LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 18

01:34




เสียงแจ้งเตือนของนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือแผดลั่นเป็นคำรบที่สิบตามการตั้งค่าให้ส่งเสียงทุกชั่วโมง หากถึงเวลาปลุกแล้วไม่มีการกดปิดการทำงาน หากครั้งนี้คนนอนคุดคู้ไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาใต้ผ้าห่มจนลืมเวลากลับรู้สึกตัวค่อยเผยอเปลือกตาลืมมองเพดาน


ตาบวมช้ำกระพริบขึ้นลงอย่างเชื่องช้าขณะที่กายผอมขยับพลิกตัวไปมาก่ออาการปวดหัวลุกลามจนไม่อยากลุกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอกแต่ลำคออันแห้งผากขาดน้ำและไม่เหลือน้ำสักขวดอยู่ในห้องจึงจำใจต้องออกไป


เจ้าของบ้านแลโมบายแขวนรูปลูกไก่ตรงลูกบิดในตอนจะปิดประตู เสียงของกระดิ่งห้อยท้ายกระทบกันกังวานใสเรียกให้ใครอีกคนชะโงกหน้าพ้นจากขอบประตูครัวออกมาแทบจะทันที


“ตื่นแล้วเหรอ”


ฝ่ายยืนอยู่หน้าประตูหันมองไปทางต้นเสียงก็เห็นหน้าเพื่อนร่วมบ้านอยู่ตรงนั้นมือที่ซ่อนอยู่ใต้ชายแขนเสื้อคลุมกลับกำแน่นพร้อมกับฟันที่ขบกัดภายในปากพยายามสะกดอารมณ์เศร้าเสียใจไว้ไม่ให้แสดงออก


“เมื่อคืนตอนเสร็จงานพี่ฮันเฮเขาโทรมาบอกว่านายไม่สบาย ฉันโทรหากับส่งข้อความมาแล้วนายไม่ตอบเลยรีบกลับมาแต่นายหลับไปแล้ว พอเช้ามาฉันเห็นเลยเวลาเปิดร้านแล้วนายก็ไม่ตื่นซะทีเลยซื้อข้าวต้มไว้ให้ โห ตาแดงมากเลย ตอนนี้ตายังเจ็บมากอยู่หรือเปล่า”


แดฮยอนเอ่ยถามพลางชะเง้อชะแง้มองหน้าเจ้าของบ้านที่ไม่ยอมพูดยอมจาก้มหน้างุดเข้ามาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำกับหลอดบนตู้ไปยืนดื่มพร้อมกินยาตรงอ่างล้างจานแต่แทนที่จะได้คำตอบกลับถูกย้อนถามเสียนี้


“ไม่มีงานต้องไปทำเหรอ”


“ฉันมีประชุมตอนสิบเอ็ดโมงน่ะ”


“ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้วนะ ออกไปทำงานได้แล้ว”


“รอนายกินข้าวกินยาเสร็จก่อนค่อยไปก็ได้”


“ไม่ต้องหรอก ฉันขี้เกียจได้ยินเสียงเจ้านายของนายบ่น”


“เคยได้ยินด้วยเหรอ”


“เคย...บอสนายเขาโทรเข้าเบอร์ร้านมาตามพี่ฮันเฮ”


“โห ขนาดนั้นเลย พี่ฮันเฮนี่ท่าจะโดนหมายหัวไว้จริงๆด้วย แต่ฉันไม่เหมือนพี่ฮันเฮหรอกอีกอย่างพี่ซองวอนเขาโทรมาบอกว่ารถบริษัทมันเสียกลางทางเลยเลื่อนประชุม แล้วนี่ตาที่เจ็บน่ะดีขึ้นบ้างมั้ย”


“อืม...ดีขึ้น” เจ้าของบ้านพึมพำไม่เต็มเสียง


“หิวข้าวยัง มากินข้าวต้มสิ กำลังร้อนๆเลย”


คำเชิญชวนเช่นปกติทุกวันเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นทำให้ฝ่ายได้ยินเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายไม่รู้สึกรู้สาต่อการกระทำเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อยก็ยิ่งเศร้าใจ กระนั้นเจ้าตัวเลือกจะไม่แสดงออกอีกทั้งมีความจำเป็นต้องกินยาเช้าเลยเดินไปนั่งกินข้าวต้มอย่างเสียไม่ได้


“ขอโทษนะ”


“เรื่องอะไร” ฝ่ายรูมเมทที่ลากเก้าอี้มานั่งมองคนตาบวมแดงกำลังตักข้าวเข้าปากอย่างกังวล


“เรื่องที่ฉัน...เรื่องที่...โกหกนาย”


“ช่างมันเหอะ...ฉันไม่ได้โกรธอะไร”


“ไม่ได้โกรธ...จริงๆเหรอ” ปลายเสียงของคำถามนั้นเบาลงอย่างไม่มั่นใจ


“ฉันคิดว่านายคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ไม่อยากบอกความจริงกับฉัน แต่นั้นก็ไม่สำคัญอะไรหรอก บางครั้งคนเป็นเพื่อนก็ไม่ต้องรู้เรื่องของเพื่อนไปหมดทุกอย่างก็ได้”


“นาย...ไม่โกรธฉันจริงๆอะ”


“จริง”


“แน่นะ”


“อืม” คนถูกถามส่งเสียงเป็นเชิงตอบรับทั้งที่มือกำช้อนตักข้าวต้มเข้าปากแน่นเสียจนสั่นได้แต่กล้ำกลืนเก็บความรู้สึกทั้งมวลลงไป กว่าข้าวแต่ละคำจะผ่านลงคอไปได้แสนยากลำบากสุดท้ายก็ยุติการกินทั้งที่อาหารพร่องไปไม่ถึงครึ่ง


“อิ่มแล้วเหรอ”


“ใช่”


“มียาต้องกินมั้ย”


“มี”


“ยาหยอดตาล่ะ มีด้วยหรือเปล่า”


“มี”


“ยาพวกนี้ถ้ากินเสร็จแล้วจะง่วงมั้ย”


“ไม่ง่วง แต่ฉันปวดหัวเลยจะกินพาราเพิ่มค่อยนอน นายจะไปทำงานก็ไปเหอะ” สิ้นคำมือขาวก็ลุกจากเก้าอี้เตรียมจะหยิบชามข้าวไปล้างแต่มือใหญ่กว่าของอีกคนแย่งมันไปเสียก่อน


“เดี๋ยวฉันล้างจานให้ค่อยไป”


“จะลำบากทำไม ฉันล้างเองได้” คนค้านอ่อนล้าเกินกว่าจะเห็นหน้าอีกฝ่ายได้เลยจ้องมือตัวเองไว้แทน


“ลำบากอะไรเล่า แค่ล้างจานเอง อีกอย่างนายก็ไม่สบายอยู่ด้วย ให้ฉันทำเถอะ”


“ไม่ต้อง ฉันกิน ฉันล้าง”


“น่าให้ฉันทำเถอะนะ” ถึงถูกทัดทานคนตัวสูงกว่ายังดันทุรังหยิบชามข้าวและช้อนไปล้างให้จนได้


เจ้าของบ้านกำหมัดจ้องแผ่นหลังของรูมเมทที่เดินไปล้างจานตรงอ่างด้วยโกรธที่ตัวเองยังยอมรับความใจดีที่มีเผื่อแผ่ให้ทุกคนและยังคาดหวังว่าวันหนึ่งจะได้เป็นคนสำคัญเหนือกว่าใคร ทั้งที่ความเป็นจริงก็เห็นอยู่แล้วว่า ต่อให้นอนกับผู้หญิงแปลกหน้าเป็นสิบ คนอย่างแดฮยอนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร


...เป็นแค่เพื่อนต้องมารู้สึกผิดอะไรล่ะ...


“นอนกับใครตอนเมาน่ะ ระวังเอดส์กับไปทำผู้หญิงเขาท้องด้วยล่ะ เมาทีไรชอบจำอะไรไม่ได้สักอย่าง” ความน้อยใจทำให้บางเรื่องในใจถูกระบายกลายเป็นคำเตือน


ฝ่ายกำลังคว่ำชามตรงตะแกรงข้างอ่างล้างจานชะงักต่อถ้อยคำที่คล้ายมีใครเอาชนักแทงลงมากลางหลัง ความละอายใจหลั่งไหลมาแต่ต้องแกล้งทำตัวปกติกลบเกลื่อนไว้


“ฉันจ่ายเงินตรวจโรคทางเพศสัมพันธ์เสริมจากตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัททุกครั้งนะ ส่วนเรื่องทำใครท้องมันคงเป็นไปไม่ได้เพราะฉันเป็นหมัน”


“ตรวจแค่นั้นมันไม่พอหรอก”


“แล้วต้องตรวจยังไงถึงจะพอล่ะ”


“หลังนอนกับคนแปลกหน้าก็ควรตรวจแล้ว”


“โห...ต้องขนาดนั้นเลย”


“ใช่สิ”


“งั้นหนนี้ฉันต้องไปตรวจเลยสินะ”


“ที่จริงถึงใส่ถุงยางก็ใช่จะปลอดภัยเพราะอาจจะมีใครเจาะถุงยางนายก็ได้”


“เรื่องนั้นไม่กลัวหรอก ไม่ได้นอนกับใครมาจะสองปีแล้ว ครั้งนี้เมาเลยเผลอไปหน่อย”


“ฮะ” เสียงนั้นมาพร้อมการเลิกคิ้วของคนนั่งฟังอย่างอดกลั้น “โกหกล่ะ คนอย่างนายเนี่ยนะจะอดทนได้เป็นปีๆ”


“เฮ้ย ฉันไม่ได้โกหกนะ ถึงฉันจะดูสำมะเลเทเมาแต่ฉันไม่ได้คบกับใครมาเป็นชาติแล้วนะ ยิ่งเมาแล้วไปกับใครต่อใครก็เพิ่งมามีครั้งนี้เอง”


“เหอะ”


“ทำเสียงแบบนี้แปลกว่าไม่เชื่อดิ ไม่เชื่อใช่ปะ...ไม่เชื่อก็ลองถามพี่ซองวอนดูก็ได้”


“ทำไมต้องถาม ฉันไม่ได้อยากรู้”


“ว่าแต่นายเถอะ...ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เห็นคบกับใครให้เห็นเลย รู้แค่ว่าเคยจูบแต่เคยมีเซ็กส์กับใครหรือยัง” บทสนทนาติดพันพาให้ปากพลั้งถาม พลันบางสิ่งก็กระทบหลังเข้าอย่างจังจึงหันไปมองก็เห็นขวดเปล่าตกอยู่บนพื้นและเมื่อเงยสูงขึ้นไปก็เห็นเจ้าของบ้านมองตาขวางใส่ก็รู้ได้เลยว่า หลุดปากพูดอะไรที่ไม่สมควรเข้าอีกแล้ว


“ทำไม ฉันจะเคยหรือไม่เคยแล้วทำไม ฉันไม่ได้มั่วกับใครต่อใครได้เหมือนนายนะ ฉันน่ะทำได้แค่กับคนที่รักเท่านั้นแหละ ไอ้คนอย่างนายนี่มัน...เบื่อจะคุยด้วยแล้ว ฉันไปกินยา นอนดีกว่า”


