LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 19
07:34
บานหน้าต่างสั่นไหวตามแรงลมหนาวที่แล่นปะทะพาเสียงให้ลอดเข้ามาปลุกคนบนเตียงให้รู้สึกตัว ตากลมลืมมองภาพรอบข้างด้วยอาการปวดหัวครั่นเนื้อครั่นตัวกว่าจะดันตัวลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายนาที
ยองแจสูดลมหายใจสักครู่ถึงลากสังขารออกจากห้องเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันผลัดเสื้อผ้าใหม่หวังเพิ่มความสดชื่นแต่มันไม่ช่วยอะไรหนำซ้ำยังทำให้หลุดจามออกมาเพราะความเย็นจากอากาศภายนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างระบายอากาศเข้ามา
เจ้าตัวล้างมือมองเงาสะท้อนใบหน้าทรุดโทรมของตนเองในกระจกพลางนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เพื่อนร่วมบ้านทำให้น้ำตาร่วงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
ความเศร้าราวกับจะหวนคืนมาทำให้ต้องรีบถอยจากกระจกไปหาอะไรทำให้ยุ่งเข้าไว้ในครัวจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
หากน่าแปลกที่เรี่ยวแรงหดหายขนาดถือแก้วกาแฟยังมือสั่นเลยต้องรีบนั่ง
...พี่ฮิมชานอยู่ไหนกันนะ...
ยามเจ็บป่วยอ่อนแอในใจจะคิดถึงเพียงพี่ชายต่างสายเลือดซึ่งคอยดูแลปกป้องตัวเองมาตลอด
แม้ว่าในเสี้ยวหนึ่งของความคิดนึกอยากจะให้ใครอีกคนทำแทนกระนั้นก็รู้ดีแก่ใจว่า
มันเป็นหวังลมๆแล้งๆที่รั้งแต่ทำให้ตัวเองทุกข์ทรมาน
...ดวงตะวันย่อมชมชอบดอกไม้งาม
พวกก้อนกรวดในซอกกำแพงจะไปหมายใจอะไรได้...
เสียงสัญญาการปลดล็อกดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก
ฮิมชานหอบถุงกระดาษใส่ขนมปังอบร้อนไว้ในอ้อมแขนผ่านเข้ามาภายในเพียงมองผ่านกรอบประตูที่เปิดโล่งเข้าไปเห็นน้องนอกสายเลือดนั่งมองกาแฟในถ้วยอย่างเงียบงันผิดปกติจึงถามไถ่
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
คำถามเอ่ยผ่านปากเรียกให้อีกฝ่ายเงยหน้ามาหา
“ผมมึนหัวนิดหน่อย” อีกฝ่ายตอบเสียงอ่อยด้วยหน้าซีดเซียว
ดวงตาปรือลอยเหมือนจับไข้
“มึนหัว”
คนเป็นพี่เลิกคิ้ววางข้าวของลงบนโต๊ะเอื้อมหลังมือไปอังหน้าผากก็สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวของผิวเนื้อแต่ยังไม่แน่ใจจึงเดินไปหยิบเครื่องวัดไข้แบบยิงมาวัดกับหูของน้องดูแค่เห็นตัวเลขปรากฏขึ้นมาก็ร้องลั่น
“เวร...ไข้ตั้งสามสิบแปดองศา”
“ผมมีไข้เหรอ...มิน่าทำไมตื่นมาแล้วปวดหัวปวดตัวไปหมด”
“เมื่อคืนตอนพี่ส่งเราเข้านอนเรายังดีๆอยู่เลย
ไหงเช้ามาถึงป่วยได้
หรือว่า...นี่เราคงไม่ได้ออกจากห้องมานั่งดูซีรี่ย์บ้าบอคอแตกอะไรในห้องนั่งเล่นจนเผลอหลับตรงโซฟาใช่ไหม”
“แค่กินยาก็จะสลบอยู่แล้ว จะให้ผมเอาแรงที่ไหนออกมานั่งดูหนัง”
“ถ้าเรานอนพักอย่างเดียวมันไม่น่าจะมีไข้ได้นะ
สงสัยพี่ต้องพาเราไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ”
“วันก่อนผมก็ไปมาแล้ว จะให้ไปวันนี้อีกทำไม”
“ไปตรวจให้รู้เรื่องไง
เผื่อมีเชื้ออะไรมันกลับมาทำลายภูมิเราอีกจะได้รักษาทัน”
“พี่ก็เว่อร์เกิน ผมแค่เป็นหวัด จะตีโพยตีพายทำไม”
“สำหรับคนไม่แข็งแรงแบบเราน่ะนะ
แค่เป็นไข้ก็มีโอกาสจะเกิดโรคอื่นแทรกแล้ว”
“โธ่
พี่ก็ชอบเอาช่วงผมป่วยมาเทียบกับตอนนี้จัง...ผมก็บอกหลายรอบแล้วนะว่าผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
อีกอย่างอากาศช่วงนี้มันก็หนาวมากจนหิมะตกเลยไม่ใช่เหรอ
ตอนผมตื่นมายังรู้สึกเย็นๆเลย”
“ไอ้ที่เย็นเพราะเราไม่สบายน่ะสิ”
“แต่ตอนผมลงจากเตียงมาพื้นมันเย็นๆด้วยนะ”
“พื้นเย็น” คนเป็นพี่ทวนคำ
“ฮีตเตอร์ตรงพื้นบ้านมันมีปัญหาเหรอ
แต่เมื่อวานตอนเราหลับพี่ไปเช็กระบบไฟให้ก็ไม่เห็นมีอะไรขัดข้องเลยนิ”
“ระบบไฟไม่เสียแต่เครื่องอาจจะเสียนะ”
“แต่ถ้ามันเสียจริงไอ้พื้นส่วนอื่นมันต้องเย็นด้วย
ไม่ใช่มีแค่ห้องเราที่เย็น”
“บ้านนี้มันเก่าแล้ว
บางทีเครื่องมันอาจจะรวนเป็นจุดๆก็ได้”
“โอเค ไว้พี่จะไปดูให้ ถ้ามันเสียจะเรียกช่างมาซ่อม
แต่ตอนนี้เรากินข้าวกินยาก่อนแล้วกัน เรามีแรงกินเองอยู่ใช่ไหม”
“อืม”
คนเป็นน้องส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงตอบรับพร้อมกับศีรษะด้านข้างโน้มเอนลงมาวางแก้มนอนแนบกับโต๊ะไม้พาให้เรือนผมสีดำสลวยเคลื่อนตกลงปรกหน้าปรกตา
ยินเสียงพี่ให้เลือกระหว่างซุปกิมจิกับโจ๊กก็ตอบไปส่งๆว่ายังไงก็ได้
ชายหนุ่มมากวัยกว่าง่วนอยู่หน้าเตาปล่อยให้เจ้าของบ้านนอนพักสายตาอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ก็ยกโจ๊กปลาแซลมอนเดินมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ
จังหวะที่วางช้อนใส่ลงในชามกำลังจะลูบผมปลุกน้องให้ตื่นขึ้นมากินข้าวนั้น
พลันสายตากลับเหลือบเห็นรอยแดงบนผิวเนื้อขาวตรงลำคอเข้า
“ที่คอไปโดนอะไรมา”
เสียงเข้มจริงจังถามขึ้นเรียกให้ฝ่ายได้ยินผงกหัวเอนตัวกลับมานั่งพิงพนักเก้าอี้ออกอาการสะลืมสะลือทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“คอ...ทำไมเหรอ”
“มันมีรอยแดงๆ”
“รอยแดง” ฝ่ายมีรอยแปลกใจยกมือลูบคลำไปตามลำคอแล้วว่า
“ตรงไหนงะ”
“ใต้คางกับข้างคอด้านซ้าย”
“พอพี่พูดก็รู้สึกคันขึ้นมาเลย สงสัยยุงกัด”
เจ้าตัวยกมือเกาตามรอยนั้น
“ยุงเนี่ยนะ ยุงบ้าอะไรกัดอย่างนี้...ไหนเงยหน้าสิ
พี่ขอดูชัดๆหน่อย”
สิ้นคำมือใหญ่เชยคางน้องให้แหงนขึ้นก่อนเพ่งพินิจรอยแดงเป็นจ้ำเลือดตรงข้างลำคอซ้ายและบนรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดไทรอยด์ที่ดูราวกับกระแทกถูกของแข็งรุนแรง
ทว่าความกว้างของร่องรอยนั้นเล็กประมาณการดูดดุ้นผ่านริมฝีปากของใครสักคนได้
...รอยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์...
...ถ้าจะมีใครอื่นที่เข้าใกล้น้องได้มากกว่าเขาแล้วล่ะก็คงไม่พ้น...
