LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 16

10:48


ระลอกสายลมอันหนาวเหน็บปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเย็นเยือกพัดต้องกายชายหนุ่มตัวสูงสองคนที่ออกจากร้านกาแฟเดินมาตามทางเท้าริมถนนมาด้วยกัน โดยคนตัวสูงและหนากว่าคอยเดินตามหลังผู้นำทางจนเข้ามาถึงในตรอกแคบระหว่างช่องตึกที่ค่อนข้างลับตาและมีก้นบุหรี่ทิ้งเกลื่อนถึงได้เห็นอีกฝ่ายกอดอกหันมาหาด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าดวงตาคมทั้งคู่กลับถมึงทึงน่ากลัวจนเพื่อนเก่าถึงกับเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง


“นายรู้จักกับเขาได้ยังไง” แววน้ำเสียงทุ้มกังวานในประโยคคำถามที่ลอดมาให้ได้ยินนั้นแข็งกระด้างยิ่งทวีความแปลกใจมากไปอีก


“เขาที่ว่านี่หมายถึงยองแจน่ะเหรอ” อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเจ้าของร้านกาแฟที่ทั้งคู่เพิ่งจากมาพลางมองปฏิกิริยาของคนตรงข้ามที่นิ่งผิดปกติก็หลุดยิ้มออกมาแล้วว่า “จะให้เล่าตั้งแต่ต้นหรือจะเอาแบบย่อดีล่ะ”


“แต่ต้น”


“ยองแจกับกูอยู่ในกลุ่มแชทของคนที่เปิดร้านกาแฟในโซลด้วยกันน่ะ เมื่อสามสี่เดือนก่อนในกลุ่มเขาอยากฟอร์มทีมนัดเล่นเกมออนไลน์กันก็เลยตั้งกลุ่มแชทเกมใหม่ขึ้นมา ละพอดียองแจเขาก็มาร่วมทีมเล่นด้วยก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันน่ะ”


“แค่เป็นเพื่อนเล่นเกมกันเฉยๆ จะมาหาเขาทำไม”


“จะแบบไหนก็เพื่อนกันแหละน่า อีกอย่างช่วงนี้ฉันต้องมาตรวจสาขาร้านกาแฟที่เปิดไว้ทั้งหมดกับตรวจงบดุล พอดีวันก่อนกูมาตรวจสาขาใกล้ๆนี้แล้วงานมันเสร็จไวเลยแวะมาหา ตอนแรกก็คิดนะว่าเขาน่าจะเป็นคนเงียบๆ ดุๆ หน่อย เพราะเขาไม่ค่อยตอบแชท ตอนเล่นเกมก็โวยวายเวลาคนเล่นไม่ได้ดั่งใจแต่พอมาเจอตัวจริงกลับน่ารักกว่าที่คิดไว้เยอะเลย  ”


การสาธยายยาวเหยียดมีรอยยิ้มอาบหน้านั้นดำเนินไปโดยไม่มีการสังเกตถึงสีหน้าของผู้ฟังที่ตึงขึ้นทุกวินาที โดยเฉพาะกับคำว่าน่ารักทำให้ปากหนาเริ่มเม้มเข้าหากันแน่นอย่างอดกลั้น


“ว่าแต่มึงเถอะไม่เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้างเลยเหรอ”


“สบายดีมั้ยล่ะ”


“ก็ดีนะ ส่วนมึงก็ดูท่าทางจะสบายดีนะ อ๋อ จริงสิ เมื่อกี้กูเห็นมึงคุยกับยองแจคงจะเป็นเพื่อนเขาสินะ”


“เออ...กูเป็นเพื่อนสนิทเขา เราเรียนมหาลัยมาด้วยกันและตอนนี้ยังเป็นรูมเมทกันด้วย”


“เป็นรูมเมทกันอีท่าไหนถึงปล่อยให้เขาป่วยซมอยู่คนเดียวแบบนั้น”


แดฮยอนขมวดคิ้วต่อคำถามย้อนกลับของเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมัธยมปลายที่เขาจำได้ว่าช่วงเวลานั้นสนิทกันเพราะอีกฝ่ายเรียนเก่งเลยเข้าหาเพื่ออาศัยช่วยเรื่องการเรียน ภายหลังจบการศึกษาก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันด้วยฝ่ายนั้นไปเรียนต่อต่างประเทศจนสุดท้ายก็เหลือเพียงการคุยผ่านคาทกในห้องแชทกลุ่ม


“อะไร เขาไม่สบายตอนไหน”


“เอ้า...มึงไม่รู้เหรอว่าเขาป่วย”


“เขาป่วยเมื่อไหร่”


“วันที่กูมาตรวจสาขานั้นแหละ...เห็นเขาผ่านกระจกหน้าร้านว่านอนฟุบอยู่เลยเข้ามาดู จะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลข้างๆนี้ก็ไม่ยอมไป บอกให้ปิดร้านก็ไม่เอา กูเลยต้องอยู่ดูแลร้านกับตัวเขาจนค่ำ ตั้งใจจะกลับแต่น้องพนักงานพาร์ทไทม์คนนั้นไปส่งเขาไม่ได้เพราะมีสอบ กูต้องแบกเขาไปส่งที่บ้านก็เลยค้างที่นั่นไปด้วยเลย”


“เฮ้ย...นี่มึงค้างที่บ้านกูด้วยเหรอ” ฝ่ายตั้งคำถามเสียงแข็ง


“แล้วจะให้ทำไงเล่า กูปล่อยคนป่วยหนักอยู่คนเดียวไม่ลงหรอกนะ ยิ่งกับคนดื้อแบบยองแจเนี่ย อะไรที่ดีกับตัวเองไม่เอาสักอย่างแบบนั้นปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”



“ป่วยหนัก...ป่วยหนักยังไง”


“ถ้ามึงหมายถึงวันที่กูมาเจอเขาไข้ขึ้นน่ะ อีแค่เป็นไข้สำหรับคนทั่วไปมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่คนมีภูมิคุ้มกันต่ำน่ะ มีไข้นิดเดียวก็อันตรายแล้ว”


“ภูมิคุ้มกันต่ำ มึงไปรู้ได้ไงว่าเขาภูมิคุ้มกันต่ำ”


“ทำไมจะไม่รู้ กูจบหมอมาแค่ดูยาประจำตัวเขาก็รู้หมดแล้วว่าเป็นอะไรบ้าง”


“มึงเป็นหมอด้วยเหรอ”


“เอ้า...มึงจำไม่ได้หรือไงว่ากูเรียนหมอ”


“ก็...กูจำได้แค่มึงเปิดร้านกาแฟ”


เมื่อถูกย้อนคนที่พยายามสะกดอารมณ์ร้อนลนจากความหวงชะงัก ตาคมกลอกไปด้านบนอย่างครุ่นคิดด้วยเนื้อแท้ของเขาไม่ใช่คนประเภทจะจดจำรายละเอียดอะไรของใครที่ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันหรืออนาคตสักเท่าไหร่ ถึงจะเข้าร่วมกลุ่มห้องแชทเพื่อนสมัยมัธยมปลายรวมทั้งไปสังสรรค์กันตามนัดหมายบ้างประปราย หากเรื่องที่คุยค้างขึ้นเป็นตัวเลขในห้องแชทกลุ่มนั้นเขาเพียงกดเข้าไปให้ตัวเลขแจ้งเตือนหายไปพร้อมส่งสติ๊กเกอร์คล้ายรับรู้แม้จะไม่อ่านข้อความเหล่านั้นเลยก็ตาม


“เปิดร้านกาแฟน่ะใช่...แต่ก่อนจะเปิดร้านกาแฟกูเรียนจบหมอ ตอนนี้ก็เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพอยู่ด้วย ในกลุ่มเวลามีใครเป็นไรเขาก็ทักถามกูตลอด มึงไม่เห็นเหรอ”


“กูลืมๆน่ะ งานกูมันยุ่ง”


“แล้วจำได้ไหมว่า ซองแจกับซูยองแต่งงานกันช่วงเมษา”


“เออ อันนั้นจำได้”


“พวกนั้นมีลูกสาวด้วยกันแล้วนะ วันก่อนเห็นลงคลิปลูกนอนหลับไว้ในห้องแชท มึงได้ดูปะ”


“อืม...เห็นแล้ว น่ารักดี”


“มึงเห็นจริงเหรอวะ...เห็นได้ไงวะในเมื่อพวกนั้นเพิ่งไปฝากครรภ์เมื่อเดือนก่อน” ฝ่ายตั้งถามใส่ไม่หยุดเฉลยความจริงพลางยิ้มกว้างอย่างคนที่จับผิดตัวตนจริงด้านหนึ่งของอีกฝ่ายได้


 “เออ โทษที กูจำไม่ค่อยได้หรอก กูยุ่ง ต้องทำงานหาเงิน จะให้จำทุกเรื่องคงไม่ไหว”


