LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 14

10:17






กริ๊ง...กริ๊ง


เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านส่งสัญญาณการมาถึงของลูกค้าทำให้เจ้าของร้านเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ไปหาจึงพบเข้ากับชายหนุ่มผิวขาวจัดตัวสูงโย่งหน้าตาน่าเอ็นดูสวมเสื้อแขนยาวสีดำสกรีนลายธงชาติอังกฤษบนเครื่องหมายกากบาทกับกางเกงยีนส์สีเทาซีดๆ หิ้วถุงกระดาษใบใหญ่เดินตรงมาหาก่อนจะวางถุงนั้นลงบนเคาน์เตอร์


“คิดถึงพี่จัง” คำแรกหลุดจากปากแทนการทักทายอย่างเป็นทางการบอกความคุ้นเคยพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบพลางลูบผมสีน้ำตาลนุ่มมือตรงหน้าไปมา


“คิดถึงจริงเหรอ...โกหกพี่หรือเปล่าเนี่ยจุนฮง...คิดถึงแล้วทำไมไม่มาหาพี่ล่ะ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เรามาร้านนี่มันตั้งกี่เดือนแล้วก็ไม่รู้”


“ผมก็วิดีโอคอลคุยกับพี่ไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนแล้วไง”


“มันไม่เหมือนเวลามาหาถึงที่ซะหน่อย”


“ผมก็เคยบอกพี่แล้วไงว่าผมเรียนหนัก ยิ่งขึ้นปีสองเนี่ยแทนที่จะเบาลง ที่ไหนได้ เรียนก็หนัก รายงานก็เยอะ ไหนจะกิจกรรม ไหนจะโปรเจคนู้นนี่ พออยู่หอก็ต้องสลับเวรทำความสะอาดกับเพื่อนอีก ขนาดคุณอาโทรมาก่อนนอนผมยังหลับคาโทรศัพท์เลย”


“หลับระหว่างคุยกับคุณอาของเราเลยเหรอ”


“ใช่สิ...เผลอหลับหลายครั้งแล้วเนี่ย ทั้งที่ตั้งตาคอยจะได้คุยกับคุณอามาทั้งวันดันหลับ”


“เรียนหนักขนาดนั้นแล้วทำไมถึงมาหาพี่วันธรรมดาได้เนี่ย ไม่มีเรียนเหรอ”


“มีแต่อาจารย์เขายกเลิกคลาสกะทันหัน เพื่อนมันเลยชวนผมมาดูหนังแต่มันมีงานถ่ายแบบต้องไปทำก่อน ผมก็เลยแวะมาหาพี่ละเอานี่มาฝากพี่ด้วย” 


“เอาอะไรมาเนี่ย”
 

“เอาชากุหลาบกับนมกุหลาบผสมเนื้อสตอเบอร์รี่มาให้...ผมทำเองเลยนะ”


“โห นี่เราทำเองหมดเลยเหรอ” คนเป็นพี่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นขณะหยิบขวดแก้วบรรจุนมสีชมพูและชาสีอำพันมีดอกกุหลาบตูมแห้งแช่อยู่ในนั้นมาดู
 

“อืม เวลาไปบ้านสวนน่ะผมจะทำเก็บไว้ พวกกุหลาบกับสตอเบอร์รี่ในนั้นน่ะผมเอามาจากที่ปลูกไว้ในบ้านสวนด้วย ไม่ใส่สาร ไม่มียาฆ่าแมลง มั่นใจได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออแกนิคไม่เป็นพิษกับร่างกาย”


“เก่งจัง...ไม่อยากเชื่อเลยว่า เจ้าเด็กขี้แยงอแงเวลาอยู่ไกลคุณอาจะทำอะไรแบบนี้ได้”


“ทำได้อยู่แล้ว เพราะผมน่ะมีคุณอาเป็นคนสอน” เสียงของคนอ่อนกว่ายามเอ่ยถึงผู้ปกครองฟังนุ่มนวล ดวงตากลมทั้งคู่เป็นประกายด้วยความรักล้นเปี่ยมทำให้ฝ่ายตรงข้ามลากเสียงยาวด้วยความอิจฉาเล็กๆพลางหยิบขวดนมกับชากุหลาบไปเก็บไว้ในตู้เย็นใกล้กับอ่างล้างจาน


“จ้า จ้า...รู้แล้วว่ารักกันมาก”


“พี่เอาแช่ตู้เลยเหรอ ไมไม่ดื่มดูก่อนละ”


“พี่จะเก็บไว้กินพร้อมข้าวเที่ยง”


“ละก็ถ้ามันอร่อยสำหรับพี่ วันหลังผมจะเอามาให้อีก ละผมอาจจะขอฝากขายในร้านของพี่ด้วย...จะได้หรือเปล่า”


“ฮะ...นี่เราคิดจะทำขายด้วยเหรอ”


“ก็ลูกค้าที่ร้านป้านาเรบอกว่า ชากุหลาบของผมมันหอมอร่อยดีก็เลยอยากลองขายดู”


“อะไร...เราเอาไปขายที่ร้านพี่นาเรมาแล้วเหรอ”


“เปล่า ผมเอาไปให้ลูกค้าป้านาเรเขาดื่มระหว่างรอสักฟรีน่ะ ทำไปทำมาดันมีออเดอร์จากลูกค้าเข้ามาก็เลยอยากจะลองขายในร้านที่ขายเครื่องดื่มจริงจังดู”


“มีใครดื่มแล้วไม่ชอบบ้างมั้ย”


“คนที่ไม่ชอบน่ะมีสองคนเท่านั้นแหละ ไอ้ที่ไม่ชอบน่ะคือไม่ชอบผมก็เลยไม่ชอบชากุหลาบของผมด้วย พอเผลอดื่มทีไรก็บ้วนทิ้งทุกที” 


“เออะ...ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่ามีใคร ละเราไปรู้ได้ไงว่าบ้วนทิ้งน่ะ”


“ถ้าเป็นอาชาร์ลน่ะไม่รู้ ส่วนอายงนัมน่ะพี่อ้วนน้อยบอก”


“หื้อ...อ้วนน้อย” อีกคนย้อนชื่อด้วยความสงสัย


“ก็พี่ที่มาทำงานพิเศษในร้านสักของป้านาเรไง พี่เขาชื่อจุนซอแต่คุณอาชอบเรียกว่า อ้วนน้อย ผมก็เลยเรียกติดปาก...พี่เขาบอกว่าอายงนัมชอบเผลอดื่มก็ถุยทิ้งลงพื้นเลย ลำบากเขาต้องมาเช็ดอีก จะว่าไปคงเพราะพี่เขาหน้าคล้ายๆผมก็เลยโดนอายงนัมเกลียด ชอบจิกหัวใช้ตลอด” 


“เอ...คนนั้นเขาหน้าเหมือนเราเหรอ ไม่เห็นรู้เลย แต่ก็นะเวลามาซื้อกาแฟที่นี่เขาชอบใส่ฮู้ดปิดหน้าปิดตาตลอดจะไปเห็นได้ไง”


“เดี๋ยวนะ พี่เขามาซื้อกาแฟที่ร้านพี่ด้วยเหรอ”


“อืม มาซื้อให้พี่ยงนัมเขาน่ะ ก่อนจะมาพี่เขาจะโทรมาบอกให้พี่อย่าเพิ่งปิดร้าน แถมยังเลี้ยงน้ำเด็กคนนั้นทุกครั้งเลยแถมราคาก็แพงกว่ากาแฟตัวเองตั้งเยอะ วันก่อนก็ยังลากเด็กคนนั้นมา...” ยองแจยั้งปากการเล่าถึงเรื่องที่ยงนัมจับมือลากเด็กในร้านสักมาหาถึงนี่เพื่อมาเอาเรื่องกับแดฮยอนที่ชอบเขม่นเด็กคนนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ด้วยจำได้ว่าฮิมชานเคยบอกว่า จุนฮงไม่รู้ว่ารูมเมทของเขาเป็นคนเดียวกับครูสอนเปียโนของน้องเพราะกลัวจะวุ่นวาย


“ลากมาทำไม”


“ลากมาซื้อกาแฟน่ะ”


“จริงอะ สุดยอด ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอายงนัมซื้อน้ำให้พี่อ้วนน้อยด้วย” คนเป็นน้องว่าพลางกลอกตาไปมาอย่างประหลาดใจให้กับเรื่องที่ได้ยินก่อนตาจะเหลือบเห็นภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ของคนที่ตนนับเป็นพี่ชายจึงเปิดปากถาม “โอ๊ะ พี่ซื้อบัตรไปดูละครเวทีเหรอ”


“นี่ คุณอาเราเขาไม่สอนเหรอว่าห้ามแอบดูโทรศัพท์คนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะ” เพียงได้ยินคำถามเจ้าของร้านก็โวยวายคว้าโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์มาถือไว้ในมือทันที


“พี่มาว่าคุณอาได้ไง ก็ใครใช้ให้พี่วางโทรศัพท์ไว้บนนี้ละ วางไว้แบบนี้ผมไม่ต้องแอบดูก็เห็น” อีกฝ่ายทำหน้างอเสียงแข็งเพราะไม่ชอบให้ใครมาพาดพิงผู้ปกครองในทางไม่ดีต่อให้จะเป็นพี่ที่สนิทมากก็ตาม


“ถึงงั้นก็เหอะ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาตก็ห้ามดูนะ”


“ผมไม่ได้อยากจะดูสักหน่อย แค่เห็นหน้าเว็บมันคล้ายเว็บหาพวกบัตรผี ผมนึกว่ามองผิดก็เลยดู” 


“นายรู้จักเว็บนี้ด้วยเหรอ”


“รู้สิ ผมช่วยเพื่อนหาบัตรคอนในนั้นออกจะบ่อย”


“งั้นช่วยหาบัตรรอบปฐมทัศน์ของละครเวทีเรื่อง...ให้หน่อยได้มั้ย”


“เดี๋ยวนะ นี่พี่จะไปดูละครเวทีเหรอ ไปได้เหรอ” เสียงถามนั้นมีแววตกใจ


“อะไร ทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นด้วย”


“ก็ตั้งแต่พี่ผ่าไทรอยด์มา เวลาได้ยินหรือเห็นคนร้องเพลงพี่จะคิดถึงตัวเองช่วงก่อนจะป่วยไม่ใช่เหรอ แต่อยู่ๆก็คิดจะไปดูละครเวที แถมยังเป็นละครมิวสิคัลอีก ถ้าไปดูจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ” เพราะเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยามที่อีกฝ่ายป่วยกระเสาะกระแสะมาพักใหญ่จึงจำความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้เห็นมากับตาเหล่านั้นได้ดีจึงอดเป็นห่วงไม่ได้


“ไม่เป็นไรหรอก”


“ทำไมถึงอยากไปดูเรื่องนั้นล่ะ แถมยังเป็นรอบปฐมทัศน์อีก แล้วพี่จะไปดูกับใครเนี่ย”


“ไปคนเดียวสิ”


“ไปคนเดียวเนี่ยนะ ไปได้เหรอ ทำไมพี่ไม่ชวนรูมเมทของพี่ไปด้วยอะ อยู่กันมาตั้งสองปีกว่าล่ะยังไม่สนิทกันอีกเหรอ”


“เขางานยุ่งจะตาย คงไม่ว่างไปด้วยหรอก”


“งั้นผมไปเป็นเพื่อนมะ”


“จะไปจริงดิ ไม่กลับบ้านสวนกับคุณอาหรือไง”


“เสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้กลับหรอก คุณอาเขาวางแผนจะออกของเล่นคอลเลคชั่นใหม่เป็นเครื่องดนตรีของเล่นที่มีดีไซน์วินเทจเหมาะกับนักสะสมและไว้ให้เด็กเล่นได้โดยไม่เป็นอันตรายอยู่ ช่วงนี้เลยต้องตระเวนหาเปียโนของเล่นเก่ามาดู ผมเองก็มีอยู่นะแต่ต้องบินไปถึงอังกฤษนู้น คุณอาก็เลยลองหาในเกาหลีก่อน ถ้าพี่รู้จักใครที่เขามีเปียโนวินเทจแบบนั้นล่ะก็บอกผมเลยนะ ผมจะได้บอกคุณอา” 


“อา...อืม” เจ้าของร้านอ้ำอึ้งยังจำได้ถึงวันที่ฮิมชานขอยืมเปียโนของเล่นที่แดฮยอนให้ไปใช้ทำงานแต่เขาไม่ให้ยืมเพราะหวงและคิดว่าล้อเล่น


“ตกลงพี่ไปดูละครเวทีวันไหนอะ”


“วันศุกร์นี้น่ะ”


“มะรืนเนี่ยนะ เร็วไปเปล่าเนี่ย...วันศุกร์ผมมีเรียนถึงมืดแล้วต้องไปรับเพื่อนกลับหอด้วย ทำไมพี่ไม่ไปเสาร์อาทิตย์ละ”


“พี่อยากไปวันศุกร์อะ”


“ไม่เป็นวันศุกร์ไม่ได้เหรอ”


“ก็ศุกร์นี้มันเปิดการแสดงเป็นวันแรก...รอบแสดงมันประมาณบ่ายสอง คนไม่น่าเยอะพี่ก็เลยอยากไป” ฝ่ายแก่กว่าแกล้งเฉไฉเพื่อปกปิดเหตุผลแท้จริงที่ว่า วันนั้นเป็นวันที่แดฮยอนได้โอกาสขึ้นแสดงเป็นครั้งแรก แม้จะได้รับบทตัวรองที่ไม่โดดเด่นอะไรนัก อีกทั้งช่วงเวลาการแสดงยังเป็นช่วงเวลาคนกำลังทำงานแถมยังได้แสดงไม่กี่รอบเลยอยากไปให้กำลังใจ


“งั้นศุกร์นี้พี่ก็จะปิดร้านใช่มั้ย”


“ก็ประมาณนั้น...นายช่วยจองบัตรให้หน่อยได้มั้ยล่ะ” โทรศัพท์มือถือถูกยื่นไปหา คนอ่อนกว่ารับมันมาดูราคาบัตรก็เหลือบมอง


“โห...บัตรแพงจัง จะให้ซื้อจริงๆเหรอ”


“เออน่า ซื้อไปเถอะ”


“ละนี่พี่บอกอาชาร์ลหรือยังว่าปิดร้านไปดูละครเวที แต่อาชาร์ลต้องบินไปเดนมาร์กวันนี้นี่หว่า...พี่...พี่ไปคนเดียวได้แน่เหรอ” พอกดจองพร้อมตัดเงินจากบัตรเครดิตไปเรียบร้อยก็เพิ่งนึกตารางงานของเพื่อนผู้ปกครองได้เลยเอ่ยถามใหม่


“ทำไมจะไปคนเดียวไม่ได้...เวลาพี่ฮิมชาน พี่ยงกุกหรือเราไม่ว่าง พี่ก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด”


“แล้วพี่ไม่เคยไปเที่ยวกับรูมเมทเลยหรือไง”


“ก็มีบ้างแต่เขายุ่งไง งานเยอะเลยต้องไปไหนมาไหนคนเดียว”


“เหงาเปล่า...ขอโทษนะที่ผมยุ่งก็เลยไม่ว่างพาพี่ไปไหนเหมือนก่อน”


“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ใช่เด็กนะถึงจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แล้วนี่จะไปดูหนังกับเพื่อนตอนไหน”


