LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 17

14:17



กลุ่มทีมงานต่างทยอยออกจากหอประชุมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในปูซาน ภายหลังจบงานคอนเสิร์ตและจัดการเรื่องสถานที่รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหลายเสร็จสิ้น รัตติกาลอาบแสงจันทร์นวลหอบสายลมหนาวเหน็บมาเยี่ยมเยือนพาให้ผู้แหงนคอมองดูเบื้องบนยิ่งคิดถึงคนไกล


แดฮยอนกระชับเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำของตนเองพลางถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มหน้าหวานท่าทางใจดีย้อมผมสีชมพูอมม่วงอ่อนสวมเสื้อคอเต่าสีขาวทับด้วยเสื้อโค้ทตัวยาวสีน้ำตาลเดินคุยกับชายหนุ่มรุ่นพี่ตัวสูงชะลูดซึ่งควบตำแหน่งเพื่อนร่วมงานตรงมาหา


“ไม่อยากเชื่อว่ามึงจะกลายเป็นดีเจเลยวะ จีซอง” ซองวอนบอกด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึง


“ทำไมผมจะเป็นดีเจไม่ได้วะพี่...ผมก็เรียนดนตรีมา” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า จีซอง ถามกลับพลางเลิกคิ้ว


”ไม่รู้สิวะ...กูนึกว่ามึงจะไปสายนักแสดงหรืออยู่เบื้องหน้ามากกว่า”


“วงการบันเทิงมันไม่ใช่ว่าอยากเป็นนักแสดงก็เบียดได้ง่ายๆนะพี่...ผมเป็นดีเจได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งเงิน หน้าตาผมก็ดี ทำไปทำมาอาจไปเข้าตาใครดึงไปเล่นหนังก็ได้”


“มึงก็หวังสูงเนาะ...ดีเจหน้าตาดีมีทั่วเกาหลีไม่ใช่มีมึงคนเดียวเมื่อไหร่” ฝ่ายที่ยืนรอกระทั่งทั้งคู่เข้ามาใกล้เอ่ยสมทบตามประสาเพื่อนที่เคยเรียนคณะเดียวกัน รุ่นเดียวกันต่างแค่อยู่คนละเอก ทว่าในตอนนั้นต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวสังสรรค์ด้วยกันประจำในฐานะมีบ้านเกิดเดียวกัน แม้หลังเรียนจบจะต่างคนต่างแยกย้ายและติดต่อกันผ่านข้อความเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม


“แต่หล่อสาวติดทุกรายไปอย่างกูนี่ไม่ใช่มีทุกคนนะ”


“ก็มึงเล่นอ่อยสาวด้วยการทำเหมือนตัวเองน่ารักอ่อนโยนนี่หว่า ใครเขาจะไม่ติด”


“โห มึงพูดเหมือนมึงดีนักแหละ...ปกติทำตัวเป็นแมวเชื่องๆสาวก็ติดอยู่แล้ว พอเมาเข้าหน่อยดันกลายเป็นพวกเย็นชา สาวคนไหนเข้ามาไม่เคยปฏิเสธแต่เสือกไม่เลือกคบแม่งสักคน”


“อ้าว...จะด่าว่ากูเอาดะงั้นดิ ไอ้ห่า กูเมาไม่มีสติ เวลาเมาพวกมึงก็บอกกูเองว่า ไม่พูดไม่จา ใครลากไปไหนก็ไปแล้วเช้ามาเจอคนแปลกหน้าจะไม่ให้กูเผ่นได้ไง”


“ก็เนี่ยไง แบบนี้แหละเขาเรียกแบดบอย”


“กูแบดบอยมึงก็แบดกายล่ะวะ”


“โว้ย พวกมึงนี่จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมาวะ เถียงกันเหมือนเด็กสองขวบ กูว่าพวกมึงก็พอกันทั้งคู่นั้นแหละ ถ้าตรงนี้มีไอ้แดเนียลด้วยนี่ครบองค์สายตี้เลย” ท้ายสุดซองวอนในฐานะรุ่นพี่ที่เคยเลี้ยงสังสรรค์กับรุ่นน้องสองคนตรงหน้ารวมทั้งคนที่เอ่ยชื่อถึงก็สรุปความ


“โหยพี่...พวกผมไม่ได้สายตี้อะไรซะหน่อย ถ้าสาวเข้าไม่เอาด้วย พวกผมไม่เคยตื้อเลย”


“เอ้า ถ้าสาวเอาด้วยมึงก็ตี้ใช่มั้ยล่ะ”


“เราเสนอเขาสนอง มันก็วินวินกันทั้งสองฝ่าย”


“เพราะงี้ไงพวกมึงถึงโดนคนอื่นเขาเรียกสายตี้...รู้มั้ยเขาลือกันทั่วว่าไอ้สามหน่อสุดหล่อจากปูซาน ทำเป็นนิ่มๆที่แท้ก็เสือผู้หญิงดุเรื่องบนเตียงกันฉิบหาย กระฉ่อนไปทั้งมหาลัย ขนาดรุ่นพี่แบบพวกกูยังรู้”


“เรื่องบนเตียงยอมรับนะ แต่ไอ้มาบอกผมสายตี้อะไรนี้ผมไม่ยอมรับ” จีซองปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิทที่ยืนนิ่งเงียบไม่ยอมแก้ตัวหรือออกความเห็นอะไรจึงว่า “แดฮยอน มึงไม่คิดจะพูดหน่อยอะไรหน่อยเหรอ”


“เออ ลืมไป เดี๋ยวนี้แดฮยอนมันไม่ใช่สายตี้แล้วนี่หว่า” แทนที่เจ้าตัวจะได้ตอบกลับเป็นรุ่นพี่แทรกขึ้นมาแทน


“ทำไมอะพี่”


“ตั้งแต่มันย้ายอยู่กับยองแจ มันก็แทบไม่แตะเหล้า แทบไม่เที่ยวหรือออกไปไหนกลางคืน เรื่องคบหาหรือมีอะไรกับใครยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีมาเป็นปีๆแล้วมั้ง”


“เฮ้ย จริงเหรอพี่...คนอย่างแดฮยอนเนี่ยนะ ไม่แดกเหล้าได้ด้วย”


“ทำไม...กูไม่แดกเหล้ามันเรื่องใหญ่มากไง”


“ใหญ่ดิ...ปกติมึงแดกเหล้าทุกวัน วันดีคืนดีไม่แดกเหล้าได้นี่ไม่ให้กูอเมซิ่งได้ไง เออ แล้วยองแจเนี่ยใครวะ”


“ยองแจคือคนตัวอ้วนๆที่เรียกเอกเดียวกับมันไง มึงต้องเคยเห็นอยู่แล้ว”


“อืม...ยองแจ...อ้อ...ยองแจคนที่แดฮยอนมันชอบไปยืมเลคเชอร์เขามาอ่านตอนจะสอบปะ...ไอ้คนที่ใส่แว่นตัวกลมๆ ร้องเพลงเพราะแต่ชอบเก็บตัวเงียบคนนั้นใช่มะพี่”


“เออ คนนั้นแหละแต่ตอนนี้เขาไม่อ้วนแล้วนะ ตอนเจอมันที่งานเลี้ยงรุ่นยังตกใจ ตัวผอมบักโกรกเลย”


“ว่าแต่ทำไมกูไม่เห็นเคยได้ยินมึงเล่าว่าย้ายไปอยู่กับเพื่อนเลยวะ...จำได้แต่มึงเคยมาถามว่าจะขอมาอยู่กับกูได้มั้ย แต่จำไม่ยักได้ว่า มึงย้ายไปอยู่กับยองแจ วันก่อนที่แดนมันโทรมาหามันบอกมึงให้ไปนอนโรงอาบน้ำ” ฝ่ายเพิ่งรู้ข่าวหันมาถามเอากับเพื่อนที่ยืนเฉย


“เอ้า มันไม่เล่าให้มึงฟังเหรอ...เหอะ...ไม่เล่าก็ไม่แปลกใจหรอก มันหวงยองแจจะตาย”


“ทำไมต้องหวงอะพี่”


“มันชอบยองแจไง”


“ชอบแล้วทำไมต้องหวงด้วย ปกติแดฮยอนมันไม่ใช่คนหวงเพื่อนซะหน่อยนะพี่”


“มันไม่ได้ชอบแบบเพื่อนน่ะสิ”


“โหย พี่...ผมบอกพี่ตั้งกี่ครั้งแล้วว่าผมไม่ได้ชอบยองแจแบบนั้น ผมแค่อยู่กับเขา สนิทกับเขา แล้วเขาก็ไม่ค่อยสบาย ผมเลยไม่อยากให้คนไม่ดีมายุ่งกับเขาเฉยๆ”


“ถุย...กูมองลงมาจากดาวเสาร์กูยังรู้เลยว่ามึงชอบเขา”


“ไปใหญ่ละพี่”


คนถูกกล่าวหาหน้าเสียรีบบอกปัดแต่ไม่ทันจะได้ทัดทานอะไรต่อ ฝ่ายรุ่นพี่กลับมีสายโทรศัพท์เข้า หลังสนทนากับปลายสายไปได้ครู่หนึ่งก็ขอแยกไปทำธุระ ทิ้งรุ่นน้องให้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนที่จีซองจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนไปดื่มฉลองหลังเสร็จงานด้วยกัน


“ไปคุยกับมึงเฉยๆไม่แดกเหล้าได้มั้ย”


“เรื่องของมึงเหอะ”


หลังยื่นข้อเสนอเล็กน้อยไปเสร็จสรรพ ฝ่ายดีเจผู้เป็นเจ้าถิ่นก็เดินนำไปยังร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งในย่านนั้น ระหว่างนั้นคนเดินตามก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเปิดโทรศัพท์เลยหยิบมันออกมาเปิดเครื่องด้วยตั้งใจว่าจะโทรหารูมเมทตนเองก่อนเลยปล่อยเพื่อนให้เข้าร้านค่อยตามไป


“อ้าว...ทำไมปิดเครื่องล่ะ” เขาพึมพำแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงจากระบบแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ จากนั้นจึงวางสายกลับมาหน้าจอหลักก็เห็นกล่องแจ้งเตือนข้อความเด้งขึ้นมาเลยกดเข้าไปด้วยตั้งใจจะให้ตัวเลขข้อความคั่งค้างหายไป หากกลายเป็นว่าความตั้งใจจะสลายตัวเลขค้างข้อความกลับทำให้เขาเห็นภาพถ่ายระหว่างเพื่อนสมัยมัธยมปลายและรูมเมทของตนเองที่เดินคุยมาด้วยกัน


