LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 15

11:28


รองเท้าผ้าใบสีดำของคนตัวผอมผู้เดินก้มหน้าก้มตามาเสียตั้งแต่ก้าวจากห้องย่ำพ้นจากชายคาอพาร์ทเม้นต์มาสู่พื้นทางเดินด้านนอกเพื่อมาหาชายตัวใหญ่ที่หอบหิ้วอาหารจนเต็มสองมือและยืนรออยู่ท่ามกลางสายลมหนาวซึ่งพัดผ่านมาไล้ลูบผิวเนื้อนอกเครื่องนุ่งห่มให้เย็นเยือก


ฝ่ายตัวเล็กกว่าเหลือบมองพี่ชายสมัยเด็กผ่านแว่นใสที่เคยใช้สวมบังรอยน้ำตาจากความเศร้าเมื่อครั้งทะเลาะกับเพื่อนร่วมบ้านในคราก่อน หากความแดงก่ำของดวงตาไม่อาจซ่อนเร้นหลังเลนส์ใสทำให้อีกฝ่ายรู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ยังเลือกไม่พูดอะไรเพียงย้ายถุงมารวบถือไว้ในมือเดียวเพื่อให้เหลือมืออีกข้างไว้จับแขนดึงให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วพาเดินต่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ถัดจากอพาร์ทเม้นต์แห่งนี้ไปไม่ไกล


“ในบ้านไม่มีแว่นดำเลยเหรอ” ฮยอนอูเอ่ยถามหลังนั่งเอนตัวพิงกับพนักของม้านั่งในสวนโดยมีคนอ่อนวัยกว่านั่งแกะเล็บไปมาอยู่ข้างๆ รอจนได้คำตอบเป็นภาษากายด้วยการส่ายหน้ามือใหญ่เลยหยิบเอาแว่นตาในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกวางไว้ให้บนตักและว่า “เอานี่ไปใส่ล่ะกัน”


แว่นกันแดดเลนส์สีชาทรงกรอบหยดน้ำมีโมเดลหมีจิ๋วเกาะอยู่บนขาแว่นข้างหนึ่งดูราวกับแว่นของเด็กเล็กทำให้ผู้ได้รับหยุดแกะเล็บถามขึ้น


“แว่นของพี่เหรอ”


“ไม่ใช่หรอก” เจ้าของคำตอบทอดเสียงแล้วนิ่งพลางปรายตามองมือผอมที่บีบจับโมเดลหมีตรงขาแว่นไปมาจึงต่อ “แว่นนี่เป็นแว่นตาที่เหยื่อสวมก่อนถูกฆาตกรรมน่ะ”


คำเฉลยต่อท้ายนั้นทำให้มือของยองแจชะงัก ความตกใจมีผลให้ลืมตัวเลิกซ่อนรอยแดงช้ำของดวงตาเงยไปหาพี่ชายคนสนิทตั้งแต่เด็กพร้อมปากที่อ้าค้าง


“พี่...” เสียงแหลมแว้ดลั่น...ชั่วนาทีนั้นความเศร้ากระจัดกระจายหายไปสิ้น


“อะไร” อีกฝ่ายตีมึนย้อนถามขณะหยิบกล่องข้าวจากในถุงพลาสติกมาแกะกิน พอได้ยินเสียงเดิมร้องคำเดิมออกมาด้วยหน้าซีดเซียวหนักกว่าเก่าก็ยิ้มกว้างจึงค่อยเฉลยความจริง “พี่ล้อเล่น...ใครเขาจะเอาของกลางมาให้น้องนุ่งใส่ แว่นนี้ลูกสาวเพื่อนพี่เขาให้มา”


“ล้อเล่นเหรอ...พี่...พี่ฮยอนอู...พี่นี่...ผมตกใจจริงๆนะ ทำไมถึงเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นเนี่ย เมื่อก่อนผมจำได้ว่าพี่ไม่ใช่คนชอบแกล้งอำใครสักหน่อย แค่ไม่เจอกันนานหน่อยกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้วเหรอ หรือว่าพวกตำรวจด้วยกันเขาสอนให้พี่แกล้งคนอื่นด้วยวิธีนี้เนี่ย นิสัยไม่ดี” เจ้าตัวโวยวายลั่นฟาดมือใส่ไหล่ของคนเป็นพี่ไม่ยั้งจากความโกรธที่ถูกทำให้กลัวมาก่อนหน้า หากฝ่ายตรงข้ามกลับหัวเราะขยับถอยไหล่พ้นจากฝ่ามือถึงวางช้อนลงในกล่องข้าวเพื่อลูบหัวปลอบน้อง


“ตกใจจนลืมขี้แยได้แล้วนิ”


คนอ่อนกว่ากระพริบตาเพิ่งเข้าใจจุดประสงค์ของพี่ชายที่ใช้วิธีปลอบให้คลายเศร้าโดยการอยู่ข้างๆและใช้เรื่องอื่นแทรกเข้ามาเพื่อให้ลืมแทนการถามตอกย้ำให้ยิ่งเสียใจเช่นเคยทำเมื่อครั้งเขายังเด็ก


“พี่จะไม่ถามเราหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็เดาได้ไม่ยากอยู่แล้ว แต่มีอย่างหนึ่งที่พี่อยากบอก...แว่นสายตาเลนส์ใสแบบนี้มันบังรอยน้ำตาไม่ได้หรอก ไอ้การก้มหน้าก้มตานั้นก็ด้วย ตอนนี้พี่อยู่ด้วยแล้วอย่าร้องไห้หรือเศร้าไปเลย รอบตัวเรามีคนรักเราตั้งเยอะ ดูสิ พี่ต้องสอบปากคำคนร้ายกับผู้เห็นเหตุการณ์แทบไม่ได้กินไม่ได้นอนตั้งหลายวัน พอว่างพี่ก็มาเราเลยนะ”


“ทำไมถึงอยากมาหาผมแทนที่จะไปพักผ่อนล่ะ”


“เป็นห่วงน่ะ...ตั้งแต่วันนั้นก็เห็นเราส่งข้อความเศร้าๆมาตลอด พอว่างเลยแวะมาดู อย่างว่า พี่มีน้องรักที่ดูแลกันมาตั้งแต่เด็กเหลือคนเดียวก็เลยเป็นห่วง”


“เหลือแค่ผมคนเดียวได้ไง ก็ไหนพี่บอกว่าเคยเจอพวกพี่มาร์คแล้วนี่”


“ถึงได้เจอแต่ก็ไม่เหมือนเดิม ก็อย่างว่า พอเวลาผ่านไป ไม่มีใครไม่เปลี่ยนไปหรอกกับบางคนการเปลี่ยนแปลงอาจจะแค่เล็กน้อย แต่กับบางคนมันอาจจะเปลี่ยนไปมากจนกลายเป็นคนใหม่ที่เราไม่รู้จักไปเลย ขนาดตัวเราเองยังไม่เหมือนเดิมเลยนิ”


“มันก็...” คนเป็นน้องหยุดถอนหายใจแล้วพูดถึงเรื่องใหม่ที่แทรกเข้ามาในความคิด “เออ วันก่อนผมไปแถวบ้านเก่ามา พี่รู้หรือเปล่าว่าเขาทุบบ้านพวกเราแล้วนะเหลือแค่บ้านจินยองหลังเดียวที่ยังทุบไม่หมด”


“รู้สิ”


“แล้วพี่พอจะรู้มั้ยว่าเขาจะสร้างอะไรแทนบ้านของพวกเรา”


“ไม่รู้สิ...พี่รู้แค่พื้นที่ตรงนั้นมันเป็นของแฮรังกรุ๊ป”


“แฮรังกรุ๊ป”


“เราไม่รู้จักเหรอ”


“ไม่ครับ”


“คุณอาเขาไม่เคยพูดถึงเลยเหรอ”


“ไม่นะ...พ่อไม่เคยพูดอะไรถึงที่นี่เลยตั้งแต่ย้ายไปสวีเดน ทำไมครับ มันมีอะไรพิเศษเหรอ”


“ก็แฮรังกรุ๊ปน่ะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งจากการรวมตัวกันของบริษัทแทวานกับฮันฮวาน...สองบริษัทนี้เคยเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนกับบริษัทโควอนของพ่อแจบอมไง พอครอบครัวแจบอมเกิดอุบัติเหตุสองบริษัทนี้ก็เข้ามาเทคโอเวอร์โควอนทันที พ่อพี่บอกว่ามันมีข่าวลือว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของพวกนั้น แล้วตอนที่พวกนั้นเทคโอเวอร์ก็ยังซื้อหุ้นได้ต่ำกว่าราคาพาร์ ไหนจะเรื่องที่ว่าพวกนั้นปลอมแปลงเอกสารเพื่อให้ผู้บริหารของทั้งสองบริษัทได้รับสิทธิ์ถือครองทรัพย์สินของตระกูลอิมทั้งหมดที่ไม่ใช่ในนามบริษัทแต่กระแสข่าวนี้อยู่ได้ไม่นานเพราะอัยการคนดังในยุคนั้นออกมาแถลงว่าตรวจสอบแล้วไม่พบเอกสารหลักฐานการกระทำความผิด ส่วนเรื่องที่ถามว่าเขาเอาพื้นที่ตรงนั้นไปทำอะไร ก็น่าจะทำพวกอสังหาริมทรัพย์ล่ะมั้งนะ”


“อืม...เอาจริงๆเลยนะ ผมรู้น่ะแค่ว่าบริษัทของพ่อพี่แจบอมโดนใครเทคโอเวอร์แต่ไม่เคยรู้เรื่องข่าวลืออะไรนั้นเลย พ่อน่ะตั้งแต่ย้ายไปสวีเดนก็ตัดขาดเรื่องทางเกาหลีไปหมด ถ้าไม่ใช่ว่าลุงของผมป่วยต้องการคนดูแลผมก็คงยังอยู่ที่นู้น ว่าแต่พี่มีเบอร์หรืออะไรให้ผมติดต่อกับจินยองได้บ้างหรือเปล่า”


“จินยองน่ะเหรอ”


“อื้อ”


“ไม่มีหรอก...พี่ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่เคยเจอจินยอง เคยเห็นแต่ในข่าว”


“แล้วพี่มาร์คไม่มีเบอร์ติดต่อจินยองเลยเหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นพี่บังเอิญเจอตอนเขาเดินอยู่ข้างถนน ได้คุยกันนิดหน่อยพอชวนไปกินข้าวด้วยกัน มาร์คเขาบอกว่ามีธุระก็เลยถามไถ่อะไรได้ไม่มาก”