“จะไปแล้วล่ะ”


“งั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ”


“แต่เรื่องละครเวทีน่ะ ผมไม่อยากให้พี่ไปคนเดียวเลย ถ้าไงผมให้เพื่อนไปดูด้วยมั้ย แบบว่า เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งเขาชอบงานแสดงแล้วก็กำลังจะมีแสดงละครเวทีมหาลัย อาจจะอยากไปดูด้วย”


“เขายอมจ่ายเงินซื้อบัตรรอบปฐมทัศน์แพงๆมั้ยล่ะ”


“อาจจะไม่...คนอย่างฮยองวอนน่ะนอกจากอาหารแล้วไม่เห็นยอมควักจ่ายอะไรง่ายๆเลยสักที”


“ถ้าจะไปด้วยแต่ให้พี่ออกตังค์พี่ไม่เอาหรอกนะ อีกอย่างพี่ไม่ชอบไปไหนกับคนแปลกหน้าด้วย”


“แต่เพื่อนผมเขานิสัยดีนะ ถึงจะมึนๆไปหน่อยก็เหอะ”


“ไม่ล่ะ พี่อยากไปดูคนเดียว ไม่ต้องห่วงพี่หรอก จุนฮง เราน่ะรีบไปหาเพื่อนเถอะไป เดี๋ยวพอเที่ยงลูกค้าพี่จะเยอะคงไม่มีเวลาคุยด้วยแล้ว”


“โอ้...จริงสิ จะเที่ยงแล้วนี่ ผมนัดกับเพื่อนไว้ตอนเที่ยงพอดี งั้นผมไปก่อนนะ แล้วไงจะโทรมาหา ถ้าโดดเรียนได้ผมจะไปเป็นเพื่อนหรือถ้าโดดไม่ได้แล้วพี่อยากมีคนไปด้วยก็บอกนะ ผมจะหาคนพาไปให้” ฝ่ายอายุน้อยกว่าบอกอย่างแข็งขันเช่นเมื่อครั้งเขายังป่วยเวลาจะขอให้ช่วยเหลืออะไร เด็กตรงหน้าไม่เคยอิดออดรีบกุลีกุจอทำให้นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารักเอ็นดูเหมือนน้องแท้ๆ จนบ่อยครั้งที่มักจะเผลอหยิกหรือหอมแก้มใสที่ฝาดเลือดนั้น


“ก่อนไป ขอพี่หยิกแก้มทีสิ”


“ฮะ...หยิกแก้มเนี่ยนะ ทำไมพี่ถึงอยากหยิกแก้มผมอีกแล้วเนี่ย ผมไม่ใช่เด็กสิบเจ็ดคนนั้นแล้วนะ”


“หรือจะให้หอม”


“ฮุ้ย ไม่เอาหรอก ผมจะเก็บแก้มไว้ให้คุณอาหอมคนเดียว” คนอ่อนกว่ารีบยกมือทั้งสองข้างปิดแก้มกลายสภาพจากหนุ่มหน้าตาดีสูงใหญ่กลายเป็นเด็กน้อยไปในบัดดล


“จับหน่อยไม่ได้เหรอ พี่ไม่เจอเราตั้งนาน ขอจับแค่นี้ไม่ได้เลย ทีเมื่อก่อนตอนคุณอาไม่อยู่ยังร้องไห้งอแงขอให้พี่นอนเป็นเพื่อน คอยให้หยิกแก้มเบาๆจนหลับทั้งน้ำตาอยู่เลย”


“อ่า ก็ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่นี่”


“ตอนนี้ก็เด็ก”


“งะ ทำไมพี่ถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย อา อา ถ้าอยากจับจะให้จับก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”


“ข้อแม้อะไร”


“บอกคุณอาว่าผมเป็นเด็กดีให้ด้วย”


“อะไร...นี่พี่ยงกุกยังให้เราเป็นเด็กดีแลกดาวอยู่อีกเหรอ”


“ใช่แล้ว”


“โห สุดยอด”


“อยากจับแก้มก็รีบจับเลย เดี๋ยวผมจะไปดูหนังแล้ว” คนเป็นน้องเร่งทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มยื่นนิ้วไปหยิกแก้มที่ยังนุ่มเหมือนเดิม


“ขอบใจนะ ไปหาเพื่อนดีๆล่ะ แล้วพี่จะบอกพี่ยงกุกให้ว่า เราเป็นเด็กดีมากต้องให้ดาวสิบดวง”


“โอเค งั้นผมไปล่ะนะ บะบาย” 


จุนฮงพยักหน้าโบกมือเป็นเชิงลาด้วยแววตาเป็นห่วงอยู่ครู่หนึ่งจึงผละจากเคาน์เตอร์เดินไปตรงประตูทางออก หากมีบางคนผลักประตูเข้ามาก่อนและเมื่อหันไปมองก็เห็นหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนรักของผู้ปกครองและคู่ปรับตลอดกาลของตัวเองเหล่ตามองใส่อย่างไม่เป็นมิตร


“อาชาร์ลเป็นไรครับ แก่แล้วเส้นตากระตุกเลยมองปกติไม่ได้เหรอครับ”


“อ้าว นั่นปากเหรอวะ ไอ้เด็กนิสัยเสีย ไม่เคยคิดจะมีมารยาทกับผู้ใหญ่เขาเล้ย”


มารยาทน่ะมีแต่ผมไม่มีกับคนที่ทำตัวแย่ใส่ผมหรอก”


“เอ้า ยังไง จะเอายังไง” 


“โอ๊ย พอ...พอเลยทั้งคู่ จุนฮงเราจะไปหาเพื่อนไม่ใช่เหรอ รีบไปเหอะ อย่ามาทะเลาะกันในร้าน เดี๋ยวลูกค้ามาตกใจหนีหมด” หลังยืนดูสถานการณ์ไม่ถึงนาทีคนที่ผ่านเหตุการณ์ทะเลาะจิกกัดกันของทั้งคู่มาก่อนรู้ดีว่า ถ้าไม่แยกคงได้เถียงกันอีกนานเลยจัดการแยกทั้งคู่เอง


“ก็ได้ งั้นผมไปก่อนนะ ลาก่อนครับอาชาร์ล อย่าลืมไปหาหมอนะ เส้นตากระตุกเดี๋ยวเป็นอัมพาตขึ้นมาไม่มีใครดูนะ” คนอ่อนวัยสุดในวงแขวะทิ้งท้าย


“เด็กเวรตะไล กวนประสาทจริงๆ”


ฮิมชานสบถไล่หลังแทบจะทันทีที่คนตัวสูงผลักประตูเผ่นออกไปข้างนอกอย่างหัวเสียก่อนจะหันกลับมาวางถุงใส่ข้าวกล่องที่ลงมือทำเตรียมไว้ให้พอสำหรับกินสามมื้อตลอดอาทิตย์ตั้งแต่เมื่อคืนลงบนเคาน์เตอร์พลางมองน้องชายต่างสายเลือดที่ดูซูลบลง อีกทั้งก่อนหน้าจะมาร้านเขาได้รับผลเลือดของคนตรงหน้าจากพยาบาลผู้ช่วยของอาหมอซึ่งเป็นญาติกันที่ค่าไม่ค่อยดีนักเลยถอนหายใจออกมา


“พี่เอาข้าวมาให้”


“อื้อ...ไม่บอกผมก็รู้” ฝ่ายตรงข้ามบอกแล้วหยิบกล่องข้าวที่แพ็กไว้อย่างดีทั้งหมดใส่เข้าไปในตู้เย็นและถามขึ้น “เมื่อกี้จุนฮงบอกว่า พี่ต้องบินไปเดนมาร์กไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเอาข้าวมาให้ผมเองแทนที่จะเป็นคนรถล่ะ แล้วนี่พี่จะดื่มอะไรมั้ย ผมจะทำให้”


“ไม่ล่ะ...พี่แค่แวะมาคุยกับเราเรื่องผลเลือด”


“ทำไมอีกอะ” เสียงนั้นถามกลับอย่างรำคาญในที


“มันแย่ลง ช่วงนี้เรากินข้าวครบทุกมื้อหรือเปล่า แล้วตอนนอนน่ะนอนพอมั้ย ไม่ใช่ว่านอนดูโต้รุ่งอีกแล้วนะ นี่ขนาดมีรูมเมทอยู่ด้วยยังผลเลือดไม่ดี ท่าทางแดฮยอนมันคงไม่เหมาะจะเป็นรูมเมทเราแล้วมั้งแบบนี้”


“ผลเลือดไม่ดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแดฮยอนด้วย”


“พี่เป็นคนบอกให้มันดูแลเรา แต่อาการเราดันแย่ลง แบบนี้แสดงว่ามันไม่ได้ใส่ใจเราเลยน่ะสิ”


“ใครว่าไม่ใส่ใจ เขาน่ะทั้งที่งานยุ่งมากแท้ๆ ยังพาผมไปเที่ยว ยังมานั่งทำงานเป็นเพื่อน ช่วยเก็บร้าน ข้าวก็หาให้กิน คอยเตือนเรื่องกินยาแถมยังส่งข้อความมาคุยกับผมตลอด จะบอกว่าไม่ใส่ใจได้ไง” 


ความลืมตัวทำให้เผลอร่ายยาวแก้ต่างแทนคนที่ถูกพาดพิงโดยอัตโนมัติและไม่ทันสังเกตเห็นแววตากลัดกลุ้มของพี่ชายที่เริ่มระแคะระคายถึงความรู้สึกของน้องที่ซ่อนไว้
 

“มันมาที่ร้านด้วยเหรอ” 


“มาสิ”


“แล้วตอนนี้มันหายหัวไปไหน”
 

“เขามีซ้อมละครเวที”


“อะไร...ไอ้แดฮยอนเนี่ยนะได้เล่นละครเวทีกับเขาด้วย”


“อืม พอดีเขาไปแคสละครเวทีมาแล้วไม่ได้ แต่มีคนเห็นแววก็เลยเรียกให้ไปแคสอีกเรื่องก็เลยได้เล่น”


“เล่นเป็นอะไร”


“เพื่อนพระเอกน่ะ บทก็ไม่ได้เด่นอะไรหรอก ออกไม่กี่ฉาก ได้เล่นแค่สามรอบแสดงเอง แต่มีนักแสดงดังๆมาเล่นด้วย” เจ้าของร้านเล่นด้วยรอยยิ้ม


“เหรอ” คนเป็นพี่ตอบขณะมองอาการของน้องยามเอ่ยถึงเพื่อนร่วมห้องนั้นมีทั้งความสุขระคนภูมิใจอย่างชัดเจนด้วยเสียงปกติ แม้ภายในใจจะร้อนรุ่มรู้สึกไม่ไว้ใจรุ่นน้องของตนเองคนนั้นตั้งแต่ได้ยินยงกุกโทรมาเล่าว่าทั้งยองแจไปเที่ยวกับแดฮยอนและดูเหมือนทั้งคู่จะรู้สึกพิเศษต่อกันเพียงแค่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้


ชายหนุ่มเริ่มระแวงตั้งแต่รู้ว่าแดฮยอนซื้อเปียโนของเล่นมาให้น้อง ถึงตอนนี้จะไม่ได้เปียโนหลังนั้นมาอยู่ในมือ หากผลจากการค้นหาเปียโนที่มีลักษณะใกล้เคียงกันทำให้รู้ว่า มันเป็นของสะสมที่มีราคาแพงเกินกว่าที่ยาจกจ่ายค่าเช่าไม่ตรงเวลาจนโดนไล่ออกจากอพาร์ทเม้นต์จะซื้อไหว ไหนจะข้าวกล่องที่มันซื้อมาให้น้อง ช่วงอาทิตย์ก่อนเขามีโอกาสได้เห็นกล่องข้าวชัดๆถึงรู้ว่า มันเป็นกล่องอาหารจากภัตตาคารในโรงแรมดังที่มีแต่คนรวยเท่านั้นถึงจะกล้าสั่งมากิน


จากใจเขาไม่คิดรังเกียจหากน้องจะมีคนที่รักและคอยดูแลเป็นผู้ชาย เพราะเพื่อนสนิทอย่างยงกุกเองก็พิสูจน์ให้เห็นอยู่ว่าการมีคนรักเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ยิ่งกับคนป่วยหนักเคยไร้กำลังใจในการใช้ชีวิตอย่างยองแจการได้เป็นที่รักของใครสักคนเขาก็ดีใจจะแย่ หากการรักกับคนหลักลอยรักง่ายหน่ายเร็วอย่างแดฮยอนคงมีแต่ทำให้เสียใจ


...ไหนจะความไม่ชอบมาพากลที่เพิ่งรับรู้มาอีก...


เขาจำเป็นต้องแยกน้องก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้ ทว่าความหัวดื้อต้องการเหตุผลหรือหลักฐานหนักแน่นในทุกเรื่องของเจ้าตัวทำให้เป็นเรื่องยากที่จะบังคับออกคำสั่ง


“มันได้ให้บัตรฟรีเราไว้หรือเปล่า”


“เปล่า”


“อ้าว ทำไมไม่ให้วะ ปกตินักแสดงจะได้บัตรฟรีนะแค่ลดหลั่นกันไปตามความดังกับความสำคัญของบท” คนเป็นพี่ถามจากประสบการณ์ที่เคยไปดูละครเวทีในฐานะเพื่อนของนักแสดงและสปอนเซอร์เองมานับไม่ถ้วน


“ได้แต่เขาได้บัตรมาน้อย หัวหน้ากับเพื่อนที่ทำงานเขาขอก็เลยให้ทางนั้นไปหมดแล้ว”


“แต่ไม่เผื่อให้เราสักใบเลยเนี่ยนะ”


“ก็ตอนเขาถาม ผมไม่ได้บอกว่าจะไปดูนิ”


“อ้อ เราจะไม่ไปดูสินะ”


“ไปสิ แต่ผมไม่อยากบอกเขาว่าจะไปดู อยากช่วยอุดหนุน เผื่อกระแสตอบรับดีเขาอาจจะได้เล่นอีก”


“แหมะ ดูท่ามันจะสำคัญกับเราจังนะ” การถามที่เตือนให้ตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองเผลอแสดงออกไปทำให้คนอ่อนกว่าทำอะไรไม่ถูกเลยโวยวายกลบเกลื่อนไปเช่นเคย


“ก็เป็นรูมเมทกันมาตั้งนาน เขาได้รับโอกาสเราก็ควรดีใจไม่ใช่เหรอ ทีพี่เวลาเพื่อนทำอะไรยังสนับสนุนเต็มที่เลยนี่”


“อืม...ก็คงงั้น”


“ละนี่พี่จะไปสนามบินตอนไหน”


“คนรถจะมารับตอนเที่ยง”


“แต่นี่เที่ยงแล้วนะ”


“เที่ยงแล้วเหรอ เออ เที่ยงแล้วจริงด้วย แต่ทำไมถึงไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย ปกติเที่ยงแบบนี้คนจะเข้ามาเยอะไม่ใช่หรือไง”


“มันแล้วแต่วันน่ะ บางวันก็เยอะตั้งแต่เที่ยง บางวันก็ไปเยอะเอาใกล้บ่ายโมงนู้น”