เมื่อใช้สมองตริตรองอยู่ไม่กี่วินาทีในใจก็สะดุดฉุกคิดถึงเพื่อนร่วมห้องของน้องขึ้นมาทำให้มือใหญ่ทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่นแต่ไม่อาจแสดงอาการใดให้น้องเห็นจึงต้องกดทุกแรงโทสะที่แล่นเข้าใส่ไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนโยน
“เรากินข้าวไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”
“ไปไหนเหรอ...ไปไกลมั้ย” แค่ได้ยินว่าพี่จะห่างไปในใจ
มือขาวก็ดึงชายแขนเสื้อสเวตเตอร์สีดำของผู้มากวัยกว่าอัตโนมัติ
ภายในใจเบาโหวงส่งสายตาเว้าวอนเหมือนเด็กเล็กกลัวพี่ชายทิ้งขว้าง
“พี่ไม่ได้ไปไหน...แค่ไปโทรศัพท์เอง”
“คุยงานเหรอ”
“อืม”
“ถ้า...ถ้าพี่ยุ่ง...ก็ไปทำงานเหอะ ผมอยู่คนเดียวได้”
แม้จะบอกด้วยรอยยิ้มเช่นนั้นแต่แววตายังคงเหงาเศร้า
“ไม่ไปหรอก ลางานมาแล้วต้องใช้วันลาให้คุ้ม
อีกอย่างยงกุกมันเอาเด็กกุหลาบมาออฟฟิศด้วย...ขี้เกียจเห็นหน้า
เห็นทีไรปวดท้องทุกที”
“อ้อ จริงๆที่พี่มาหาผมไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่แค่ไม่อยากเจอจุนฮงงั้นสิ”
“เฮ้ย พี่ไม่ใช่เด็กนะเว้ย ถึงได้ไม่อยากเจอใครก็หลบหน้า”
“จริงเหรอ”
“เออสิ...ถ้าไม่ห่วงใครจะบ้าถ่อมาหา ไม่เอาแล้ว
พี่ไปโทรศัพท์ก่อน รีบกินข้าวจะได้กินยานอน”
“โอเค”
ฮิมชานบอกพลางขยี้หัวน้องเสียยุ่งเหยิงราวกับไม่มีเรื่องใดในใจ
หากพอเท้าก้าวพ้นจากห้องครัวสู่ห้องนั่งเล่นได้
สีหน้าเขากลับเครียดเคร่งเช่นเดียวกับดวงตาคมที่วาวโรจน์โกรธขึ้งถึงขีดสุดก่อนที่มือใหญ่จะหยิบโทรศัพท์ต่อสายไปหารุ่นน้องเพื่อนร่วมห้องของน้องอันดับแรกแต่เครื่องถูกปิดไว้จึงเบนเป้าหมายไปหาเพื่อนสนิทแทน
“ซองวอน...มึงอยู่ออฟฟิศหรือเปล่า”
แค่ได้ยินเสียงรอสายเงียบลงก็ถามออกไปทันที
“เออ มีไร”
ฟากซองวอนที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับหูด้วยง่วนอยู่กับการพยายามใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติของบริษัทชงคาปูชิโน่ถามกลับ
“เมื่อวานแดฮยอนมันกลับบ้านหรือเปล่าวะ”
“เมื่อวานนี้เหรอ...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“ทำไมมึงไม่รู้วะ มึงทำงานที่เดียวกับมันไม่ใช่ไง”
“เอ้า ไอ้ห่า กูทำงานที่เดียวกับมัน
เป็นพี่มันแต่ไม่ใช่เมียนะโว้ย จะให้กูรู้เรื่องแม่งหมดได้ไง”
“แล้ววันนี้มันอยู่ออฟฟิศหรือเปล่า”
“ไม่รู้...กูไม่ได้ออกจากสตูดิโอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ละนี่มึงจะถามหามันทำไม มีธุระอะไรกับมันก็โทรเข้าเครื่องมันสิ
จะโทรหากูทำสากกะเบืออะไร”
“โทรแล้วมันเสือกปิดเครื่อง”
“ถ้าปิดเครื่องคงทำงานอยู่”
“แล้วมันจะเปิดเครื่องตอนไหน”
“ใครจะไปรู้”
“สรุปคือมึงไม่รู้เหี้ยอะไรสักอย่างเลยว่างั้น”
“อะไรของมึงวะ แค่นี้ก็ต้องด่า เออ
เดี๋ยวกูลองไปถามคนอื่นดูให้” ปลายสายสบถพลันก็เปลี่ยนไปคุยกับคนอื่น “เฮ้ย
ดงฮยอนมึงเห็นแดฮยอนมั้ยวะ...มันแก้งานให้ลูกค้าตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ออกมาเลยงั้นเหรอ
เออ ขอบใจ”
“ตกลงว่าไง”
“เห็นดงฮยอนมันบอกแดฮยอนอยู่แก้งานในสตูยังไม่ออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“มันไม่ได้แวะออกมาข้างนอก ซื้อข้าวซื้อน้ำ
สูบบุหรงสูบบุหรี่ อะไรเลยไง”
“ไม่ออกมาหรอก แดฮยอนมันเป็นพวกบ้างาน
เวลาแดฮยอนมันทำงานติดพัน ข้าวยาปลาปิ้งมันไม่สน
ปิดมือถงมือถือหมดจนกว่างานจะเสร็จ ขนาดสตูดิโอมันก็ล็อกบอสยังเข้าไม่ได้เลย”
“ปิดมือถือตอนทำงานห่าอะไร
ตอนสี่ทุ่มกูยังเห็นมันส่งข้อความหายองแจอยู่เลย”
“ถ้าเป็นยองแจนี่ไม่แปลก...ต่อให้ยุ่งฉิบหายวายวอดแค่ไหนมันก็จะเจียดเวลามาส่งข้อความบอกราตรีสวัสดิ์ทุกคืนยกเว้นก็แต่คืนนั้นแหละที่แม่งไม่ได้ส่ง”
“วันไหน” ฝ่ายโทรหาถามย้อน
“วันที่มันไปทำงานกับกูที่ปูซาน
บังเอิญมันออกไปดื่มกับเพื่อนซี้สมัยมหาลัย
ดื่มอีท่าไหนไม่รู้ควงผู้หญิงได้ก็หายหัวติดต่อไม่ได้ทั้งคืน...น่าจะก่อนวันที่ฮันเฮมันบอกกูว่ายองแจมันเจ็บตาล่ะมั้ง”
“อ้อ” เสียงตอบรับเหมือนไม่สนใจหากสีหน้ากลับเคร่งขรึม
“แล้วคืนนี้มันจะกลับบ้านมั้ย”
“เห็นมันบ้าๆบอๆ อย่างนั้น
มันเคยได้โล่พนักงานดีเด่นมาแล้วนะเว้ย”
“แล้วคืนนี้มันจะกลับบ้านมั้ย”
“อะไรของมึงเนี่ย
ถามแต่เรื่องมันจะกลับไม่กลับบ้านอยู่นั้น”
“เอาน่า ตอบกูหน่อยไม่ได้หรือไง”
“กูบอกมึงรอบที่เท่าไหร่แล้ววะว่ากูไม่ใช่เมียมันจะไปรู้ได้ไง”
“ถามให้กูหน่อยสิวะ”
“เออ
ไว้กูเห็นมันโผล่หัวจากสตูดิโอก่อนจะถามให้แล้วจะโทรไปบอก”
“เออ อย่าลืมถามมาให้กูล่ะ แค่นี้ก่อน กูต้องไปดูยองแจ”
“เออ ยองแจเป็นไงบ้างวะ ได้ยินฮันเฮมันบอกน้องไม่สบาย
ยังไม่หายอีกเหรอ”
“เมื่อวานเหมือนจะหายพอเช้ามาเป็นไข้อีกแล้ว”
“ป่วยอีกล่ะ ทำไมถึงป่วยง่ายนัก”
“น้องกูเขาไม่แข็งแรง เท่านี้นะขอไปดูน้องก่อน”
สิ้นคำชายหนุ่มเอ่ยลาค่อยกดวางสายพร้อมกับฟันกรามที่ขบเน้นกันแน่นจากความขุ่นข้องใจ
...ไม่ยักรู้ว่าแดฮยอนมันออกไปนอนกับสาวคืนก่อนวันที่ยองแจจะเจ็บตา...
การฝากเพื่อนผู้เป็นนายแพทย์ให้สอบถามถึงคำวินิจฉัยของแพทย์ผู้ตรวจรักษาน้องทำให้รู้ว่าอาการปวดตาไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเพียงแค่บวมจากการร้องไห้หนักเท่านั้น
ฮิมชานพ่นร้อนผ่านปากพลางคิดสันนิษฐานเชื่อมโยงสิ่งที่รุ่นน้องทำเข้ากับการร้องไห้ของน้องทำให้ไม่สบายใจ
ยิ่งผสมรวมเข้ากับข้อมูลที่ได้มาเมื่อคืนเลยเครียดหนักเข้าไปใหญ่
เมื่อคืนหลังจากพาน้องเข้านอน
เขาออกไปพบกับเส้นสายของตนในกระทรวงการต่างประเทศเพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตที่ซื้อเปียโนของเล่นราคาแพงระยับ
เจ้าของแบล็กการ์ดที่ชื่อ อง ซองอู
เป็นคนเกาหลีสัญชาติเยอรมันทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระ ส่วนเดสมอนด์ จอง เป็นคนเกาหลีแต่ถือสัญชาติเกาหลีแคนาดาโดยทำธุรกิจด้านสุขภาพอยู่ที่นั่น
แต่เนื่องจากทั้งสองไม่ใช่พลเรือนของเกาหลีเอกสารทางราชการเลยมีแค่พาสปอร์ตกับวีซ่า
แปลกตรงที่เมื่อเพื่อนของเขาสั่งพิมพ์สำเนาเอกสารการผ่านเข้าเมืองออกมารูปของทั้งคู่กลับมีปัญหาทำให้รูปไม่ชัดเจน
แม้จะลองเปลี่ยนปริ้นเตอร์แล้วก็ยังเป็นเช่นเดิม
ครั้นจะให้แคปหน้าจอหลักฐานทางหน่วยงานก็เขียนระบบไว้ไม่ให้แคปเก็บมาได้
หากถ่ายจากจอมาโดยตรงก็ไม่ชัดอีกเช่นเดิม
เมื่อรู้ข้อมูลเขาลองไปเสิร์ชหาชื่อของผู้ชายทั้งสองคนตามเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานด้านธุรกิจทั้งในเกาหลีและในประเทศต้นทางของทั้งคู่ก็พบแค่ข้อมูลธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงวัยในแคนาดาของคนชื่อเดสมอนด์เท่านั้น
ข้ามมาในส่วนข้อมูลของแดฮยอนเพื่อนของเขาอีกคนยังไม่ส่งเรื่องมาเลยทำได้เพียงรอ
...คนธรรมดาทำไมข้อมูลถึงหายาก...
สิ่งนั้นทำให้ต้องคิด
ไหนจะคำพูดของแจฮวานที่กล่าวถึงชายเจ้าของบ้านที่ดูท่าทางไม่มีเงิน
รวมถึงการพูดเปรยชวนคิดถึงความรู้สึกน้องจากยงกุกทำให้ตัวเขาซึ่งก่อนหน้าความไว้ใจในตัวรุ่นน้องทำให้ไม่ค่อยได้สังเกตสังกาอะไรจนมาเจอเปียโนหลังนั้นเข้ากระวนกระวายไปหมด
...แม้จะไม่มีหลักฐานหากในความรู้สึกเขาสังหรณ์ใจว่าเดสมอนด์กับแดฮยอนคือคนเดียวกัน...
...แค่ตัวตนจริงมันเป็นใครยังไม่รู้แล้วจะปล่อยน้องที่เปราะบางเหมือนแก้วร้าวให้ถลำลึกไปกับมันได้ยังไง...
“พี่ยังคุยไม่เสร็จอีกเหรอ”
เสียงร้องถามข้างตัวทำให้หลุดจากภวังค์ความคิดหันไปมองตามก็เห็นหน้าขาวซีดของน้องชะโงกมองอยู่ใกล้ๆ
“เสร็จแล้ว ละนี่เราออกมาทำไมกินข้าวหมดแล้วเหรอ”
“ไม่หมด มันเยอะไป”
“กินเหลืออีกแล้ว เอาเถอะเราไปนั่งเอนหลังหลับสักงีบไป
เดี๋ยวพี่ค่อยปลุกเรามากินยา” ว่าแล้วผู้เป็นพี่ก็จูงมือน้องให้มานั่งตรงโซฟา
หากจังหวะจะเดินไปหยิบผ้าห่มมาให้ชายแขนเสื้อกลับถูกนิ้วขาวดึงไว้อีก
“พี่”
“หื้อ”
“โทรศัพท์ผมน่ะ...อยู่ไหนเหรอ” อีกคนถามถึงโทรศัพท์มือถือที่ถูกยึดไปตั้งแต่เมื่อวาน
แม้ใจหนึ่งจะเจ็บปวดแต่อีกใจก็ยังอยากเห็นข้อความถามไถ่ห่วงใยจากคนใจร้ายคนนั้นอยู่ดี
...เสพติดความใจดีจากคนไม่ได้รักทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันทำให้ทุกข์สาหัญ...