“กูคิดอยู่แล้วว่ามึงน่าจะงานยุ่งเลยเบลอ...จำได้ว่าเมื่อก่อนมึงทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินเรียนกับกินใช้ ไม่ค่อยไปเที่ยวเล่นเท่าไหร่ ตอนนี้ก็น่าจะทำงานหนักไม่ต่างจากเดิมหรอก แต่ถึงยังไงก็อย่ายุ่งจนปล่อยยองแจเขาไว้คนเดียวบ่อยนักล่ะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาพาไปโรงพยาบาลไม่ทันจะแย่เอา”


“ตกลงแล้ว...เขาป่วยเป็นอะไร”


“เยอะ”


“บอกชื่อโรคสิวะ”


ยูจินนิ่งในนาทีที่ถูกคาดคั้นเสียงแข็ง อีกทั้งใบหน้าหล่อระคนน่ารักซึ่งใครต่อใครต่างบอกกันว่าน่ารักเหมือนแมวน้อยนั้นมีสีหน้าแววตาดุดันระคนห่วงกังวลอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน


และเมื่อได้ลองนึกย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย แดฮยอนเข้ามาเรียนปีสองช่วงกลางเทอมพอดิบพอดีซึ่งการเข้าเรียนกะทันหันนั้นทำให้ยากจะผูกมิตรกับใคร แต่อีกฝ่ายอาศัยความอัธยาศัยดี พูดเก่ง ตลกโปกฮากลมกลืนไปกับทุกกลุ่มเพื่อนและไม่เคยทำตัวมีปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แม้จะโดนเอาเปรียบเหมือนกลัวจะถูกเกลียดเลยกลายเป็นที่รักของทุกคนในโรงเรียน ถึงอย่างนั้นเขากลับเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ดูเหมือนจะเข้าถึงง่าย หากความจริงกลับไม่มีใครเลยสักคนจะเข้าถึงเบื้องลึกของอีกฝ่ายได้


...ไม่ได้คิดไปเองจริงๆสินะ...


“สนิทกันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ถามเขาล่ะ”


“ยูจิน...กูถามมึงดีๆ ทำไมต้องกวนตีนกันด้วยวะ”


“กวนตีนอะไร...ถ้าเขาไม่บอกมึง แสดงว่าเขาไม่อยากให้รู้และกูก็ไม่มีสิทธิ์บอกด้วย มันผิดจรรยาบรรณ”


“มึงจะยกจรรยาบรรณมาทำห่าอะไรตอนนี้”


“กูว่ามึงถามเขาดูจะง่ายกว่านะ”


“ถ้ามึงไม่ยอมบอกว่าเขาเป็นอะไร มึงก็อย่ามาหาเขาอีก”


“อ้าว...อยู่ๆมึงจะมาห้ามกูมาหาเขาได้ไงวะ”


“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อกูเป็นเพื่อนสนิทเขา...ยองแจน่ะไม่ใช่คนประเภทที่จะมาแกล้งเล่นหรอกนะ เขาบอบบางเกินกว่าจะถูกใครทำร้ายจิตใจ” ความหวงทำให้ออกอาการพาลยกหาเหตุผลมาอ้าง แปลกที่คนตัวใหญ่กว่าไม่รู้สึกกริ่งเกรงกลับเหยียดริมฝีปากด้วยรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ


“ถ้าเป็นแค่นั้นจะมาหวงไรเล่า มึงไม่ใช่เจ้าของเขาซะหน่อย ทำไมกูจะมาหาเขาไม่ได้ มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ใช่คนประเภทคิดร้ายชอบแกล้งคนอื่นเล่นหรอก  มึงเรียนกับกูมาก็น่าจะรู้นิสัยกูนิ หรือจะงานยุ่งเลยลืมอดีตเหมือนลืมเรื่องปัจจุบันอีก” 


รอยยิ้มที่ระบายบนหน้าของเพื่อนซี้สมัยมัธยมกระตุ้มให้ภายในเดือดพล่านราวถูกน้ำร้อนลวกเอาเครื่องในไปเสียสิ้น หากแดฮยอนไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาแย้ง ไหนจะกลัวว่าถ้าตนเองเผลอแสดงความรุนแรงออกมาอีกแล้วยองแจรู้จะโกรธเข้าเลยทำได้กล้ำกลืนฝืนยอมรับไปอย่างแกนๆ ได้แค่กำหมัดแน่นไว้ข้างลำตัว


“เออ...กูรู้แล้ว”


“ละนี่มึงมีอะไรจะคุยอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีกูขอกลับไปที่ร้านกาแฟก่อนนะ กูมีเรื่องอยากคุยกับยองแจอีกเยอะ” การถามพลางเลิกคิ้วของเพื่อนตัวโตนั้นพาให้มือของอีกฝ่ายสะบัดเร่าเป็นเชิงไล่แล้วจึงเดินออกจากตรอกตามหลังไป


เสียงกระดิ่งตรงบานประตูเรียกให้เจ้าของร้านกาแฟเงยหน้าจากการวาดรูปแมวบนฟองนมของลาเต้ร้อนบนถาดไม้มองมาทางชายหนุ่มสองคนที่เดินตามกันเข้ามาก่อนที่เพื่อนร่วมบ้านจะเป็นฝ่ายอาสาเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ลูกค้าตามเลขโต๊ะที่ปรากฏในใบเสร็จเหมือนอย่างเคย


“ไปไหนกันมาเหรอ” ยองแจถามเอากับคนตัวใหญ่ที่ยืนเท้าคางอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงหน้า


“แถวนี้แหละ...ว่าแต่คุณเปิดดูถุงเสื้อที่ผมให้ไปหรือยัง”


“ยังเลย แต่ผมเอาเสื้อคุณที่หลังร้านมาให้แล้วนะ” พูดจบถุงกระดาษสีน้ำตาลไม่มีลวดลายก็ถูกหิ้วจากใต้เคาน์เตอร์ยื่นมาข้างหน้า “ตอนผมซักกับรีดเสื้อให้คุณน่ะ ผมไม่รู้ว่ามันราคาเท่าไหร่ก็เลยซักแบบธรรมดา ถ้าผมทำเสื้อคุณเสียก็ขอโทษด้วยนะ”


“ไอ้แบบนั้นคุณต้องรับผิดชอบมากกว่าขอโทษสิ”


“ให้ชดใช้เป็นเงินน่ะเหรอ...ผมไม่มีให้หรอก เสื้อตั้งล้านวอนใครจะมีปัญญาใช้”


“สรุปแล้วคุณทำเสื้อผมพังจริงๆแล้วสิ”


“เปล่านะ”


“ยังไม่พังก็ไม่เห็นต้องพูดถึงมันเลย”


“ก็ผมไม่เคยซักเสื้อผ้าราคาแพงของใครมาก่อนเลยนี่...เสื้อผ้าผมส่วนใหญ่ราคาไม่เท่าไหร่หรอก”


“คุณไม่เคยซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมเลยเหรอ”


“ไม่เคย...มีแต่พวกพี่ๆเขาซื้อให้วันเกิด”


“คุณมีพี่น้องกี่คนเนี่ย”


“มีพี่ชายคนหนึ่งแต่งงานมีลูกแล้วอยู่ที่สวีเดน แล้วก็มีพี่ชายที่นับถือเหมือนเป็นพี่แท้ๆอีกสองคนแต่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง”


“ลูกคนเล็กนี่เอง มิน่า” ฝ่ายตัวโตกว่าว่าพลางพยักหน้าขึ้นลงขณะหิ้วถุงกระดาษจากมือคนตัวเล็กมาถือไว้โดยไม่แม้แต่จะล้วงไปดูเสื้อตนเอง


“มิน่าอะไร”


“ถึงน่ารักไง”


“นี่คุณ...ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่ไงว่าผมไม่น่ารัก”


“คุณไม่ชอบให้ชมว่าน่ารักแต่คุณปฏิเสธว่าคุณไม่น่ารักไม่ได้หรอกนะ” คนตัวใหญ่ว่าพลางยิ้มเอ็นดู “แล้วนี่จะไม่เปิดดูเสื้อคุณหน่อยเหรอ บางทีผมอาจจะทำเสื้อคุณขาดก็ได้”


“ขาดก็ช่างมันเหอะ เสื้อตัวนั้นผมใส่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”


“เอาน่า เปิดดูหน่อยเผื่อจะเจอเซอร์ไพร้ส์”


“เซอร์ไพร้ส์อะไร” เจ้าของร้านย่นหน้าผากถามขณะเอื้อมหยิบเอาถุงกระดาษสีดำจากใต้เคาน์เตอร์มาเปิดดูถึงเห็นว่ามีผ้าขนสัตว์เนื้อหนาสีชมพูอ่อนพับอยู่แทนเสื้อของตนเองจึงนำออกมาดูถึงรู้ว่ามันเป็นเสื้อโค้ทตัวยาวมีซิปด้านหน้าและฮู้ดเย็บแต่งตะเข็บและกระเป๋าข้างล้วงได้สองชั้นประดับด้วยริบบิ้นสีเดียวกันโดยคอเสื้อด้านในมีป้ายภาษาอังกฤษว่า FENDI ปรากฏอยู่ก็อ้าปากค้างเงยมองฝ่ายตรงข้ามทันที