“งั้นพี่ไปก่อน ยังไงก็อย่าลืมกินข้าวให้ครบทุกมื้อล่ะ พี่ทำมาให้เราไว้สำหรับอาทิตย์หนึ่งพอดี อ้อ อีกอย่างเราน่ะเลิกกินข้าวที่แดฮยอนมันซื้อมาให้ได้แล้วนะ ไอ้อาหารที่มันซื้อมาให้เราน่ะ กล่องที่ใช้ใส่อาหารพวกนั้นมันเป็นกล่องที่ภัตตาคารในโรงแรมห้าดาวเขาใช้กัน พี่รู้ดีว่าราคามันเท่าไหร่ ไม่มีใครเขาลองฝีมือแล้วเอากล่องแบบนี้มาใส่อาหารให้รุ่นน้องฟรีๆทุกวันหรอกนะ หรือถ้ามีเขาก็ให้มันด้วยความเสน่หา ไม่ได้ตั้งใจจะให้เรากิน ถ้ายังไม่เข้าใจเราก็ลองคิดดูว่า ถ้าเราอุตส่าห์เหนื่อยทำอาหารให้แต่คนรับดันเอาไปให้คนอื่น เราจะรู้สึกยังไง...เข้าใจที่พี่พูดใช่มั้ย” 


ยองแจกระพริบตาเหลือบจ้องพี่ชายที่รักประหนึ่งมีสายเลือดเดียวกันทันทีที่ได้ยินเรื่องกล่องอาหาร...นึกอยากจะถามให้คลายสงสัยแต่พอเห็นรถหรูสีดำแล่นมาจอดเทียบหน้าร้านเลยปิดปากเปลี่ยนเป็นพูดเรื่องอื่น


“เดินทางดีๆนะพี่”


“อืม แล้วพี่จะซื้อของมาฝาก”


“ไม่ต้องหรอก พี่เดินทางปลอดภัยก็ถือว่าเป็นของฝากที่ดีพอแล้ว”
 

“จะไม่เอาว่างั้น”


“ก็ถ้าพี่มีเวลาหาซื้อ ผมจะรับไว้ก็ได้” 


“โถเอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าจะไม่เอา เด็กบ๊อง เอาล่ะ พี่ไปจริงๆแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยแล้วจะโทรมาเช็ก อาทิตย์หน้าพี่บินกลับมาจะพาไปหาอาหมอตามนัด” ฮิมชานว่าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางลูบหัวของน้องด้วยความเอ็นดูเพียงครู่ก็ออกไปขึ้นรถที่รอรับอยู่หน้าร้านทิ้งความสงสัยในเรื่องข้าวกล่องไว้ให้คนเป็นน้องได้ครุ่นคิดอันเป็นจุดประสงค์แฝงที่ทำให้แวะมาหานอกจากแค่เอาข้าวมาให้กินเช่นเดิม
-------------------------------------------------------------
รถโดยสารประจำทางจอดส่งผู้โดยสารลงตรงป้ายก่อนที่ชายหนุ่มตัวสูงสวมกางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีเดียวกันจะก้าวลงจากรถมายืนตรงพื้นทางเดิน ระลอกลมเย็นแห่งค่ำคืนพัดต้นไม้ที่เหล่าใบต่างผลัดสีจากเขียวเป็นเหลืองและแดงให้สั่นไหวกระทั่งปลิดขั้วร่วงกราวลงมาราวกับสายฝน


ขายาวของชายผู้นั้นก้าวไปตามทางเดินจนมาถึงอาคารที่ยังมีแสงไฟสว่างภายในก็แตะบัตรพนักงานลงบนเครื่องจากนั้นก็ลากเท้าขึ้นลิฟต์พาตัวเองไปยังสตูดิโอส่วนตัวเลยสวนเข้ากับเพื่อนร่วมงานตัวจ้อยที่เดินโซเซตาโหลใกล้หมดสภาพเต็มที


“อ้าว...วันนี้มึงเข้าออฟฟิศด้วยเหรอวะแดฮยอน ไหนบอสบอกว่า ช่วงนี้มึงต้องซ้อมละครเวทีไม่ใช่ไง”


“กูกลับมานอนที่นี่ทุกคืนนะ”


“จริงดิ...บอสเขายอมให้มึงนอนด้วย”


“กูนอนในสตูดิโอตัวเองมันไม่ได้เกะกะใครนี่หว่า น้ำท่าก็อาบมาจากตึกซ้อม เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใหม่ กูแบกพัดลมตัวเล็กๆมาด้วยจะได้ไม่ต้องเปิดแอร์ บอสแกเห็นว่าไม่เปลืองอะไรก็เลยให้นอนได้ แล้วมึงล่ะเป็นไง ทำไมสภาพใกล้ตายขนาดนี้”


“ก็ลูกค้าน่ะสิ สั่งแก้เนื้อเพลงทั้งที่อัดกันไปแล้ว แต่มันไม่ใช่ความผิดกูนะโว้ย ไอ้คนให้ผ่านกับคนจ่ายเงินแม่งคนละคนกันนี่หว่า ถึงไงก็ไม่น่าแก้อีกแล้วล่ะ ถ้าแก้มากกว่านี้ทางนั้นจะกลายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องเสียค่าปรับให้เราอีก”


“อืม...ถ้าไงก็ขอให้งานผ่านไวๆแล้วกัน สารรูปมึงตอนนี้ถ้าไม่นอนกูว่าตายห่าแน่”


“ขอบใจ” ชอลบอกแล้วท้วงเพื่อนที่กำลังจะเดินเข้าไปในสตูดิโอส่วนตัว “เออ กูเห็นพี่จองอาเขาขนพัสดุของมึงมาไว้ในสตูดิโอของมึงแน่ะ กล่องลายดอกไม้ซะ นี่มึงไปซุกสาวจากที่ไหนไว้เขาถึงส่งของมาให้เนี่ย ถ้าไงวันหลังแนะนำให้กูรู้จักเพื่อนเขาบ้างนะ”  


“เออๆ” 


แดฮยอนรับคำไปส่งๆจากนั้นก็เปิดประตูกลับเข้าสตูดิโออันเป็นอาณาจักรของตัวเองในที่ทำงานแล้วไสตัวเองลงไปกลิ้งบนโซฟาอย่างอ้อนล้าอันเป็นผลจากการซ้อมละครเวทีติดต่อกันเป็นเวลานาน ยิ่งอีกสองวันจะใกล้ถึงวันแสดงจริงทำให้การซ้อมยิ่งหนักหน่วง พอถึงเวลาเลิกซ้อมปล่อยมาพักผ่อนเขากลับต้องถ่อมาออฟฟิศแทนที่จะกลับไปนอน


ชายหนุ่มมองกล่องพัสดุลายดอกไม้บนพื้นครู่เดียวก็ถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดเครื่องเพื่อไล่ดูข้อความจากเพื่อนร่วมบ้านซึ่งเขาไม่ได้เห็นหน้ามาพักใหญ่เพราะต้องอยู่ซ้อมละครเวที แต่เพียงได้เห็นรูปถ่ายอาหารและข้อความให้กำลังใจรวมทั้งบอกฝันดีสั้นๆก็ทำให้ยิ้มออกพร้อมกับจูบหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความโหยหาเจ้าของข้อความอย่างไม่รู้ตัว 


...คิดถึงจัง...


การไม่ได้เห็นหน้าและไม่ได้กลับไปบ้านตามสัญญาทำให้ยิ่งอ้างว้าง หากโอกาสใหญ่ที่ผ่านเข้ามาใช่ว่าจะมีมากอีกทั้งยองแจเองยังสนับสนุนให้เขารับโอกาสนี้ ถึงอย่างนั้นเวลาที่ว่างใจเขามักจะลอยไปหาเพื่อนร่วมบ้านจนมีหลายครั้งที่กโทรศัพท์ไปหาแต่ไม่ได้รับการตอบรับ หนทางสุดท้ายที่ติดต่อกันได้เลยมีแค่ข้อความในมือถือเท่านั้น


...นอนหรือยังนะ...
...หลับฝันดีนะ..


เขากดส่งข้อความกลับรูมเมทของตนเองก่อนจะมีข้อความเด้งขึ้นมาบนจอ เพียงกดเข้าไปดูก็เห็นข้อความที่เต็มไปด้วยตัวย่อภาษาอังกฤษส่งมาโดยบุคคลนิรนามก็ถอนหายใจ ยอมลุกจากโซฟาคว้าคัตเตอร์มากรีดเทปกาวบนกล่องพัสดุหยิบเอาซองเอกสารสีน้ำเงินในนั้นออกมาวางบนโต๊ะ


“เมื่อไหร่จะหมดวะเนี่ย” เขาบ่นขณะดึงเอกสารที่มีเนื้อหาว่าด้วยสาระสำคัญในวาระการประชุมของบริษัทที่ต้องการให้ผู้ถือหุ้นลงมติซึ่งผู้ส่งมาให้นั้นได้แยกชื่อบริษัทและย่อรายละเอียดรวมทั้งข้อมูลสำคัญเพื่อประกอบการพิจารณามาให้เป็นภาษาอังกฤษที่มีศัพท์เฉพาะเต็มไปหมด หากผู้โอดครวญความสามารถทางภาษาต่างประเทศให้คนรอบข้างฟังเสมอในตอนนี้กลับกวาดตาอ่านมันพร้อมวงส่วนสำคัญไว้เยี่ยงคนที่แตกฉานในภาษานั้นมาเนิ่นนาน


ช่วงใกล้สิ้นไตรมาสที่สี่และเข้าไตรมาสแรกของทุกปีแดฮยอนมีหน้าที่ต้องพิจารณาเอกสารวาระการประชุมของแต่ละบริษัทที่เขาถือครองหุ้นอันเป็นมรดกที่ผู้เป็นยายมอบไว้ให้หลังสิ้นใจซึ่งการตัดสินใจทั้งหลายต้องใช้ศาสตร์ที่ถูกบังคับให้ร่ำเรียนจนฝังเข้าไปในหัวประกอบกับข่าวสารทางเศรษฐกิจบ้านเมืองและทั่วโลกมาใช้เพราะคะแนนเสียงของเขานั้นมีผลต่อการดำเนินธุรกิจรวมถึงผลประโยชน์ตอบแทนจากบริษัทที่จะได้รับในภายภาคหน้า แม้ช่วงไตรมาสอื่นจะมีความสำคัญเช่นกันหากเขาไม่ต้องใช้สมองมากเท่านอกเสียจากจะมีวิกฤตเข้ามาสั่นคลอนเสถียรภาพของบริษัท


ตั้งแต่หนีออกจากบ้านต้องใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆ ต้องระเห็จไปอยู่ในย่านอันตรายควบไปกับการทำงานในบาร์กลางคืนอยู่พักหนึ่งเลยได้พบเข้ากับชายผู้รับจ้างทำงานทุกอย่างให้กับพวกกระเป๋าหนัก กว่าจะติดต่อให้มาช่วยจัดการเกี่ยวกับมรดกทั้งหลายและกลบร่องรอยของตัวเองไม่ให้พ่อตามหาเจอแสนยากลำบากและต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่มันก็คุ้มค่าเพราะเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างที่อยากมีมาตลอดได้


แดฮยอนจดจ่ออยู่กับการพิจารณาเอกสารอย่างถี่ถ้วน ยังดีที่เหลือเพียงสองบริษัทสุดท้ายทำให้เขาใช้เวลาในการตัดสินใจเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เซ็นชื่อในเอกสารมอบอำนาจเกือบจะยัดมันใส่ซองเปล่าที่แนบมาในกล่อง ทว่าความหนาของซองทำให้เฉลียวใจเทของข้างในออกมาดูจึงได้เห็นธนบัตรห้าหมื่นวอนจำนวนมากหล่นออกมา 


รอยยิ้มปรากฏบนหน้าแทบจะทันทีที่เห็นเงิน มือใหญ่หยิบเอกสารทั้งหลายใส่กลับเข้าไปพร้อมปิดผนึกส่วนเงินนั้นก็ยัดมันใส่ในกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็กแก็ตที่พาดบนโซฟาในสตูดิโอ เมื่อมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเพิ่งจะเที่ยงคืนจึงตั้งใจจะกลับบ้านเลยถือเอกสารนั้นติดมือออกมาเพื่อไปฝากส่งในตู้ไปรษณีย์ที่เช่าไว้ตอนเช้าเหมือนเคย หากตอนเดินออกจากบริษัทเขากลับเห็นหญิงสาวผมยาวยืนโทรศัพท์ด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ทำงานตำแหน่งแอดมินของบริษัทเลยเข้าไปทัก


“พี่ชองอา ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ”


เพียงได้ยินเสียงเจ้าตัวก็หันควับมามองทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์แนบหู พอเห็นว่าเป็นใครก็เค้นยิ้มออกมาพร้อมเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ลงกระเป๋าเสื้อโค้ทที่สวมอยู่


“กำลังจะกลับน่ะ”


“แต่นี่มันตีหนึ่งแล้วนะครับ ปกติผมเห็นทุ่มหนึ่งพี่ก็กลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงยังอยู่แถวนี้อีก”


“พอดีพี่มีปัญหากับแฟนนิดหน่อย เขาโมโหก็เลยทิ้งพี่ไว้กลางทาง พี่เลยขึ้นแท็กซี่กลับบ้านแต่เมื่อกี้แท็กซี่คันที่พี่ขึ้นมาเหมือนเขาจะเมาพี่เลยขอลงแถวนี้”


“อะไรกันครับ แฟนพี่เขาทิ้งพี่ไว้คนเดียวกลางดึกเนี่ยนะ ผู้ชายอะไรวะ ใช้ไม่ได้เลย”
 

“อย่าไปว่าเขาเลย พี่ผิดเองแหละ” เพื่อนร่วมงานผู้เป็นรุ่นพี่แก้ตัวแทนด้วยรอยยิ้มทั้งที่สีหน้าแสดงออกถึงความเศร้าชัดเจนทำให้ฝ่ายที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีมาตลอดเสนอหนทางช่วยเหลือ


“แล้วแบบนี้พี่จะกลับยังไงครับ เอางี้มั้ย เดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่ไปกับผม ให้คนขับไปส่งพี่ที่บ้านก่อนค่อยวนกลับมาส่งผมทีหลัง”


“ไม่เป็นไรหรอก เราซ้อมละครหนัก ไหนจะเคลียร์งานต่อจนดึกอีก บ้านพี่มันก็ไกลจากบ้านนายด้วยกว่านายจะกลับถึงบ้านคงไม่ได้นอนพอดี พี่กลับแท็กซี่เองคนเดียวน่ะดีแล้ว”


“แต่พี่เป็นผู้หญิงนะครับ กลับดึกคนเดียวมันอันตราย เกิดไปเจอแท็กซี่เมาอีกจะทำยังไง มากับผมนี่แหละครับ”


“มันจะดีเหรอ...พี่กลัวนายจะพักไม่พอจะน็อกเอาน่ะสิ”


“ถ้าอยากให้ถึงบ้านเร็วพี่ก็อย่าปฏิเสธสิครับ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก คนอื่นมันเห็นพี่กลับดึกคนเดียวมันก็ทำแบบผมทั้งนั้นแหละ”


“เอาจริงเหรอ”


“ครับ มาเถอะ” รุ่นน้องหนุ่มโบกเรียกแท็กซี่ที่แล่นมาให้จอดตรงหน้าแล้วหันไปเรียกรุ่นพี่ให้ขึ้นรถมา


“อืม ก็ได้จ๊ะ ขอบใจนะ” หญิงสาวเอ่ยตอบยอมรับความช่วยเหลือด้วยท่าทางเกร็งอย่างเกรงใจแต่ก็ยอมตามขึ้นรถไปในที่สุด