กูเห็นยองแจไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้


ข้อความจากฮันเฮแนบท้ายมาด้านบนของรูปถ่าย ทว่ามันไม่มีความหมายพอจะเรียกความสนใจของฝ่ายที่จ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้าของเพื่อนร่วมบ้านซึ่งส่งให้เพื่อนสมัยมัธยมของตัวเขาเองพลางกำโทรศัพท์แน่จนมือสั่น ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามารวมตัวกันเป็นก้อนอารมณ์รุนแรง


ใจของเขาร้อนวูบวาบลามไปถึงศีรษะ ขณะที่กดโทรหาคนในรูปก็ขบกรามแน่นอย่างอดกลั้น กระทั่งได้ยินเสียงตอบรับให้ทราบว่าปิดเครื่องทั้งคู่ เท้าก็เตะเอาก้นบุหรี่ที่ทิ้งอยู่หน้าร้านด้วยความหงุดหงิดอัตโนมัติ สุดท้ายก็ตัดสินใจกระหนำโทรหาฮันเฮเพื่อถามไถ่เรื่องราวแทนจึงได้ทราบว่า เจอทั้งคู่เหมือนจะไปกินข้าวด้วยกันมา ตอนแรกกลัวจะโดนหลอกเลยถ่ายรูปไว้ค่อยเข้าไปถามแต่ก็ตามไม่ทันเพราะหัวหน้าตามตัวพอดี


...ทำไม...
...ทำไมถึงไปด้วยกันโดยไม่บอก...
...ทำไมต้องทำอะไรลับหลัง...
...ทำไมต้องอยู่ไกลกันเกินกว่าจะกลับไปหา...


ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากด้วยเนื้อตัวสั่นจากความหึงหวงที่สุมท่วมร่วมอาทิตย์ เพียรส่งข้อความไปหาทั้งคู่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดทำให้เครียดหนักเสียจนต้องหาตัวดับความรู้สึกเจ็บซึ่งแล่นขึ้นมาในอกจึงเดินตรงเข้าไปในร้านทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่แม้แต่จะชายมองหญิงสาวสวยสี่คนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเพียงแค่คว้าเบียร์จากในมือเพื่อนมากระดกดื่มจนเกลี้ยง


...มันรู้สึกคล้ายมีของแหลมเสียดแทงอยู่ภายในนั้นปวดเสียจนต้องดื่มให้ลืม...


“ที่นี่มีวอดก้ามั้ย”


“มี...มึงจะเอาเหรอ”


“ขอขวดหนึ่ง ไม่สิ สามก็ได้”


“ไอ้เหี้ย วอดก้าสามขวดเนี่ยนะ กูชวนมาจิบเอาชิลไม่ได้เอาเมา”


สิ้นคำทัดทานนั้นสายตาของชายผู้เคยได้ฉายาว่าแมวน้อยกลับตวัดมองอย่างเอาเรื่องทำเอาจีซองซึ่งเคยเห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้เฉพาะตอนเมาหนักถึงกับชะงัก


“เฮ้ย มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะ”


“ถ้ามึงไม่สั่งให้กูสั่งเอง...น้อง ขอวอดก้าสามขวด” เสียงเข้มตะโกนไปทางเคาน์เตอร์


“บ้าเปล่าวะ...มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงขึ้นมาเนี่ย”


ครั้งนี้แดฮยอนไม่ตอบอะไรเพียงแค่เคาะนิ้วบนโต๊ะอย่างคนกลัดกลุ้ม เมื่อเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟเจ้าตัวก็กระดกดื่มโดยไม่ผสมเจือจางกับเครื่องดื่มอื่นใด วอดก้าขวดแล้วขวดเล่าผ่านเข้าปากจนเกลี้ยงตามด้วยโซจูและเบียร์เปลี่ยนความตั้งใจของจีซองที่ต้องการมานั่งคุยแกล้มเหล้าพร้อมสาวสวยผู้เป็นแฟนคลับที่ตามมาจากโซลกลายเป็นสนามดวลเหล้าเพียงลำพังของเพื่อนไปเสียนี้


แอลกอฮอล์จำนวนมากพาให้ร่างกายของฝ่ายดื่มมันต่างน้ำร้อนจนคนลืมถอดเสื้อโค้ทดึงมันพ้นจากตัวเหลือเพียงเสื้อแจ็กแก็ตหนังกับเสื้อแขนยาวสีดำตัวใน สติสัมปชัญญะลางเลือนเกินกว่าจะยึดเกราะแห่งความสนุกสนานกำบังคงมีเพียงเนื้อแท้อันเย็นชาน่ากลัว


ชายหนุ่มวางแก้วเบียร์ลงพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเงียบงันไม่แยแสต่อเสียงสนทนาหรือสายตาใครทั้งสิ้น ใบหน้าหล่อระคนน่ารักเป็นอาจิณบัดนี้กระด้างละม้ายน้ำแข็งสลักเช่นเดียวกับนัยน์ตา กระนั้นบุคลิกเรียบเฉยเช่นนั้นกลับทำให้หญิงสาวในร้านสนใจจ้องมอง หลังจากนั้นหญิงสาวผมสั้นสวมเสื้อปาดไหล่ขนสัตว์สีเลือดหมูกับกระโปรงหนังสั้นสีดำจะลุกจากเคาน์เตอร์บาร์เดินตรงมาหา


เจ้าหล่อนเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างด้วยริมฝีปากเคลือบสีแดงฉ่ำ อีกฝ่ายเหลือบมองหญิงสาวอย่างเฉยชาคล้ายไม่ได้ยินเสียงหรือมองเห็นอะไร สุดท้ายก็ลุกจากเก้าอี้ตามออกไปเสียดื้อๆ


จีซองออกจากห้องน้ำมองเห็นเพื่อนออกไปกับผู้หญิงแปลกหน้าก็วิ่งพรวดออกไปนอกร้านหมายจะขวางด้วยกลัวเพื่อนจะเจอพวกนกต่อพาไปรุมยำรูดทรัพย์ ถึงจะรู้ว่าเวลาเมาเพื่อนจะกลายเป็นคนละคนแต่ความห่วงทำให้อยู่เฉยไม่ได้ หากเขาก็ไปไม่ทันเพราะรถยนต์สีดำซึ่งทั้งคู่โดยสารไปด้วยกันแล่นออกไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว

--------------------------------------------
ถุงมือยางสีเหลืองถูกถอดพ้นจากมือและแขวนบนราวในห้องน้ำที่ถูกขัดล้างอย่างดีจนสะอาดเอี่ยมอ่องโดยฝีมือชายหนุ่มตัวผอมที่ยืนปาดเหงื่อมองผลงานของตัวเองอยู่ใกล้ประตู ถึงแม้จะเกลียดการทำความสะอาดเข้าไส้แต่ความรู้สึกไม่อยากเป็นภาระจากเพื่อนร่วมบ้านซึ่งบัดนี้ไปทำงานอยู่ปูซานทำให้ฝืนใจทำ


ยองแจล้างไม้ล้างมือแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นพลางหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางข้างกันบนโซฟาขึ้นมาดูถึงเห็นว่าแบตโทรศัพท์นั้นหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลยคว้านหาสายชาร์ตจากโต๊ะข้างโซฟามาเสียบและเปิดเครื่องใหม่


ข้อความจากเตือนจำนวนมากเด้งรัวขึ้นมามากเสียจนเจ้าของเครื่องเองยังตกใจ นิ้วเรียวกดไถหน้าจอเพื่อจะดูว่ามีใครส่งอะไรเข้ามาก็พอดีกับที่มีสายโทรศัพท์ปรากฏชื่อพ่อคนที่สามโทรเข้ามา


“เราอยู่ไหน ทำไมปิดเครื่อง” เสียงเข้มแฝงความเป็นห่วงของฮิมชานเอ่ยถามผ่านปลายสาย


“ผมไม่ได้ปิดนะ มันแบตหมดเลยดับไปเอง”


“แล้วตอนนี้เราอยู่ไหน”


“อยู่บ้านสิ”


“ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหรอ”


“จะไปไหนได้ไง ก็ใครล่ะเป็นคนบอกว่าจะบินกลับมาพาผมไปเจาะเลือด รอทั้งวันไม่เห็นมาสักที”


“พี่บอกเราว่าถ้ากลับทันจะพาไปเจาะไม่ได้บอกว่าจะพาไปเจาะวันนี้ แล้วนี่วันอาทิตย์เราไม่ได้ออกไปไหนกับแดฮยอนมันหรือไง”


“ออกไปได้ไง เขาไปทำงานที่ปูซานนู้น”


“ละไอ้คนตัวใหญ่ๆสวมโค้ทดำที่เราเดินคุยมาด้วยกันตอนเที่ยงวันนี้นี่ใคร” คำถามจากคนเป็นพี่ที่ดูเหมือนจะมีตาวิเศษมองเห็นเหตุการณ์ปัจจุบันของคนละซีกโลกได้ทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้ว


“พี่เห็นเหรอ...เห็นได้ไง พี่มีตาทิพย์เหรอ”


“ฮันเฮมันเห็นเลยถ่ายรูปส่งมาให้ดู”


“อ้อ...พี่ฮันเฮถ่ายรูปส่งให้พี่เหรอ ฮะ เดี๋ยว อยู่ๆทำไมพี่ฮันเฮถึงถ่ายรูปผมส่งไปให้พี่ล่ะ อย่าบอกนะว่าพี่สั่งให้พี่เขาตามถ่ายรูปผมอะ มันจะเกินไปแล้วนะ”


“จะบ้าเราะ พี่ไม่ได้สั่งให้มันถ่าย มันเห็นเราไปกับคนแปลกหน้ากลัวถูกหลอกเลยถ่ายรูปส่งมาถาม พี่จะโทรมาถามเราก็ปิดเครื่อง สรุปไอ้หมอนี่มันใครวะ”


“พี่ยูจินน่ะเหรอ...เขาเป็นเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกัน”


“ว่าไงนะ เพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันน่ะนะ นี่เราอย่าบอกพี่นะว่าเรานัดเจอกับหมอนั่นข้างนอก เด็กบ้า คิดบ้าอะไรอยู่ถึงนัดเจอกับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์คนเดียว มันอันตรายนะรู้ไหม” ความกังวลพาให้คนเป็นพี่ตวาดใส่


“ผมไม่ได้นัดเจอเขานะ...เขาเปิดร้านกาแฟเหมือนกันก็เลยแวะมาหาผมที่ร้าน เขาเห็นผมอยู่คนเดียวก็เลยช่วยเปิดปิดร้าน ชงกาแฟ หาข้าวให้กิน พาไปส่งบ้าน เขาเอาเสื้อโค้ทให้ผมแถมยังเลี้ยงข้าวน้องพนักงานผมด้วย”


