LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 7

09:05


ร่างผอมที่นอนคุดคู้ซุกอยู่ในอ้อมแขนกว้างหนาใต้ผ้าห่มสีขาวรู้สึกตัวตื่นตามเวลาที่เคยชิน จมูกสูดกลิ่นเย็นจางสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของตนเองสะท้อนกลับเหมือนนอนหันหน้าเข้าหากำแพงแต่จำได้ว่าตัวเองตั้งเตียงไว้กลางห้องนอนก็รู้สึกตัวตื่น


ความพร่ามัวของดวงตาทำให้ในตอนแรกทุกอย่างดูเบลอๆ หากเมื่อทุกอย่างกลับเข้าที่จึงเห็นว่าตนเองนอนประจันหน้ากับกล้ามเนื้อคร้ามแดดแข็งแน่นของใครคนหนึ่ง คอเลยขยับให้หน้าเงยสูงขึ้นถึงเห็นดวงหน้าคมของลุงปากร้ายหลับอยู่


จุนซอเบิกตากว้างเกือบจะร้องลั่นออกมาแต่อาการปวดหัวหนักเหมือนถูกอะไรทุบตลอดเวลาจนแทบระเบิดอันเป็นผลจากอาการเมาค้างทำให้ต้องหยุดนอนนิ่งจนอาการทุเลาลงถึงได้มีเวลาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่พอจำได้


จำได้ว่า พี่นาเรประกาศว่าจะแต่งงานกับพี่ชารุแถมมีน้องฝาแฝดอยู่ในท้อง เขาเลยดื่มโซจูเข้าไป จากนั้นก็ฝันว่าเกือบสารภาพความในใจแล้วลุงปากร้ายก็ให้ขี่หลัง คุยอะไรกันก็จำไม่ได้มากนักรู้แค่ว่า ตัวเองร้องไห้หนักขนาดที่ยอมให้อีกฝ่ายกอดปลอบ


...ฉิบหายล่ะ ไม่ใช่ฝันหรอกเหรอ...


ตากลมลืมขึ้นใหม่ด้วยความตกใจพร้อมกับมือขาวที่คลำไปตามเนื้อตัว ดีที่เสื้อแขนยาวลายทางขาวดำชั้นที่สามกับเสื้อยืดยังอยู่ดีเลยคลายใจแต่ขยับไปไหนไม่ได้มากเพราะแขนหนาของอีกคนยังกดน้ำหนักลงมา แม้ใจจะนึกอยากเผ่นหนีก็ไม่รู้จะหลุดจากอ้อมกอดนี่ยังไง แถมมือถือกับกระเป๋าเงินก็ไม่รู้อยู่ไหน ไหนยังต้องรับมืออาการปวดหัวแทบระเบิดนี่อีก


การยุบตัวของเตียงรวมทั้งการขยับขาเหมือนกำลังจะตื่นของฝ่ายตรงข้ามทำให้เจ้าตัวปิดตาแกล้งหลับเลยรับรู้ถึงแขนที่ยกพ้นจากเอวจนถึงการลุกขึ้นจากเตียงและประตูที่ปิดบรรจบขอบเบาๆนั้นด้วย


ยงนัมปิดน้ำที่ไหลรินรดตัวจากฝักบัวแล้วก้าวข้ามขอบกระเบื้องสีดำที่ใช้กั้นแยกส่วนแห้งกับเปียกภายในห้องน้ำไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมได้ก็เดินไปหยิบน้ำหอมมาพรมลงจุดกระจายกลิ่นตามด้วยตบเซรั่มบำรุงผิวไปบนหน้าพลางสำรวจหน้าตาหนวดเคราซึ่งโกนมาก่อนหน้าว่าเกลี้ยงเกลาดีไหมถึงค่อยเฉลียวใจอะไรขึ้นมา


...ทำไมกูต้องโกนหนวดเกลี้ยงๆตามที่ไอ้เด็กเหี้ยมันบอกด้วยวะ...


เขาถามตัวเองด้วยคิ้วขมวดมุ่นพลันภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ผุดพรายขึ้นมาให้รู้สึกไม่เข้าใจตัวเองมากไปกว่าเก่าก่อนที่เขาจะเลื่อนประตูเปิดออกไปด้านนอกก็เห็นสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลขนสีขาวเจือน้ำตาลอ่อนนั่งเรียบร้อยรออยู่ เพียงเท่านั้นปากก็เหยียดกว้าง


“ทิกเกอร์...มารอพ่ออาบน้ำเหรอครับ” เสียงเข้มต่ำบีบเล็กขณะก้มลงไปอุ้มเจ้าพุดเดิ้ลนามทิกเกอร์ขึ้นมากอดแนบอกพากลับไปยังห้องนอนด้วย


คนบนเตียงกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างสับสนด้วยสิ่งที่คิดว่าเป็นเพียงฝันและเลือนรางในตอนแรก มาเวลานี้กลับชัดพอให้รู้สึกอายขึ้นมา


...ทำไมรอบนี้เมาแล้วไม่หลับไปเหมือนทุกทีล่ะ...

...น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรจากการอกหักมากมายเท่าเมื่อวานอีกแล้ว...

...ตื่นมาจะโดนมันล้อมั้ย...

...แต่กล้ามปูคนเมื่อวานถึงจะปากหมาก็ทำให้เขาอุ่นใจ...