---------------------------------------------------
ผ้าม่านสีเบจปลิวขึ้นลงตามแรงลมซึ่งพัดผ่านเข้ามาจากประตูกระจกที่เปิดทิ้งไว้ตรงเฉลียงทำให้ภายในห้องเย็นเฉียบ คนตัวผอมที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟาเลยรู้สึกตัวตื่น ตากลมอ่อนระโหยกวาดมองไปรอบห้องที่ยังคงว่างเปล่าก่อนอาการปวดหัวจนเจ็บร้าวลามถึงตาจะเข้าเล่นงานจนเจ้าตัวจำต้องลุกเข้าห้องครัวเพื่อหยิบยาแก้ปวดมากินตามด้วยน้ำ 


ตั้งแต่เพื่อนร่วมบ้านหายไปซ้อมละครเวทีไม่กลับมาให้เห็นหน้า ห้องชุดแห่งนี้ยิ่งดูกว้างและเงียบเหงาเช่นเดียวกับหัวใจเขาเศร้าหมอง ทุกวันเขามักจะหาอะไรทำให้ตัวเองยุ่งจนไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน ทั้งที่อยากจะโทรไปหา อยากส่งข้อความไปบอกว่าคิดถึงมากขนาดไหนแต่เพราะรู้สถานะตัวเองดีเลยทำได้แค่ถ่ายรูปอาหารบอกความเป็นไปและให้กำลังใจสั้นๆ ถึงกระนั้นยามเมื่อก้าวเท้ามาในบ้านใจก็หวังจะได้เห็นอีกฝ่ายกลับบ้านจึงออกมานั่งดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมรอจนดึกและเผลอหลับไป


ความที่นอนรออยู่อย่างนี้มานานเป็นเดือนทำให้สุขภาพรวมถึงผลเลือดแย่ โดยเฉพาะคืนนี้ที่เขาลืมเปิดประตูเฉลียงทิ้งไว้ทำให้ร่างกายเริ่มออกอาการ ตอนที่ลากเท้าเดินสะโหลสะเหลออกจากครัวเพื่อเข้าห้องนอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนร่วมบ้านถอดรองเท้าเดินมาเห็นเข้าพอดี


“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามแล้วถลาวิ่งไปประคองกอดคนที่หมดเรี่ยวแรงแข้งขาอ่อนล้มลงต่อหน้าและเมื่อเห็นเจ้าตัวหลับก็ตีความไปว่าคงจะละเมอเดินออกมาจึงจัดแจงอุ้มพาไปนอนในห้อง 


แดฮยอนนั่งบนขอบเตียงมองเจ้าของบ้านอย่างอ่อนโยน แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจแต่แค่ได้เห็นหน้าของคนที่คิดถึงสุดหัวใจก็หลุดยิ้มด้วยความชื่นใจ ปลายนิ้วแข็งเกลี่ยเส้นผมที่รกปรกตาออกและไล้เบาไปตามพวงแก้มถ่ายความอุ่นของมือตนแทรกลงแทนความเย็นของผิวเนื้อ


“ตัวเย็นจัง ไม่สบายหรือเปล่า” ชายหนุ่มพึมพำอย่างกังวลเมื่อสังเกตเห็นความซูบเซียวในระยะใกล้ ในสมองเริ่มมีความคิดจะพาอีกฝ่ายไปหาหมอตรวจอาการแต่เสียงบ่นคล้ายละเมอที่ลอดออกมาให้ได้ยินทำให้ความคิดเป็นห่วงทุเลาลงเลยแกล้งแหย่ถามทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่มีทางตื่นมาตอบ


“ไม่ตื่นเหรอ...ถ้าไม่ตื่นล่ะก็ฉันจะนอนกอดแล้วนะ” 


สิ้นคำคนตัวสูงก็ลุกไปปิดไฟและย้อนกลับมาล้มตัวลงนอนกอดเจ้าของห้องที่ยังหลับสนิทไว้แนบอกเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งแกล้งเมากลับมา ความว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยสัมผัสอันคุ้นเคยจากคนที่เขาไม่เคยยอมรับว่าเป็นเจ้าของหัวใจทำให้ความยากลำบากที่ผ่านมาทั้งหมดสลายไปโดยปริยาย ปลายจมูกฝังลงบนเรือนผมนุ่มสูดกลิ่นหอมของยาสระผมอยู่หลายนาทีจึงขยับลงมาจับมือขาวเย็นเฉียบขึ้นมาประสานแล้วจูบเบาๆ 


“คิดถึงนะรู้มั้ย มะรืนนี้ฉันจะแสดงแล้ว พอหมดรอบที่ฉันได้แสดง เราไปเที่ยวในที่ที่นายอยากไปด้วยกันเยอะๆชดเชยที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ” เสียงทุ้มทว่าอ่อนหวานกระซิบฝากคำข้างหู อ้อมแขนกว้างแกร่งกอดร่างผอมบางแนบอกนุ่มนวลทะนุถนอม ตาคมปิดลงยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายทำให้ริมฝีปากเหยียดยิ้มด้วยใจอิ่มรื่นราวกับได้ฟังเพลงกล่อมแสนไพเราะที่สุดในโลก


...ไม่มีใครที่ไหนในโลกอีกแล้วที่ทำให้เขารู้สึกสุขสงบเท่ากับการมียองแจอยู่ในชีวิต...


ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างหลับใหลในห้วงนิทราอยู่หลายชั่วโมงกว่าที่แดฮยอนจะเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อน ถึงใจจะอิดออดไม่อยากลุกจากเตียงหรือสละการได้กอดคนที่เขายอมให้นอนทับจนแขนชา ทว่าความรับผิดชอบทำให้จำใจออกไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยจึงแวะกลับมาดูเจ้าของห้องที่ยังหลับสนิท มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมแทนการกล่าวลาจากนั้นก็ได้ฤกษ์ออกจากบ้านโดยไม่ลืมหยิบเอกสารติดตัวมาด้วย


เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือแผดลั่นหลังจากเพื่อนร่วมบ้านออกจากบ้านไปร่วมสองชั่วโมงเรียกให้เจ้าของบ้านรู้สึกตัว กระนั้นความอ่อนแอของร่างกายพาให้ไม่อาจตื่นอย่างที่ใจต้องการทำได้เพียงปล่อยให้นาฬิกาปลุกดังอยู่เช่นนั้นและหลับต่อไปจนเกือบเที่ยงถึงฝืนใจลุกไปอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปเปิดร้าน


ความไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวในตอนเช้าด้วยกลัวจะคิดฟุ้งซ่าน ไหนจะกลัวยงกุกหรือจุนฮงอาจแวะมาหาถ้าเห็นเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ จะโกหกว่าปิดร้านไปพักผ่อนดูละครเวทีก็ยังไม่ถึงวันที่บอกกับจุนฮงไว้เลยจำต้องฝืนไป กว่าจะรวบรวมแรงเปิดร้านได้ก็หายใจแทบไม่ออกถึงขนาดที่ต้องจับโต๊ะประคองตัวเองให้นั่งลงโดยไม่ล้มพับไป


ป้ายตรงกระจกร้านยังไม่ถูกพลิกเปลี่ยนจาก Close เป็น Open เป็นผลให้ลูกค้าประจำซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพทย์และพยาบาลจนถึงเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลข้างๆ คิดว่าเจ้าของร้านมีธุระเลยไปหาอาหารกลางวันกินค่อยกลับมาใหม่


ยองแจหยิบโทรศัพท์มากดข้อความส่งหาฮิมชานแล้วก็อปข้อความเดียวกันส่งไปในกลุ่มครอบครัวและเพื่อนร่วมบ้านเพื่อตัดปัญหาด้วยอาการพะอืดพะอมก่อนจะดันโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปจนสุดแขนพลางฟุบหน้ากับโต๊ะด้วยเกรงว่าถ้าได้เห็นแสงจากหน้าจออีกครั้งเดียวจะอาเจียนออกมา แม้ว่าท้องจะร้องโครกครากเตือนให้หาอาหารใส่กระเพาะหากเจ้าของร่างยังอ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไรมากไปกว่านอนนิ่งๆ หูคอยแต่ได้ยินเสียงข้อความจากโทรศัพท์เด้งเข้ามาไม่หยุดกว่าจะลืมตาอีกทีก็เป็นตอนที่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้น


หน้าเรียวพลิกจากหน้าโต๊ะตะแคงมองไปยังเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาแม้จะแขวนป้ายปิดร้านไว้ ดวงตากลมโตหรี่ลงเพื่อปรับความพร่าเลือนของสายตาให้กลับมาชัดเหมือนเก่าก่อนจะผงกหัวผงะถอยทันทีที่เห็นของชายแปลกหน้าผู้มีสันกรามขึ้นเป็นแนวชัดยื่นมาใกล้ ดวงตาสองชั้นหลบในรับกับจมูกโด่งใหญ่ชวนให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนพวกตัวร้ายหน้าตาดีในละคร


“ไหวหรือเปล่า” คำถามเกริ่นนำอย่างเป็นห่วงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแซว “ในเกมนี่อย่างดุ ทำไมตัวจริงคิขุจังอะ” 


จบประโยคนั้นริมฝีปากของคนแปลกหน้าก็ขยายกว้างจนเห็นฟันเขี้ยวที่แทรกอยู่ท่ามกลางแนวฟันขาว ตาเฉียวเล็กหยีลงตามรอยยิ้มเปลี่ยนให้คนแปลกหน้ากลายเป็นปลาฉลามนิสัยดีในนิทานไปเสียดื้อๆ


“คุณเป็นใคร” แม้ฝ่ายตรงข้ามจะดูไม่มีพิษภัยแต่ความกลัวทำให้ลืมอาการปวดหัวหนักลนลานรีบคว้าโทรศัพท์มากำไว้แน่น


“กลัวเหรอ อย่ากลัวสิ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”


“คุณเป็นใคร” เจ้าของร้องย้ำเสียงแข็ง น่าแปลกที่ฝ่ายนั้นกลับยิ้มกว้างมากกว่าเก่า


“ตัวแทงก์ไง”


“ตัวแทงก์ บ้าหรือไง เห็นผมเป็นเพื่อนเล่นเหรอ ไม่ตลกเลยนะ”


“อะไร จำผมไม่ได้เหรอ วันก่อนคุณยังชมผมเลยว่าเป็นแทงก์ที่เปิดการโจมตีในเกมที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่คุณเคยเล่นมา” 


เจ้าของร้านย่นหน้าผากกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิดแล้วกระพริบตาเงยหน้ามองไปยังชายหนุ่มกายสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่น อกผายไหล่กว้างสวมกางยีนส์สีดำกับเสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อคลุมลายพรางทหาร


“คุณคือคนที่ผมเล่นเกมด้วยน่ะเหรอ” สุดท้ายก็จำได้จึงอุทานถามออกมา


“ใช่”


“แล้วมาทำไม”


“วันนี้ผมมาตรวจร้านกาแฟสาขาใกล้ๆที่นี่เสร็จแล้วว่าง พอดีจำได้ว่าคุณเคยบอกในกรุ๊ปว่า เปิดร้านกาแฟแถวโรงพยาบาลนี้เลยแวะมาเที่ยวเล่นน่ะ”


“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” 


“ผมบอกแล้วนะ”


“บอกตอนไหน”


“ผมบอกในคาทกส่วนตัวของคุณไง”


“ผมไม่เห็นหรอก ผมไม่ติดโทรศัพท์”


“ไม่ติดโทรศัพท์หรือไม่สบายเลยไม่ได้ดูกันแน่ แต่ก็นะ ผมมาแล้วอะให้ทำไงได้”


“มาได้ก็กลับได้นิ”


“จะกลับได้ไงเล่า...นี่คุณ ถ้าไม่สบายน่ะปิดร้านกลับไปนอนเถอะ อย่าฝืนเดี๋ยวจะทรุดไปกว่าเดิม” 


“คุณจะมายุ่งอะไรด้วยเล่า ไม่ได้รู้จักอะไรกันสักหน่อย ร้านนี้ก็ร้านของผม ผมจะเปิดร้านทั้งที่ไม่สบายแล้วจะทำไม คุณสิเป็นใครกลับไปเลยไป้” ถึงจะป่วยแต่ความกลัวทำให้เผลอโวยวายกลบเกลื่อนตามประสา แปลกที่ฝ่ายตรงข้ามกลับยิ้มก้าวถอยหลังออกจากประตูร้านไปก่อนจะหอบเตียงสนามพับได้กับถุงผ้าใบหนึ่งกลับเข้ามาโดยไม่ลืมจะพลิกป้ายร้านกลับเป็น Open ให้อีกด้วย


“ท่าทางคุณจะเป็นคนไข้หัวดื้อของคุณหมอนะ” คนแปลกหน้าที่รู้จักกันผ่านเกมออนไลน์บอกพลางหยิบซองเกลือแร่และขวดน้ำจากในถุงผ้ามาผสมยื่นให้ดื่ม “ท้องคุณร้องเสียงดังจัง คงไม่อยากไม่ได้กินอะไรเลยสิ ถ้าไงกินเกลือแร่ไปก่อนเดี๋ยวผมโทรสั่งของมาให้กิน อย่ามองเหมือนมันเป็นยาพิษสิ ผมไม่วางยาหรือปาดคอคุณชิงทรัพย์หรอกน่ารักออกอย่างนี้ เอ้า กลัวกว่าเดิมอีกเหรอ น่า ลองดื่มก่อนจะได้รู้สึกดีขึ้น ”


ในตอนแรกเจ้าของร้านยังนิ่งมองขวดน้ำผสมเกลือแร่สีส้มสลับกับมองคนตัวใหญ่ที่โทรศัพท์สั่งโจ๊กกับปลายสาย กระทั่งอีกฝ่ายก้มมาเห็นว่าน้ำยังไม่พร่องเลยคว้าขวดมาเทใส่ปากโดยไม่ให้ปากขวดถูกปากตัวเองเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าปลอดภัยจากนั้นก็ยื่นมันกลับมาพร้อมพยักพเยิดจนมือขาวรับมันมาถืออย่างกล้าๆกลัวแล้วจิบไปอึกหนึ่งถึงรู้ว่าเกลือแร่รสส้มนี้อร่อยกว่าที่เคยดื่มทำไปทำมาเลยกลายเป็นกระดกจนหมดขวด


“เด็กดี” เจ้าของมือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบผมเอ่ยชมแล้วว่า “ให้พาไปโรงพยาบาลมั้ย”


“ไม่เอา” เจ้าตัวตอบเสียงแข็งทันที


“ผมว่าคุณไปหาหมอดีกว่านะ โรงพยาบาลก็อยู่แค่นี้ให้เขาเช็กหน่อยเถอะ”


“ไม่”


“เป็นไร กลัวหมอเหรอ”


“เปล่านะ”


“งั้นก็ไปหาหมอ”


“บอกว่าไม่ไงเล่า” เสียงอีกคนลอดผ่านไรฟันที่กัดกันแน่น


“ดื้อจัง เอางี้ คุณมีที่ให้นอนพักมั้ย”


“ไม่มี”


“แล้วมีที่ว่างพอกางเตียงสนามมั้ย”


“เตียงสนาม”