“รู้จักกันนานแค่ไหนเขาถึงทำให้ขนาดนั้น”


“ถ้าในเกมก็หลายเดือนอยู่ แต่พี่ยูจินน่ะเขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ เขาไม่ค่อยสบายต้องไปหาหมอบ่อยเลยเหงา พอว่างก็เลยอยากหาเพื่อนคุยด้วย อ้อ พี่เขาเป็นเพื่อนของแดฮยอนด้วยนะ”


“เป็นเพื่อนแดฮยอนแล้วทำไมเราต้องเรียกพี่ด้วย”


“ก็เขาเล่าเรื่องตอนเรียนกับแดฮยอนให้ฟัง”


“แดฮยอนมันแก่กว่าเราเหรอ”


“แก่กว่าสองปีได้...แบบว่าเขาไปเป็นทหารก่อนค่อยเข้ามหาลัย จะว่าไปพี่เองก็สอนพิเศษที่เดียวกับเขามา พี่ต้องรู้เรื่องนี้สิ ทำไมถึงไม่บอกผมล่ะ”


“ใครว่าพี่รู้...ขนาดแกเรียนเอกเดียวกับมันมาพี่ยังไม่รู้เลย”


“สอนพิเศษด้วยกันอีท่าไหนถึงไม่รู้”


“เอ๊ะไอ้เด็กคนนี้ พี่ไม่ได้ถามไถ่ชีวิตส่วนตัวอะไรมันมากมายนี่หว่า รู้เท่าที่เห็นกับมันบอก พอไม่ได้สอนพิเศษที่เดียวกันแล้วก็คุยกันแค่ในคาทก นานๆ ถึงจะเจอกันทีจะให้พี่รู้จักมันทุกแง่มุมได้ไง”


“ผมนึกว่าพี่สนิทกับเขาซะอีก”


“สนิทแต่ไม่ได้สนิทลึกขนาดรู้ตัวตนจริงของมันหรอก” ในห้วงน้ำเสียงของคำตอบนั้นแข็งกว่าปกติ


“ละนี่พี่จะกลับถึงเกาหลีตอนไหน”


“ถึงแล้ว”


“ถึงตอนนี้ ผมไม่ออกไปเจาะเลือดกับพี่ด้วยแล้วนะ”


“บ้าเราะ พี่ก็เหนื่อยเป็นนะโว้ย”


“งั้นจะพาผมไปเจาะเลือดใหม่วันไหน พรุ่งนี้หรือเปล่า”


“พรุ่งนี้เช้าราวๆหกโมง ถ้าแกขี้เกียจเปิดร้านก็หยุดไปก็ได้นะ เออ จะว่าไป วันศุกร์ที่แล้วแกปิดร้านไปไหนมาหรือเกิดไม่สบายเลยหยุด”


“วันศุกร์...ศุกร์ไหน”


“ศุกร์ที่แล้วไง”


“พี่รู้ได้ไงว่าผมปิดร้าน ผมอาจจะแค่พักงีบก็ได้”


“เพื่อนพี่ที่เป็นหมอในโรงพยาบาลข้างร้านแกเขาบอกมา”


“อะไร พี่มีเพื่อนเป็นหมอที่โรงพยาบาลข้างๆนี่ด้วยเหรอ ใจคอพี่จะมีเพื่อนอยู่ทุกที่เลยหรือไง” คนเป็นน้องบ่นพึมพึม แม้จะรู้ว่าพี่ชายต่างสายเลือดผู้นี้ค่อนข้างกว้างขวางแต่ไม่คิดว่าจะรู้จักใครต่อใครมากมายถึงเพียงนี้


“พี่มีคนรู้จักมากกว่าที่เราคิดนะ เพราะงั้นเวลาเราทำอะไรอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้”


“ให้คนตามดูตลอดอันนี้มันไม่เข้าข่ายสตอล์คเกอร์ผมแล้วเหรอ”


“สตอล์คเกอร์บ้าบออะไร...พี่เป็นห่วงเราหรอกนะถึงให้ตามดู เกิดเป็นอะไรตอนพี่ไม่อยู่ขึ้นมาจะทำยังไง ไอ้แดฮยอนมันก็ไม่ใช่คนพึ่งพาได้อยู่ด้วย”


“เขาก็พึ่งพาได้อยู่นะ...ตอนพี่พาไปหาหมอเขายังเคยบอกเลยว่า ครั้งหน้าจะพาไปหาหมอเอง”


“มันพูดตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ก็นานแล้วแหละ แต่ผมไม่อยากให้เขาพาไปหมอก็เลยไม่เคยบอกวันหมอนัดให้เขารู้”


“เออ ไม่ต้องไปบอกมันหรอก วุ่นวาย ละสรุปวันศุกร์เราปิดร้านไปดูละครเวทีของแดฮยอนมันมาสิ”


“พี่รู้ได้ไง...มีใครบอกอีกอะ”


“ไม่มีใครบอก พี่เดาเอาแต่ไม่คิดว่าจะเดาถูก ตกลงเราอุตส่าห์ปิดร้านไปดูละครเวทีของมันมาสินะ”


“ทำไม ผมปิดร้านไปดูละครเวทีไม่ได้หรือไง...ก็มีคนเขาให้บัตรฟรีมา ผมเสียดายเลยไปดู”


“ไม่ใช่ว่ากดซื้อบัตรรอบปฐมทัศน์เอาจากคนที่เขามาปล่อยขายในเว็บเหรอ”


“โหย พี่นี่จะอะไรนักหนา บอกว่าได้ฟรีก็ได้ฟรีสิ ละที่โทรหาผมนี่จุดประสงค์คือจะมาแขวะกันอีกละใช่ปะ ถ้าแบบนั้นก็วางสายเหอะ เสียเวลาผมดูหนังหมด” พอถูกจับทางได้ก็แกล้งโวยวายเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นออกมาตามประสา


“ใครว่าพี่โทรมาแขวะ โทรมาเพราะเป็นห่วงหรอก เออ นี่ว่าจะถามเรื่องเปียโน ตกลงจะให้พี่ยืมเปียโนที่แดฮยอนมันให้เราได้หรือยัง พี่จะได้ไปเอาตอนมารับเราไปเจาะเลือด”


ผู้เป็นน้องรับฟังคำถามจากปลายสายก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันที่จุนฮงมาเยี่ยมเห็นน้องพูดเรื่องที่ยงกุกต้องการต้นแบบเปียโนของเล่นเพื่อใช้ทำคอลเลคชั่นของเล่นของบริษัทล็อตต่อไปได้


“พี่ยงกุกเขาต้องใช้ใช่เปล่า”


“เรารู้ได้ไงว่ายงกุกมันจะใช้”


“ก็วันก่อนจุนฮงมาหา ได้ยินน้องบอกว่า พี่ยงกุกกำลังทำของเล่นเป็นพวกเครื่องดนตรีก็เลยอยากได้เปียโนของเล่นโบราณไปเป็นต้นแบบ ถ้าพี่ยงกุกเขาต้องใช้ ผมจะโทรไปขอยืมจากแดฮยอนให้ก็ได้”


“อะไรวะ พอพี่ยืมพร้อมบอกเหตุผลไม่ยอมให้ ทีเด็กกุหลาบมันบอกแค่ยงกุกจะใช้แกให้ยืมได้เฉย”


“ก็ตอนนั้นผมนึกว่าพี่ล้อเล่น”


“ล้อเล่นที่ไหน ถ้าไม่ใช้พี่จะขอยืมทำซากอะไรเล่า”


“รู้แล้ว รู้แล้ว ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย เอาเป็นว่า ผมจะโทรไปขอยืมกับแดฮยอนให้ก่อนเนาะ ถ้าไงพี่รอสายก่อนละกัน”


สิ้นคำยองแจก็หยิบโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อกดต่อสายไปยังเพื่อนร่วมบ้าน ทว่าไม่มีการรับสายแต่อย่างใดทั้งที่ปกติถ้าเขาโทรไปต้องรีบรับแท้ๆ


“พี่...แดฮยอนไม่รับโทรศัพท์ผมอะ”


“ไม่รับแล้วยังไง”


“ให้ผมโทรไปถามเขาพรุ่งนี้แทนได้มั้ย”


“โวะ อีแค่เปียโนของเล่นหลังเดียวแถมเป็นของที่มันยกให้เราแล้วด้วย ต้องรอขอความเห็นมันอีกเหรอ ถ้าสมมติวันไหนพี่โดนแทงจะขอยืมผ้ามากดห้ามเลือดแต่ผ้าเสือกเป็นของแดฮยอนมัน ต้องรอเราขออนุญาตมันก่อน พี่มิตายห่าไปแล้วเราะ ไม่ต้องรอแม่งแล้ว เรานั้นแหละตัดสินใจ”


“ทำไมพี่ต้องกดดันผมด้วยล่ะ อาๆ ก็ได้ ผมให้พี่ยืมก็ได้ แต่พี่ต้องบอกแดฮยอนเองนะว่าขอยืมไป”


“ได้


“แล้วพรุ่งนี้พี่จะให้ผมเอาลงไปให้หรือพี่จะขึ้นมาเองอะ”


“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอา”


“โอเค”


“ละนี่กินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”


“อืม”


“งั้นเราก็ไปนอนไป”


“รู้แล้ว พี่ก็พักผ่อนเยอะๆละ”


“เออ ฝันดีล่ะ นอนให้มาก ราตรีสวัสดิ์”


“พี่ก็เหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์”


หลังร่ำลาเจ้าของบ้านก็กดวางสายแต่ยังไม่ยอมวางโทรศัพท์ด้วยติดใจที่เพื่อนร่วมบ้านไม่รับโทรศัพท์เลยลองโทรกลับไปใหม่อีกหลายรอบก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายจึงกดเข้าไปดูข้อความของอีกฝ่ายที่มีตัวเลขแจ้งเตือนจำนวนข้อความไว้นับสิบ


ข้อความถามไถ่ไร้การบอกราตรีสวัสดิ์ ฝันดีเหมือนเคยทำให้คนอ่านขมวดคิ้วพร้อมกดโทรไปหาอีกครา เมื่อไม่มีการรับสายเช่นเคยเลยพิมพ์ข้อความตอบกลับไป




ยองแจกดส่งข้อความทั้งหมดไป จากนั้นก็ไล่ปิดไฟในบ้านถึงกลับเข้าห้องระหว่างที่ล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอนความคิดกลับวนเวียนอยู่กับการที่เพื่อนร่วมบ้านไม่รับโทรศัพท์ แม้จะคิดหาเหตุผลได้ว่าคงทำงานยังไม่เสร็จแต่ในใจกลับกังวล


...เป็นอะไรหรือเปล่านะ...


