LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 8

10:26



ไอความร้อนสีขาวเจือจางม้วนเกลียวพวยพุ่งผ่านมวลอากาศเคล้าคละกลิ่นหอมฟุ้งของเมล็ดอาราบิก้าชั้นดีที่ลอยอวลจากน้ำกาแฟสีน้ำตาลเข้มเกือบดำภายในชุดแก้วกระเบื้องขาวเขียนเส้นทองลายดอกไอริสอันเป็นบริการจากรูมเซอร์วิสเช่นเดียวกับดอกกุหลาบสีชมพูสวยดอกหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเจ้าของห้องผู้นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟทอดสายตาผ่านช่องหว่างระหว่างหน้าต่างบานที่เปิดกว้างสู่เฉลียงอันมีสถานที่สัญลักษณ์สำคัญแห่งมหานครปารีสอย่างหอไอเฟลเป็นทิวทัศน์อยู่ไกลออกไปไม่มาก
 

นกน้อยเกาะบนตะแกรงแขวนของกระถางดอกบีโกเนียสีโอรสตรงราวเฉลียงส่งเสียงขานรับแสงแห่งทิวากาศที่พลิกเปลี่ยนความมืดมิดคืนสู่ความสว่างไสวด้วยแสงทองอ่อนเรืองรองและหอบพาสายลมให้โชยพัดม่านสีขาวผ่านมาปะทะยังคนที่หลับใหลในห้วงนิทราบนเตียงกว้างภายในห้องสูทแห่งนี้


คนตัวผอมบนเตียงรู้สึกตัวลืมตามองสิ่งตรงหน้าที่ยังเลือนรางด้วยอาการสะลืมสะลือ ดวงหน้าอ่อนเยาว์น่ารักยามเพิ่งตื่นนั้นแดงและยู่ยี่แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของผู้ปกครองหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างริมฝีปากเคลือบสีแดงธรรมชาติก็เหยียดกว้างตอบรับ


จุนฮงจำได้ว่าเมื่อคืนกว่าจะนั่งยูโรสตาร์เที่ยวสุดท้ายของวันออกจากสถานี St. Pancras International ในลอนดอนมาถึงสถานี Gare du Nord ได้ก็เกือบเที่ยงคืน โดยบรรยากาศของสถานีในตอนมืดนั้นน่ากลัวเสียจนไม่รู้สึกเลยว่าอยู่ในปารีสแล้ว โชคยังดีที่มีผู้ปกครองอยู่ข้างๆและมีเพื่อนของอีกฝ่ายขับรถมารับส่งถึงโรงแรม กระนั้นหลังเช็กอินและเข้าห้องพักเรียบร้อยเขาก็ง่วงเกินกว่าจะทำอะไรแม้แต่อาบน้ำเลยหลับไปทั้งที่ยังสวมชุดเก่าเต็มยศ


“หลับสบายมั้ยครับ” เสียงแหบลึกอบอุ่นเอ่ยถามด้วยแววตาอ่อนละมุน หากเด็กหนุ่มเพียงพลิกกายที่นอนหงายตะแคงข้างเข้าหาผู้ปกครองพลางไล้ตามองไปตามร่างกายของชายตรงข้ามที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่โดยไม่รอรับจูบอรุณสวัสดิ์ของตนเหมือนทุกทีก็ย่นจมูกแทนการตอบกลับ


“คุณอา...คุณอาตื่นโดยไม่มีผมจูบปลุกได้แล้วเหรอ”


ยงกุกเลิกคิ้วต่อคำถามในนาทีที่ได้ยินเสียงอ่อนเอ่ยถามรวมทั้งเห็นท่าทางของคนเป็นเด็กที่ทำหน้าทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาถูกดุก็หัวเราะออกมาพลางวางแก้วกาแฟลงบนจานรองและผุดลุกจากเก้าอี้ก้าวต่อไปยังข้างเตียงก่อนจะวางเข่าข้างหนึ่งบนเตียงแล้วโน้มตัวลงไปใกล้จรดริมฝีปากบางแนบลงบนริมฝีปากนุ่มเบาๆ


“ระหว่างที่เราเที่ยวด้วยกัน อาจะเป็นคนจูบปลุกเราเอง” ผู้ปกครองหนุ่มกล่าวกระซิบอ่อนโยนพาให้คนอ่อนวัยกว่าเหลือบตายังใบหน้าคมคายของชายผู้อยู่เหนือตนเอง มือนุ่มเย็นยกขึ้นทาบลงบนสันกรามรับไออุ่นของผิวเนื้อที่ถ่ายลงมา


“จูบผมอีกได้มั้ยครับ ผมยังไม่ตื่นดีเลย” คำร้องอ้อนออดจากเด็กเป็นเด็กที่นอนมองตาใสเรียกให้ผู้ปกครองยอมตามใจประทับแนบริมฝีปากสัมผัสซ้ำในจุดเดิมราวครึ่งนาทีจึงขยับขึ้นมาจูบบนขมับด้วยเอ็นดูระคนมันเขี้ยวแล้วทิ้งตัวลงเอนตะแคงนอนเท้าแขนมองอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ


“หมดโควตามอร์นิ่งคิสแล้วครับ...เราต้องตื่นแล้วนะ วันนี้อามีที่ที่ต้องไปด้วยกันเยอะเลย”


“ไปไหนบ้างเหรอครับ”


“อาจะยังไม่บอกเราหรอก...ไว้ไปถึงเราก็จะรู้เอง”


เด็กหนุ่มยู่ปากพลิกนอนหงาย ค่อยๆขยับตัวขึ้นมาจนหัวชิดกับแขนของผู้ปกครองแล้วใช้เวลาครุ่นคิดตัดสินไม่ถึงนาทีก็ปฏิเสธข้อเสนอและเมื่อถูกย้อนถามถึงเหตุผลเจ้าตัวก็ตอบเร็วอย่างไม่ลังเล


“แต่ผมอยากรู้ว่าเราจะไปไหนกันเลยนี่ครับ”


“ทำไมล่ะ”


“ถ้าผมรู้ว่าคุณอาจะพาไปไหน ผมจะได้คำนวณได้ว่าวันนี้ ผมจะมีเวลาได้นอนกอดคุณอากี่ชั่วโมงไงครับ”


“หื้อ” ฝ่ายอายุมากกว่าส่งเสียงในคอพลางเลิกคิ้วสูงแทนการถาม


“ก็ตอนออกจากลอนดอนจนมาถึงปารีส ผมหลับโดยไม่มีคุณอานอนกอดนี่ครับ วันนี้ผมเลยอยากมีเวลาให้คุณอาได้กอดชดเชย”


“เรารู้ได้ยังไงว่าตอนที่เราหลับอาไม่ได้นอนกอดเราน่ะ” 


“กอดหรือไม่กอดก็ไม่รู้เพราะผมไม่ได้ตื่นอยู่นี่นา”


“แล้วถ้าอาบอกว่า อานอนกอดเราตลอดเวลาที่เราหลับล่ะ”


“อันนั้นผมไม่นับหรอก...คุณอากอดผมตอนผมหลับไม่เหมือนตอนผมตื่นอยู่ ความรู้สึกมันต่างกันเยอะ”


“ที่พูดมานี่เรื่องจริงหรือแค่แกล้งพูดให้คนแก่ดีใจกันนะ”


“ผมพูดจริงๆน้า ละก็ผมบอกตั้งหลายทีล่ะนะว่าคุณอายังไม่แก่”


“ใครว่าไม่แก่...อาแก่กว่าเราตั้งเยอะ”


“ถึงแก่ไม่เป็นไรเพราะยังไงผมก็รักคุณอาอยู่ดี แต่ตอนนี้ยังไม่แก่แถมหล่อด้วยเพราะอย่างงั้นคุณอาห้ามบอกว่าตัวเองแก่น้า หรือถ้ามีใครมาบอกว่าคุณอาแก่นะ ผมจะด่าให้”


“ฮ่าๆ เรานี่นะปากหวานจริงๆ” ผู้มากวัยกว่ายิ้มขำขณะใช้หลังมือลูบบนพวงแก้มนุ่มของเด็กในปกครองไปมาเบาๆจึงต่อ “แล้วที่ว่าเราจะคำนวณเวลาที่ใช้ในการเที่ยวน่ะ เราจะคำนวณยังไง”


“ค้นเอาสิครับ อินเตอร์เน็ตก็มี”


“เวลาที่ในเว็บออฟฟิศเชียลกับที่คนอื่นรีวิวไว้ในอินเตอร์เน็ตมันไม่เหมือนเวลาเราไปจริงหรอกนะ”


“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ถึงยังไงผมก็ได้อยู่กับคุณอาทั้งวัน แค่ได้นอนกอดคุณอาน้อยลงหน่อยก็ไม่เป็นไร”


“ถ้าอย่างนั้นเราต้องลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะ กว่าจะทานข้าวเช้ากว่าจะนั่งรถไปถึงมันจะสาย อาอยากให้เราไปให้ถึงลูฟวร์ก่อนเวลาเปิดทำการจะได้ไปเดินดูอะไรเล่นกันหน่อย”


“เราจะไปลูฟวร์กันเหรอครับ”


“ใช่แล้ว”


“คุณอาเคยไปมาก่อนมั้ยครับ”


“เคยแต่ไม่ได้มาเกือบสองปีแล้ว”


“แต่ผมไม่เคยไปเลย ตอนโรงเรียนมีจัดทัศนศึกษาในปารีสน่ะ พ่อเกิดไม่สบายพอดีก็เลยไม่ได้ไป แต่ผมทำรายงานเกี่ยวกับงานศิลปะในลูฟวร์ส่งครูล่ะ จำได้ว่าที่นั่นนะมีทั้งรูปวาด งานประติมากรรม จิตกรรมเยอะแยะไปหมดกว่าจะเดินทั่วต้องใช้เวลาทั้งวัน แสดงว่าวันนี้เราจะอยู่ที่นั่นตลอดเลยใช่มั้ยครับ” 


“ไม่หรอก...อาจะพาเราไปดูเฉพาะไฮไลท์ของที่นั่นแล้ววันหลังค่อยมาดูกันใหม่ เพราะถ้าจะดูให้ทั่วจริงๆมันต้องใช้เวลาสักสองสามวันถึงจะพอ”


“สองสามวันเลยเหรอครับ”


“สำหรับคนอื่นอาจจะแค่วันเดียว แต่สำหรับอาแล้วการจะดื่มด่ำไปกับงานศิลป์มันต้องใช้เวลาเยอะน่ะ”


“แล้วเราจะไปไหนต่อจากลูฟวร์ครับ”


“ไว้อาจะบอก หลังจากเราอาบน้ำเสร็จ”


“โอเคครับ...งั้นผมไปอาบน้ำนะ”


จุนฮงใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเพียงสิบนาทีก็เดินออกมาโดยสวมกางเกงสีน้ำตาลขาสั้นประมาณเข่ากับเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำสกรีนลายตัวอักษรด้านหน้า ปลายผมสีอ่อนที่ยังไม่ย้อมสีเดิมกลับเปียกน้ำแนบกับแก้มล้อมกรอบดวงหน้าละมุนไว้


“มา...อาเช็ดผมให้” ผู้ปกครองหนุ่มถามหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดบนบ่าอีกฝ่ายมาซับหน้าและผมพลางสูดกลิ่นหอมของแป้งเจือกุหลาบจางที่ติดผิวกายของคนที่เพิ่งอาบน้ำมา


“ผมทาโลชั่นกลิ่นกุหลาบมาด้วยแหละ...คุณอาได้กลิ่นมั้ยครับ”


“ครับ”


“หอมมั้ย”


“หอมแต่คงจะหอมกว่านี้ถ้าได้ดมบนผิวเราจริงๆ” เสียงเข้มลึกเอ่ยคำ นัยน์ตาคมดุทว่ายามทอดหาคนตรงหน้ากลับหวานละมุน ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกขัดเขินเสียจนหูแดงเหมือนทับทิมสุกดูน่ารักเสียจนผู้มาวัยกว่ายื่นปลายนิ้วออกไปบีบพวงแก้มนุ่นนั้นเบาๆแล้วว่า “มานี่มา เดี๋ยวอาจะสอนเราซ่อนของมีค่า”


“ทำไมเราถึงต้องซ่อนเงินกับพาสปอร์ตด้วยล่ะครับ” 


คนเป็นเด็กร้องถามหลังผู้เป็นอาพับและรีดธนบัตรสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าให้ทั้งตัวเองและตัวเขา จากนั้นจึงเลิกเสื้อยืดที่สวมอยู่ใต้แจ็กแก็ตยีนส์หยิบพาสปอร์ตและบัตรเครดิตใส่ไว้ในกระเป๋าคาดเอวที่สอดอยู่ในกางเกงยีนส์แนบไปกับลำตัว


“ปารีสเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยเท่าไร มีทั้งนักล้วง นักฉก มีกลลวงไว้หลอกนักท่องเที่ยวสารพัด ถ้าไม่ระวังของมีค่าจะหายไปหมด”


“เราเก็บของพวกนี้ไว้ในโรงแรมไม่ได้เหรอครับ”


“อาไม่แนะนำให้เก็บของพวกนี้ไว้ในโรงแรมนะ เพราะยังไงโรงแรมก็ไม่ใช่บ้านเรา มันมีความเสี่ยงที่จะหาย อาจะเก็บพวกเอกสารสำเนาพาสปอร์ตกับวีซ่าไว้ที่นี่แทน เวลาเกิดปัญหาพาสปอร์ตหายจะได้มีไปแจ้งความได้”