“ไว้ให้คุณนอนพักไง มานั่งฟุบหลับกับโต๊ะมันไม่สบายตัวหรอก ไม่ยอมไปหาหมอก็นอนไปสักตื่นเผื่อจะดีขึ้น”


“มี ตรงห้องหลังร้าน”


“โอเค เดี๋ยวผมมา ระหว่างนี่ถ้ามีลูกค้าเข้าร้านบอกเขาให้รอ ผมจะกลับมาทำเครื่องดื่มให้”


“ฮะ” ความรวดเร็วของคนแปลกหน้าทำให้เขาหลุดอุทานออกมาอย่างมึนงง อาการปวดหัวเริ่มแล่นเข้ามาเล่นงานอีกคราเลยฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นชายคนนั้นยื่นกระดาษปากกาให้พยาบาลที่เดินเข้ามาจดออเดอร์วางไว้บนเคาน์เตอร์ด้วยรอยยิ้มแล้วตรงดิ่งมาหาและสอดแขนเข้ามาใต้ข้อพับและแผ่นหลังอุ้มร่างเขาลอยจากพื้นพาไปหลังร้านทำเอาลูกค้าหญิงสาวถึงกับตื่นตะลึงยกมือปิดปาก


ชายตัวใหญ่คนเดิมวางคนตัวผอมที่อยู่ในอาการมึนงงจนพูดไม่ออกลงบนเตียงสนามที่กางไว้ในห้องเก็บของ สะบัดผ้าผืนหนึ่งคลุมลงมาบนตัวพร้อมย่อเข่าลงมาให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาถึงหยิบซองพลาสติกใบใหญ่ที่บรรจุด้วยยาอีกหลายชนิดรวมไว้ด้วยกันขึ้นมาตรงหน้า


“อันนี้ยาคุณหรือเปล่า” คำถามนั้นดังขึ้น


“อืม”


“ยาตอนเช้าของคุณมีที่กินก่อนและหลังอาหารด้วย เอาเป็นว่ากินยาก่อนอาหารไปก่อนแล้วนอน โจ๊กน่าจะมาส่งพอดีเวลากินยาเช้า ถึงตอนนั้นผมจะปลุกคุณมากินข้าวค่อยกินยาหลังอาหารแล้วถ้านอนพักยังรู้สึกไม่ดีอยู่ผมต้องพาคุณไปโรงพยาบาล โอเคมั้ย”


“อืม” แค่ได้ยินเสียงตอบรับในคอ ฝ่ายตรงข้ามก็เปิดซองพลาสติกหยิบซองยาแต่ละอันขึ้นมาอ่านรายละเอียดจึงค่อยหยิบยาก่อนอาหารยื่นให้พร้อมกับน้ำสะอาดอีกขวดหนึ่ง


เจ้าของร้านรับยากับมากินตามด้วยน้ำอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังมีข้อสงสัยและหวาดระแวงว่าจะเป็นมิจฉาชีพ ทว่าความเจ็บป่วยอ่อนเพลียทำให้เผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาใหม่ด้วยถูกปลุกให้ลุกมากินยาหลังอาหาร


“ยาหลังอาหารกินพร้อมข้าวได้นะ”


“ได้เหรอ”


“ได้ พวกยาหลังอาหารจะกินพร้อมข้าวได้เพื่อไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะ ยาของคุณบางตัวมันต้องการกรดในกระเพาะอาหารถึงจะดูดซึมดี พอกินยาก็กินโจ๊กตามได้เลย คุณมีแรงตักข้าวอยู่ใช่มั้ย กินสักหน่อยค่อยนอนใหม่”


คนตัวผอมที่สะลืมสะลือกินยาแล้วตักโจ๊กเข้าปากได้เพียงสิบคำก็วางช้อนกระดกน้ำตามอีกคำก็เอนหลังลงไปนอนบนเตียงสนามอีกรอบ ตากลมอ่อนแรงเหลือบสูงยังชายหนุ่มที่ไม่รู้กระทั่งชื่ออยู่พักหนึ่งฤทธิ์ยาพ่วงความเหนื่อยเพลียสะสมก็พาให้หนังตาปิดลงและหลับสนิทไปแทบจะทันที


“พี่ยองแจ...ไหวมั้ยครับ” คำถามอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงคุ้นเคยคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นรุ่นน้องพนักงานพิเศษในร้านปลุกให้ฝ่ายที่หลับสนิทรู้สึกตัวลืมตามองก่อนจะเห็นจงออบชะโงกหน้ามาเสียใกล้


“จงออบเหรอ” การถามกลับเสียงระโหยพยายามจะลุกทำให้อีกคนรีบพยุงให้ขึ้นมานั่งแล้วเปิดฝาขวดน้ำพลาสติกหยิบหลอดใส่ลงไปยื่นให้


“คอแห้งใช่มั้ยครับ ดื่มน้ำนี่สิครับ”


เจ้าของร้านกระพริบตาถี่เพื่อปรับภาพการมองเห็นให้ชัดเจนค่อยลุกขึ้นมานั่งบนเตียงสนามรับน้ำมาดื่มถึงถามเรื่องเวลาออกมา


“กี่โมงแล้วเหรอ”


“สองทุ่มกว่าแล้วครับ...ผมจะช่วยพี่ยูจินเก็บร้านแต่พี่เขาบอกให้ผมมาดูพี่ก่อน”


“ยูจิน...ใครน่ะ”


“ก็เพื่อนพี่ที่เป็นบาริสต้าไงครับ...เห็นพี่เขาบอกว่าพี่เป็นคนให้มาช่วยงานชั่วคราว”


“หื้อ” คนแก่กว่าย้อนคิดอยู่พักหนึ่งจึงจำได้ถึงเพื่อนในกลุ่มเล่นเกมที่โผล่มาให้เจอโดยไม่ทันตั้งตัวก็ถามต่อ “ชื่อเต็มว่าไงนะ”


“คิม ยูจินไงครับ”


“อา”


“นี่พี่ดีขึ้นหรือยังครับ”


“ก็...ดี” เขาปดไปด้วยรอยยิ้ม...แม้การได้นอนพักผ่อนจะช่วยให้อาการปวดหนึบทั้งศีรษะลดลงมากแล้วแต่เรี่ยวแรงดูเหมือนจะยังไม่ฟื้นเพราะขนาดเขาลอบกำมือไม่ให้อีกฝ่ายเห็นยังกำไม่แน่นแถมสั่นไปหมด


“แล้วนี่พี่แดฮยอนเขารู้มั้ยครับว่าพี่ไม่สบาย”


“ไม่รู้หรอก...ช่วงนี้งานเขายุ่งเลยไม่ค่อยกลับบ้าน”


“งั้นผมโทรไปบอกให้พี่เขามารับพี่กลับบ้านให้มั้ยครับ”


“ไม่” คำค้านเปล่งออกมารวดเร็ว “นายห้ามโทรไปบอกเขาเชียวนะ ห้ามบอกด้วยว่าพี่ป่วย..เขามีงานสำคัญที่ส่งผลกับอนาคตเขาต้องทำ ถ้าเกิดนายเอาเรื่องที่พี่ป่วยไปบอกแล้วทำให้เขางานเสีย พี่คงรู้สึกไม่ดี”


“แต่หน้าพี่ยังซีดอยู่เลย คงเดินกลับบ้านคนเดียวไม่ไหวแน่ เอาอย่างนี้ดีมั้ย ผมจะแบกพี่ไปส่งที่บ้านให้เอง”

 
“อย่าเลย...พี่เดินกลับบ้านคนเดียวได้ อีกอย่างนายก็เคยบอกพี่ว่าวันพฤหัสอาจารย์ชอบให้สอบเก็บคะแนนต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ ขืนเลยแบกพี่ไปกว่าจะกลับถึงบ้านไม่ต้ององต้องอ่านพอดี”


“มีสอบเหรอ...งั้นรีบกลับไปอ่านหนังสือเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งยองแจให้เอง”


ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่บาริสต้าชั่วคราวเดินเข้ามาสมทบกับทั้งคู่ออกปากพลางกวักมือเรียกให้คนอายุน้อยสุดมาใกล้ตัวด้วยรอยยิ้มกว้าง


“เรามีกุญแจสำรองของที่ร้านมั้ย”


“มีครับ”


“ถ้างั้นพี่คงต้องรบกวนให้เราอยู่ปิดประตูร้านให้แทนนะ”


“ได้ครับ”


“อ้อ...” ฝ่ายตัวใหญ่ที่สุดในร้านล้วงเอาธนบัตรหมื่นวอนสองใบออกมายื่นให้ “เห็นเราบอกว่าปกติที่ร้านมีอาหารมื้อเย็นให้เรากิน แต่วันนี้ยองแจเขาไม่สบาย เราเอานี่ไปซื้อข้าวแทนแล้วกันนะ”


“ไม่ต้องหรอกครับ”


“ทำไมล่ะ...มันน้อยไปเหรอ”


“ไม่ใช่ครับ มันเยอะเกินไป ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”


“ถ้าซื้อข้าวแล้วเงินเหลือก็เอาไปซื้อนมรับไปเถอะ ยิ่งนายช้ายองแจยิ่งไปพักช้านะ”


“แต่ว่า...”


“ถือว่าเป็นโบนัสก็ได้หรือไม่สบายใจก็ซื้อของกินมาไว้ให้ยองแจเขากินพรุ่งนี้ก็ได้ โอเคมั้ย”


“งั้นก็ได้ครับ”


จงออบตอบตกลงอย่างว่าง่ายเพราะสังเกตสีหน้าอาการเจ้าของร้านที่หน้านิ้วคิ้วขมวดเหมือนจะปวดหัวเลยอยากให้ไปพักผ่อนโดยไว พนักงานหนุ่มช่วยพยุงเจ้าของร้านพาออกไปยืนรอรถของบาริสต้าคนใหม่ให้มารับด้วยความเป็นห่วงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดส่งข้อความไปหารุ่นพี่ที่เป็นรูมเมทเจ้าของร้านในเชิงถามว่ายุ่งอยู่หรือเปล่าแต่ไม่ได้รับการตอบรับใดเลยตัดใจเก็บมันใส่กระเป๋าไปปิดล็อกร้านตามสั่ง


รถออดี้สีขาวมุกแล่นไปตามท้องถนนในระยะเกือบสองกิโลเมตรก็มาถึงลานจอดหน้าอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่งตามคำบอกก่อน ผู้โดยสารเปิดประตูลงจากรถหมายจะเดินกลับไปพักที่ห้องแต่แข้งขาอ่อนแรงเพียงเหยียบเท้าทรงตัวยืนก็แทบล้ม โชคดีที่สารถีวิ่งพรวดเข้ามารับและถือวิสาสะอุ้มทั้งตัวเดินตรงไปข้างใน


“นี่...ไม่ต้องอุ้มหรอก ผมเดินเองได้” ยองแจบอกด้วยเสียงอ่อนระโหยแม้จะเห็นแล้วว่าตั้งแต่เข้ามาภายในอพาร์ทเม้นต์ถึงลิฟต์ไม่มีใครรอบข้างก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี


“เดินได้คงไม่ล้มคว่ำไปแบบนั้นหรอกมั้ง” อีกฝ่ายตอบก้มมองหน้าคนในอ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม “เราต้องไปชั้นไหนกัน”


“ชั้นสิบ”


“บ้านเลขที่ล่ะ”


“ต้องรู้ด้วยเหรอ”


“ผมจะพาคุณไปส่งยังไงถ้าไม่รู้จักเลขที่บ้านน่ะ”


“สองสี่หนึ่ง”


“โอเค” คนตัวใหญ่รับคำปล่อยลิฟต์ให้เคลื่อนสูงไปยังจุดหมายปลายทาง จากนั้นก็เดินต่อไปยังหน้าประตูห้องตามหมายเลขที่ได้รับแจ้งและกดรหัสผ่านประตูตามที่ได้ยินเสียงพึมพำจากคนในอ้อมแขน เมื่อรองเท้าหลุดจากเท้าได้เจ้าตัวก็รีบพาร่างผอมของอีกคนซึ่งชี้นิ้วบอกตำแหน่งห้องนอนไปวางไว้บนเตียง


“ปวดหัวมากอยู่มั้ย” มือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากของคนที่ยังหลับตานิ่ง


“ไม่แล้ว ขอบคุณและก็ขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย คุณกลับบ้านเถอะ”


“คุณมียาหลังอาหารมื้อเย็นต้องกินด้วยนะ”


“อืม” เจ้าของห้องยังคงพึมพำด้วยสภาพที่ยังหลับตานอนอยู่อย่างเดิมทำให้ฝ่ายยังมีสติดีที่ย่อตัวลงมานั่งเพื่อจะคุยกับคนบนเตียงลุกเดินออกจากห้องนอนตรงไปในครัว วางกระเป๋าสะพายหลังที่คว้าติดมาลงบนเคาน์เตอร์คว้านเครื่องวัดไข้ระบบอินฟาเรดกับเครื่องวัดความดันระบบดิจิตอลขนาดพกพาใส่ลงในกระเป๋ากางเกงที่มีกระเป๋ายาใส่อยู่ก่อนหน้า แล้วหันไปเปิดตู้เย็นหยิบฉวยอะไรที่พอจะปรุงเป็นข้าวต้มร้อนๆ ชามหนึ่งขึ้นมาได้ จากนั้นจึงรินน้ำใส่แก้วถือมันกลับไปในห้องนอน


“ลุกขึ้นมากินข้าวกับยาไหวมั้ย” การถามนั้นเรียกให้คนบนเตียงลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งก็เห็นชายคนเดิมย่อตัวลงมาในระดับสายตาอยู่ข้างเตียง


“อืม”


“แต่ก่อนจะกินยา ขอผมวัดไข้กับความดันคุณก่อนนะ” ไม่รอให้ได้คำตอบ ฝ่ายตรงข้ามก็หยิบเครื่องวัดไข้จ่อหูยิงแสงอินฟาเรดลงไปและจัดการรัดสายเครื่องวัดความดันรอดูกระทั่งตัวเลขจากทั้งสองเครื่องปรากฏขึ้น


“ทำไมถึงมีของพวกนั้น” คนบนเตียงถามอย่างสงสัยทั้งที่สติใกล้จะลอยไปไกล


“ของจำเป็นน่ะ” รอยยิ้มนั้นมาพร้อมคำตอบ “คุณไม่มีไข้แต่ความดันต่ำ ป่วยระดับคุณนี้เสี่ยงมากนะที่ไม่ยอมไปโรงพยาบาล แต่เอาเถอะเกณฑ์ความดันคุณมันยังไม่ต่ำถึงขั้นช็อก ถ้าไงกินยา กินข้าวแล้วนอนพักต่อจนเช้าก็น่าจะอาการดีขึ้น”


“ให้กินเหมือนเดิมเหรอ”


“ใช่ กินยาพร้อมข้าวแล้วนอน”


“อืม” เจ้าของห้องส่งเสียงในลำคอค่อยลุกจากเตียงโดยมีคนตัวใหญ่ช่วยพยุงเพื่อกินยาและข้าวอีกไม่กี่สิบคำก็วางช้อน เพียงล้มตัวหัวถึงหมอนก็หลับไปแทบจะทันทีจึงไม่รู้ว่า เพื่อนในกลุ่มเล่นเกมออนไลน์นั้นออกจากห้องไปกินอาหารที่ทำเผื่อไว้และกินยาที่พกติดตัวมาเช่นเดียวกันก่อนจะเก็บล้างทุกอย่างจนเรียบร้อยถึงย้อนกลับไปดูอีกฝ่ายในห้องนอนอีกที พอเห็นการนอนคุดคู้ดูหนาวก็นึกสงสารไม่อยากปล่อยให้อยู่ลำพังเลยฉายไฟจากโทรศัพท์ถือวิสาสะหาผ้าห่มอีกผืนมาห่มเพิ่ม ส่วนตนเองก็ไปยกเก้าอี้จากในครัวมาตั้งพิงผนังเพื่อหลับเอาแรง