“ทำไม เราอยากได้คืนแล้วเหรอ”
“ก็แค่อยากจะเช็กดูว่าพ่อกับแม่ส่งข้อความมาหรือเปล่า”
“ข้อความจากคุณลุงคุณป้ากับไอ้ยองวอนพี่ตอบไปให้หมดแล้ว
ส่วนข้อความจากเด็กในร้านเรากับพี่ยูจินอะไรของเรานี้พี่ไม่ได้ตอบหรอกนะ”
“งั้นเอามาให้ผมตอบก่อนได้มั้ยค่อยยึดไปใหม่”
“พี่อ่านให้เราฟังแล้วพิมพ์คำตอบให้แทนน่าจะง่ายกว่า
ละไอ้คนชื่อยูจินที่เป็นหมออะไรนี่เขาดูแค่ยาเราก็รู้หมดเลยเหรอว่าป่วยเป็นอะไรบ้างถึงพิมพ์ชื่อของกินบำรุงร่างกายมาให้ซะเยอะเชียว...เด็กในร้านของเราอะไรนั้นก็ด้วย
ถามอยู่ได้ว่ามาเยี่ยมได้มั้ย”
“เอามานี่ ผมจะตอบเอง”
“ไม่ต้องพี่จะตอบให้เอง...เอาไงเรื่องเด็กในร้านน่ะ
สนิทพอจะให้มาหามั้ย”
“ก็สนิทอยู่นะ...น้องเขานิสัยดี”
“แล้วให้มาเยี่ยมได้มั้ยล่ะ”
“ได้แต่พี่บอกน้องเขาไปด้วยนะว่า
ถ้าอยากมาให้แด...แดฮยอนพามาแล้วกันจะได้ไม่หลงเอา” ชื่อของคนใจร้ายหลุดผ่านมาอย่างตะกุกตะกัก
“ทำไมต้องให้แดฮยอนมันพามา
เรียนตั้งมหาลัยแล้วมาเองก็ได้มั้ง”
“พิมพ์อย่างที่ผมบอกไปเหอะ”
“โอเค พี่พิมพ์ให้แล้ว เท่านี้พอใจยัง"
“ข้อความมีเท่านี้เองเหรอ”
“มีจากไอ้เด็กกุหลาบด้วย แต่พี่ไม่พิมพ์ตอบมันให้หรอกนะ”
“แล้ว...”
ความในใจเปล่งออกมาเป็นเสียงได้เท่านั้นก็เงียบลง
“แล้วอะไร”
“ก็...เปล่า ไม่มีอะไร ผมนอนพักดีกว่า” อีกฝ่ายแกล้งหลับตากลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรติดค้างอยากถามไถ่
แต่คนเป็นพี่จับอาการผิดปกติเลยเอ่ยคำโกหกอย่างจงใจออกมา
“แดฮยอนมันไม่ได้โทรหาหรือส่งข้อความมาหรอกนะ
ได้ยินซองวอนมันบอกว่า มันแก้งานลูกค้าอยู่ที่สตูดิโอตั้งแต่เมื่อคืน เออนะ ชีวิตมันนี่ไม่ปาร์ตี้ก็บ้างานหนัก ไอ้แบบนี้จะไปดูแลใครได้
ขนาดเราป่วยมันยังไม่ถามสักคำทำแต่งาน ถึงว่าทำไมวันนั้นถึงบอกพี่ว่าอยากย้ายไปอยู่คนเดียว”
...แม้จะรู้ว่าใจร้ายและน้องต้องเสียใจแต่ยังดีกว่าปล่อยให้ถลำลึกไปจนแก้ไขอะไรไม่ได้...
ทุกถ้อยคำพาดพิงถึงเพื่อนร่วมบ้านจากปากพี่ชายเปรียบดังค้อนที่คอยทุบซ้ำย้ำเอาบนรอยร้าวในหัวใจสร้างความขมขื่นจุกแน่นเต็มอก
ไหล่ทั้งสองข้างเกิดสั่นไหวถึงอย่างนั้นยองแจยังคงปิดตาไว้ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นอยู่เช่นนั้นหลายนาทีก่อนจะเปิดปากถามออกมาเสียงเบาโหวง
“เขาคุยกับพี่เรื่องนี้เมื่อไหร่”
“สักพักแล้ว”
“ในวงเหล้าเหรอ”
“ใช่”
“ตลกจัง”
“ตลกยังไง”
“ก็เขาบอกพี่แต่เขาไม่ยอมบอกผม”
“มันไม่กล้าพูดกับเราน่ะ
อีกอย่างมันก็ไม่ใช่คนประเภทชอบมีปัญหาอะไรกับใคร
ถ้าต้องพูดกับเราเองมันคงกลัวเราเสียใจเลยอมพะนำไว้แล้วมาคุยกับพี่แทน”
“แล้ว...”
น้ำเสียงที่ลากยาวกลืนหายไปในลำคอถึงตามต่อด้วยเสียงเบาหวิวเช่นคนหมดแรง
“เขาบอกพี่ไว้มั้ยว่าจะย้ายออกตอนไหน”
“ไม่ได้บอกหรอกแต่คงรอให้พี่หารูทเมทใหม่ให้เราได้”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย
ถ้าอยากย้ายออกไปก็แค่บอกไม่เห็นต้องรออะไร ผมอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว”
ไหล่บางไหวสั่นลมหายใจติดขัดแทบทุกครั้งที่เอื้อนเอ่ย
ผู้เป็นพี่กอดอกทอดสายตาการหลับตาพูดโต้ตอบของน้องอันเป็นวิธีหนึ่งที่เขาเคยเห็นในตอนที่น้องพยายามซ่อนความอ่อนแอเมื่อครั้งยังป่วยหนักทำให้ลมหายใจเขาทอดหนักพร้อมทรุดลงนั่งข้างๆ
“เรากินยาก่อนดีมั้ย”
“อืม” เจ้าตัวลืมตาดันหลังพ้นจากพนักโซฟาที่เอนแนบพลางแบมือรับยาจากในตลับมาโยนเข้าปากแล้วอมไว้เช่นนั้นจนพี่นำน้ำขวดเล็กมาให้จึงได้กระดกดื่มน้ำตาม
“กินยาแล้วไปนอนในห้องไปจะได้หายไวๆ
แล้ววันหลังตอนก่อนจะนอนล็อกประตูด้วยแล้ววันหลังพี่จะหาคนมาเปลี่ยนลูกบิดประตูห้องนอนให้”
“ทำไมต้องเปลี่ยนด้วย”
“ไม่มีอะไร แค่เปลี่ยนเพื่อความสบายใจของพี่เอง
เรานอนเถอะ”
สิ้นคำมือใหญ่ก็จับมือน้องฉุดให้ลุกขึ้นและจับจูงไปส่งให้นอนถึงบนเตียง
อีกฝ่ายล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนระโหยด้วยอาการไข้ทั้งกายใจ
ร่างบางตะแคงนอนหันไปทางหน้าต่างพร้อมปิดตาสนิทอย่างคนไม่อยากเห็นสิ่งใดอื่น
หน้าขาวเซียวตะแคงแนบเน้าบนหมอนนุ่มรับรู้ถึงการคลุมตัวด้วยผ้าห่มและมือใหญ่ที่เอื้อมลูบบนผมอย่างอ่อนโยนฟังเสียงอุ่นละมุนจากพี่ชายกล่าวลาขอให้หลับสนิทอย่างเงียบงัน
กระทั่งยินเสียงของบานประตูปิดลงกายที่นอนนิ่งกลับสั่นเทาราวนกถูกทิ้งให้กลางลมหนาว
ความเจ็บปวดสะสมทีละน้อยจากวันวานหลั่งไหลเข้าใส่ราวกับมันได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย
แม้นในยามหลับตาหัวใจอันทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวในการหักห้ามใจตัวเองกลับทำให้ผู้ชายคนเดียวที่เขากลัวว่าจะสร้างปัญหาให้มาตลอดต้องมาแบกภาระทางความรู้สึกของตัวเขาไว้
...อึดอัดถึงขนาดไม่กล้าพูดต่อหน้าแต่ต้องระบายเอากับคนอื่น...
หยดน้ำอุ่นรินจากหางตาที่ปิดสนิทหยาดลงบนหมอน
มือขาวขยุ้มผ้าห่มด้วยความทรมานจากการถูกจำกัดไว้ในอาณาแห่งความเป็นเพื่อน
...จะร้องขอความรักความใจดีจากเขาไปถึงไหน
ทั้งที่รู้เต็มหัวใจว่าเขาไม่เคยมีเราอยู่ในนั้นเลย...
----------------------------------------------------------
ห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอจะวางเครื่องมือในการสร้างดนตรีและโซฟาตัวเล็กนั้นเป็นลักษณะของสตูดิโอที่สร้างขึ้นเพื่อให้พนักงานประจำแต่ละคนโดยเฉพาะ
ตรงเก้าอี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมหูฟังมอนิเตอร์นั่งเอนหลังมองยังหน้าจอแมคที่มืดลงจากการพักหน้าจอเพราะไม่ได้ใช้งานมานานหลายสิบนาที
หลังลูกค้าอนุมัติผ่านงานที่แก้เสร็จเรียบร้อยแดฮยอนก็หลุดจากโหมดบ้างานกลับมาสู่ภาวะปกติ...ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายเวียนวนอยู่ในหัวไม่ว่าจะเรื่องความฝันหรือเรื่องที่ทำเกิดเลยกับเพื่อนร่วมบ้านตอนไม่ได้สติปะปนไปกับเรื่องไม่ดีที่ทำไว้ก่อนหน้า
ความรู้สึกผิดล้นอยู่ในใจหากยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าพึงใจแฝงเร้น
ดวงตาคมเหม่อมองอย่างเลื่อนลอยคอยแต่คิดถึงดวงหน้านวลของอีกคนยามยิ้มกว้างสดใสสลับไปกับยามทะยานสู่ความสุขสมสูงสุด
...สิ่งที่ทำลงไปไม่ใช่ความพลั้งเผลอ...