“แต่พี่มีเบอร์พี่มาร์คใช่มั้ย”


“มีแค่คาทกแต่เขาไม่เคยตอบข้อความพี่เลย”


“ทำไมล่ะ”


“พี่จะไปรู้ได้ไง ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเขานิ”


“อย่างนั้นก็ติดต่อไม่ได้เลยสินะ...อา...ละนี่พี่หิวมากเลยเหรอ กินข้าวไปสามกล่องแล้วยังไม่อิ่มอีก” คำถามในเรื่องใหม่แทรกเข้ามาแทนในทันทีที่ตากลมของคนน้องเห็นกล่องอาหารที่กินหมดแล้ววางกองอยู่บนม้านั่งโดยมีอีกกล่องที่ข้าวพร่องไปเกินครึ่งอยู่ในมือของคนเป็นพี่


“หมดนี่ก็น่าจะอิ่ม ว่าแต่เราเถอะไม่หิวเหรอ กินอะไรมั้ย พี่ซื้อมาเยอะเอาไปกินได้นะ”


“ไม่ล่ะ ผมไม่หิว”


“ไม่หิวก็ควรกิน ยิ่งผอมๆอยู่ด้วย เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”


“พี่พูดเหมือนเขาเลย”


“เหมือนใคร...รูมเมทเราน่ะเหรอ”


“อา...” เสียงของน้องเงียบหายไปในอากาศด้วยใคร่ครวญใครบางคนที่ยังไม่อยากนึกถึงอยู่เกือบนาทีกว่าจะหลุดปากพูดต่อออกมาได้ด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ “พี่...ผมน่ะ...ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย ผมไม่อยากเจ็บปวดจากความรัก ไม่อยากกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เอาความรู้สึกตัวเองไปให้ใครอึดอัดรำคาญใจ ผมอยากตัดความรู้สึกที่มีต่อเขาออกไป ผมพยายามหนักมากที่จะไม่คาดหวัง...แต่วันนี้น่ะ กะอีแค่ดอกไม้...พอเห็นว่าเขาลืมดอกไม้ของผมเพราะมัวแต่ชื่นชมดอกไม้ราคาแพงกับเพื่อนคนอื่น ความรู้สึกที่ว่าเราไม่มีค่าเลยนะมันก็...”


“ยังอยู่มั้ย” เสียงทุ้มอุ่นขัดจังหวะเพื่อหยุดการสั่นอันอาจนำไปสู่การร้องไห้ของอีกฝ่ายอีก


“ครับ”


“ไอ้ดอกไม้ของเราน่ะ...ถ้าเขาไม่เอา พี่ขอล่ะกัน”


“ขอไปทำไมครับ”


“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ พี่แค่อยากได้ไม่ได้หรือไง”


“แค่อยากได้เฉยๆหรอกเหรอ ผมนึกว่าพี่ขอเพราะเป็นพวกเดียวกับผมซะอีก”


“พวกเดียวกัน...พวกเราเดียวกันในแง่ไหน”


“ก็พวกไม่มีใครซื้อดอกไม้มาให้ นอกจากซื้อให้ตัวเองน่ะสิ”


“อะไร...ไม่น่าเชื่อ คนอย่างยู ยองแจ เด็กที่ไม่ว่าใครเห็นก็ชมว่าน่ารัก อยากหยิกแก้ม ไม่มีใครซื้อดอกไม้มาให้เลยเนี่ยนะ เหอะ อย่าอำพี่ดิ”


“ผมไม่ได้อำนะ”


“บ้าน่า...มันต้องมีได้บ้างสิ”


“ไม่มีหรอก...ตั้งแต่ย้ายไปอยู่สวีเดน พ่อผมเขากลายเป็นคนประหยัดไปเลย ของอะไรที่มันไม่มีประโยชน์พ่อผมเขาไม่ให้ซื้อหรอก”


“แต่พี่จำได้ว่าคราวก่อนเราบอกว่าเราเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่ ตอนรับปริญญาที่บ้านไม่ซื้อดอกไม้ให้หรือไง”


“ผมไม่ได้ไปรับปริญญาอะ”


“อ้าว...ทำไมล่ะ”


“พอดีว่าตอนเรียนจบลุงของผมท่านเสียชีวิตกะทันหัน หลังจากทำพิธีผมก็ป่วยต้องนอนอยู่โรงพยาบาลกว่าจะหายมันก็เลยวันรับปริญญาไปแล้ว อืม...เดี๋ยวนะ จะว่าไป ตอนนั้นพี่ฮิมชานกับจุนฮงก็เอาดอกไม้ที่ปลูกในบ้านสวนมาให้แต่มันไม่ใช่ดอกไม้ที่ซื้อมานิ แบบนั้นไม่นับรวมหรอกมั้ง” เจ้าตัวบอกแล้วเริ่มพึมพำถามตัวเองในตอนท้าย


“ฮิมชานกับจุนฮงนี่ใคร”


“รุ่นพี่กับรุ่นน้องที่ผมสนิทเหมือนเป็นคนในครอบครัว”


“รู้จักกันทีหลังพี่สินะ”


“อืม”


“ไหนเราบอกพี่ว่าไม่มีเพื่อนไง ก็มีเหมือนกันนิ”


“ไม่นะ พวกเขาไม่ใช่เพื่อน...พี่ฮิมชานกับจุนฮงเป็นเหมือนพี่น้อง เหมือนคนในครอบครัว”


“แล้วพี่ล่ะ”


“พี่ก็ด้วย...เป็นพี่ชาย”


“ดีจังที่ยังเป็นพี่ชายอยู่ เอาล่ะ ถ้าไง...เราไปกันเถอะ”


“ไป...ไปไหนเหรอครับ”


“เดี๋ยวก็รู้”


“แต่ผมไม่อยากออกไปไหนไกลจากที่นี่”


“ไปเถอะน่า เราใส่แว่นดำซะแค่นี้คนก็ไม่รู้แล้วว่าร้องไห้มา”


“พี่แน่ใจเหรอ”


“แน่ใจสิ ออกไปข้างนอกหาอะไรทำพักใจหน่อย มันดีกว่ามานั่งคิดไม่ตกอยู่แบบนี้คนเดียวนะ ปะ ไปเถอะ” ฮยอนอูกวาดข้าวยัดเข้าปากคำสุดท้ายก็เก็บกล่องเปล่าใส่ถุงแล้วฉุดแขนน้องให้ตามตัวเองไปทิ้งขยะจากนั้นจึงลากไปขึ้นรถขับออกไปยังถนนใหญ่อยู่พักหนึ่งถึงเลี้ยวเข้าไปจอดตรงลานหน้าตึกสูงในย่านรอยต่อระหว่างคังนัมและคังดงก่อนจะพาเดินเรื่อยเปื่อยท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบกระทั่งมาถึงหน้าร้านสีขาวสะอาดตาแห่งหนึ่งจึงผลักประตูเข้าไป


ดอกไม้หลากหลายพันธุ์จัดวางตามมุมอย่างสวยงามละลานตาอยู่ภายใน กลิ่นหอมอ่อนรวยรินอบอวลพาให้ฝ่ายถูกลากมากะทันหันรู้สึกสดชื่นก่อนจะเห็นชายหนุ่มตัวเล็กสวมสเวตเตอร์สีเลือดหมูทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลปักตัวอักษรชื่อร้านไว้ตรงหน้าอกยืนจัดดอกไม้ในแจกันทรงสูงหลังเคาน์เตอร์ด้านในสุดของร้าน


“สวัสดีครับคุณฮยอนอู” ชายดวงหน้าเนียนละมุนน่ารักไร้เดียงสาราวกับเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านเงยหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม


“ครับ”


“วันนี้แวะมาเยี่ยมหลุมศพของคุณพ่อคุณแม่เหรอครับ ถ้ายังไงจะให้ผมจัดดอกไม้เหมือนเดิมให้เลยมั้ยครับ”


“ไม่ต้องครับคุณจินฮวาน วันนี้ผมไม่ได้มาซื้อดอกไม้ให้พ่อกับแม่หรอก ผมจะมาซื้อให้น้องน่ะ”


“น้อง” เจ้าของร้านว่ามองมายังลูกค้าใหม่ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ “สวัสดีครับ ร้านเฟอร์ริสยินดีต้อนรับครับ ถ้าคุณลูกค้ามีดอกไม้ชนิดไหนที่อยากได้เป็นพิเศษบอกผมได้เลยนะครับ หรือถ้ายังไม่มีดอกไม้อะไรในใจลองเดินดูในร้านก่อนก็ได้ครับ”


“พี่จะซื้อให้ผมเหรอ” ผู้อ่อนวัยกว่าทำตาโตถามใส่


“ใช่...เห็นเราบอกไม่มีใครซื้อดอกไม้ให้เลย พี่ชายคนนี้เลยจะซื้อให้เอง” พี่ชายตัวโตบอกพลางตบหน้าอกตัวเองในเชิงอวดอ้างความเป็นพี่ชายที่คอยดูแลอยู่เสมอเช่นวันวานพาให้รอยยิ้มที่เหือดหายปรากฏบนใบหน้าที่มีแว่นสีชาบดบังดวงตาอยู่


“ถ้าผมเลือกดอกไม้แพงๆพี่ก็จะซื้อให้เหรอ”


“ได้อยู่แล้ว”


“จริงอะ”


“จริง”


“งั้นผมขอดูรอบก่อนแล้วกัน ถ้าเจอดอกไม้ที่ชอบจะบอก” ฝ่ายอ่อนกว่าว่าพร้อมเดินไปรอบร้านเพื่อมองหาดอกไม้ที่ตัวเองอาจจะชอบจึงได้เห็นว่าในแต่ละมุมของร้านที่มีดอกไม้วางอยู่จะมีป้ายชื่อและความหมายของมันติดอยู่ด้วย สุดท้ายดอกไม้สีขาวและสีม่วงดอกเล็กๆที่มักแซมอยู่ในช่อดอกไม้อื่นในร้านก็ถูกเลือกให้นำมาจัดรวมเป็นช่อ


“ชอบดอกคัตเตอร์เหรอครับ” เจ้าของร้านถามพลางผูกเชือกป่านทับลงบนกระดาษห่อสีน้ำตาล


“ผมรู้สึกว่ามันเหมือนตัวผมน่ะ...แบบว่า มันไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำพอแซมอยู่กับดอกไม้สวยๆดอกอื่นก็ถูกลืม”