ยองแจเม้มริมฝีปากพร้อมกับน้ำตาจากความเสียใจที่ซึมคลอหน่วยถึงขนาดต้องก้มหน้าเดินดุ่มเพื่อจะหนีไม่ให้เห็นน้ำตา จังหวะจะเดินสวนผ่านออกจากครัวไปนั้นหางตาเหลือบเห็นมืออีกคนเอื้อมมาใกล้เลยปัดมือออกไปเต็มแรง


“อย่ามาแตะฉัน” เขาตวาดแล้วจ้ำพรวดออกจากครัวเข้าไปในห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงปล่อยน้ำตาที่หมิ่นเหม่จะรินทุกขณะเมื่อครู่ให้ไหลออกมา


แดฮยอนกระพริบตาปริบมองมือข้างที่ถูกปัดทิ้งอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สติวิ่งพรวดออกจากครัวไปยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนเจ้าของบ้านซึ่งโมบายยังถูกแขวนไว้ดังเดิม


“ยองแจ...ฉันขอโทษ”


“จะไปไหนก็ไป ฉันจะนอน” เสียงจากในห้องตะโกนบอกออกมาอย่างหัวเสีย แม้ความเป็นจริงคนบนเตียงจะร้องไห้จนตัวสั่นอยู่ก็ตาม


“ยองแจ ฟังกันก่อนสิ ฉันขอโทษ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสอดเรื่องพวกนี้ของนายหรอก มันเป็นคำถามปกติที่ฉันถามเพื่อนกับพี่คนอื่นในวงเหล้าน่ะ มันก็เลยเผลอปากไป”


“เออ ฉันผิดเองแหละที่ถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก่อน  นายรีบไปทำงานเลยไป”


“ยกโทษให้ฉันก่อน แล้วฉันจะไป”


“ยกโทษบ้าบอคอแตกอะไรอีก ฉันไม่ได้โกรธ ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธ ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้นแหละ จะไปทำงานก็ไปได้แล้ว ฉันปวดหัว ฉันจะนอน”


“ปวดหัวมากเลยเหรอ ให้ฉันพาไปหาหมอมั้ย”


“ถ้านายยังไม่หยุดถามมาก ฉันจะโกรธนายจริงๆแล้วนะ”


“จริงอะ...”


“รีบไปทำงานได้แล้ว ฉันจะนอน”


“โอเค ถ้าจะนอนก็นอน เดี๋ยวพอประชุมเสร็จฉันจะรีบกลับมา”


“ไม่ต้อง ทำงานของนายไปเหอะ ฉันมีข้าวของพี่ฮิมชาน มียา มีน้ำ แค่นี้ฉันอยู่ได้แล้ว”


“แต่ว่า...”


“ไปสิ” คำสั้นตวาดเป็นคำรบสองทำให้ผู้ยืนมองประตูอยู่ด้านนอกถอนหายใจยาวอย่างอึดอัด ระหว่างชั่งใจอยู่นั้นเองที่มีสายโทรศัพท์จากบริษัทเรียกตัวให้เข้าร่วมประชุมในอีกครึ่งชั่วโมงเลยจำเป็นต้องออกไป


“งั้นฉันจะโทรมาหานะ ถ้านายนอนอยู่ตื่นแล้วก็ส่งข้อความมาบอกหน่อย ฉันประชุมเสร็จจะรีบมา”


“จะไปไหนก็ไป” การตอบสนองจากในห้องเท่านั้นก็เพียงพอให้อีกคนจำนนยอมล่าถอยกลับไปหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวสีกรมท่าจากในห้องนั่งเล่นมาสวม จังหวะที่สวมรองเท้าเรียบร้อยเตรียมจะออกไปข้างนอกอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงล็อกประตูถูกปลดออกก่อนที่ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้ายสวมเสื้อคอเต่าสีดำทับด้วยโค้ทตัวยาวสีเดียวกันก็ปรากฏตัวขึ้น


“มึงยังไม่ออกไปทำงานอีกเหรอ” เสียงทุ้มเข้มฟังดุอย่างประหลาดถามไถ่แทนการทักทาย


“ผมกำลังจะไปอยู่พอดี แล้วนี่พี่มายองแจเหรอ”


“ใช่”


“มาเสียเที่ยวแล้วม้างพี่...ยองแจเขาน่าจะหลับไปแล้ว”


“หลับแล้วยังไง...”


“ก็เขาล็อกห้อง พี่คงเข้าไปดูเขาไม่ได้”


“กูรอมันตื่นได้ หรือถ้าขี้เกียจรอกูก็ใช้กุญแจ” ฝ่ายแก่กว่าว่าหยิบพวงกุญแจห้อยคีย์การ์ดชูให้เห็นทำเอารุ่นน้องถึงกับเบิกตากว้างจากความไม่ชอบใจมากกว่าจะตื่นเต้น


...แค่มีกุญแจพวกนี้ก็เข้านอกออกในโดยไม่ต้องขออนุญาต...


“โห พี่มีทั้งคีย์การ์ด ทั้งกุญแจห้องนอนของยองแจเลยเหรอ ทำไมถึงมีได้เนี่ย”


“ทำไมกูจะมีไม่ได้ นี่บ้านน้องกู...กูจะมีกุญแจบ้านนี้มันก็เรื่องของกูมั้ย”


ความเย็นชาในน้ำเสียงของรุ่นพี่ต่างจากทุกคราที่ได้สนทนากันทำให้ฝ่ายอ่อนกว่าย่นหน้าผากอย่างไม่เข้าใจว่ามีเรื่องใดทำให้ขุ่นข้องหมองใจเลยถามกลับไป


“ผมก็แค่ถามเฉยๆเอง ทำไมพี่ต้องทำเสียงดุด้วยอะ”


“กูเห็นหน้ามึงแล้วหงุดหงิด”


“เอ้า มาหงุดหงิดผมเรื่องอะไร”


ฝั่งผู้มากวัยกว่าเหลือบตาจ้องหน้ารุ่นน้องที่ทำท่าเหลอหลาไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยแววตาเยือกเย็นไร้ไมตรีใดแฝง ทำให้ผู้ถูกมองกลืนน้ำลายลงคอคล้ายถูกจับผิด


“มึงทำอะไรก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ”


“ผมทำอะไรผิด”


“ตัวมึงเองเป็นใครกูยังไม่รู้เลย แล้วกูจะบอกได้ไงว่าผิดอะไร”


“อะไรเนี่ย ผมไม่เห็นเข้าใจเลย” คำตอบนั้นไม่ช่วยให้ความสงสัยคลายไป


“เออ จบ” คำสั้นสวนมาพร้อมรอยแสยะยิ้มตรงมุมปากก่อความเงียบให้บังเกิดขึ้นระหว่างกันเพียงครู่ก็ถูกคนอ่อนกว่าตั้งคำถามใหม่ใส่


“อ้าว ไหงมาทำให้งงแล้วพี่ก็ตัดจบซะงั้นล่ะ”


“ช่างเหอะ มึงจะไปทำงานไม่ใช่ไง รีบไปสิ อ้อ แล้วมึงไม่ต้องรีบกลับหรอกนะ วันนี้กูจะอยู่ดูแลยองแจเอง” คนอายุมากกว่าเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเล่นเอาคนไม่ทันตั้งตัวกระพริบตาปริบ


“พี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอ”


“ฝากยงกุกมันทำแทนแล้ว”


“ถ้าพี่ติดงานก็ไปทำงานเถอะ ไว้ผมประชุมเสร็จจะขอบอสกลับมาก่อน”


“มึงเป็นลูกจ้างหรือเจ้าของกันแน่วะ...วันธรรมดาก็ขอไม่เข้าออฟฟิศ วันอาทิตย์มึงก็ขอเป็นวันหยุดประจำ มันจะอภิสิทธิ์ชนเกินไปเปล่า”


“พี่รู้ได้ไงเนี่ย”


“คิดว่าซองวอนกับฮันเฮมันจะไม่บอกกูหรือไง”


“โห ผมก็แค่ทำตัวดี ทำงานดี บอสเขาก็เลยเมตตาให้ผมทำงานได้อิสระ”


“งั้นก็ทำงานของมึงให้ดีต่อไปเหอะ”


“เรื่องนั้นผมรู้อยู่หรอก ถ้าไงพี่อยู่ดูยองแจไปก่อนพอตอนเย็นผมจะกลับมาสลับเวรกับพี่”


“ไม่ต้อง กูตั้งใจว่าจะอยู่ส่งยองแจเข้านอนตอนกลางคืนเลย ส่วนมึงจะไปไหนก็ไปได้เลย อยากไปดื่มไปแดกไปมีอะไรกับใครก็ตามสบาย กูจะไม่เอาน้องมาเป็นภาระมึงอีกแล้ว”


“ฮะ...เดี๋ยวนะพี่...ที่พี่พูดนี่หมายความว่าไง”


“กูหมายความตามที่พูดนั้นแหละ มึงไม่ต้องคิดเยอะอะไรด้วยหรอก รีบไปทำงานได้แล้ว”


“อะไรอะ ทำไมวันนี้พี่พูดจาแปลกพิกล”


“ไปทำงานสิโว้ย”


“โอเคๆ ผมไปล่ะ ไว้เจอกันนะพี่”


“เออ”


ฮิมชานกอดอกมองตามหลังของรุ่นน้องจนคล้อยหายไปหลังบานประตูที่ปิดสนิทลงพลางใคร่ครวญถึงคำบอกเล่าของเพื่อนผู้เชี่ยวชาญของโบราณเกี่ยวกับผู้ซื้อเปียโนของเล่นที่คนเพิ่งจากไปมอบให้น้องเขาไว้ ความสงสัยเหล่านั้นพาให้นึกสังหรณ์ใจกลัวจะเกิดเรื่องร้ายจนต้องนั่งถกกับยงกุกเรื่องนี้ทั้งคืนแถมยังโดนด่าเรื่องความใจเร็วชอบตามใจปล่อยให้น้องมีรูมเมทโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน


หลังปรึกษากันอยู่นานยงกุกก็เสนอว่าจะใช้เส้นสายในวงการดนตรีไปลองถามกับเจ้าของบริษัทของแดฮยอน ส่วนตัวเขาก็ไหว้วานเพื่อนที่เป็นอัยการ เพื่อนที่ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศให้ช่วยหาข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อเดสมอนด์ จอง


ใครจะคิดว่าแดฮยอนคนที่เขารู้จักมาตลอดหลายปีจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ที่น่าห่วงมากกว่าตัวตนจริงของแดฮยอน ยังมีความรู้สึกของยองแจที่เขาหวั่นใจว่าจะเป็นปัญหา


...คนเปราะบางและไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกับโรคภัยไปอีกนานแค่ไหนสมควรได้รับความรักไม่ใช่ความเสียใจ


ลมหายใจอุ่นทอดแรงออกมาอย่างตึงเครียดก่อนคนเป็นพี่จะถอดเท้าเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วถอดโค้ทกันหนาวพาดไว้ตรงโซฟาค่อยตรงไปเคาะประตูหน้าห้องนอนเจ้าของบ้าน


ยองแจนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มยินเสียงเคาะประตูก็หลับตาที่มีน้ำใสคลอหน่วยไม่ยอมตอบสนองอะไรเสมือนว่าตนเองกำลังหลับเพราะไม่อยากคุยกับรูมเมทอีกแล้ว