ความอ่อนเพลียพาให้คนบนเตียงหลับไปนานหลายชั่วโมงกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจึงสะดุ้งรู้สึกตัวตื่น เปลือกตาขยับลืมขึ้นทีละน้อยก่อนจะเห็นข้าวของในห้องได้ชัดเต็มตาโดยไม่มีอาการปวดร้าวไปทั้งหัวเข้ามากล้ำกราย รวมทั้งเพื่อนใหม่คนที่คอยดูแลก็หายไปด้วยเช่นกัน


ยองแจหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างเตียงมากดปิดเสียงการปลุกจึงเห็นแถบแจ้งเตือนวันเปิดการแสดงละครเวทีเด้งขึ้นมาเลยลุกขึ้นพลางกดตอบข้อความที่ค้างอยู่รวมทั้งของเพื่อนร่วมบ้านที่ส่งมาบอกให้ดูแลตัวเองจนหมด น่าแปลกที่ไม่มีข้อความจากเพื่อนใหม่คนเมื่อวานอะไรเพิ่มเติมจากที่แจ้งว่าจะมาหาที่ร้านเลย


ชายหนุ่มย่นหน้าผากอยู่ไม่ถึงนาทีก็เก็บที่นอนตามปกติ จากนั้นก็เปิดประตูตู้เสื้อผ้าเลือกดูชุดที่คิดว่าจะใส่ไปดูละครเวทีแต่เพราะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มานานจึงไม่มีอะไรพิเศษพอให้ใส่เลยจำใจหยิบอะไรที่คิดว่าสวมสบายถึงหอบมันออกมานอกห้องและมุ่งไปในครัวเพื่อชงกาแฟให้ตนเองก่อน หากบนโต๊ะกลับมีข้าวต้มร้อนส่งกลิ่นหอมฉุยวางอยู่ข้างแก้วน้ำเปล่าและกระเป๋าซึ่งใช้ใส่ยาประจำตัว พลันเสียงของประตูในบ้านเปิดออกกลับดังขึ้นเรียกให้เจ้าตัวเกาะขอบประตูชะโงกดูด้านนอกถึงเห็นร่างอันสูงใหญ่สวมเพียงกางเกงขายาวของชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำ


“ยองแจ...คุณมีเสื้อให้ผมยืมสักตัวมั้ย ไม่เอาเสื้อที่คุณใส่พอดีตัวนะ ตัวคุณเล็กนิดเดียวผมใส่คงได้ขาดแน่” คนตัวใหญ่กว่ามากเอ่ยปากขออดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดูให้กับเจ้าของบ้านที่เกาะขอบประตูครัวโผล่มาจ้องหน้าเขาอย่างหวาดๆ เหมือนลูกไก่ตัวจ้อยกลัวนักล่า


“ยังไม่กลับเหรอ” เสียงอ่อนทอดยาวถามกลับแทนการตอบ


“คุณดีขึ้นหรือยังล่ะ”


“อืม” คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงในลำคอ ตากลมน่ารักยังคงจ้องแทบไม่กระพริบพาอีกคนให้หัวเราะแล้วว่า


“งั้น...คุณคงให้ผมยืมเสื้อสักตัวได้”


“อ้อ ได้สิ” เมื่อถูกร้องขอซ้ำเจ้าของบ้านก็เดินออกจากครัวเข้าไปหาเสื้อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจากในตู้ออกมาส่งให้เพื่อนใหม่ที่ยืนอยู่ในครัวได้สวม ก่อนที่อเมริกาโน่ร้อนสองแก้วจะถูกนำมาตั้งบนโต๊ะ


“ผมทำอาหารเช้าไว้ให้คุณ กินยาก่อนอาหารเสร็จสักสิบห้านาทีค่อยกินข้าวนะ” ยูจินลากเก้าอี้ที่สอดใต้โต๊ะกินข้าวออกมานั่งหลังจากเห็นอีกคนนั่งลงพร้อมกระดกกาแฟในถ้วยเซรามิกลายแมวขึ้นดื่ม


“อืม” พอรับคำก็หยิบยาจากในกระเป๋ามากินแล้วถามทันทีที่เห็นว่า กาแฟที่ชงมาเผื่อให้ยังคงตั้งวางไว้โดยไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย “คุณไม่ดื่มกาแฟเหรอ”


“ดื่ม แต่ผมไม่ค่อยดื่มตอนเช้า”


“แล้วข้าว...”


“ผมกินไปก่อนแล้ว” เขาตอบเพียงเท่านั้นก็เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงยีนส์มากดดูหน้าจอสลับกับมองไปทางคนฝั่งตรงข้ามให้กินข้าวกินยาตามลำดับเรียบร้อยถึงเก็บโทรศัพท์


“จะให้ผมไปเปิดร้านให้มั้ย”


“ไม่ต้องหรอก...วันนี้ผมจะปิดร้าน”


“จะออกไปไหนเหรอ”


“รู้ได้ไงว่าจะออกไปข้างนอก”


“ก็เมื่อวานคุณดื้อจะไม่ให้ปิดร้านท่าเดียวทั้งที่ไม่สบาย แต่วันนี้ดันบอกว่าจะปิดร้าน” คนตัวใหญ่พูดตามความคาดเดาอย่างถูกต้องเหมือนรู้จักกันมานานทำให้เจ้าของบ้านขมวดคิ้วแล้วเปิดปาก


“คุณทำความรู้จักกับคนอื่นเร็วแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ”


“หื้อ”


“ผมหมายถึงคุณช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ทั้งที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ตลอดหรือเปล่าน่ะ”


“ใครว่าผมไม่รู้จักคุณล่ะ...ผมรู้จักคุณในเกมมาตั้งนาน เมื่อวานผมรู้ชื่อกับนามสกุลของคุณแล้วด้วย อ้อ เมื่อวานจงออบน่าจะบอกคุณแล้วว่าผมชื่ออะไร”


“รู้จักไม่ถึงวันก็เรียกชื่อกันง่ายๆเลยเหรอ”


“ไม่เห็นเป็นไร ก็เพื่อนกัน”


“เพื่อนเหรอ คุณเรียกทุกคนว่าเพื่อนง่ายๆงี้เลย”


“การเป็นเพื่อนกันมันง่ายจะตายไปคุณ”


“ไม่เห็นจะง่าย”


“ง่ายสิ...เชื่อผมมั้ย แค่คุณยิ้มก็มีคนอยากเป็นเพื่อนด้วยแล้วแต่ท่าทางคุณจะไม่ชอบยิ้ม”


“รู้ได้ไง”


“ไม่เห็นคุณยิ้มให้ผมเลย”


“ก็...”


“แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมยิ้มให้คุณแทนแล้วกัน” พูดพลางก็ชะโงกหน้ามายิ้มกว้างอวดฟันขาวสะอาดให้เห็น “คุณอิ่มหรือยัง”


“อืม”


“เดี๋ยวผมต้องออกไปทำธุระข้างนอกน่ะ ผมฝากเสื้อของผมไว้กับคุณก่อนนะ พอดีตอนชาเขียวมันกระเด็นโดนเสื้อตอนผมเทลงแก้วน่ะ ส่วนเสื้อคุณที่ผมยืมไปตัวนี้ผมจะซักมาคืนให้”


“ไม่ต้องคืนหรอก คุณเก็บไว้ใส่เลยก็ได้หรือถ้าไม่ชอบเอาไปบริจาคก็ได้นะ”


“ถ้าไม่ให้คืนแล้วผมจะหาเรื่องอะไรมาหาคุณที่ร้านล่ะ ในเมื่อผมไปหาคุณเฉยๆไม่ได้นอกจากจะมีธุระ”


ประโยคที่หลุดมาให้ได้ยินทำเอาคนที่กำลังหยิบยาออกมาเลือกดูชะงักแล้วเงยหน้าไปทางฝ่ายที่นั่งเท้าคางยิ้มแป้นอย่างอารมณ์ดีอยู่ตรงข้าม


“จะมาหาก็ต้องบอกกันก่อนสิ”


“บอกในคาทกแล้วคุณไม่อ่าน ถ้าคุณอยากให้ผมบอกล่วงหน้าคุณต้องให้เบอร์คุณกับผมไว้สิ”


“ในโปรไฟล์คาทกผมมีเบอร์ร้านอยู่”


“เกิดโทรไปคุณไม่รับอีกทำไงล่ะ”


“ถึงคุณได้เบอร์ส่วนตัวผมไปก็ไม่ใช่ว่าจะรับอยู่ดีแหละ”


“นั้นสินะ งั้นเมมเบอร์ร้านไว้ดีกว่า คนห่วงร้านแบบคุณโทรไปยังไงต้องรับอยู่แล้ว เอาล่ะ กินยาหลังอาหารได้แล้วนะคุณ”


“ฮะ”


“ครึ่งชั่วโมงแล้ว กินยาได้”


“นี่คุณนับเวลาไว้ด้วยเหรอ”


“ครับ”


ยองแจเม้มริมฝีปากหยิบยามาที่จัดไว้เป็นชุดออกมากินจนหมดก็ปรายตาไปทางเพื่อนใหม่ที่ลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ากระเป๋าที่แขวนตรงเก้าอี้มาสะพายหลัง


“ผมต้องไปแล้ว”


“อา...อืม” อีกฝ่ายพยักหน้ารีบลุกจากเก้าอี้รีบเดินตามหลังไปจนถึงหน้าประตู ระหว่างที่คนตัวใหญ่สวมรองเท้าและเปิดประตูออกจากห้องไปข้างนอกปากอิ่มถึงขยับเอ่ยขอบคุณไปเบาๆ หากก็ดังพอจะเรียกให้อีกฝ่ายหันกลับมาหา


“ผมไปนะ...อย่าลืมเปลี่ยนรหัสประตูล่ะ เดี๋ยวผมเข้าไปขโมยของนะ” เสียงนุ่มบอกพร้อมกับมือใหญ่ที่เอื้อมมาขยี้ผมนุ่มไปมาอย่างเอ็นดูก็ถอยมาโบกมือแทนการลา “ดูแลตัวเองหน่อยนะ ป่วยตั้งหลายโรคแบบคุณน่ะ ถ้าไม่ใส่ใจตัวเองร่างกายจะทรุดเอา แล้วผมจะไปหาคุณอีก รับโทรศัพท์ของผมด้วยล่ะ”


“อืม”


“สัญญา”


“ต้องสัญญาด้วยเหรอ”


“ต้องสิ เดี๋ยวไม่รับโทรศัพท์ พอผมไปหาคุณก็ว่าผมเอาอีก”


“สัญญาก็ได้...กลับดีๆล่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”


ยูจินยิ้มกว้างพลางก้มหัวให้เล็กน้อยก็เดินจากไปปล่อยให้เจ้าของบ้านยืนรอส่งอยู่ตรงนั้นจนลับสายตาถึงกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับไปชมละครเวทีช่วงบ่ายของวัน
------------------------------------
ฝูงชนทั้งนักข่าว ผู้มีชื่อเสียงในหลายวงการและผู้ชมต่างทยอยเข้ามานั่งประจำที่ในโรงละครเพื่อรับชมการแสดงรอบปฐมทัศน์ นักแสดงและทีมงานด้านหลังเวทีต่างวุ่นวายอยู่กับการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมด้วยอีกไม่กี่สิบนาทีจะเริ่มเปิดม่าน ทว่าแดฮยอนที่แต่งหน้าแต่งตัวย้อนยุคตามบทบาทที่ได้รับกลับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูข้อความให้กำลังใจจากรูมเมทมาอ่านทวนเป็นครั้งที่สิบเพื่อเสริมกำลังใจตนเอง โดยไม่ระแคะระคายเลยสักนิดว่า อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาในโรงละครพร้อมช่อดอกไม้สีฟ้าสวยที่ซื้อติดมาหมายจะมอบให้หลังจบการแสดงด้วย


ยองแจสแกนบาร์โค้ดที่ได้รับจากผู้ขายบัตรซึ่งส่งมาให้ทางข้อความกับเจ้าหน้าที่แล้วเดินต่อเข้าไปภายในจึงได้เห็นผู้ชมทั้งมีชื่อเสียง ผู้สื่อข่าว และบุคคลทั่วไปนั่งกันแน่นขนัด แสงไฟสีส้มเปิดสว่างระหว่างเสาด้านข้างเผยให้เห็นการตกแต่งภายในที่สวยงามหรูหราตามรูปแบบสถาปัตยกรรมบาโรกทำให้เขาปลื้มใจ เพราะถึงแม้ความฝันของเขาคือการได้ร้องเพลงต่อหน้าผู้คนที่ชื่นชอบน้ำเสียงของเขา แต่สำหรับเขาแล้วมันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว การได้เห็นคนรักได้รับโอกาสใหญ่ขนาดนี้ก็ถือเป็นความสุขของเขาไปด้วย


ชายหนุ่มมองตัวเลขที่นั่งบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วก้าวลงบันไดไปกระทั่งถึงแถวที่นั่งของตนเองซึ่งจากการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นจุดที่จะสามารถเห็นการแสดงได้ชัดเจนที่สุดเช่นเดียวกับราคาที่แพงตามไปด้วย หากตอนเงยมองไปตลอดแถวนั้นกลับมีชายเพียงคนเดียวนั่งอยู่และเมื่อเดินเข้าไปตามเลขบนหน้าจอถึงพบว่าตัวเขานั่งติดกับชายคนนั้นพอดี


“คุณมาดูนักแสดงคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า” เสียงเข้มฟังแข็งกระด้างดังขึ้นพาให้คนที่จดจ่อกับเวทีอย่างตื่นเต้นละสายตาไปตามต้นเสียง ในเวลานั้นเองที่เขาได้เห็นหน้าคมคายของชายเลยวัยกลางคนที่แม้จะมีริ้วรอยแห่งอายุขัยปรากฏให้เห็นเด่นชัดเช่นเดียวกับรอยแผลเป็นบนหางคิ้วก็ยังหล่อเหลา ทว่าความเรียบเฉยไร้แววอารมณ์ของดวงตาและปากเรียวที่ไม่มีรอยแย้ม อีกทั้งลักษณะท่าทางการนั่งที่ดูทรงอำนาจชวนให้หวั่นใจอย่างประหลาด


“ผมมาดูเพื่อนน่ะครับแต่เขาไม่ได้เล่นเป็นตัวหลักอะไรหรอกครับ ได้ออกแค่ไม่กี่ฉากเอง” เขาตอบพยายามยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงอาการร้อนๆหนาวๆที่กำลังบังเกิด


“ซื้อดอกไม้มาด้วย จะให้เขารึ”