“คุณอาเคยโดนขโมยของด้วยเหรอครับ”


“ขโมยของมีค่าน่ะ อายังไม่เคยโดนหรอก เพราะอาระวังตัวตลอดน่ะ เวลาเที่ยวคนเดียวในยุโรป ยิ่งเป็นคนเอเชียอย่างเราด้วยแล้วมีคนจ้องจะฉกฉวยอยู่ตลอด ขืนเราทะเล่อทะล่าไม่ศึกษาสภาพแวดล้อมหรือเส้นทางในแต่ละสถานที่ที่เราไป เรายิ่งตกเป็นเหยื่อง่าย แต่ก็อย่างว่า อะไรในโลกยิ่งสวยก็ยิ่งอันตราย...”เสียงทุ้มเงียบลงพร้อมกับตาคมที่แลไปยังคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลก่อนคลี่ริมฝีปากกว้างและเสริมว่า “เหมือนเราเลย”


เด็กหนุ่มยินถ้อยคำนั้นอย่างรู้ความหมายพาให้รู้สึกเขินอายเสียจนหูและแก้มเริ่มแดงระเรื่ออีกครา ขณะที่ตากลมประสานสบอีกฝ่ายได้เพียงครู่ก็หลุบต่ำแต่ก็คงอาการนั้นได้ไม่นาน เมื่อผู้ปกครองก้าวมาใกล้ลูบผมนุ่มด้วยเอ็นดูแล้วหยิบกระเป๋าใส่กล้องโพรารอยด์และไดอารี่ส่งให้


“อย่าลืมการบ้านเราซะล่ะ” 


“ครับผม” เสียงยังไม่แตกหนุ่มรับคำพลางสอดมือเข้ามากอดแขนของผู้ปกครองไว้ จากนั้นจึงออกจากห้องลงไปยังห้องอาหารของโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มท้องก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อซื้อตั๋ววันสำหรับใช้โดยสารรถสาธารณะทั้งหมดในปารีส


“ปารีสไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย” จุนฮงเปรยขึ้นขณะมองไปโดยรอบภายในสถานีรถไฟใต้ดินของปารีสที่มีผู้คนท่าทางแปลกๆจ้องมอง ไหนจะกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่โชยมา หลังจากที่ก่อนหน้าก็พบกับคนจรจัดนอนอยู่ริมถนน “ผมนึกว่าที่นี่จะเป็นเมืองสวยงามสะอาดสะอ้าน ผู้คนเป็นมิตร เป็นเมืองแบบเทพนิยายที่พวกผู้หญิงในคลาสผมชอบพูดกัน แต่พอได้มาจริงๆ นอกจากพวกสิ่งก่อสร้างแล้ว หลายอย่างดูน่ากลัวมากเลย”


“อาถึงบอกเราไงว่ามันสวยแต่อันตราย ยิ่งเป็นคนเอเชียอย่างเรา จะมาทะเล่อทะล่าเดินชมความงามคนเดียวไม่ได้หรอก ทั้งไอ้มืด ไอ้แขกมันจ้องตาเป็นมัน ถ้าไม่ระวังทรัพย์สินหายหมด”


“ถึงว่าทำไมพวกคนดำมันจ้องผมนักเพราะเขาคิดว่าขโมยของเราง่ายนี่เอง”


“นั่นเป็นเหตุผลที่อาไม่ค่อยชอบมาปารีส ส่วนใหญ่อาจะนั่งรถออกไปเดินเล่นแถบชานเมือง แต่ที่พาเรามาเพราะอยากให้เราได้เห็นสถานที่สำคัญในปารีสเอาไว้ ได้จดบันทึกการเดินทาง ได้ถ่ายรูป ได้เดินให้เห็นด้วยตา เผื่อมันจะมีประโยชน์กับเราในอนาคต”


“ระวังแต่ไม่ถึงกับต้องระแวงหรอกนะ...ไม่งั้นจะหมดสนุกเอา”


“ผมไม่กลัวหรอก แค่มีคุณอาอยู่ด้วย ผมก็อุ่นใจแล้ว” คนอ่อนกว่าบอกพลางยิ้มกว้างเช่นเคยระหว่างที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในขบวนรถไฟ


ยงกุกทรุดลงนั่งใกล้ประตูทางออกมองเด็กในปกครองข้างกายที่คอยกวาดตามองนั่นมองนี่ไปทั่วตลอดทางจนมาถึงรถประจำทางด้วยรอยยิ้ม...น้อยครั้งที่จะมีใครติดตามเป็นเพื่อนร่วมทางเวลาเขาออกท่องเที่ยว เหตุเพราะการใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังเป็นความพอใจและยังคงคล่องตัวมากกว่า 


หลายคนเคยถามเขาว่า เหงามั้ยเวลาไปเที่ยวคนเดียว แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ายิ้ม ด้วยไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจยังไงว่า ความจริงเขารู้สึกเหมือนจมดิ่งอยู่ในหลุมแห่งความมืดอยู่เสมอแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย


ตะกอนสีดำที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ใต้จิตสำนึกมาช้านาน แม้นเพียรพยายามหาคำตอบเพื่อแก้ไขเฉกยามประสบปัญหา หากก็พบว่าไร้หนทางจะเข้าใจในมัน น่าแปลกที่การมีเบบี้โรสอยู่ใกล้ตะกอนเหล่านั้นกลับละลายหาย


...เด็กหนุ่มผู้เปรียบดั่งกุหลาบดอกน้อยดอกนี้ หาใช่เพียงงดงามหากพาให้ใจพบพานสุขสว่าง...


“ทำไมเราถึงขึ้นรถไฟแทนขับรถล่ะครับ” ประโยคจากเด็กช่างสงสัยข้างตัวดังขึ้น


“ทำไมถึงนั่งรถไฟน่ะเหรอ ข้อแรก อาไม่มีใบขับขี่รถยนต์สากล ข้องสอง อาชอบที่จะได้เห็นความหลากหลายของผู้คนบนรถไฟ” 


“แต่ผมเห็นคุณอาขับรถนี้ครับ”


“อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ อาขับรถแบบเถื่อนน่ะ มันไม่ดีหรอกนะ เราอย่าเลียนแบบอาล่ะ”


“แล้วคุณอาไม่ไปสอบใบขับขี่ล่ะครับ ขับแบบนี้เดี๋ยวโดนตำรวจจับไป ผมจะทำไงงะ”


“อาชอบขี่บิ๊กไบท์มากกว่าก็เลยไม่เคยคิดจะสอบใบขับขี่รถยนต์สักที แต่ต่อไปอาจะไปสอบไว้ เวลาอาขับรถไปไหนจะได้ปลอดภัยไม่โดนตำรวจซิว โอ้ มาเถอะ เราต้องลงแล้ว”
 

ชายหนุ่มนำทางออกจากสถานีรถไฟ Palais Royal Louvre แล้วเดินเท้าต่อไปยังพีระมิดแก้วตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพระราชวังเก่าแก่สวยงามอันเป็นสถานปัตยกรรมที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง หลังซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติเขาก็ปล่อยให้ผู้อ่อนวัยกว่าถ่ายรูปตามความพอใจเพียงแค่เดินตามอยู่ใกล้ๆคอยสังเกตมิจฉาชีพที่ปะปนมาในฝูงชนมากมายที่ตั้งใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์กระทั่งใกล้เวลาเปิดทำการจึงกวักมือพาไปต่อแถวรอเข้าด้านใน


ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะเดินชมภาพเขียนสีในยุคเรเนซองส์เป็นอันดับแรก โดยไล่ชมภาพโมนาลิซ่าอันลือเลื่องจากฝีมือของจิตกรเอกลีโอนาโด ดาวินชี ตามด้วยภาพเขียน The Wedding Feast of Cana ถ่ายทอดศิลปะแห่งยุคเรเนซองค์ว่าด้วยเรื่องราวเมื่อครั้งพระเยซูแสดงปาฏิหาริย์เสกน้ำเปล่ากลายเป็นไวน์ในงานแต่งงานในเมืองคาน่าของศิลปินเอกแห่งเวโรนานามปาโอโล เวโรเนเซ ไล่มายังภาพ The Coronation of Napoleon ฝีมือของฌาคส์ หลุยส์ ดาวิด แสดงช่วงเวลาการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิโดยจักรพรรดินโปเลียนทรงสวมมงกุฎทองคำแก่พระชายาโจเซฟิน ขณะที่พระองค์มีช่อใบไม้ทองคำสวมอยู่ต่อหน้าองค์สันตะปาปาปิอุสที่ 7 


ปิดท้ายด้วยภาพ Liberty Leading the People อันเป็นภาพของหญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่กำยำดูราวกับเทพีผู้สูงศักดิ์และทรงอำนาจหากอาภรณ์ที่สวมใส่กลับเหมือนสามัญชน อีกทั้งยังหลุดลุ่ยแต่มิได้ให้ความรู้สึกทางการมณ์กำลังย่างเท้าก้าวข้ามผู้คนที่ล้มตายอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งถือธงสาธารณะรัฐฝรั่งเศส ส่วนอีกข้างถือปืนยาวโดยมีเด็กชายถือปืนทั้งสองมือและชายหนุ่มอีกสองคนแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านถือดาบและแต่งกายเช่นชนชั้นสูงถือปืน


“ภาพนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1830 โดยเดอลาครัวซ์ จิตกรชาวฝรั่งเศสเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์การปฏิวัติสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 10 แห่งฝรั่งเศส เนื่องจากพระองค์ทรงละเมิดอำนาจของสภา บ้านเมืองย่ำแย่เสียจนประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวพระองค์ ทำให้ทุกชนชั้นในสังคมร่วมมือกันต่อต้านและนำไปสู่สงครามกลางกรุงปารีส และภาพชิ้นนี้คือการบ้านข้อแรกของเราในวันนี้”


“การบ้านเหรอครับ” คนอ่อนกว่าทำเสียงอ่อย ทั้งที่ก่อนหน้ายังเพลินอยู่กับการเดินชมงานศิลปะโดยมีผู้ปกครองกุมมือคอยอธิบายความเป็นมาของภาพ ข้อมูลคร่าวๆของจิตกรผู้สร้างผลงานและรูปแบบของงานศิลปะ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีต่อภาพเขียนระหว่างกัน


“การบ้านของอาไม่ได้ยาก ไม่มีผิดมีถูก อาแค่อยากให้เรามองสิ่งที่อยู่ในภาพและบอกอาว่ารู้สึกยังไงหรือภาพสื่อถึงเราว่ายังไงเท่านั้นเอง” คนแก่กว่าที่ต้องการเพียงฝึกให้อีกฝ่ายได้คิดบอกโจทย์ของการบ้านข้อแรกให้


“แค่นั้นเองเหรอครับ”


“อืม”


“คุณอาจะให้ผมเขียนเป็นภาษาเกาหลีเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ”


“ใช่จ้ะ”


“แต่เมื่อวานคุณอาไม่ได้ตรวจการบ้านของผมนี่ครับ แบบนี้ถ้าผมเขียนผิดเยอะ คุณอาจะให้ผมคัดคำที่เขียนผิดด้วยมั้ย”


“ใครว่าอายังไม่ตรวจการบ้านเรากัน...อาตรวจตอนที่เราหลับไปแล้ว แต่เราเขียนผิดไม่กี่คำหรอก ที่ผิดน่ะเป็นคำเขียนยาก อันนี้อาจะอนุโลมให้ไม่ต้องคัดคำศัพท์แต่จะพยายามใช้มันกับเราบ่อยๆ เราจะได้จำได้”


“คุณอาใส่คะแนนไว้ให้ผมแล้วเหรอ” เจ้าตัวร้องรีบพลิกไดอารี่เปิดหาคะแนนเป็นการใหญ่ 


“อาไม่ได้ลงคะแนนในนั้นหรอก...อาทดไว้ในใจ”


“แล้วแบบนี้ผมจะรู้ได้ไงว่าได้คะแนนเท่าไหร่”


“อาจะเขียนคะแนนไว้ในไดอารี่ของเราหลังจบทริปนี้”


“แต่ผมอยากรู้ก่อนนี่ครับ...อยากรู้ด้วยว่าของรางวัลพิเศษที่คุณอาว่าจะให้เมื่อวานคืออะไรด้วย”


“ไว้อาจะบอก แต่ตอนนี้ยังก่อนนะ”


“ทำไมง่าครับ”


“บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักอดทนและรอคอยนะ”
 

“แต่ผมไม่ชอบการรอเลย เมื่อก่อนเวลาผมอยากอยู่กับพ่อ พ่อก็บอกแต่ให้ผมรอเสร็จงานก่อน พอถึงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ผมต้องการจริงๆ พ่อก็อยู่ได้ไม่นาน” แววตาของคนเป็นเด็กยามพูดถึงบุพการียังคงหม่นเศร้า


“แต่เราก็รู้ใช่มั้ยละว่า พ่อของเราน่ะรักเรามาก ถึงพยายามสร้างทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่ได้อย่างดีในอนาคต ถึงแม้จะได้อยู่ด้วยกันตามใจต้องการในเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข”


