกว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็แก้เก้อเอ่ยปากขอโทษแต่ไม่ยอมปล่อยมือนั้นเป็นอิสระ


“ขอโทษนะ ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่มือนายมันหอมมากก็เลยเผลอดมไป”


“อา” คนที่หัวใจแทบระเบิดพยายามกดความรู้สึกทั้งมวลไว้ใต้ความเรียบเฉยพร้อมส่ายหัวแสร้งเหนื่อยระอา “นี่นายชอบเที่ยวไปทำแบบนี้กับคนอื่นด้วยหรือเปล่า ระวังเหอะ ไปดมมือผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเขาเกิดมีแฟนขึ้นมานายโดนต่อยฟันหักแน่” 


“ดีจังที่เป็นนาย ฉันเลยไม่โดนต่อย”


“อยากโดนปะล่ะ”


“ไม่อยากโดนหรอกแต่ถ้านายอยากต่อยล่ะก็ ฉันยอมให้ต่อยก็ได้”


“ฉันไม่ต่อยหรอก ต่อยนายไปก็เจ็บมือเปล่าๆ”


“ให้ฉันต่อยตัวเองก็ได้นะ”


“บ้าแล้ว คนที่ไหนเขาจะต่อยตัวเองกัน” 


“ถ้านายอยากให้ฉันทำอะไร ขอแค่นายบอกหรือสั่งมา ฉันจะทำให้นายทุกอย่างเลย” ประโยคจากเสียงทุ้มนุ่มมีรอยแย้มพรายละมุนละไมดูละม้ายแมวบ้านเชื่องๆ ทำให้คนก้มมองอยู่เชิดปากเงยกลับหันมองไปทางอื่นก่อนเอ่ยพึมพำด้วยเสียงเบาหวิวยิ่งกว่าเสียงกระซิบ


“ถ้าสั่งได้จริงอย่างที่ว่า...งั้นก็รักฉันตอบซะสิ”


สิ้นคำผู้พูดก็กลั้นก้มไปมองคนที่นอนบนพื้นแต่ฝ่ายนั้นกลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความอยู่พอดีก็ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา


“ข้อความเข้าเหรอ”


“ใช่...บอสเขาส่งมาบอกให้ฉันเขาออฟฟิศพรุ่งนี้แต่เช้า”


“อ้อ”


“เออ แล้วเมื่อกี้นายพูดอะไรกับฉันหรือเปล่า”


“เปล่านิ” เจ้าตัวตอบพลางส่ายหัวไปมาก่อนจะว่า “ฉันไปนอนก่อนนะ”


“นี่เพิ่งสี่ทุ่มเอง จะนอนแล้วเหรอ”


“อื้อ...ฉันง่วงน่ะ แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปรอลูกค้าที่จะมาเอากากกาแฟด้วย คงอยู่ให้นายจับมือจนหลับไม่ไหว ยังไงก็นอนกอดเจ้ากุ๊กไก่ที่ฉันให้ยืมไปก่อนแล้วกัน” 


“อืม ไปนอนเถอะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ” คนสูงกว่าพยักหน้ากล่าวลาอ่อนโยนแต่ยังคงกุมมือนุ่มไว้


“แดฮยอน”


“ครับ”


“ฉันจะไปนอนแล้ว”


“อืม...ก็ไปสิ”


“จะให้ไปก็ปล่อยมือ”


“เอ้า โทษที ฉันลืมว่ายังไม่ได้ปล่อยมือ” พอถูกเตือนจึงยอมปล่อยมือขาวนั้นไปอย่างเสียมิได้


“ไปนอนแล้วนะ ฝันดีล่ะ”


“เช่นกัน”


“รีบๆนอนล่ะ อย่ามัวแต่แชท พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”


“มัวแต่แชทอะไร ฉันไม่ได้คุยอะไรกับใครซะหน่อย นายเถอะอย่ามัวแต่แชทนัดแนะเล่นเกมออนไลน์มากล่ะ เวลาฉันไม่อยู่บ้านตอนกลางคืนก็ยังเล่นเกมมากนะ เดี๋ยวเลยเวลาจนนอนดึกจะไม่สบายเอา”


“ฉันรู้หรอกน่าว่าทำอะไรอยู่ 


“อย่าโมโหสิ ฉันพูดเพราะเป็นห่วงหรอกนะ”



“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ไปห่วงคนอื่นเถอะ”


“คนอื่นน่ะใครล่ะ”


“โอ๊ย นายน่ะมีคนให้ห่วงเยอะแยะไป”


“ฉันไม่ได้ว่างมาห่วงทุกคนนะ ฉันห่วงแค่คนสำคัญเท่านั้นแหละ”


“คนสำคัญของนายคงมีเป็นล้านอะ”


“แต่เชื่อสิ ไม่มีใครสำคัญกับฉันมากกว่านายหรอก”


ยองแจกลืนน้ำลายลงคอไม่อาจมองฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสนิทใจจึงตัดบทจบการสนทนาไปแทน


“ไม่เอาล่ะ ฉันไม่คุยด้วยแล้ว เอาเป็นฉันไปนอนดีกว่า ฝันดี”


“ฝันดี ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”