“ครับ” เขาตอบอย่างสุภาพพยายามยิ้มกว้างซ่อนอาการสั่นของมือจนต้องกำช่อดอกไม้ไว้เสียแน่น อีกฝ่ายตวัดมองมือบนช่อดอกไม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ปรายตากลับมายังคู่สนทนาพลางเหยียดยกมุมปากที่ดูราวกับรอยแสยะหยันมากกว่ายิ้มส่งให้ ก่อนจะผินหน้ากลับไปยังเวทีโดยไม่เหลือบกระทั่งหางตามองมาอีก หากคนที่มีเป้าหมายมาชมละครเวทีแค่เห็นม่านกำลังเคลื่อนเปิดก็ทิ้งความสนใจทุกสิ่งรอบข้างไปหมดสิ้น


ภาพของแดฮยอนในคราบคาวบอยหนุ่มหล่อเหลาและโดดเด่นกว่าใครบนเวที ยามเสียงส่งพลังทุ้มกังวานขับร้องบทเพลงหรือเอ่ยคำนั้นอบอุ่นน่าฟังประกอบกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวและการแสดงออกทางอารมณ์อย่างสมบทบาททำให้หวนรำลึกถึงวันวานเมื่อครั้งยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเขามักหลบมุมเฝ้ามองอย่างชื่นชมตามประสาก้อนกรวดไร้ค่า หากอีกฝ่ายกลับมองลงมาแล้วส่งยิ้มกว้างที่เปรียบเหมือนแสงจากดวงตะวันมายังเขาอยู่เสมอ


การแสดงร่วมละครเพลงรอบปฐมทัศน์ระยะเวลาร่วมสองชั่วโมงครึ่งจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราวแต่ชายผู้นั่งในแถวเดียวกันกับยองแจนั้นกลับลุกออกไปทันทีไม่มีการมองไปทางเวทีเลยแม้แต่น้อย


หลังจบการแสดงนักแสดงส่วนใหญ่ต่างทยอยเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า คงมีเพียงส่วนน้อยที่มีงานด่วนจึงต้องออกไปก่อนทำให้ห้องแต่งตัวแน่นขนัด แดฮยอนที่ไม่มีการแสดงในรอบต่อไปแล้วตัดสินใจส่งคืนชุดให้กับทีมงานก่อนแล้วออกไปเข้าห้องน้ำชายด้านนอกเพื่อล้างหน้าแทน


ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกหารอยเครื่องสำอางที่อาจหลงเหลือจนแน่ใจว่าสะอาดหมดจดจึงเก็บโฟมล้างหน้าและอุปกรณ์รวมทั้งน้ำยาเช็ดล้างเครื่องสำอางที่เขาติดตัวมาถูกเก็บใส่ถุงผ้าเดินออกมามาด้านนอก เขาผิวปากอย่างอารมณ์ดีด้วยพอใจในการแสดงครั้งแรกของตนเอง ทว่าการปรากฏตัวของชายเลยวัยกลางคนกายสูงใหญ่สวมสูทสีดำลายขวาง ใบหน้าคมคายไร้ความรู้สึกละม้ายรูปปั้นหินทำให้เขาชะงักงัน


“เนี่ยเหรอชีวิตที่แกต้องการ”


คลื่นความรู้สึกชิงชังระคนเจ็บแค้นอย่างสุดแสนจากภายในแล่นปะทุแทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงเย็นหยามหยัน ยามดวงตาคมอันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีคนว่าทั้งคู่เหมือนกันปรายมองมาตั้งแต่ศีรษะจรดปรายเท้าแล้วเหยียดมุมปากอย่างดูแคลน แววตาของผู้อ่อนวัยกว่ากลับแข็งกร้าววาวโรจน์จากโทสะรุนแรงเผาไหม้ภายในแหลกเป็นจุณ แม้แต่มือทั้งสองข้างยังกำแน่นจนเล็บจากปลายนิ้วจิกลุกเข้าไปในผิวเนื้อโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกเจ็บระคายแต่อย่างใด


“แกคิดหรือว่าฉันจะหาแกไม่เจอ...แกก็แค่ยังไม่มีประโยชน์กับฉันก็เท่านั้นเอง”


“ที่มานี่มีอะไร” คำถามนั้นลอดผ่านไรฟันที่ขบกัดกันแน่น


“อยู่ๆฉันก็นึกอยากเห็นชีวิตน่าสมเพชของแกขึ้นมา ไอ้ชีวิตเต้นกินรำกินเหมือนขยะข้างถนนแบบนี้น่ะหรือที่แกต้องการ แกนี่มันโง่ดักดานเหมือนแม่แกไม่มีผิด”


“สัตว์เอ๊ย” เสียงเข้มสบถแทบคำรามสองขาแทบกระโจนเข้าไปหมายจะกระชากคออีกฝ่ายมาฆ่าเสียให้ตายคามือแต่การ์ดโผล่เข้ามาใช้กายบังไว้เสียแต่ไม่ทำให้การสาวหมัดเข้าใส่หยุดกระทั่งคำถากถางจากอีกฝ่ายเรียกสติให้กลับมา


“เอาสิ คนเขาจะได้รู้ว่าแกมันก็แค่สวะสังคม”


“สารเลว คิดหรือว่าผมอยากมีเลือดชั่วๆของคุณอยู่ในตัว และขอเตือนไว้เลยนะ ถ้าคุณกล้ายุ่งกับคนรอบข้างของผม ขอให้รู้ไว้ว่าผมจะทำลายคุณ ทำลายธุรกิจของคุณ แม้แต่ชีวิตของคุณผมจะทำให้หมดไม่เหลือกระทั่งเถ้าธุลีของคุณอยู่บนโลก”


“ก็ลองดู”


ชายมากวัยว่าพลางยกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่าและเดินจากไปโดยมีบอดี้การ์ดตามหลัง ปล่อยให้อีกคนได้เพียงขบกรามข่มความเกลียดชังในทุกการกระทำของผู้มอบสายเลือดให้กำเนิดทั้งที่ไม่มีความรักใคร่ใดเลยแม้แต่น้อย ชายผู้ฝึกให้เขาเป็นยิ่งกว่าทหารรับใช้ไม่ใช่ลูกในไส้รวมถึงอดีตอันเต็มไปด้วยความเลวร้ายเจ็บปวดเกินกว่าใครจะนึกฝันที่แม้จะพยายามใช้กาลเวลาลบเลือนมันออกจากความทรงจำ หากทุกอย่างยังคงฝังแน่นอยู่ใต้มโนสำนึก


...เลือดในกายเขามีส่วนผสมอันสกปรกโสมมเสียจนเขาเองยังเคยรังเกียจตัวเองในหลายครา...


การกดเก็บความเดือดดาลด้วยวิธีกำหมัดไว้แทบจะใช้ไม่ได้ผลแต่เพียงสายตาพบใครคนหนึ่งหันรีหันขวางมองไปทั่วท่ามกลางกลุ่มคนเข้าความรู้สึกเจ็บแค้นแสนหนักอึ้งกลับคลายลงรวดเร็ว


ยองแจก้าวเท้าตามเหล่าผู้ชมที่กำลังจะออกไปรอนักแสดงขวัญใจตนเองขึ้นรถด้านหลังพลางชะเง้อหาเพื่อนร่วมบ้านของตนเองอยู่นานจนหันมาด้านหลังจึงได้พบกับคนที่ตามหาเดินล้วงกระเป๋ามาใกล้จึงร้องเรียกแล้วยื่นช่อดอกไม้เพื่อแสดงความยินดี ทว่าอีกฝ่ายกลับดึงแขนผอมเข้าหาแล้วกอดตัวเขาไว้เสียแน่น


“ขอฉันอยู่อย่างนี้สักพักได้มั้ย” เสียงเข้มอ่อนล้าร้องขอขณะวางหน้าลงบนไหล่อย่างหมดท่า แม้จะตกใจที่ถูกสวมกอดกะทันหันแต่ความเป็นห่วงจึงยอมให้กอดพร้อมลูบหลังปรอยๆ


“เป็นอะไรไป แสดงพลาดเหรอ ไม่เป็นไรหรอก แสดงละครครั้งแรกมันต้องมีพลาดกันบ้าง นายแสดงได้ขนาดนั้นก็เก่งมากแล้ว” การประโลมด้วยถ้อยคำกับสัมผัสอ่อนโยนเป็นเหมือนยาสมานแผลให้คนที่ภายในแทบมอดไหม้จากความแค้นรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง


“ทำไมถึงไม่บอกล่ะว่าจะมา ฉันจะได้ให้บัตรไว้ แล้วนี่นายไปหาบัตรรอบปฐมทัศน์มาจากไหน” สุดท้ายคนตัวสูงกว่าก็เริ่มพูดและปล่อยแขนที่โอบกอดร่างเจ้าของบ้านที่ตนร่วมอาศัยให้เป็นอิสระ


“บังเอิญลูกค้าที่ร้านเขามีบัตรรอบปฐมทัศน์แต่มาไม่ได้ ฉันเห็นว่าเป็นละครของนายเลยขอเขามา” คำโกหกกลบเกลื่อนหลุดออกจากปาก


“จริงดิ”


“ฉันจะโกหกเพื่อ”


“ว่าแต่นายมาดูละครแบบนี้ก็ต้องปิดร้านน่ะสิ”


“ก็...บอกลูกค้าไว้แล้ว” เขาตอบพลางกลอกตาด้วยนึกย้อนถึงช่วงสายที่เพิ่งเขียนป้ายแจ้งลูกค้าไปสดๆร้อนๆ “เออน่า ไม่เป็นไรหรอก นานๆฉันจะปิดร้านสักที ละนี่ ฉันซื้อดอกไม้มาให้นายล่ะ ยินดีกับการแสดงแรกของนายด้วยนะ”


“ว้าว...สวยจัง ดอกอะไรเหรอ”


“เห็นเจ้าของร้านบอกว่ามันคือดอกฟอร์เก็ตมีน็อต”


“นายเลือกเองเหรอเนี่ย สุดยอด ฉันเพิ่งรู้ว่านายรู้เรื่องดอกไม้ด้วย


“ไม่รู้หรอก ฉันก็แค่ชี้ดอกที่คิดว่าสวยน่ะ”


“ยังไงก็เถอะ...มันสวยมาก สวยเหมือนนายเลย” อีกฝ่ายว่าพิจเสื้อสีชมพูแขนยาวมีฮู้ดกับกางเกงยีนส์สีอ่อนที่คนตัวเล็กกว่าสวมใส่ยังคงรู้สึกถึงความน่ารักเป็นพิเศษทั้งที่ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างจากวันอื่น


“ฮะ”


“ก็ดอกไม้ไงสวยเหมือนนายเลย”


“พูดอะไรน่ะ...ฉันเป็นผู้ชายนะ มาชมว่าสวยได้ไง”  


“ไม่สวยแต่น่ารักก็ได้”


“น่ารักก็ไม่ได้ ถ้านายอยากชมก็ชมว่าหล่อสิ”


“อืม หล่อแต่น่ารักมากกว่า”


“บ้าบอ...พูดจาอะไรก็ไม่รู้” คนถูกชมแกล้งบ่นพึมพำเหลือบเห็นยิ้มกว้างอบอุ่นเลยเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้รู้สึกขัดเขินจนเผลอแสดงสีหน้าออกมาให้เห็น “ละนี่นายจะไปไหนต่อเหรอ”


“ตอนแรกฉันคิดว่าจะไปหานายที่ร้านกาแฟให้หายคิดถึงก่อนค่อยไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศ แต่นายอยู่นี่แล้วนิ มีที่ไหนที่อยากไปหรือเปล่า ถ้ามีฉันจะพานายไปแล้วค่อยเข้าออฟฟิศพรุ่งนี้”


“ทำไมเราถึงไม่ไปในที่ที่นายอยากไปบ้างล่ะ”


“ฉันไม่มีที่ไหนที่อยากไปหรอก นอกจากที่ที่ได้อยู่กับนาย” ประโยคนั้นกลั่นจากใจโดยไม่ผ่านกระบวนคิดราวกับเป็นคำปกติธรรมดา หากสำหรับคนฟังแล้วมันมีความหมายมากเสียจนหัวใจพองโต


...แม้จะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกไกลเกินเพื่อนแต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน...


“เฮ้ย แดฮยอน มึงอยู่นี่เองเหรอ” เสียงตะโกนทักทายจากชายคนหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลังก่อนที่ชายหนุ่มสามคนจะกรูเข้ามาหา ทำให้คนนอกถอยเท้าไปเฝ้ามองอยู่ห่างจากกลุ่มคนทั้งหมดอัตโนมัติ


“อ้าว มาดูด้วยเหรอ กูนึกว่าพวกมึงเอาบัตรกูไปขายแล้วเนี่ย”


“ใครจะขายวะ เพื่อนได้แสดงละครเวทีกับคนดังทั้งที เออ เรื่องลายเซ็นคุณซอฮยอนน่ะ มึงมาให้กูเปล่า”


“ขอแล้วแต่กูเอาไว้ที่ออฟฟิศ”


“เอ้า มึงเข้าออฟฟิศตอนไหนไม่เห็นรู้”


“ไปทุกวันแหละ กูไปนอนนั่น เออ เกือบลืม พวกมึง นั่นยองแจ เพื่อนกูเอง” ผู้พูดชี้นิ้วไปทางคนที่ยืนยิ้มห่างออกไป หากไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรพนักงานจากบริษัทส่งของก็หอบดอกกุหลาบช่อใหญ่เดินเข้ามาถามหาผู้รับกับคนทั้งกลุ่มและชื่อนามสกุลที่ได้ยินทำให้เจ้าของชื่อยกมือขานรับ


“ผมเองครับ ผมจอง แดฮยอน”


“โอ้ เจอตัวสักที ผมถามหาคุณซะทั่วกลัวคุณจะกลับไปก่อน รบกวนช่วยเซ็นรับของให้ผมตรงนี้ด้วยนะครับ” พนักงานพ่นลมผ่านปากผ่อนคลายความเครียด อีกคนเลยเซ็นชื่อรับไปอย่างงงๆกำลังจะรับช่อดอกกุหลาบหลายสิบดอกนั้นมาถือแต่นึกขึ้นได้ว่ามีดอกไม้อีกช่อหนึ่งอยู่ในมือ ด้วยความกลัวของสำคัญจะพังเลยจำเป็นต้องวางมันไว้บนม้านั่งด้านหลังจึงค่อยรับดอกไม้อีกช่อมาไว้ในอ้อมแขน


“ใครส่งกุหลาบช่อขนาดนี้มาให้มึงวะเนี่ย ไหนดูดิมีการ์ดมั้ย ขอดูหน่อย” เพื่อนคนหนึ่งป่ายมือไปบนกระดาษห่อเพื่อหาการ์ดจากผู้ส่งแต่ปรากฏว่าไม่มี “ไม่มีการ์ดด้วยวะ แต่กุหลาบตั้งขนาดนี้แม่งแพงจะตาย คนส่งมาให้ต้องรวยเลยนะเนี่ย”


“จะใครวะก็คงสาวของมันน่ะสิ”


“ครั้งนี้สาวที่ไหนอีกวะ”


“หรือจะเป็นนางแบบรัสเซียคนนั้น มึงจำวันที่บอสส่งกูกับมันไปคุมเครื่องเสียงในงานโซลแฟชั่นวีคได้ปะ กูเห็นเขาเดินมาคุยกับมันตั้งหลายที”


“โหย ไอ้ห่า รอบนี้เล่นของนอกเลยเหรอ”


“โว้ย พวกมึงนี่แม่ง กูไม่ได้ชั่วขนาดจะจีบใครในเวลางานนะ”