“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้ารับและถามกลับ “แล้วคุณอาเคยต้องรออะไรมั้ยครับ”


“เคยสิ...มีหลายเรื่องเลยที่อาต้องการรอเวลาให้ได้มา อย่างความฝันของอานี่ อาก็ต้องรอ แต่ระหว่างที่รออยู่อาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา อาจมีหลายครั้งที่เราพยายามสุดกำลังก็ยังไม่ได้ดังใจ นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องปล่อยไป เกิดเป็นมนุษย์น่ะไม่มีใครไม่เคยผิดหวังหรอกนะ”


“ผมกลัวความผิดหวังแหละ แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยกลัวแล้ว เพราะผมมีคุณอาอยู่ด้วย แค่มีคุณอาผมก็รู้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”


“ฮ่าๆ อาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ยอดมนุษย์นะ จะไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยหมดได้ยังไง”


“อย่างน้อยคุณอาก็เป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างผมในวันที่เลวร้ายที่สุด รวมถึงวันที่ดีที่สุดของผมด้วย ผมน่ะโชคดีจะตายที่มีคุณอา” 


“อย่างนั้นเหรอ” คนแก่กว่าเท้าคางเอ่ยปากพลางยิ้ม “งั้นเราไปหาการบ้านข้อที่สองกันดีกว่า”


“ยังมีอีกเหรอครับ” เสียงละห้อยเช่นเดียวกับสีหน้านั้นเอ่ยถามด้วยความเป็นเด็กเลยเก็บอาการความไม่ชอบทำการบ้านไม่ได้


“อาจะพาเราไปดูพวกประติมากรรมสำคัญๆของที่นี่ก่อนแล้วจะบอกโจทย์การบ้านข้อที่สองให้ แต่มันไม่ได้ยากอะไรหรอก เชื่ออาสิ” ผู้ปกครองหนุ่มว่าพลางบีบแก้มนุ่มของคนเป็นเด็กเบาๆแล้วส่งมือไปให้จับ


ทั้งคู่เดินย้อนกลับมาชมงานศิลปะสำคัญที่ทางพิพิธภัณฑ์แนะนำ ตั้งแต่รูปแกะสลัก Venus de Milo หรือเทพวีนัสผู้งดงามเหนือเทพกรีกทั้งปวงและยังถือเป็นประติมากรรมสตรีที่สวยงามที่สุดในโลกแม้จะรูปสลักจะไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ต่อด้วยรูปสลัก Nike Winged Victory of Samothrace ซึ่งเป็นนางฟ้าไร้ศีรษะยืนเหยียบเรือหินพร้อมสยายปีกอย่างสง่างามซึ่งผู้สร้างสลักอาภรณ์พลิ้วไหวแนบเนาสรีระได้อย่างน่าพิศวง เลยมาถึง The Dying Slave อันเป็นรูปสลักหินอ่อนของชายผู้ที่มือข้างซ้ายถูกมัดไว้กับด้านหลังของคอ บนรอบอกมีผ้าคาด แสดงการเคลื่อนไหวและกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจนตามยุค


แม้คนเป็นเด็กจะมีประสบการณ์ด้อยเกินกว่าจะเข้าถึงความงดงามของศิลปะที่ไม่สมบูรณ์ หรือจะให้วิเคราะห์ตีความให้ได้ดังนักโบราณคดีหรือนักศิลปะก็ยากเกินความสามารถ หากการได้รับคำอธิบายง่ายๆผสมเข้ากับตำนานเทพของผู้ปกครองทำให้เขาคล้อยตามจนเกิดความสนุกไปในที่สุด


“รูปปั้นชิ้นนี้เป็นงานศิลปะแนวนีโอคลาสสิคที่มีชื่อว่า Psyche Revived by Cupids Kiss” ยงกุกขานชื่อผลงานของศิลปินอิตาลีนามอันโตนิโอ คาโนวา ขณะยืนอยู่ตรงหน้ารูปสลักหินอ่อนของเทพบุตรหนุ่มผู้กางปีกสยายโอบประคองสตรีผู้หลับใหลไว้ในอ้อมแขน ดวงหน้าของทั้งคู่ชิดใกล้คลับคล้ายท่าทางยามกำลังจะจุมพิต


“โอ๊ะ ผมรู้จักรูปปั้นนี้” เสียงของผู้อ่อนวัยอุทานออกมาทั้งที่ยังไม่ทันได้รับคำอธิบายประกอบจากผู้ปกครองเช่นก่อนหน้าพลางยกกล้องโพรารอยด์ขึ้นถ่ายแล้วหยิบรูปที่ได้รับขึ้นดูจึงแหงนหน้ามาหาผู้ปกครองที่ยืนเยื้องข้างหลัง “ผู้ชายที่มีปีกคือคิวปิคเป็นลูกของเทพวีนัส ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือไซคีคนรักของเขาใช่มั้ยครับ”


“อะฮะ”


“ในหนังสือน่ะมันเขียนไว้ว่า รูปปั้นนี้เป็นตอนที่ไซคีได้รับบัญชาจากเทพวีนัสให้ดำลงไปหาขวดน้ำหอมใต้มหาสุมทรโดยห้ามเปิดขวดนี้ตอนอยู่ใต้สมุทรเด็ดขาด แต่ไซคีอยากรู้ก็เลยแอบเปิดดูแต่แทนที่จะเจอของสวยๆงามๆ กลับเจอความมืดของรัตติกาลพุ่งเข้าหาจนสลบไป คิวปิคก็เลยต้องดำน้ำลงไปช่วยด้วยการมอบจูบแห่งรักแท้ให้ ไซคีถึงฟื้น”


“เราจำมาจากในหนังสือเหรอ”


“ครับ...ผมอ่านเจอจากในหนังสืองานศิลป์เลอค่าแห่งมหานครปารีส มันอยู่ในห้องหนังสือของพ่อ”


“เอ อาจำได้ว่าหนังสือเล่มนั้นมันหนามากเลยนิ ปกติเราไม่ชอบอ่านหนังสือเล่มหนาๆไม่ใช่เหรอ มีอะไรสนใจให้เราหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านและจำเรื่องของคิวปิคกับไซคีได้กันนะ” คนแก่กว่าเปิดปากถามเพราะจำได้แม่นยำถึงพฤติกรรมการอ่านของอีกฝ่ายได้ว่ากว่าเขาจะให้อีกฝ่ายคลุกคลีกับหนังสือจนเริ่มอ่านหนังสือที่ไม่มีรูปภาพเลยได้นั้นต้องใช้เวลานานทีเดียว กระนั้นสิ่งที่เจ้าตัวพออ่านจนจบได้ในตอนนี้มีแค่หนังสือวรรณกรรมเยาวชน ไม่ก็รวมเรื่องสั้นเล่มบางๆเท่านั้น


“ก็คุณอาบอกผมว่าจะพามาปารีสด้วย ผมก็เลยไปหาหนังสือนำเที่ยวในนั้นแต่มันไม่เลยสักเล่ม ที่พอจะเกี่ยวกับปารีสก็มีแต่งานศิลป์ผมก็เลยเปิดดูเล่นจนไปเจอรูปปั้นนี้เข้า เรื่องเล่าของรูปปั้นนี้มันเหมือนของผมกับคุณอา ผมก็เลยจำได้”


“เหมือนยังไงกัน”


“ตอนที่ผมไม่สบายแล้วคุณอาดูแลผมน่ะ คุณอาก็คือคิวปิค ส่วนผมก็คือไซคีที่ตื่นจากความเจ็บป่วยได้เพราะจูบแห่งรักแท้ที่คุณอามอบให้” คนเป็นเด็กอธิบายเหตุผลเสร็จสรรพพร้อมขยับตัวเอนศีรษะด้านข้างพิงไปบนแขนของผู้ใหญ่ข้างตัวก่อนที่เจ้าของแขนจะเปลี่ยนท่ามากอดกระชับร่างผอมให้เข้ามาข้างตัวและกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มขาวหอมเสียฟอดใหญ่


“เรานี่นะ...ช่างสรรหาวิธีให้อารัก” ถ้อยคำปนเสียงหัวเราะเบาๆจากเสียงแหบลึกที่กระซิบข้างหูพาให้คนเป็นเด็กยิ้มกว้าง “เสียดายแฮะ อาคิดว่าจะให้เราหาประวัติรูปปั้นนี่เป็นการบ้าน แต่ถ้าเรารู้แล้วคงต้องตัดการบ้านข้อที่สองนี่ออก”


“ตัดไปแล้วจะมีการบ้านอื่นแทนมั้ยครับ”   


“อะไร เราไม่ชอบการบ้านของอาขนาดนั้นเลย” คนแก่กว่าหยอกทันทีที่เห็นสายตาเหลือบมาอย่างหวาดๆ แล้วเอ่ยต่อ “เอาเถอะ...วันนี้อายกผลประโยชน์ให้เราทำการบ้านหนึ่งข้อกับเขียนไดอารี่พอ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”


“ละนี่เราต้องไปดูอะไรกันต่อเหรอครับ”


“เดี๋ยวเราออกจากลูฟวร์แล้วอาจะแวะพาเราไปแถวจัตุรัสดูว์การูแซลก่อน” 


“ตรงนั่นมีอะไรเหรอครับ”


“มีพระราชวังกับประตูชัยแห่งการรูแซล”


“ประตูชัยแห่งการูแซล...มันไม่ได้อยู่แถวถนนฌ็องเซลิเซ่เหรอครับ” 


“ประตูชัยตรงนั้นเขาจะเรียกกันง่ายๆว่าประตูชัยแห่งฝรั่งเศส ส่วนประตูชัยที่อยู่ใกล้กับลูฟวร์คือประตูชัยแห่งการูแซล ทั้งสองประตูชัยนี้สร้างขึ้นเพื่อสดุดีวีรชนทหารที่ต่อสู้ในสงครามนโปเลียนเหมือนกันเพียงแต่ประตูนี้สร้างเสร็จก่อนเพราะมีโครงสร้างที่เล็กกว่า และได้ขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1808”


“คุณอารู้อะไรเยอะจัง...ถ้าคุณอาเป็นไกด์นำเที่ยวต้องมีนักท่องเที่ยวชอบเยอะแน่เลย”


“อาไม่เหมาะเป็นไกด์หรอก...จะให้คอยพาคนแปลกหน้าไปเที่ยวน่ะไม่ใช่สิ่งที่อาชอบเลย ถ้าอาอยากจะพาใครเที่ยว คนนั้นต้องเป็นคนที่อาเต็มใจจะให้มาด้วย”


“เช่น ผมเหรอ”


“ครับ”


“เนี่ย ผมถึงบอกไงว่าผมโชคดีที่มีคุณอา”


ยงกุกหัวเราะให้กับการยืดอกอย่างภูมิใจของคนเป็นเด็กก่อนจะกุมมือนุ่มไว้ใหม่แล้วพาเดินจากลูฟวร์ผ่านไปยังจตุรัสดูว์การแซลเพื่อชมประตูชัยแห่งการูแซล(1) จากนั้นทั้งคู่ถึงเดินเล่นอย่างไม่รีบร้อนในสวนลุยเตอรีและแวะกินมื้อกลางวันกันในร้านอาหารละแวกนั้นจนอิ่มท้อง เลยเดินต่อมายังจตุรัสปลัสเดอลากงกอร์ต


“จัตุรัสนี้แต่เดิมมีชื่อว่าจัตุรัสพระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้า แต่ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสได้เปลี่ยนชื่อเป็นปลัสเดอลาเรวอลูว์ซียง ที่แปลว่าจัตุรัสแห่งการปฎิวัติเนื่องจากที่นี่เคยใช้เป็นลานประหารพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกกับพระนางมารี อ็องตัวแน็ต รวมทั้งข้าราชบริพารอีกราวๆ พันสามร้อยชีวิต มาถึงปี ค.ศ.1795 ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นปลัสเดอลากงกอร์ตที่หมายถึงจตุรัสแห่งความปรองดองแทน”


“ปารีสนี่คนเยอะจังนะครับ” คนอ่อนกว่าเปรยขณะนั่งพักบนขอบน้ำพุขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยประติมากรรมของเทพและสัตว์ในตำนานแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกมองผู้คนและอาคารเก่าแก่ หลังจากเดินรอบเสาหินแกรนิตทรงเหลี่ยมสูงราวตึกแปดชั้นสลักอักษรอียิปต์โบราณอายุกว่าสามพันปีที่เรียกกันว่า เสาโอเบลิสก์


“เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคนจะเยอะเสมอ”


“คุณอาชอบปารีสมั้ยครับ”


“ชอบเฉพาะศิลปกรรมกับธรรมชาติที่นี่ อาจจะมีเรื่องอาหารบ้างแต่อย่างอื่นไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”


“แล้วคุณอาชอบที่ไหนบ้างเหรอครับ แบบที่ชอบทั้งหมดในนั้นเลย”


“หลักๆคือชอบเรา”


“ผมหมายถึงสถานที่” คนอ่อนกว่าท้วงด้วยหน้าที่เริ่มแดง


“ที่ไหนก็ได้ที่มีเราอยู่ด้วย”


“เอาที่ไม่ใช่ตอนอยู่กับผมซี”


“งั้นก็ต้องเป็นเกาะอัคจิโด”


“เกาะอัคจิโด มันคือที่ไหนครับ”