“พี่เอง...พี่ขอเข้าไปนะ” เสียงเข้มลอดผ่านประตูมาให้คนในห้องได้ยินพร้อมเสียงเปิดประตู ทำให้ฝ่ายรีบเช็ดน้ำตาพลิกตะแคงข้างกระทั่งสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่เขย่าร่างตนเองเบาๆถึงขยับหน้าพ้นจากผ้าห่มแกล้งมองพี่ชายด้วยท่าทางงัวเงียถึงอ้อมแอ้มถาม


“พี่มาเหรอ”


“ต้องมาสิ จะไม่มาได้ไง น้องพี่ป่วยทั้งคน” พี่ชายต่างสายเลือดว่าพลางลูบผมของน้องอย่างเบามือเช่นเดียวกับสายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมายามน้องป่วยไข้เหมือนทุกครา แม้จะรู้ดีว่าดวงตาช้ำก่ำของน้องเกิดจากการร้องไห้หนักแน่แท้แต่ก็แกล้งถามไถ่ “ไหนดูสิ ทำไมตาแดงขนาดนี้นะ เมื่อวานตอนพี่พาเราไปเจาะเลือดตอนเช้าไม่เห็นเป็นอะไร แล้วนี่หมอเขาวินิจฉัยว่ายังไง”


“หมอบอกว่าตาอาจจะอักเสบ”


“อักเสบจากอะไร”


“ก็...อาจเพราะ...ผม...ใช้สายตามาก...เกินไป” จากการวินิจฉัยของหมอนั้นไม่มีการบ่งชี้สาเหตุอาการตาแดงแม้แต่ยาที่จ่ายมาก็เป็นเพียงยาหยอดตาแห้งแต่ความกลัวของคนเป็นน้องจึงจำเป็นต้องโกหก


ดูหนังมาราธอนอีกแล้วสิ นี่ขนาดแดฮยอนมันอยู่ด้วยเรายังดูหนังจนเจ็บตาได้ เป็นรูมเมทภาษาอะไรของมัน”


“มันไม่เกี่ยวกับเขาหรอก...ผมไม่สบายของผมเอง”


“เราไม่สบายเองก็จริงแต่ทำไมมันไม่สังเกตอาการเราแล้วพาไปหาหมอบ้างเลยล่ะ ขนาดฮันเฮมันเป็นแค่รุ่นพี่ยังสังเกตสังกาพาเราไปหาหมอเลย”


“ก็เขางานยุ่งไม่เหมือนพี่ฮันเฮหรอก...พี่เขาหนีเจ้านายมาอู้งาน โดนเจ้านายโทรตามประจำเลย”


“แต่พี่ให้มันมาอยู่เพื่อดูแลเราด้วยนะ ไม่ใช่ให้มาอยู่เฉยๆ”


“เขาไม่ได้อยู่ฟรีนิ เขาจ่ายค่าเช่า”


“ถ้ารู้ว่าให้เช่าด้วยราคาแสนถูกเหมือนอยู่ฟรีแล้วมันจะไม่สนใจเรา แถมยังต้องแบ่งเวรให้เราทำความสะอาดเองงกๆอีก พี่ไม่ให้มันอยู่ด้วยหรอก ก็บอกแล้วว่ามันเป็นพวกรักสนุกไปวันๆจะมาดูแลใครเขาได้ นี่ถ้าเราไม่รีบตัดสินใจแล้วรออีกหน่อยคงได้อยู่กับคนอื่นที่ดีกว่านี้ไปแล้ว”


“ก็พี่นั้นแหละบอกแต่จะให้ผมรีบหารูมเมทไม่งั้นจะส่งกลับสวีเดน”


“งั้นตอนนี้พี่หารูมเมทให้ใหม่เอามั้ย”


ข้อเสนอที่ผู้เป็นพี่หยิบยื่นมาในเวลาที่หัวใจอ่อนล้าจากความเจ็บช้ำในรักข้างเดียวทำให้คนบนเตียงไม่ยืนกรานแข็งขันแก้ต่างให้เพื่อนร่วมบ้านคนปัจจุบันเหมือนทุกที


“พี่หาได้เหรอ”


“หาได้สิ...ถ้าเราไม่รีบร้อนพี่หาให้รูมเมทดีๆให้เราได้อยู่แล้ว”


“แล้วหมอนั่นจะไปอยู่ที่ไหน”


“ไม่รู้ แต่มันเคยบอกพี่นะว่ามันไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์ก็เลยมีเงินเก็บมากพอจะออกไปอยู่คนเดียวได้แล้ว”


“เขาบอกพี่แบบนั้นเหรอ”


“เออ เห็นมันเปรยๆให้ได้ยิน” คำโกหกที่คนเป็นพี่เชื่อว่ามันเป็นการโกหกสีขาวหลุดออกมา “แล้วไอ้เรื่องข้าวกล่องของมันน่ะ เราไม่ได้กินแล้วใช่มั้ย”


“ผมไม่ได้กินมาพักหนึ่งแล้ว”


“ละนี่เราคิดไว้หรือยังว่าจะกลับสวีเดนวันไหน”


“ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นเลย”


“คิดเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน พี่จะได้จองตั๋ว ครั้งนี้พี่จะพาครอบครัวพี่ไปด้วย พ่อพี่เขาอยากเจอพี่เรา”


“หนนี้ผมอาจจะ...ไปนานหน่อย”


“ไปนานหน่อยก็ดี พักหลังเราดูเหนื่อย ผลเลือดก็ไม่ค่อยจะดี ที่นู้นอากาศมันดีกว่า ถ้าไงเราน่าจะกลับสวีเดนมันสักเดือนดูนะ ส่วนเรื่องที่ร้านพี่จะหาบาริสต้ามาให้ทำงานแทนหรือไม่ก็ให้เด็กในร้านเรามันช่วยชงไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวพี่จ่ายค่าแรงเพิ่มให้”


“ไม่ไหวหรอก...น้องเขายังเรียนอยู่จะให้มาทำงานเต็มเวลาคงไม่ได้”


“แล้วพี่ยูจินอะไรนั้นล่ะ”


“เขามีร้านของเขาอยู่แล้ว ไหนจะต้องไปหาหมออีกจะให้มาช่วยได้ไง”


“แต่ตั้งใจจะกลับไปนานกว่าปกติใช่ไหม”


“อืม”


“โอเค...เอาเป็นว่าถ้าเราอยากกลับสวีเดนนานกว่าปกติ พี่จะหาบาริสต้ามาให้”


“หามาแล้วเขาทำเครื่องดื่มไม่ดีเหมือนผม ลูกค้าก็หายหมดเหมือนกันแหละ”


“เราก็จดสูตรไว้ให้เขาสิ”


“จดสูตรให้แล้วเกิดเขาขโมยไปใช้เปิดร้านเองจะทำไงล่ะ กว่าผมจะได้เครื่องดื่มแต่ละสูตรต้องลองผิดลองถูกอยู่ตั้งนาน”


“นานอะไร ลุงเราเขาทิ้งสูตรไว้ให้นิ”


“นานสิ...ผมทดลองปรับปรุงสูตรด้วย”


“โหย เรื่องเยอะเหลือเกินนะเรา ละนี่กินยาแล้วแน่หรือเปล่า ตะกี้แดฮยอนมันบอกพี่ว่าเรากินยานอน ไหงพอพี่เข้ามาเรากลับฉอดไม่หยุดเลย”


“ฉอดไม่หยุดแปลว่าอะไร”


“การพูดหรือเถียงไม่จบไม่สิ้น”


“นี่พี่จะบอกว่าผมพูดมากเหรอ”


“ก็พูดมากจริงแหละ...ปกติเวลาเราง่วงจากฤทธิ์ยาแก้อักเสบเราจะซึม ถามอะไรไม่ตอบ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว บางทีก็ละเมอเดินไปไหนต่อไหน”


“ก็ฤทธิ์ยามันยังไม่ออก”


“แต่ก็นอนซะเถอะนะ...นอนให้มาก พักสายตาไปจะได้หายไวๆ ช่วงนี้ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ไม่ต้องเปิดร้าน เดี๋ยวพี่บอกกับลูกจ้างเราให้ว่าเราไม่สบาย”


“ผมส่งข้อความไปบอกน้องเขาไว้แล้ว”


“งั้นก็นอนได้แล้ว”


ยองแจนอนตะแคงมองความอ่อนโยนของดวงตาและรอยยิ้มบนใบหน้าของพี่ชายซึ่งเปรียบเสมือนคนในครอบครัวมาเนิ่นนานพาลให้หวนคิดถึงความทรงจำวันวานยามใช้ชีวิตบนเตียงในโรงพยาบาลราวกับบ้าน


...ทุกครั้งที่รู้สึกทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วย ฮิมชานคือคนเดียวที่ประโลมให้อุ่นใจยิ่งกว่าคนในครอบครัว...


“พี่...” เสียงขานเรียกนั้นเบาราวกระซิบขณะที่มือตะกุยให้พ้นจากผ้าห่มออกมาจับมือของพี่ชายต่างสายเลือดไว้แน่น


“อืม”


“พี่อยู่นี่จนกว่าผมจะหลับได้มั้ย”


“ได้อยู่แล้ว...เดี๋ยวพี่จะอยู่ให้เบื่อหน้ากันไปข้าง”


“ถ้าพี่ไม่ขี้บ่นผมก็ไม่เบื่อพี่หรอก”


“บ่นเพราะเป็นห่วงทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ห่วงคงปล่อยเบลอไม่สนใจไปแล้ว”


“เป็นห่วงแล้วบ่นน้อยๆ หน่อยไม่ได้เหรอ”


“เราอยากให้พี่เลิกห่วงเราหรือไง”


“ผมแค่อยากให้พี่บ่นน้อยลงไม่ใช่ให้เลิกห่วงซะหน่อย”


“ก็เราดื้อ”


“ถึงผมจะดื้อแต่ผมก็ยังเป็นน้องชายที่พี่รักใช่ไหม”


“ถ้ารู้ว่าเราเป็นน้องที่พี่รัก เราก็ควรรักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยสิ แล้วคืนนี้ไม่ต้องไปรออะไรมันหรอกนะ ยังไงมันก็ไม่เคยอยู่ดูแลเราตอนป่วย”


“พี่ไม่ต้องไปไหนเหรอ”


“มีธุระอยู่เหมือนกันแต่ไปตอนมืดๆ”


“มืดๆคือกี่โมง”


“เที่ยงคืนล่ะมั้ง ตอนนั้นพี่คงส่งเราเข้านอนพอดี”


“ผมทำพี่ลำบากหรือเปล่า”


“โอ๊ย ประจำ” คนเป็นพี่ขึ้นเสียงสูงมองน้องหน้าหงิกก็ยิ้มหราและว่า “แต่พี่เต็มใจทำให้น่า”


“แล้ว...ผมเป็นภาระของพี่บ้างมั้ย”


“ไม่เคยนะ เฮ้ย เราเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงถามแบบนี้ขึ้นมา”


“มันก็แค่...ผมคิดว่า...ผมอาจจะ...ผมกลัวจังว่าตัวเองจะเป็นภาระคนอื่น” ผู้เป็นน้องกล่าวคำแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวดระคนเศร้าหมองกดทับให้ล้าเกินกว่าจะเก็บซ่อนมันจากชายผู้ที่เขาคลายใจจะปลดปล่อยความอ่อนแอให้ได้เห็น


“เราไม่เคยเป็นภาระกับพี่หรือคนที่รักเราเลยสักครั้ง”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ...ถึงจะดื้อก็ไม่ใช่ภาระหรอกนะ เพราะเราเป็นน้องที่พี่รัก”