เสียงบานประตูแง้มเปิดทำให้ตาของคนบนเตียงตัวแข็งตากลมหรี่เล็กมองเจ้าของบ้านอุ้มพาพุดเดิ้ลตัวหนึ่งมาวางบนพื้นห้อง จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมปล่อยกายเปลือยเปล่ายืนเลือกเสื้อผ้าตามความเคยชินจนได้เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวสีซีดขาวๆตัวหนึ่งมาสวมได้ก็ออกไปอุ่นนมร้อนในครัวเอามาให้เด็กที่แกล้งหลับนอนคลุมโป่ง


“ไอ้อ้วน ตื่นยังวะ จะนอนแดกบ้านแดกเมืองเลยไง ไม่คิดจะโทรบอกแม่มึงหน่อยไง ป่านนี้ได้เป็นห่วงมึงตายห่า” เขาร้องถามเรียกให้ร่างผอมงัวเงียมุดออกมาจากผ้าห่มจึงไสแก้วนมร้อนไปตรงหน้า “เอ้า นี่เมาค้างดิ แดกนมเข้า”


“ปวดหัวจัง” อีกคนรับแก้วมาถือร้อง


“แดกนมเข้าไป...แดกหมดยัง เอาแก้วมา” เจ้าของห้องสั่งรอจนนมหมดแก้วก็หยิบมันมาวางบนโต๊ะข้างเตียงพลางชะโงกมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีแจ้งเตือนสายไม่ได้รับและข้อความอีกสารพัดขึ้นเต็มไปหมดถึงหันไปอุ้มสุนัขแสนรักที่นั่งสงบรอบพื้นไปวางไว้บนตักคนอ่อนกว่า “นี่ลูกกูเอง...ชื่อทิกเกอร์ ลูกกูเขาเรียบร้อยอย่าไปแกล้งมันล่ะ”


จุนซอก้มมองพุดเดิ้ลขนนุ่มนิ่มน่ารักที่เอียงคอเงยมองตัวเองอย่างสนอกสนใจเลยรู้สึกถูกชะตามือยกลูบหัวมันไปมาพลางมองไปทางคนตัวใหญ่ที่ยืนกดโทรศัพท์มือถือเหมือนพิมพ์ข้อความอยู่


“จ้องห่าอะไรของมึงเนี่ย...จำไม่ได้ดิว่ามาได้ไง ก็มึงเมาไง เมาแล้วพูดจาหมาๆ รู้มั้ยว่าเมื่อคืนมึงทำกูเดือดร้อนขนาดไหน แบกมึงมาถึงตั้งหลายโลยังมีหน้ามาอ้วกใส่กูอีก เมาทีเป็นเมาสมปากเลย”


“ใครใช้ให้แบกมาล่ะ”


“นั่น...โปรดสัตว์แบบมึงได้บาปเลยไง”


“ดูพูดจาดิ ไม่เห็นเหมือนกับหมาที่เลี้ยงเลย ทิกเกอร์ออกจะเรียบร้อยน่ารัก ทำไมถึงมีเจ้าของแบบนี้เนี่ย”
 

“ทิกเกอร์เป็นหมาที่น้องกูเลี้ยงแต่มันไม่มีเวลา กูเลยรับมาเลี้ยงแทน”


“มิน่าทำไมถึงนิสัยดีไม่เหมือนคนเลี้ยง”


“อ้าว...ไอ้เด็กนี่”


“คุณอาของเบบี้โรสคงสอนเรามาดีสินะ เสียดายต้องมาอยู่กับคนป่าเถื่อน” คนนั่งบนเตียงคุยกับน้องหมาบนตักไม่วายประชดใส่


“อย่ามาเบบี้รงเบบี้โรสแถวนี้”


“ถามจริง...กล้ามปูเกลียดอะไรจุนฮงนักเนี่ย”


“ไม่ได้เกลียด”


“ไม่เกลียดอะไร แค่เรียกชื่อยังหงุดหงิด คงอิจฉาดิที่น้องแฝดรักจุนฮงมากกว่าตัวเอง งุ้ย พวกขี้อิจฉา กลัวน้องไม่รัก นี่เด็กอนุบาลปะ” 


“เด็กเปรต...ปากงี้สางเมาแล้วใช่มั้ย สางแล้วก็โทรหาแม่มึงก่อนเขาจะได้ไม่เป็นห่วง”


“มือถืออยู่ไหนอะ”


“เออ...มือถือมึงอยู่กับพี่ชารุนี่หว่า เอางี้ เอามือถือกูไปโทรก่อนไป”


โทรศัพท์มือถือถูกโยนมาริมเตียงทำให้อีกฝ่ายต้องคลานเข่าไปหยิบมันมากดหมายเลขโทรไปหาแม่ เพียงเขาเอ่ยเรียกพยางค์เดียวก็ถูกแม่สวดยับถึงขนาดต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหู


“ผมเหนื่อยเลยมานอนบ้านรุ่นพี่...เมื่อคืนจงฮวามันโทรมาหาผมที่บ้านด้วย เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก ก็นอนอยู่ใครจะรับโทรศัพท์ได้ล่ะ เดี๋ยววันนี้ผมจะรีบกลับบ้าน อะไรนะ วันนี้ไม่ต้องกลับก็ได้ โหย ผมก็บอกแม่แล้วว่าตอนนี้ยังไม่อยากอยู่หอ อืม แค่นี้ครับ”


“ใครเป็นพี่มึงมิทราบ แล้วไปโกหกแม่ตัวเองแบบนั้นมันบาปนะเว้ย”


“จะให้บอกแม่ว่า เมาเลยโดนลุงปากมอมลากมานอนด้วย เขาก็เป็นห่วงตายดิ ละเมื่อคืนนี้ทำอะไรเราปะเนี่ย” พูดจบคนอ่อนกว่าก็รีบยกมือปิดคอเสื้อยืดที่สวมอยู่


“ก็คิดได้เนอะ...นมมึงก็ไม่มี ที่มีก็เหมือนของกู กูจะทำไรลง”


“ไม่ได้ทำไรเราจริงอะ”


“ถ้ากูทำจริงป่านี้ของกูคงอยู่ในตัวมึงยังไม่เอาออกหรอก เรื่องบนเตียงกูอึดมากบอกไว้ก่อน หยุดมองกูแบบนั้นเลย กูพูดเล่น ไอ้เหี้ยนี่ แหกตาดูก่อน เสื้อแสงมึงก็ใส่ครบ ที่กูถอดก็มีแค่เสื้อเปื้อนอ้วกมึงอะ อีกอย่างมึงไม่ใช่ผู้หญิง กูจะพิศวาสมึงทำเหี้ยอะไร” 


เจ้าของห้องบอกขณะกอดอกจ้องหน้าเหวอของเด็กบนเตียงที่มีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของตนเองนั่งอยู่บนตัก...เมื่อคืนเข้าลุกมากินน้ำตอนตีสี่เลยเอาเสื้อตัวที่สามของมันมาสวมทับให้ถึงนอนต่อ