“มันเป็นเกาะเล็กๆในอินชอนที่อาเคยอยู่กับคุณปู่คุณย่าสมัยยังเด็กน่ะ”


“คุณปู่ คุณย่า...เอ๊ะ...ตอนเด็กๆคุณอาไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่เหรอครับ”


“เปล่า...คือสมัยอายังเล็กที่บ้านน่ะลำบากมาก พ่อแม่ของอาเขาต้องมาทำงานที่โซลก็เลยให้พี่ชายฝาแฝดกับพี่สาวอาอยู่ด้วย ส่วนอาก็มาอยู่คุณปู่คุณย่าน่ะ”


“แล้วทำไมถึงต้องเลือกให้คุณอาอยู่ล่ะครับ”


“ไม่รู้สิ แต่อาน่ะไม่เคยได้เป็นที่หนึ่งของที่บ้านหรอกนะ อามักจะเป็นที่สองเสมอ” เจ้าของเรื่องเล่าอดีตด้วยรอยยิ้ม หากนัยน์ตาคมที่ทอดไปยังอาคารเก่าแก่อันเป็นฉากหลังของจตุรัสแห่งนี้กลับราบเรียบดูชินชากับเรื่องที่เสมือนแผลเป็นที่บัดนี้ไร้ความรู้สึกไปสิ้นแล้ว


“แต่คุณอาเป็นที่หนึ่งของผมเสมอนะ” ประโยคนั้นแทรกขึ้นในความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างกันชั่วขณะ


“ตอนนี้อาอาจจะเป็นที่หนึ่งของเรา แต่ถ้าได้เจอคนมากๆเข้า อาอาจหล่นไปอยู่อันดับท้ายๆเลยก็ได้”


“ไม่นะ...ผมน่ะปั๊มคุณอาไว้ในใจด้วยหมึกที่ลบไม่ออก เพราะงั้นคุณอาจะเป็นที่หนึ่งของผมตลอดเลย”


“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มรำพันยังคงยิ้มด้วยอิ่มใจแล้วหันไปหาเด็กหนุ่มข้างกายพลางยกมือลูบหัวของอีกฝ่ายเบาๆแล้วว่า “เราเบื่อที่นี่หรือยัง อยากจะไปเดินดูของกับอาที่ฌ็องเซลิเซ่กับอามั้ย”


ผู้อ่อนวัยกว่าพยักหน้าเกาะแขนของผู้ปกครองพลางดันตัวเองลุกจากที่ขอบน้ำพุและออกเดินผ่านร้านที่มีแต่สินค้าแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ที่อยู่บนถนนฌ็องเซลิเซ่ตลอดทั้งเส้น หากร้านไหนดึงความสนใจได้ถึงแวะเข้าไปเลยได้รองเท้ากับเสื้อผ้าใหม่ติดไม้ติดมือมาให้คนเป็นเด็กได้ใส่


ทั้งคู่ก้าวเท้าไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งถึงจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งในปารีสอย่างประตูชัยฝรั่งเศสหรือที่เรียกกันในอีกชื่อว่าประตูชัยแห่งนโปเลียน จากนั้นก็เที่ยวชมสถาปัตยกรรมอื่นโดยรอบก่อนจะเดินเลียบแม่น้ำและข้ามสะพานโค้งโดยส่วนบนตัวเสาของสะพานนั้นประดับด้วยโคมไฟอันมีรูปปั้นของทวยเทพกระทั่งม้าบินประกอบไว้อย่างงามวิจิตรทั้งสองฝั่ง


“ที่นี่สวยจังครับ” เสียงจากคนอ่อนวัยเอ่ยขึ้นในตอนที่หยุดชมแม่น้ำเบื้องล่างกลางสะพานที่สวยงามแห่งนี้


“เขาเรียกที่นี่ว่าปงอาแล็กซ็องดร์ทรัว หรือจะเรียกง่ายๆว่า สะพานอเล็กซานเดอร์ที่สาม เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแซนที่สวยงามที่สุดในปารีสเลยก็ว่าได้ โดยตัวสะพานทำจากเหล็กกล้าที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่สิบเก้าด้วยศิลปะแบบอาร์ตนูโวจากผลงานการออกแบบของสถาปนิกชื่อโฌแซ็ฟ กาเซียง-แบร์นาร์ และกัสตง กูแซ็ง ซึ่งทั้งสองคนได้รับโจทย์ว่า การสร้างสะพานแห่งนี้ต้องไม่บังทัศนียภาพของฌ็องเซลิเซ่กับเลแซงวาลิด...ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นผลงานสำคัญทางวิศวกรรมของยุคนั้นเพราะมันเป็นสะพานโค้งแบบไม่มีเสา”


“ละสะพานนี่มันมีตำนานแบบว่า ถ้าจูบกันที่นี่จะได้ครองรักกันนานๆ บ้างมั้ยครับ” 


คิ้วของผู้ปกครองเลิกสูงหลังได้ยินคำถามคล้ายจะใสซื่อจากเด็กที่ทำหน้าทำตาสงสัยเสียเต็มประดาก่อนหลุดหัวเราะดึงร่างตรงข้ามมากอดไว้


“ไม่รู้สิ...ทำไมเราไม่ลองจูบอาดูล่ะ เผื่อมันจะเป็นจริง”


สิ้นคำเจ้าตัวยุ่งก็เขย่งเท้าแนบริมฝีปากนุ่มของตนบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเพียงเบาๆแล้วผงะถอยช้อนตามองอย่างอายๆด้วยหูที่แดงก่ำและนั่นเป็นผลให้มีเสียงหัวเราะลอดมาให้ได้ยินเช่นเดียวกับอ้อมแขนที่กอดกระชับร่างบางแนบแน่นกว่าเดิม


“โห ท่าทางตำนานนี้จะมีจริงแฮะ อารู้สึกอยากกอดเราทั้งวันเลย” 


“งั้นก็กอดผมทั้งวันเลย” คนในอ้อมแขนว่าพลางหัวเราะคิกคัก


“มัวแต่กอดก็อดเที่ยวด้วยกันน่ะสิ...ไว้ไปเลแซงวาลิคก่อนแล้วอาจะกอดเราอีก”


 “เลแซงวาลิคคืออะไรครับ”


“เลแซงวาลิดเป็นโรงพยาบาลสำหรับทหารพิการที่มีขนาดใหญ่มาก สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ตัวอาคารเก่าทั้งหมดสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบบาโรก แต่ตอนนี้มันกลายเป็นอนุสรณ์สถานกับพิพิธภัณฑ์ของทหาร และมีพวกศาสนสถาน อย่างมหาวิหารกับโบสถ์ด้วย”


“อ้อ”


“เดี๋ยวเราเที่ยวที่นี่เสร็จอาจะพาเราไปกินมื้อเย็น เสร็จแล้วจะไปเดินย่อยรอบๆดูตึกสวยๆตอนกลางคืนอีกหน่อยแล้วเราค่อยกลับโรงแรม ส่วนพรุ่งนี้อาจะพาเราไปล่องเรือชมปารีสตอนกลางคืนด้วยกัน”


“มีล่องเรือด้วย...ที่ไหนเหรอครับ”


“อาจะพาเราไปล่องเรือในแม่น้ำแซน เราจะได้เห็นว่าปารีสตอนกลางคืนสวยขนาดไหน”


“ดีจัง ผมยังไม่เคยล่องเรือมาก่อนเลย เมื่อก่อนพ่อเคยสัญญาว่าจะพาผมกับป้าวิเวียนไปเวนิส ไปล่องเรือกอนโดล่าด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป”


“ถ้าเราอยากไปไหน แค่บอกมา อาจะพาเราไป”


“ตอนนี้ผมไม่อยากไปไหน นอกจากที่ที่มีคุณอาอยู่ด้วย”


“แน่ใจเหรอ”


“อืม” 


“แล้วถ้าจบจากทริปนี้อาต้องกลับไปอยู่เกาหลี เราจะไปกับอาด้วยมั้ย” ถ้อยคำถามทีเล่นทีจริงจากผู้ใหญ่ที่ยังคงยิ้มอ่อนโยนให้เสมอนั้นพาให้คนอ่อนวัยกว่านิ่งคิดไปชั่วขณะ


“เราอยู่ที่อังกฤษด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”


“ได้สิ...เราจะอยู่ด้วยกันในอังกฤษนานแค่ไหนก็ได้ แต่อาอยากให้เราได้ใช้ชีวิตในประเทศเกิดของพ่อแม่เราด้วย”


“ผมไม่รู้จักเกาหลีเลย ถึงจะพูด อ่าน เขียน ภาษาเกาหลีได้แต่ไม่เคยคิดจะไปเกาหลีเลย...ที่นั่นน่ากลัวมั้ยครับ”


“ไม่หรอก”


“ครอบครัวของคุณอาอยู่ที่นั่นหมดเลยหรือเปล่า”


“ไม่ทั้งหมด...ย่าของอายังอยู่ที่อินชอน”


“แล้วผมจะได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของคุณอาด้วยมั้ยครับ”


“เราเป็นอยู่แล้ว”


“ผมหมายถึง ครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้องของคุณอาด้วย ไม่ใช่แค่คุณอาคนเดียว”


ยงกุกกระพริบตาต่อคำถามสื่อความนัยแฝงจากเด็กในปกครองแล้วทอดสายตาไปยังยอดโดมของเลแซงวาลิคที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพลางหวนคิดถึงความดื้อหัวชนฝาของตัวเองเมื่อครั้งตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก


แม้จะเรียนดีในระดับที่สามารถสอบแข่งขันได้ทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เขาพอใจจะรับทุนจากมหาวิทยาลัยด้านศิลปะ เขายังจำบรรยากาศเหมือนมีใครสุมไฟรอเผาบ้าน เสียงก่นด่าจากพ่อที่ดังพอๆกับเสียงร้องไห้ของแม่ในวันเขาประกาศเจตนารมย์แน่วแน่ ก่อนที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยการถูกตะเพิดต้องระเห็จไปขอที่ซุกหัวนอนในบ้านพี่สาวซึ่งแยกตัวออกมาด้วยข้อหาอวดดีเช่นเดียวกันมาก่อน


เขาใช้เวลาสิบปีกว่าจะปากกัดตีนถีบหาเงินเรียนและประทังชีพ ผ่านการถูกหลอกลวงหักหลังจากคนใกล้ชิด แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบากยังดีที่มีเสียงจากผู้เป็นย่าให้กำลังใจผ่านสายโทรศัพท์จากตู้สาธารณะจนสามารถส่งเงินจำนวนมากจากการชนะรางวัลอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เลือกเดินนั้นเป็นไปได้ ถึงแม้เขาจะได้ปรับความเข้าใจกับพ่อก่อนท่านจะสิ้นใจ หากเยื่อใยระหว่างกันกลับบางเบาไม่เท่าความสัมพันธ์ของปู่ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่แบเบาะ


ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนหรือเพียงลำพังบ่อยครั้งจิตใจเขาเหมือนมีหลุมดำมืดขนาดใหญ่ที่คอยฉุดรั้งให้จมดิ่ง กระทั่งเขาได้รับกุหลาบดอกน้อยเป็นของขวัญชีวิตก็ดูคล้ายหลุมนั้นค่อยๆถูกแสงสว่างกลบไป


“เราจะได้เป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็น เราจะรักใครก็ได้ที่เราอยากรัก เราจะอยู่กับใครก็ได้ที่เราอยากจะอยู่ ขอแค่เราอย่าท้อไปเสียก่อนก็พอ” 


“แต่คุณอาจะอยู่ด้วยใช่มั้ยครับ”


“อยู่สิ”


“ผมน่ะแค่อยากเป็นความสุขของคุณอา ถ้าการไปเกาหลีทำให้คุณอามีความสุข ผมจะไป ผมพร้อมจะไปกับคุณอาทุกที่ในโลก ขอแค่มีสร้อยเส้นนี้สวมอยู่ มันคงไม่เป็นไร” นิ้วขาวของคนเป็นเด็กลูบจี้บรรจุเถ้ากระดูกของผู้ล่วงลับอันเป็นที่รักเคล้าดินและกลีบกุหลาบที่ร้อยกับสายสร้อยบนคอ


ยงกุกเหยียดริมฝีปากให้คนเป็นเด็กอย่างเอ็นดูจึงค่อยเดินต่อไปยังเลแซงวาลิค หากเวลาที่ไม่อำนวยพอจะเข้าชมได้ทั่วถึงทำให้จำต้องเลือกชมเพียงพิพิธภัณฑ์กองทัพและมหาวิหารแซงต์หลุยส์รวมทั้งโบสถ์โดมเดแซงลาลิด จากนั้นทั้งคู่จึงได้นั่งรถโดยสารประจำทางมากินมื้อเย็นในร้านอาหารฝรั่งเศสขึ้นชื่อ เมื่ออิ่มหนำก็เดินตรัดเตร่ถ่ายรูปเล่นมาเรื่อยๆอย่างไม่เร่งร้อนกระทั่งฟ้ามืดพาราตรีกาลมาเยือนถึงได้ฤกษ์กลับเข้าโรงแรม