ตั้งแต่เริ่มอยู่ด้วยกันมายองแจเริ่มมีอิทธิพลในความรู้สึกของเขาทีละน้อยกระทั่งกลายเป็นส่วนสำคัญหนึ่งเดียวในชีวิต
ในตอนแรกเขายังเข้าใจว่าความรู้สึกเหล่านั้นเกิดจากความผูกพันตามประสาเพื่อนสนิทแต่เมื่อใคร่ครวญสำรวจใจในการกระทำเมื่อคืนวานรวมถึงความหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อเห็นใครมาใกล้ชิดอีกฝ่ายก็ได้คำตอบ
...ยองแจคือคนเดียวที่เขาอยากปกป้องดูแลไปตลอดชีวิต...
มือใหญ่ยกขึ้นกุบขมับพลางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มด้วยอยากจะกลับไปเห็นหน้าแต่ไม่รู้ว่าจะห้ามใจไม่ให้เผลอแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายได้หรือเปล่าก่อนที่ความกระวนกระวายหวั่นกลัวเริ่มสุมเข้าใส่ในนาทีที่ตระหนักได้ว่า
อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกเลยว่าคิดกับเขาอย่างไร
ขนาดความเป็นเพื่อนยังลุ่มๆดอนๆ
ถึงยองแจจะน่ารักใจดีแต่ก็มีหลายครั้งที่เขาถูกจำกัดวงไม่ให้ชิดใกล้แล้วถ้าวันหนึ่งยองแจรู้เรื่องนี้เข้าจนหนีหายหรือหลบหน้าไม่พูดจาด้วยขึ้นมาอีกล่ะ
นับจากสูญเสียแม่และยายไปแทบจะไม่มีอะไรที่ทำให้เขากลัวได้
แม้แต่พ่อของเขาเองก็ตามแต่ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าความตายคือการถูกยองแจเกลียด
...ถ้าไม่ได้เห็นหน้า
ไม่ได้ยินเสียงอีกเขาคงตายสถานเดียว...
ชายหนุ่มถอนใจยาวออกมาอีกคราขณะปรายตามองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะอยู่พักหนึ่งถึงค่อยเอื้อมหยิบมันมาเปิดเครื่องเพียงเพื่อจะได้โทรไปฟังเสียงคนในใจให้พอมีหวังแต่พอเห็นข้อความแจ้งเตือนสายไม่ได้รับจากฮิมชานหลายสาย
ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกจะไล่เปิดข้อความจากยองแจมากกว่าจะโทรกลับพอเห็นว่า
ไม่มีอะไรถูกส่งมาก็ใจคอไม่ดีเลยยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าลุกจากเก้าอี้
พอฉวยเสื้อโค้ทตัยาวบนโซฟามาได้ก็เปิดประตูออกจากสตูดิโอ
“เอ้า...งานเสร็จแล้วเหรอวะ”
ชอลที่ถือแก้วกาแฟอยู่หน้าประตูสตูดิโอห้องถัดไปร้องถามแทบจะทันทีที่เห็นเพื่อนร่วมงานสุดซี้โผล่พรวดออกมา
“เออ”
“แก้งานทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนเหมือนเดิมสินะ
แต่ดูวันนี้มึงไม่ค่อยเบลอนะ แดกกาแฟไปเยอะเหรอ นี่จะออกไปแดกข้าวมะกูจะได้ไปด้วย
จนบ่ายสามแล้วกูยังไม่ได้แดกข้าวเที่ยงเลย” ความสงสัยตามด้วยการชักชวนของเพื่อนถูกเบรกไว้ด้วยการโบกมือตัดบทพร้อมหาวหวอดของผู้ถูกซักไซ้
“เฮ้ย ชอล มีอะไรค่อยคุยได้ปะ กูง่วง กูจะกลับไปนอน”
“นอนไหน...นอนบ้านเหรอ”
“อืม”
“กลับไปนอนตอนบ่ายสามกว่าเนี่ยนะ...มึงบ้าเปล่าเนี่ย
ห้าโมงเย็นมีประชุมแผนงานช่วงสิ้นปีนะเว้ย
ประชุมนี้บอสเขาวิดีโอคอลจากชิคาโกมาเชียวนะเกิดมึงมาไม่ทันพวกกูมิโดนเฉ่งยับเลยเหรอ”
“กูไม่สายหรอก...เรื่องงานกูไม่เคยสาย
ถ้ากลัวมากกูไม่นอนก็ได้แต่ขอกลับไปดูรูมเมทกูก่อน เขาไม่สบาย”
“ไม่สบายแล้วไม่ไปหาหมอวะ”
“หาแล้วแต่ไม่กูไม่รู้ว่าเขาดีขึ้นมั้ย
โทรไปก็ไม่รับ...กูไปก่อนนะ เดี๋ยวห้าโมงมา”
เจ้าตัวรับคำแกล้งทำท่าง่วงเสียเต็มประดาเดินโซซัดโซเซลงลิฟต์สแกนบัตรพนักงานกับเครื่องก็ออกไปเรียกแท็กซี่ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน
ช่วงถอดรองเท้าเก็บบนชั้นสายตาก็เหลือบเห็นรองเท้าหนังราคาแพงแปลกตาวางอยู่ด้วย
แดฮยอนเม้มริมฝีปากเดินเข้าบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่เมื่อกำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นหางตาเหลือบเห็นมีอะไรบางอย่างตรงโซฟาเลยก้าวถอยหลังหันกลับเข้าไปในห้องนั้นจึงเห็นเจ้าของบ้านเอนหลังกอดตุ๊กตานอนโดยเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้
ร่างสูงย่อตัวลงมาชะโงกมองหน้านวลที่พริ้มหลับใกล้เสียจนเห็นแพขนตาหนาตรงหน้าขยับไหวตามแรงหายใจทำให้รอยยิ้มผุดพรายอาบหน้า
แม้แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนไปในทันที หากไม่ทันจะได้สัมผัสจับต้องใดกลับถูกใครอีกคนแทรกตัวเข้ามาผลักให้เขาถลาไปข้างๆ
“ถอย”
เสียงอันคุ้นเคยแฝงแววดุบอกห้วนพร้อมกับการขยับตัวเข้าไปสอดแขนใต้คนผอมที่นอนหลับช้อนอุ้มขึ้นมาหาตัวเอง
“พี่ยังไม่กลับเหรอ”
เพียงเห็นหน้าเรียบเฉยของรุ่นพี่ที่กอดอุ้มเพื่อนร่วมบ้านของตนในท่าเดียวกับการอุ้มเจ้าสาวเข้าหอ
ในใจร้อนลนโกรธหวงแทบบ้ากับภาพที่เห็นตรงหน้าแต่ไม่อาจแสดงออกให้รับรู้คงทำได้เพียงเอามือไขว้หลังแล้วกำแน่นอย่างอดกลั้น
“ยัง”
ฮิมชานตอบสั้นปรายตายังรุ่นน้องของตนเองที่ลุกจากพื้นขึ้นมายืนเอามือไขว้หลังอย่างเย็นชาจากนั้นก็อุ้มน้องออกจากห้องนั่งเล่นพากลับไปนอนบนเตียงต่างจากเมื่อเช้าที่ปล่อยให้เดินเข้าไปนอนเอง
“เมื่อคืนมึงกลับมาบ้านหรือเปล่า”
คนอ่อนกว่าที่เปิดตู้เย็นตั้งใจจะหยิบน้ำมาดื่มดับความหัวร้อนเหลียวหลังมามองเจ้าของคำถามที่ชวนให้รู้สึกเหมือนถูกหาเรื่องกลายๆ
ก็เม้มริมฝีปากพยายามข่มใจเอาไว้
“เมื่อคืนผมแก้งานลูกค้าอยู่เพิ่งเสร็จก่อนเที่ยงนี้เอง”
“อ้อ ยุ่งเลยปิดเครื่องสินะ ถึงว่ากูโทรไปมึงไม่รับ”
“เออ ใช่ ผมยังไม่ได้เปิดเครื่องเลยไม่รู้ว่ามีใครโทรมาบ้าง”
ฝ่ายถูกถามโกหกรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทำทีเป็นเปิดเครื่องทั้งที่เครื่องก็เปิดใช้งานปกติพร้อมเปิดปากถามกลับพยายามไม่ส่งเสียงดัง
“พี่อยู่นี่ตลอดเลยเหรอ”
“เมื่อคืนกูไม่อยู่ กูบอกมึงแล้วนิว่ากูออกไปทำธุระ”
“แล้วยองแจเป็นยังไงบ้างพี่ อาการดีขึ้นบ้างมั้ย
ทำไมถึงไปนอนตรงโซฟาแทนนอนในห้อง”
“กูให้ยองแจมันกินยาไปแต่มันอยากดูทีวีเลยปล่อยให้ดูเลยหลับ”
“ยาอะไรทำไมถึงหลับให้พี่อุ้มได้แบบนั้น”
“ยาที่ยองแจกินบางตัวมันมีฤทธิ์ทำให้หลับไม่รู้ตัว
พอหลับแล้วก็ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง”
“ยาแรงจัง”
“แรงน่ะสิ
เพราะแบบนี้กูถึงต้องคอยเตือนให้กินยาแล้วนอนในห้องไม่งั้นเดี๋ยวจะเผลอหลับตรงอากาศเย็นๆ
ไม่ก็โดนยุงเหี้ยไร้สำนึกที่ไหนไม่รู้มากัด”
ผู้มากวัยกว่าตอบตวัดสายตาจ้องเขม็งยังรุ่นน้องตรงหน้าที่กระดกน้ำดื่มลงคอครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาอีก
“ยุงที่กัดคอน้องกูเนี่ยมันชั่วเหี้ยๆเลยว่ามะ”
น้ำเย็นกระฉอกจากริมฝีปากของคนมีชนักติดหลังทันทีที่ถูกย้อนถามก่อนเจ้าตัวจะยกมือเช็ดน้ำที่เปื้อนคางออกก่อนตีสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวค่อยหันไปหา
“ด่ายุงไปมันจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะพี่...ซื้อยามาฉีดดีกว่ามั้ย”
“กูไม่แน่ใจว่ายาหรือปืนที่ฆ่ายุงเหี้ยนี้ได้เร็วกว่า” ผู้มีดีกรีเป็นนักกีฬาและได้รางวัลชนะเลิศจากสมาคมยิงปืนสมัครเล่นเอ่ยพลางหักข้อนิ้วไปมา
“ไม่ต้องถึงขั้นยิงปืนฆ่ายุงหรอกม้าง
ไว้ผมมาฉีดยุงให้ก็ได้”
“มึงจะมาฉีดยุงให้น่ะเหรอ...งานยุ่งอย่างมึงจะเอาเวลาไหนมาฉีด
นี่กูยอมให้มึงมาอยู่นี่เพราะคิดว่ามึงจะดูแลน้องกูได้
แต่ดูท่าแล้วมึงไม่น่าจะดูแลใครเขาได้หรอก ถ้ามึงไม่มีเวลา ไม่ค่อยได้กลับบ้าน
วันไหนยองแจมันสลบในบ้านขึ้นมามึงก็คงไม่รู้”
“โหย พี่ก็พูดเกินไป
ถ้าเขาไม่ตอบข้อความยังไงผมก็มาดูเขาอยู่แล้ว”
“ก็ทำได้แค่พูดล่ะวะ...เอางี้มะ