เจ้าของบ้านนอนขดใต้ผ้าห่มอยู่กับคำถามจากความเป็นห่วงยามห่างไกลได้ไม่นาน ฤทธิ์จากยาประจำตัวก็พรากพาความคิดทุกสิ่งอันให้ถดถอยและผล็อยหลับไปในที่สุด
--------------------------------------
กลิ่นน้ำหอมผสมปนเปกับกลิ่นอื่นมากมายชวนให้ผู้นอนสูดดมอย่างไม่รู้สติมาครึ่งค่อนคืนฝันถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตอันฝังลึกออกอาการปวดทรมานกระทั่งมันหนักหนาเกินจะรับไหวทำให้รู้สึกตัวตื่นลืมตาโพลงพร้อมอาการพะอืดพะอม


แดฮยอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนจากฝันร้ายที่หลอกหลอน ขณะกวาดมองเพดานสีแดงแปลกตาไม่เหมือนสีเพดานเดียวกับห้องพักก่อนหน้า ทันใดนั้นความทรงจำคืนวานก็ปรากฏเข้ามาในหัวฉุดให้ต้องลุกเปลี่ยนอิริยาบถขึ้นมานั่งพลางหันไปด้านข้างจึงเห็นหญิงสาวผมสั้นนอนตะแคงมีผ้าห่มคลุมมาถึงทรวงอกที่หมิ่นเหม่จะหลุดให้เห็นความอวบอิ่มที่เปลือยเปล่า


ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอก้มมองสภาพตนเองที่ไร้สิ่งใดปกปิดร่างกายก็หน้าเสีย ยิ่งก้าวลงจากเตียงเท้าเหยียบเอาถุงยางใช้แล้วเกลื่อนพื้นก็นึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาจึงฉวยเสื้อผ้ารีบสวมมันให้เรียบร้อยพร้อมมองหาข้าวของส่วนตัวจากนั้นก็ดึงธนบัตรออกมาวางบนโต๊ะข้างเตียงเป็นค่าโรงแรมถึงผละออกมา


บรรยากาศภายในโรงแรมเงียบเชียบด้วยเวลาแค่เช้ามืด ชายหนุ่มเดินจนพ้นจากรัศมีโรงแรมถึงหยุดสูดอากาศหายใจพยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น แปลกที่ในหัวกลับหมุนคว้างเหมือนเมาค้างชวนให้ว้าวุ่นสับสนเช่นเดียวข้างในอกก็คล้ายมีอะไรบางอย่างบีบให้หายใจไม่ออกพลั่งพร้อมด้วยความรู้สึกผิดละอายใจ


แม้ว่าประสบการณ์การมีเซ็กส์คืนเดียวกับหญิงสาวแปลกหน้าช่วงเมาหนักจะเคยเกิดขึ้นกับเขามาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในช่วงปีกว่ามานี้ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าสองแก้ว กระทั่งการคบหาผู้หญิงหรือจีบสาวตามผับเพื่อวันไนท์สแตนก็ไม่มี


หากเป็นเมื่อก่อนแค่พลั้งพลาดไปไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา หากทุกวันนี้คำขอแสนเศร้าของเพื่อนร่วมบ้านที่ไม่อยากให้เขาดื่มเหล้าจนเมาเพราะกลัวจะทำร้ายตัวเอง มันติดตาผูกใจให้เขาไม่อาจละเลยและมันยังลามไปถึงเรื่องผู้หญิงด้วย


...ความจริงเขาแคร์ยองแจมากกว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อวานความหงุดหงิดงุ่นง่านจากภาพถ่ายพวกนั้นทำให้เขาลืมคำขอไปหมดสิ้น


ระหว่างที่พยายามรวบรวมสติมองหาเส้นทางกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่เกิดการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนส์ทำให้ต้องหยุดคิดหยิบโทรศัพท์มารับสาย


“ไอ้เหี้ยแดฮยอน มึงอยู่ไหนเนี่ย” เสียงจากปลายสายร้องอย่างร้อนใจที่เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของจีซองดังขึ้น


“อยู่ใกล้โรงแรมXXX เจ้าตัวเอ่ยชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งออกมา


“โรงแรมนั้นอะนะ ไปซะไกลเลยโว้ย ไปทำไรตรงนั้นหรือว่าอยู่โรงแรมกับสาว...ไอ้ห่าเอ๊ย เมื่อคืนกูอุตส่าห์หาผู้หญิงไว้ให้เผื่อมึงถูกใจ เสือกเมาไปคว้าเอาผู้หญิงแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ กูกลัวมึงโดนลากไปรูดทรัพย์ฉิบหาย โทรหาก็ไม่รับ ละนี่ยังไงจะจบแค่คืนเดียวหรือจะสานสัมพันธ์ต่อ”


“สานสัมพันธ์ต่อเหี้ยอะไร กูยังจำไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนมากับผู้หญิงคนนั้นได้ไง”


“ไอ้เวร มึงนี่แม่งชอบเมาแล้วจำอะไรไม่ได้ ดีนะเขาไม่เอามึงไปรูดทรัพย์หรือเอาไปให้ใครซ้อม”


“ใครมันชวนกูมาวะ ถ้าไม่ชวนจะแดกได้มั้ยเหล้าน่ะ”


“มาโทษกูได้ไง...กูไม่ได้บอกให้แดกเหล้าสักอึก มึงมาถึงก็กระดกวอดก้ายังกะน้ำ ค่าเหล้าก็ไม่จ่ายกูต้องจ่ายแทนอีก เดี๋ยวมึงมาเตรียมสถานที่ที่งานอย่าลืมคืนเงินกูนะเว้ย”


“เออๆ รู้ล่ะเดี๋ยวกูกลับที่พักก่อน”


“เค แล้วเจอกัน”


หลังวางสายจากเพื่อนชายหนุ่มก็โบกเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังจุดหมายด้วยความคิดเขายังกระจัดกระเจิง ระหว่างนั่งอยู่ในรถนิ้วเรียวจึงเริ่มไถหน้าจอโทรศัพท์เห็นจำนวนสายที่ไม่ได้รับมากมายและหนึ่งในนั้นมีชื่อของรูมเมทโทรมาตั้งแต่เมื่อคืนหลายสาย


ลมหายใจอุ่นพ่นผ่านริมฝีปากด้วยความรู้สึกกังวลใจในสิ่งที่ทำจนลังเลว่าจะกดโทรกลับไปดีหรือไม่และเมื่อตาเหลือบเห็นเวลาตีห้าสามสิบแปดนาทีเลยไม่หยุดความลังเลใจเปลี่ยนไปเข้าคาทกถึงเห็นข้อความที่รูมเมททิ้งไว้ในช่วงเวลาที่คาดว่าน่าจะตรงกับตอนเขาดื่มอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งเหตุผลที่ชี้แจ้งมาทำให้ยิ่งละอายใจจนนึกโทษโกรธตัวเอง


“เหี้ยเอ๊ย” เขาสบถด่าตัวเองทั้งที่มือยังกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าตนเองยังโสดไม่มีใครให้คบหาในเชิงชู้สาวจะไปวันไนท์สแตนกับใครมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตเลย อีกทั้งรูมเมทก็มีสถานะเพียงเพื่อนทำไมต้องรู้สึกผิดนัก


...แม้จะคิดได้เช่นนั้น ทว่าความร้าวรานในใจกลับไม่จางหายไป...


รถแท็กซี่แล่นมาจอดยังหน้ามหาวิทยาลัยอันเป็นสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตโดยในวันนี้เป็นการแสดงคอนเสิร์ตวันสุดท้ายซึ่งมีกำหนดเริ่มงานช่วงบ่ายไปถึงเที่ยงคืน ผู้โดยสารหนุ่มโซเซลงจากรถเดินตรงไปหอประชุมด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความส่งไปยังเพื่อนร่วมบ้านให้โทรหาเมื่อว่าง


เขาเปิดประตูเข้าไปหอประชุมที่มีทีมงานจำนวนหนึ่งมาตระเตรียมงาน พยักหน้าพลางยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานจากบริษัทเดียวกันแทนการทักทายแล้วมุดไปการจัดการสายไฟของเครื่องเสียงให้เข้าที่เข้าทางระหว่างรอรุ่นพี่ตามมาสมทบด้วยหวังใจว่าการทำงานจะพาให้จิตใจสงบลงแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น สุดท้ายเลยออกไปยืมบุหรี่กับไฟแช็กจากเพื่อนและออกไปสูบมันคลายเครียดด้านนอก


ควันจางสีเทาพ่นผ่านริมฝีปากเจือกลิ่นนิโคตินลอยไปในอากาศ ท่ามกลางกระแสลมอันเย็นเยือกภายใต้ผืนฟ้าสีหม่นชวนให้ความรู้สึกหมองมัว ปลายม้วนถูกไฟเผาไหม้กลายเป็นเถ้าทยอยร่วงกราวสู่พื้นกระทั่งโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นพร้อมชื่อของคนสำคัญที่ปรากฏบนจอทำให้ผู้สูบขยี้มันกับราวเหล็กดีดก้นบุหรี่ทิ้งไปในถังขยะใกล้ตัวเพื่อรับสาย


“ไง” เสียงทุ้มจากปลายสายทักทายอย่างเนือยๆและแสนสั้นเสียจนฝ่ายได้ยินเข้าสะดุดใจเล็กน้อย หากก็ปล่อยผ่านมันไป


“นายเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงนายดูเหนื่อยๆ งานเยอะเหรอ”


“อืม”


“ได้นอนบ้างไหมเนี่ย”


“นอนสิแต่นอนไม่ค่อยหลับ อา แล้วเมื่อวานไปไหนมาบ้างเหรอ”


“ก็ไปกินข้าวกับพี่ยูจินที่ร้านเพื่อนเขามาแล้วก็กลับบ้าน”


“ไม่ได้ไปเที่ยวกันมาหรอกเหรอ”


“พี่เขาต้องไปสนามบินตอนเที่ยงก็เลยกินข้าวด้วยกันอย่างเดียว ละฉันก็ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ล้างห้องน้ำตามเวรแล้วด้วย แต่ตอนล้างห้องน้ำน่ะฉันเอามือถือไว้ในห้องนั่งเล่นก็เลยไม่เห็นว่าแบตมันหมด”


“รู้แล้วล่ะ”


“ตอนนี้ทำงานอยู่หรือเปล่า”