“ถึงดอกคัตเตอร์จะดูเหมือนดอกไม้ที่ไม่สำคัญอะไรแต่ถ้าไม่มีมันล่ะก็ดอกไม้ที่คุณว่าสวยพอรวมช่อแล้วมันก็กลายเป็นช่อดอกไม้ที่ไม่มีอะไรเลยได้เหมือนกันนะครับ สำหรับผมแล้วไม่มีใครหรือดอกไม้ดอกไหนในโลกที่ไม่มีค่าหรอก ยิ่งกับคนที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อความสุข ความสวยงามของคนอื่นน่ะ ผมว่าเขาคนนั้นมีค่ามากที่สุด”


ยองแจกระพริบตามองหน้าเจ้าของร้านที่ยังพราวด้วยรอยยิ้มพลางรับช่อดอกคัตเตอร์ช่อเล็กๆมาถือไว้ในมือก่อนจะเดินออกจากร้านมาเดินบนทางเท้าพร้อมพี่ชายตัวโตคนเดิมโดยไม่พูดอะไรแค่ปล่อยความเงียบดำเนินไปกระทั่งคนพี่เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน


ยองแจ...พี่ไม่รู้นะว่าก่อนจะเจอกัน เราผ่านอะไรมาแต่พี่ไม่อยากให้เราคิดเอาเองว่าตัวเองไม่มีค่า คนเราน่ะต่อให้ต่ำต้อยในสายตาคนอื่นแค่ไหนแต่ถ้าใจเราไม่คิดดูถูกตัวเองล่ะก็ไม่มีทางที่ใครจะฉุดเราลงต่ำได้ และพี่ยังหวังอยู่นะว่าวันหนึ่งเราจะคิดได้ว่าควรหันกลับมารักตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองเจ็บปวดจนชินชาเพราะมันอาจจะทำให้เรารักใครไม่ได้อีกเลย”


ถ้อยคำห่วงใยจากพี่ชายพร้อมแขนกว้างที่โอบร่างผอมให้เข้ามาหาแล้วพาเดินต่อไปด้วยกันทั้งอย่างนั้นเพื่อประโลมปลอบน้องไว้ไม่ให้เศร้า


“จำไว้ล่ะว่าเรายังมีครอบครัวและคนที่รักเรา อย่างน้อยก็มีพี่รวมอยู่ด้วย”


“อืม...ขอบคุณครับ” ฝ่ายอ่อนกว่าตอบรับเอนคอพิงหัวกับแขนแข็งแรงแล้วก้าวเท้าไปพร้อมกับคนตัวใหญ่อยู่พักหนึ่งจึงหยุดเดินเพราะถูกเจ้าของแขนที่พิงอยู่พักหนึ่งรั้งไว้


เล่นมั้ย” เสียงจากพี่ชายตัวโตถามขึ้นขณะเดินเข้าใกล้ตู้คีบตุ๊กตาและข้าวของที่ตั้งเรียงรายทาง


พี่อยากเล่นเหรอ”


อืม...ลองดู”


คนแก่กว่าหยุดยืนหน้าตู้หยิบธนบัตรจากในกระเป๋าสตางค์ยื่นเข้าไปในช่องรับเงินแล้วยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งถึงลงมือคีบตุ๊กตาด้วยสีหน้ามึนงงเช่นเดียวกับท่าทางที่เก้ๆกังๆ ทำให้ฝ่ายยืนมองการเล่นอยู่นานหลายรอบหลุดยิ้มออกมา


“ทำไมพี่เล่นกากขนาดนี้เนี่ย มานี่มาผมเล่นเอง” หลังจากเฝ้าดูมานานคนน้องก็ออกโรงช่วยเล่นอย่างแข็งขันแต่กลับกลายเป็นคีบไม่ได้เลยสักตัวเหมือนกัน


“โธ่เอ๊ย...บอกพี่กาก ไอ้เราก็กากเหมือนกันนี่หว่า”


“ไม่กากซะหน่อย คอยดูสิ ผมจะคีบตุ๊กตาให้พี่ให้ได้เลย”


“เออ จะรอดู”


ฮยอนอูตอบรับพลางกอดอกเฝ้ามองน้องสมัยเด็กที่กำลังเพลินไปกับการเล่นคีบตุ๊กตา แม้จะไม่เห็นสีหน้าหากรอยยิ้มที่ผุดพรายก็เพียงพอให้เขารู้ว่าความเจ็บปวดถูกปัดเป่าออกไปได้บ้างแล้ว ถึงมันจะจางหายไปไม่ได้ทั้งหมดและมันจะย้อนกลับมาทำร้ายน้องได้อีกในไม่ช้า หากการได้หลุดพ้นจากความเศร้าได้บ้างก็ยังดีกว่าจมอยู่กับมันไปตลอดชีวิต
-------------------------------------------

เสียงสัญญาณการสแกนบัตรพนักงานข้างประตูแต่ไม่สแกนไม่ได้หลายครั้งคล้ายบัตรมีปัญหาเรียกให้ชายตัวสูงที่ยืนเท้าแขนอยู่บนฉากกั้นใสตรงโต๊ะทำงานห่างออกไปไม่ไกลให้หันมามอง เมื่อสายตาเห็นรุ่นน้องคนสนิทซึ่งหายหน้าหายตาไปเล่นละครเวทีหอบดอกกุหลาบช่อโตเดินเข้ามาก็เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยถามแทนการทักปกติไปโดยพลัน


“เอ้า...แดฮยอน วันนี้มึงมีเล่นละครเวทีไม่ใช่ไง ทำไมถึงเข้าออฟฟิศวะ”


“วันนี้ผมไม่มีรอบแสดงแล้วอะพี่ ตอนแรกตั้งใจจะกลับบ้านไปนอนอยู่เหมือนกันแต่เจอพวกวอนอูมันหลังเวที มันบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงครบรอบบริษัท ผมเลยแวะเข้ามานอนเอาแรงที่นี่ตอนเย็นจะได้ไปงานเลย ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” รุ่นน้องเจ้าของชื่อสแกนบัตรผ่านได้ในที่สุดตอบพลางวางช่อกุหลาบไว้บนเก้าอี้รับรองผู้มาติดต่อ


“งานเลี้ยงเหี้ยไร มีซะที่ไหนล่ะไอ้ห่า บอสเขาไม่อยู่ อีกสองอาทิตย์ถึงจะกลับเลยรวบยอดวันครบรอบบริษัทกับวันคริสต์มาสไปจัดรวมกับวันปีใหม่โน้น พี่ซองอาเขาส่งอีเมล์แจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนแล้วด้วย”


สิ้นคำคิ้วเข้มของแดฮยอนกลับกระตุกแรงพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ค่อยๆกำเข้าหากันจนแน่นทีละน้อยเพื่อสะกดอารมณ์รุนแรงที่ปะทุขึ้นมา ความตั้งใจแต่แรกเริ่มของเขาคือการไปหารูมเมทที่ร้านกาแฟทว่าเมื่ออีกฝ่ายมาชมการแสดงใจก็คิดแค่จะออกไปหาอะไรกินแล้วเดินเล่นด้วยกันให้หายคิดถึง ถ้าไม่ใช่เพื่อนร่วมงานแจ้งข่าวงานเลี้ยงของบริษัทผิดแล้วล่ะก็ ตอนนี้เขาคงอยู่สวนสาธารณะสักแห่งไปแล้ว


ลำพังแค่เพื่อนเข้าใจผิดทำให้แผนทุกอย่างในใจพังไม่ไปท่า ดอกไม้ช่อน้อยที่ยองแจซื้อมาก็ดันหายไปอีก ความหงุดหงิดเลยเพิ่มทวีคูณถึงขนาดที่อยากจะใช้กำลังทำลายอะไรสักอย่างระบายอารมณ์ หากก็ทำได้เพียงแกล้งยิ้มซ่อนความรู้สึกในใจไว้


“งั้นผมกลับก่อนนะพี่”


“อ้าวเฮ้ย...อุตส่าห์เข้าออฟฟิศมาทั้งทีจะกลับล่ะ”


“ผมเข้ามาเพราะคิดว่ามีงานเลี้ยง ในเมื่อไม่มีผมจะอยู่ทำไม กลับไปนอนที่บ้านสบายกว่านอนในสตูดิโอตั้งเยอะ ไปนะพี่ อีกสองวันผมหมดคิวเล่นละครเวทีล่ะ ไว้เจอกันครับ”


“เดี๋ยวๆ...แล้วดอกไม้มึงนี่ล่ะ ไม่เอาไปด้วยวะ”


“ผมขี้เกียจหอบกลับ ไว้บริษัทนี้แหละ เดี๋ยวคงมีคนเอาไปเอง”


“ไอ้ห่า เสียดาย ดอกกุหลาบเยอะขนาดนี้มันคงแพงมาก”


“พี่อยากเอาไปจีบสาวก็เอาไปได้นะ หรือไม่ก็ให้พี่ซองอาเขาไปตัดใส่แจกันในห้องรับแขกก็ได้ ผมไปล่ะ”


ชายหนุ่มร่ำลาแล้วลากเท้าพาตัวเองออกไปยืนหน้าบริษัท ในตอนแรกเขายืนรอแท็กซี่เพื่อใช้โดยสารกลับที่พักแต่นึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่อยากจะทำก่อนจึงหันหลังเดินมุ่งไปยังย่านร้านค้ายอดฮิตของคนเกาหลีและนักท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจนเจอเข้ากับร้านขายดอกไม้ถึงผลักประตูเข้าไปใช้เวลาอยู่ในนั้นไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับช่อดอกฟอร์เก็ตมีน็อตซึ่งจัดรูปแบบกระทั่งกระดาษห่อเหมือนกับที่เพื่อนร่วมบ้านมอบให้ราวกับเป็นช่อเดียวกัน


เพราะจำมันได้แม่นว่า ช่อดอกไม้ที่อีกฝ่ายซื้อมาให้เป็นยังไง ทั้งที่ตั้งใจจะเก็บมันไว้รอจนมันเฉาลงหน่อยจะได้ให้ร้านไปอบแห้งใส่กรอบแขวนไว้ในห้องตัวเองแต่มันดันหายไปซะได้ พอมันหายไปก็รู้สึกผิดเลยอยากซื้อกลับไปคืนให้แล้วค่อยขอมาเก็บไว้เองใหม่