เดี๋ยวกูหารูมเมทคนใหม่ให้น้อง ส่วนมึงก็ย้ายไปอยู่ของมึงเอง”
“โห
ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอพี่...ผมไม่ได้ปล่อยปละละเลยยองแจนะ
แต่เวลาเขาไม่สบายเขาชอบไม่พูด ไปหาหมอตามนัดก็ไม่บอก”
“ย้ายไปอยู่เองจะเป็นไร
เดี๋ยวนี้มึงมีเงินซื้ออาหารแพงๆมาตุนให้ยองแจกินไม่ใช่เหรอ
แค่ออกไปเช่าบ้านอยู่คนเดียวคงได้จ่ายค่าเช่าได้สบายอยู่แล้ว”
“อันนั้นรุ่นพี่ที่เป็นเชฟเขาให้ผมมา ไม่ได้ซื้อเอง”
“หึ” คนแก่กว่าส่งเสียงหยันในลำคอ “พี่เชฟมึงนี่รวยมากหรือทำงานในห้องอาหารของโรงแรมห้าดาวหรือไง
ถึงสั่งอาหารแพงฉิบหายมาให้มึงแดกฟรีน่ะ”
“ก็ไม่รู้เขาเหมือนกันแต่ตอนนี้ผมไม่ได้ขอเขามาแล้ว”
“อ้อ”
“แล้วไอ้ที่พี่บอกว่าจะให้ย้ายไปอยู่คนเดียวนั้นน่ะ
ตอนนี้ผมก็พอมีเงินแต่คงไม่มีที่ไหนค่าเช่าถูกและใกล้ที่ทำงานแบบที่นี่หรอก”
“ไม่ใช่ว่ามึงมีเงินแต่ไม่บอกหรอกเหรอ”
“โอ๊ย ผมไม่มีเงินอะไรหรอก พี่ก็รู้ว่าผมจนจะตาย
ถ้าผมรวยตอนนี้คงซื้อตึกใหญ่ๆอยู่ไปแล้ว”
“ไม่มีเงิน...ไม่มีแล้วเอาเงินที่ไหนซื้อเปียโนมาให้ยองแจมันวะ
ไอ้เปียโนของเล่นนั้นราคาแพงจะตายห่า มึงเอาเงินจากไหนมาซื้อ”
คำถามยิงตรงไม่อ้อมค้อมนั้นสะกิดใจให้ฝ่ายถูกถามหรี่ตาลงด้วยนึกรู้ในทันทีว่า
อาการห่างเหินอย่างประหลาดของรุ่นพี่ในช่วงนี้คงมีผลจากการไปรู้ข้อมูลการใช้จ่ายอย่างไม่ระวังของเขาเข้า หากก็ทำไม่รู้แกล้งกระดกน้ำในขวดจนหมดโยนทิ้งลงถังขยะถึงค่อยใช้คำโกหกคิดสดตอบไป
“ผมยืมเขามาอะพี่
ช่วงนั้นผมช็อตมากพอดีเจอเพื่อนมัธยมที่สนิทกันมันปล่อยกู้อยู่
เมื่อก่อนผมเคยช่วยมันตอนโดนนักเลงกระทืบเลยไปขอยืมบัตรมันมาชั่วคราว
มันก็เลยให้มาสองใบแล้วสอนให้เซ็นชื่อมันกับชื่อลูกน้องมันไว้เลยเอามาซื้อ”
“เพื่อนห่าอะไรให้ยืมเงินขนาดนั้น”
“เพื่อนผมนี้แหละ แต่มันไม่ได้ให้ยืมฟรีนะพี่
มันแค่ไม่คิดดอกเบี้ย ทุกวันนี้ผมยังผ่อนจ่ายมันอยู่เลยเนี่ย”
“แล้วมึงไม่คิดว่ามันอาจบัตรผิดกฎหมายบ้างเหรอวะถึงกล้าใช้”
“ไม่หรอกมั้ง ถ้าผิดกฎหมายเพื่อนผมคงโดนจับไปแล้วดิ”
“ล่ะไอ้เพื่อนมึงคนนี้มันชื่ออะไร ปล่อยกู้อยู่ที่ไหน”
“ชื่อเหรอ...อ้อ ชื่อซองอู
แต่มันไม่ค่อยอยู่เกาหลีหรอกนะพี่ มันอยู่ญี่ปุ่น
ตอนผมส่งบัตรไปคืนมันอะนะยังต้องส่งไปญี่ปุ่นเลย โอนเงินคืนทีก็ต้องโอนข้ามประเทศ
พี่อยากคุยกับเขาปะละแต่อาจจะโทรไม่ติดนะเพราะมันไม่ค่อยว่าง”
ประสบการณ์ชีวิตสอนให้โกหกเป็นอาจิณพาให้ความเท็จพรั่งพรูผ่านปากออกมาอย่างไหล่ลื่นพ่วงท้ายด้วยการท้าให้ติดต่อกลับไปยังคนที่หยิบยกมาอ้างถึงได้อย่างแนบเนียน
ฮิมชานจ้องหน้ารุ่นน้องเขม็งพยายามอย่างหนักในการจับสังเกตอาการที่คนโกหกมักแสดงออกมา
หากคนตรงหน้าสามารถพูดไปได้เรื่อยโดยไม่มีติดขัดหรือมีอาการลุกลี้ลุกลนให้เห็นสักนิดทำให้อารมณ์ขุ่นมัวสะสมเป็นความคับแค้น
ก่อนหน้านี้ช่วงที่ยงกุกส่งเด็กในปกครองไปเรียนเปียโนกับคนตรงหน้า...มันเคยเปรยให้เขาได้ยินว่า
รุ่นน้องของเขาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงความมืดหม่นที่หลบซ่อนซึ่งตอนนั้นเขายังหัวเราะไม่คิดจะเชื่อ
กระทั่งวันนี้ที่เห็นท่าทางไม่มีพิรุธแถมท้ากันอีกก็ขบกรามเข้าหากันแน่น
เพราะคิดว่าปกครองคนมามากย่อมไม่มองคนพลาดเลยลองตะล่อมดูเผื่อจะจับสังเกตอะไรได้
ใครจะรู้ว่ารุ่นน้องที่สนิทชิดเชื้อตลกเฮฮาไปเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่เคยคิดจริงจังอะไรในหัวจะมีชั้นเชิงขนาดนี้
...ไอ้ห่านี้ไม่โง่แต่เขาสิโง่ใจร้อนทำไก่ตื่นทั้งที่ยังไม่มีหลักฐาน...
“ได้ จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
คนเป็นพี่ว่าจ้องตาฝ่ายตรงข้ามที่ยังตีหน้าเซ่อ
“อะไร...เอายังไงอะไรของพี่อีกล่ะเนี่ย”
“ช่างเถอะ แล้วนี่มึงกลับมาทำไม”
เขาบอกปัดสีหน้าเรียบนิ่งดังก่อนหน้า
“ผมตั้งใจจะกลับมาดูยองแจแล้วก็นอนเอาแรงหน่อย
พอห้าโมงเย็นค่อยกลับไปประชุมที่ออฟฟิศใหม่”
“ทำไมมึงไม่นอนในสตูดิโอมึงไปล่ะ
ได้ยินซองวอนมันเล่าว่ามึงนอนในนั้นช่วงซ้อมละครเวที”
“มันก็นอนได้หรอกพี่แต่ผมอยากกลับมาดูยองแจด้วยเลยคิดว่ามานอนนี่ดีกว่า”
“มึงจะอยู่สตูดิโอไปก็ไม่เห็นเป็นไร กูดูน้องกูอยู่แล้ว”
“ไม่ได้อะ...ผมไม่สบายใจ”
“ไม่สบายใจอะไร ไม่ต้องมันห่วงมันหรอก
ยองแจมันมีคนคอยดูแลเยอะ”
“แต่ไม่มีใครอยากดูแลเขามากเท่าผมหรอก”
ครั้งนี้คนอ่อนกว่าตอบพลางปรายตามองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้าจริงจัง
สองชายหนุ่มยืนมองหน้ากันในความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงโทรศัพท์จากฝ่ายอ่อนกว่าจะดังขึ้นพร้อมกับบทสนทนาเกี่ยวกับการประชุมที่ถูกเลื่อนเวลาก็เผื่อแผ่มาถึงคนแก่กว่าซึ่งยืนอยู่ได้ยิน
“ต้องไปประชุมสินะ” พอเห็นรุ่นน้องกดวางสายก็ถามทันที
“ใช่พี่...ลูกค้าเขาขอเลื่อนประชุมกะทันหัน”
“งั้นมึงก็ออกไปทำงานเถอะ ว่าแต่คืนนี้มึงจะกลับบ้านมั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกันแต่ลูกค้าที่มาประชุมวันนี้เขามีโปรเจคเร่งด่วนซะด้วยสิ
คืนนี้ไม่น่าจะได้กลับ” เป็นอีกครั้งที่ความรู้ทันทำให้โกหกตอบไปได้ทันที
“เออ รีบไป”
คนเป็นพี่โบกมือเป็นเชิงไล่พาให้รุ่นน้องหนุ่มก้มหัวแทนการเอ่ยลาแล้วหันหลังรีบออกจากห้องไปแต่ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์จากในกระเป๋าเสื้อของเขากลับดังขึ้นและเมื่อหยิบมันออกมาถึงรู้ว่าเป็นเสียงจากเครื่องตนเองโดยปลายสายคือพี่สาวโทรมาแจ้งข่าวของโรงงานผลิตอาหารแปรรูปซึ่งอยู่ในทังจินให้ทราบ
“หื้อ... ไลน์ผลิตมีปัญหาเลยเกิดอุบัติเหตุ
พี่ตามฝ่ายเซฟตี้กับฝ่ายซ่อมบำรุงมาหรือยัง โอเค เดี๋ยวผมไป”
ฮิมชานกดวางสายพลางถอนหายใจกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่มีเข้ามา
ถึงจะรับปากว่าจะรีบไปแต่ก็ยังห่วงน้องแม้จะเห็นกับตาแล้วว่าไข้ของน้องลดลงจนมาอยู่ในระดับปกติแล้วก็ตาม
ระหว่างชั่งใจอยู่นั้นก็มีโทรศัพท์เรียกตัวให้ไปโรงงานอีกครา
สุดท้ายคนเป็นพี่เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือของน้องไปวางคืนในห้องนอนและหาปากกากับกระดาษเขียนข้อความติดไว้หน้าประตูห้องนอนรวมถึงตู้เย็น
พร้อมโทรหาใครสักคนให้มาแวะมาดูน้องถึงค่อยใส่เสื้อโค้ทออกไปจัดการธุระของตัวเอง
-------------------------------
แสงไฟวับแวมสลับสว่างไสวส่องกระทบร่างของคนตัวสูงที่เพิ่งเดินจากสถานีรถไฟฟ้าขึ้นมาเดินตรัดเตร่ฝ่าอากาศหนาวเหน็บไปบนทางเท้าริมถนน
ท้องฟ้ามืดมิดไร้เดือนดาวยากต่อการคาดคะเนเวลาแต่แดฮยอนไม่ได้รีบร้อนด้วยไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ไหนเพราะบอกฮิมชานไว้ว่าจะไม่กลับ
หลังการประชุมแผนงานช่วงสิ้นปีเหล่าคนสมาคมคนโสดรวมถึงเขาด้วยถูกเรียกตัวให้ทำงานสร้างความบันเทิงให้ชาวบ้านลากยาวข้ามปีค่อยไปหยุดพักชดเชยเอาหลังปีใหม่...พอถูกปล่อยตัวออกมาแถมไม่มีงานอะไรให้ก็อยากกลับบ้านไปหานางฟ้าของตัวเองแต่พอคิดถึงรุ่นพี่ผู้เปรียบได้กับพ่อคนที่สามของอีกฝ่ายออกอาการกันท่าคงด้วยไปล่วงรู้สิ่งที่เขาเก็บซ่อนรวมทั้งข้อความที่ส่งมาบอกว่าจะอยู่ดูน้องเองก็เริ่มคิดหนัก
...เปียโนของเล่นหลังเดียวที่เขากระสันอยากให้ยองแจเป็นของขวัญหลังนั้นกลายเป็นเป้าให้เขาโดนขุดคุ้ย...