แม้จะไม่สันทัดเรื่องแฟชั่นแต่การที่ฮิมชานคอยซื้อของขวัญเป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับแบรนด์เนมให้ทุกปี ทำให้เขาได้เสิรช์หาจนทราบชื่อบรรดาแบรนด์เนมต่างๆ รวมทั้งราคาอยู่บ้าง


“ผมขอแลกเสื้อคุณกับเสื้อตัวนี้แล้วกันนะ”


“แลก...คุณจะแลกเสื้อตัวนี้กับเสื้อเก่าๆของผมเนี่ยนะ เสื้อยี่ห้อนี้มันแพงจะตาย คุณจะบ้าเหรอ”


“เสื้อโค้ทตัวนี้ผมซื้อมาให้แฟนเก่าแต่เราดันเลิกกันก่อน ผมเห็นคุณตัวเล็กน่าจะใส่ได้ อีกอย่างผมว่าเสื้อคุณมันใส่สบายดีก็เลยอยากแลก...คุณช่วยรับมันไว้เถอะนะ ผมไม่อยากเก็บมันไว้แล้ว เวลาเห็นมันแสลงใจ”


“มีงี้ด้วย” ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายแต่เพียงเห็นแววสลดของดวงตาเมื่อเอ่ยถึงแฟนเก่าก็ทำให้เกิดเห็นใจขึ้นมา “ก็ได้...ผมแลกก็ได้แต่ห้ามมาเก็บเงินกันทีหลังนะ”


“ในเมื่อแลกกันแล้วผมไม่เก็บเงินคุณทีหลังหรอก แต่ยังไงก็ใส่มันมาให้ผมดูด้วยนะ”


“ไหนว่าเห็นแล้วแสลงใจไง จะให้ใส่มาให้ดูทำไมกัน”


“ถ้าเห็นบนตัวคุณคงไม่เป็นไร เพราะผมคิดภาพไว้แล้วว่าพอคุณสวม มันจะออกมาน่ารัก ไอ้ที่ว่าน่ารักเนี่ย ผมรวมคุณด้วยนะ ไม่ใช่แค่เสื้อ”


ยองแจกระพริบตาปริบใส่เพื่อนใหม่ที่เท้าคางบนเคาน์เตอร์มองตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างดูสว่างไสวราวกับดวงตะวันพาลให้รู้สึกถึงความคล้ายคลึงกับใครอีกคนที่อยู่ในร้านจึงปรายตาเลยไปยังโต๊ะของลูกค้าที่เพื่อนร่วมบ้านยืนอยู่เลยสบตากันเข้าอย่างไม่ตั้งใจ


แดฮยอนที่เห็นและได้ยินการสนทนาระหว่างเพื่อนสมัยมัธยมและเพื่อนร่วมบ้านของตนเองตรงเคาน์เตอร์โดยตลอดกำถาดไม้ใช้สำหรับเสิร์ฟเครื่องดื่มในมือแน่นจนไม้แทบปริออกจากความหวงที่มีเป็นล้นพ้น หากในนาทีที่สบตาเข้ากับรูมเมทนั้นเขากลับเลือกก้มไปคุยกับลูกค้าเพื่อซ่อนความร้อนลนทางอารมณ์


การหลบตาแล้วเบือนหน้าหนีไปคุยกับหญิงสาวผู้เป็นลูกค้าทั้งโต๊ะนั้น รวมทั้งเสียงหัวเราะจากการถูกเย้าแหย่โดยมือวางอันดับหนึ่งเรื่องการจีบสาวนั้นดังคลอกับเสียงเพลงในร้านทำให้เจ้าของร้านน้อยใจถึงกับเม้มริมฝีปากรีบหันมาทางเพื่อนใหม่อีกครั้ง


“เออ จริงสิ ช่วงเย็นผมมีธุระ คงจะอยู่เป็นลูกจ้างคุณต่อไม่ได้แล้วนะ”


“อืม”


“ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ อย่าลืมใส่โค้ทที่แลกกับผมไปมาให้ดูด้วยนะ”


“คุณว่างมากเหรอถึงมาหาได้ทุกวี่ทุกวัน”


“ช่วงนี้ว่าง...แต่เดือนหน้าจะไม่ค่อยว่างแล้ว”


“เลยมาฆ่าเวลาเล่นที่นี่สินะ”


“ถ้าผมอยากหาอะไรทำฆ่าเวลา ผมไม่ต้องมาถึงนี่หรอก”


“หมายความว่าไง”


“ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณน่ะ”


“ก็เป็นแล้วนี่”


“ผมอยากเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เล่นเกมด้วยกัน เพื่อนประเภทที่มาหาหรือโทรคุยได้เวลาคิดถึงหรือเหงา ไปเที่ยวด้วยกันเวลาที่ว่าง หรือพาคุณไปหาหมอบ้างเป็นครั้งคราว อะไรแบบนั้น”


“มาหาหรือชวนไปเที่ยวน่ะได้นะ แต่อย่าอื่นคงไม่ได้หรอก”


“ทำไมล่ะ”


“พี่ฮิมชาน...อา...พี่ผมน่ะเขาทำหน้าที่นั้นแล้ว”


“อ๋อ...คุณมีพี่ชายทำให้แล้วหรอกเหรอ ผมก็นึกว่าเรื่องพวกนี้รูมเมทคุณเป็นคนทำซะอีก”


“รูมเมท...อ้อ...คุณหมายถึงแดฮยอนน่ะเหรอ”


“ใช่ เห็นหมอนั่นบอกว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับรูมเมทคุณ”


ถ้อยคำย้ำเตือนสถานะที่ไม่ว่าได้ยินมันจากใครก็เสียดแทงหัวใจเสียทุกครั้งพาให้ใบหน้านวลหม่นหมอง ตากลมหลุบต่ำยังแผ่นไม้บนเคาน์เตอร์คล้ายเหม่อแล้วแกล้งหยิบนั่นหยิบนี่เหมือนยุ่งถึงถามกลับ


“แล้วคุณเป็นอะไรกับเขาล่ะ”


“เป็นเพื่อนสมัยมัธยม”


“อ้อ”


“งั้นพรุ่งนี้ผมจะมาหาใหม่”


“อืม”


ยูจินเลิกคิ้วให้กับอาการหยิบของสะเปะสะปะของคนตรงข้ามเลยยื่นหน้าก้มไปมองหน้าอีกคนเสียใกล้ เพียงเห็นอาการชะงักก็ยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเหยียดกลับมายืนตัวตรงดังเก่าแล้วเอื้อมมือมาวางลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าเบาๆ


“ผมไปนะ...ตอบแชทหรือรับโทรศัพท์ผมด้วยล่ะ”


“ผมไม่ค่อยติดโทรศัพท์จะให้มารับสายหรือตอบแชทใครตลอดได้ไง”


“ถ้าเห็นค่อยตอบก็ได้ ไปแล้วนะ คนเก่ง” เพื่อนใหม่กล่าวอำลาพร้อมโบกมือให้ถึงยอมออกไปทำธุระ


เจ้าของร้านมองผ่านกระจกตามไปจนลับสายตาจึงละสายตากลับเข้ามาภายในถึงเห็นว่าเพื่อนร่วมบ้านของตนเองยืนหันหลังพิงเคาน์เตอร์ด้านนอกอยู่ใกล้ๆ


“นายไปรู้จักกับยูจินได้ไงอะ” คำถามคล้ายการบ่นลอยมาให้คนอยู่โยงหลังเคาน์เตอร์ได้ยิน


“ก็เขาอยู่ในกลุ่มแชทคนทำร้านกาแฟก็เลยเล่นเกมด้วยกัน ทำไมอะนายรู้จักเขาเหรอ”


“เราเรียนด้วยกันตอนม.ปลายน่ะ แต่นายอย่าไปยุ่งด้วยเลย นิสัยมันไม่ดีเท่าไหร่หรอก”


“เท่าที่คุยกันมาก็นิสัยดีนะ”


“นายไม่รู้จักมันจริงๆ ซะหน่อย”


“เขาไม่ดียังไง”


“มันขี้หลี ตอนเรียนด้วยกันมันมีแฟนเป็นโหลๆเลยนะ” เพื่อนร่วมบ้านใช้การโกหกเป็นเหตุผล แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดีแต่ความรู้สึกที่อยากขัดขวางนั้นรุนแรงเกินกว่าจะห้ามตัวเองได้


“เขาไม่หลีฉันหรอก ฉันเป็นผู้ชาย”


“ใครจะไปรู้ มันอาจทำอยู่ก็ได้”


“นายนี่นอกจากจะรู้จักใครต่อใครรอบตัวฉันทุกคนแล้ว ยังมีแต่คนไม่ดีอีกเนอะ...ไหนลองบอกมาซิว่ามีใครที่ฉันกับนายรู้จักแล้วเป็นคนดีในสายตาของนาย”


“นายไง”


“คนอื่นสิ”


“มี แต่ที่มีน่ะก็ดีไม่เท่ากับนายหรอก”