เขาชอบความรู้สึกเวลาได้รับของจากยองแจ ถึงจะเป็นของเล็กน้อยไม่มีราคาค่างวดแต่เขากลับยินดีมากกว่าการได้รับของหรูราคาแพงจากคนอื่นเสียอีก


แดฮยอนถือช่อดอกไม้ไว้ในมืออย่างทะนุถนอมพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาใครคนหนึ่ง หากเสียงแจ้งเตือนว่าติดต่อหมายเลขนี้ไม่ได้ในขณะนี้ทำให้คิ้วเข้มขมวดแทบเป็นปมก่อนจะจำเรื่องที่รูมเมทบอกกับเขาว่ามีธุระต้องไปทำและแบตโทรศัพท์หมดได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งข้อความไปถามไถ่ตามประสาค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้านด้วยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะทำธุระเสร็จและรออยู่ที่บ้านแล้ว


ทว่าทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เพราะเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องชุดกลับไม่มีรองเท้าคู่โปรดของเพื่อนร่วมบ้านวางอยู่บนชั้น อีกทั้งในห้องก็เงียบเชียบกระทั่งหน้าต่างตรงเฉลียงที่จะถูกเปิดทิ้งไว้เพื่อรับลมเสมอเวลาอีกคนอยู่บ้านก็ปิดสนิท ทำให้ใจเริ่มกังวลเลยกดส่งข้อความไปหาอีกหน จากนั้นจึงกดโทรหารุ่นพี่อย่างฮิมชานเพื่อจะถามแต่ไม่มีใครรับสาย


สุดท้ายต้องไปเลียบๆเคียงๆส่งข้อความไปหาคนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานอย่างซองวอนเพื่อถามถึงรู้ว่า ฮิมชานไปทำงานต่างประเทศก็ได้ฤกษ์ออกไปเดินตรัดเตร่ตามหาจากบ้านไปร้านกาแฟและเลยต่อออกไปอีกหลายกิโลด้วยความกังวล เกือบจะเรียกแท็กซี่ไปส่งถึงร้านที่เคยไปซื้อเมล็ดกาแฟ หากระยะทางไกลบวกกับเวลาหนึ่งทุ่มกว่าจึงตัดสินใจกลับไปรออยู่ที่บ้านแทน


...ข้อความสุดท้ายบอกไว้ว่าไปทำธุระ...

...ยองแจไม่เคยกลับบ้านหลังสี่ทุ่ม ไปรออยู่ที่บ้านน่าจะดีกว่า...


ด้วยความเชื่อนั้นเองที่ทำให้พอกลับมาพบความมืดมิดแสนเงียบเหงาภายในห้องชายหนุ่มถึงกับคอตก ได้แต่ไปอุ่นข้าวในตู้เย็นกินให้อิ่มท้องค่อยเข้ามาในห้องนั่งเล่น ตอนนั้นเองเขาถึงสังเกตเห็นเสื้อยืดสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งแขวนตากอยู่บนราวใกล้กับเฉลียงก็นึกแปลกใจด้วยปกติเจ้าของบ้านไม่ค่อยชอบทำงานบ้านเวลาซักผ้าราวจะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าจนแน่นไปหมด แต่จะให้ถามว่าทำไมถึงตากเสื้อไว้แบบนี้ก็ไม่รู้จะถามยังไงเลยได้แค่ไถลตัวลงนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นรอด้วยใจจดจ่อ ในมือยังจับโทรศัพท์คอยส่งข้อความไปหาเพื่อนร่วมบ้าน กระทั่งได้ยินเสียงสัญญาณเปิดประตูก็ลุกพรวดวิ่งออกไปหาแทบไม่ทัน


ยองแจกอดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่ฮยอนอูอุตส่าห์ใช้เงินไปเกือบแสนวอนเพื่อคีบตุ๊กตาเหลือบมองเพื่อนร่วมบ้านที่ยืนยิ้มกว้างขวางทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน แม้จะออกไปคลายเครียดกับพี่ชายสมัยเด็กนานหลายชั่วโมงแต่เมื่อเห็นหน้าความน้อยใจที่คั่งค้างก็ก่อตัวขึ้นแต่ไม่อาจแสดงออกทำได้แค่แกล้งวางเฉยเอ่ยถามเสียงเรียบ


“ไม่ไปงานเลี้ยงเหรอ”


“วันนี้ไม่มีงานเลี้ยงหรอก ไอ้วอนอูมันลืมเช็กเมล์บริษัทเลยไม่รู้ว่างานเลี้ยงมันเลื่อน”


“อ๋อ”


“แล้วนายล่ะ...ออกไปไหนมา ปกตินายกลับบ้านไม่เกินสี่ทุ่มไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้กลับมาเกือบห้าทุ่มเลยล่ะ...อย่าบอกนะว่า นายออกไปเดตมาน่ะ อะไรเนี่ย มีแฟนไม่เห็นบอกกันเลย” ฝ่ายตั้งคำถามชุดใหญ่ยังคงเหยียดยิ้มเช่นเคย หากตาคมจ้องตุ๊กตาหมีเขม็ง ส่วนมือทั้งสองข้างที่ไขว้อยู่ด้านหลังกลับกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว


...ปากพล่อยถามออกไปเองแท้ๆ แต่ดันรู้สึกหงุดหงิดในคำถามของตัวเองไปเสียฉิบ...


“แฟนเฟินอะไร...ฉันไปกินข้าวกับพี่ชายของฉันมาต่างหาก”


“พี่ชาย...พี่ชายแท้ๆน่ะนะ นี่เขาบินจากสวีเดนมาหาเหรอ”


“ไม่ใช่พี่ยองวอนหรอก เป็นพี่ชายที่ฉันสนิทตั้งแต่เด็กน่ะ”


“พี่สมัยเด็ก...อา ไปกินข้าวกับพี่นี่เอง ไอ้เราก็นึกว่านายออกไปเที่ยวกับแฟนจนลืมกลับบ้านซะอีก ลืมไปว่านายไม่เคยมีแฟนมีแต่คนที่แอบชอบ ไม่น่าคิดไปในทางนั้นได้เลยเนาะ”


“ใครบอกนายว่าฉันไม่เคยมีแฟน”


“เอ้า เคยมีด้วยเหรอ ไม่ยักกะรู้”


“เห็นแบบนี้ฉันก็เคยมีแฟนเหมือนกันนะ แฟนเก่าฉันน่ะเป็นผู้หญิงสวีเดน นิสัยดี เรียนเก่งแล้วก็สวยมากเลยด้วย เผลอๆอาจจะสวยกว่าผู้หญิงที่นายเคยคบมาทั้งหมดเลยด้วย”


“ถ้าดีขนาดนั้น แล้วทำไมถึงเลิกกันอะ”


“เธอบอกว่า ฉันน่ะดีเกินไปก็เลยเลิกกันก็แค่นั้น”


“ดีเกินไปเลยขอเลิกเนี่ยนะ โหย สุดยอด เป็นเหตุผลบอกเลิกที่แปลกดี ฉันไม่เห็นเคยโดนบอกเลิกเพราะดีเกินไปสักที ส่วนใหญ่เธอบอกแต่ว่าฉันน่ะไม่ค่อยสนใจ ชอบแต่เอาใจคนอื่นไปทั่วจนเธอไม่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ แต่ว่านะคนเราจะให้ดีแต่กับคนที่คบก็ไม่ไหวมั้ง ดูเห็นแก่ตัวยังไงก็ไม่รู้” คนตัวสูงกว่าลูบหน้าพลางเหลือบตาสูงไปด้านบนอย่างครุ่นคิดยังคงไม่เข้าใจในสาเหตุของการบอกเลิกที่ผ่านมาของตัวเองจึงไม่ทันสังเกตสีหน้าของฝ่ายที่ได้แต่กัดฟันอยู่ในปากอย่างอดทน


“นายคบเขาเพราะรักเขาหรือคบเพราะคิดว่าน่าจะเข้ากันได้ล่ะ”


“ก็...ไม่รู้เหมือนกัน แบบว่าถ้าเห็นหน้าแล้วชอบก็ลองสานสัมพันธ์ดูก็แค่นั้น”


“แสดงว่าเจอใครสวยก็ชอบ ไม่เคยรักใครจริงจังเลยสินะ”


“เคยนะ...ฉันน่ะรักแม่กับพี่แล้วก็ยายฉันไง”


“นอกจากคนในครอบครัวน่ะ...มีบ้างมั้ย”


“ฉันก็อยากจะรักใครแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะแต่มันหายากจะตายไป...ผู้หญิงน่ะเข้าใจยากจะตาย ทำตัวดี นิสัยดี เฟรนด์ลี่ก็ไม่ชอบ ทำตัวเงียบๆก็ไม่เอาอีก อยากให้เราดีแค่กับเธอคนเดียวแต่คนเราก็ต้องมีสังคมนะ จะให้ทำตัวแย่ใส่กับเพื่อนฝูงหรือคนรอบข้างก็ไม่ไหวหรอก”


“ก็เลือกดีแค่กับคนที่ควรดีด้วยก็พอแล้ว”


“ดีแค่กับพวกตัวเองก็ไม่ไหวหรอก ฉันไม่อยากเป็นคนแบบที่ดีกับพวกตัวเองแล้วร้ายกับคนที่ไม่ใช่พวกอะ มันใจร้ายเกินไป”


“แต่ถ้านายดีกับทุกคนอยู่แบบนี้ นายไม่มีวันหาคนที่นายรักหรือเป็นรักแท้ของนายเจอหรอก เพราะนายจะไม่เห็นใครพิเศษพอที่นายอยากจะดีด้วยแค่คนเดียว”


“ฉันไม่ได้ดีกับทุกคนไปหมดซะหน่อย”


“แต่ที่ดีด้วยก็ไม่รัก” จากที่หลุบตามองพื้นเพื่อเก็บงำความเศร้าไว้อยู่นาน ท้ายสุดก็เงยหน้าสวนคำกลับไปด้วยความโมโหอันเกิดจากความเสียใจ หากอีกฝ่ายกลับผงะพลางกระพริบตามองเจ้าของบ้านที่ทำตาขวางใส่อย่างไม่เข้าใจแล้วถามกลับอย่างหวาดๆ


“เป็นอะไรไป...โกรธอะไรฉันเหรอ”


“ก็ควรโกรธมั้ยล่ะ คนกลับมาเหนื่อยๆ หิวน้ำจะแย่ ยังมายืนขวางทางถามไม่หยุดอยู่ได้ แบบนี้ฉันจะได้เข้าบ้านไปกินน้ำตอนไหนเนี่ย”