...ความประมาทของเขาพาให้รุ่นพี่ที่คร่ำหวอดกับของสะสมและงานศิลป์เริ่มจับได้...
...พี่ฮิมชานเป็นคนฉลาดและกว้างขวาง
ลองหยั่งเชิงกันขนาดนี้ได้ย่อมต้องรู้อะไรมามากแค่ไม่มีหลักฐาน...
ก่อนจะขึ้นรถไฟกลับมายังสถานีละแวกที่พักเข้าได้แวะไปยังตู้โทรศัพท์เก่าแห่งหนึ่งเพื่อโทรฝากข้อความหานักรับจ้างคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้า
ไม่มีชื่อเรียกแต่เมื่อรับงานไม่เคยทำงานพลาดซึ่งเขาใช้บริการให้ช่วยกลบร่องรอยตนเองมาตั้งแต่อายุสิบห้าเพื่อให้ช่วยดูว่ามีใครดึงข้อมูลอะไรของเขาออกมาหรือไม่
หากมีให้จัดการให้ทันที
...นักรับจ้างคนนี้ตามรอยยากยิ่งกว่าอะไรดี
กระนั้นก็ซื่อสัตย์ในหน้าที่
เขารู้จักผู้ชายคนนี้ผ่านเรื่องเล่าถึงตู้โทรศัพท์ที่มีนักรับจ้างทำงานรับจ้างทุกอย่างจากพี่ชาย
แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องโง่เง่าแต่เมื่อทำตามดูถึงรู้ว่ามันเป็นจริง
โดยตอนแรกเขายังเกรงว่าการกลบร่องรอยและใช้ชายผู้นั้นเป็นตัวแทนดูแลทรัพย์สินจะถูกสวมรอยจนสูญหาย
ทว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยคดโกงหรือเล่นตุกติกเพียงแค่ชำระเงินค่าจ้างตามจำนวนที่เรียกไป
ในปีหนึ่งเขาต้องจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนมหาศาลแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะทำให้เขาได้มีชีวิตอิสระ
กระทั่งเขาใช้เงินจากบัตรเครดิตใบนั้นควักมาจ่ายค่าเปียโนให้ยองแจ
ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่รู้สึกหวั่นใจกับฮิมชานสักเท่าไหร่ด้วยรู้ดีว่า
รุ่นพี่ตนนั้นถึงจะเป็นนักธุรกิจผู้กว้างขวางมีเพื่อนหลายวงการแต่ไม่ใช่คนเจนจัดในแวดวงสีเทา
อีกทั้งผู้รับจ้างของเขาเองก็เก่งกาจหาตัวจับยาก
...เขาพลาดแค่เพราะอยากเห็นรอยยิ้มจากยองแจ
ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ทันจะได้อยู่ใกล้ชิด
ทว่าความทรงจำเกี่ยวกับยองแจในสมัยยังเรียนด้วยกันแจ่มชัดทุกครั้งที่หวนคิดถึงด้วยส่วนลึกของหัวใจมียองแจซ่อนอยู่ในนั้นมาตลอดจนถึงวันนี้
แดฮยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหารูมเมทของตนเองเป็นรอบที่สิบแต่ไม่มีการตอบรับเลยได้แต่แหงนหน้าเดินมองฟ้าไปอย่างเลื่อนลอย...ใจหนึ่งก็ห่วงใยระคนโหยหา
หากอีกใจก็กระวนกระวายกลัวว่าถ้าความรู้สึกของตนถูกเปิดเผยขึ้นมาอาจจะถูกเกลียดจนวันตาย
ลมหายใจอุ่นทอดยาวก่อนจะสะดุดตาเข้ากับใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งกระดกเบียร์กระป๋องอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ใกล้กับร้านกาแฟของยองแจเข้าจนก้าวมาใกล้ก็หลุดอุทานออกมา
“เฮ่ย...พี่มาทำไรแถวนี้เนี่ย”
ฝ่ายถูกถามเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเผยให้เห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับชายผู้เป็นเพื่อนซี้เพื่อนตายของฮิมชาน
เพียงแต่ทางนี้มีองค์ประกอบบางอย่างที่มองแล้วชวนรู้สึกอบอุ่นน่าเข้าหามากกว่า
“มึงตาบอดเปล่าเนี่ย ไม่เห็นไงว่ากูแดกเบียร์อยู่” เสียงต่ำลึกไม่ผิดแผกหากวิธีพูดจาสรรคำกับสีหน้านิ่งมีแววรำคาญชัดเจนนั้นบ่งบอกถึงความแตกต่าง
บัง ยงนัม กับ บัง
ยงกุกเป็นฝาแฝดที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน
นอกจากหน้ากับเสียงแล้วแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง
โดยการรู้จักกันของทั้งคู่เกิดจากการนัดสังสรรค์ของซองวอนซึ่งตอนแรกที่เห็นหน้ายังเข้าใจผิดแต่ผ่านไปสักพักก็แยกออกได้ทันที
...แฝดคนพี่ห่ามๆ
ปากร้ายใจดีกับพี่น้องเพื่อนฝูงแต่แสนสุภาพกับคนอื่น
แฝดคนน้องสุขุมนุ่มลึกแต่อ่านใจยาก
“เห็นพี่ แค่คิดว่าจะเห็นพี่มานั่งดื่มที่นี่คนเดียว
ถ้าไงให้ผมร่วมด้วยได้ปะ”
“อยากร่วมวงก็ตามสบาย แต่กูไม่เลี้ยงมึงนะ
อยากแดกก็เข้าไปซื้อเอง” ยงนัมว่าจ้องหน้ารุ่นน้องด้วยอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่
เนื่องด้วยก่อนหน้ารุ่นน้องคนนี้เคยทำให้เขาถึงกับต้องลากเด็กร้านมาช่วยเคลียร์ปัญหาให้ยิ่งรวมเข้ากับการไม่เห็นไอ้อ้วนหน้าหมามาหลายวันเลยหงุดหงิดงุ่นง่านไปกันใหญ่
“ได้ เดี๋ยวผมเข้าไปซื้อก่อน”
คนอ่อนกว่าผลักประตูหายเข้าร้านสะดวกซื้อไปพักหนึ่งก็หิ้วเบียร์กลับออกมาวางลงบนโต๊ะราวหกกระป๋องแล้วลากเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามมานั่ง
“วันนี้พี่ไม่ได้เปิดร้านเหรอถึงมานั่งดื่มคนเดียว”
“มีลูกค้าแค่สองคนกูเลยปิดร้านไปล่ะ”
“พี่นาเรกับพี่ชารุเขาไม่อยู่เหรอถึงให้พี่อยู่ร้าน”
“ไม่อยู่ไปเที่ยวกัน
ส่วนแฝดน้องกูกกเด็กกุหลาบอยู่ที่ห้องมันโน้น”
“แล้วเด็กในร้านพี่ไปไหนอะ”
“ทำไม ถามถึงทำไม...มึงเป็นเหี้ยอะไรกับมันนักหนา”
เพียงได้ยินการพาดพิงคนอารมณ์ไม่ดีก็ตาขวางถามใส่เสียงแข็งแทบจะทันทีเล่นเอาคนดึงฝากระป๋องเบียร์กระพริบตาปริบ
“ก็...ก็ไม่ได้นะพี่ ผมรู้แล้วว่าเขาเป็นเด็กพี่ เอ๊ย
เด็กในร้านพี่”
“กวนตีนล่ะไอ้เหี้ย กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะ”
“โห...ผมแค่พูดผิดไม่เห็นต้องโมโหขนาดนั้นเลย
ละนี่แฟนนางแบบพี่เขาไม่ว่างเหรอถึงมาแกร่วอยู่นี่”
“ไม่ว่างอะไร กูเลิกกับเขาแล้ว”
“ฮะ...เลิกแล้ว”
“เออ”
“แค่สามอาทิตย์เองเนี่ยนะ”
“สามอาทิตย์แล้วจะทำไมวะ ไปกันไม่ได้ก็เลิกแค่นั้นเอง”
“ไปกันไม่ได้หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“เปล่าหรอกพี่ ดื่มกันดีกว่า เอ้า ชน”
คนอ่อนกว่าที่รู้ทันยกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นชนแล้วปล่อยของเหลวนั้นให้ไหลผ่านคอไปก่อนที่ความสงสัยหนึ่งจะแล่นเข้ามาให้ต้องลดกระป๋องเบียร์ลง
“พี่”
“อะไร”
“พี่เคยฝันปะ”
“ไอ้ห่า ต้องเคยสิวะ คนเหี้ยอะไรไม่เคยฝัน
ขนาดหมากูยังฝันได้เลย”
“แล้วพี่เคยฝันว่าตัวเองมีเซ็กส์อยู่กับคนที่ไม่ควรฝันถึงบ้างมั้ย”
แค่เอ่ยคำถามออกมาเท่านั้นฝ่ายตรงข้ามที่มีชนักติดหลังมาก่อนก็สำลักพ่นเบียร์ออกจากปาก
“แค่กๆ...ว่าไงนะ”
“คือ...ผม...เอ๊ยเพื่อนผมอะมันมาเล่าให้ฟังเรื่องที่มันฝันว่ามีเซ็กส์กับเพื่อนมันก็เลยเอามาถามผมว่ามันเกิดขึ้นได้มั้ย”
ฝ่ายถามก็เฉไฉไถลไปว่าเป็นเรื่องเพื่อนแทน
“ฝันแบบจริงจังหรือแค่เลือนๆ”
“ฝันเหมือนจริงเลย...รู้สึกว่าได้สัมผัสเขาอะ”