“หิว มีอะไรให้เรากินมั้ย” ท้ายสุดเจ้าตัวปัญหาก็ถามหาของกิน


“สร่างมาก็หาไรแดกเลย มิน่าถึงอ้วน” แม้จะรู้ถึงขนาดตัวที่แท้จริงเขาก็ยังทำไม่รู้เหมือนเดิม


“เออ อย่าให้เราเห็นนะว่ากล้ามปูกินข้าวอะ”


“กูแดกก็ออกกำลัง ไม่เหมือนมึงหรอก”


“โอ๊ย...รำคาญ ทิกเกอร์อยู่นี่ก่อนน้า พูดจบมือขาวก็อุ้มเจ้าของชื่อลงบนเตียง


“มึงจะไปไหน”


“ไปหาไรกิน”


“ไปที่ไหน”


“มินิมาร์ทเนี่ยแหละ”


“ตั้งใจจะชิ่งดิ ไม่ต้องเลย เมื่อคืนมึงบอกจะซักเสื้อให้กู ไปซักก่อนเลย”


“จะเอาไรกับคนเมา...เราจำไม่ได้หรอก”


“มึงนี่ถึงไม่เมาก็ไม่รักษาสัญญาหรอก”


“เราสัญญาไรไว้บอกมาเลยดีกว่า” 


“มึงบอกจะทำงานบ้านให้กู” คนตัวใหญ่ปด


“จำไม่เห็นได้”


“ก็มึงเมา”


“สตอแหง่ๆ”


“สตอพ่อมึงสิ”


“จำไม่ได้นี่หว่า”


“ทีเมื่อวานเรียกกูพี่ยงนัมอย่างนั้น พี่ยงนั้นอย่างนี้”


“เรียกตอนไหน”


“ทั้งคืนแหละ ทั้งกอดแขน ขี่หลัง ขอให้อุ้ม ขอจับมือ นอนหนุนอก สารพัดจะขอ”


“อันนี้ตอแหลล่ะ” เจ้าตัวยุ่งตีมึนทั้งที่หูทั้งสองข้างแดงเถือก


...จะมาย้ำอะไรหนักหนา บ้าเอ๊ย วันหลังจะไม่เมาอีกแล้ว...


“ไม่เชื่อดิ...ก็ไม่อยากบอกหรอกนะว่าบ้านกูมีกล้องวงจรปิด ถ้ามึงอยากดูตอนมึงเมาแล้วอ้อล้อใส่กูเป็นหมา กูเอามาให้ดูได้” 


“เราไม่อยากดูหรอก”


“ถึงให้ดูก็ไม่ทำอยู่ดีแหละ ไอ้หน้าหมา”


“เออ...ทำให้ก็ได้ แต่หิว ต้องหาไรกินก่อนถึงมีแรงทำ ถ้าที่นี่ไม่มีไรให้กินจะไปหาข้างนอก เดี๋ยวกลับมา”


“หิวอะไรขนาดนั้นวะ...หิวมากเดี๋ยวกูหาอะไรให้แดกเอง มึงไปอาบน้ำไป้ เหม็นเหล้า”


“ไม่มีเสื้อผ้า”


“ยืมกูก่อนได้”


“กลัวติดเชื้อโรค”


“โว้ยไอ้เด็กเหี้ย...นอนก็นอนบนเตียงกู ห่มก็ห่มผ้ากู ที่อุ้มนั้นก็หมากู มากลัวติดชงติดเชื้ออะไรตอนนี้”


“แล้วเสื้อเราอีกสองตัวไปไหน”


“อยู่ในตะกร้าผ้า”


“เราไปคุ้ยมาใส่ก่อนก็ได้”


“ห่านี่ เสื้อมึงมันติดกลิ่นอ้วกไปแล้ว ทำไมต้องเรื่องเยอะด้วยวะ ใส่เสื้อกูมันจะตายหรือไง”


“โอ๊ย บ่นอยู่นั้นแหละ จะให้ยืมก็เอามาสิ” 


“ก็แค่เนี่ย” เจ้าของบ้านว่าพลางเปิดตู้เสื้อผ้าหาอะไรสักอย่างที่เด็กข้างหลังพอจะใส่ได้เสร็จก็โยนให้ทันที


“อาบน้ำแล้วแปรงฟันด้วยนะมึง...แปรงสีฟันใหม่อยู่ในตู้กระจกข้างอ่างล้างหน้า บ็อกเซอร์กูไม่มีให้แต่ถ้าจะเอากางเกงในใหม่น่ะอยู่ตู้เดียวกันชั้นล่าง”


“กล้ามปู” ฝ่ายอ่อนวัยกว่าเรียกขณะยกกางเกงยีนส์ขายาวตัวหนึ่งที่ดูทรงแล้วเหมือนกางเกงยีนส์ผู้หญิง


“ไร”


“นี่กางเกงผู้หญิงปะ”


“เออ ของพี่นาเร มึงใส่ได้ปะละ”


“ไม่มีกางเกงผู้ชายเหรอ”


“มึงใส่กางเกงกูไม่ได้หรอกอ้วน”


“รู้ได้ไงว่าไม่ได้”


“เออน่า กูรู้แล้วกัน โวะ มึงอย่าเยอะดิ กางเกงทรงตรง คนเขาไม่รู้หรอกว่ามึงเอาของพี่สาวกูมาใส่”


“ถ้ารู้อะ”


“เดี๋ยวกูจัดการให้...อะไรของมึงนักก็ไม่รู้ วุ่นวายฉิบหาย”


“โอย บ่นอีกล่ะ ไปอาบน้ำดีกว่า เบื่อเสียงแมงหวี่” ร่างผอมว่าลุกจากเตียงสะบัดหน้าพรืดออกไปหาห้องน้ำ


“เด็กเหี้ย” เสียงเข้มต่ำสบถพร้อมอุ้มทิกเกอร์มาวางบนพื้นข้างโต๊ะกินข้าวในห้องครัวแล้วเทอาหารสุนัขอย่างดีใส่ลงในชามสองหลุมที่หลุมหนึ่งมีน้ำสะอาดเติมจนเต็ม จากนั้นเจ้าของห้องถึงหยิบนมกับซีเรียลในตู้มาเทลงชามอย่างลวกๆ ระหว่างรอให้อีกคนอาบน้ำเสร็จตัวเองก็ชงกาแฟนั่งดื่มอย่างสบายใจ