แดฮยอนลุกขึ้นมานั่งโบกมือให้คนตัวเล็กกว่าที่ผุดลุกจากพื้นเดินไปปิดไฟให้ก็หนีหายกลับไปยังห้องนอน ก่อนจะขยับเบาะนอนนอนพับได้คุณภาพดีราคาแพงที่เขาลงทุนซื้อเพื่อให้นอนหลับสบายให้หันแนวนอนขนานกับหน้าจ่าง จากนั้นจึงสะบัดผ้าห่มคลุมตัวและหยิบตุ๊กตาลูกไก่ตัวใหญ่ที่ได้รับมาใช้ทดแทนการจับมือนอนมากอดแนบอก


กลิ่นหอมอ่อนบนตัวตุ๊กตาคล้ายคลึงกับกลิ่นที่ติดกายเจ้าของบ้านทำให้เขาฝังจมูกไว้อย่างนั้นอยู่นานกว่าจะกำมือข้างที่ไม่เหลือไอความเย็นจากปลายมือเล็กอีกแล้วมาวางแนบอก ดวงตาคมมองจ้องเพดานในความมืดชั่วครู่ก็หันหน้าไปยังบานประตูเลื่อนกระจกยินเสียงฝนฟ้าและมองหยดน้ำที่เกาะพราวบนนั้นอย่างเงียบงัน


ชั่วเวลานั้นเองที่ความคิดของเขาจมดิ่งอยู่กับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องเอ่ยปากขอโทษ ทั้งที่รู้ดีว่าการกระทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนสมควรกระทำต่อกัน หากก็แปลกที่เขากลับไม่รู้สึกผิดหนำซ้ำยังคิดอยากจะเป็นคนเดียวที่ได้สิทธิ์ในการจับมือนุ่มนั้นไปตลอด


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพอเป็นยองแจแล้วเขาถึงรู้สึกหวงและห่วงมากเสียจนกลายเป็นคนขี้อิจฉาอย่างร้ายกาจ ทั้งที่ก่อนหน้าไม่ว่าจะผู้หญิงที่เคยคบหาหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายอื่น หรือแม้แต่จะนึกย้อนไปถึงเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่เขาเคยชอบก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้


..คงเพราะยองแจใจดีกับเขามากเลยอยากให้ยองแจได้สิ่งที่ดีที่สุดเป็นการตอบแทน...


บางครั้งเขายังเคยคิดเลยว่า ถ้ายองแจเกิดมีคนรักหรือแต่งงานขึ้นมาตัวเขาจะทำยังไง ในเมื่อหัวสมองเขามีแต่เรื่องของยองแจอยู่เต็มไปหมด 


ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่าหลับตานอนฟังเสียงฝนเสียงฟ้าไปตามประสา หากในหัวกลับหยุดคิดถึงเรื่องของรูมเมทตัวเองไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่รำพึงกับตัวเองออกมาด้วยหวังว่ามันอาจจะส่งไปถึงใครอีกคนที่คงหลับไปแล้ว


“ฝันดีนะ แล้วฝันถึงฉันบ้างล่ะ”


------------------------------แวะคุยกันก่อน--------------------------------

อ่านบทนี้จะรู้ว่ามันเริ่มมาคุหน่อยๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 
เดี๋ยวถ้าต่อติดยาวๆก็คงเขียนยาวๆ แต่เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยนะคะ
เพราะมันจะดราม่าอีกยาวหลายบทค่อยไปหวานมากๆ ฮือ
อย่าเพิ่งทิ้งเราล่ะ มีไรคอมเม้นหรือติดแท็ก #ficlovetoxical ได้นะคะ
 พิมพ์จุดเฉยก็ยังดีให้รู้ว่ายังมีคนอ่าน 555555



You Might Also Like

1 Comments

  1. บรรยากาศอึนๆแปลกๆ ทั้งๆที่ก็จะไปกันได้ดีอ่ะ มันติดอยู่ตรงที่ ต่างฝ่ายต่างคิดเองเออเอง มันน่าอึดอัดรู้มั้ย อิกากก็ไม่เอ่ย คุณยิ่งแล้วใหญ่ บางทีการกระทำมันก็บ่งบอกไม่ได้ถ้าอีกฝ่ายไม่รับรู้ ก็จะรู้ได้ไงเล่นใจดีกะคนอิ่นเยอะแยะแบบที่คุณเค้าบอก แต่ที่กากมันใจดีก็เพราะต้องการกันคนอื่นให้ออกไปไกลๆ ทำต้องมีสมการล้านแปด แค่บอกว่ารักกันไปเลยเนี่ยยากตรงไหน ละดูดู้ดู๊ จุ๊บมือเอย ทำของให้เอย จับมือเวลานอนเอย กอดตุ๊กตาเอย ไปไหนซื้อของมาฝากเอย มันเหนื่อยยิ่งกว่าพูดออกมาคำเดียวอีก ทำไมไม่เลือกที่จะพูดให้ชัดเจน อึดอัดแทนแกจริงๆเลยกากเอ๊ยยย ถ้าคุณเค้าหนีไปแกอกแตกตายแน่ ฉันก็คงด้วย5555555😂😂😂

    ตอบลบ