“งั้นแสดงว่า...มึงไปอะจึ๋ยๆกับเขาหลังเลิกงานมาแล้วสิ”


“พูดห่าไรเนี่ย ผู้หญิงเขาเสียหายหมด”


“อาจจะเป็นของพี่ชองอาก็ได้ เมื่อเช้าพอกูบอกจะออกมาดูละครเวทีที่แดฮยอนมันแสดง เขาบอกให้กูฝากขอบคุณแดฮยอนที่สองสามวันก่อนอุตส่าห์นั่งแท็กซี่ไปส่งถึงบ้านอยู่เลย”


“เหี้ยแล้ว กับพี่ในออฟฟิศมึงก็ไม่เว้น เจ้าชู้ฉิบหาย ไอ้เวรเอ๊ย”


“เฮ้ย ไม่ใช่นะเว้ย วันนั้นพี่เขาถูกแฟนทิ้งกลางทาง กูเห็นว่าดึกแล้วเลยไปส่ง”


“หู้ พ่อสุภาพบุรุษ ชอบช่วยเหลือ ยิ่งกับผู้หญิงนี่ถึงไหนถึงกัน”


“ไม่ใช่ล่ะ”


“ก็ไม่แน่นี่หว่า พี่เขาอาจจะประทับใจมากจนส่งดอกไม้มาให้ก็ได้”


“กุหลาบเยอะขนาดนี้ราคามันแพงจะตาย กูว่าไม่ใช่หรอก คงเป็นสาวที่แดฮยอนมันซุกไว้นั้นแหละ ใครๆเขาก็รู้ทั้งนั้นแหละว่ามันเจ้าชู้แถมชอบซุ่มขนาดไหน”


“กูไม่ได้ซุ่มนะ แต่ผู้หญิงเขาเข้ามาหากูเอง กูยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วกูก็ยังไม่มีแฟนเลยคุยด้วยนิดหน่อยแต่ไม่ได้หมายความว่าจะจีบไปหมดนะเว้ย”


บทสนทาหยอกแซวตามความสนิทนั้นมีหลายเรื่องสะกิดคนนอกที่ได้ยินเข้าให้ทบทวน ทั้งวันที่เพื่อนร่วมบ้านของเขาไปส่งสาวในออฟฟิศถึงบ้านซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่อาการป่วยจากการรอคอยอีกฝ่ายทุกคืนเริ่มออกอาการหนัก ไหนจะเรื่องชอบช่วยเหลือคนอื่นไปทั่วและการการันตีความเจ้าชู้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ต่างอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน


แดฮยอนคือดวงตะวันที่ถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งสวยงามมากมาย ผิดกับก้อนกรวดอย่างเขาที่สุดท้ายก็ถูกหลงลืมต้องถอยกลับไปอาศัยในซอกกำแพงอันเป็นสถานที่เดียวที่เหมาะสมกับตนเอง


ยิ่งเหลือบเห็นดอกไม้ช่อน้อยที่คนไม่เคยเข้าร้านดอกไม้ใช้เวลาในการเลือกซื้ออยู่เป็นชั่วโมงๆ ถูกวางทิ้งบนเก้าอี้ช่างดูเล็กจ้อยและด้อยค่าด้วยดอกกุหลาบปริศนาซึ่งดูจะแพงกว่าดอกไม้ของเขาหลายเท่ากลายเป็นสิ่งน่าสนใจของทุกคนตรงหน้า นั่นทำให้ความน้อยใจที่เฝ้ากดเก็บอยู่ภายใต้คำว่าไม่มีสิทธิ์หลั่งไหลให้ลำคอตีบตัน


กี่ครั้งกี่หนกันนะที่เขาถูกทิ้งไว้ข้างหลังและกลายเป็นอันดับสุดท้ายของความสำคัญในทุกครั้งที่คนตรงหน้ามีใครอื่น แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพียงเพื่อน ไม่มีคำว่ารักในเชิงอื่นมอบให้ กระนั้นเขาก็ยังหวังว่าจะมีสักครั้งที่จะมีความหมายมากกว่าทุกคนในเวลาที่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง


...ไม่ควรมาที่นี่เลย...
...น่าสมเพชจัง...


ยองแจเหลือบมองเพดานแล้วกระพริบถี่เพื่อไล่หยดน้ำที่ก่อตัวไว้ให้ย้อนกลับถึงค่อยไปหยิบช่อดอกไม้บนเก้าอี้ด้านหลังของเพื่อนร่วมบ้านที่ถูกใครต่อใครล็อกคอแหย่เล่นอย่างสนุกสนานก่อนจะเดินออกมาเรียกแท็กซี่หน้าโรงละคร ยามหลังผอมเอนแนบกับเบาะอย่างหมดสิ้นชีวิตชีวา แม้ท้องจะถูกกระทำให้ปวดมวนจากน้ำดีแต่เขาทำได้เพียงเม้มปากทอดสายตาออกไปยังภาพเบื้องนอกที่เคลื่อนไปตามความเร็วของรถ


สัญญาณการกดรหัสถูกต้องดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องชุดที่เปิดกว้าง เจ้าของบ้านถอดรองเท้าลากตัวเองไปห้องน้ำอาเจียนเอาอาหารเคล้าน้ำย่อยรสขมฝาดจนหมดท้องก็กดชักโครกไถลตัวลงมานั่งบนพื้นห้องน้ำ ในมือยังกำช่อดอกไม้ที่เริ่มแห้งโรยไม่สวยดังเก่าไว้แน่นด้วยหยดน้ำใสที่คลอหน่วย


...ไอ้การรักใครสักคน ทำไมถึงทรมานนักนะ...
...คำที่ว่าการตกหลุมรักจะทำให้คนเรามีความสุข ใครกันเป็นคนนิยามมันขึ้นมา
...ในเมื่อความรักที่เขารู้จักมีแค่การมองคนรักได้เพียงข้างหลังเท่านั้น


เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นเรียกให้ต้องหยิบออกมาดู เมื่อเห็นชื่อดวงตะวันปรากฏในฐานะผู้โทรก็ทำเฉยปล่อยมันดังและดับไปอยู่หลายรอบก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงข้อความดังแทน





ในตอนแรกชายหนุ่มไม่คิดว่าจะเปิดอ่านแต่กล่องข้อความที่เด้งแจ้งให้รู้ว่าส่งมาว่าอย่างไรทำให้เขาจำใจต้องกดเข้าไปอ่านและพิมพ์ตอบเรื่องโกหกกลับไปเพราะไม่อยากให้กลายเป็นภาระให้ต้องมานั่งเป็นห่วง หากในตอนที่พยายามจะลุกจากพื้นกระเบื้องห้องน้ำเพียงได้เห็นกลีบดอกไม้จากช่อดอกไม้ที่กำแน่นในมือร่วงโรยไม่สวยดังแรกเริ่มหยดน้ำใสก็รื้นลงเป็นทางอาบพร้อมกับอาการอาเจียนก็กลับมาเล่นงานอีก


ยองแจยันตัวเองลุกจากพื้นอย่างระโหยด้วยทุกอย่างในท้องไหลลงชักโครกไปจนสิ้น เท้าก้าวโซเซออกจากห้องน้ำไปจบลงบนเตียงในห้องนอนอย่างหมดแรงด้วยน้ำตาที่เหลือเอ่อเพียงขอบตา ช่วงเวลาที่ทำได้เพียงทุกข์ทนกับความผิดหวังน้อยใจเพียงลำพัง โทรศัพท์กลับส่งเสียงร้องขึ้นมาอีกครา ทว่าครั้งนี้ชื่อของสายเรียกเข้าบนจอกลับเป็นชื่อของพี่ชายสมัยเด็ก แม้จะไม่อยากให้ใครรู้ถึงความพินาศทางอารมณ์แต่ฮยอนอูคือคนเดียวที่เข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดที่เขาเผชิญจึงกดรับสาย


แค่ได้ยินเสียงสูดหายใจลอดผ่านโทรศัพท์สลับกับความเงียบทำให้ปลายสายรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นเลยเอ่ยปากชวนให้ออกมาข้างนอก


“อยู่บ้านเหรอ...งั้นพี่จะไปรับ”


“คือ...ผม” คนอ่อนวัยกว่าค้านด้วยเสียงที่สั่นเครือ


“ออกมาข้างนอกเถอะ อยู่คนเดียวไม่ดีหรอก อย่าปฏิเสธคำชวนของตำรวจที่เพิ่งว่างจากคดีและยังไม่ได้กินข้าวกลางวันมาหลายวันเลยนะ ถ้าไม่อยากให้ใครมองก็เอาแว่นดำติดมาด้วย”


“อื้อ” หลังจากชั่งใจอยู่นานเขาก็ตอบรับและวางสายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกไปข้างนอกในสภาพนี้ได้ยังไง


--------------แวะคุยกันก่อน----------------
จุดเริ่มต้นของความปวดตับ ตัดมาลงก่อนเพราะมันยาวมาก มีคำถามผิดบอกกันด้วย
และตอนต่อไปน่าจะใช้เวลาระยะหนึ่ง 55555 คนอ่านก็จรลีไปตามระเบียบ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้ายังมีคนอ่านอยู่บ้างก็รบกวนคอมเม้นในบล็อก
รวมถึงติดแท็กฟิค #ficlovetoxical ให้เรารู้ประชากรหน่อยจะได้ส่งพาสฉากติดเรต
ไปให้ถูกคนจ้า

 

You Might Also Like

3 Comments

  1. ไม่ระบุชื่อ4/12/61 11:57

    แงงงงงงงงงง เราหงุดหงิดมากกกกกกกก มากๆแบบมากๆๆๆๆๆ อยากจะวิ่งเขาไปกระชากแดฮยอนมันมาล่ะบอกว่า คุณเขาป่วย นังคนโง่!!! โอ้ยยยยยยยย คือแบบบไอ่บ้าาาาา นี่ชอบเขาจริงป่ะเนี่ยยยยยย สนใจเขาขนาดนั้นแต่ดันมาบอกเป็นแค่เพื่อน เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกนะะะ ในส่วนของ พี่ยูจิน จะยกให้เป็นพระเอกแทนแล้วว ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นบาริสต้า คือดีมากๆ มากกว่านี้คือยกคุณเขาให้แล้ว อย่าไปสนใจนังคนโง่นั่นเลยย กากเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อไหร่จะรู้ตัวเองสักทีอ่ะว่าชอบเขา ไม่สิ รักเลยดีกว่า ฮื่อออออ เป็นการอ่านไปด้วยคับแค้นใจไปด้วย ยิ่งพาร์ทที่พ่อนังมาเจอ แล้วนังบอกว่าอย่าทำอะไรคนรอบๆตัวมันนะ แต่แกก็ไม่ดูแลเขาอ่ะะะ ดอกไม้เขาแกยังยังวางทิ้งไว้เลยยย เราจะย้ายทีมไปอยู่ทีมใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนกากแล้วล่ะค่ะ เซ็งมากๆพวกไม่รู้ใจตัวเอง ยาวมากเว่อ แหะ... ยังคงติดตามอยู่เสมอนะคะ หลังๆมาก็อะไรมากมายในชีวิต อู้วิจัยมาอ่าน ขอบคุณนะคะที่ปล่อยพาร์ทนี้มาเยียวยาเราให้หายจากเป็นซอมบี้ ถึงแม้จะหงุดหงิดกับคนกากก็ตาม เป็นกำลังใจสำหรับพาร์ทต่อไปนะคะ นานแค่ไหนเราก็จะรอนะคะ เราชอบเรื่องนี้มากๆเลย เหมือนตามติดเรื่องราวของเพื่อนคู่นึงที่ไม่ยอมรับกันสักทีว่าชอบกัน ยังไงก็จะรู้วันที่ท้ังคู่รู้ใจตัวเองนะคะ โดยเฉพาะนังคลโง่คลนั้น!!!

    ตอบลบ
  2. น้องงงง เจ็บปวดไปหมด หน่วงในหน่วง อยากดึงน้องเข้ามากอด อ่อนแอมากทั้งร่างกายทั้งใจ แล้วน้องเป็นคนที่แบบคิดว่าตัวเองไม่ดีพออยู่ตลอด ไม่กล้าคิดว่ากากมันจะให้ความสำคัญ ทั้งๆที่จริงๆแล้วตัวเองน่ะโคตรสำคัญสำหรับมันเลย

    ส่วนกากแม่งก็กากจริง ในเรื่องความไม่รู้ตัวของมันนี่หละ นาทีนี้แกต้องรู้ตัวแล้วไหม รักเค้าแล้วแกอ่ะ โดดขึ้นเตียงกอดเค้าจนแขนชาทั้งคืน หอมตัว จุ๊ฟมือ
    โคตรผู้ชายอบอุ่นเลยนะ แต่ก็ยังไม่พออ่ะ ต้องใส่ใจเค้ากว่านี้อีก!! อย่าให้เค้าคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ


    รักกันให้มีความสุขซะทีเหอะะะะะ กลัวยองแจเป็นอะไรไปก่อนจริงๆ สุขภาพย่ำแย่มาก อยากเห็นมีความสุขทั้งคู่เลย ผ่านอะไรมาเยอะทั้งคู่

    ปล. กลัวใจพ่อกากมากอ่ะ ฮือออออ อยากทะลุเข้าไปปลอบน้องแจอ่ะ 😢😢


    .........................

    ไรต์จ๋า เรายังคงชอบภาษาที่เขียนมากๆเลยอ่ะ อ่านเพลินนน //
    เป็นกำลังใจให้นะ ไรต์สู้ๆ 💚

    ตอบลบ
  3. กากเอ๊ยกาก ช่วยใส่ใจคุณเค้าหน่อยเถอะ สงสารคุณเค้ามากๆอ่ะ น้อยใจมากแค่ไหนเสียใจมากแค่ไหนถึงกับอ้วกแตกแถมเพราะที่เป็นขนาดนี้ก็เพราะนอนรอแกทั้งรืนไงเล่านี่ถ้าเสี่ยชาร์ลรู้ว่ามี่ผลเลือดคุณเค้าแย่เกิดจากอะไรแกเละแน่กากเอ๊ย ยกคุณเค้าให้ยูจินตอนนี้ทันมั้ยกากคงใจขาดตายแน่ๆแต่ที่จะตายก่อนคือชั้นเอง555 ถอดสมการอะไรยากเยอะแยะกับคนอื่นทำไมทำดีกับเค้าแบบโบ้มๆส่งคนนั้นเทคแคร์คนนี้แต่จะว่าไปเนี่ยถ้าเพื่อนกากไม่พูดคุณเค้าก็ไม่รู้เรื่องอะไรต่ออะไรให้เก็บไปคิดน้อยใยเสียใจเลยนะเนี่ยแต่ก็อย่างว่าแหละกากเป็นแบบนั้นยริงๆด้วยแหละทำให้คุณเค้าคิดมาก ตกใจเหมือนกันนะตอนที่กากด่าพ่อน่ากลัว เวลากากโกรธนี่คุมอารมณ์ไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าช่วยรู้ใจตัวเองกันสักทีนะจะได้มีความสุขแค่ตอนนี้ก็หน่วงจะแย่ถ้าเจอตอนต่อๆไปละก็ฮืออออออไม่ต้องสืบทางนี่ตายก่อนแน่ๆ แต่ก็รอค่ะรอตอนต่อไปเห็นไรท์ทุ่มเทหลังขดหลังแข็งเป็นกำลังใจให้ค่ะ

    ตอบลบ