“ไหนของกิน” ประโยคนั้นดังพร้อมผู้อ่อนวัยกว่าที่บนหัวมีผ้าเช็ดผมคลุมสวมเสื้อแขนยาวลายทางตัวเดิมกับกางเกงยีนส์ตัวใหม่บนแขนมีเสื้อยีนส์พาดอยู่ตามเข้ามาหลังใช้เวลาในห้องน้ำเกือบยี่สิบนาที


“ทำไมยังใส่เสื้อตัวนี้อยู่อีกวะ”


“ไมอะ”


“เหม็นเหล้า”


“ไม่เหม็นหรอก เราฉีดน้ำหอมอาร์มานี่ในห้องน้ำไปตั้งครึ่งขวดแน่ะ”


“อาร์มานี่ในห้องน้ำ ไอ้ห่า น้ำหอมกู”


“เราใช้ไม่ได้เหรอ” ทั้งที่จงใจแกล้งแต่ก็ทำลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้


“ไม่ได้”


“จะไปรู้เหรอก็เห็นอยู่ในห้องน้ำ”


“มึงนี่แม่ง...ตั้งแต่เมื่อวานผลาญพลังงานกับเงินกูไปกี่วอนแล้วรู้มั้ยเนี่ย”


“แค่นี้เอง กล้ามปูออกจะรวย ไม่เป็นไรหรอก”


“กูไม่อยากเสียให้คนอย่างมึง”


“ก็เสียให้แล้วอะจะบ่นทำไม” คนเด็กกว่ากระแทกเสียงพร้อมกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าชามซีเรียลเหมือนรู้ว่าเป็นของตัวเอง


“เมื่อวานมึงทำกูเสื้อเปื้อนทั้งอ้วก เปียกทั้งน้ำตา...วันหลังนะริจะดื่มเหล้าก็ดื่มให้พอดี อย่าเมาเป็นหมา ถ้าไม่ใช่กูเป็นคนดีนี่มึงได้นอนข้างถนนไปแล้ว” แค่เห็นอีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งตักซีเรียลกับนมเข้าปาก ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เริ่มเทศนา


“คนดีเขาไม่บอกว่าตัวเองดีกันหรอก”


“ทำไม...กูภูมิใจในความดีของกูนิ”


“และคนดีเขาไม่ทวงบุญคุณใครด้วย”


“กูทวงสัญญาเว้ย”


“ก็เหมือนกันแหละ”


“มึงนี่นะจะทำตัวดีๆกับกูสักหน่อยไม่ได้เลยไง”


“ด่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ไม่เห็นทำตัวดีกับเราเลย”


“ดีกว่ากูก็พระเจ้าแล้ว”


“แหวะ อยากจะอ้วกจริงๆให้ตาย”


“ไม่ยอมรับว่ากูดี ยอมรับว่ากูหล่อก็ได้”


“คนหล่อจริงน่ะ แฝดน้องตัวเองตังหาก”


“แม่งเอ๊ย คุยกับเด็กเปรตอย่างมึงแล้วปวดประสาท รีบๆแดกให้เสร็จเข้า จะได้ไปจัดการซากที่มึงทำไว้เมื่อวาน”


“จะให้ซักผ้านี่มีเครื่องมะ เราซักมือไม่เป็นหรอกนะ”


“มี...อยู่ตรงระเบียง แต่มันเสีย”


“แล้วจะพูดเพื่อ”


“ก็มึงถาม”


“ละปกติซักเสื้อผ้ายังไง”


“จ้างร้านซักรีด”


“แล้วทำไมไม่เอาพวกนี้ไปส่งร้านซักแทนเล่า”


“มันทั้งเปื้อนทั้งเหม็นขนาดล้างน้ำกลิ่นก็ไม่หายจะให้กูแบกไปให้ร้านซักเขาได้มองกูเป็นขี้เมาน่ะสิ”


“แล้วจะให้เราทำไง”


“มึงลงลิฟต์ไปข้างล่างแล้วกัน มันมีตู้หยอดเหรียญอยู่”


“ไม่พาไป...เราจะไปถูกมะ”


“ปากมีไม่ถามเอาวะ”


“เมื่อคืนเราสัญญาเรื่องถามทางไปซักผ้าด้วยเหรอ ไม่น่าม้าง ก็กล้ามปูบอกว่าแค่ซักผ้า”


“กวนตีน” เสียงเข้มสบถออกมาอีกคำรบอย่างรำคาญ หากสุดท้ายก็ยอมหยิบของจำเป็นใส่กระเป๋ากางเกง โยนตะกร้าผ้าให้คนเด็กกว่าถือค่อยปิดล็อกห้องนำทางมาถึงห้องกระจกด้านหลังที่มีบริการตู้ซักผ้าหยอดเหรียญอัตโนมัติฝาข้างที่ดูทันสมัยและสภาพดีกว่าตามอพาร์ทเม้นต์ทั่วไปมากตั้งเรียงราย


“กูพามาแล้ว มึงจะซักไม่ซัก”


“เครื่องมันใช้ไงอะ” 


“ก็ยัดผ้าแม่งเข้าไป ปิดฝา หยอดเหรียญ กดปุ่มตั้งค่าความสะอาดระดับสูง กดปุ่มให้มันทำงานต่อแล้วรอจนมันมีเสียงสัญญาณมันจะหยุดทำงานเอง” 


ชายหนุ่มอธิบายพร้อมสาธิตวิธีการจริงเสร็จสรรพโดยอีกคนแค่ถือตะกร้าผ้ามองตาปริบๆคอยผงกหัวไปมา


“เออ ก็ทำเองเป็นนิ”


“ไอ้เหี้ยนี่ โบกสักทีดีมั้ยเนี่ย”


“โบกมาเราโบกกลับ”


“เกลียดเด็กอย่างมึงจริงๆ”


“ตัวเองซักเองจะมาว่ากันได้ไงเล่า แล้วนี่ต้องทำไรต่อ”


“รอ”


“รอ...งั้นเราออกไปหาไรกินก่อนได้มะ”


“มึงนี่ เพิ่งแดกไปเองจะแดกไรอีก” 


“ก็เราหิวอะ ซีเรียลใส่นมไม่พอยาไส้เราหรอก”


“จะไปไหนก็ไปเลยไป้”