“ไอ้ที่ว่าดีไม่พอนี่รวมถึงนายด้วยมะ”


“ก็ด้วย”


“เหอะ”


“แต่ฉันก็พยายามจะเป็นคนซื้อข้าวที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นะ”


เจ้าของร้านส่ายหัวให้คำพูดของเพื่อนร่วมบ้านอย่างเหนื่อยระอาก่อนยกแก้วที่เหลือน้ำกาแฟนอนของตนเองใส่ลงในอ่างล้างจานด้านหลังแล้วเอ่ยต่อ


“จะบอกว่าเพื่อนก็เพื่อนเถอะ”


“ไม่สิ...ไม่ใช่เพื่อน”


“เพื่อนดิ...เวลาใครถามนายยังบอกเลยว่าฉันเป็นเพื่อน ละจะไม่ใช่เพื่อนได้ไง”


“ก็นายไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันนิ”


“ตอนนี้เป็นแล้ว”


“อา”


“แล้วก็เลิกบอกใครต่อใครว่าเป็นคนซื้อข้าวให้ฉันด้วย...เดี๋ยวคนอื่นเขาจะคิดว่าฉันนิสัยไม่ดีจิกหัวใช้เพื่อน”


“ง่า”


“เข้าใจนะ”


“ไม่อะ”


“แล้วจะเอายังไง”


“เป็นผู้พิทักษ์ก็ได้”


“ฮะ...ว่าอะไรนะ”


“ฉันไม่ใช่คนซื้อข้าวแต่เป็นผู้พิทักษ์แทนก็ได้...ผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลนายไง”


“เรื่องแบบนี้ไปทำกับแฟนนายเหอะ”


“จะไปทำให้ได้ไง ฉันยังไม่มีแฟนสักหน่อย”


“ฉันก็ไม่ใช่แฟนนายเหมือนกัน” ความน้อยใจที่กดเก็บไว้มาเนิ่นนานมีแรงส่งให้เจ้าของร้านเผลอตะโกนใส่เพื่อนร่วมบ้านไปสุดเสียง พลันลูกค้าทั้งหมดในร้านหยุดทุกกิจกรรมมองมาทางเคาน์เตอร์แทบเป็นตาเดียว ทำให้ฝ่ายเผลอเสียงดังหน้าเสียรีบโค้งขอโทษลูกค้าจากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยปากขอโทษเพื่อนด้วยเช่นกัน


“ขอโทษนะที่ตะโกนใส่...ช่วงนี้อากาศมันหนาวๆ ฉันก็เลยหงุดหงิดง่ายไปหน่อย”


“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันต่างหากต้องขอโทษที่เอาแต่เซ้าซี้นาย” ฝ่ายถูกตะคอกบอกยิ้มๆ พลางโบกมือปัดไปมาอย่างไม่ถือสาพยายามปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติ แม้จะเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจชั่วนาทีที่เห็นมุมปากของอีกคนยกขึ้นเหมือนฝืนยิ้ม


“วันนี้นายจะอยู่ที่ร้านนานมั้ย”


“อยู่จนปิดร้านนั้นแหละ”


“แล้วไม่ต้องทำงานเหรอ”


“เมื่อวานฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าได้หยุด”


“อ๋อ...”


“แล้วนี่นายกินข้าวกลางวันหรือยัง”


“ฉันอุ่นข้าวพี่ฮิมชานกินแล้ว”


“แล้วข้าวที่ฉันใส่ไว้ในตู้เย็นไม่เอามากินล่ะ”


“พี่ฮิมชานบอกว่า ข้าวที่พี่เชฟนายให้มา ดูตราบนกล่องใส่แล้วมันเป็นอาหารแพงๆที่สั่งพิเศษจากโรงแรมมา ในเมื่อพี่เชฟของนายเขาให้อาหารราคาขนาดนั้นมากินแสดงว่าเขาต้องการให้นายกินไม่ใช่ให้ฉัน เกิดเขามารู้ทีหลังว่านายยกให้คงไม่ดี พี่เขาเลยไม่ให้ฉันกิน”


แดฮยอนนิ่งงันต่อคำตอบที่ได้รับอยู่เพียงครู่จึงเม้มปากเข้าหากันอย่างกังวลต่อความผิดพลาดของตัวเองที่ลืมคิดไปว่าวันหนึ่งรุ่นพี่อย่างฮิมชานซึ่งคลุกคลีกับร้านอาหารและภัตตาคารราคาแพงอาจสังเกตเห็นอาหารพวกนั้นขึ้นมา


“กินไปเถอะ พี่ฉันเขาไม่ว่าหรอก”


“แล้วมันแพงจริงหรือเปล่าล่ะ”


“ฉันจะไปรู้ได้ไง...เขาให้มาฉันก็กินแค่นั้นเอง”


“แต่ถ้าพี่ฮิมชานบอกว่าแพงแสดงว่าแพง เวลามีคนให้อาหารแพงๆกับใครแปลว่าเขาตั้งใจให้เฉพาะคนๆนั้น เพราะงั้นนายเก็บไว้กินเองดีกว่า”


“นายนี่เชื่อพี่ฮิมชานจัง ไม่คิดว่าพี่เขาจะดูผิดบ้างเหรอ”


“ผิดไม่ผิดไม่รู้หรอกแต่เหตุผลของพี่เขาพูดมันเป็นเรื่องที่ฉันคิดว่าควรทำตามน่ะ”


“ถ้านายไม่ช่วยกินแล้วมันก็เสียสิ นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยอยู่บ้านจะกินคนเดียวหมดได้ไง”


“ก็เอาไปให้ที่ทำงานสิ ไม่ก็ให้พี่ฮันเฮเขาก็ได้ เห็นช่วงนี้เวลามาที่นี่ทีไรเอาแต่บ่นไม่มีเงินอยู่เรื่อย”


“ฉันขี้เกียจขนไป”


“เอามาไว้นี่สิ เวลาพี่ฮันเฮมาฉันจะได้ให้เขาไป”


“พี่ฮันเฮเขามาร้านนายบ่อยหรือไง”


“ช่วงนี้พี่เขาแวะมาซื้อกาแฟตอนเช้าแต่ไม่ได้นั่งในร้านหรอก เห็นพี่เขาบอกว่าฝ่ายบุคคลจับตาดูอยู่เลยอู้นานไม่ได้”


“ถึงขนาดต้องเอาให้คนอื่นกิน ฉันไม่รับข้าวจากพี่เขาแล้วยังดีกว่า”


“ไม่รับก็ดีเหมือนกัน...พี่เขาให้ข้าวนายกินฟรีตั้งนาน ตอนนี้รู้ราคาอาหารแล้วก็อย่ารับเลย เกรงใจเขา”


“เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกพี่เขาไว้ล่ะกัน”


“แต่ถ้าอยากทุ่นค่าข้าวล่ะก็ เดี๋ยวฉันบอกให้พี่ฮิมชานทำข้าวมาเผื่อนายให้”


“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันหากินเอง”


“แล้วตอนไปกินข้าวด้วยกันก็เลิกเลี้ยงข้าวฉันทุกมื้อได้ล่ะ ฉันจะได้เลี้ยงข้าวนายคืนบ้าง”


“ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วย” เสียงจากคนตัวสูงกว่าบ่นพึมพำตามด้วยลมร้อนที่พ่นผ่านริมฝีปาก ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ภายในร้านจะดังขึ้น เจ้าของร้านผละไปรับโทรศัพท์แล้วคว้ากระดาษกับปากกามาจดออเดอร์จากโรงพยาบาลมือเป็นระวิงถึงวางสายและง่วนอยู่กับการทำเครื่องดื่มนับยี่สิบแก้วโดยมีเพื่อนร่วมบ้านขันอาสาวิ่งไปส่งให้


เมื่ออีกฝ่ายกลับเข้าร้านมาอีกครั้งก็เห็นลูกค้าทยอยเข้ามานั่งในร้านจนแน่นขนัดเลยช่วยจัดการรับออเดอร์รวมทั้งเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่เช่นนั้นจนถึงเวลาที่พนักงานพาร์ทไทม์อย่างจงออบต้องมาทำงานแต่เขาไม่เห็นวี่แววเจ้าตัว พอถามขึ้นก็ได้คำตอบว่าติดสอบเลยมีแค่เขากับเจ้าของร้านเท่านั้นที่หัวหมุนอยู่กับลูกค้า โชคดีที่คืนนี้ไม่มีลูกน้องจากร้านสักของยงนัมโผล่มาทำให้ปิดร้านได้ตามกำหนด


ทั้งคู่แวะกินมื้อเย็นระหว่างเดินกลับบ้านในร้านอาหารริมถนนแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปอย่างปกติเช่นทุกวัน ถึงคืนนี้แดฮยอนจะไม่ได้นอนจับมือแต่ก็มีตุ๊กตาของยองแจให้ได้กอด ระหว่างใกล้เคลิ้มหลับนั้นเขาคิดไว้ว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม


ทว่าในอีกสามวันต่อมากลับไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คาดเพราะยองแจใส่โค้ทสีชมพูตัวที่ได้รับจากเพื่อนสมัยมัธยมของเขาเพื่อไปเจอกับเพื่อนคนเดียวกันนี้ที่ขยันมาหา คอยขันอาสาทำหน้าที่บาริสต้าและอยู่โยงมันยันปิดร้านทุกวัน


การได้เห็นยูจินยืนซ้อนหลังยองแจช่วยทำเครื่องดื่มอยู่หลังเคาน์เตอร์ดูละม้ายคล้ายฉากในภาพยนตร์โรแมนติก ด้วยลักษณะทางกายภาพที่ต่างกันด้วยฝ่ายหนึ่งตัวสูงใหญ่ส่วนอีกคนก็ผอมบาง ยามพูดคุยยิ้มแย้มต่อกันช่างเหมาะสมกันมากพาลให้เขาหงุดหงิดจนสั่นได้แต่กัดกรามไว้ในปากอย่างอดกลั้น


แม้แต่พนักงานพาร์ทไทม์อย่างจงออบที่เขาคิดว่าต้องเป็นพวกเดียวกันช่วยขัดขวาง พอถึงเวลาจริงเจ้าตัวกลับไปวนเวียนคุยเล่นกับเพื่อนสมัยมัธยมของเขาอย่างสนิทสนม ยิ่งทำให้เขาหัวร้อนไปกันใหญ่ กระนั้นหลังปิดร้านเขาต้องแกล้งทำยิ้มไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งที่ปวดใจ ไม่แม้แต่จะยกเรื่องเหล่านี้มาเป็นบทสนทนากับเจ้าของร้านเพื่อให้ช่วงเวลากลางคืนที่มีกันอยู่สองคนดำเนินไปอย่างราบลื่น


เขาขอแค่มีเวลากลางคืนแค่สองสามชั่วโมงในการพูดคุยและเสียงหัวเราะชวนหัวจากการดูโทรทัศน์ด้วยกันเพื่อเติมพลังไว้ใช้สู้ในตอนเช้าจึงไม่อยากให้มีอะไรทำให้เกิดปัญหา


ชายหนุ่มกดเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ใต้หน้ากากแห่งความสุขเช่นที่ทำมาตลอดโดยอีกฝ่ายเองก็พยายามห้ามตนเองไม่ให้เผลอใช้อารมณ์วางตัวเป็นเจ้าด้วยเช่นกัน ทุกวันผ่านพ้นไปคล้ายไม่มีอะไรแตกต่างกระทั่งวันศุกร์มาถึงจึงได้รับโทรศัพท์เรียกตัวให้เขาเข้าออฟฟิศ


แม้ใจจะไม่อยากคาดสายตาจากคนทั้งคู่ด้วยกลัวว่าหากความสัมพันธ์รุกหน้าไปในจุดที่เจ้าของร้านสนิทกับเพื่อนสมัยมัธยมมากกว่าเขาขึ้นมาจะทนไม่ไหว โดยที่เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำไมถึงต้องทนไม่ได้ถ้าทั้งคู่จะสนิทกันก็ตาม


หลังแจ้งเรื่องต้องเข้าออฟฟิศกับเจ้าของร้านเรียบร้อย แดฮยอนก็อิดออดเตือนเรื่องอาหารการกินเป็นการใหญ่กว่าจะยอมออกไป เมื่อถึงที่หมายได้ประชุมงานเรียบร้อยถึงรู้ว่าตนเองต้องไปคุมเสียงกับเอฟเฟกต์ต่างๆ ในงานคอนเสิร์ตไกลถึงปูซานอันเป็นเมืองเกิดของเขา


“จะไปไหนเหรอ” เสียงเจ้าของบ้านถามขึ้นขณะมองเพื่อนร่วมบ้านซึ่งกลับจากออฟฟิศมาถึงตอนสามทุ่มก็หายเข้าห้องไปแล้วเดินหิ้วกระเป๋าสะพายหลังบรรจุเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวใบใหญ่กลับมาวางกองบนพื้นหน้าโซฟาตามด้วยการโถมทั้งตัวลงนอนคว่ำหน้าด้วยสภาพเหนื่อยอ่อนพักหนึ่งถึงยอมตอบ


“ไปปูซานน่ะ”


“ไปทำงานเหรอ”


“ใช่...ต้องไปเสาร์นี้เลยแหละกว่าจะกลับก็วันอังคารนู้น จริงๆฉันตั้งใจจะพานายไปสวนน้ำวันอาทิตย์นี้แต่ดันมีงานเข้ามาก่อน แย่ชะมัด” คนตัวสูงกว่าบ่นกระปอดกระแปดหน้าบึ้งเหมือนแมวถูกขัง


“ทำงานก่อนเถอะ เที่ยวน่ะไว้ที่หลังก็ได้”


“แต่ฉันไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกับนายเป็นเดือนแล้วนะ”


“ก็กินข้าวข้างนอกด้วยกันทุกวันแล้วนิ”


“กินข้าวมันไม่เหมือนไปเที่ยวหรอก”


“ถึงงั้นก็ต้องไปทำงานอยู่ดีไม่ใช่หรือไง ไว้อาทิตย์หน้าค่อยว่ากันใหม่ก็ได้”


“งั้นอาทิตย์หน้าไปสวนน้ำด้วยกันนะ” เพราะรู้ดีว่าปฏิเสธงานไม่ได้จึงขอสัญญาพลางยกนิ้วก้อยยื่นไปให้เกี่ยว


เจ้าของบ้านมองนิ้วเรียวจากคนบนพื้นที่ทำหน้าทำตาละห้อยเหมือนแมวเด็กอดข้าวก็หลุดยิ้มและยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวด้วยอย่างอดไม่ได้ ทั้งคู่นั่งดูซีรีย์สืบสวนด้วยกันพักเดียวก็ได้ฤกษ์เข้านอน  ตุ๊กตาลูกไก่นั่งในเปลือกไข่นุ่มนิ่มก็ถูกส่งมาให้แทนตัวเก่าที่ตากยังไม่แห้ง


แดฮยอนล้มตัวลงนอนกอดตุ๊กตาลูกไก่นั้นไว้แทนการได้จับมือเจ้าของตุ๊กตาจึงหลับลงได้โดยง่าย เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ดังขึ้นจึงลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปขึ้นกับทีมงานที่บริษัทแต่ไม่ลืมที่จะเขียนโน้ตแปะเตือนพร้อมอุ่นข้าวของฮิมชานทิ้งไว้ให้


ยองแจอาบน้ำแต่งตัวเดินเข้าครัวมาเพื่อชงกาแฟเช่นทุกวันอ่านข้อความในกระดาษโน้ตที่เขียนบอกวันกลับรวมทั้งเตือนเรื่องอาหารการกินและยาติดบนตู้เย็นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมากดส่งข้อความตอบทุกคนในคาทก พลันสายเรียกเข้ามีชื่อเขียนว่า ฮิมชานก็ปรากฏขึ้นมาให้ต้องรับ


“นี่เราจ้างบาริสต้ามาเพิ่มอีกคนแล้วเหรอ” หลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของน้องเรียบร้อย เสียงจากพี่ชายผู้เหมือนพ่อคนที่สามซึ่งถามถึงเรื่องในร้านก็เข้มขึ้นทันที


“เปล่านะ...ผมไม่ได้จ้างบาริสต้ามาซะหน่อย”


“แล้วไอ้คนที่ชงกาแฟอยู่ในร้านนั่นมันใครวะ”


“เพื่อนน่ะ”


“เพื่อนที่ไหน”


“เพื่อนในกลุ่มร้านกาแฟ พอดีเล่นเกมด้วยกัน เขาว่างเลยแวะมาช่วยทำกาแฟ”


“จ่ายค่าจ้างเขาหรือเปล่า”


“เขาบอกผมว่าไม่ต้องจ่าย...เพื่อนกันมาเยี่ยม มาช่วยทำงานไม่คิดเงินหรอก”


“ใจดีนะ...ใจดีพอกับแดฮยอนมันเลยหรือเปล่า” คนเป็นพี่ไพล่ไปถึงรูมเมทซึ่งตัวเองสะกิดใจในหลายๆเรื่อง


“ก็นิสัยดีอยู่นะ เขาให้โค้ทแพงๆกับผมด้วยแหละ”


“อะไร นี่ซื้อของให้ด้วย”


“ไม่ได้ซื้อ มันเป็นของแฟนเก่า เขาเสียดายก็เลยเอามาให้ใช้”


“หื้อ มีการให้กันอย่างนี้ด้วย เอาเถอะไว้พี่จะแวะไปคุยกับเพื่อนใหม่ของเราดูจะได้รู้ว่าเป็นคนยังไง แล้วนี้วันอาทิตย์เรามีนัดไปไหนกับแดฮยอนมันมั้ย”


“อาทิตย์นี้ไม่มี”


“อยู่บ้านกันเฉยๆเหรอ”


“เปล่า...เขาไปทำงานที่ปูซาน กลับมาอีกทีวันอังคาร”


“แล้วเราจะออกไปไหนหรือเปล่า”