“อา อย่างนั้นเอง...ผมนี่โชคดีจัง...โชคดีที่ผมมีพี่อยู่ด้วย”


“ไม่มีใครรักเรามากกว่าคนในครอบครัวกับพี่หรอก จำไว้ แล้วนี่จะนอนได้หรือยัง”


“อืม ผมนอนแล้วนะ” เจ้าตัวหลุดยิ้มให้พี่ชายออกมาถึงค่อยหลับตายอมนอนทั้งที่ยังจับมือใหญ่ของอีกฝ่ายไว้แน่นคล้ายกลัวว่าจะหลุดหายไป


ฮิมชานทอดสายตายังคนบนเตียงที่ไม่ว่าจะผ่านมานานเพียงใด ภาพของน้องในวัยสิบห้าตัวเล็กจ้อยสวมแว่นตาสะพายกระเป๋าเป้ที่เดินมาขอให้สอนเปียโนแลกกับช็อกโกแลตหีบหนึ่งก็ยังคงเป็นภาพซ้อนเดียวกับในวันนี้


ตลอดหลายปีมานี้เขามียองแจเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเพียงคนเดียวจึงรักน้องยิ่งกว่าใคร ทุกครั้งที่น้องเจ็บก็เหมือนว่ามันจะเจ็บมาถึงเขาด้วย


 “ถ้าสิ่งที่เราต้องการคือความรัก อย่าทนกับอะไรที่ไม่มีทางได้รักตอบ” เจ้าของมือใหญ่ที่ลูบผมของคนบนเตียงปรอยเอ่ยคำพลางทอดหายใจยาวให้กับเรื่องราวที่ได้เพียงภาวนาว่าจะไม่หนักหนาเกินรับมือ

-----------------------------------------------------------
“แดฮยอน”


ภายในห้องประชุมขนาดเล็กที่มีผู้ร่วมวงเพียงห้าคนเรียกชื่อนั้นซ้ำอยู่หลายหน ทว่าเจ้าของชื่อกลับนั่งเท้าคางมองเครื่องโปรเจคเตอร์กลางโต๊ะแทนการมองภาพซึ่งฉายบนผนังอย่างเลื่อนลอยด้วยความคิดยังติดค้างอยู่กับบทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมบ้านเมื่อช่วงสายมานี้


ปกติวิสัยของผู้ชายนั้นการจะคบหาผู้หญิงสักคนกระทั่งมีความสัมพันธ์ทางการลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากสำหรับเขาการได้ยินว่า ทำได้แค่กับคนที่รักจากปากยองแจกลายเป็นชนวนแห่งความสงสัย


ในความรู้สึกของเขายองแจคือนางฟ้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและไร้เดียงสาเกินจะเชื่อว่ามีประสบการณ์ทางเพศกับผู้หญิงมาแล้ว


...ครั้งก่อนที่บอกเคยจูบยังคิดเลยว่าแค่ปากแตะปากประสาเด็ก ใครจะคิดว่าจะเลยเถิดถึงขั้นมีเซ็กส์แล้ว


...เด็กต่างชาติมีอะไรกันก่อนบรรลุนิติภาวะนะไม่แปลกแต่ยองแจของเขาน่ะไม่เหมือนพวกนั้นสักหน่อย


ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีแดงจางตามธรรมชาติยามสัมผัสกับริมฝีปากของคนอื่นมันจะให้ความรู้สึกนุ่มนวลหอมหวานยังไงบ้าง ดวงตากลมสีน้ำตาลเหมือนลูกกวางหากอารมณ์ทะยานถึงขีดสุดจะสวยงามเพียงใด แม้แต่ผิวกายเปลือยเปล่าขาวสะอาดเมื่อสั่นสะท้านจากความกำหนัดจะเร่าร้อนได้ถึงขนาดไหน


...สมองเขาหมกมุ่นเพียงเรื่องเหล่านี้จนไม่เป็นอันทำอะไรตั้งแต่เที่ยงวันยันสี่โมงเย็นก็ยังเป็นเหมือนเดิม...


“ไอ้เหี้ยแดฮยอน” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับบางสิ่งฟาดลงมากลางหลังพาให้คนเหม่อสะดุ้งโหย่งกระพริบตาปริบกวาดมองบรรดาเพื่อนร่วมงาน


“ครับ...มีอะไร”


“ถามมาได้ว่ามีอะไร...ไอ้เหี้ยนี่ ประชุมกันอยู่เสือกเหม่อห่าอะไรก็ไม่รู้ ตอนสายๆกูได้ยินซองวอนมันบ่นว่ามึงเหม่อตอนประชุม ตกบ่ายมาก็เหม่อต่อ พอเรียกก็ทำไม่รู้เรื่องรู้ราว เดี๋ยวกูทุบด้วยรองเท้าซะดีมั้ย” รุ่นพี่เจ้าของฝ่ามือที่ตบเรียกสติอย่างฮันเฮด่าแทบเตรียมจะถอดรองเท้าเอาขึ้นมาฟาดต่อ


“เออ...ประชุมอยู่นี้หว่า ขอโทษนะพี่ ผมขอโทษจริงๆ”


“มึงไม่สบายเปล่าวะ” ชอลหรี่ตาถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเพื่อน


“เปล่า...กูแค่เหนื่อยนิดหน่อย”


“ก็น่าอยู่หรอก...แทนที่มึงจะนอนพักผ่อนในห้องพักแล้วเช้าค่อยนั่งรถบริษัทกลับมา เสือกกลับมาเองกลางดึก” ดงฮยอนเปรยขณะจดบางอย่างลงบนจอไอแพด


“มึงรู้ได้ไงเนี่ย”


“พี่ซองวอนบอก...แล้วยังบอกด้วยว่ามึงรับกลับเพราะเป็นเพื่อนไม่จริงของมึง”


“เพื่อนไม่จริงเหี้ยอะไรวะ”


“เพื่อนที่คิดมากกว่าเพื่อน”


“โอ๊ย อะไรวะเนี่ย พี่เขาพูดแบบนั้นเลย นี่เอาเรื่องกูไปพูดจนรู้กันหมดทั้งออฟฟิศแล้วยังวะนั่น”


“ไม่หมด เพราะมันไม่ได้เล่าให้กูฟัง”


“พี่ซองวอนนี่เพื่อนซี้พี่นะทำไมพี่เขาไม่เล่าหรือพี่เขาไม่นับพี่เป็นเพื่อน”


“โอ๊ย ไอ้เหี้ย ปากมึงนี่แม่ง กูเข้างานสายโว้ยเลยไม่เจอมัน ละนี่ยองแจมันเป็นไงบ้างแล้ววะ”


“เห็นเมื่อเช้ากินข้าวกินยาก็เข้าไปนอน พี่ฮิมชานเขามาดูยองแจพอดีผมก็เลยออกมาทำงานแต่พอส่งข้อความหรือโทรไปหาเขาไม่ตอบรับ ดีที่พี่ฮิมชานรับสายนะไม่งั้นผมคงเป็นห่วงแย่” ชายหนุ่มฉายาแมวน้อยบอกด้วยแววตาและน้ำเสียงละห้อย


“นั่นไง พอเป็นเรื่องยองแจเข้าหน่อยใจลอยตลอด...เป็นห่วงมาก ประชุมเสร็จก็กลับบ้านเลยไป้”


“จะกลับได้ไงล่ะ ผมมีแก้งาน ลูกค้าเขาเพิ่งบรีฟส่วนที่จะแก้มาก่อนเข้าประชุมเนี่ย ผมยังไม่รู้เลยวันนี้จะได้กลับกี่โมง”


“งั้นก็เรียกสติกลับมาแล้วประชุมให้เสร็จซะที...วันนี้กูมีนัดตอนห้าโมงเย็น ถ้าเลิกประชุมเลทแม่กูเขารอกูที่ร้านข้าวนานตายห่า” ดงฮยอนสำทับ


“เออๆ เข้าใจแล้ว กูจะพยายามไม่เหม่อ มาประชุมกันต่อเหอะ”


ผู้เป็นต้นเหตุให้การประชุมล่าช้าเรียกสติตัวเองด้วยการตบมือตัวเองสองสามครั้งก็กลับมาจดจ่อกับงานตามปกติ กระทั่งเสร็จสิ้นการประชุมต้องเข้าสตูดิโอส่วนตัวไปแก้งานไฟล์เสียงประกอบละครตามบรีฟลูกค้า หากเขาทำงานไปได้สักพักใจก็ลอยไปถึงเรื่องราวที่หมกมุ่นอีกเป็นระยะสลับกันไปเช่นนี้จนเวลาล่วงเลยไปค่อนคืน


แม้งานจะยังไม่เสร็จแต่เมื่อเห็นเดดไลน์ที่ยังเหลือสองวันทำให้เขาวางมือจากทุกอย่าง ความฟุ้งซ่านสับสนไม่มีสมาธิเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจกลับบ้านไปดูรูมเมทเสียหน่อยค่อยกลับมาสะสางงานต่อให้เสร็จพรุ่งนี้


ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้บิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยของกล้ามเนื้อพลางหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวมาสวม ระหว่างเดินออกจากออฟฟิศมานั้นมือก็กดพิมพ์ข้อความหาเพื่อนร่วมบ้านเป็นระวิงซึ่งก็เหมือนเป็นการสุมข้อความให้ค้างไม่ได้รับการอ่านมากกว่าเก่า จังหวะที่ขึ้นไปนั่งบนแท็กซี่ที่โบกเรียกจึงโทรไปหาฮิมชานเพื่อถามไถ่


“ยองแจมันหลับแล้ว”


“เขาโอเคขึ้นมั้ยอะพี่”


“ก็ดี...ได้กิน ได้นอน พักเต็มที่เดี๋ยวก็หาย”


“ละนี่พี่ยังอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”


“กูมีธุระเลยออกมาก่อน พรุ่งนี้เช้ามืดกูจะกลับไป แล้วมึงอยู่ไหน” น้ำเสียงของรุ่นพี่ลอดผ่านปลายสายฟังเย็นชาอย่างประหลาดราวกับการถามนั้นมีนัยยะไม่ให้เขากลับบ้าน


“ผมอยู่ออฟฟิศอะ...มีงานลูกค้าต้องแก้” เพราะความรู้สึกนั้นทำให้พลั้งปากโกหกออกไปหน้าตาเฉย


“แล้วจะกลับบ้านมั้ย”


“คืนนี้คงไม่กลับ ไว้เสร็จงานแล้วผมจะไปดูเขา”


“ทำงานมึงไปเหอะ...พรุ่งนี้มันก็หายแล้ว”


“ถ้าเขาไม่หายล่ะพี่”


“มีกูอยู่...ยังไงน้องกูก็หาย”


“แต่พี่ไม่ใช่หมอซะหน่อย”


“แล้วมึงใช่หรือไง”


“ก็...ไม่ใช่...เหมือนกัน”


“ไม่ใช่หมอยังมีหน้ามาย้อนคนอื่นอีกนะ...ไอ้เวร”


“ผมก็แค่เป็นห่วงเขา”


“มึงกลับไปทำงานของมึงเหอะ ละไม่ต้องเสือกโทรไปหายองแจมันนะ มันกินยานอนหลับไปนานแล้ว กับกูก็ไม่ต้องโทร กูมีธุระ”


“คำก็ไล่ไปทำงาน สองคำก็ไล่ไปทำงาน ให้ผมพักหายใจบ้างก็ได้มั่ง ละพี่ล่ะมีธุระอะไรตอนเที่ยงคืน”


“จะธุระอะไรมึงก็ไม่ควรเสือกปะ”


“พี่จะเกรี้ยวกราดอะไรนัก ใครทำไรใส่มาเนี่ย”


“เปล่า กูจะรีบไปทำธุระ แค่นี้นะโว้ย”


ปลายสายกล่าวลาแล้วตัดสายใส่ทำเอาผู้โทรไปรบกวนชะงักดึงโทรศัพท์มือถือห่างจากหูมามองดูรู้สึกตะหงิดในใจพยายามคิดไตร่ตรองว่ามีเรื่องไหนที่ทำผิดพลาดไป


...นอกจากเรื่องโกหกยองแจก็ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว...