“ไปไม่ได้ เราไม่มีเงิน กระเป๋าตังค์เราหาย”


“ไม่หาย...พี่ชารุบอกมึงลืมไว้กับโทรศัพท์แต่เก็บไว้ให้แล้ว”


“งั้นยืมเงินหน่อย” พูดจบก็ยื่นมือขาวที่โผล่พ้นขอบแขนยาวของเสื้อไปหา


“คิดดอกร้อยละสิบต่อวัน”


“หู้ย ร้อยละสิบ เกินไปเปล่า เออ ก็ได้ กู้ก็ได้ เอามาหมื่นวอนดิ”


“จะคืนเมื่อไหร่”


“ได้กระเป๋าตังค์มาก็คืนแล้ว”


“มึงจะกินอะไร”


“มีอะไรในมินิมาร์ทให้กินแล้วอิ่มก็กินอันนั้นแหละ”


“จะไปมินิมาร์ทอะนะ...ใกล้ๆนี่มีร้านเบอร์เกอร์ มึงไปกินที่นั่นสิ”


“ไม่เอา”


“ผู้ใหญ่ชวนก็ไปสิวะ”


“อะไร ใครชวน”


“กูเนี่ย”


“ไม่เอาหรอก ไม่อยากไปกินกับคนเขี้ยว”


“โวะ ตามใจมึงล่ะกัน กูไปล่ะ” คนตัวใหญ่เอ่ยอย่างรำคาญหยิบแบงค์หมื่นวอนจากกระเป๋าได้ก็ยัดใส่มือที่กระดิกแล้วเดินออกจากอพาร์ทเม้นต์หรูของตนไปตามถนนเลี้ยวเข้าร้านเบอร์เกอร์ซึ่งช่วงเช้ามีครอบครัวมานั่งกันเต็มในร้านทำให้เหลือโต๊ะว่างแค่ด้านนอก


ยงนัมหยิบดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ซีฟู้ดในถาดไม้รายล้อมด้วยเครื่องเคียงทั้งเฟรนซ์ฟรายและหอมทอดที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ ตาคมกวาดมองแมกไม้ร่มรื่นเหนือศีรษะสูดรับกลิ่นไอแดดยามเช้า ในจังหวะที่หลุบตาลงมาก็เห็นหญิงสาวที่เดินผ่านยิ้มหวานให้ หากเขาไม่ตอบรับอะไรมากไปกว่ายิ้มตอบแล้วบีบซอสมะเขือเทศจากในขวดเทลงตรงกลางเบอร์เกอร์แต่มันกลับกระเด็นมาโดนเสื้อคลุมยีนส์ที่สวมทับเสื้อยืดเสียอย่างนั้น


“ห่าเอ๊ย” เขาสบถจะหยิบทิชชู่มาเช็ดพนักงานก็ลืมใส่ในถาดมาให้


...แม่ง ตั้งแต่แบกไอ้เด็กห่านั่นมาบ้านชีวิตยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่...


“ไรเนี่ย ยงนัมสามขวบ ทำซอสเลอะเสื้อเหยอ” ยังไม่ทันจะได้ลุกไปขอกระดาษจากข้างในร้านก็มีเสียงล้อลอยมาให้ได้ยิน เมื่อเงยหน้าไปก็เห็นเด็กเจ้าปัญหายืนมองอยู่ตรงรั้วเตี้ยด้านนอกร้าน


“ไอ้เวร กล้าเรียกกูงี้เลย พี่เพอไม่เรียกด้วย”


“อ๊ะๆ เอาทิชชู่เช็ดมะ อ๊ะๆ คนให้ของต้องทำไงก่อน” คนเด็กกว่าถือไอศกรีมแท่งรสส้มที่เหลือติดไม้ไม่ถึงครึ่งไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ยื่นทิชชู่ไปให้พออีกฝ่ายตั้งท่าจะรับก็ดึงกลับ


“ต้องขอบคุณมึงอะนะ...เก็บไปเลยไป ละนี่ไร ไหนบอกไปหาไรแดก แทนที่จะแดกข้าวเสือกแดกไอติม”


“จะเอาไม่เอา ถ้าไม่เอาเราเก็บนะ”


“เหอะ”


“ถ้าไม่อยากพูดขอบคุณก็เลี้ยงเบอร์เกอร์เราก็ได้”


“แม่ง อะไรนักหนา ทำคุณบูชาโทษจริงๆ”


“หยวนๆหน่อยน่า แค่เบอร์เกอร์ชิ้นเดียวเอง เราอุตส่าห์มาซักผ้าให้”


“มึงซักตรงไหนมิทราบ กูกดเองหมด เงินก็ของกู”


“เรามาเป็นเพื่อนกล้ามปูไง อะเราไม่ซื้อเบอร์เกอร์ก็ได้แต่ให้เรากินเฟรนซ์ฟรายกับหอมทอดแทนได้มะ”


“จะแย่งกูแดกเฉย อยากแดกก็ไปซื้อเอง”


“งั้นหมื่นวอนที่ยืมนี่ไม่คืนได้เปล่า”


“ไม่คืนก็ได้โว้ยไอ้ห่านี่”
 

คนแก่กว่าแทบตวาด น่าแปลกที่ฝ่ายตรงกับหัวเราะเสียงใสวิ่งอ้อมรั้วผ่านประตูหายเข้าไปในร้านเบอร์เกอร์และกลับออกมานั่งฝั่งตรงข้ามโดยมีแค่น้ำส้มแก้วหนึ่งติดมือมา


“อะไรของมึงเนี่ย จะแย่งกูแดกเฟรนซ์ฟรายให้ได้เลยใช่มั้ย”


“ไม่แย่งหรอก เรากินรามยอนกับข้าวหน้าเนื้อในเซเว่นอิ่มแล้ว”


“งั้นจะไปไหนก็ไป”


“ไปไม่ได้...ยังซักผ้าไม่เสร็จ”


“เดี๋ยวกูทำเอง มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป”


“เงินก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มีจะให้ไปไหนล่ะ”


“เพื่อนมึงไม่มีให้ไปหาหรือไง”


“เพิ่งบอกเองนะว่าไม่มีตังค์ จะให้เดินจากนี้ไปบ้านพวกมันไม่ไหวหรอก ถึงเดินไปได้ก็ไม่มีใครอยู่ ออกไปหาสาวกันหมดแล้ว”