“เปล่า...งานมันมีช่วงบ่ายๆเย็นๆ อ้อ เมื่อคืนมีอะไรด่วนเหรอเห็นนายโทรมาหลายสายเลย”


“อ๋อ ฉันจะโทรมาถามเรื่องเปียโนของเล่นน่ะ พอดีพี่ฮิมชานเขาอยากขอยืมไปใช้ในงานเขาก็เลยจะโทรมาขอกับนาย”


“ทำไมต้องขอล่ะ ในเมื่อฉันเป็นคนให้นายแล้ว มันก็ต้องเป็นของนายแล้วสิ”


“ก็ฉันคิดว่านายอาจจะไม่ชอบ ถ้าให้คนอื่นยืม”


“เปียโนนั่นเป็นของนาย อะไรที่เป็นของนาย สิทธิ์ในการตัดสินใจก็คือนาย”


“แต่นายซื้อให้นิ เพราะงั้นมันต้องเป็นของเราสิ”


คำว่า...เรา...ในประโยคที่ได้ยินเข้าหูเมื่อครู่นั้นทำให้ใจคนได้ยินรู้สึกเจ็บปวดถึงขนาดพร่ำออกมาได้เพียงคำว่า ขอโทษซ้ำไปซ้ำมา


“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย จะขอโทษทำไมกัน”


“ขอโทษที่ไม่ได้รับสาย”


“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ไม่ค่อยได้รับสายนายเหมือนกัน แต่ว่าฟังเสียงนายแล้วเหมือนเหนื่อยมากเลย เมื่อคืนคงทำงานจนดึกเลยไม่ได้นอนสินะ”


“อืม” เสียงในลำคออันตีบตันจากความไม่กล้าเอ่ยความจริงรับคำแทนการตอบ


“แล้ววันนี้ทำงานกี่โมงเหรอ”


“เตรียมงานช่วงสายๆนี้แหละ”


“ถ้างั้นฉันไม่กวนนายแล้วล่ะ นายจะได้เอาเวลาไปพัก”


“ขอโทษนะ”


“ขอโทษอีกแล้ว ขอโทษทำไมเยอะแยะ นายไปพักผ่อนไป เอาไว้เสร็จงานแล้วค่อย...” อีกฝ่ายเอ่ยยังไม่ทันจบความดีก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากใครสักคนที่คุ้นเคยลอดมาให้ได้ยิน


“อ้าว แดฮยอน มึงมาแล้วเหรอวะ เมื่อคืนเห็นจีซองมันบอกกูว่ามึงแดกเหล้ากับมัน พอมันไปเข้าห้องน้ำมึงเสือกหายไปกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ท่าทางสาวคนเมื่อคืนจะเด็ดสิท่า มึงถึงกลับมาตอนเช้าเนี่ย”


จบคำเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วหันไปมองรุ่นพี่คนสนิทที่เดินเข้ามาวางแขนเท้าบนไหล่ ริมฝีปากและลำคอรู้สึกแห้งผากเหมือนคนขาดน้ำจนพูดอะไรไม่ออก ความเงียบงันบังเกิดขึ้นระหว่างกันเกือบนาทีกว่าฝ่ายหนึ่งจะปริปากได้


“ขอโทษ...ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ...”


“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่นี้นะ ลูกค้ามา” ปลายสายตัดบทรวดเร็วพร้อมตัดสาย


“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”


แดฮยอนดึงโทรศัพท์ออกมากดโทรกลับไปอีกหลายสายแต่ไม่มีการตอบรับ แม้จะโทรเข้าร้านกาแฟก็เงียบยิ่งทำให้ความเครียดถาโถมเข้ามา มือข้างที่ว่างยกขึ้นลูบหน้าและหยุดค้างปิดจมูกและริมฝีปากโดยรุ่นพี่ข้างๆ ไม่ทันสังเกตหรือสัมผัสรับรู้สาเหตุใดยังคงพูดไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งเกิดเสียงทุบอย่างแรงตรงราวเหล็กถึงชะงักงัน


“ไปทำงานเหอะพี่” รุ่นน้องหนุ่มบอกเท่านั้นก็หุนหันเดินเข้าหอประชุม ทิ้งให้ผู้มากวัยกว่ายืนงงอย่างไม่เข้าใจแล้วตามหลังไป


ชั่วขณะเดียวกันนั้นเจ้าของร้านกาแฟไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระแทกกับเคาน์เตอร์ ตากลมทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เรื่องราวที่เล่าถามแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คู่สนทนาโกหกว่ายุ่งกับงานทั้งที่ความจริงออกไปไหนต่อไหนกับผู้หญิงนั้นสะเทือนใจหนักเสียจนสมองไม่สั่งการมีเพียงความว่างเปล่า ทว่าร่างกายกลับสั่งให้น้ำตาเอ่อรินอาบแก้ม


“เฮ้ย ยองแจ เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เสียงร้อนลนตกใจจากใครคนหนึ่งเรียกสติที่หลุดลอยให้กลับคืน และเมื่อตาพราวน้ำแลเห็นหน้าของรุ่นพี่อย่างฮันเฮเข้าจึงรีบยกมือปาดน้ำตา น่าแปลกที่มันไม่มีทีท่าจะหยุดไหล


“ไม่...ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เคืองตา”


“เคืองตามากขนาดนั้นเลยเหรอ”


“อื้อ” หลังอาการช็อกนิ่งผ่านพ้นไปพาให้หัวใจสำเหนียกถึงความรู้สึกแท้จริงได้ ความพยายามในแสแสร้งแกล้งยิ้มและโป้ปดกลบเกลื่อนก็ทลายลง “พี่...ฝาก...ฝากร้านที ผมจะไป...ห้องน้ำ”


“เออ ได้”


สิ้นเสียงเจ้าตัวก็ผลักประตูลากเท้าไปในห้องน้ำ เพียงดึงลูกบิดปิดประตูลงได้ร่างผอมก็หมดแรงไถลลงไปนั่งบนพื้นพรั่งพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบน้ำอย่างไม่รู้จุดสิ้นสุด แม้จะรู้เต็มอกว่าการกระทำของเพื่อนร่วมบ้านเป็นเรื่องปกติของผู้ชายสายกลางคืน อีกทั้งตัวเองก็เป็นเพียงเพื่อนจึงไม่มีสิทธิ์จะหึงหวงหรือทักท้วงแสดงความเป็นเจ้าของ ทว่าความรวดร้าวหนักหนาในใจเป็นเหมือนคลื่นลมในทะเลหน้ามรสุมซึ่งค่อยสาดซัดเข้าใส่ฝั่งอย่างไม่ปราณีปราศรัย


ทั้งที่พยายามไม่ร้องขอความรักและเลิกภาวนาขอให้ดวงตะวันดวงนั้นคิดถึงใจกัน เขาไม่ต้องการรับรู้ว่าฝ่ายนั้นคบหาหรือมีอะไรกับใคร ไม่อยากเจอสิ่งที่ตอกน้ำตัวเองให้เจ็บปวด


...แค่การแอบรักเพียงข้างเดียวก็เจ็บพอแล้ว ทำไมถึงยังต้องมารับรู้อีกว่า ฝ่ายนั้นยกหัวใจหรือร่างกายให้ใคร


มือขาวกำหมัดทุบลงบนแขนตัวเองอย่างแรงหวังเพียงความเจ็บชาของร่างกายจะหยุดความทรมานภายในลงได้ หากมันไม่ได้ผลตามคาดเลยจำใจต้องออกไปข้างนอกทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล


“เฮ้ย ยังไม่ดีขึ้นเหรอ พี่ว่าไม่ใช่แค่เคืองแล้วแหละ มันเจ็บด้วยหรือเปล่า”


...เจ็บ...คำเพียงคำเดียวในประโยคนั้นส่งผลให้คนตัวผอมกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น น้ำตายังคงทิ้งตัวตามร่องรอยบนแก้มพาให้เสียงเครือ


“เจ็บ...มันเจ็บมาก เจ็บเหมือนมันจะทะลุออกมา ผมจะ...จะปิด...ปิดร้าน”


“ปิดร้าน จะปิดอะไรตอนนี้ ไปหาหมอก่อนค่อยมาปิด มานี่ พี่พาไปเอง” ฮันเฮคัดค้านความต้องการของรุ่นน้องพลางคว้าข้อมือลากพาไปหาหมอในทันที
--------------------------------------------
ภายในห้องสี่เหลี่ยมไร้บานหน้าต่างฉาบด้วยสีดำสนิทรอบด้าน หากมีผลงานศิลป์เลอค่าจำนวนหนึ่งใส่กรอบลายหลุยส์สีทองอร่ามแขวนประดับ ด้านหนึ่งของห้องมีตู้เซฟและตู้คงสภาพอากาศไว้ใช้เก็บรักษาข้าวของโบราณโดยส่วนกลางของห้องนั้นเป็นที่ตั้งของชุดโซฟารับแขกและโต๊ะในสไตล์โรโคโคอันเป็นของเก่าแก่ที่ยังคงความสวยงามของลายปักอย่างประณีตทั้งหลายไว้เป็นอย่างดีซึ่งมีชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งอยู่


ชายผู้มีเรือนผมสีทองเกือบขาวเซ็ตเปิดหน้าผากสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวขลิบขอบกระเป๋าเสื้อด้วยสีทองและสวมถุงมือขาวหยิบเปียโนของเล่นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ ขณะเดียวกันนั้นชายสวมสูทสีดำที่นั่งตรงข้ามกำลังตั้งใจมองอย่างคาดหวังก่อนเสียงซิมโฟนีหมายเลขเก้าของบีโธเฟ่นจะดังแทรกความเงียบขึ้นมา


ฮิมชานหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูหน้าจอเผื่อจะเป็นธุระสำคัญแต่เมื่อเห็นชื่อฮันเฮปรากฏก็กดปิดเสียงแล้วตั้งค่าเปลี่ยนเป็นสั่นแจ้งเตือนค่อยเก็บลงกระเป๋า น่าแปลกที่การสั่นของโทรศัพท์ให้ต้องควักออกมาดูยังเป็นชื่อของฮันเฮเช่นเคย


อาการลุกลี้ลุกลนวุ่นวายกับบางสิ่งใต้โต๊ะนั้นทำให้ฝ่ายที่กำลังส่องดูรอยถลอกเพียงเสี้ยนเล็กตรงฐานไม้ด้านล่างถึงกับเอ่ยปากโดยไม่มอง


“รับสายไป้”


“รับได้เหรอวะ”


“โทรมาหลายรอบ ถ้าจะไม่รับก็ปิดเครื่อง”