“เวรเอ๊ย” เขาสบถใส่ตัวเองพร้อมทิ้งตัวเอนหลังกับเบาะของรถแท็กซี่ ในหัวยังคิดวนเวียนเพียงความรู้สึกผิดระคนเป็นห่วงพ่วงด้วยเรื่องทางเพศเพียงเศษเสี้ยวที่ได้พูดคุยกัน


เวลางานเขาไม่เคยปล่อยให้มีอะไรเข้ามากวนสมาธิ หากจะมีเรื่องอะไรที่พรากความจดจ่อของเขาจากงานไปได้ก็เห็นจะมีแค่เรื่องที่เกี่ยวกับยองแจคนเดียว


แดฮยอนถอนหายใจพาตัวเองลงจากแท็กซี่เมื่อถึงจุดหมายแล้วลากเท้าพาตัวเองไปจนถึงภายในบ้านร่วมอาศัยซึ่งปิดไฟมืดเหมือนทุกคราที่กลับเข้ามาหลังเจ้าของบ้าน แสงจากโทรศัพท์ถูกเปิดใช้แทนไฟฉายส่องทางเดินให้เขาก้าวเท้าไปหยุดยืนหน้าห้องนอนของเพื่อนร่วมบ้านก่อนสะเดาะลูกบิดประตูเข้าไปเพียงเพราะอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายว่าหลับสบายไม่เท่านั้น


อากาศภายในห้องอบอวลด้วยกลิ่นเย็นชื่นยจากเทียนหอมบนโต๊ะข้างเตียงช่วยให้หายใจได้ปลอดโปร่ง มีหนังสือภาพเกี่ยวกับดาราศาสตร์กองอยู่ตรงนั้นหลายเล่มพร้อมกระดาษโน้ตเขียนข้อความให้รู้ว่า พ่อคนที่สี่ของคนบนเตียงหอบมาให้


...อะไร อะไรก็พี่ฮิมชาน...


เพียงคิดในใจก็ร้อนลนแต่ก็ทำได้เพียงสูดหายใจปิดไฟตรงโคมข้างเตียงและออกมาอาบน้ำอาบท่าหอบเบาะนอนไฟฟ้าปรับระดับความร้อนได้ที่ซื้อมาสำหรับนอนข้างนอกในหน้าหนาวโดยเฉพาะเข้าไปปูในห้องนั่งเล่นโดยมีตุ๊กตาลูกไก่ตัวหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน


ร่างสูงเอนลงนอนฟังเสียงหวีดหวิดจากสายลมนอกหน้าต่าง หากสายตากลับจดจ้องเพดานอาบแสงสีครามอ่อนจางของหลอดไฟส่องทางที่ลอดเข้ามากระทบขณะนั้นความคิดก็ฟุ้งเฟ้อกระจัดกระจายซึ่งวนเวียนเพียงเรื่องราวความสัมพันธ์ของยองแจที่มีต่อชายอื่น สลับกับความรู้สึกผิดในเมื่อวาน


...อารมณ์หนึ่งในใจนั้นแสนหงุดหงิดแต่สักพักก็เสียใจราวกับเป็นพวกอารมณ์สองขั้วอย่างไรอย่างนั้น...


ลมหายใจอุ่นทอดยาวออกมาตามด้วยการลุกพรวดจากเบาะนอน ความค้างคาในใจทำให้นึกอยากดื่มเบียร์กับอัดบุหรี่สักมวนเลยออกไปทำตามต้องการที่ร้านสะดวกซื้อ


...เพราะปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่สูบบุหรี่หรือดื่มให้ยองแจเห็นเลยเลือกจะทำมันข้างนอกให้พ้นหูพ้นตา...


ความจริงยังมีเรื่องราวอีกมากมายในชีวิตที่แดฮยอนไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมบ้านของเขารับรู้ โดยเฉพาะอดีตอันเลวร้ายที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำจนกลายเป็นภาพฝัน


...ตอนนี้สิ่งเดียวในชีวิตที่เขากลัวคือการถูกยองแจเกลียด...


กระป๋องเบียร์เปล่าถูกโยนลงถังขยะหน้าร้านสะดวกซื้อตามด้วยบุหรี่ที่โดนขยี้จนไฟดับมอด ชายหนุ่มพาตัวเองกลับไปนอน ทว่าในสมองกลับขบคิดในเรื่องราวเดิมไม่หยุดหย่อนจนถึงจุดหนึ่งสติก็พลัดพรากสู่ห้วงเวลาก่ำกึ่งระหว่างความเป็นจริงกับภาพฝันจากจิตใต้สำนึกที่ฝักใฝ่ใคร่บังเกิด


โมงยามนั้นเขาสัมผัสรับรู้ถึงการกดทับลงน้ำหนักของบางสิ่งบนเรือนกายช่วงล่าง ความประหลาดต่อจากนั้นคงเกี่ยวเนื่องกับความเป็นชายที่ถูกรัดรึงไว้ด้วยบางสิ่งที่อ่อนนุ่มรุ่มร้อน


นัยน์ตาคมมองฝ่าแสงสลัวลางสีครามอมฟ้าไปยังแนวร่างกายเบื้องล่างของตนที่เปลือยเปล่า บรรยากาศหม่นมัวฟุ้งฝันแปลกที่มันสว่างพอจะเห็นว่าผู้ใดกำลังใช้ช่องว่างทางธรรมชาติในเพศสภาพเดียวกันครอบครองความแข็งแกร่งของเขาอยู่


ในนาทีแรกชายหนุ่มรู้สึกตระหนกเกินกว่าจะทำสิ่งใดคงได้เพียงมองดวงตากลมสุกใสบนดวงหน้าพริ้มเพราที่มีน้ำตาคลอหน่วย กายสะโอดสะองปกปิดไว้ด้วยเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งบางเบาสั่นเทาราวลูกกวางน้อยทรมานกับอากาศหนาวเหน็บ หากความจริงเหตุแห่งอาการนั้นเกิดจากความอึดอัดต่อแก่นกายใหญ่ที่ตั้งชันคับแน่นอยู่ในช่องทางด้านหลัง ในกาลต่อมาเมื่อความคิดเข้ารูปเข้ารอยก็ตระหนักรับรู้ได้ว่าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพฝันจากจิตไร้สำนึกของเขานั้นเอง


...ความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจที่มุ่งหมายจะครอบครองคนตรงหน้าแม้จะอยู่ในเพศสภาพเดียวกัน...


“ยองแจ” เขาขานเรียกยกหลังมือไล้แก้มนวลอย่างหวงแหน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรกับภาพฝันต่อไปดีเนิ่นนานกว่าผลสุดท้ายทุกสิ่งจะดำเนินต่อไปตามความต้องการของผู้ถูกรุกเร้า


สองมือขยับคว้าบั้นเอวบอบบางของอีกฝ่ายไว้เป็นหลักพร้อมใช้ศอกดันหลังตนเองเปลี่ยนจากการนอนราบขึ้นมานั่งประจันหน้าส่งผลให้แก่นกายของเขาชำแรกลึกถึงจุดกระสันซ่านพาเสียงครวญอย่างรัญจวนมาให้ได้ยิน


“เสียวเหรอ” เสียงเข้มกระซิบกระซาบพลางจูบเบาตามเปลือกตาเพื่อซับน้ำอุ่นใสให้เหือดหาย


“อื้อ”


ไหล่บางไหวสั่นตามเสียงในลำคอทำให้ผู้เห็นเข้าพรมจูบบนพวงแก้ม ริมฝีปากหยักหนางับปลายจมูกโด่งรั้นเป็นเชิงหยอกเย้าแล้วชิมรสปากอิ่มด้วยการบดเบียดผิวเนื้อด้านนอกเฝ้ารอกระทั่งคนตรงหน้ายินยอมให้เรียวลิ้นได้แทรกสอดคว้านหารสหวานล้ำจากภายใน


ฝ่ายไม่ประสาต่อการรุกเร้าเผลอกัดลิ้นนั้นเข้าหากไม่อาจขัดจังหวะผู้ชำนาญการให้หยุดชะงัก เขาเพียงส่งเสียงขำในลำคอไปพร้อมกว้านกวาดสลับดูดดุนทั่วทุกความหอมหวานในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างหิวกระหาย สะโพกกลมกลึงโยกตามจังหวะแลกเปลี่ยนของเหลวระหว่างกันทำให้ท่อนแกร่งที่แนบคับในช่องทางอุ่นขยายตัวขึ้นอีก


“อื้อ...” เสียงจากในลำคอนั้นคล้ายประสงค์จะเอ่ยบางสิ่งแต่ปากอิ่มยังไม่ได้รับอิสระ เล็บสั้นกุดจากสองมือครูดลากผิวหนังบนช่วงไหล่กว้างสีน้ำผึ้งอย่างแรง ความอ่อนไหวใต้ชายเสื้อยืดแนบเน้ากับลอนกล้ามท้องแข็งแน่นสมส่วน


ความสุขสมขับให้ปวดไปทั่วท้องน้อยราวกับมีบางสิ่งเตรียมการปะทุ ช่องแคบบีบรัดเจ้าเนื้ออุ่นเป็นจังหวะเดียวกับการโยกโยนสะโพกเพื่อส่งส่วนยอดของสิ่งที่ดุนใต้ชายเสื้อยืดให้ไถลกับกล้ามท้องทำให้ผู้นำถอนริมฝีปากยันแขนเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรับชมอากัปกิริยากระสับกระส่ายแหงนหงายศีรษะพร้อมโขยกเข้าใส่ตามแรงอารมณ์


แดฮยอนสูดปากอย่างพึงใจก่อนเอื้อมมือกอบเอาส่วนอ่อนไหวที่หุ้มห่อไว้ใต้ผ้าห่างจากท้องตนเองเล็กน้อยแล้วเขี่ยปลายนิ้วลง ณ ส่วนยอดคอยหยอกเอินอย่างเมามันกระทั่งจับได้ถึงกิริยาสั่นเป็นเจ้าผวาเข้ากอดเสียแน่นแถมช่องทางยังกระตุกไม่หยุดก็เลียปากหลุบตาต่ำยังสิ่งที่มือกอบกุมเฝ้ารอเพียงครู่ก็เห็นของเหลวสีขาวทะลักเสียจนเนื้อผ้าเปียกเป็นดวงและบางส่วนก็เปรอะโคนขาอ่อน


“เสร็จแล้วเหรอ” เขากระซิบถามพลางขบเม้มติ่งหูคนที่ซุกซบหอบหายใจแรงอยู่บนบ่า เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจึงซอกซอนปากและจมูกสูดกลิ่นฝากรอยตามซอกคอระเรื่อยยังเนิ่นไหล่ใช้สองมือนวดเฟ้นไปทั่วก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าใช้มือประคองรองแผ่นหลังผ่ายผอมให้นอนราบจับขาทั้งสองแยกจากพาดบนหน้าขากลับสู่ท่ารักมาตราฐาน


การจูบระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นอย่างดูดดื่มอีกครา ทว่าในครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญไม่ปล่อยให้ตนเองตกเป็นเบี้ยล่างจึงสวนสะโพกสอบเข้าใสในช่วงที่ปากหลุดจากกันทำให้คนข้างล่างละล่ำละลักอ้อนวอนแทบไม่เป็นภาษา


“ยะ...แด...อะ...อย่า..เพิ่ง...อื้อ...ขยับ”


“ทำไมล่ะ”


“มัน...มันใหญ่” คำตอบคล้ายชมเชยลอดผ่าน


“ใหญ่เหรอ”


“อื้อ”


“ใหญ่ๆน่ะไม่ชอบเหรอ...นี่ขนาดไม่ชอบยังเสียบซะมิดด้ามเชียว” ถ้อยคำทะลึ่งตึงตังทำให้คนฟังหลับตาเบือนหน้าไปด้านข้างหนีอาย กระนั้นพอถูกของแข็งกระแทกกายด้วยจังหวะจะโคนหนักจนตัวสั่นตัวคลอนอย่างไม่ทันตั้งตัวหน้าก็สะบัดหันกลับมาปรือมองชายผู้ได้สมญาแมวที่ลอกคราบกลายสภาพเป็นเสือร้ายไปเสียแล้ว


“อะ...เบา...เบาหน่อย” เสียงกระเส่านั้นลอดผ่านแนวไรฟันที่ขบแน่นมือนุ่มจิกเนื้อแขนของผู้นำที่ยันพื้นทั้งสองข้างไว้ บั้นท้ายกระเด้งรับการกระทั้นไม่หยุดหย่อนทำให้ชายเสื้อล่นขึ้นเผยให้เห็นส่วนอ่อนไหวที่เมื่อเทียบขนาดกับส่วนเดียวกันที่เต็มแน่นในช่องทางด้านหลังของเขาก็มีแต่แพ้ราบคาบ


“รู้สึกดีมั้ย” ประโยคคำถามมาพร้อมการโถมแรงทั้งมวลให้แก่นกายกระเทือนถึงจุดกระสันมากเท่าที่จะมากได้ นิ้วโป้งจากมือข้างหนึ่งไล้วนกดหนักยังปลายยอดสีแดงซึ่งฉ่ำชุ่มจากการปลดปล่อยมาก่อนหน้า ส่วนอีกข้างก็สะกิดสิ่งที่ชูชันตั้งแข็งอยู่ใต้เสื้อตรงหน้าอกไปมา


“แด...แด...ฮยอน” ชื่อถูกขานเรียกตะกุกตะกัก


“ครับ”


“มัน...มัน...มันจะ...อื้อ...ออก”


“ออกสิ” เขาแนะพลางจูบแก้มอ่อนโยนแล้วกระหนำโถมเข้าหา แม้ส่วนอ่อนไหวจากคนข้างล่างจะซ่านกระเซ็นเข้าใส่ก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวแค่ผ่อนจังหวะให้ช้าลงเท่านั้น


“เสร็จอีกแล้วเหรอ” ถ้อยคำเย้าแหย่ปนเสียงหัวเราะชอบใจถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบ นิ้วแข็งปาดเอาของเหลวสีขาวตรงหน้าท้องตนใส่เข้าปากกลืนทุกหยาดหยดจากปลายนิ้วราวลิ้มรสขนมหวาน


แววตาดุดันเรียบนิ่งอันเป็นเนื้อแท้แผกจากปกติจ้องลึกในดวงตาพราวน้ำ เรือนกายสูงแม้นไม่ใหญ่หนาแต่ทุกสัดส่วนมีมวลกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นลอนสวยสมตัวเร้าอารมณ์สมมาดชายชาตรี


“ชิมมั้ย” เขาถามป้ายน้ำรักจ่อริมฝีปากเฝ้ามองการแลบลิ้นน้อยๆออกมาแตะปลายนิ้วครู่หนึ่งก็โน้มหน้าตวัดลิ้นโรมรันดุดดันเข้าไปหาน้ำหวานในปากอิ่มอีกครา


“อื้อ” การจูบดำเนินไปจนมีเสียงร้องประท้วง ชายหนุ่มผละจากริมฝีปากด้วยนึกอยากจะเปลี่ยนท่วงท่าจึงขยับจะถอนความเป็นชายออก ทว่าขาเรียวขาวของผู้ใต้บังคับบัญชากลับไขว้รัดสะโพกสอบของเขาเอาไว้


“อย่า...”


“ทำไม” คิ้วเรียวหนาเลิกสูงตามความสงสัย “...ไม่อยากให้เอาออกเหรอ”


“อื้อ”


“ถ้ามันหลุดแล้วจะทำไมล่ะ” พอย้อนถามก็ไม่ได้รับคำตอบเลยแกล้งลองขยับถอนเสาให้ปริ่มปากหลุมอ่อนอุ่น


“ก็...อื้อ” อีกฝ่ายเพยิบปากหมายจะตอบต้องหยุดเพราะถูกความแกร่งตอกลึกเข้ามา


“ตอบสิ”


“ก็...มัน...”


“มันอะไร”


“มัน...เสียว”


“เสียวเหรอ...ถ้าอยากเสียวกว่านี้ต้องเปลี่ยนท่า” เขายิ้มกระหยิ่มยังลงหลักปักหนักแล้วถอนออกเสียเกือบหลุดสลับไปมา


“หน้า...”


“หื้อ”


“อยาก...ยะ...มอง...เห็นหน้า...ชัดๆ”


สุดท้ายความประสงค์จากใจก็ทยอยตอบออกมาจากปากผู้รองรับจนหมดสิ้น หน้านวลหันตะแคงข้างหลับตาแน่นซ่อนความเก้อเขิน ฟากคนได้คำตอบชะงักงันด้วยไม่คาดคิดก่อนจะยิ้มกว้างดึงมือเรียวบนบ่ามาจูบย้ำด้วยรักใคร่


“เห็นหน้าฉันแล้วรู้สึกดีกว่าเหรอ”


“อืม”


“ทำไมถึง...น่ารักขนาดนี้” เขาเอ่ยยิ้มๆพลางไล้หลังมือบนผิวแก้มละเอียดแผ่วเบาด้วยรักเป็นล้นพ้น ก่อนจะสูดลมหายใจก้มหน้าลงหาข้างหูเอื้อนออดบอกความต้องการของตนเองให้อีกฝ่ายรับทราบ


“ต่อแล้วนะ”


สิ้นคำจมูกโด่งก็ซุกเข้าดอมดมกลิ่นหอมระคนความชื้นของเหงื่อของขมับแล้วลากริมฝีปากขบเม้มฝากรอยรักให้ปรากฏบนผิวอ่อนไต่ระดับจากลำคอลงต่ำสู่แนวไหล่ปลาร้าได้รูป  สองมือหนาฟอดเฟ้นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงเน้นหนักปล่อยความเป็นชายแทรกเสียดในโพรงคับแคบ


แดฮยอนแนบเนาเคล้าบนเรือนกายขาวเนียนพราวเหงื่อผ่านเสื้อยืดเนื้อผ้าบางเบา ปลายนิ้วคลึงเขี่ยยอดถันชูชันไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ใช้ปากและฟันดูดดึงขบกัดให้อีกฝ่ายเสียวซ่านอย่างรู้งานก่อนบรรจงตอกความเป็นชายของตนเหยียดลึกสู่ความโชกฉ่ำของช่องทางหลังเต็มลำ


มือใหญ่คว้าข้อเท้าดึงทั้งข้างหนึ่งของคนใต้ร่างพาดบนไหล่ ท่วงท่านั้นดันความเป็นชายให้จมลึกถึงหลักชัยแต่การแช่นิ่งไว้ไม่เพียงพอจำต้องขยับเคลื่อนไหวด้วยอัตราความเร็วเต็มขุมกำลัง


“แด...แด...อื้อ...ฮยอน” ชื่อนั้นเอ่ยเรียกผ่านปากแทบไร้เสียง


“ครับ” เขาตอบรับก้มลงจูบหน้าผากพลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจโดยช่วงเอวยังกระหนำความแกร่งกร้านราวเสาเข็มตอกตรึงกับพื้นดินประหนึ่งบ้านเร่งสร้าง


“มัน...เร็ว...ไป...มะ...ไม่...ไหว...ชะชะ...ช้าหน่อย...”


ถ้อยคำเว้าวอนร้องขอน้ำตาคลอจากอารมณ์ซ่านสะท้านรวมถึงการกดเล็บกุดทู่จิกบนลำแขนของคนตรงหน้ากระตุกมุมปากผู้กระทำการให้ยกเหยียดอย่างมีเลศนัย


“เร็วเหรอ” เขากระซิบเสียงแหบพร่าชะลออัตราขับอันเร่งร้อนสู่การสวนแทงเนิบช้าเน้นหนักรุกเร้าทุกซอกหลืบ “ถ้าช้าๆลึกๆ แบบนี้ ชอบกว่าสินะ ทูนหัว”


“อื้อ” ผู้ตกเป็นเบี้ยล่างผวาใบหน้าแหงนหงาย สองแขนผอมกอดกดศีรษะของชายผู้สนุกอยู่กับการใช้ฟันสลับลิ้นขบเม้มยอดอกสีอ่อนสวยทั้งสองไว้ให้ตั้งชันพร้อมกันนั้นฝ่ามือใหญ่ก็คอยเกาะกุมรูดรั้งปรนเปรอเจ้าเนื้ออุ่นที่อ่อนคล้อยจากการปลดปล่อยแทบจะติดกันจนมันฟื้นคืนอีกครา


ชายหนุ่มหยุดปฏิบัติการด้วยปากในนาทีที่ความเป็นชายของเขาถูกผนังเนื้ออุ่นนุ่มตอดไม่หยุดจนมันปวดหนึบคงมีเพียงแก่นกายที่ยังกะทอกสวนใส่และมือซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งไปขย้ำบั้นท้ายหนั่นอุ่นแทน


สัญญาณแห่งความสุขสมของฝ่ายรองรับใกล้เข้ามาทุกขณะทว่าครั้งนี้ผู้ดำเนินการเริ่มรู้สึกมวนท้องพร้อมจะปล่อยสิ่งที่อั้นอยู่ภายในระบายออกมาเช่นกัน


สำนึกของเขาตระหนักรู้ว่าวาระสิ้นสุด ณ เวลาสุดท้ายในความฝันเขาปลดเปลื้องพันธนาการทางความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น ดวงตาคมวาววับจดนิ่งยังนางฟ้าของตนพลางยันกายขึ้นเพียงเพื่อจะมองการกระเพื่อมไหวของผิวเนื้อใต้อาภรณ์บางเบาอันเกิดจากการหอบหายใจ


กระแสลมแรงแห่งพิศวาสกรรโชกแรงก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่ มือใหญ่กร้านจากการกรำงานทั้งสองรวบจับเอวคอดไว้ก่อนสาวสะโพกสอบเข้าออกตรงทางเดินน้ำคับแคบที่ถูกสำรวจตรวจตราทุกซอกมุมโดยทุ่นใหญ่ให้ลึกและถี่มากเท่าความปรารถนาที่มี