จุนฮงเปิดประตูออกจากห้องน้ำพลางหาวหวอดใหญ่จากความเหนื่อยล้าในการเที่ยว ชุดนอนผ้าแพรแขนขายาวของแม่ที่หยิบมาโดยไม่ทันคิดถึงเรื่องการยั่วเย้าผู้ปกครองอย่างที่ตั้งใจสวมบนตัวทำให้รู้สึกง่วงมากกว่าเก่าแต่ยังพยายามรวบรวมสติเขียนไดอารี่พร้อมแปะรูปโพรารอยด์ประกอบบนโต๊ะข้างเฉลียง ก่อนจะเผลอหลับทำให้ผู้ปกครองที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาเห็นเข้าหลุดหัวเราะอุ้มร่างผอมบนเก้าอี้พาไปนอนค่อยกลับมาเก็บของบนโต๊ะให้


ชายหนุ่มกวาดตายังหน้าไดอารี่ที่เปิดค้างจึงได้เห็นภาพถ่ายโดมเดแซงลาลิดและภาพถ่ายแผ่นหลังของตนเองที่มีข้อความขีดเส้นใต้กำกับเน้นหนาไว้ว่า แผ่นหลังของผู้ชายที่ผมรัก


ข้อความสั้นๆเรียกรอยยิ้มกว้างของเขาได้ชะงัดนัก มือเรียวปิดเล่มไดอารี่ลงแล้วเดินไปปิดไฟให้คงเหลือเพียงแสงไฟจากหอไอเฟลที่ลอดผ่านเข้ามาและขึ้นไปนอนกอดร่างผอมที่ซุกคุกคู้อยู่ใต้ผ้าห่มพลางจูบหน้าผากด้วยรักใคร่อย่างเหลือล้น


“ราตรีสวัสดิ์ เบบี้โรสที่รัก”

--------------------------------------------------------------------------

เช้าวันใหม่ย่างกรายเข้ามาพร้อมกับการออกท่องเที่ยวปารีสอีกครั้งของทั้งคู่โดยวันนี้ผู้ปกครองหนุ่มเลือกจะพาคนอ่อนกว่าขึ้นไปบนหอไอเฟลเพื่อชมทัศนียภาพมุมกว้างของทั้งเมืองปารีส ต่อจากนั้นจึงลงมานั่งรถโดยสารประจำทางข้ามแม่น้ำแซนยังฝั่งตรงข้ามหอไอเฟลมาลงยังป้ายใกล้จตุรัสทรอกาแลโดแวะเดินเล่นกันเล็กน้อยก็มุ่งหน้าสู่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งปารีสเพื่อให้คนอ่อนกว่าได้เพลิดเพลินกับสัตว์น้ำนานาชนิดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีอย่างครบวงจร


“โห ปลาฉลามเยอะแยะเลย” คนเป็นเด็กที่ตื่นตาตื่นใจกับตู้เลี้ยงและบ่อสัตว์น้ำใหญ่ยักษ์ของที่นี่ร้องแทบจะทันทีที่เดินจากจุดแสดงโชว์ระบำนางเงือกมาเห็นเหล่าฉลามหน้าตาไม่เหมือนกันว่ายไปมา 


“ในการบ้านมีข้อที่อาถามถึงฉลามด้วยนะ” ฝ่ายแก่กว่าแจ้งเตือนถึงการบ้านที่มอบหมายให้เสียตั้งแต่ก่อนเข้ามาถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ 


“มีด้วยเหรอครับ งั้นผมจะตั้งใจฟังเจ้าหน้าที่ให้มากๆเลย” โชคดีที่อีกคนดูจะชอบสัตว์น้ำมากจึงไม่อิดออดต่อการทำการบ้านและกระตือรือล้นตั้งใจฟังการบรรยายแม้แต่เดินไปมาถามเจ้าหน้าที่หรืออ่านป้ายกำกับเพื่อตอบคำถามในสมุดเล่มเล็กที่ได้รับมา


หลังกินแซนด์วิชยิวเป็นมื้อกลางวันและคลุกอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่ออีกหลายชั่วโมงคนเชี่ยวชาญปารีสก็พาเดินผ่านสิ่งก่อสร้างสวยงามอันเป็นพิพิธภัณฑ์อื่นๆไปยังปาแลเดอโยอันเป็นอาคารที่ก่อสร้างแทนที่อาคารเก่าในรูปแบบอลังการศิลปะอาร์ตเดโคซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา แล้วเดินเท้าต่อไปกินมื้อเย็นยังร้านอาหารโมร็อกโคที่คนอ่อนวัยกว่าชมว่าร้านสวยถึงอาหารจะหน้าตาแปลกไปหน่อยก็อร่อยดี


“มาเถอะ...เราต้องไปขึ้นเรือตอนสองทุ่ม” ชายหนุ่มแจ้งกำหนดการยื่นมือมาให้คนเป็นเด็กได้จับเพื่อไปขึ้นรถโดยสารข้ามกลับไปยังท่าเรือใกล้หอไอเฟล


เครื่องยนต์จากเรือนำเที่ยวพาให้กระแสน้ำในแม่น้ำแซนเป็นระลอกคลื่น แสงไฟระยิบระยับจากอาคารสถานที่พารอบข้างสว่างไสวแม้นภากว้างจะมืดมิด จุนฮงนั่งลงบนเก้าอี้ริมกราบเรือบนดาดฟ้ารับลมเย็นแห่งค่ำคืนข้างผู้ปกครองอย่างตื่นเต้นพลางหยิบกล้องถ่ายโพรารอยด์ออกมาถ่ายรูป


“คุณอา” คนเป็นเด็กร้องเรียกเสียงหลง


“ครับ”


“โพรารอยด์มันถ่ายรูปวิวกลางคืนไม่ชัดเลยงะ”


“ไม่ชัดก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ครั้งนี้เราดูด้วยตา แล้วครั้งหน้าค่อยมองผ่านกล้อง ใช้เวลากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาของตัวเองก่อน การมองด้วยตามันสวยกว่าจดจ่อแต่จะมองผ่านเลนส์นะ”


“เราจะได้มากันอีกเหรอครับ”


“ทำไมเราถึงจะมากันอีกไม่ได้ล่ะ”


“เที่ยวปารีสมันใช้เงินเยอะนี่ครับ”


“หื้อ...เรารู้ได้ยังไง”


“ผมดูจากในใบเสร็จบัตรเครดิตค่าอาหารที่เรากินตอนกลางวัน”


“เราไม่ต้องกังวลไปหรอก ปกติอาจะกันเงินไว้สำหรับใช้ท่องเที่ยวอยู่แล้ว...อาน่ะวางแผนการเงินของตัวเองไว้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรที่เราต้องห่วง”


“แต่ถ้าคุณอาต้องใช้เงินล่ะก็...คุณอาเอาเงินจากในกองมรดกของผมได้นะครับ เมื่อไหร่ที่ผมอายุยี่สิบ ผมจะยกเงินให้คุณอาทั้งหมดเลย คุณอาจะได้ไม่ต้องทำงานจนเหนื่อยเกินไป” ในความเป็นเด็กความเป็นห่วงมีผลให้คิดเอาสมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้มากมายมาแบ่งเบา


ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิกแก้มของเด็กในปกครองเบาๆด้วยยิ้มที่ไม่เคยจางหายจากใบหน้าก่อนหยิบหูฟังจากเครื่องบันทึกเสียงภาษาอังกฤษข้างหนึ่งใส่ในหูให้ได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ที่เรือล่องผ่าน


จากหอไอเฟลเรือล่องผ่านสภาผู้แทนราษฎร์ฝรั่งเศส เรื่อยไปยังพิพิธภัณฑ์ออร์แซ ถึงสมาคมนักปราชญ์แห่งฝรั่งเศส ยังอนุสรณ์สถานกงซีแยร์เฌอรี ผ่านมหาวิหารนอทร์ดามเดอปารีส และวกกลับจากสถาบันโลกอาหรับ ไปยังศาลากลางฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ 


ระหว่างที่เรือผ่านปาแลเดอชาโยอันเป็นอาคารกว้างใหญ่เก่าแก่ในรูปสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิคและจะวนกลับมายังท่าเรือแถวหอไอเฟลนั้น คนอ่อนวัยที่ได้มาปารีสครั้งแรกเพิ่งเห็นว่าผู้ปกครองของตนเองกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจ


“คุยกับใครเหรอครับ” เขาเปิดปากแทบจะทันทีที่เห็นผู้เป็นอาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อด้านใน


“เรื่องงานจ้ะ”


“ไหนคุณอาบอกผมว่าจะไม่ทำงานระหว่างที่เราเที่ยวกันไม่ใช่เหรอครับ...ทำไมมีงานอีกแล้วงะ”


“พอดีเพื่อนศิลปินของอาที่สเปนเขากำลังจัดนิทรรศการภาพวาดจากศิลปินทั่วโลกอยู่ อาส่งภาพวาดกับงานภาพถ่ายของอาไปให้เขาจัดแสดงด้วย เขาเลยโทรมาถามว่าว่างจะมางานเปิดนิทรรศการมั้ย”


“คุณอาเป็นจิตกรด้วยเหรอครับ”


“อาวาดรูปก่อนจะทำงานอื่นเป็นซะอีก”


“จริงเหรอครับแต่ผมไม่เห็นจะเคยเห็นภาพวาดคุณอาเลย ที่เห็นก็มีแต่รูปสเก็ตซ์”


“งานสเก็ตซ์ภาพก็เป็นผลงานหนึ่งที่อาส่งไปนะ”


“แต่ผมอยากเห็นภาพวาดกับรูปที่คุณอาถ่ายด้วย”


“อาเก็บพอร์ตบางส่วนไว้ในไอแพด...ไว้เรากลับถึงโรงแรมก่อนอาจะเปิดให้ดู” 


อีกฝ่ายเข้าใจพยักหน้ารับแล้วเอนหัวซบบนไหล่ของผู้ปกครองทอดมองไปยังอาคารริมฝั่งน้ำที่เรือแล่นผ่าน กระทั่งมันเทียบท่าจึงพากันขึ้นฝั่งเดินกลับเข้าที่พักก่อนจะโทรสั่งชามาริยาจค์ แฟรร์จากรูมเซอร์วิสมากินคู่มาการองที่ซื้อมาจากร้านคาเฟ่ที่ทั้งคู่บังเอิญเดินผ่าน ระหว่างนั้นเองที่ผู้ปกครองเป็นฝ่ายขอตัวไปอาบน้ำและปล่อยให้อีกคนเพลินกับการดูภาพไปเรื่อยเปื่อยถึงออกมาในสภาพสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีเทาพร้อมนอนออกมาบรรยายภาพให้ฟัง


“งานของคุณอามีแต่สีขาวดำเหรอครับ” คำถามนั้นดังขึ้นระหว่างที่คนอ่อนวัยเลื่อนดูผลงานภาพวาดรวมทั้งภาพถ่ายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสีขาวดำที่ให้ความรู้สึกเปลี่ยวเปล่าหมองหม่นในไอแพด โดยมีผู้ใหญ่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเก้าอี้โน้มตัวลงมาเท้ามือกับขอบโต๊ะคอยอธิบายภาพประกอบและหอมกระหม่อมคนเป็นเด็กบ้างเป็นครั้งคราว


“งานศิลปะมันเป็นหนทางหนึ่งให้ศิลปินได้ถ่ายทอดความรู้สึกลึกๆที่ไม่สามารถบรรยายออกมาให้ใครฟังได้”


“ภาพมันดูเหงาๆ จัง ที่มันดูเหงาเพราะคุณอาเหงาเหรอครับ”


“อืม...อาจะพูดยังไงดีล่ะ บางครั้งอายังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงรู้สึกอะไรแบบนั้น มันไม่ใช่เหงา มันแค่...ในใจเหมือนมีสีดำทาไปหมด”


“ตอนนี้ก็ด้วยเหรอครับ”


“ไม่แล้วล่ะ...อาคิดว่าการที่ได้ดูแลเรา ได้คิดถึงเรา ได้มองเห็นเราทำในสิ่งที่ชอบแม้แต่นอนหลับสบาย มันทำให้ความมืดนั้นหายไปทีละน้อยจนไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว”


“แต่ก็ยังมีรู้สึกใช่ม้า...งั้นผมจะอยู่กับคุณอาไปตลอดชีวิตเลย”


“จะทำได้เร้อ...อายุเราแค่เท่านี้ พออีกสิบปีก็อาจจะเปลี่ยน...คนเราน่ะเปลี่ยนได้ตลอดนะ”


“แล้วคุณอาจะเปลี่ยนใจไปจากผมหรือเปล่า”


“ช่วยไม่ได้ที่อาเป็นคนประเภทรักอะไรแล้วจะยึดติดน่ะ...หมายถึงถ้าได้ลองรักแล้วนะ”


“ล่ะตอนนี้รักผมอยู่มั้ย”


“ต้องถามด้วยเหรอ ในเมื่อเราก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”


“ฮิ...ผมรักคุณอานะ รักมาก รักเท่าอวกาศเลย” 


เจ้ากุหลาบน้อยในนามอ้าแขนวาดออกเสียกว้างรับปลายจมูกของผู้ปกครองที่ฝังลงมาบนกระหม่อมจากความเอ็นดูพลางเลื่อนดูผลงานอื่นต่อกระทั่งเห็นภาพถ่ายของภาพวาดสีน้ำมันของชายหญิงคู่หนึ่งเต้นรำท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวจากโคมระย้ามีดอกไม้สวยประดับแซมร่วมกับผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยืนล้อมมองอย่างยินดีอันเป็นเรื่องราวในงานวิวาห์ซึ่งเป็นรูปสีเพียงรูปเดียวที่มีอยู่ในในโฟลเดอร์ตัวอย่างผลงานก็อุทานออกมา 