“สรุปคือโดนทิ้ง”


“โดนทิ้งที่ไหน แค่มันไม่รู้ว่าเราอยู่นี่ ไม่งั้นเราไม่ต้องนั่งให้กล้ามปูด่าอยู่นี่หรอก”


“ไอ้หมื่นวอนที่กูให้เมื่อกี้อยู่ไหน”


“หมดแล้ว”


“เหี้ยเอ๊ย”


“เอาน่า...ไว้ซักผ้าเสร็จเดี๋ยวเราไปให้พ้นหูพ้นตากล้ามปูเอง”


“เรื่องของมึงเหอะ” คนแก่กว่ากระแทกเสียงนั่งกินเบอร์เกอร์ต่อเหมือนไม่สนใจเด็กที่นั่งดูดน้ำส้มอยู่ตรงข้าม แม้ตอนจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันเสร็จก็ลุกออกมาโดยไม่หันไปมองข้างหลังด้วยรู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังเดินตามมา 


...และรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนหน้า...


เครื่องซักผ้าหยุดทำงานหลังซักปั่นตามกระบวนการที่ตั้งค่าไว้ ผู้อ่อนวัยเปิดฝากระจกเครื่องซักผ้าดึงเสื้อกับกางเกงที่ถูกปั่นจนเกือบแห้งสนิทลงในตะกร้าแล้วหันไปหาคนแก่กว่าที่ง่วนอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือ


“ต้องเอาไปไหน”


“ตากสิวะ”


“รู้แล้ว จะให้ตากที่ไหน”


“ถามอะไรโง่ๆ ต้องตากห้องกูสิ จะไปตากไหนได้...เอ้า ยังไม่ตามมาอีก เร็วๆ” คำสั่งนั้นดังออกมาทำให้เจ้าตัวยุ่งทำหน้ายู่แบกตะกร้าตามหลังขึ้นลิฟต์ไปถึงห้องชุดที่มานอนค้างคืนแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงใส่ไม้แขวนขึ้นตากบนระแนงไม้สำหรับตากผ้าที่ปลูกไม้เลื้อยบังสายตาไว้ตรงระเบียง


“มึงก็แน่เหมือนกันนิ” 


“อะไร”


“มึงบอกกูเมื่อคืนว่าจะไม่ร้องไห้แล้ว ก็ทำได้นิ ไม่เจ็บแล้วดิ”


“มันก็เจ็บอยู่นะแต่พี่ชารุเขาเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ...พี่เขาทำให้พี่นาเรเป็นผู้หญิงที่สวยงามและมีความสุขมากขนาดนั้น ถึงเราจะเจ็บแต่เราจะไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อเราไม่สามารถเป็นคนที่ทำให้พี่เขาสวยงามได้มากกว่าพี่ชารุ เราก็ขอแค่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข” 


ตากลมของฝ่ายเด็ดกว่าทอดสายตาไกลออกไปยังริ้วเมฆสีขาวบนพื้นฟ้าสีคราม...เขาไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ เพียงแค่คิดว่าการได้เห็นคนที่รักมีความสุขก็เพียงพอแล้ว


“เออ เก่งแล้ว” 


คำชมที่ไม่คาดว่าจะได้รับรวมทั้งมือที่ตบเบาลงมาบนหัวคล้ายชื่นชมทำให้คนได้ยินรู้สึกอุ่นในใจ ยิ่งเงยหน้าเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากบนหน้าคมของอีกฝ่ายใจก็เกิดสั่นไหวเลยแก้เก้อด้วยการถาม


“ตากผ้าเสร็จแล้วจะให้เราทำไรต่ออะ” 


“ไม่ต้อง...กูโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับมึงไปส่งที่ร้านพี่นาเรแล้ว มึงลงไปรอข้างล่างได้”


“แล้วเสื้อผ้า”


“เดี๋ยวกูไปฝากไว้ให้ที่ร้าน”


“อ้อ ก็ดี เราก็เบื่ออยู่นี่แล้วเหมือนกัน” 


คนเด็กกว่าบึนปากคล้ายเบื่อเต็มประดาทั้งที่ข้างในกลับว่างโหวง พอบอกลากับทิกเกอร์ได้ก็เดินออกจากห้องลงลิฟต์ไปรอแท็กซี่ข้างล่างอยู่ด้านนอกอพาร์ทเม้นต์อย่างห่อเหี่ยวอย่างไม่รู้สาเหตุ


“มึงลืมอะไรไปปะเนี่ย” จู่ๆเสียงต่ำลึกอันคุ้นเคยมากระซิบถามข้างหูทำให้ตกใจจนรีบหันกลับไปดูก็เห็นคนตัวใหญ่ยืนอยู่พร้อมสะบัดเสื้อยีนส์ตัวที่โยนมาให้ใส่แต่เขาวางลืมไว้ในห้องเอามาคลุมตัวไว้ให้ 


“ไรอะ”


“ใส่ไว้...อย่างน้อยก็เสื้อใหม่คนเขาจะได้ไม่เหม็นกลิ่นเหล้าจากเสื้อมึง”


“ไม่เหม็นหรอกก็บอกแล้วว่าฉีดน้ำหอมของกล้ามปูมาแล้ว”


“มึงนี่อะไรนักวะ ใส่ๆไปเหอะน่า เออ กูคงไม่ไปร้านสักพักนะ มีงานต้องไปทำ”


“บอกทำไม...ไม่เห็นอยากรู้”


“โวะจะทำตัวดีๆกับกูสักสองวินี่ไม่ได้เลยใช่มั้ย เอ้า แท็กซี่มาล่ะ ไปได้แล้ว”


“อืม”


“ตรงกระเป๋าเสื้อกูใส่เงินไว้...เอาจ่ายค่าแท็กซี่ ไปให้ถึงร้านอย่ากระโดดไปหาไรแดกกลางทางล่ะไอ้ตูด” 


“สั่งจัง...สั่งยังกะเป็นพ่อ”