รสชาติแห่งกามารมณ์ชักนำความมุ่งมาดปรารถนาทะยานสู่จุดสูงสุดพาเอาหยาดน้ำสีขาวขุ่นคาวปริมาณมากฉีดอัดผสมกับน้ำใสชื้นแฉะสู่ช่องทางด้านหลังของอีกฝ่ายจนฉ่ำเยิ้มทั้งที่มีอาการกระตุกไม่หยุดแม้จะเสร็จสมพร้อมกัน


ฝ่ายผู้จัดการเรื่องรักวางจมูกขยี้เบาบนปลายจมูกของผู้เป็นนางฟ้าในหัวใจแล้วขยับริมฝีปากขึ้นจูบหนักบนขมับชุ่มเหงื่อก่อนกอดรัดอุ้มตัวพลิกให้คนข้างล่างกลับขึ้นมานอนหอบอยู่บนร่างของตนแทนเบาะนอน ปล่อยความเงียบที่มีเพียงเสียงหายใจของทั้งคู่ให้ดำเนินไป


“จูบหน่อย...สิ” ถ้อยความอ้อนถามเสียงแหบอันเป็นผลจากการใช้เสียงที่มีหมดไปกับการครางรับความสุข



คนได้ยินคำขออมยิ้มประคองหน้าที่ซุกซบบนอกขึ้นมาจูบเบาเพียงริมฝีปากนอกแตะกันเป็นเชิงรับขวัญ แววตาทอดหายามถอยจูบจากกันนั้นอ่อนหวานด้วยคนตรงหน้าคือสุดที่รัก


“เป็นของฉันแค่คนเดียวได้มั้ย”


คำถามในใจของเขาตลอดมาเปล่งเสียงถาม ความวิตกกังวลต่อคำตอบเริ่มฉายในแววตาหากฝ่ายตรงข้ามกลับแย้มริมฝีปากอวบอิ่มกว้างเป็นรอยยิ้มแสนหวานและยิ้มเดียวกันนี้เองที่พรากภาพฝันทั้งหลายมลายหาย


แดฮยอนสะดุ้งตาเบิกกว้างมองเห็นเพดานห้องอันคุ้นตาจนหายมึนงงก็ใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่งพลางหันรีหันขวางอยู่ท่ามกลางแสงสลัวจากเสาไฟด้านนอกจนเห็นว่ารอบข้างไม่มีการเปลี่ยนแปลงจึงยกมือลูบหน้าลูบตา


เมื่อสติกลับคืนมาก็รู้ตัวว่าเป้ากางเกงในรวมถึงกางเกงวอร์มที่สวมอยู่เหนอะหนะจากการกระทำในฝันเสมือนจริง...ความรู้สึกผิดบาปตีรวนวนในใจแต่อีกส่วนก็ค้างคาใจด้วยไออุ่นนั้นเหมือนยังคงอยู่


ความฉงนสงสัยเป็นเหตุให้ตอนเงยหน้าจากอ่างล้างหลังเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่เห็นกระจกสะท้อนเงาของตนเองอยู่เลยถอดเสื้อพลางเอี้ยวตัวมองหารอยเล็บบนหลังทั้งสองด้าน 


...นอกจากรอยสักพาดยาวกินผิวเนื้อแผ่นหลังซีกซ้ายทั้งหมดรวมทั้งตรงบั้นเอวแล้วก็ไม่มีรอยอะไรอื่น...


“ไอ้เหี้ยเอ๊ย...ฝันระยำแบบนั้นยังกล้าคิดว่าเรื่องจริงอีกเหรอวะ” เขาสบถก่นด่าตัวเองอย่างสำนึกขัดแย้งกับความรู้สึกเบื้องลึกในใจได้แต่พาดเสื้อตนทิ้งไว้บนขอบอ่างแล้วก้าวเท้าลงไปยืนบนพื้นต่ำต่างระดับอันเป็นบริเวณใช้ชำระล้างร่างกายน้ำจะได้ไหลลงท่อไม่ไปเปียกส่วนอื่น จากนั้นเขาก็คว้าฝักบัวจากราวแขวนฉีดใส่กางเกงเตรียมจะซักผ้าแต่เพราะเสียงเปิดประตูจากด้านหลังทำให้ชะงักหันกลับไปดูก็เห็นเจ้าของบ้านยืนอยู่ตรงนั้น


“มาเข้าห้องน้ำเหรอ” ฝ่ายถือกางเกงในเปียกอยู่ในมือถามมองเสื้อผ้ายืดตัวโคร่งที่ชายยาวคลุมกางเกงขาสั้นไว้จนหมดของอีกฝ่ายก็ตาเหลือกด้วยตัวเสื้อเนื้อบางจ๋อยขนาดมองไกลๆยังเห็นไปถึงไหนต่อไหน


...อากาศหนาวขนาดนี้นอนใส่เสื้อผ้าแค่นี้ไม่ป่วยก็แปลก...


แปลกที่เจ้าของบ้านไม่เอื้อนเอ่ยคำใดตอบกลับหนำซ้ำยังเดินโซเซไปหยุดแถวอ่างล้างหน้าตั้งท่าจะถอดกางเกงออกทำให้อีกคนทิ้งของในมือก้าวพรวดไปยืนซ้อนหลังคว้าข้อมือผอมให้หยุดทุกการกระทำ


“ยองแจ...ทำอะไร” คำถามตามมาอีกระลอกแต่คำตอบกลับเป็นเจ้าของชื่อเรียกเอนหลังมาพิงเขาไว้ เมื่อชะโงกมองก็เห็นอาการสะลืมสะลือค่อนไปทางไร้สติก็ว่า “ปวดฉี่เหรอ”


“อืม” ครั้งนี้มีเสียงในลำคอลอยมาให้ได้ยิน


“แต่ตรงนี้มันอ่างล้างหน้าไม่ใช่ชักโครกสักหน่อย โหแล้วทำไมถึงใส่เสื้อผ้าแค่นี้อะไม่หนาวแย่เหรอ...มานี่มา ตรงนี้สิชักโครก” พอแจ้งให้ทราบจบมือก็จับต้นแขนขาวของคนข้างหน้าให้หันกลับมายืนหน้าชักโครกถึงค่อยปล่อยมือเพื่อกลับไปซักผ้า แต่พอเห็นรูมเมทยืนโงนเงนเอนไปมาจวนเจียนจะล้มเลยถลากลับไปรับตัวไว้


“ยืนดีๆสิเดี๋ยวก็ล้มหรอก...นี่...ยองแจ...ได้ยินฉันมั้ย” สารพัดถ้อยคำพรั่งพรูหากดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบเพราะเจ้าของบ้านเอนหลังกลับมาพิงเขาไว้คงมีเพียงมือที่รวบทั้งชายเสื้อรวมทั้งขอบกางเกงเกือบจะดึงลงไปด้วยกันยังดีที่จับได้ทัน


“ดึงแบบนี้เสื้อขาดพอดี...ตกลงจะฉี่ใช่ไหม จัดการเองได้หรือเปล่า สภาพนี้คงไม่ได้ งั้นฉันช่วยล่ะกัน”


ชายหนุ่มผู้มีสติครบถ้วนถอนหายใจดันแผ่นหลังของคนเบื้องหน้าที่ชุ่มโชกเหงื่อกาฬด้วยร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนของตนเอง จากนั้นก็ค่อยๆเลิกชายเสื้อขึ้นและดึงส่วนหน้าของกางเกงขาสั้นลงกระทั่งสัมผัสได้ถึงเจ้าเนื้ออุ่นอ่อนยวบของเพื่อนร่วมบ้านก็ชักมือกลับพยายามไม่แตะอวัยวะสำคัญ ถึงอย่างนั้นคนไม่ค่อยรู้สติกลับไม่จัดการอะไรเสียที


เวลาผ่านเลยไปแต่ละวินาทีทำให้ฝ่ายยืนซ้อนรองร่างขาวมีกลิ่นหอมจากดอกมะลิอ่อนจางพรมทั่วผิวถึงกับเม้มริมฝีปากจึงตัดสินใจจะประคองความอ่อนไหวไว้เผื่อมันจะยอมปฏิบัติภารกิจ กระนั้นมันกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือยังทำนิ่งราวกับมันกำลังทดสอบศีลธรรมอันดีในจิตใจ


...ความอดทนอดกลั้นทางความรู้สึกนึกคิดจิตใจนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่

...ไอ้ความเป็นชายที่เติบใหญ่ทีละเล็กละน้อยอย่างไม่มีทีท่าจะควบคุมได้นี้สิปัญหา


“แดฮยอน” เสียงนั้นเรียกหาเขาแผ่วเบา ยามก้มหน้ามองเจ้าของต้นเสียงที่เอนตัวแอบอิงพร้อมพิงศีรษะลงบนบ่าแหงนหน้าเนียนละเอียดเห็นดวงตาคู่สวยปรือเปรยมาหาฉายแววเย้ายวนชวนเชิญ


...เรียกหาเพราะต้องการเช่นเดียวกันใช่หรือเปล่า...


ผู้ซ่อนฉากชีวิตในอดีตราวต้องคำสาปราวถูกมนต์สะกดพาให้เกลียวเชือกแห่งสำนึกชั่วดีขาดสะบั้น ริมฝีปากหยักหนาประทับลงบนความอิ่มเอมของผิวปากสีเหลือบแดงตามธรรมชาติก่อนเรียวลิ้นจะซุกไซไปสู่การจูบอย่างดูดดื่ม มือใหญ่กอบกุมส่วนอ่อนไหวคอยรูดรั้งมันไปมาอย่างเนิบช้าแล้วค่อยเพิ่มความเร็วอย่างชำนาญจนคนละเมออารมณ์แตกซ่านแอ่นสะโพกแนบชิดกับปราการกั้นความเป็นชายที่กำลังแผ่ขยาย


...ผู้เปิดฉากใช้มือปรนเปรอตามความประสงค์ในหัวที่อยากจะเห็นอีกคนเสร็จในโลกความเป็นจริง...


“อืม...อืม” การแลกลิ้นปิดกั้นเสียงร้องให้คงค้างในลำคอ ฝ่ามือร้อนยังคงเร่งความเร็วอย่างไม่ปราณีปราศรัยจนถึงเส้นชัยส่วนอ่อนไหวก็ทะลักทลายร่างกายกระตุกเป็นห้วง


“ไหนว่าจะฉี่ ที่ออกมานี่มีแต่น้ำอื่น” เสียงเข้มบอกข้างหูหลังเคลื่อนริมฝีปากลงมาดูดเม้มเนียนไหล่ขาวเสียแรงจนเป็นรอยแดง พลางหยิบสายชำระด้านข้างล้างคราบออกจากแก่นกายให้และด้วยเหตุนั้นทำให้ขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายสั่นหมดเรี่ยวแรงจะยืนต่อ โชคดีที่รูมเมทช้อนตัวขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าสาวเข้าหอ


คนตัวสูงวางร่างผอมในอ้อมแขนลงบนเตียงซึ่งตนเองไม่ได้ถือครองเป็นเจ้าของในการหลับนอน เมื่อไฟในห้องเปิดสว่างทุกอย่างก็กระจ่างชัด ตาคมมองดวงหน้านวลขมวดคิ้วหลับ เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มจากเหงื่อที่ไหลอาบทั่วจากความร้อนดูเหมือนจะทำให้นอนไม่สบายตัวเลยเดินไปเปิดตู้หยิบชุดที่พอจะคล้ายตัวเดิมออกมาหมายจะช่วยผลัดเสื้อผ้าแห้งลงมาให้ใส่ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการข่มใจไม่ให้จิตคิดอกุศล


...ไม่อยากต้องรู้สึกผิดไปมากกว่านี้จึงต้องหยุดตัวเองไว้ให้ได้...