“โอ๊ะ รูปนี้เป็นภาพสีนี่ครับ”


ภาพวาดสีน้ำมันของชายหญิงคู่หนึ่งเต้นรำท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวจากโคมระย้ามีดอกไม้สวยประดับแซมร่วมกับผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยืนล้อมมองอย่างยินดีอันเป็นเรื่องราวในงานวิวาห์ซึ่งเป็นรูปสีเพียงรูปเดียวที่มีอยู่


“รูปนี้อาวาดให้เป็นของขวัญของแต่งงานของอาชาร์ล...เพื่อนรักของอา เราจำอาชาร์ลได้มั้ย คนที่เราเคยวิดีโอคอลคุยกับเขาไง”


“อ๋อ...” เจ้าตัวลากเสียงแล้วว่า “งั้นรูปนี้ต้องวาดในวันงานสินะครับ”


“เปล่า...อาวาดจากที่เจ้าสาวมันมาจาระไนถึงธีมงานแต่งให้ฟัง เธอเป็นเพื่อนกับอาที่เรียนด้วยกันในคอร์สงานออกแบบสำหรับเด็กน่ะ”


“ในนี้เขาเต้นรำกันอยู่ด้วย...แสดงว่าในงานคุณอาก็ต้องได้เต้นรำด้วยใช่มั้ยครับ”


“อาไม่อยากเต้นหรอก แต่เพื่อนที่เป็นเจ้าสาวเขาจิกว่าวันจริงให้อาเลือกสาวสักคนไปเต้นรำด้วย เผื่อว่าจะถูกใจกันขึ้นมาจะได้เป็นรายต่อไปก็เลยต้องเต้น”


“แล้วคนที่ได้เต้นรำกับคุณอาเป็นยังไง เขาสวยมั้ย”


“อืม...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแสร้งครุ่นคิดพลางเหลือบตามองหน้านวลของเด็กตรงหน้าที่ดูจะยู่ยี่ขึ้นเรื่อยๆก็คลี่ยิ้มยอมเฉลย “เป็นคนสวย สวยมากเชียวล่ะ แต่จริงๆ แม่อาชาร์ลเขาสวยมาตั้งแต่สมัยยังสาวแล้ว”


“อ้าว...คุณอาเต้นรำกับคุณแม่ของอาชาร์ลหรอกเหรอครับ”


“ใช่...อาไปสายน่ะ พอดีช่วงนั้นมีลูกค้าบินแวะพักเครื่องที่เกาหลีเลยนัดคุยงาน พอไปถึงงานเขาก็กินเลี้ยงกันแล้ว คุณป้าเขาสงสารก็เลยกวักมือให้มาเต้นรำด้วย”


“ละไม่มีสาวๆอยากเต้นกับคุณอาเลยเหรอครับ”


“ใครเขาจะอยากเต้นรำกับคนอย่างอา” 


“แต่ผมอยากเต้นรำกับคุณอานะ” อีกฝ่ายร้องเอนพิงกับอกของผู้เป็นอาแล้วเงยหน้าไปหา “แย่ตรงที่ผมเต้นรำไม่เป็น ยายวิเวียนกับพ่อเขาไม่เคยสอนก็เลยไม่รู้ว่าเขาเต้นกันยังไง”


“ถ้าเราอยากเต้นรำ...งั้นเราก็มาเต้นด้วยกัน”


“แต่ผมเต้นรำไม่เป็นนี่”


“นั่นไม่ใช่ปัญหาของเราหรอก” ฝ่ายผู้ปกครองว่าพลางเอื้อมมือสไลด์ไอแพดเปิดเพลงก่อนจะผละถอยไปยืนยังพื้นที่ว่างกลางห้องและยื่นมือมาหาเป็นสัญญาณเรียกให้คนเป็นเด็กลุกตามไป


“เราจับไหล่กับมืออาไว้แบบนี้” เสียงเข้มต่ำนั้นบอกขณะวางมือไว้บนเอวบางพร้อมจัดท่าทางของเด็กในปกครองให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม


“แล้วยังไงต่อครับ”


“เราต้องฝึกก้าวเท้ากันก่อน ปกติฝ่ายชายต้องเป็นคนนำแต่คืนนี้กว่าจะสอนให้เป็นได้อาจจะช้าเกินไป เอาเป็นว่าทำแบบนี้แล้วกัน” 


“โอ๊ะ” คนเป็นเด็กอุทานบีบมือและไหล่ของผู้ปกครองไว้แน่นทันทีที่หน้าเท้าของอีกฝ่ายสอดมารองใต้ฝ่าเท้าของตนเอง


บทเพลงบรรเลงเครื่องสายผสานเสียงร้องของสตรีที่เอื้อนออดอ่อนหวานเป็นภาษาฝรั่งเศสกล่อมทั้งห้องไว้ให้ตกอยู่ในภวังค์อันเนิบช้าอ่อนหวาน กายของทั้งคู่แนบแน่นเยื้องกรายตามจังหวะเพลงวอลตซ์ที่ผู้ปกครองเป็นฝ่ายขยับเท้าเต้นไปด้วยทักษะที่ติดตัวมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย


“คุณอาไม่หนักเหรอครับ” เด็กหนุ่มถามขณะใช้ตากวาดเก็บรายละเอียดบนดวงหน้าของชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มให้อุ่นใจเป็นอาจิณ


“ตอนนี้ยังไม่ แต่ถ้าต่อไปเราโตเหมือนเหยาหมิง นักบาสที่สูงสองเมตรกว่า หนักสามร้อยโล อันนั้นอาว่า อาไม่น่ารอดแล้วล่ะ”


“ผมจะตัวหนักขนาดนั้นได้ไง”


“ก็เผื่อว่าตอนเราโต เราอาจจะอยากเป็นนักซูโม่หรือนักยกน้ำหนักขึ้นมา”


“โหย...ไม่เอาหรอก อ้วนขนาดนั้นผมอึดอัดตายเลย แต่ถ้าเป็นความสูงล่ะก็...อาจจะได้ ถ้าถึงตอนนั้น ถ้าผมสูงกว่าคุณอาแล้ว คุณอายังจะรักผมอยู่หรือเปล่า”


“ถึงตอนนั้นถ้าเรายังเป็นเบบี้โรสที่แสนดีเชื่อฟังอาอยู่ล่ะก็ ไอ้แหงนคอคุยกันอาจจะเมื่อยหน่อย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้อารักเราน้อยลงหรอกนะ”


“จริงนะ”เสียงอ่อนนั้นอ้อนเช่นเดียวกับนัยน์ตากลมโตที่ช้อนสูงมาหาเป็นสิ่งที่คนเป็นเด็กมักทำเสมอยามต้องการย้ำเมื่อยินคำที่ทำให้ใจชื้น


“จริงสิ...เราจะโตเท่าไหนก็ได้ สำคัญที่เราเป็นคนดี มีความสุขและแข็งแรง เท่านั้นพอ”


“คุณอาพูดเหมือนพ่อเลย...พ่อบอกให้ผมแข็งแรง เป็นเด็กดีและมีความสุขก็พอแล้ว ว่าแต่เพลงนี้มันชื่อเพลงอะไรเหรอครับ”


J'attendrai แปลเป็นภาษาเราก็ประมาณว่า ฉันจะรอ...รอทั้งวันทั้งคืน รอจนชั่วนิรันดร์ รอให้คุณกลับมาหา”


“คุณอาเนี่ยเก่งภาษาฝรั่งเศสจัง นอกจากอังกฤษ เกาหลี ฝรั่งเศสแล้วยังพูดอะไรได้อีกมั้ยครับ”


“ก็มีภาษาสเปน ส่วนภาษาอื่นอาได้แค่ทักทายทั่วไป ถ้าจะเอาเชี่ยวชาญหลายภาษาจริงๆต้องอาชาร์ล รายนั้นน่ะเก่ง ไปไหนมาไหนทั่วโลกแล้ว”


“หู้...อาชาร์ลเขาดูเป็นคนเก่งจังเลยนะครับ”


“เก่ง...แต่ไม่ทุกเรื่อง”


“เช่นเรื่องอะไรเหรอครับ”


“ผู้หญิง”


“เอ๊ะ...ก็ไหนคุณอาบอกว่า อาชาร์ลแต่งงานแล้ว” 


คนเป็นเด็กย่นหน้าผากเปิดปากถามอย่างสงสัย หากไม่ทันได้รับคำตอบเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์กลับขัดจังหวะขึ้นพาให้เพลงถูกปิดลงทำให้ผู้ปกครองหนุ่มจูบขมับของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบค่อยปล่อยมือผละไปรับโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งจึงขานเรียกเด็กที่ยืนรอ


“เบบี้โรส” 


“ครับ”


“อามีธุระต้องไปช่วยเพื่อนอาเคลียร์เรื่องจัดแสดงภาพกับศิลปินตัวแทนที่ฝรั่งเศส”


“ไปนานมั้ยครับ”


“ไม่นานหรอก...อาไปไม่ไกล คุยที่ล็อบบี้โรงแรมนี่เอง”


“อ้อ...ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไร”


“เราอาบน้ำเลยก็ได้นะ...เดี๋ยวจะเผลอหลับทั้งที่ยังไม่อาบน้ำอีก”


“ไว้ผมทำการบ้านกับเขียนไดอารี่เสร็จก่อนค่อยไปอาบน้ำ”


“เขียนไปเขียนมาจะหลับคาสมุดให้อาอุ้มไปนอนอีกน่ะสิ”


“วันนี้ผมไม่ง่วง ไม่มีหลับคาสมุดแน่นอน”


“ละถ้าหลับล่ะ”


“ถ้าผมหลับ...พอผมตื่น ผมจะหอมคุณอาสิบทีเลย”


“ฮ่าๆ โอเคจ้ะ อาไปก่อนนะแล้วจะรีบมา” ชายหนุ่มบอกหยิบคีย์การ์ดใส่กระเป๋ากางเกงพลางหัวเราะร่ามองคนเป็นเด็กที่หยิบสมุด เครื่องเขียนและรูปโพรารอยด์ที่ถ่ายมาทั้งหมดหอบมากองบนโต๊ะเพื่อลงมือทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นจึงเปิดประตูออกจากห้องโดยไม่ลืมกำชับไม่ให้เปิดประตูรับใคร แม้จะเป็นอ้างตัวว่าเป็นรูมเซอร์วิสมาเคาะก็ตาม


จุนฮงจ้องบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมาจัดการเขียนตอบคำถามในกระดาษที่ผู้ปกครองเขียนโจทย์ไว้ด้วยลายมือเป็นระเบียบสวยงาม จากนั้นจึงเปิดไดอารี่ติดรูปที่ถ่ายมาพร้อมใช้ปากกาสีซึ่งได้รับเป็นของขวัญก่อนหน้าเขียนบรรยายและพยายามจะวาดรูปการเต้นรำลงไป แต่วาดอย่างไรก็ไม่ได้ดั่งใจ คอยขีดฆ่าไปมาจนไม่เหลือพื้นที่จึงแก้เป็นเขียนเป็นตัวอักษรอย่างหงุดหงิด ทว่าพอเงยหน้ามาเห็นดอกกุหลาบสวยในแจกันก็หลุดยิ้มเพราะรู้ว่าเป็นดอกไม้ที่คนรักซื้อมาให้แทนการตัดจากสวนเหมือนวันอื่นๆ


...เขาโชคดีที่ชีวิตนี้มีคุณอาอยู่ด้วย...