“โอ๊ะ...ขอโทษ ฉันลืมไปว่ายืนขวางนายอยู่”


เมื่อรู้เหตุผลคนตัวสูงกว่าก็ขยับถอยปล่อยให้เจ้าของบ้านเดินผ่านตัวเองหายเข้าไปในห้องครัวถึงเดินตามไปเกาะประตูมองดูแผ่นหลังบางของฝ่ายตรงข้ามที่ดื่มน้ำแร่ขวดจากบนชั้นข้างตู้เย็น เขาปล่อยให้ความเงียบงันดำเนินไปอยู่เพียงครู่ก่อนจะปล่อยให้ความหวงที่กินลึกอยู่ในใจสร้างคำถามขึ้นมาใหม่


“ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายมีเพื่อนสมัยเด็กคนอื่นอีก นึกว่าจะมีแต่เพื่อนที่ชื่อจินยอง”


“อืม” ฝ่ายที่ดื่มน้ำดับกระหายตอกกลับขณะที่มือเริ่มจะบีบขวดน้ำแรงขึ้นทีละน้อย


“แล้วพี่คนนั้นเขาเป็นยังไง ใจดีมั้ย ละตุ๊กตาตัวนั้นพี่คนนั้นเขาซื้อให้นายด้วยหรือเปล่า อา ฉันขอเบอร์พี่คนนั้นของนายไว้ได้มั้ย”


“นายจะขอไปทำไม พี่เขาไม่ใช่พี่นายซะหน่อย”


“ต้องรู้ไว้สิ เกิดนายไม่กลับบ้านแล้วโทรศัพท์แบตหมดเหมือนวันนี้อีกฉันจะได้ตามนายเจอไง”


“ตามฉันเจอน่ะเหรอ...นายพูดเหมือนกับฉันเป็นเด็กสามขวบที่ออกไปข้างนอกแล้วจะหลงทางอย่างนั้นแหละ”


“รู้หรอกน่าว่านายไม่ใช่เด็ก แต่ฉันเป็นห่วง ถ้าไม่อยากให้ฉันขอเบอร์พี่เขาไว้ นายก็บอกฉันหน่อยสิว่าไปไหน เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นฉันจะได้ไปช่วยทัน”


“ไม่ต้องห่วงฉันนักหรอก ฉันดูแลตัวเอง”


“ก็นายเป็นเพื่อนสนิทฉันแถมยังไม่ค่อยสบายด้วย จะไม่ให้ฉันห่วงได้ไงเล่า”


...เพียงคำว่าเพื่อนสนิทผ่านเข้าหูก็เหมือนตะปูที่ถูกค้อนคอยตอกใจให้ฝ่ายพยายามอดกลั้นสติขาดผึง...


“สนิทกันที่ไหน ยังมีอีกตั้งหลายเรื่องที่นายไม่รู้เกี่ยวกับฉัน” เจ้าของบ้านตวาดใส่สุดเสียงก่อนความเงียบจะเข้ามาแทนที่แทรกด้วยเสียงขวดน้ำที่กำลังคลายตัว ชั่วนาทีที่ได้เห็นความเศร้าหมองอย่างรู้สึกผิดของคนตรงหน้าก็นึกโทษตัวเองกับการใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวไปใส่กับฝ่ายที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย


“อา...ขอโทษนะ ฉันเหนื่อยน่ะ พอนายถามอะไรมากๆ ฉันปวดหัวก็เลยหงุดหงิดไปหน่อย”


“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันสิต้องขอโทษ เมื่อกี้นายเพิ่งบอกเองว่าเหนื่อยก็ยังชวนคุยไม่หยุด ถ้าเหนื่อยมากก็ไปพักเถอะแต่ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกฉันนะ ฉันจะได้พาหมอ”


“ไม่หรอก...ฉันสบายดี แค่ออกไปเที่ยวมาทั้งวันก็เลยเหนื่อยมากไปหน่อย นายไม่ต้องห่วงหรือใจดีด้วยนักหรอก ฉันไม่เป็นไร ถ้าไงฉันขอตัวไปนอนก่อนนะ”


“ไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ เดี๋ยวไม่สบายตัวนะ”


“มันเหนื่อยน่ะ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยอาบ นายเองก็รีบนอนเถอะ มีเล่นละครเวทีแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”


“อืม”


“งั้นฉันไปแปรงฟันก่อนนะ”


เจ้าของบ้านแกล้งปิดปากหาวหวอดแล้วเดินออกจากครัวตรงไปห้องน้ำปล่อยทิ้งเพื่อนร่วมบ้านของตนเองให้คว้างอยู่ในห้องครัว หลังแปรงฟันไปปาดน้ำตาในห้องน้ำอยู่พักหนึ่งถึงเปิดประตูเข้าห้องทิ้งตัวลงบนเตียงในความมืด เปลือกตาคล้อยปิดลงอย่างอ่อนล้ามีเพียงตุ๊กตาตัวใหม่ที่กอดไว้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ก่อนที่เสียงเคาะประตูเบาๆจะดังขึ้น


“นายหลับหรือยัง” คำถามเอ่ยให้ได้ยินตามหลังมาแล้วเงียบไปครู่คล้ายรอฟังการตอบกลับ หากคนในห้องเลือกจะเงียบ


“ฉันขอโทษจริงๆนะ...ขอโทษที่เซ้าซี้ถามไม่หยุดทั้งที่นายเหนื่อย ขอโทษที่วุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของนาย เรื่องดอกไม้ที่ฉันทำหายแล้วก็เรื่องที่บอกนายว่าเป็นเพื่อนสนิทด้วย ฉันลืมไปว่านายไม่อยากเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่เผลอพูดแบบนั้นอีกแล้ว นายจะโกรธฉันก็ได้แต่อย่าเกลียดฉันเลยนะ”


สุ้มเสียงทุ้มกังวานเว้าวอนอย่างคนยอมจำนนแม้ไม่รู้เหตุผลอยู่หลังบานประตูเป็นผลร่างผอมที่นอนคุดคู้ฟังอยู่ดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าปล่อยให้เสียงนั้นเงียบหายไปเองแล้วพยายามข่มตาให้หลับ ทว่าความเห็นแก่ตัวของเขาทำให้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษอยู่ร่ำไปทำให้รู้สึกผิดจนน้ำตาที่เหือดแห้งไปพักใหญ่รินออกมาก่อนจะเผลอหลับไปกับคำถามในใจที่ว่า


...เมื่อไหร่ถึงจะตัดใจได้ซะที...
------------------------------------------

บานประตูห้องนอนเปิดกว้างพร้อมกับร่างผอมของคนในห้องที่โซเซเดินออกมาอย่างหนักอึ้งคล้ายถูกก้อนหินใหญ่กดทับ ชั่วขณะที่พ้นจากขอบประตูเท้ากลับเหยียบถูกบางสิ่งบนพื้นและเมื่อกระพริบตาปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงมองไปบนพื้นถึงได้เห็นว่าเท้าเหยียบขอบกระดาษห่อช่อดอกฟอร์เก็ตมีนอตที่มีการ์ดเล็กๆผูกติดอยู่จึงก้มลงไปหยิบมันมาดู


...ขอโทษที่ทำดอกไม้หายนะ ฉันซื้อมาคืนให้ ถ้าฉันไม่มีรอบแสดงแล้วและมันยังไม่เหี่ยวช่วยให้มันกับฉันใหม่จะได้มั้ย


ยองแจจ้องช่อดอกไม้ที่มีรายละเอียดของห่อกระดาษ การจัดช่อของดอกฟอร์เก็ตมีนอตเสียบประดับด้วยดอกคัตเตอร์กระทั่งเชือกป่านผูกนั้นเหมือนช่อดอกไม้ที่เขาซื้อไปเมื่อวานแทบจะไม่ผิดเพี้ยนเป็นการจดจำที่บอกถึงความสำคัญยิ่งกว่าคำพูด


...ที่ว่าไม่ได้ตั้งใจทำหายเป็นเรื่องจริง...


ในนาทีที่คิดได้ดังนั้นภาพความทรงจำในเหตุการณ์เมื่อวานก็ย้อนกลับมาเรียกน้ำตาให้รื้นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หลังมือขาวยกปาดออกไม่ให้มันไหลอาบแก้มพลางสูดน้ำมูกสองสามทีก็ลุกจากพื้นถือช่อดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะในครัว หลังอาบน้ำดื่มกาแฟเรียกสติได้แก้วหนึ่งจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาไล่ตอบข้อความทั้งหมดที่ค้างอยู่แล้วกดโทรออกซึ่งปลายสายก็รับรวดเร็วชนิดไม่ให้ได้ยินเสียงรอสาย


“ไง...ตื่นแล้วเหรอ เมื่อคืนหลับสบายมั้ย” เสียงทุ้มทักทายแทนฝ่ายโทรเข้ามาอย่างสดใส


“อืม ฉันกำลังจะไปเปิดร้าน ละนี่อยู่ที่โรงละครเหรอ” อีกคนอ้อมแอ้มถามหยั่งเชิงด้วยไม่รู้ว่าปลายสายจะมีปฏิกิริยาอะไรจากเมื่อคืนหรือไม่แต่ทุกอย่างก็เป็นปกติ


“ใช่ ทีมงานเขานัดนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียงมาแต่งหน้าแต่งตัวก่อนจะได้ไม่ไปแยกกับพวกนักแสดงดังๆเลยต้องมาแต่เช้า”


“อ้อ...แล้วนี่จะแสดงหรือยังอะ”


“ใกล้แล้วละ”


“แสดงเร็วจัง”


“เรื่องนี้มันมีไอดอลกับนักแสดงดังแสดงด้วยนี่นะ แถมวันนี้มันวันเสาร์อีก พวกแฟนคลับ แฟนละคร เขาก็แห่กันมาดูแต่เช้า”


“เหรอ งั้นฉันวางสายก่อนแล้วกัน ไว้แสดงเสร็จค่อยคุยใหม่”


“ไม่ๆ อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่งวาง ฉันอยากได้ยินเสียงนายจะได้มีกำลังใจไปแสดงละคร” ปลายสายรีบรั้งก่อนที่เสียงจากทีมงานเรียกตัวนักแสดงให้รอสแตนบายพร้อมการถามว่าคุยกับใครอยู่จะลอดมาให้ได้ยิน