จุนซอตะโกนไล่หลังจ้องแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนห่างออกไปทีละน้อยจนลับหายไปในอพาร์ทเม้นต์ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยหัวใจที่เต็มอิ่มแล้วจึงวิ่งไปหาแท็กซี่ที่แล่นเข้ามาจอดและตลอดเส้นทางนั้นเขารู้สึกว่า วันนี้คงเป็นวันที่ดีวันหนึ่ง
--------------------------------------------------
บานประตูกระจกเคลื่อนเปิดตามการจับตำแหน่งของเซ็นเซอร์เรียกให้พนักงานสาวประจำร้านรีบโค้งให้ชายหนุ่มผิวขาวที่เดินตัวปลิวเข้ามาในร้านเสื้อผ้าสตรีเน้นสไตล์สตรีทผสมความเป็นเฟมินิสต์ ก่อนที่สองหุ้นส่วนธุรกิจและชีวิตจะโผล่ออกมาจากห้องด้านหลังและร้องทักผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม


“อ้าว...มาแล้วเหรอ นี่พี่เพิ่งพิมพ์บอกเราเรื่องเก็บกระเป๋าตังค์กับมือถือไว้ให้เองนะ ทำไมมาไวจัง” 


“เมื่อคืนดื่มหนักเลยนิ ปวดหัวหรือเปล่า”


น้ำเสียงของทั้งสองมีความห่วงใยทำให้อีกคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบเก้อๆด้วยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ทว่าความเสียใจนั้นมีความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกปะปนมาด้วย


“ปวดครับแต่ไม่มากแล้ว”


“เอ้านี่ กระเป๋าตังค์กับมือถือ พี่ชาร์ตแบตไว้ให้แล้วนะ ยังไงก็โทรกลับเพื่อนเรามันด้วยล่ะ เมื่อวานจงฮวามันมาตามหาเราที่ร้าน พี่ไม่ทันเห็นว่าเราลืมมือถือไว้มันเลยโทรเข้ากับส่งข้อความมาจนพี่ต้องบอกว่าเรากลับบ้านไปแล้วมันถึงเลิกโทร” ชารุส่งโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลอ่อนให้อีกคนรับไว้ “อ้อ แล้วต่อไปพี่ตั้งใจว่าจะเปิดร้านสักแค่สี่วันน่ะ วันที่เหลือจะได้ให้นาเรเขาพักผ่อน ถ้าเราไม่โอเคล่ะก็จะไม่ทำงานกับพี่ต่อแล้วก็ได้นะ”


“ผมโอเคนะครับ...ผมอยากทำงานที่นี่ต่อ”


“แต่เงินมันลดลงน่ะสิ”


“ไม่เป็นไรครับ...ช่วงนี้ผมเองก็มีต้องจัดแสดงโปรเจคจบด้วย กะว่าจะขอพี่ลางานไปจัดการอยู่พอดี แต่วันนี้ยังเปิดร้านอยู่ใช่มั้ยครับ”


“พี่ตั้งใจว่าจะเริ่มเดือนหน้าน่ะ”


“อา...ครับ”


“เราจะไปไหนต่อหรือเปล่า”


“ว่าจะโทรหาจงฮวาแล้วไปหอสมุดครับ”


“หอสมุดเหรอ...งั้นอยู่กินข้าวเที่ยงกับพวกพี่ก่อนมั้ย”


“ไม่ดีกว่าครับ...เดี๋ยวผมโทรไปชวนจงฮวากินข้าวแทน ขอบคุณนะครับ ผมไปก่อนนะครับ” คนอ่อนกว่าโค้งพร้อมบอกลาเกือบจะเดินผ่านประตูร้านไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องอุทานของเจ้าของร้านสาวเสียก่อน


“มีอะไรเหรอครับ”


“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าเสื้อสวยดีนะ”
 

“อ๋อ ครับ งั้นผมไปก่อนนะ” 


“จ๊ะแล้วเจอกันตอนเย็น” นาเรว่าพลางยิ้มอย่างเอ็นดูยืนรอกระทั่งลูกจ้างหนุ่มหายไปก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่ทำให้ชายคนรักที่ยืนข้างตัวนึกสงสัยถึงขั้นต้องสะกิดถาม


“เธอหัวเราะอะไร”


“เสื้อที่จุนซอเขาใส่น่ะ”


“เสื้อทำไม”


“ฉันจำได้ว่าเป็นเสื้อที่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดยงนัมมันเมื่อสามสี่ปีก่อนแต่มันไม่ยอมใส่...มันบอกว่า ตรงแขนมันคับไป”


“แน่ใจเหรอ...อาจจะคนละตัวก็ได้”


“เสื้อตัวนั้นฉันปักชื่อของมันไว้ตรงมุมขวาของชายเสื้อข้างหลังน่ะ...เมื่อกี้ตอนที่จุนซอเดินไปน่ะฉันเห็นชื่อมันปักอยู่”


“อ้อ...งั้น เมื่อคืนนี้ที่ไม่รับโทรศัพท์นี่ก็...”


“อืม”
 

ทั้งคู่พยักพเยิดแล้วหัวเราะร่วนให้กันด้วยต่างฝ่ายต่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรต่อจากที่น้องชายและรุ่นน้องหายไปจากร้าน


...ไม่รู้ว่าเกลียดมากขนาดไหนถึงพาไปบ้านที่ไม่เคยยอมให้ใครเข้านอนจากคนในครอบครัว...
------------------------------------------------------------
จุนซอลากเท้าลงตามขั้นบันไดจากร้านเสื้อผ้าจนมาเหยียบถึงพื้นทางเท้าระดับปกติ แขนทั้งสองข้างเหยียดสูงขึ้นฟ้าแล้วบิดไปมาเพื่อไล่อาการปวดเนื้อตัวก่อนจะเห็นเพื่อนสนิทยืนห่างจากตนเองออกไปไม่ถึงสิบก้าวจึงยกมือทำท่าจะทักทายแต่อีกฝ่ายกลับถามสวนมาก่อน


“มึงหายไปไหนมา” เสียงเข้มที่ลอดผ่านแนวฟันที่สบกันแน่นนั้นสั่น...นัยน์ตาบนดวงหน้าเคร่งขึ้งกระตุกน้อยๆจากความร้อนใจที่แล่นปะทุ


“กูเหรอ...ก็”