“ไปอาบน้ำดีกว่า” เจ้าตัวพึมพำผุดลุกจากเก้าอี้หลังมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางบนโต๊ะและเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นหาของในกระเป๋าสะพายหลังหยิบเอาชุดของแม่ที่ตั้งใจหาเตรียมมาจะใส่นอนระหว่างเที่ยวทุกวันแต่เผลอหลับจึงไม่ได้สวมออกมาแล้วหายเข้าห้องน้ำไป


เสียงสัญญาณคียการ์ดแตะบนเซ็นเซอร์ก่อนที่เจ้าของห้องจะเปิดประตูเข้ามาภายในและกวาดตามองหาเด็กในความดูแลไปทั่วจนได้ยินเสียงน้ำก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายหายไปไหนจึงถอดเสื้อคลุมพาดไว้กับเก้าอี้ตรงโต๊ะใกล้เฉลียงเปิดเพลงบนไอแพดคลอในห้องพลางจุดเทียนหอมที่เพื่อนให้มาลองจุดดมกลิ่น จากนั้นจึงปิดไฟเหลือไว้เพียงโคมตรงโต๊ะเครื่องแป้งและข้างเตียงให้ส่งแสงสีนวลตาออกมาด้วยเห็นแก่เวลาว่าควรจะนอนได้ ถึงหยิบสมุดไดอารี่ของเด็กในปกครองมาอ่านบนเตียง


ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือกลับส่งเสียงให้ต้องกดรับอีกครั้ง ครานี้ปลายสายเป็นหญิงสาวที่ไม่มีการทักทายแต่โพล่งถึงสิ่งที่ต้องการรับทราบตามประสาคนสนิท


“ตอนนี้เหรอ อยู่ปารีส ของที่สั่งไว้เสร็จแล้ว อืม เดี๋ยวไปเอาตอนถึงที่นั่น พรุ่งนี้ฉันจะออกจากปารีสตอนเช้าแวะไปเดินเล่นที่อาเมียงค่อยนั่งรถต่อไปบรัสเซลล์” เขาตอบอย่างเนิบๆฟังปลายสายบ่นยาวถึงอะไรบางอย่างพลางยิ้มให้กับรูปวาดที่ถูกขีดฆ่าบนหน้ากระดาษก่อนที่เสียงเปิดประตูจะเรียกให้เงยหน้าไปหา


เด็กหนุ่มก้าวพ้นจากห้องน้ำพร้อมปิดสวิตซ์ไฟจึงหันกลับมาทางเตียงเผยให้เห็นอาภรณ์อันเป็นชุดนอนผ้าฝ้ายสายเดี่ยวยาวเพียงเข่าปักลายลูกไม้ตรงช่วงอกอย่างประณีต เรือนผมสีน้ำตาลเหลือบปลายสีทองยักศกน้อยๆล้อมกรอบดวงหน้านวลลออและเคลียคลอรอบลำคอระหงดูงดงามราวกับสาวปารีเซียน


“ไว้เจอกันที่บรัสเซลล์ อืม ราตรีสวัสดิ์” เสียงแหบลึกกล่าวอำลากับปลายสายและวางโทรศัพท์ทับลงบนสมุดไดอารี่ที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงปรายมองอีกฝ่ายเดินมาหาโดยไม่เอ่ยเรียก กระทั่งเรียวขาขาวก้าวมาถึงเตียงจึงกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้เข้ามาใกล้ๆ


ฝ่ายอ่อนวัยกว่าปีนขึ้นไปบนเตียงค่อยขยับเข้าไปหาผู้ปกครองที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ว่าการก้มคลานเข่าทำให้ชุดนอนหย่อนจนเห็นลึกไปถึงเนินเนื้อเปลือยเปล่า เมื่อเข้าใกล้พอจึงล้มตัวลงนอนในอ้อมแขนที่อ้ารอแล้ววางศีรษะแนบแก้มซุกซบบนอกแกร่งสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมขึ้นลงจากจังหวะการหายใจรุนแรงแผกจากสีหน้านิ่งสงบที่แสดงออกค่อยเอ่ยปาก


“เราไปเอาชุดนี้มาจากไหน” 


“ผมเอามาจากตู้ในห้องทำงานของพ่อ” 


“หีบ...อยู่ตรงไหน ทำไมอาไม่เคยเห็น”


“มันอยู่ในตู้ลับแถวชั้นหนังสือ พ่อเขาทำเป็นตู้เก็บอุณหภูมิไว้เก็บของของแม่ มันจะได้อยู่ทน”


“มิน่าอาถึงไม่เคยเห็น...อา...แล้วที่เราเอามาใส่เนี่ย รู้หรือเปล่าว่ามันเป็นชุดอะไร” ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายชอบสรรหาชุดนอนของมารดาตัวเองมาสวมแต่เขายังไม่เคยเห็นชุดนี้มาก่อน


“ก็ชุดนอนไงครับ หรือไม่ใช่”


“มันเป็นชุดชั้นในเจ้าสาวสมัยก่อนน่ะ ราวๆคริสตวรรษที่ 20 ก็แปลกนะ พออยู่บนตัวเราแล้วเราดูสวยจัง เหมือนพวกสาวงามปารีเซียนเลย” ผู้เคยศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นสตรีเฉลย


“ผมสวยจริงๆเหรอ”


“จริงสิ...แต่เราไม่ชอบให้คนชมว่าสวยนี่นะ ใช่มั้ย”


“ใช่ แต่ถ้าคุณอาเป็นคนพูดล่ะก็ ผมชอบ”


“เอาใจคนแก่เก่งจัง” เขาบอกอย่างขันๆ ขณะใช้ปลายนิ้วแข็งจากมือที่ยังว่างเกลี่ยเส้นผมตรงขมับให้อย่างเบามือ ส่วนมืออีกข้างลูบอยู่บนต้นแขนเปลือยเปล่าที่เนียนลื่นแต่เย็นเฉียบไปมาและว่า “เราใส่อย่างนี้ไม่หนาวหรือไง ตัวนี้เย็นเชียว”


“กลัวผมหนาวเหรอ...งั้นคุณอาก็ทำให้ผมอุ่นสิ” คนเป็นเด็กเอ่ยพลางแหงนหน้าช้อนตามองสูงไปยังเจ้าของอ้อมแขนที่โอบกอดตนเองไว้จึงได้เห็นรอยแย้มของริมฝีปากบนหน้าคมที่มิได้อ่อนละมุนเช่นเดิม


“ถ้าอาทำให้เราอุ่น อาคงทำชุดนอนตัวนี้ขาด แต่เราจะไม่หนาวหรอกนะ เพราะอาจะชุนรอยขาดทั้งหมดด้วยรอยรักของอาเอง”


เนื้อเสียงแหบแห้งหากทรงเสน่ห์กระซิบเบาพร้อมลมหายใจอุ่นที่พ่นรดก่อนติ่งหูจะถูกขบเบาจากผู้มากวัยทำให้ใจหวามไหว นัยน์ตาคมดุจอินทรีจดจ้องเงียบงันมีประกายกระหายอยากราวกับนักล่าหมายขย้ำเหยื่อเสียให้สิ้นท่า พลังแห่งแววตานั้นร้อนลุ่มแทรกทะลุความหนาวเย็นของอากาศพาให้เจ้าของดวงตากลมน่ารักดุจกระต่ายน้อยประหม่าเสมองไปทางอื่นแทนการประสานสบหากมิอาจหลบเพราะปลายนิ้วแข็งดั่งคีมเชยคางให้เชิดหาแทนการเบือนหนี


มุมปากบางยกแย้มเป็นรอยยิ้มเปี่ยมด้วยเล่ห์กายขยับเปลี่ยนอิริยาบถคร่อมขึ้นมาด้านบนจึงค่อยประทับลงบนเรือนผมไล่ลงบนหน้าผากระเรื่อยยังเปลือกตา พวงแก้มนวลและปลายจมูกก่อนจรดทาบบนปากอิ่มเหลือบสีแดงอ่อนธรรมดาชาติอย่างอ่อนโยน หากสัมผัสอันนุ่มนวลคงอยู่เพียงชั่วนาทีแรกก็ทวีเป็นการบดเบียดอย่างหนักหน่วง ปลายลิ้นร้อนเลียไล้ดูดเม้มกลีบล่างของริมฝีปากนุ่มให้เผยอรับความชุ่มรวมทั้งการรุกเร้าระหว่างลิ้นนั้นฉกฉวยลมหายใจของผู้อ่อนเดียงสาเกือบขาดห้วง


“อาทำรอยบนตัวเราได้มั้ย”


ถ้อยคำแหบพร่านั้นหาใช่การวิงวอนและมิรั้งรอคำตอบ ปลายจมูกซุกไซ้ฝังอยู่ในกลิ่นกรุ่นหอมของกุหลาบบนเนื้ออ่อนคอแล้วเปลี่ยนเป็นขบย้ำด้วยปากจนผิวขาวเกิดรอยห้อเลือดเป็นจ้ำ ก่อนยันตัวขึ้นมองตาฉ่ำวาวของเด็กในปกครองเพียงครู่ก็โน้มตัวลงจูบเบาตามกรอบหน้าด้วยรักแล้วทาบทับค้นหาความหวานราวน้ำผึ้งจากมโนสำนึกในโพร่งปากอีกครา 


มือด้านแข็งลากบนเนินไหล่เนียนลาดยังชุดสีขาวไล้ไปทีละน้อยยังปลายยอดเนินอกที่ดุนดันอยู่ใต้ผ้าฝ้าย ปลายนิ้วหยุดสะกิดแล้วเคล้นคลึงหยอกเอินแล้วครอบครองด้วยปากครูดด้วยฟันเบาๆทำให้ฝ่ายถูกกระทำหอบหายใจกายบางบิดเร่าตามแรงกระสันไม่รับรู้ถึงแรงกระชากบนอาภรณ์ที่บัดนี้ขาดจากกันจนไม่อาจซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ได้


ชายหนุ่มขืนตัวขึ้นใหม่ทอดสายตายังเรือนร่างบอบบางเย้ายวนด้วยเสน่หา แม้สามัญสำนึกจะดิ้นรนตอกย้ำให้หยุดยั้งการครอบครองของกามารมณ์แต่เขายังคงปล่อยความใคร่ฉุดตนเองลงยังกับดักอันไร้ผิดชอบชั่วดี แขนแกร่งสอดใต้เอวบางดันตัวเองให้กลับลงไปทาบทับ คางเกยกดลงบนอกหน้าคมซุกซบดอมกลิ่นหอมของกุหลาบบนผิวเนื้อนิ่งงันคล้ายพบแหล่งพักพิงทางใจทำให้คนอ่อนวัยเอื้อมมือลูบกลุ่มผมสีนิลตรงอกก่อนเปลี่ยนเป็นขยุ้มในทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวดูดดุนไล้เลียยอดถันสีกุหลาบอย่างหิวโหย


“คุณอา...ตรงนั้น...มัน” เสียงยังไม่แตกหนุ่มร้อง หลังครางไม่เป็นภาษาอยู่เนิ่นนาน ตากลมปรือปรอยสัมผัสรับรู้ถึงความร้อนของเรียวลิ้นและกลีบปากที่ไต่ระดับต่ำลงเบื้องล่างยังลานหน้าท้องแบนราบ สะโพกกลมกลึงนุ่มนิ่มมีกางเกงซับในเป็นปราการปกป้องถูกมือเรียวฟอดฟัดเป็นจังหวะหนักผสมอ่อนเบาจากนั้นจึงพลิกมือกลับขึ้นคว้าข้อเท้าซึ่งจิกเกร็งจัดเรียวขาทั้งสองข้างให้ชันขึ้นแล้วแยกมันออกจากกันด้วยการแทรกหน้าคมพรมจูบฝากรอยบนต้นขาด้านในไม่เว้นกระทั่งส่วนอ่อนไหวของช่วงล่างที่ถูกกระตุ้นจนดันตัวเสียดกับกางเกงซับใน


เพียงความร้อนจากปรายมือทาบผะแผ่วยังจุดแบ่งเพศไม่ถึงนาที กายบางสั่นระริกจากอาการปั่นป่วนภายใน ขณะที่ฟันกัดเม้มริมฝีปากก่อนของเหลวสีขาวขุ่นจะพวยพุ่งซึมผ้าซาตินของกางเกงเป็นวงพร้อมกับอาการกระตุกของเด็กหนุ่ม กระนั้นฝ่ายผู้ปกครองกลับไม่หยุดยังคงสานต่อความปรารถนาของตนเองกัดดึงขอบกางเกงลงจนเห็นแก่นกายอ่อนยวบเลอะเปื้อน


แสงพริบพราวระยับพรายละม้ายดาวจากหอไอเฟลงดงามเกินพรรณนา ทว่าทั้งคู่ภิรมย์อยู่ในห้วงเหวเสน่หาจึงละเลยไปอย่างไร้อาวรณ์ เปลวไฟแผดเผาเทียนหอมโปรยกลิ่นอ่อนหวานของดอกมะลิลอยอวลยามผสานเข้ากับกลิ่นกุหลาบระคนกลิ่นนมจากครีมอาบน้ำที่กรุ่นบนผิวกายนั้นช่างเย้ายวนชวนฝัน


ผู้ปกครองหนุ่มคลึงเคล้าปลุกลำของเจ้ากุหลาบน้อยที่ขนาดเล็กกว่าความเป็นชายที่รวดร้าวอยู่ใต้กางเกงขายาวของเขาอยู่มากให้ตื่นตัวแล้วรูดรั้งมันขึ้นลงอย่างเนิบช้าพักหนึ่งถึงค่อยเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น หากไม่ทันถึงที่สุดเขากลับหยุดเพื่อสอดแขนประคองสะโพกให้ยกสูงจึงแทะเล็มกดจูบย้ำๆ อย่างหนักแน่นแต่นุ่มนวลลงบนความโค้งมนก่อนครอบครองมันไว้ในปากอันอุ่นชื้น 


ประสบการณ์ที่สั่งสมมาสมัยต้องดิ้นรนหาเงินด้วยการเป็นโฮสต์หรือช่วงเวลาที่ได้ข้องเกี่ยวกับหญิงสาวสวยซึ่งมีทั้งคบในระยะหนึ่งและมีสัมพันธ์เพียงคืนเดียวทำให้เชี่ยวชาญรู้ลึกถึงจุดที่พาไปแตะปลายสุดของความใคร่ แม้อีกฝ่ายจะมีเพศสภาพที่เขาไม่เคยแตะต้องมาก่อนเลยก็ตาม


เด็กหนุ่มผวาแอ่นหลังขึ้นจากเตียง ปลายเท้าจิกเกร็งเช่นเดียวกับเล็บจากมือทั้งสองที่จิกบนผิวเนื้อสีน้ำผึ้งตรงไหล่แข็ง โลกยามราตรีไร้ดาวกลับขาวโพลนด้วยการหยอกเอินของเรียวลิ้นอย่างช่ำชองบนลำกุหลาบน้อย ความรัญจวนซ่านเสียวแล่นริ้วไปทั่วโดยเฉพาะตรงท้องน้อยที่ปวดหนึบเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดการปลดปล่อย