เพราะคำพูดของชายผู้นั่งฝั่งตรงข้ามมีป้ายชื่อติดตรงอกอ่านได้ว่า ลี แจฮวาน ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าแห่งนี้รวมทั้งมีสถานะเป็นเพื่อนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยทำให้เจ้าของโทรศัพท์ยอมกดรับสาย


“ฮิมชานมึงอยู่ไหน ทำไมไม่รีบรับโทรศัพท์วะ” ปลายสายส่งเสียงถามอย่างเคร่งเครียดทั้งที่ปกติเป็นคนสนุกสนานเฮฮา


“ทำธุระอยู่ มึงมีอะไรหรือเปล่า”


“ยองแจน่ะ...น้องมันไม่สบาย”


“ฮะ ยองแจไม่สบายเหรอ ไม่สบายได้ไงวะ เมื่อเช้าตอนกูพาน้องไปเจาะเลือดก็ยังดีๆ อยู่เลย”


“กูก็ไม่รู้ ตอนเข้ามาซื้อกาแฟเห็นน้องมันน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด ไอ้กูก็งงเลยถาม เหมือนน้องมันเพิ่งรู้ตัวบ่นว่าเจ็บตาขอไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาเท่านั้นแหละไอ้เหี้ยน้ำตาไหลหนักกว่าเดิม น้องมันร้องแต่เจ็บเหมือนตาจะทะลุ กูเลยพามาหาหมอข้างร้านเนี่ย”


“เจ็บตาเหรอวะ แต่เมื่อเช้าไม่เห็นมันมีอาการอะไรเลยนะ ละนี่หมอว่าไง”


“ยังไม่รู้เลย น้องมันยังตรวจไม่เสร็จ ถ้าไงมึงรีบมาได้ไหม ท่าทางน้องมันดูขวัญเสียเรียกหาแต่มึงด้วย”


“เออๆ กูรู้แล้ว ถ้าไงกูฝากน้องไว้กับมึงก่อน เดี๋ยวกูจัดการต่อเอง”


ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความเครียดกับอาการป่วยของน้อง หากก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าส่งข้อความไปให้เพื่อนรักอย่างยงกุกช่วยไปดูน้องแทนเพราะตนเองยังไม่เสร็จธุระเรื่องเปียโนซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับแต่โดยดีด้วยเป็นคนไล่ให้หอบเปียโนมาหาคนช่วยพิจารณาความเก่าเอง


“กูจำของที่กูขายได้ทุกชิ้น เปียโนหลังนี้เป็นของเล่นของทายาทในราชสกุลบูร์บงทำจากไม้มะฮอกกานีโดยช่างฝีมือในราชสำนักฝรั่งเศส” ประโยคนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็นแต่เรียกความสนใจของผู้ได้ยินให้เงยหน้ามามองแทบจะทันที 


“มึงเป็นคนขายเปียโนหลังนี้เหรอ”


“ใช่”


“แล้วทำไมมึงไม่รีบบอกวะ”


“เห็นตอนแรกก็คิดว่าใช่ แต่ต้องสัมผัสของก่อนถึงมั่นใจ”


“งั้นบอกมาหน่อยว่าใครเป็นคนซื้อ”


“คุยกันในส่วนของธุรกิจ จะให้บอกฟรีคงไม่ได้” แจฮวานว่าค่อยๆละสายตาจากเปียโนปรายมองมายังเพื่อนผู้มีสีหน้าเครียดเคร่ง


“มึงนี่แม่งจะเขี้ยวอะไรขนาดนี้”


“เอาหมายศาลมาสิ กูจะเปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้ฟรี”


“เหี้ยเอ๊ย...คิดไว้แล้วว่ามึงจะมาแนวไหน ดีนะกูเตรียมมา เอ้า เอานี่ไป เท่านี้พอจะบอกได้มั้ยว่าใครซื้อ” ผู้มาขอความช่วยเหลือจดจำนิสัยที่แยกเรื่องส่วนตัวออกจากผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งทำให้เพื่อนคนนี้ตัดสินใจทำงานเพียงลำพังไม่พึ่งพาหุ้นส่วนได้หยิบกล่องบรรจุไวน์แดงชาโต้ มูตอง รอธส์ชิลด์ ปี 2000 ที่นำติดตัวมาวางบนโต๊ะและรอลุ้นให้คนตรงข้ามพอใจกับของกำนัลที่เขาเลือกสรรจากตู้เก็บไวน์ของตนเองมาให้


“เปียโนหลังนี้เป็นของเก่าแก่ อายุหลายร้อยปีที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยมีสภาพค่อนข้างเกือบสมบูรณ์ ซึ่งราคามันแพงเกินกว่าคนไม่มีความรู้ความสนใจหรือคนทั่วไปจะซื้อหามาเก็บ ส่วนคนที่ซื้อไปเป็นผู้ชาย...อืม เคสนี้เหมือนจะมีปัญหา ขอเวลาดึงข้อมูลก่อน” เจ้าตัวยกมือขอเวลานอกพร้อมหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดดูอะไรบางอย่างจึงต่อ “โอเค ผู้ซื้อคนนี้ตอนแรกเขาใช้แบล็กการ์ดจ่าย ลงชื่อ อง ซองอู”


“อง ซองอู”


เสียงเข้มทวนชื่อนามสกุลด้วยเจ้าตัวจำคำน้องที่เล่าว่าแดฮยอนหอบมามอบให้ในวันแรกที่เข้ามาเป็นของขวัญให้วันแรกที่มาอยู่ด้วย ไฉนคนซื้อถึงกลายเป็นชื่อใครก็ไม่รู้ไปได้


“แต่ว่าเครื่องมันมีปัญหาคีย์ราคาของไม่ตรงต้องเปลี่ยนใบเสร็จใหม่ คนซื้อเขาเลยขอแบล็กการ์ดคืนแล้วหยิบบัตรเจพีมอร์แกนพาลาเดียมออกมาบอกให้ใช้ใบนี้แทน”


“เดี๋ยว มีทั้งแบล็กการ์ด ทั้งบัตรเจพีมอรแกนเลยเหรอ”


“ใช่...ฉันยังคิดเลยว่าไอ้หมอนี่มันมีบัตรพวกนี้ได้ไง ท่าทางไม่เหมือนจะมีเงิน”


“ใช่คนนี้มั้ย” ฝ่ายมาถามเปิดรูปของชายหนุ่มคนหนึ่งในโทรศัพท์มือถือพลิกจอให้ดู


“ไม่รู้สิ จำไม่ค่อยได้...ฉันเป็นพวกไม่จำหน้าคน นายก็รู้นิ”


“อา...แล้วชื่อผู้ถือบัตรล่ะ”


“เดสมอนด์...แดสมอนด์ จอง จะดูใบเสร็จที่สแกนไว้มั้ย”


“เอามาดิ”


ไอแพดในมือเจ้าของร้านขายของเก่าถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของฝ่ายเพื่อนผู้มาเยือนที่ใช้สายตากวาดมองรายละเอียดในใบเสร็จของทางร้านซึ่งสแกนไว้เป็นหลักฐานในการทำบัญชีและติดต่อธุรกรรมกับธนาคาร โดยในลายเซ็นที่กำกับนั้นฉวัดเฉวียนอ่านยากและแตกต่างจากลายเซ็นของรุ่นน้องที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งไปเซ็นรับเงินเดือนสมัยสอนพิเศษด้วยกัน


“มีอะไรอยากรู้อีกมั้ย” แจฮวานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลุยส์ทองอร่ามเปรยถามอย่างเฉยชา มองเพื่อนตรงข้ามที่ลูบหน้าปิดปากคล้ายครุ่นคิดบางสิ่งจากนั้นถึงเหลือบตามองตรงมาด้วยท่าทางที่นิ่งสงบ


ช่วยส่งไฟล์สแกนใบเสร็จบัตรเครดิตของคนชื่อเดสมอนด์นี้มาให้หน่อย...ที่เหลือลุยเองได้”

------------------------------------------------
บานประตูห้องตรวจของนายแพทย์แผนกจักษุเลื่อนเปิดก่อนคนป่วยจะเดินโซเซออกมาด้านนอกหลังรอคิวอยู่นานครึ่งค่อนวันเพื่อฟังผลการตรวจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ อาการตาแดงน่าจะมาจากการขยี้ตาแรงและร้องไห้หนักซึ่งเจ้าตัวก็รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร หากการได้มาเจอหมอทำให้น้ำตาหยุดไหลง่ายกว่าการคิดฟุ้งซ่านในร้านเพียงลำพัง


ยองแจหลับตาสูดลมหายใจอยู่หน้าห้องเพื่อสะกดอารมณ์ไว้ไม่ให้คิดอะไรจนเผลอร้องไห้ต่อหน้าใครต่อหน้าอีก แต่เมื่อลืมตามองไปทางเก้าอี้สำหรับให้ญาติผู้ป่วยนั่งรอได้นั้นแทนที่จะมีเพียงฮันเฮคนเดียว ณ ตอนนี้กลับมีผู้ชายอีกคนซึ่งเห็นแค่ด้านหลังก็ทำให้ใจสั่นหน้าเสียกลัวไปหมด


...พี่ชายคนนี้ถึงจะใจดีแต่เวลาอ่านใครสักคนกลับอ่านขาดจนน่ากลัว...