“ขออีกนาทีหนึ่งครับ คนสำคัญของผมเขาโทรมา ขอผมคุยอีกนิดจะรีบไปครับ” ถ้อยคำที่ตะโกนตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล นั้นทำให้ใจของคนได้ยินสะดุดรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้ง


“ฉันต้องไปแล้วล่ะ แต่ยังไม่อยากวางสายเลย”


“ไปเถอะ ไว้ทำงานเสร็จค่อยคุยกันก็ได้”


“แต่เวลาฉันโทรไปนายชอบไม่รับโทรศัพท์อะ...ส่งข้อความไปกว่าจะตอบก็นาน”


“วันนี้ถ้านายโทรหาแล้วฉันรับไม่ทันจะรีบโทรกลับก็แล้วกัน”


“จริงนะ...สัญญาได้เปล่า”


“อืม”


“ไม่แค่วันนี้ได้มั้ย วันอื่นช่วยรับโทรศัพท์หรือโทรกลับหาฉันด้วยไม่ได้เหรอ”


“มันต้องดูด้วยว่าที่ร้านยุ่งหรือเปล่า”


“โอเค แค่วันนี้ก็ได้”


“แล้ววันนี้จะกลับบ้านมั้ย”


“คงไม่อะ ฉันมีคิวแสดงละครเวทีสองวันติดเลย พอพ้นจากนี้ไอดอลที่รับบทนี้เขาไม่มีคิวโปรโมทตามรายการเพลงจะกลับมาเล่นจนถึงวันสุดท้ายที่จัดแสดงเลย”


“งั้นก็นอนออฟฟิศอีกสิ”


“คงนอนออฟฟิศเหมือนเดิมแหละ เออ จะว่าไปวันก่อนน่ะฉันกลับไปนอนบ้านนะ ฉันเห็นนายละเมออยู่ข้างนอกเลยพาไปนอนแต่เมื่อวานไม่เห็นนายละเมออีก แต่ยังไงก็เถอะล็อกบ้านดีๆก่อนนอนนะเผื่อนายละเมอเดินไปไหน นี่ฉันก็บอกผู้ดูแลกับยามไว้ให้คอยดูนายไว้แล้ว”


“ฮะ...นี่นาย...นายกลับบ้านมาด้วยเหรอ”


“กลับสิ กลับไปนอนก่อนวันแสดงจริงไง”


“ฉันไม่เห็นรู้เลย”


“ก็นายละเมอจะรู้ได้ไงว่าฉันมา”


“อืม อ้อ เรื่องดอกไม้น่ะ มันหายไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ไม่เห็นต้องซื้อมาคืนเลย”


“ก็ฉันอยากได้มันเก็บไว้นี่แต่มันดันหาย ทั้งที่เป็นดอกไม้ช่อแรกที่นายให้ฉันแท้ๆ เพราะงั้นฉันเลยซื้อมาเผื่อว่าถ้าฉันกลับไปบ้านแล้วมันยังไม่เหี่ยวนายจะได้ให้มันกับฉันใหม่ ฉันน่ะให้เจ้าของร้านดอกไม้จัดช่อเหมือนที่นายให้ฉันเลยนะ”


“แล้วดอกกุหลาบช่อโตๆนั้นล่ะ ไม่เห็นนายเอากลับมาด้วย”


"...อา ครับ จะไปแล้วครับ ยองแจ ฉันต้องไปแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนนะ ไว้จะโทรหา รับสายฉันด้วยนะ ถ้ารับไม่ทันโทรกลับด้วย สัญญาแล้วนะ บายจ๊ะ”


แดฮยอนกล่าวลาแทนการตอบคำถามก่อนจะเดินไปเก็บโทรศัพท์ในตู้ล็อคเกอร์ค่อยตามออกไปสแตนบายเตรียมตัวขึ้นแสดง ถึงจะยุ่งอยู่กับงานบทบาทใหม่ แต่ไม่เคยลืมส่งข้อความและโทรหาเพื่อนร่วมบ้านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และด้วยความทุ่มเทสวมบทบาทคาวบอยหนุ่มได้อย่างสมจริงราวกับเป็นตัวตนจริงในทุกครั้งที่อยู่บนเวทีทำให้ได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงานรวมถึงทีมงานอยู่ตลอด


การแสดงรอบสุดท้ายสำหรับละครเวทีเรื่องแรกของเขาปิดฉากลงในเวลาสี่ทุ่มสามสิบนาทีของวันจันทร์พอดี ชายหนุ่มเก็บข้าวของเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาไล่โค้งบอกลาทีมงานและเพื่อนนักแสดงทั้งหมดก่อนจะออกมารอรถแท็กซี่ด้านนอก ระหว่างนั้นเขาเกือบจะกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนร่วมบ้านแต่เห็นเวลาก็ได้เพียงกดส่งข้อความไปเหมือนเคย


รูมเมทผู้ไม่ค่อยรับโทรศัพท์หรือโทรกลับตามประสาคนไม่ติดโทรศัพท์ ไม่ยอมให้โทรเข้าร้านด้วยกลัวลูกค้าจะติดต่อไม่ได้ ข้อความจะตอบกลับทีแค่ตอนเที่ยงกับช่วงหลังปิดร้านไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังรักษาสัญญาที่ว่าจะรับสาย


แท็กซี่แล่นมาจอดตามการโบกเรียกแล้วเคลื่อนออกไปตามท้องถนน ท่ามกลางราตรีกาลมีเพียงแสงจากไฟถนนและร้านรวงต่างๆ ที่ยังไม่ปิดทำการพอให้ไม่มืดจนเกินไป กระทั่งถึงหน้าอาคารชุดสำหรับอยู่อาศัยก็หยุดปล่อยผู้โดยสารให้ลงรถไป


ชายหนุ่มเดินผ่านประตูบ้านปล่อยให้ประตูเลื่อนปิดและล็อกอัตโนมัติพลางถอดรองเท้าวางบนชั้น ยินเสียงสนทนาลอดออกมาให้ได้ยินจึงเดินตามเสียงไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นเจ้าของบ้านนอนห่มผ้าหลับอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ซึ่งฉายภาพของนักแสดงต่างประเทศสองคนปะทะคารมกันอยู่ในห้องสอบสวนโดยหน้าต่างตรงเฉลียงปิดสนิทมีแค่ฮีตเตอร์ที่ยังทำงานอยู่เท่านั้น


...เขาเคยเห็นยองแจหลับหน้าโทรทัศน์แค่ครั้งเดียวซึ่งมันก็นานมากแล้ว แต่วันนี้กลับมานอนอยู่นี้...


คนมีสติครบถ้วนย่อตัวลงนั่งมองดวงหน้าขาวหมดจดไร้รอยสิวฝ้าไล้มาถึงเปลือกตาที่มีขนตาหนาประดับ จมูกโด่งรั้นปลายกับริมฝีปากอิ่มนั้นดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง สำหรับเขาแล้วยองแจน่ารักกว่าใครที่เขาเคยเห็นหรือคบมาในชีวิต เขาชอบเวลาได้มองหน้าใกล้ๆแบบนี้ ชอบริมฝีปากอิ่มเหมือนไส้กรอกรวมถึงดวงตากลมสวยที่สะท้อนเงาของเขาในทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เขาชอบที่ได้ยินเสียงร้องเพลงหรือเจื้อยแจ้วไม่หยุดของยองแจ


...มันทำให้เขาสดชื่นและมีพลัง...


“ปล่อยให้นอนอีกหน่อยแล้วกันค่อยปลุก” เขาพึมพำเหยียดหลังกลับมายืนตรงและเดินไปปิดโทรทัศน์ จากนั้นก็ผละไปอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงกลับเข้ามาใหม่ หากคนบนโซฟาไม่มีทีท่าจะตื่นเสียทีจึงเอื้อมมือเขย่าไหล่เรียก


“มานอนอะไรตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ถ้อยคำอ่อนโยนถามไถ่คนง่วงจัดที่ขยับตัวไปมาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยก็ปิดลงดังเก่าพลางส่งเสียงในคอเหมือนร้องประท้วงอะไรสักอย่างที่จับไม่ได้ศัพท์


“ง่วงมากเลยเหรอ ท่าทางคงหนาวมากเลยสิ ถ้าฉันพานายไปนอน นายให้ฉันนอนด้วยได้มั้ย”


“อื้อ”การตอบรับเหมือนรำคาญนั้นทำให้ฝ่ายที่เห็นอาการหลุดยิ้ม ค่อยๆย่อเข่าพลางสอดสองแขนช้อนอุ้มร่างผอมที่ห่อตัวไว้ในผ้าห่มขึ้นมาแล้วพาเดินตามทางไปหยุดยืนอยู่ใกล้กับประตูห้องนอนเจ้าของบ้านจึงก้มมองหน้านวลซึ่งหลับสนิทห่างจากปลายจมูกเขาไม่กี่เซนติเมตร


กลิ่นเย็นของเปลือกไม้หอมในแชมพูโชยมาให้ดอมดมพาใจให้เคลิ้มจนเผลอกดริมฝีปากประทับบนเส้นผมสีเข้มที่ปรกระหน้าผากอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นผิด


...หัวใจเขาสั่งการให้ทำในสิ่งที่ปรารถนา หากสมองยังคงบอกตัวเองไว้ว่า มันไม่ใช่ความรู้สึกอื่นนอกจากเพื่อนที่เอ็นดู...