ตาคมหลับสนิทขณะดึงกางเกงตัวเก่าลงใส่ตัวใหม่กลับเข้าไปให้เพื่อกันไม่ให้เผลอเกินเลย จนมาถึงการเปลี่ยนเสื้อก็ออกอาการระส่ำระส่ายจะปิดตาก็ไม่ได้เลยต้องถอดและใส่ให้โดยไว หากความรีบร้อนนั้นทำให้ชายเสื้อข้างหนึ่งค้างเติ่งเผยให้เห็นส่วนยอดบนเนินอกอันโหนกนูนตั้งเต้าที่มีขนาดเหมือนเด็กหญิงเข้าสู่วัยแรกแย้ม


...ผู้ชายบางคนก็มีหน้าอกเช่นนี้แต่ของคนตรงหน้ากลับยวนใจกว่าผู้หญิงเสียอีก...


ทุกสิ่งคงยุติลงแค่เพียงเขาดึงเสื้อปิดเรือนกายขาวนั้นเสียแต่มารร้ายในตัวหาได้ยอมให้ทำเช่นนั้นไม่...มันส่งเสียงตะโกนก้องให้โลมเลียให้สมใจโดยเขาเองก็พร้อมใจตกเป็นทาสของราคะใช้มือเลิกเสื้อให้อกขาวกระจ่างชัดในสายตาพลางตวัดลิ้นชโลมยอดสีสวยราวกลีบดอกไม้แล้วกัดเบาด้วยฟันเป็นจังหวะสลับกับเขี่ยคลึงด้วยมือตรงหน้าอกอย่างรู้งาน


“อะ...อา...อื้อ”


ยองแจครางออกมาอย่างไม่รู้ตัวด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดชวนง่วง สุ้มเสียงพึงใจเช่นนั้นยิ่งทำให้คนสูงกว่าได้ใจจูบซับเป็นรอยแผลเป็นตรงหน้าลำคอคล้ายแผลผ่าตัดแผ่วผิว...มือละจากการเคล้นหน้าอกล้วงลงไปบีบนวดตามจุดอ่อนไหวจนปลายนิ้วป่ายไปป้วนเปี้ยนแถวช่องทางด้านหลัง...หมายใจจะชำแรกแทรกมันเข้าไปปลุกไฟพิศวาสแต่ทุกอย่างยุติลงในทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปเห็นดวงตากลมสุกใสกระพริบมองมา


“ทำ...อะไร” เสียงถามปนหอบอย่างเหนื่อยอ่อนเหมือนพ้นจากภาวะละเมอทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลิ่กลั่กกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอรีบชักมือออกจากกางเกงขาสั้นและดึงชายเสื้อยืดตัวใหม่คลุมลงมา


“แค่เปลี่ยนเสื้อให้น่ะ...ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษนะ ขอโทษ นอนเถอะ” คนมีสติดีตอบกลับลูบผมชื้นเหงื่อแล้วหอมหน้าผากแผ่วเบาอย่างหวงแหนแม้ละอายแก่ใจ คว้านหาผ้าห่มหนาจนเจอก็สะบัดห่มปิดทั้งตัวจนถึงคอ


“อื้อ”


สิ้นเสียงจากในลำคอเจ้าตัวก็ผล็อยหลับไม่รับรู้อะไรอย่างรวดเร็ว ผิดกับเพื่อนร่วมบ้านที่ผุดลุกจากเตียงกลับเข้าห้องตัวเองอย่างงุ่นง่านด้วยน้ำรักยังไม่ได้รับการระบายจากแก่นกายใหญ่แข็งขัน


อาการเหล่านี้สำหรับผู้ช่ำชองรู้ดีว่าถ้าไม่ทำให้มันสงบจะปวดหน่วงยาวไปถึงเช้าเลยจำเป็นต้องจัดการใช้มือช่วยตัวเองขณะจินตนาการถึงใครสักคนที่ทำให้อยากปลดปล่อยเข้าใส่ซึ่งมันไม่มีคนอื่นเลยนอกจากสีหน้าของยองแจยามร่วมรักกันในฝัน


“อา...ยองแจ” เขาครางชื่อนั้นออกมาในเสี้ยวนาทีที่ร่างกายเกร็งเกินจะกลั้น...โชคร้ายที่น้ำขาวขุ่นกระฉอกออกจากความเป็นชายน้อยนิดเลยไม่อาจช่วยทุเลาความแกร่งให้อ่อนตัวลง


ถึงจะเคยมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันในลักษณะที่เขาเป็นฝ่ายรุกไล่...ความรู้สึกในการกระทำแต่ละครั้งมันเป็นคำสั่งถึงขยะแขยงก็ต้องทำ แตกต่างจากเวลาเขาล่วงเกินรูมเมทตัวเองโดยสิ้นเชิง


...เขาอยากให้ยองแจเป็นคนของเขา...

...ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียงแต่อยากให้เขาได้เป็นที่หนึ่งในหัวใจ...


แดฮยอนนอนหงายกางแขนขาในความมืดอยู่บนเตียงอย่างเดี่ยวดาย...ความเจ็บปวดผิดหวังน่าละอายแล่นเข้ามาทดแทนความสุขสันต์สมปรารถนา...การกระทำหยาบช้าล่วงเกินคนไม่ได้สติโดยฝ่ายนั้นยังเป็นคนสำคัญอย่างยิ่งทำให้หัวเสียโกรธตัวเอง


...มันไม่ควรเกิดขึ้น...


ตลอดมาเขาปฏิเสธแสร้งทำไม่รับรู้แทบตาย ไม่วายความรู้สึกนึกคิดจากก้นบึ้งของหัวใจและจิตใต้สำนึกยังทะลุกำแพงความอดกลั้นหมดสิ้น


ไยคนอย่างเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกด้วยคำสั้นๆว่าอะไรเพียงแต่ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียผู้เป็นที่รักใคร่เทิดทูนสุดหัวใจไม่ว่าจะแม่ ยายหรือพี่ชายต่างลงเอยด้วยความสูญเสียและพรากจาก...ไหนจะอดีตอันสกปรกโสมมจนบางครั้งเมื่อย้อนคิดเขายังพะอืดพะอมอยู่ร่ำไปแล้วใครมันจะรับได้


หากวันหนึ่งอดีตของเขาถูกเปิดโปงหรือความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลรวมถึงเรื่องคืนนี้ที่เขาล่วงเกินยามหลับเจียนยามตื่นจะก่อชนวนแห่งความเกลียดชัง หนทางเดียวที่จะเก็บยองแจเอาไว้ใกล้ตัวได้มีเพียงการเก็บงำความรู้สึกจริงแท้ ถึงแม้การกล้ำกลืนนั้นจะเจ็บปวดมากเสียจนสร้างรอยแผลกินลึกอยู่ในใจแต่เขายอมน้อมรับ


...ชีวิตนี้ถ้าไม่มียองแจก็แน่แก่ใจเลยว่า ชีวิตที่เหลือต้องทุรนทุรายเหมือนตายทั้งเป็น...


---------------------------แวะคุยกันก่อน----------------------

บทนี้เป็นบทที่เขียนยากที่สุด ยากตรงไหน ตรง NC นี่แหละ 
อยากให้รู้ว่ากากมันพิศวาสและผัวจ๋าขนาดไหน 555555 
แต่นางไม่ได้เปลี่ยนท่าเลยอะ อยากเปลี่ยนแต่เขาไม่เอาด้วย
ภาพฝันของนางคือสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในและนางรู้มาตลอดว่า
ความรู้สึกตัวเองคืออะไรแต่มันไม่ได้ง่ายขนาดจะออกปากไป 
เพราะอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทีเหมือนกันนี่จะให้พูดได้ไง

รบกวนฝากคอมเม้นในบล็อกหรือติดแท็ก #ficlovetoxical ในทวิตเตอร์
อยากได้คอมเม้นดีๆเป็นกำลังใจในการกว่าจะกลั่นฉาก NC สองอาทิตย์
รวมเขียนอีกสามวันเหลือเกิน 


You Might Also Like

2 Comments

  1. โถ่ถังพ่อคนกาก แค่จินตนาการณ์ยังเคลิ้มขนาดนี้ หยุดได้แต่ไม่ยอมหยุด จะไปต่อลูกเดียวเลย ตื่นๆ มันคือภาพฝันที่วาดขึ้นมาเองนะลูกนะ แดฮยอนคนทะลึ่ง! จิตสำนึกอยากได้น้องมาก ถึงกับเรียกว่าสุดที่รัก คิดกับน้องไปถึงไหนแล้ววว

    ตื่นมาก็ยังไม่วาย หักห้ามใจไม่ได้จนต้องยอมรับตัวเอง เลิกหนีได้แล้วคนกาก จะเอาแต่แอบลักหลับตอนเค้าไม่มีสติหรือไง!!! (จับเขย่าตัว) สู้ๆ คนอ่านเค้าเอาใจช่วยกันใหญ่โต อยากเห็นแดแจหวานๆจะแย่แล้ว

    ปล.ตัดภาพมาที่ตอนสติครบถ้วน นางฟ้าในหัวใจยังแอบน้อยใจไม่หายเลย

    -รู้สึกขอบคุณเสมอสำหรับความตั้งใจในการเขียนนิยายน้ำดีเรื่องนี้ รับรู้ได้ถึงความใส่ใจในทุกตอนทุกเรื่องราวตลอดมา ขอเป็นอีกคนที่คอยติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ- 💚

    ตอบลบ
  2. การต่อปากต่อคำของแต่ละคนไม่มีใครยอมใคร รักฮิมชานดูแลยองแจดีมากรักยองแจห่วงยองแจจริงๆ สงสารอิกากเลย จะต้องฝ่าด่านเหล่าพี่ๆปีศาจไปให้ได้นะ แต่ละคนหินๆทั้งนั้นโดยเฉพาะฮิมชานกับยงกุก นี่ถ้าพี่เค้ารู้ว่าจะลักหลับน้องเค้าละก็ได้ไปเข้าเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้แน่ๆ ขนาดคุณเค้าละเมอยังไม่เว้นแอบเกลียด"ไหนว่าจะมาฉี่่ปล่อยออกมานี่น้ำอื่น"เอ้าอิกากถ้าปล่อยให้ฉี่ก็แค่ฉี่มั้ยนี่ไปทำให้คุณขนาดนั้นก็ต้องปล่อยน้ำอื่นดิ งุ้ยยยยย ละตอนฝันนี่ฝันเฉยๆยังขนาดนี้ ละมุนสุด ถ้าได้กันจริงๆทางนี้ตายก่อนแน่ หมอนคงขาดกระจุย คุณเค้าน่ารักขนาดนี้อดใจยังไงไหวเนอะกากเนอะ แอบเชียร์กากก็เฉพาะเรื่องแบบนี้แหละ555555 ขอบคุณไรท์ที่หลังขดหลังแข็งได้ข่าวว่าตอนหน้าจะมาในอีกไม่กี่วันนี้ อิอิ ไรท์บอกให้กุพักบ้าง สู้ๆค่ะ

    ตอบลบ