“พี่ยงกุก” เสียงอ่อนขานเรียกออกอาการประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าผู้เป็นพี่ต่างสายเลือดผู้เอ็นดูรักใคร่อีกฝ่ายเช่นน้องแท้ๆไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสนิทของตนที่ติดธุระอยู่ซึ่งเห็นท่าทางเช่นนั้นเข้ากลับไม่พูดอะไรเพียงส่งยิ้มอุ่นให้และหันมาบอกให้เพื่อนกลับไปทำงานเท่านั้น


“รีบกลับล่ะ ไม่ใช่ไถลไปไหน เดี๋ยวบอสมึงด่าเอาอีก”


“เออ” ฮันเฮลุกจากเก้าอี้เดินมาหาคนอ่อนวัยกว่าพลางตบบ่าแล้วเอ่ยลาเพื่อไปทำงาน


“ฮิมชานมันไม่ว่าง พี่เลยมาดูเราแทน เป็นยังไงล่ะเรา หมอว่ายังไงบ้าง” เสียงแหบลึกถามขึ้นในนาทีที่เห็นน้องนั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัว


“หมอบอกว่าผมขยี้ตาเยอะก็เลยตาแดง”


“อย่างนั้นเหรอ” คนเป็นพี่ว่าพยักหน้ารับเหมือนไม่มีข้อสงสัยใด “ต่อไปก็ระวังหน่อยนะ เราไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการแทรกซ้อนอะไรขึ้นมามันจะแย่เอา”


“ผมรู้ครับ”


“รู้ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี...เราก็รู้ใช่มั้ยว่าฮิมชานกับพี่เป็นห่วงเราขนาดไหน เวลาเราป่วยฮิมชานมันไม่เป็นอันกินอันนอนเลยนะ ยิ่งผลเลือดก่อนจะเจาะใหม่วันนี้ออกมาไม่ดี มันเครียดไปหมด”


“ขอโทษครับ”


“รักตัวเองให้มาก จำไว้ ถึงคนรอบข้างจะรักเรามากขนาดไหนก็ไม่เท่ากับที่เรารักตัวเองหรอก เข้าใจมั้ย”


“ครับ” คนเป็นน้องรับคำทั้งที่รู้สึกเหมือนทุกประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าจะจี้ใจดำมากก็ตาม


“เอาเถอะ เดี๋ยวพี่ไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับยาเราให้ก่อน นี่หมอเขาสั่งยาให้เราหรือเปล่า”


“สั่งยาหยอดตามาให้ครับ”


“โอเค เรารอพี่อยู่นี่ก่อนนะ”


ยงกุกบอกพลางลูบหัวน้องอย่างเบามือถึงลุกไปจัดการทุกอย่างให้จนเรียบร้อยก็ขับรถไปจอดหน้าร้านกาแฟเพื่อสับคัตเอ้าท์ตัดไฟให้ส่วนข้าวของอื่นในร้านคงไว้แบบเดิม จากนั้นจึงพาไปส่งถึงบ้านพร้อมหาข้าวหายาให้กินและหยอดตาให้เสร็จสรรพจึงส่งน้องเข้านอน แม้เวลาจะยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มแต่ฟ้าด้านนอกก็มืดมิดตามสภาวะอากาศในฤดูหนาว


“เราอยู่คนเดียวได้มั้ย”


“ผมอยู่ได้”


“งั้นก็นอนเยอะๆ ถ้ามีอะไร อยากกินหรือรู้สึกอาการไม่ค่อยดีโทรหาพี่นะแล้วถ้าฮิมชานมันเสร็จธุระมันคงมาหาเรา”


“ครับ”


เจ้าตัวรับคำอย่างว่าง่ายพลางยิ้มให้กับผู้มากวัยกว่าที่ดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงคอและมองกระทั่งอีกฝ่ายเดินไปปิดไฟให้ ระหว่างพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ากำแพงนั้นกลับได้ยินบางคำอำลาที่ทำให้ชาไปทั้งตัว


“พี่รู้ว่าเราคิดยังไง แต่รูมเมทของเราไม่ใช่คนประเภทที่จะฝากทั้งชีวิตเอาไว้ได้หรอกนะ การให้หัวใจกับคนหลักลอยมีแต่ความลับจนไม่รู้กระทั่งว่าตัวตนที่แสดงออกเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงน่ะไม่มีทางมีความสุข ถ้าเราคิดจะอยู่กับเขาไปอย่างนี้ พี่เตือนไว้เลยนะ ชีวิตเราไม่สบายหรอก ราตรีสวัสดิ์”


“พี่” เจ้าของบ้านขานเรียกอย่างหวาดๆ “พี่รู้”


“อืม”


“แล้วพี่ฮิมชาน...พี่เขารู้เรื่องนี้มั้ย”


“ถ้าเราอยากให้มันรู้มันก็รู้ ถ้าไม่อยากมันก็ไม่รู้”


“งั้นถ้าไม่อยากให้รู้ พี่จะไม่บอกพี่ฮิมชานใช่มั้ย พี่อย่าบอกพี่เขาเลยนะ ผมจะจัดการกับความรู้สึกของผมเอง...ผมจะพยายามไม่ให้ตัวเองถลำลึกไปกว่านี้” น้ำเสียงอ้อนวอนขอร้องในทุกคำเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสั่นเครือ กระนั้นผู้เป็นพี่กลับไม่ตอบรับอันใดมากไปกว่ากล่าวราตรีสวัสดิ์พร้อมปิดประตูจากไป


คนบนเตียงฟังเสียงประตูปิดลงพร้อมหัวใจที่วูบไหว ร่างผอมนอนคุดคู้กัดเล็บจากความวิตกกังวลว่าเรื่องที่เขาพยายามปกปิดมาตลอดจะรู้ไปถึงหูของพี่ชายต่างสายเลือดที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สามก่อนจะหลับไปทั้งความเครียดเพราะฤทธิ์ยาอีกเช่นเดิม

-------------------------------------
เสียงกดพิมพ์ข้อความดังขึ้นไม่หยุดหย่อนพาให้คนนอนพักเอาแรงได้ยินเข้าถึงขนาดหยิบหมอนมากดอุดหู หากเสียงนั้นยังคงดำเนินต่อไป กระทั่งฝ่ายที่นอนชักทนไม่ไหวลืมตาพลิกกลับมายังรุ่นน้องเพื่อนร่วมงานซึ่งง่วนอยู่กับการส่งข้อความใต้แสงสลัวจากโคมไฟแล้วตวาดไปทีหนึ่ง


“ไอ้เหี้ยแดฮยอน มึงจะแชทอะไรนักหนา อยากแชทนักออกไปข้างนอก กูจะนอน”


“เอ้า พี่นอนแล้วเหรอ โทษที เดี๋ยวผมออกไปพิมพ์ตรงระเบียงก็ได้”


คนถูกด่าบอกพร้อมลุกจากเตียงไปยืนตรงระเบียงโดยไม่ลืมเลื่อนปิดหน้าต่างกันเสียงลมเข้าก่อนจะกดพิมพ์ข้อความส่งไปหาเพื่อนร่วมบ้าน หลังจากติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้เลยหลังจากคุยกันไปตอนเช้าและเมื่อส่งข้อความก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดอ่านหรือตอบกลับ


...การไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับเลยสักทางทำให้เขากลัวว่ามันจะหวนไปเหมือนวันที่รูมเมทหายไปเฉยๆ...


แดฮยอนพ่นลมร้อนผ่านริมฝีปากให้ความพยายามที่ล้มเหลวของตัวเองจนนึกอยากสูบบุหรี่คลายเครียดสักมวนเลยกลับเข้าไปเอาบุหรี่ในห้องแล้วออกมาสูบตรงระเบียงอีกรอบพลางหยิบไถจอโทรศัพท์ดูความเคลื่อนไหวอื่นถึงเห็นกล่องข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับจากรุ่นพี่อีกคนเลยกดโทรไปแทน


“พี่โทรมามีอะไร” เขาถามปลายสายปล่อยควันสีเทาลอยไปในมวลอากาศอันหนาวเหน็บ


“โหย แดฮยอน กูโทรหามึงตั้งแต่บ่าย เสือกโทรกลับตอนสี่ทุ่ม”


“ผมทำงานเลยปิดเครื่อง เพิ่งเปิดเมื่อกี้นี้เอง ว่าแต่พี่มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรมาตั้งสิบห้าสาย อย่าบอกนะว่าโดนบอสด่าหนักมากมาเลยอยากหาคนระบาย”


“บอสด่าพ่อมึงสิ บอสเขาจะมาด่าอะไร วันนี้งานกูผ่านแล้วว้อย”


“แล้วพี่โทรมามีอะไรอะ”


“จะโทรมาบอกเรื่องยองแจ แต่มึงคงรู้เรื่องแล้วใช่ปะ”


“รู้อะไร”


“ที่มันไม่สบายไง เมื่อเช้าพอดีกูนั่งรถเมล์ผ่านไปเอาของให้ตัวเล็กแถวนั้นเลยแวะซื้อกาแฟที่ร้านมัน แต่มันเจ็บตา เจ็บมากจนร้องไห้ไม่หยุดเลย ร้องจนหูเหอตาเตอจมงจมูกแดงไปหมด โครตน่าสงสาร กูเลยพาไปหาหมอ”


“อ้าว เฮ้ย ยองแจไม่สบายเหรอพี่” เมื่อรู้คำตอบความเป็นห่วงทำให้ตระหนกหลุดเสียงดัง


“เอ้า มึงยังไม่รู้เหรอ กูโทรไปหาฮิมชานมันมาก็นึกว่ามันบอกมึงแล้ว”


“เปล่า พี่เขาไม่ได้บอกอะไรเลย”


“หรือมันเห็นว่ามึงมาทำงาน ส่งยงกุกมาดูยองแจมันแล้วเลยไม่ได้บอกวะ”


“ฮะ...พี่ยง เอ๊ย เดี๋ยวนะพี่รู้จักกับคุณยงกุกด้วยเหรอ”


“รู้สิวะ เรียนมากับมันพร้อมฮิมชานตั้งแต่มัธยมจะไม่รู้ได้ไง”


“นี่พี่เป็นเพื่อนกับเขาเหรอ เออ ช่างแม่งเหอะว่าแต่เขามาดูยองแจเหรอพี่”


“เออ มันมารับแล้วก็พากลับบ้าน”


“แล้วยองแจเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”


“เห็นยงกุกมันบอกว่า แค่เจ็บตาธรรมดา ให้กินข้าว กินยา นอนพักแล้ว ถ้าไงพรุ่งนี้มึงกลับมาออฟฟิศเคลียร์อะไรเสร็จก็รีบกลับไปดูยองแจมันหน่อยนะ เดี๋ยวเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะแย่เอา”


“โอเค ผมรู้แล้ว ขอบคุณครับ”


สิ้นการสนทนาคนยุ่งกับงานจนไม่รู้เรื่องรู้ราวดีดบุหรี่ลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำ ก่อนกลับเข้ามาในห้องกวาดข้าวของทั้งหมดของตัวเองใส่ลงกระเป๋าสะพายหลัง เสียงที่ดังโครมครามส่งผลให้รุ่นพี่ที่กำลังจะหลับลุกขึ้นมานั่งหมายจะด่าอีกรอบ หากเมื่อเห็นรุ่นน้องสวมโค้ทสะพายกระเป๋าบนหลังก็กระพริบตาปริบ


“มึงจะไปไหนเนี่ย”


“กลับบ้านดิพี่”


“กลับบ้าน...บ้านที่นี่เนี่ยน่ะเหรอ” ซองวอนถามเพราะรู้ข้อมูลส่วนตัวของรุ่นน้องเรื่องบ้านเกิดอยู่บ้าง


“ที่โซลสิ”


“อะไร มึงจะกลับโซลตอนนี้เนี่ยนะ ไอ้บ้า ทำไมไม่กลับรถบริษัทวะ พรุ่งนี้เช้าก็ได้กลับแล้ว”