“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”


“โอเค ไว้พี่ถึงเกาหลีเมื่อไหร่จะโทรหาอีกที ถ้าวันอาทิตย์ยังไม่ได้ออกไปไหนพี่จะรับมากินข้าว แล้วค่อยไปตรวจเลือดอีกรอบ”


“ไม่เอา”


“ทำไมอีกล่ะ”


“เดือนนี้ผมเจาะเลือดไปสองรอบแล้วอะ ไม่อยากเจาะเพิ่มแล้ว เจาะทีแขนช้ำเป็นจ้ำกว่าจะหายตั้งนาน แดฮยอนเห็นก็ชอบถาม ผมขี้เกียจโกหก”


“ไม่อยากโกหกก็ดูแลตัวเองดีๆสิ หนนี้ค่าเลือดเราไม่ดีสักตัว ถ้าไม่เจาะใหม่แล้วเอาผลเลือดนี้ไปให้อาหมอเขาดู เผลอๆเราจะได้แอดมินในโรงพยาบาล”


“พี่ก็บอกอาหมอไปสิว่าช่วงนี้ผมดูหนังไม่ค่อยได้นอน ค่าเลือดเลยไม่ดี”


“กลัวจะไม่ใช่เพราะพักผ่อนไม่พอน่ะสิ ค่าเม็ดเลือดขาวเรามันขึ้นอีกแล้วนะ พี่กลัวเราจะกลับมาป่วยเหมือนเดิมอีก”


“อาๆ เข้าใจแล้ว ถ้าอยากจะให้เจาะเลือดใหม่ ผมไปเจาะก็ได้ พี่มารับด้วยแล้วกัน แต่ถ้าผมมีนัดวันอาทิตย์พี่จะพาไปเจาะเลือดวันอื่นได้ใช่ปะ” คนเป็นน้องรับรู้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของปลายสายเลยมีทีท่าอ่อนลง


“ไม่ก็ไปเจาะตอนเช้าวันไปหาอาหมอเลยดีมั้ย”


“แล้วแต่พี่เหอะ ละนี่มีอะไรจะคุยอีกเปล่า ถ้าไม่มีผมจะได้กินข้าว เดี๋ยวไปเปิดร้านสาย”


“มีแต่ไม่อยากคุยตอนนี้”


“งั้นผมวางล่ะนะ พี่ดูแลตัวเองด้วย เดินทางปลอดภัย”


“เออ เราก็เหมือนกัน”


ยองแจกดวางสายปล่อยโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วหันไปจัดการกับกาแฟและอาหารเช้าจึงออกจากบ้านไปเปิดร้านตามปกติ หากวันเสาร์นี้กลับมีคนตัวใหญ่มายืนรออยู่ก่อนแล้ว


“ทำไมมาเช้าจัง”


“ผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ยูจินตอบมองคนตัวเล็กสวมเสื้อโค้ทสีชมพูที่เขามอบให้ด้วยรอยยิ้มสองมือหอบหิ้วถุงกระดาษสีน้ำตาลไว้จนเต็ม


“เลยมายืนรอหน้าร้านน่ะเหรอ...มาตั้งแต่กี่โมงเนี่ย”


“หกโมง”


“หกโมงเช้าเนี่ยนะ มายืนรออย่างนี้ก็หนาวแย่สิ” ความเป็นห่วงทำให้ยื่นมือออกไปแตะบนหลังมืออีกคนไว้


แม้จะเป็นเวลาไม่นานที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน ทว่าความอัธยาศัยดีเป็นมิตรดูไม่มีพิษภัยอะไรแถมคุยด้วยทีไรก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนคุยกับพี่ชายของยูจินนั้นทำให้เขาสนิทใจพอจะวางตัวเป็นกันเองได้


“ไม่ค่อยหนาวหรอก ผมเดินไปเดินมาออกกำลังกายแถวนี้ไปหลายรอบแล้ว ว่าแต่ทำไมวันนี้เปิดร้านช้าจัง”


“ผมเปิดร้านวันเสาร์ช้ากว่าทุกวันน่ะ วันอาทิตย์ถึงปิดร้าน”


“คุณหยุดทุกวันอาทิตย์เหรอ”


“ใช่”


“งั้นวันอาทิตย์คุณก็ว่างสิ”


“เหมือนจะว่างนะ”


“คุณชอบอาหารแม็กซิกันมั้ย”


“กินได้แหละ พี่ฮิมชาน...เอ๊ย พี่ผมน่ะเขาเคยพาไปกิน”


“งั้นดีเลย พอดีเพื่อนผมเขาเพิ่งเปิดร้านอาหารแม็กซิกัน อยู่ไม่ไกลจากนี้หรอก มันโทรมาชวนให้ผมไปลองกินฝีมือมันดู ถ้าวันอาทิตย์คุณว่างไปด้วยกันมั้ย”


“จะเลี้ยงเหรอ”


“เลี้ยงสิ...เอาแดฮยอนมันไปด้วยก็ได้นะ เผื่อมันจะอยากกินอาหารแม็กซิกัน”


“เขาไปไม่ได้หรอก เสาร์ อาทิตย์นี้เขาต้องไปทำงานที่ปูซาน” เจ้าของร้านตอบขณะไขกุญแจผลักประตูกระจกเข้าไปภายใน


“ชวนจงออบมั้ย น้องเขาจะได้ประหยัดค่าอาหาร”


“วันอาทิตย์จงออบเขาไม่มีซ้อมวิ่งน่ะ เพราะงั้นเขาจะนอนลูกเดียวไม่ออกไปไหน ถ้าคุณอยากไปกินอาหารร้านเพื่อนแต่อยากหาคนไปด้วย ผมไปกับคุณสองคนก็ได้นะ”


“ไปได้เหรอ ไม่กลัวผมจับคุณไปเรียกค่าไถ่หรือไง”


“ทำไมต้องกลัว ผมไม่ใช่เด็กสามขวบซะหน่อย แล้วนั่นคุณหอบอะไรมา เยอะจัง”


“ข้าวกลางวันกับขนมน่ะ...วันนี้ผมต้องไปตรวจงบร้านสาขาน่ะคงอยู่เป็นบาริสต้าให้ไม่ได้ ผมเลยซื้อสเบียงไว้ให้คุณกับจงออบกินจะได้ไม่ต้องเดินหนาวๆไปหาซื้ออีก”


“ขอบคุณนะ” เจ้าของร้านเอ่ยกวาดตามองถุงกระดาษสีน้ำตาลบนเคาน์เตอร์แล้วหันไปหาคนตัวใหญ่ที่กุลีกุจอจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นการใหญ่


“เดี๋ยวผมช่วยคุณเปิดร้านก่อน ค่อยออกไป”


“ไม่ต้อง คุณมีธุระก็ไปทำก่อนเลย ผมเปิดร้านคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ผมเปิดร้านเองคนเดียวไม่มีคนช่วยมาตั้งนาน แค่คุณไม่อยู่ช่วยผมไม่เป็นไรหรอกน่า”


“ไม่เป็นไร ผมทำแป้บเดียวก็เสร็จ” ถึงจะถูกทัดทานอีกฝ่ายยังคงช่วยเปิดร้านถึงค่อยขอตัวออกไปทำธุระ


เจ้าของร้านอยู่ดูแลร้านลำพังระหว่างนั้นก็มีเสียงข้อความในคาทกดังขึ้นอยู่ตลอด เพราะความว่างทำให้เขาหยิบมันมาเปิดดูก็เห็นข้อความจากเพื่อนร่วมบ้านและเพื่อนใหม่ส่งมาเป็นระยะ กระทั่งจงออบมาช่วยงานถึงได้คุยกับคนอื่นนอกจากแค่รับออเดอร์และขอบคุณลูกค้าน้อยนิดที่เข้ามานั่งดื่มกาแฟ


หลังปิดร้านเรียบร้อยเขาก็ชวนจงออบไปกินข้าวเย็น จากนั้นพนักงานรุ่นน้องก็เดินมาส่งถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์ พอโบกมือร่ำลากันเรียบร้อยเจ้าตัวก็กลับเข้าห้อง ไถลตัวลงนอนหงายบนโซฟาท่ามกลางความเงียบงันพาลให้คิดถึงหน้าของเพื่อนร่วมบ้านจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่องอินสตาแกรมของอีกฝ่ายเพื่อดูความเคลื่อนไหว


รูปถ่ายคู่กับบรรดาเพื่อนร่วมงานและศิลปินคนดังรวมถึงบรรยากาศภายในงานถูกแท็กไว้ให้รู้ว่าไปทำงานจริง พลันสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นพร้อมชื่อของคนที่กำลังคิดถึงก็โทรเข้ามาพอดีจึงกดรับสาย


“กลับบ้านแล้วใช่มั้ย” เสียงทุ้มกังวานถามแข่งกับเสียงดนตรี


“อืม”


“กินข้าวกินยาหรือยัง”


“เรียบร้อย”


“รีบนอนนะ เดี๋ยวไม่สบาย”


“รู้แล้ว นายก็ตั้งใจทำงาน เสร็จแล้วก็นอนพักด้วยนะ”