“เฮ้ย ไอ้การฝันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอกนะเว้ย
ผู้ชายอย่างเราๆแม่งฝันแบบนั้นได้ก็มีแค่สองอย่าง
หนึ่งคือเงี่ยนมากแล้วไม่ได้ปลดปล่อย
สองก็ไอ้คนที่เราฝันถึงมันอาจอยู่ใกล้ตัวเรามากก็เลยฝันถึง อย่าไปคิดมาก”
“แต่ถ้าหลังจากฝัน เราเกิดทำอะไรแบบนั้นกับคนที่เราฝันถึงขึ้นมาจริงๆ
มันหมายความว่ายังไงวะพี่”
ยงนัมชะงักมือที่เตรียมจะยกเบียร์กระดกใส่ปากเหลือบตาไปทางรุ่นน้องพลางเลิกคิ้วมองด้วยสายตาอย่างรู้เท่าทันถึงความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามทำให้มุมปากยกขึ้นสูง
“ขนาดนั้นเลย ถ้าขนาดนั้นนะกูว่าเรื่องนี้แม่งไม่น่าใช่เรื่องของเพื่อนมึงแล้วล่ะ
เรื่องของมึงเองก็บอกมาเหอะ”
“เฮ้ย
ไม่ใช่นะพี่...เพื่อนมันสงสัยผมตอบไม่ได้ก็เลยมาถามคนมีประสบการณ์”
“ไอ้เหี้ยกูไม่ได้ฝันแบบนั้นปะ”
“ผมหมายถึงพวกที่เชี่ยวชาญเรื่องกิจกรรมบนเตียงน่ะ”
“มึงก็เชี่ยวชาญทางนี้จะมาถามกูทำเหี้ยอะไร”
ถึงถูกจี้ใจดำจนเหงื่อแตกพลั่กก็ยังแกล้งกระดกเบียร์ดื่มทำไม่รู้ไม่ชี้เนียนๆ
อยู่พักหนึ่งจึงพูดต่อ
“แต่กูขอเตือนไว้ก่อนนะถ้ามึงกล้าทำอะไรน้องน้อยสุดที่รักของฮิมชานมันล่ะก็
มันเอามึงตายแน่ มันรัก มันเลี้ยง มันดูแลของมันมา
ขนาดแค่กูหลุดเรียกยองแจว่ามึงไปคำ ด่าซะเหมือนกูไปฆ่าใครตาย”
“พี่ฮิมชานเขาด่าพี่เหรอ ก็สมควรนะ
พี่เรียกยองแจว่ามึงไม่ได้ เขาไม่สมควรจะถูกใครเรียกแบบนั้น”
เพราะรู้สึกไม่ชอบใจที่นางฟ้าของตนถูกพูดไม่สุภาพใส่ก็ของขึ้นมาเสียดื้อๆ
“สรุปที่พูดมาก็เรื่องของมึงสิ”
“ไม่ใช่ เรื่องของเพื่อนโผม ถ้าเป็นผม ผมไม่กล้าทำหรอก”
“อ๋อเหรอ...เห็นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นหมาบ้าเวลามีใครมายุ่งกับยองแจมัน
กูก็นึกว่ามึงกล้าทำ” พอเห็นอาการละล่ำละลักเข้าก็แซะถามไม่ยั้ง
“ผมแค่เป็นห่วงไม่อยากให้เขาเจอคนไม่ดี
ก็คงเหมือนตอนพี่ลากเด็กในร้านมาด่าผมในร้านกาแฟนั้นแหละ
ด่าผมฉิบหายวายวอดเหมือนผมไประเบิดบ้านพี่มางั้นแหละ”
“กูห่วงเหี้ยอะไร
เด็กเปรตอย่างมันกูไม่ห่วงให้เสียเวลาหรอก ที่ลากมาเพราะกูรำคาญ
ได้ยินแม่งบ่นเรื่องมึงเขม่นมันทุกวันเลยพามาเคลียร์จะได้จบๆ”
“ผมพูดแค่นี้ต้องโมโหด้วย พี่นี่ไม่เหมือนแฝดพี่เลยวะ เออ
แต่จะว่าไปผมยังไม่เคยเห็นหน้าเด็กในร้านพี่มาก่อนเลยนะเพราะมันชอบใส่ฮู้ดปิดหน้าปิดตา
วันนั้นพี่พามันมาถึงเห็นว่าหน้ามันคล้ายๆจุนฮงเลย...คงจะมีแค่เรื่องนี้ละมั้งที่คิดเหมือนกัน”
“ไอ้สัตว์...กูไม่ได้ชอบมัน” ถึงคราวคนเป็นพี่ถูกจี้ใจดำแต่ยังไม่รู้ใจตัวเองได้ยินเข้าเลยหัวร้อนตวาดลั่นเล่นเอาอีกคนสะดุ้งโหย่ง
“ใจเย็นดิพี่ ผมยังไม่ทันบอกว่าพี่ชอบอะไรมันเลย
ตวาดใส่เฉย” ฝ่ายยอกย้อนยกมือสองข้างอย่างยอมจำนน
“รำคาญโว้ย...กูอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่
มึงนี่ก็แม่งแทนที่จะแดกเบียร์ไปเงียบๆ เสือกโยงอะไรไม่รู้มั่วซั่ว
ถ้ากูรู้ว่าจะเจอมึงปากหมาใส่แบบนี้นะเมื่อกี้กูไปดูยองแจเสร็จกูน่าจะกลับบ้านไม่น่ามานั่งแดกเบียร์ตรงนี้เล้ย”
“เดี๋ยวนะพี่...ตะกี้พี่บอกว่าพี่ไปดูยองแจมาเหรอ”
“เออสิ ยองแจแม่งไม่สบาย
ฮิมชานมันมีธุระต้องไปดูโรงงานที่ทังจิน
ยงกุกแม่งก็ไม่ว่างมั่วแต่ไปเลือกเฟอร์นิเจอร์มาแต่งอพาร์ทเม้นต์กับไอ้เด็กกุหลาบ
พอกูถามถึงมึงมันบอกคืนนี้มึงทำงานไม่กลับบ้าน หวยเลยมาออกกูนี่ไง”
“พี่ฮิมชานไม่อยู่เหรอพี่...ไหนว่า...เออ
ช่างเหอะ งั้นผมไปก่อนนะ” เพียงได้ยินเท่านั้นคนอ่อนกว่าก็หุนหันลุกจากเก้าอี้วิ่งไปไม่สนใจต่อเสียงตะโกนไล่หลัง
“เอ้า ไอ้เหี้ยจะรีบไปไหน เบียร์มึงอีกห้ากระป๋องนี้ล่ะวะ
โว้ย ไอ้เวร”
ชายหนุ่มสาวเท้าวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิตไม่รอกระทั่งลิฟต์ให้พาไปส่งแต่เลือกจะวิ่งขึ้นบันได้ไปจนถึงหน้าห้องพักก็หยุดหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงเสียงแจ้งเตือนจากคาทกจะดึงความสนใจให้รีบหยิบมันมาเปิดอ่าน
ทว่าข้อความเหล่านั้นกลับถูกส่งมาจากยูจินซึ่งที่ร่ายยาวถึงอาหารการกินบำรุงร่างกายแถมตบท้ายด้วยการขอเลขบัญชีเพื่อโอนเงินไปให้ช่วยซื้อแทน
‘ยองแจน่ะดื้อ บอกให้ไปหาซื้อแต่คงไม่ซื้อหรอก
ยังไงกูฝากมึงไปซื้อให้เขาหน่อยเดี๋ยวกูโอนเงินให้’
ลำพังข้อความจากเพื่อนสมัยมัธยมก็ทำเอาหน้าหงิกแต่พอเห็นข้อความจากจงออบส่งมาเพิ่มก็โมโหไปกันใหญ่
‘พรุ่งนี้พี่ว่างหรือเปล่า ผมบอกพี่ยองแจว่าจะขอไปเยี่ยม
พี่เขาบอกให้พี่พาผมไปหาที่บ้าน
ยังไงผมซ้อมเสร็จจะไปรอแถวหน้าร้านนะหรือจะให้ไปรอที่ออฟฟิศพี่ก็บอกได้เลย’
ชายหนุ่มลองกดไปในหน้าแชทคาทกของเพื่อนร่วมห้องดูถึงเห็นว่ามันขึ้นว่า
ข้อความถูกอ่านทั้งหมดแล้วแต่ไม่มีการตอบรับทำให้หัวใจแห่งความเป็นห่วงหล่นวูบสู่ห้วงความเจ็บปวดแลบานประตูด้วยแววตาแสนเศร้า
เสียงสัญญาณแจ้งการเปิดปิดประตูดังตรงหน้าห้องเรียกให้เจ้าของบ้านที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้ด้วยการหลับอย่างยาวนานจนตื่นมาก็สิงอยู่ห้องครัวอุ่นข้าวในตู้เย็นกินพร้อมไล่อ่านข้อความในมือถือซึ่งพี่ชายส่งคืนไว้ให้บนโต๊ะเลยเดินออกไปด้านนอก
ด้วยคิดว่าฮิมชานหรือยงนัมซึ่งถ่อมาหาก่อนหน้านี้อาจจะลืมของเลยย้อนกลับมาจึงไปดูถึงรู้ว่าคนที่กลับเข้ามาและยืนนิ่งอยู่ตรงโถงทางเดินนั้นคือเพื่อนร่วมบ้านของตัวเอง
แค่เห็นหน้าฝ่ายเพิ่งหายป่วยที่ยังเสียใจอยู่เป็นทุนก็ก้มหัวซ่อนหน้าพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้สั่นทักถามออกไปคำว่าทำไมกลับบ้านก็หันหลังตั้งท่าจะหลบเข้าครัวโดยไม่รอคำตอบ
แดฮยอนยืนมองแผ่นหลังของคนตัวบางไล่มายังมือขาวก็เห็นว่ากำโทรศัพท์มือถืออยู่
ความสงสัยระคนปนหึงหวงผสมรวมกับภาพของชายหลายคนที่ข้องแวะกับคนตรงหน้าในทุกอณูความคิดส่งผลให้ความน้อยใจเต้นระริกบนดวงตาคม
ยามลมหายใจอุ่นพ่นผ่านพาเท้าให้ก้าวเข้าไปหาริมฝีปากก็สั่งการกลั่นคำถาม
“ทำไมนายถึงไม่รับสายฉันล่ะ
ฉันส่งข้อความหานายก็แค่อ่านพอเป็นคนอื่นกลับตอบได้หมด
ทั้งที่ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อดูแลให้สมกับที่นายเป็นคนสำคัญของฉัน
ทั้งที่ฉันทำทุกอย่างเท่าที่คนอย่างฉันจะทำให้นายได้แล้วแต่นายกลับไม่เคยเห็นค่าเลย”