“จะนอนห้องไหนดี...แต่นายเคยบอกไม่ให้ฉันเข้าห้องโดยพละการ งั้นไปนอนห้องฉันแล้วกันนะ” เขาตอบให้เองเสร็จสรรพแล้วอุ้มพาร่างในอ้อมแขนฝ่าความมืดในห้องพาไปวางลงบนเตียงอย่างเบามือก่อนแกะผ้าห่มหนาที่ห่อกายผอมออกมาสะบัดคลี่ออกค่อยคลุมห่มให้ใหม่ จากนั้นจึงปิดโคมไฟหัวเตียงให้พอมองเห็นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือข้างๆมาปิดเสียงเพราะเจ้านายอนุญาติให้เขาหยุดพักหลังเล่นละครเวทีจบได้หนึ่งวันค่อยกลับมาทำงานตามเดิมเลยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมอบหมายงานหรือมีใครจิกเรียกไปออฟฟิศ


แดฮยอนปีนขึ้นเตียงฝั่งที่ยังว่างนอนคว่ำหน้าอยู่ครู่เดียวก็ดันตัวเองขึ้นพลางชะโงกหาเจ้าของบ้านที่ยังคงหลับสนิท นัยน์ตาคมจดนิ่งยังหน้านั้นด้วยแววนุ่มนวลราวกับแลดวงแก้วใสพิสุทธิ์ ปลายนิ้วเรียวปัดเส้นผมซึ่งตกรกกรอบหน้าออกถึงเลื่อนขึ้นลูบผมอย่างเบามือเช่นนั้นอยู่หลายนาทีจึงขยับกายเข้าไปใกล้เพื่อจะรั้งคนตัวผอมมากอดไว้


เขาชอบการมียองแจอยู่ในอ้อมแขนและอยากจะมีสิทธิ์ได้กอดแบบนี้ นอกเหนือจากเวลาเขาเมาหรือเวลาที่อีกฝ่ายหลับลึกแบบนี้ อาจเพราะมันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยมากพอจะสลายความทุกข์ทรมานจากความเคียดแค้นชิงชังอันฝังลึกอยู่ในตัวเขาก็เป็นได้


...ด้วยรู้ว่าให้ตายยังไงยองแจก็ไม่ให้เขากอดหรอก แค่จับมือยังขัดขืนจนเขาต้องหาเหตุผลแบบหน้าด้านๆมาอ้างเลย...


“อื้อ” เสียงครางในคอที่ความร้อนจากฮีตเตอร์และผ้าห่มคล้ายไม่พอให้คนหลับหายตัวสั่น สัญชาตญาณผลักให้ร่างผอมซุกซบขดตัวจมอยู่ในอ้อมอกแข็งแรง เจ้าของอกเหยียดยิ้มพลางกดคลางคลึงเบากลางกระหม่อมพร้อมกระชับร่างผอมไว้แนบแน่นก่อนกระซิบฝากคำด้วยเสียงทุ้มหากหวานละมุนไว้ข้างหู


“หลับเถอะนะเด็กดื้อของฉัน”
----------------------------------------------------------------

เสียงลมหนาวหวีดหวิวด้านนอกกระทบบานหน้าต่างปลุกยองแจให้สะดุ้งเผยอเปลือกตาลืมขึ้น ภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาคือสีดำของเนื้อผ้าอะไรสักอย่าง หากสติยังไม่ครบถ้วนพอจะนึกเอะใจกระทั่งตอนขยับตัวเตรียมจะลุกถึงรู้สึกถึงน้ำหนักของบางสิ่งที่กดทับอยู่บนกระหม่อมรวมทั้งการกระหวัดรัดไว้ไม่ให้ไปไหน เมื่อก้มลงจึงเห็นว่าตนเองถูกแขนของใครคนหนึ่งกอดไว้ก็นึกรู้ได้ในทันทีว่าคงไม่พ้นเป็นเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองเลยใช้มือดันตัวเองเผื่อจะหลุดออกมาได้


“นี่...แดฮยอน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่...ปล่อยฉันนะ นายมากอดฉันแบบนี้ได้ไงเนี่ย”


คนตัวผอมในอ้อมแขนแข็งแรงโวยวายเสียงดังหวังให้ตัวเองเป็นอิสระโดยเร็ว ทว่าเจ้าของแขนไม่ยอมปล่อยหนำซ้ำยังซบหน้าลงบนกระหม่อมพลางพึมพำอย่างงัวเงีย


“ไม่เอาหรอก”


“ไม่เอาอะไร ไม่เอาได้ไงเล่า แล้วนี่ใครอนุญาตให้นายมากอดฉันไว้แบบนี้เนี่ย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อยสิ ฉันจะออกไปเปิดร้าน” ฝ่ายตัวเล็กกว่าร้องลั่นยังคงดิ้นรนจนพลิกหงายตัวขึ้นมานั่งได้ หากอีกคนกลับเกาะติดกระเถิบตัวขึ้นแหงนหน้าวางคางเหนือเอวบางที่กอดไว้แน่น


ดวงตาตวัดจ้องเขม็งตรงมาหาดุดันละม้ายคล้ายเสือยามจ้องตะครุบเหยื่อไม่เหลือคราบแมวน้อยน่ารักดังใครเคยกล่าวขานเป็นสิ่งที่ยองแจเคยเห็นเฉพาะเวลาอีกฝ่ายเมาหนักกลับมา แปลกที่เมื่อได้เห็นอย่างถนัดตาในเวลาเช้าเช่นนี้บวกรวมกับริมฝีปากอิ่มหนาขยับเปล่งเสียงทุ้มติดแหบน้อยๆที่เกิดจากอาการคอแห้งออกมาให้ได้ยินนั้น แม้จะแข็งกร้าวแต่มีเสน่ห์ร้อนแรงและอันตรายแผกจากภาพลักษณ์ที่เคยเห็นจนชินตาทำเอาหัวใจของคนถูกกอดเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ได้


“ฉันจะกอด...” เพราะยังตื่นไม่เต็มที่อีกทั้งความอ่อนล้าสะสมเป็นเหตุให้เขาเผยตัวตนอันเยือกเย็นซึ่งกลับซ่อนไว้ใต้ความสนุกสนานออกมา


“กะ...กะ...ก็ฉันต้องไปเปิดร้านนี่” การตอบกลับด้วยเสียงอ่อยอ่อนออกอาการตัวแข็งเกร็งและดวงตาสั่นระริกเหมือนกลัวทำให้อีกคนรู้ตัวรีบปรับสีหน้าแววตากลับเป็นแดฮยอนคนน่ารักเหมือนเดิม


“ให้ฉันกอดไม่ได้เหรอ ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”


“เหนื่อยก็นอนคนเดียวไปสิ จะมาถือวิสาสะกอดคนอื่นเขาได้ไง”


“เมื่อคืนนายหลับหน้าโทรทัศน์เลยพามานอน แต่นายไม่ให้ฉันเข้าห้องนาย ฉันก็เลยพามานอนนี่ ทีนี้นายหนาวเลยดึงตัวฉันไว้ ฉันไม่ได้กอดเองซะหน่อย” เขาปดครึ่งจริงครึ่ง


“จริงเหรอ”


“จริงสิ”


“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านายจะกอดตอนฉันตื่นต่อได้นะ”


“ขอครึ่งชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมง ให้ฉันนอนอีกหน่อยแล้วจะปล่อย”


“ไม่ได้”


“ยี่สิบห้านาที”


“ไม่”


“ยี่สิบ”


“จะสิบห้าหรือยี่สิบก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”


“งั้นสิบนาที ขอสิบนาที ได้มั้ย” คำร้องขออย่างเว้าวอนทั้งสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงเยี่ยงแมวน้อย ทำให้คนได้เห็นย่นหน้าผากนึกชั่งใจว่าระหว่างความเหนื่อยอ่อนของเพื่อนร่วมบ้านกับการรักษาหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงจนอกระเบิดแตกตาย อันไหนสำคัญกว่าแต่พอถูกรบเร้ามากเข้าก็โอนอ่อนให้จนได้


“ก็ได้ แค่สิบนาทีนะ ถ้าเลยจากนี้ต้องปล่อยฉันนะ”


“ครับผม” สิ้นคำเจ้าตัวก็หันหน้าวางศีรษะกลับไปบนหน้าท้องผอมหลับต่ออยู่พักเดียวก็จำใจต้องปล่อยแขนออกจากเอวที่กอดไว้ตามเสียงที่ทวงถามอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่นอนคว่ำหน้าอยู่ราวนาทีก็หันตะแคงเหลือบตาไปด้านบนก็เห็นอีกคนมองเขาอย่างกังวล


...เพียงตาประสานกัน ผู้ที่ร้องโวยวายก่อนหน้าก็กลอกตาไปมารีบออกจากห้องไปทันที...


“ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่ให้นอนกอดเล่า...ฉันนอนหลับสนิทได้เฉพาะเวลานอนกอดนายนะ ไม่รู้บ้างหรือไง”


แดฮยอนบ่นพลางจ้องบานประตูห้องนอนที่ปิดลงก่อนจะหลับตาคว้าหมอนมากอดเพื่อลดความรู้สึกเคว้งคว้างไร้กายหอมที่กอดอิงตลอดคืนจนความอ่อนล้าพรากเอาสติให้เผลอหลับไปอีกหน

--------------------------------------------------------------------
ชุดถ้วยเซรามิกส์สีขาวเหลือน้ำกาแฟนอนก้นอยู่เล็กน้อยบนโต๊ะถูกรวบเก็บไปวางกองรวมกันในอ่างล้างจานหลังเคาน์เตอร์ ระหว่างเปิดน้ำล้างถ้วยจานอยู่นั่นเองใจกลับลอยคอยแต่วนเวียนคิดถึงไออุ่นและสีหน้าอันดุดันของเพื่อนร่วมบ้านจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์หรือแม้แต่เสียงกระดิ่งประตูส่งสัญญาณการมาถึงของลูกค้า กว่าจะรู้ว่ามีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เหมือนนายแบบสวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลกับแว่นดำยืนรออยู่ก็ตอนเก็บถ้วยชามหันกลับมาเพื่อจะประจำที่พอดี


“ไหนคุณบอกว่า ถ้าผมโทรเข้าร้านจะรับสายไง ไม่เห็นจะรับเลย” ลูกค้าผู้นั้นเอ่ยขณะถอดแว่นพับเก็บในกระเป๋าเสื้อ เพียงเห็นหน้าเจ้าของร้านก็อุทานออกมา


“อ้าว...คุณ...มาได้ไงเนี่ย”


“ขับรถมาสิ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึงทำไมมาที่ร้านล่ะ”


“ผมบอกคุณแล้วนี่ว่าจะแวะมาหาอีก แต่พอโทรเข้าร้านคุณไม่รับสาย ผมเลยส่งข้อความบอกคุณไว้ว่าจะมา ผมทำตามกติกาทุกอย่างแล้วน้า อย่าหาว่าผมไม่บอกล่ะ”


“คุณเข้ามาเอาเสื้อเหรอ...ผมซักให้แล้วแหละแต่มันอยู่หลังร้าน”


“ผมไม่ได้มาเอาเสื้ออย่างเดียวหรอก ผมมาเป็นลูกจ้างคุณต่างหาก”


“ลูกจ้างอะไร ผมไม่มีปัญหาจ้างคนซื้อเสื้อยืดตัวละล้านวอนมาใส่หรอก”


“รู้ได้ไงว่าเสื้อผมราคาล้านวอน”