จุนฮงรู้จักอาการเหล่านี้มาหลายเดือนแล้วแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองสอนให้รู้จักการใช้สิ่งอื่นสร้างความปั่นป่วนนอกจากการสัมผัสจับต้องด้วยมือ


...คุณอาบอกเขาว่า การกระทำเหล่านี้ไม่ดีและตัวเองเหมือนปีศาจที่ฉกฉวยโอกาสจากความไร้เดียงสา แต่เขาไม่คิดว่ามันเลวร้ายและออกจะรักการแนบชิดทางกายระหว่างกันอย่างนี้เสียด้วย


เด็กหนุ่มหอบหายใจคล้ายเป็นไข้ด้วยขาที่สั่นเทาเริ่มรู้สึกได้ว่านิ้วเรียวไล้เวียนเขี่ยเบาตรงช่องทางอุ่นนุ่มแต่ไม่มีการกล้ำกรายใดด้วยอีกฝ่ายตระหนักได้ถึงบางสิ่งจึงหยุดมือกลับมาทุ่มความสนใจให้กับการบำเรอไล่เล็มตรงยอดถึงส่วนปลายกลืนกินมันเสมือนเป็นของหวาน 


ความมุ่งมาดปรารถนาของผู้ปกครองหนุ่มคือปรนเปรอเด็กในปกครองรวมทั้งตนเองให้ไปถึงฝั่งฝัน ทว่าสำนึกแห่งรักลึกล้ำยั้งเขามิให้พาความแข็งแกร่งใต้กางเกงของตนรุกทำลายความบริสุทธิ์ของวัยเยาว์ก่อนวัยอันควร


สะโพกนุ่มหนั่นของคนอ่อนวัยกว่าเคลื่อนไหวตามแรงดูดดุนพาความกระสันให้ไต่ระดับสู่จุดสู่สุดจวบจนวาระสุดท้ายมาถึงร่างบางกระตุกเกร็งสะบัดหน้าเร่า ปลายเล็บจิกครูดแผ่นคร้ามแดดอย่างคนใกล้ขาดใจ


“คุณอา...” เสียงเรียกหวีดร้องอย่างสุขสมพร้อมธารน้ำสีขาวที่หลั่งรินจากยอดอ่อนไหวของกุหลาบน้อย


ยงกุกกลืนน้ำจากลำกุหลาบน้อยทุกหยาดหยดลงคออย่างกระหายพลางยันกายขึ้นจ้องเด็กในปกครองที่นอนเปลือยเปล่าหอบหายใจอยู่ในกองเสื้อผ้ารุ่งริ่ง เหงื่อไคลท่วมทั้งผมและดวงหน้านวล ตากลมปรือประสานสบประกายกล้าคมจากดวงตาชายที่อยู่เหนือตนที่กวาดลิ้นเลียคราบรอบริมฝีปากนั้นเซ็กซี่เสียจนไม่อาจละมองไปทางอื่น


...ตอนกลางวันคุณอาเป็นคนอบอุ่น แต่ตกกลางคืนคุณอากลับลุ่มลึกน่าค้นหา...


บรรยากาศภายในห้องเงียบงันคงเหลือเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ ก่อนฝ่ายผู้มากวัยจะจรดปลายจมูกฝังลงบนขมับไล่จูบซับเหงื่อที่ผุดพรายตามกรอบหน้า ความเป็นชายแข็งขืนไร้แววจะสงบเริ่มเจ็บหน่วงจึงผุดลุกจากเตียงดึงผ้าห่มห่อกายผอมบางไว้เรียบร้อยค่อยเอ่ยคำ


“ที่รัก เดี๋ยวอามานะ” 


เสียงน้ำจากฝักบัวดังขึ้นหลังประตูห้องน้ำปิดลงไม่กี่นาที ชายหนุ่มพยายามใช้ความเย็นดับอารมณ์แต่ไม่เป็นผล จำต้องใช้มือจัดการปลดเปลื้องอยู่นานด้วยปกติร่างกายอึดทนกับกิจกรรมบนเตียงกว่ามันจะกลับสู่ภาวะปกติได้ก็กินเวลานาน ทว่าเมื่อก้าวพ้นจากห้องน้ำเด็กที่เหนื่อยอ่อนกลับยังตะแคงนอนมองอยู่บนเตียง


“ไม่หลับล่ะครับ” เขาถามขณะปัดผ้าห่มออกเพื่อพันผ้าเช็ดตัวสะอาดเอี่ยมผืนใหม่บนร่างเปลือยเปล่าถึงค่อยล้มตัวลงนอนกอดอีกฝ่ายพลางดึงผ้าห่มคลุมกายของทั้งคู่ไว้ โดยที่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรเพียงเอนซบลงบนอกของผู้ปกครองสูดกลิ่นเย็นของเมนทอลจากครีมอาบน้ำโรงแรมบนผิวที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืด ปล่อยเวลาให้หมุนเวียนไปอย่างเชื่องช้าชั่วขณะที่ใกล้เคลิ้มหลับอีกประโยคคำถามก็แทรกทำลายความเงียบ


“แย่ล่ะ อาทำชุดแม่เราขาดชนิดที่ซ่อมไม่ได้แล้วด้วย เมื่อกี้ทำไมเราไม่หยุดอา...เราต้องหยุดอาสิ”


“ไม่ให้หยุดหรอก ก็ผมชอบสิ่งที่คุณอาทำ”


“ชอบอะไร” อีกฝ่ายแกล้งถามเฉไฉเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับสู่ภาวะปกติ


“เรื่องที่คนรักกันเขาทำกัน”


“ทำอะไร”


“คุณอางะ เพิ่งตะกี้นี้เองนะ”


“อะไรกัน อาไม่เห็นจะรู้เรื่อง”


“ก็เมื่อกี้ไง...เซ็กส์น่ะ”


“ฮ่าๆ” อยู่ๆเสียงหัวเราะขันก็ดังขึ้นโดยคนได้ยินไม่ทันตั้งตัวก่อนที่แก้มนิ่มจะถูกนิ้วแข็งบีบอย่างเอ็นดู “แก่แดดจังนะเราน่ะ”


“ความผิดคุณอานั้นแหละ”


“นั่นสิ อาสอนแต่อะไรไม่ดีกับเรา สงสัยต้องตีตัวเองแรงๆจะได้เลิกทำอะไรแบบนี้”


“ไม่เอา คุณอาห้ามตีตัวเองนะ”


“ทำไมล่ะ”


“คุณอาสอนผมน่ะดีแล้วน้า ผมไม่อยากเรียนมันกับใครนอกจากคุณอาแต่ว่านะคุณอาจะทำมากกว่านี้ก็ได้”


“มากกว่านี้คือยังไง”


“แบบที่คุณอาปล่อยในตัวผม”


“ฮะ...ฮ่าๆๆ”


“คุณอาอย่าหัวเราะซี”


“โถ กุหลาบน้อยของอา” สิ้นคำปากบางก็จูบแนบบนหน้าผากของคนเป็นเด็กจากความเอ็นดูแล้วต่อ “รู้มั้ย ใจจริงอาก็อยากจะร่วมรักกับเราจนสุดทางอยู่หรอกนะ แต่อาไม่ต้องการทำลายความเป็นเด็ก ความไร้เดียงสาของเรา ถึงอาจะไม่ใช่คนดีอะไรแถมยังสอนสิ่งไม่ดีแบบนี้ให้กับลูกของผู้มีพระคุณแต่อาจะรอจนเราโตพอ” 


“เดือนหน้าผมจะสิบหกแล้วนะ โตพอมั้ย”


“ถ้าเรายังไม่ถึงยี่สิบ จะสิบกว่าเท่าไหร่ก็ยังเด็กเกินไป”


“ต้องยี่สิบเท่านั้นเหรอครับ แล้วจะให้นับอายุแบบเกาหลีหรือแบบสากลงะ” 


“สากลสิ ถ้าเกาหลีตอนนี้เราก็สิบหกแล้ว”


“กว่าจะยี่สิบก็ตั้งนาน ผมไม่อยากรอนี่”


“รอเถอะ แล้วเราจะรู้ว่ามันคุ้มค่า”


“แต่คุณอาจะทนได้เหรอ”


“ได้สิ ถ้ารักต้องทนได้” 


คนอ่อนวัยยินคำเมื่อครู่แล้วหัวเราะคิกคักเหมือนลืมความเหนื่อยไปชั่วขณะ แขนผอมกอดรัดเอวผู้ปกครองไว้แน่นกว่าเก่า


“ขำอะไรน่ะเรา”


“ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักล่ะ”


“เราก็เป็นที่รักของอาอยู่แล้วนี่ แต่ไม่รู้ว่านานๆไปจะรำคาญอาหรือเปล่า” 


“ผมไม่รำคาญหรอก ผมรักคุณอาออกนะ”


“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มบอกหอมกระหม่อมของคนในอ้อมแขนแล้ววางคางคลึงเบาลงแทนที่ “นี่ก็ดึกแล้ว เราเหนื่อยไม่ใช่เหรอ นอนได้แล้วนะ”


“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณอา” เจ้ากุหลาบน้อยตอบรับขยับซุกหาความอุ่นในวงแขนกว้าง เปลือกตาปิดสนิทลงทันทีโดยไม่ต้องสั่งแต่เมื่อใกล้จะเข้าสู่นิทราผู้เป็นอากลับกล่าวบางสิ่ง


“อาลืมบอกว่าอาชอบเรื่องที่เราเขียนบรรยากาศสีของท้องฟ้าตอนที่เราอยู่ด้วยกันบนลอนดอนอาย ส่วนเมื่อวานอาชอบเรื่องที่เราเขียนถึงอาหารฝรั่งเศสกับรูปของอาที่เราถ่ายตรงประตูชัยฝรั่งเศส ส่วนของวันนี้อาชอบเรื่องที่เราเขียนถึงสีของแมงกะพรุนกับรูปหัวไม้ขีดเต้นรำที่เราฆ่าทิ้ง”


“คุณอาอ่านไดอารี่ของผมแล้วจริงๆด้วย” เสียงทุ้มยังไม่แตกหนุ่มพึมพำ


“คำไหนที่อาพูดจะเป็นเช่นนั้นเสมอ จำไว้ และคืนนี้ขอให้เราหลับสนิทอย่าได้ฝันเพราะนั้นแปลว่าเราหลับลึก แต่ถ้าจะฝันล่ะก็ ฝันถึงอาบ้างนะ เบบี้โรสที่รัก” สิ้นคำริมฝีปากบางก็ฝากรอยจุมพิตไว้บนหน้าผากพร้อมเปลือกตาที่คล้อยปิดลงเพื่อเข้าสู่การพักผ่อน


“อืม ผมจะฝันถึงคุณอา” 


ถ้อยคำคล้ายละเมอแผ่วเบาเอ่ยบอก ริมฝีปากอิ่มหลุดยิ้มทั้งที่สะลืมสะลือด้วยจิตใต้สำนึกตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นผู้โชคดีเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับความรักอันเปี่ยมล้นจากผู้ปกครองหนุ่มมากมายเสียจนไม่ประสงค์ขอพรหรือฝันถึงผู้ใดอีกเลย


---------------------------แวะคุยกันหน่อย----------------
ใช้เวลาเป็นเดือนกับบทนี้อะคะ เพราะเสียหยาดเหงื่อไปกับการเขียนมากมาย
ก็เลยอยากให้คนที่เห็นคุณค่าได้อ่านจริงๆ ยังไงอ่านแล้วรบกวนไปเม้ามอยกันหน่อยเถอะ
ช่วยคอมเม้นให้ชื่นใจสักนิดและติดแท็กฟิคให้ด้วย ขอบคุณค่ะ



You Might Also Like

1 Comments

  1. ยัยอ้อนคุณอาอะไรได้ขนาดนี้ลูกกกก อ่านจบแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ ภาษาการบรรยายสวยงามมาก เห็นภาพทุกอย่างชอบคุณอาอบอุ่นละมุนละไม แม้กระทั่งตอนไปเที่ยวทำให้รู้เลยว่าคุณอารักยัยมากแค่ไหนใส่ใจรายทุกอย่างสอนทุกเรื่องยัยเบบี้โรสของคุณอาก็น่ารักถึงจะแอบๆมีทะเล้นบ้าง ตอนที่คุณอานึกถึงอดีตของตัวเองกับครอบครัวเหมือนตัวเองเคยเป็นเด็กมีปัญหามาก่อนเพราะแบบนี้มั้ยคุณอาถึงได้เข้าใจความรู้สึกของยัยเบบี้โรสแล้วชอบมากที่ยัยเค้ายั่วคุณอาสำเร็จ แอบเขิลตอนที่ยัยบอกอยากให้คุณอาเสร็จในตัวก็ได้โอ๊ยใจบาง ยัยเบบี้โรสมันร้ายดีนะที่คุณอายับยั้งชั่งในเก่งไม่งั้นล่ะก็... ไม่อยากจะคิด การบรรยายฉากนี้มันโรแมนติคมากจิกหมอนกระจุยโง้ยยยย ต้องวนอ่านอีกรอบแน่ๆเลย ขอบคุณที่มีผลงานดีๆให้ได้เสพขอบคุณจริงๆค่ะ😘 รอพาร์ทต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเป็นกำลังใจให้นะคะ

    ตอบลบ