“ทำอะไรหัดคิดถึงใจคนอื่นเขาบ้างสิวะ รู้บ้างมั้ยว่ากูวิ่งตามหามึงทั่วโซลอยู่ทั้งคืน ขับรถไปหามึงถึงบ้านแต่มึงเสือกหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ กูเป็นห่วงมึงจนจะบ้าอยู่แล้วแต่มึง...มึงนี่แม่ง โธ่เว้ย” จงฮวาเริ่มส่งเสียงดังแล้วหันหลังเตะเข้ากำแพงร้านอย่างแรงทำให้ฝ่ายที่ถูกโกรธยืนนิ่งกระพริบตาปริบด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเห็นเพื่อนหงุดหงิดหัวเสียถึงขนาดเตะข้าวของใส่ใครมาก่อน


“อะไรของมึงเนี่ย ก็กูเมา โทรศัพท์กับเงินก็ลืมไว้ที่พี่ชารุ แล้วกูจะรู้ได้ไงว่ามึงโทรหา นี่กูเพิ่งมาเอาโทรศัพท์กำลังจะโทรหามึงอยู่พอดี ทำไมต้องอารมณ์เสียกับคนเมาด้วยเล่า”


“เมาแล้วทำไมไม่นั่งอยู่ในร้านรอกูมารับ...เสือกกลับไปกับใครก็ไม่รู้ นั่งแท็กซี่ไปไหนไม่กลับบ้าน”


“โอ๊ย มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย ทำไมต้องตะคอกด้วย ก็บอกแล้วว่าเมา หาเรื่องกับคนเมามันได้อะไรวะ นี่ถ้าคุยกันดีๆไม่ได้ ไว้ค่อยคุยกันวันหลังละกัน” คนตัวเล็กกว่าบอกพลางหันหลังจะเดินหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนผู้เคยใจเย็นมาตลอด แต่ไม่ทันได้ไปไหนไกลมือใหญ่ก็คว้าแขนรั้งไว้ให้อยู่ต่อ


“ขอโทษ...กูเป็นห่วงมึงมากไปหน่อย ก็เลย...” คำนั้นเอ่ยขึ้นจากด้านหลังพาให้ฝ่ายถูกจับแขนยอมหันกลับไปมองหน้าเพื่อนที่มีสีหน้าสลดลง


“กูก็ขอโทษเหมือนกันที่ไม่โทรบอกมึงเร็วกว่านี้ แต่ว่านะเมื่อวานนี้มึงรู้เรื่องที่พี่นาเรท้องและจะแต่งงานด้วยหรือเปล่า”


“อืม”


“ก็เลยมาดูกูเหรอ”


“เออ”


“เพิ่งรู้เรื่องพี่เขาเหมือนกันสินะ”


“อืม” 


“แย่เนาะ...กูแม่งโครตโง่เลย ทำงานอยู่ที่นี่ตั้งหลายเดือนกลับไม่เฉลียวใจสักนิดเลยว่าพี่เขาคบกัน ทั้งที่บรรยากาศหรือการคุยกันมันเป็นในทางคนรักก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่ใช่”


“มึง...เจ็บมากมั้ย” คนตัวใหญ่ถามเสียงอ่อน ความห่วงใยอย่างล้นเหลือทำให้กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของเพื่อนบวกกับความไม่กล้าพูดความจริงเสียตั้งแต่แรกทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียใจ


“แอบรักคนที่เขาไม่รักเรามันต้องเจ็บอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”


“อา...”


“แต่กูโอเคนะ เพราะอย่างน้อยคนที่พี่นาเรรักก็เป็นคนที่กูรู้ว่านิสัยดี คนที่เรารักไปได้ดีกับคนดีๆกูก็พอใจมากแล้ว ฮุ้ย...นี่...หู้...กูเพิ่งรู้ว่าตัวกูก็พูดอะไรพระเอกๆแบบนี้ได้ มึงว่ากูไปสมัครเป็นนักแสดงดีมะ” เพราะไม่รู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย สุดท้ายเจ้าตัวก็พยายามคลายความตึงของบรรยากาศลงด้วยการพูดเรื่องตลก


“อย่างมึงคงได้แค่บทตัวประกอบ”


“โหย จงฮวาจะดูถูกกูเกินไปเปล่า”


“มึงเป็นนักแสดงไม่ได้หรอก คนอย่างมึงมีอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมดแบบนี้จะไปสวมบทบาทอะไรได้ แล้วตกลงเมื่อคืนมึงหายไปนอนที่ไหนมา แท็กซี่มันพามึงไปทิ้งไว้ที่ไหน ตอนโทรไปหาแม่มึงที่บ้านกูต้องแกล้งโทรไปบอกรอบที่สองว่ามึงนอนค้างบ้านเจ้าของร้าน เขาถึงเลิกห่วง”


“ก็นอนบ้านเจ้าของร้านจริงๆแหละ”


“อ้าว...นอนบ้านพี่นาเรกับพี่ชารุเขาเหรอ ทำไมเมื่อวานเขาบอกกูมึงกลับแท็กซี่”


“ก็เจ้าของที่ว่าไม่ใช่พวกพี่เขาอะ”


“หื้อ”


“กูไปนอนบ้านกล้ามปูมา”


“ฮะ...ว่าไงนะ มึงไปนอนบ้านน้องพี่นาเรเขามาเหรอ”


“เออ”


“ไปนอนได้ไง ไหนว่าไม่ถูกกัน”


“ไม่รู้...กูเมาอยู่จะไปรู้ได้ไง”


“เขาทำไรมึงหรือเปล่า”


“ไม่ได้ทำหรอก...ถ้าทำกูไม่น่ารอดมาคุยกับมึงตรงนี้”


“อืม”


“เออ มึงมานี่ก็ดีละ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันมะ”


“เอาดิ”


“มึงเลี้ยงด้วยได้ปะ”


“ให้กูวิ่งตามหามึงแทบตาย ยังมีหน้ามาให้กูเลี้ยงอีก”


“พูดเล่นหรอก เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง ปะๆ ไปกินข้าว” เจ้าของมือขาวชวนพลางตบหลังกว้างของเพื่อนให้เดินไปพร้อมกันโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของเพื่อนเลยว่ามีความกังวลใจต่อเรื่องที่รับทราบเมื่อครู่มากเพียงใด

You Might Also Like

0 Comments