“จ๊ะ” บทสนทนาแสนสั้นจบลงเพียงเท่านั้นเช่นทุกครั้งที่ปลายสายต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด


ยองแจวางโทรศัพท์พลางหันมองรอบห้องนั่งเล่นซึ่งมีเพียงเสียงจากโทรทัศน์บรรเทาความเงียบ ภาพนักแสดงบนจอโลดแล่นไปตามบทบาทแต่ไม่อาจดึงดูดใจผู้ชมได้ สุดท้ายเจ้าตัวก็ลุกไปแปรงฟันเข้านอนเฝ้ามองข้อความเด้งเตือนว่าฝันดี...ราตรีสวัสดิ์ของคนที่อยู่ปูซานปรากฏให้ได้อ่านถึงวางโทรศัพท์เสียบชาร์ตไว้บนโต๊ะข้างเตียงถึงหลับลงได้เสียที
------------------------------------------------------
สายลมแห่งเหมันต์ฤดูพัดกรรโชกแรงสั่นหน้าต่างทั้งบานให้ไหวตามปลุกเจ้าของห้องที่หลับใหลให้ลืมตา ร่างผอมพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงพักหนึ่งถึงลุกไปยืนมองท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอกก่อนที่เสียงบางสิ่งกระทบบนโต๊ะรัวๆจะดังขึ้น


ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจอค่อยๆไล่ตอบข้อความจากครอบครัวและพี่ชายต่างสายเลือดเหมือนเคยก็เปิดอ่านข้อความจากเพื่อนใหม่ที่นัดหมายว่าจะไปกินข้าวด้วยกันวันนี้ โดยมีรูปรวมทั้งรายละเอียดของร้านอาหารถูกส่งมาไว้ระหว่างนอนหลับแต่นั้นยังไม่ทำให้ตกใจเท่ากับการได้เห็นรูปเซลฟี่ของอีกฝ่ายถ่ายในรถส่งมาหาพร้อมข้อความว่ารออยู่ข้างล่างซึ่งถูกส่งมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าโดยเวลาในตอนนี้เกือบจะเก้าโมงเข้าไปแล้ว


เพียงเท่านั้นเจ้าตัวก็รีบร้อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงลิฟต์ไปข้างล่างอพาร์ทเม้นต์ก็เห็นเพื่อนใหม่แต่งชุดดำทั้งตัวยกเว้นโค้ทตัวยาวที่สวมด้านนอกซึ่งเป็นสีน้ำตาลยืนล้วงกระเป๋ายืนรออยู่


“ทำไมไม่โทรมาก่อนล่ะ...ส่งข้อความมาแบบนั้นถ้าผมตื่นเที่ยงขึ้นมาคุณไม่แหง็กรอตายเลยเหรอ” คนตัวเล็กกว่าแว้ดใส่ทันที หากอีกคนแค่ยิ้มกว้างอย่างเคย


“ไม่อยากปลุกน่ะ”


“แต่มายืนรอแบบนี้มันก็ไม่ดีเหมือนกัน”


“ผมไม่ได้ยืนรอคุณอย่างเดียวหรอก ผมวิ่งออกกำลังกายมาแล้วเมื่อกี้”


“วิ่งทั้งชุดนี้อะนะ”


“เปล่าหรอก...ผมมีชุดมาเปลี่ยน”


“อ้อ”


“อากาศมันหนาวนะ ถ้าไงเราไปกันเลยดีกว่ามั้ย”


“ก็ได้”


ทั้งคู่เดินไปยังรถสปอร์ตสีดำปลอดที่จอดอยู่ในลานจอดชั่วคราวหน้าอพาร์ทเม้นต์และมุ่งสู่ถนนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางและหาสถานที่จอดรถรวมถึงเดินเท้าต่อมาเกือบชั่วโมงจึงมาถึงร้านอาหารอันเป็นตึกแถวสองคูหาทาสีน้ำเงิน แดง และเขียวอย่างโดดเด่นสะดุดตาเช่นเดียวกับการตกแต่งด้านที่เน้นธีมสีน้ำเงิน กระเบื้องพื้นเล่นระดับมีลวดลายแปลกตา ภาพวาดสีจัดประดับผนังนั้นทำให้ร้านมีกลิ่นอายของประเทศแม็กซิกันอย่างเต็มเปี่ยม


หลังยูจินพูดคุยแนะนำยองแจให้เพื่อนชาวแม็กซิโกที่เป็นเจ้าของร้านเรียบร้อยก็ถูกเชิญชวนให้ไปนั่งยังโต๊ะด้านในสุดของร้านตรงกับผนังที่วาดภาพของหญิงสาวผิวน้ำผึ้งเปลือยอกแช่เท้าในแม่น้ำ


“คุณเรียนดนตรีมาเหรอ” ประโยคคำถามจากชายตัวใหญ่กว่าซึ่งตักแป้งตอร์ติย่าห่อเนื้อและอโวคาโดย่างโปะชีสเยิ้มๆใส่จานให้


“หมายถึงสมัยเรียนมหาลัยน่ะเหรอ...ใช่ ผมเรียนดนตรีมา”


“เรียนเอกเดียวกับแดฮยอนมันหรือเปล่า”


“ใช่ เรียนรุ่นเดียวกัน”


“งั้นคุณก็อายุน้อยกว่ามันสิ”


“ต้องอายุเท่ากันสิ จะน้อยกว่าได้ไง”


“หมอนั่นพอจบม.ปลายก็อายุยี่สิบเท่ากับผมน่ะ ผมจบช้าเพราะไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมา ส่วนแดฮยอนมันเข้ามาเรียนปีสองกลางเทอม พอมันจบก็เข้ากรมไปอยู่หน่วยทหารอากาศจนปลดประจำการค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัย”


“จริงเหรอ” ฝ่ายได้รับข้อมูลใหม่ว่าพลางกระพริบตาปริบเพราะไม่คิดว่าตนเองจะอายุน้อยกว่าถึงสองปี


“จริง...ไอ้แบบนี้คุณต้องเปลี่ยนมาเรียกผมว่าพี่นะ”


“พี่อะนะ”


“ก็ผมแก่กว่าคุณนิ จะเรียกแดฮยอนมันว่าพี่ด้วยก็ได้”


“ผมไม่เรียกเขาว่าพี่หรอก”


“ทำไมล่ะ”


“ไม่อยากเรียกพี่กับเพื่อน” คำท้ายประโยคลอดผ่านปากเบาหวิว


“ไม่อยากเรียกก็ไม่ต้องเรียก ผมไม่บังคับหรอก”


“แต่ผมเรียกคุณว่าพี่ได้นะ”


“ถ้าเรียกพี่กับผมได้แสดงว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมสิ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมเป็นมากกว่าเพื่อนหรือพี่ให้คุณได้อยู่แล้ว” คนตัวใหญ่เท้าคางหยอดใส่ยิ้มๆ


“คุณชอบผู้ชายเหรอ”


“ผมชอบได้หมดแหละ เรื่องความรักความชอบจะเพศไหนมันไม่สำคัญหรอก”


“เป็นพวกเจ้าชู้นี่เอง”


“เจ้าชู้ในความหมายของคุณคืออะไร ถ้าหมายถึงมีคนคบแล้วก็ยังหาคนอื่นต่อแบบนั้นไม่ใช่ผมหรอก ผมเป็นคนซีเรียสเรื่องความรักนะ คบใครสักคนทีก็คบนาน เสียดายก็แค่ไม่มีใครคบนานพอสักคน”


“กี่เดือนเลิก”


“โอ้...ใช้คำว่ากี่เดือนเลิกเลยเหรอ ใจร้ายจัง”


“ก็ไม่รู้อะ ท่าทางคุณเหมือนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมรู้จัก เวลาเข้าหาสาวนี่นะเก่งเป็นที่หนึ่งแต่ไม่เห็นคบกับใครเกินสองเดือนสักที” คนตัวเล็กกว่าพาดพิงไปถึงแฝดคนพี่ตระกูลบังขณะหยิบนาโช่เข้าปากด้วยมือเปล่า


“ผมไม่ใช่แดฮยอนนะถึงจะคบไม่กี่เดือนเลิก ถ้าเขาไม่ทิ้งผมไปก่อนอย่างต่ำก็ปีขึ้นทั้งนั้น”


“ถูกทิ้งเพราะอะไรอะ”


“ถามถึงช่วงไหนล่ะ ถ้าช่วงเรียนมหาลัยก็เพราะเรียนหนักไม่มีเวลา ถ้าถามถึงช่วงหลังจากนั้นคงเพราะผมป่วย ต้องบินไปบินมาหาหมอ อยู่ด้วยกลัวไม่มีอนาคตล่ะมั้ง”


“คุณป่วยด้วยเหรอ ดูไม่เห็นเหมือนคนป่วยตรงไหนเลย”


“ผมเป็นโรคหัวใจน่ะแต่ผ่าตัดแล้วนะ”


“เป็นโรคหัวใจแล้วเรียนหมอได้เหรอ”