“ยองแจไม่สบาย ผมต้องรีบไปดู”


“ไม่สบายเป็นอะไร”


“เห็นพี่ฮันเฮบอกว่าเจ็บตา”


“ตอนนี้ยองแจมันอยู่โรงพยาบาลเหรอ”


“เปล่า เขาอยู่บ้าน”


“ถ้าอยู่บ้านก็แสดงว่าอาการไม่หนัก มึงจะรีบไปดูอะไรนัก นอนก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ทัน”


“ไม่ได้อะพี่ ผมกังวล เวลาผมกังวลผมนอนไม่หลับหรอก”


“โว้ย มึงนี่จะอะไรเยอะแยะนักวะ กับยองแจนี่อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้เลย ทำเหมือนชอบมันฉิบหาย สุดท้ายก็ไปนอนกับคนอื่น”


คำพูดตรงไปตรงมาของรุ่นพี่ทำให้ฝ่ายที่รู้สึกผิดมาตั้งแต่ได้สติกลับคืนสะอึกกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ถึงจะยกเหตุผลร้อยแปดมาลบล้างแต่ความรู้สึกละอายกลับไปหายไป


“ผมก็บอกแล้วว่า เราเป็นเพื่อนกัน” คนอ่อนกว่าพูดแก้เกี้ยว


“เออ กูเชื่อแล้ว เชื่อตั้งแต่มึงหายไปนอนกับคนอื่นนั้นแหละ”


“อา...ผมกลับโซลก่อนนะ”


“อ้าว ไอ้ห่า กูนึกว่ามึงเข้าใจแล้วซะอีก”


“ผมเป็นห่วงเขา ยังไงพี่ก็นอนคนเดียวได้อยู่แล้วนิ ยังไงตอนเช้าผมจะเข้าออฟฟิศให้ทัน ผมไปก่อนนะ” เจ้าตัวตัดบทเดินดุ่มออกจากห้องไปไม่ใส่ใจต่อเสียงสบถด่าของรุ่นพี่ในห้อง เมื่อออกจากที่พักก็เรียกหาแท็กซี่เพื่อกลับไปบ้านแม้ต้องเสียเงินเหมาจ่ายราคาแพงมากก็ไม่เกี่ยง ทว่ากว่าจะกลับถึงจุดหมายได้ก็เกือบตีสองทำให้บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความเงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงจากการวิ่งพรวดขึ้นบันไดหลายชั้นโดยไม่หยุดพักได้ชัดเจน


ชายหนุ่มยืนมองบานประตูห้องนอนเจ้าของบ้านอยู่นานหลายนาทีด้วยกำลังชั่งใจว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหรือจะสะเดาะกลอนเข้าไปดูหน้าเสียหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง สุดท้ายความประสงค์ข้อหลังก็มีอำนาจมากพอให้เขาละเมิดข้อตกลงหยิบเอาซองหนังใบเล็กเสียบข้างกระเป๋าสะพายหลังซึ่งมีชุดเครื่องมือสะเดาะกุญแจอยู่ภายในออกมาจัดการตามวิถีที่เคยคุ้น


กลิ่นหอมอ่อนของดอกลาเวนเดอร์จรุงจมูกในความมืดมิดตั้งแต่แรกเปิดประตูเข้ามาก่อนแสงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือที่ปรับแสงให้สว่างพอส่องเห็นทางเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แสงนี้ไปรบกวนเจ้าของห้องสาดไปยังร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น


คนมีสติครบถ้วนย่อตัววางเข่าข้างหนึ่งแนบพื้นพลางกดเปิดโคมไฟหัวเตียงค่อยพินิจเสี้ยวหน้าด้านข้างของฝ่ายที่หลับด้วยฤทธิ์ยาอยู่บนเตียง ชั่วขณะที่เห็นความบวมแดงของเปลือกตาลามมาถึงผิวเนื้อโดยรอบจึงกัดปากอย่างแรงจนเลือดซึม


...เพราะมั่วแต่หงุดหงิดพาลกลัวถูกแย่งเพื่อนจึงละเลย
...ทั้งที่สัญญาว่าจะไม่ดื่มจนเมาก็พลั้งพลาด
...พูดตลอดเวลาว่าอยากดูแลปกป้องแต่ไม่เคยทำได้เลยสักอย่าง
...แดฮยอนเอ๊ย มึงนี่มันเลวจริงๆ


คำก่นด่าตัวเองยังวนเวียนอยู่ในสถานะความเป็นเพื่อน ทั้งที่ควรตระหนักรับรู้ถึงความนัยอันจริงแท้ในหัวใจ หากความขลาดเขลาไม่รู้ตัวยังคงผลักไสความเป็นจริงไป


“ขอโทษนะ...ขอโทษทั้งเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลนายตอนป่วยอีกแล้ว” สำเนียงเสียงเข้มกล่าวคำแผ่วเบาราวกระซิบ ความทุกข์ฉกรรจ์ตีรวนภายในพาให้นัยน์ตาระริกไหวอย่างเจ็บปวด แม้มือหมายสัมผัสผิวนวลเนื้อหากก็ทำได้เพียงเกลี่ยเรือนผมปรกหน้าผากออกให้ด้วยปลายนิ้ว


การเฝ้ามองอย่างเงียบงันดำเนินไปอยู่นานหลายสิบนาที สุดท้ายเมื่อไม่เห็นประโยชน์ของการนั่งมอง ไหนคนบนเตียงก็คงต้องการพักผ่อนโดยไม่มีแสงไฟจึงจำใจต้องพาตัวเองกลับไปในพื้นที่ของตน


แดฮยอนเหยียดตัวลุกขึ้นยืนแล้วปิดไฟจากโคมข้างเตียง ค่อยๆก้าวเท้าและปิดประตูอย่างระแวดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังปลุกเจ้าของบ้านจนออกมายืนอยู่หน้าประตูห้องดังเก่าก่อนที่จะหยิบเอาโมบายแขวนรูปลูกไก่กอดดอกซากุระทำจากไม้แกะสลักทาสีห้อยท้ายด้วยป้ายไม้เขียนชื่อผู้ต้องการให้ได้รับพร้อมกระดิ่งทองเหลืองที่ไปเดินหาซื้อจากตลาดนัดนักศึกษาในวันแรกของการทำงานมาแขวนเข้ากับลูกบิดประตู


“ขอโทษนะ...ขอโทษ” ถ้อยคำจากหัวใจแสนเศร้าพรำบอกผ่านบานประตู


...หากยองแจเจ็บตาเสียจนร้าวระบม เขาเองก็คงเจ็บหัวใจเจียนบ้าไม่ต่างกัน...



---------------------แวะคุยกันก่อน---------------------

บทนำพาความปวดตับปวดไตไปเรื่อยๆ และคนก็อ่านไม่ไหวกันเรื่อยๆ 5555555555555555 บทหน้าแล้วล่ะนะที่จะมีฉากติดเรต คือว่า เรารู้จำนวนประชากรที่เราจะส่งพาสให้แล้วด้วยล่ะคะ เดี๋ยว DM ไปหา นับแล้วก็สี่คนได้ 5555555555555555555555555555 มันก็เรตแม้แต่ตอนเลิกฝันอุ้มเขาไปนอนก็ไปทำบางอย่างกะเขา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ฝากคอมเม้นในนี้หรือติดแท็ก #qficlovetoxical ในทวิตเด้อ

ปล.เพลงเก่านี้หาเจอจากการเอาคำว่าน้อยใจ บวกเพลงไปค้น โอโห เจอเลยตรงกะในฟิคเลย ฮือออ




You Might Also Like

2 Comments

  1. ฮืออออออ น้ำตามาเต็ม มันหน่วงนหัวอกหัวใจ ทำไมทั้งสองคนน่าสงสารอ่านแล้วมันอื้ออึงบอกไม่ถูกต้องสูดลมหายใจลึกๆ ฮือออออ อิแดฮยอนทำไมอ่ะทำไมทำแบบนี้ เพราะเหล้าเข้าปากก็แบบนี้ สงสารยองแจต้องเจ็บปวดไปถึงไหนกัน ชอบคำพูดยงกุก ชอบความสัมพันธ์ของพี่น้องต่างสายเลือด แต่รักกันมากเหลือเกินเหมือนออกมาจากท้องเดียวกัน นี่ถ้าฮิมชานรู้ภูมิหลังของแดฮยอนทั้งหมดจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บหนักที่สุดก็เป็นยองแจอยู่ดี หนูลูกน้องแจคนรอบตัวหนูรักหนูทุกคนแต่ก็ไม่เท่ารักตัวเองให้มากอย่างที่พี่ยงกุกบอกนะลูก แดฮยอนก็น่าสงสารแต่คนที่น่าสงสารที่สุดคือยองแจ ต้องทำไงอ่ะแบบนี้ต้องทำไง จะแอบเก็บซ่อนความรู้สึกกันอีกนานมั้ย ทางนี้ใจจิขาดก่อนละนะ ฮือออออสงสาร รอฉากติดเรท สงสารก็อีกเรื่อง ติดเรทก็อีกเรื่อง55555

    ตอบลบ
  2. ฮืออออออ น้ำตามาเต็ม มันหน่วงนหัวอกหัวใจ ทำไมทั้งสองคนน่าสงสารอ่านแล้วมันอื้ออึงบอกไม่ถูกต้องสูดลมหายใจลึกๆ ฮือออออ อิแดฮยอนทำไมอ่ะทำไมทำแบบนี้ เพราะเหล้าเข้าปากก็แบบนี้ สงสารยองแจต้องเจ็บปวดไปถึงไหนกัน ชอบคำพูดยงกุก ชอบความสัมพันธ์ของพี่น้องต่างสายเลือด แต่รักกันมากเหลือเกินเหมือนออกมาจากท้องเดียวกัน นี่ถ้าฮิมชานรู้ภูมิหลังของแดฮยอนทั้งหมดจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บหนักที่สุดก็เป็นยองแจอยู่ดี หนูลูกน้องแจคนรอบตัวหนูรักหนูทุกคนแต่ก็ไม่เท่ารักตัวเองให้มากอย่างที่พี่ยงกุกบอกนะลูก แดฮยอนก็น่าสงสารแต่คนที่น่าสงสารที่สุดคือยองแจ ต้องทำไงอ่ะแบบนี้ต้องทำไง จะแอบเก็บซ่อนความรู้สึกกันอีกนานมั้ย ทางนี้ใจจิขาดก่อนละนะ ฮือออออสงสาร รอฉากติดเรท สงสารก็อีกเรื่อง ติดเรทก็อีกเรื่อง55555

    ตอบลบ