“บังเอิญเห็นตอนอ่านข่าวในเว็บ...คุณมีเงินขนาดนั้นใครจะจ้างไหว”


“ผมไม่เอาเงินหรอก ขอกาแฟแค่แก้วเดียวก็พอ” ยูจินว่ายื่นหน้าเปื้อนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเข้ามาใกล้เจ้าของร้านผงะถอยไปยืนกระพริบตามองปริบๆ


“คุณว่างมากหรือไงถึงเที่ยวมาขอคนอื่นทำงานแลกกาแฟน่ะ”


“ว่างสิ”


“คนรวยนี่ดีจังนะ งานการไม่ทำการแค่เที่ยวเล่นไปวันๆ”


“หื้อ...อย่าปรักปรำกันสิ ผมไปตรวจร้านสาขาของตัวเองครบหมดแล้วถึงได้มาหาหรอกนะ ละก็เสื้อของคุณน่ะผมก็ซักมาให้แล้วเหมือนกัน” คนตัวใหญ่ยิ้มระรื่นวางถุงกระดาษสีดำที่มีโลโก้แบรนด์เสื้อผ้าราคาแพงลงบนเคาน์เตอร์ให้เช่นกัน


“จะคืนทำไม ผมบอกแล้วไงว่ายกให้”


“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวผมไม่มีเรื่องให้แวะมาหา”


“พูดเหมือนเหงาเลยเนาะ”


“ก็เหงาน่ะสิถึงได้มาหาคนน่ารักที่นี่”


“ที่นี่ไม่มีคนน่ารักอะไรซะหน่อย”


“ตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าคุณยิ้มให้ผมสักที เดี๋ยวที่นี่ก็มีคนน่ารัก”


“จะบอกว่าผมน่ารักหรือไง...น่ารักอะไร ต้องเรียกว่าหล่อสิ”


“คุณน่ารักมากกว่าหล่อ แต่ถ้าคุณยิ้มสวยให้ผมสักสองสามทีล่ะก็ให้ผมชมว่าคุณหล่อก็ได้นะ”


“หึ บ้าเหรอ” ยองแจว่าเหลือบตามองรอยยิ้มใจดีของเพื่อนเล่นเกมกลุ่มเดียวกันซึ่งเคยช่วยพยาบาลตัวเขาตอนป่วยถึงห้อง สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมา จากนั้นเองลูกค้าต่างทยอยเข้ามาสั่งกาแฟทำให้นักธุรกิจผู้มีร้านกาแฟหลายสาขาถือวิสาสะเดินไปหลังเคาน์เตอร์หยิบผ้ากันเปื้อนของพนักงานพาร์ทไทม์ที่แขวนอยู่มาสวม


“คุณรับออเดอร์ เดี๋ยวผมทำกาแฟเอง”


การจัดแจงแบ่งหน้าที่ระหว่างกันดำเนินไปเรื่อยกระทั่งนาฬิกาหมุนเปลี่ยนมาถึงเวลาบ่ายสองโมงสิบห้า แดฮยอนที่อาบน้ำแต่งตัวเดินจากอพาร์ทเม้นต์มายังร้านกาแฟตามปกติ หากวันนี้สายตาของเขาไม่ได้เห็นเจ้าของบ้านยุ่งอยู่ในร้านตามหลังแต่มีชายหุ่นเหมือนนายแบบทำหน้าที่บาริสต้าอยู่ด้วย


...สูงขนาดนี้ไม่ใช่จงออบแน่...

...แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะ...


เขาถามตัวเองในใจยังไม่ทันไรก็เห็นชายแปลกหน้าคนนั้นหัวร่อต่อกระซิกกับคนตัวเล็กกว่าอย่างสนุกสนาน ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันอย่างมากทำให้ทุกอิริยาบถที่กระทำต่อกันดูราวกับเป็นคู่รัก เสี้ยวนาทีนั้นความหวงแล่นทะยานขึ้นมาให้ร้อนไปทั้งหัว เนื้อตัวสั่นอย่างโกรธจัดต้องกำมือแน่นไว้ทั้งสองข้างอย่างอดกลั้นต้องท่องคำว่า ใจเย็นซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักหนึ่งถึงผลักประตูเข้าไปในร้าน


ชายหนุ่มเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์หมายจะถามและขัดขวางการอยู่ร่วมกันสองต่อสองของทั้งคู่ ทว่าในจังหวะที่บาริสต้าชั่วคราวเงยหน้าสบตาเข้า ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยใบหน้าระหว่างกันก่อนจะจำได้และเรียกชื่อกันออกมา


“ใช่ ยูจินหรือเปล่า”


“จำกูได้ด้วยเหรอ ความจำดีจังนะแดฮยอน ขนาดไม่ได้เจอกันตั้งนาน หกปีได้หรือเปล่านะ”


“เก้าปี”


“ไม่ได้เจอกันเก้าปีแล้วเหรอเนี่ย  คงใช่แหละตอนเราเรียนม.ปลายมาด้วยกันมันก็นานแล้ว แต่มึงหล่อขึ้นนะเนี่ย เป็นไงมายังไง สบายดีใช่มั้ย แล้วนี่มึงทำอะไรที่ไหนอยู่ล่ะตอนนี้”


“ทำงานอยู่ค่ายเพลง แล้วมึงอะ”


“กูเหรอ ก็เป็นเจ้าของร้านกาแฟนี่แหละ แต่กูทำแฟรนไชส์ด้วย”


“แฟรนไชส์...ร้านของลุงนายซื้อแฟรนไชส์หมอนี่เหรอ” ความสงสัยทำให้ละสายตาจากคู่สนทนาแรกมาถามเอากับรูมเมท


“เปล่านะ”


“ละทำไมยูจินถึงมาชงกาแฟอยู่กับนายได้”


“เขาเป็นเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกัน...เขาว่างก็เลยแวะมาหาแต่ไม่อยากอยู่เฉยๆเลยช่วยชงกาแฟ”


“รู้จักกันมานานแล้วเหรอ”


“ถ้าในเกมก็สองสามเดือนแต่ถ้าเจอหน้า เพิ่งเจอไม่กี่วันนี่เอง”


“อ้าว นี่พวกนายสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” หลังมองการสนทนาไปมาของทั้งสองฝ่ายอยู่พักหนึ่ง คนนอกวงก็แทรกถามขึ้นในจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ


“ยูจิน มึงออกมาคุยกับกูข้างนอกดีกว่า” สิ้นคำคนตัวสูงแต่โปร่งกว่าก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปดึงแขนเสื้อของเพื่อนให้เดินตามตนเองออกมาข้างนอก ปล่อยเจ้าของร้านให้ชะเง้อคอมองตามอย่างไม่เข้าใจ


...มีอะไรกันแน่นะ...

 -------------------------แวะคุยกันก่อน--------------------------

เหมือนเป็นไบโพล่าร์ 55555555555 ความสัมพันธ์ที่ปวดประสาท หวานได้แต่ก็หน่วง
ขอตัดตอนมาลงเท่านี้ก่อนนะคะ ฮือออ ขอบคุณที่เข้ามาหา ฝากคอมเม้นหรือจะติดแท็กคุยกันที่
#ficlovetoxical ในทวิตเตอร์ก็ได้เด้อ




You Might Also Like

2 Comments

  1. จริงอย่างที่พี่ฮยอนอูพูด เราคิดมาตลอดนะว่ายองแจโชคดีมากๆเรื่องคนรอบตัว มีคนที่รักและหวังดีมากมาย ไม่ว่าจะรู้จักมานานแล้วหรือเพิ่งรู้จัก ใครๆก็พากันเอ็นดู ขนาดยงนัมนะเรเวลคำพูดที่ใช้กับยองแจยังดูดีกว่าคนอื่นอ่ะ 555 ยัยเบบี้โรสจอมแสบก็ยังทั้งรักทั้งห่วงพี่คนพิเศษคนนี้

    ส่วนคนกากนั้น มันก็รักของมันหละ รักมากหวงมากด้วย ทำมาให้เค้าเป็นเพื่อนสนิท แต่พอเค้าหลับก็ตีเนียนยกให้เป็น 'เด็กดื้อของฉัน' เฉยเลย ทั้งติดกอดเค้า แคร์เค้าสารพัด แบบนี้ไม่รักก็แย่ละ

    นี่ชอบอันนี้อ่ะ “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าคุณยิ้มให้ผมสักที เดี๋ยวที่นี่ก็มีคนน่ารัก” เออได้ว่ะ มุกจีบหญิงแบบนี้เหมาะกับยองแจดี คนอ่านก็ฟังแล้วยิ้มตามเลยเช่นกัน 😁

    ตอบลบ
  2. เกิดสงครามกลางเมืองแหงๆ 5555 อิแดฮยอนเก็อาการไม่มิดเลยว่าหึงหวงคุณเค้าขยาดไหน จะว่าไปอิกากมันก็เริ่มทำอะไรๆให้ชัดเจนมากขึ้นแล้วนะ ดูอย่างจดจำรายละเอียดช่อดอกไม้นั่นสิแล้วยังจะคำพูดคำจา ขอนอนกกนอนกอด มีจ๊ะจ๋า คุณก็หัวใจพองโตจะแย่ หน่วงๆตอนคุยกันเรื่องที่อิกากชอบดีกับคนอื่นไปทั่ว แต่ไม่รู้ใจคุณเค้าสักทีแถมยังมีหน้ามาสะกิดต่อมเค้าเรื่องแอบชอบอกไม่โดนข่วนหน้าให้ก็บุญละ จริงอย่างที่พี่ฮยอนอูบอกแหละว่ายองแจน่ารักจนทุกๆคน่ที่ได้อยู่ใกลๆหลงรักไปหมดก็คนมันน่ารักเนอะอิกากอย่ามัวแต่อ้ำๆอึ้งๆเลย บอกๆรักกันไปรึไม่ก็รวบรัดตัดตอน อยากเห็นคุณเค้ามีความสุขคงจะน่าเอ็นดู ขอบคุณไรท์ที่ถ่ายทอดเ่รื่องราวต่างๆได้ดีมากอ่านแล้วมันดีไปหมดทุกฉากทุกตอนของทุกเรื่องมาบรรจบกันได้อย่างดีเยี่ยม สุดยอดจริงๆค่ะ รอตอนต่อไปเป็นกำลังใจให้นะคะหวังว่าจะได้รวมเล่ม 😄😄😄

    ตอบลบ