“พ่อผมเส้นใหญ่น่ะ สอบผ่านให้ได้ก็พอ นอกนั้นเขาจัดการให้”


“ตอนนี้มาเปิดร้านกาแฟแทน พ่อไม่โมโหใหญ่เลยเหรอ...ผมน่ะแอบเรียนดนตรีนะ คุณลุงผมเป็นคนส่งเรียน ถ้าไม่ติดว่าป่วยล่ะก็ป่านนี้คงโดนด่าเละเทะแล้วที่เรียนดนตรีแทนบัญชี”


“ผมอยู่วอร์ดเข้าเวรนานไม่ได้พักติดกันนานๆ ร่างกายมันเริ่มรับไม่ไหวน่ะก็เลยต้องเลิกเป็นหมอ โชคดีที่ผมพบว่าตัวเองชอบพวกกาแฟก็เลยเปิดร้าน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพให้พวกประธานบริษัทใหญ่อยู่บ้าง อา...เรื่องนี้ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ คุณเป็นคนแรกที่ผมเล่า”


“ทำไมไม่เล่าให้คนอื่นฟังล่ะ”


“ไม่รู้สิ...เห็นแบบนี้ผมไว้ใจคนยากนะ แต่ผมรู้สึกสบายใจเวลาคุยกับคุณ  แล้วคุณล่ะทำไมถึงเปิดร้านกาแฟแทนทำงานด้านดนตรีหรือเพราะป่วยเลยทำไม่ได้”


“ก็ประมาณนั้นแหละ”


“แค่โรคอื่นก็เยอะอยู่แล้ว ยังเคยเป็นมะเร็งอีกคงใช้พลังไม่ได้มาก”


“ทำไมรู้”


“ผมเป็นหมอนะคุณ เช็กไปเช็กมาก็รู้เอง”


“อย่าบอกหมอนั่นนะ”


“อะไร...เรื่องที่คุณป่วยเป็นอะไรบ้างน่ะเหรอ”


“อืม อย่าไปบอกเชียว ไม่อยากให้มานั่งสงสาร”


“แต่คุณสนิทกันไม่ใช่เหรอ”


“ก็สนิทล่ะมั้ง ว่าแต่คุณเองก็สนิทกับแดฮยอนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนเรียนเขาเป็นยังไงเหรอ” เพราะต้องการตัดบทเรื่องอาการป่วยบวกกับความไม่รู้ประวัติภูมิหลังอะไรของเพื่อนร่วมบ้านก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อนทำให้อยากรู้จึงลองถามหยั่งเชิงเอากับคนที่เคยมีอดีตร่วมกันมา


“ก็ดีนะ...หมอนั่นน่ะเข้ามาเรียนปีสองกลางเทอม เห็นบอกว่าพ่อแม่เสียกะทันหันต้องย้ายตามผู้ปกครองที่เป็นลูกน้องพ่อเลยย้ายโรงเรียน แต่ผู้ปกครองไม่เคยส่งเสียเลยต้องหาเงินด้วยตัวเอง เลิกเรียนมาก็ไปทำงานพิเศษงกๆ เท่าที่จำได้หมอนั่นเคยเป็นเอ็กซ์ตร้าในกองละครกับในรายงานโทรทัศน์ ทำงานซ่อม งานช่าง งานกรรมกร งานร้านสะดวกซื้อ เป็นครูสอนดนตรีให้เด็กเล็กด้วย”


“แต่เขาเคยบอกผมว่ามีพี่ชายนะ”


“มีด้วยเหรอ ไม่เห็นผมเคยได้ยิน”


“พี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว เขาบอกผมแบบนั้น”


“พี่ชายแท้ๆหรือรุ่นพี่กันแน่ล่ะ...แดฮยอนมันมีเพื่อนมีรุ่นพี่เยอะนะ มันเป็นคนใจดี ยอมคน ใครใช้ทำอะไรก็ทำ มันเฟรนด์ลี่แถมหล่อด้วยก็เลยมีสาวมาชอบเยอะแต่เอาเข้าจริงผมรู้สึกว่าเข้าถึงเขายาก เพราะมันโอนอ่อนตามคนอื่นไปหมด โดนเอาเปรียบก็นิ่งเหมือนพวกกลัวถูกเกลียดเลย”


“แต่เขาเคยต่อยเพื่อนร่วมคณะมาแล้วนะ”


“เฮ้ย จริงดิ ทำไมต่อยละ”


“วันนั้นมันวุ่นวายมาก จำได้แค่เพื่อนคนนั้นบอกว่าเขามาหาประโยชน์จากผม เขาก็กระชากคอเสื้อมาต่อยจนเพื่อนคนนั้นคว่ำไปบนพื้นเลย”


“ว้าว” เสียงเข้มร้องอย่างตื่นเต้นจึงต่อ “คุณเนี่ยสำคัญกับเขามากเลยสินะ”


“สำคัญเหรอ”


“หมอนั่นไม่เคยใช้ความรุนแรงเลยนะ แล้วเขาก็ดูไม่ชอบที่ผมมาหาคุณเอามากๆ”


“ผมไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เขาก็แค่กลัวการถูกเกลียดอย่างที่คุณว่าแหละ”


ยูจินสังเกตเห็นอาการปากคว่ำตากลมหลุบต่ำมองพื้นโต๊ะและมือที่จับช้อนเขี่ยมะเขือเทศในทาโก้ไปมาเหมือนคนกำลังน้อยใจก็ยิ้มอย่างเอ็นดู


“นี่ คุณเบื่อหมอนั้นหรือยังละ ผมหารูมเมทใหม่ให้เอามะ”


“คุณจะหาให้ผมเหรอ”


“ใช่...คุณมาอยู่กับผมได้นะ เมื่อไหร่ที่คุณเบื่อจนไม่อยากเห็นหน้าแดฮยอนมันแล้ว มาอยู่กับผมได้ ผมไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องไปต่างประเทศแต่ที่บ้านผมมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย มีพยาบาลคอยโทรเช็กว่าไม่เกิดอาการป่วยกำเริบ บ้านผมกว้างมากด้วย ถ้าคุณอยู่ล่ะก็สบายแน่”


“ตลก รู้จักกันแค่ไม่กี่วันจะมาชวนเป็นรูมเมท” ฝ่ายถูกยื่นข้อเสนอหัวเราะขำ


“ไม่กี่วันอะไร รู้จักในเกมตั้งหลายเดือน”


“คุณเหงามากเหรอถึงมาชวนไปอยู่ด้วย”


“เหงาสิ คนป่วยก็งี้แหละ”


“แต่คุณมีเพื่อนเยอะจะตาย”


“ไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่เราอยากอยู่ด้วยนิ”


ยองแจมองฝ่ายตรงข้ามที่ดูเหมือนจะไม่เคยมีอารมณ์ขุ่นมัวในใจมาก่อนเลยในชีวิตพักหนึ่งก็เอนหลังพองพนักเก้าอี้พลางเอ่ยคำซึ่งทำให้หัวใจเศร้าหมอง


“วันหนึ่งถ้ามึงถึงจุดที่ทนไม่ไหว บางทีผมอาจจะโทรหาคุณก็ได้นะ”

----------------------------------------แวะคุยกันก่อน---------------------------------------------

ขอตัดตอนมาก่อนนะคะ กลัวว่ามันจะยาวมากเกินไป บรรยากาศมาคุนี่เบาๆเองนะ 
ถ้าหนักกว่านี้จะอ่านกันไหวไหมคะ ฮืออออออ 
บทหน้าน่าจะติดเรตแล้วล่ะ ยังไงฝากคอมเม้นหรือติดแท็ก #ficlovetoxical 
ในทวิตเตอร์หน่อยนะคะ จะได้รู้ว่าจะส่งพาสไปหาใครบ้าง 

...ปรากฏเทกันหมดแล้ว สวัสดี 555555555555555555



You Might Also Like

1 Comments

  1. หึงจนจะระเบิดกากเอ๊ยกากจะสงสารรึอะไรดียองแจเวลาอยู่กับยูจินอ่ะน่ารักจัง ถามนั่นถามนี่เป็นเจ้าหนูจำไมเลย มีแอบหลแกถามเรื่องอิกากมันด้วย น่ารัก ทำไมน้าคนรอบตัวถึงดูอาการขอวสองคนนี้ออกแต่ทำไมเจ้าตัวทั้งสองคนถึงมองกันไม่ออก แค่ยูจินหลอกต้อนนิดหน่อยก็หลุดอาการทั้งคู่ คนนึงก็หึงจนเส้นเลือดจะแตก คนนึงก็งอนน้อยใจจนปากคว่ำหน้างอ เหมือนจะรู้กันแต่ก็ไม่รู้ อึดอัดกระอักกระอ่วนที่สุดดดดดดกับความสัมพันธ์นี้ สู้เค้านะกากเอ๊ย ยูจินเต๊าะเก่งมากเลย รวบหัวรวบหางได้ละ จะได้หึงห่วงน้องแจได้แบบไม่ต้องเก็บกดอีกต่อไป ีทีมแดฮยอนนะเออ5555

    ตอบลบ