เพราะเสียงทุ้มเย็นเจือแววตัดพ้อดังอยู่ใกล้ตัวทำให้ผู้ได้ยินนึกแปลกใจเหลียวหลังไปหาก็โดนคนตัวสูงเข้าประชิดคว้าแขนผอมของตนไว้พอดี
“ในความคิดนายไม่เคยมีฉันอยู่เลยเหรอ...แค่เอ็นดูฉันเหมือนสัตว์ที่นายอยากเลี้ยงสักครั้งไม่ได้เหรอ
ฉันน่ะยอมเป็นอะไรก็ได้ขอแค่อยู่ในสายตานาย...ทำไมถึงเมินฉัน
ทั้งที่ฉันชอบนายจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
คำสารภาพพรั่งพรูมีความทุกข์ทรมานฉายชัดผ่านสีหน้าดึงใจให้อีกฝ่ายเงยหน้าสบตา
ความเงียบแทรกตัวในบรรยากาศคุกรุ่นทำลายสตินึกคิดทั้งหมดของผู้รับฟังให้ว่างเปล่า พลันหน้าคมของคนสูงกว่าก็เคลื่อนเข้าประชิดจรดริมฝีปากทาบทับบดเบียดริมฝีปากอิ่มสวย
ลิ้นชุ่มเจือกลิ่นแอลกอฮอล์แทรกสอดสู่โพรงปากที่อ้าเผยอ
ฝ่ายไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งเผลอลงฟันกัดแรงทั้งลิ้นและปากที่หาญบุกรุก
หากผู้ถือวิสาสะกระทำตามใจเพียงผงะถอยห่างออกมาเพียงนิดเพื่อเลียเลือดสดจากแผลบนเนื้อปาก
นัยน์ตาสีน้ำตาจริงจังจับจ้องผู้ตื่นตระหนกขณะฝ่ามือทั้งสองประคองแก้มนวลให้เงยหาแล้วโน้มตัวประทับรอยจูบซ้ำ
ผู้ชำนาญอ้อยอิ่งกับการวางผิวเนื้อริมฝีปากสัมผัสแนบเน้าสลับงับเบาลงบนเรียวปากแดงสวยเพื่อคลายความตื่นกลัวถึงลองชำแรกปลายลิ้นแหย่เอาอีกลิ้นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแล้วค่อยขยับคลุกเคล้าดูดดุนแลกรับ จังหวะนั้นเองเท้าของคนตัวสูงกลับถอยไปสะดุดบางสิ่งบนพื้นทำให้หงายหลังด้วยสัญชาตญาณดึงให้มือใหญ่เลื่อนจากหน้านวลลงมากอดรั้งเอวบางเข้าหาเพื่อให้กายตนกลายเป็นเบาะรองความเจ็บทั้งที่ริมฝีปากยังคงจรดบดลงดังเก่า
การจูบดูดดื่มสลับแผ่วผิวระหว่างกันนั้นนุ่มนวลชวนฝันเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่
เรียวลิ้นเจือแอลกอฮอล์ที่คอยหยอกเย้าเอาใจข่มรสลิ้นขมปร่าของเบียร์กระป๋องให้หมดสิ้น
ห้วงเวลาแห่งจุมพิตหวานล้ำดำเนินไปจนลมหายใจของทั้งสองใกล้หมด
แดฮยอนถึงยอมถอนริมฝีปากขยับไปจูบบนหน้าผากและเปลือกตาเบาๆอย่างหวงแหน
เกือบลืมไปเสียแล้วว่ากำลังล่วงเกินนางฟ้าของตนกระทั่งเห็นตากลมโตเบิกกว้างจ้องตรงมาถึงรู้สึกตัว
...ไอ้ฉิบหาย...
คิดได้เท่านั้นชายหนุ่มก็ปิดตาเอนหลังกระแทกพื้นแกล้งเมาหลับไปเสียเฉยๆ
ความสำนึกผิดรวมเข้ากับความกลัวจะถูกตำหนิเกลียดชังแล่นเข้ามาแทนที่ความปรารถนาอันไร้สติจึงไม่กล้ายืดอกยอมรับโดยดุษฎี
...เพราะไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งว่ารัก...
...เพราะไม่เคยแน่แก่ใจเลยว่าหวง...
...เพราะไม่รู้ความนัย ถามไถ่ไปก็ปิดเงียบ...
...เกิดไม่รักลามถึงขั้นเกลียดกันจะทำยังไง...
เจ้าของบ้านกระพริบตาปริบมองรูมเมทที่นอนแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาทั้งที่แขนยังโอบเอวตัวเองอยู่หลวมๆ
อยู่ครู่ก็เอื้อมมือตบหน้าไปเบาๆ พลางร้องเรียกแต่พอได้ยินเสียงกรนลอดมาก็หวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายชอบเมาหลับกลับมาเลยปลดมือใหญ่ออกมาจากเอวลุกไปหยิบผ้าห่มบนโซฟามาสะบัดคลุมตัวให้
“เมาอีกแล้วสินะ”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างไม่ต้องการคำตอบพร้อมมือขาวที่ลูบเบาบนเรือนผม
ตาได้แต่มองหน้าคมหลับอยู่อย่างนั้นก็ถอนหายใจเดินไล่ปิดไฟจนหมดถึงกลับเข้าห้อง
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่หลับอยู่บนพื้นในตอนนี้กำลังลืมตาโพล่งในความมืดด้วยความอัดอั้นจนเครียดไปหมด
ยองแจแวะเข้าครัวหยิบน้ำจากในตู้เย็นติดมือกลับเข้าห้องเพื่อกินยาหลังอาหาร...กายบางทรุดลงนั่งห้อยขาอยู่ริมเตียงทอดสายตาไกลออกไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่างถึงหยิบถุงยาออกมา
ยามยาเม็ดมากมายในฝ่ามือไหลผ่านลำคอตามด้วยน้ำให้กลิ่นและรสขมฝาดอย่างที่เขาเกลียดเหมือนทุกวัน
หากคืนนี้ดูเหมือนความเกลียดการกินยาจะสลายไปเพราะอาการร้อนๆหนาวๆหัวใจสั่นรัว
แม้ก่อนหน้าจะถูกความคาดไม่ถึงทำให้ยังมึนชาไม่รู้สึกอะไรต่อทุกเหตุการณ์จนได้ลองนั่งเพียงลำพังในห้อง
ใคร่ครวญถึงรสสัมผัสแสนหวานจากชายผู้เป็นดวงตะวันแห่งตนมาเนิ่นนานก็สับสนหูตาแดง
ใจเต้นแรงไปหมด
...เขาบอกว่าชอบ...
ใจหนึ่งย้ำเตือนถึงคำที่ได้ฟังไปเมื่อครู่
แต่แล้วอีกใจก็แย้งขึ้นให้นึกถึงเรื่องก่อนหน้า
...เขาเมานะ เวลาเมาเขาจำอะไรไม่ได้หรอก...
เพียงคิดเท่านั้นหัวใจก็เริ่มห่อเหี่ยว
ปลายนิ้วขาวเกลี่ยเบาบนริมฝีปากราวจะจารสัมผัสไว้ไม่ให้เลือนหาย
...ถึงจะเมายังไงก็ไม่เคยบอกว่าชอบ...
ครานี้รอยยิ้มผุดพรายบนหน้าเมื่อหวนคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้
ยองแจยิ้มกริ่มวางขวดน้ำลุกไปปิดไฟถึงทิ้งตัวคว่ำหน้าลงบนเตียงนึกถึงอาการเดี๋ยวสุขเดี๋ยวเศร้าเหมือนคนสติไม่สมประดีก็พลิกตัวนอนหงายมองฝ่าความมืดไปยังเพดานสลัวลางเบื้องบนพาปลายนิ้วให้ไต่ขึ้นมาไล้เบาบนเรียวปากด้วยหัวใจอิ่มเอมจนลืมสิ้นทุกความเจ็บปวดทรมานใจ
...พรุ่งนี้ถ้าทวงถามแล้วได้ยินเขาย้ำคำว่าชอบอีกสักหน...
...พรุ่งนี้เขาก็จะตอบว่าชอบกลับเช่นกัน...
---------------------------แวะคุยกันก่อน-------------------------
เธอเอ๊ย
เหมือนเป็นไบโพล่าร์เดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้าไม่สมประดีจริงๆ
บทนี้คือกรุยทางสู่ความฉิบหาย
ที่แท้จริงของทั้งคู่ในบทต่อไป
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนเด้อ เพราะเหลือกันอยู่แค่นี้แล้วนะ
เพราะถ้าหมดดราม่า
เธอเกียมเบาหวานขึ้นตาได้เลย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้น รวมทั้งติดแท็กฟิคให้
บทนี้เราสุ่มแจกสร้อยนะ
เดี๋ยวเอาชื่อมาเขียนสุ่มจับ
ง่ายเพราะเรามีกันแค่นี้ 5555555555555555
1 Comments
รักฮิมชาน ห่วง หวงน้องมากจริงๆเลี้ยงมาเองกับมือไม่หวงได้ไงเนอะ ชอบความรู้ทันของฮิมชานด้วยวางยาเอาไว้อย่างดีเลย ยองแจก็เชื่อด้วยคนเป็นพี่ก็แบบนี้แหละเนอะกลัวว่าน้องจะต้องเจ็บปวดเลยอยากตัดไฟแต่ต้นลมที่น่าสงสารสุดก็คุณเค้านี่แหละ เฮ้อออออิกากนี่ไม่รู้จะสงสารมันรึอะไรดี หวงจนจะเป็นบ้ารักคุุณเค้าจนจะอกแตกตายแต่แสดงออกมากไม่ได้ เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกันทุกอย่างเลยดูอึนไปหมด อยากให้ผ่านดราม่าไปเร็วๆ อยากเห็นคุณเค้ามีความสุข แค่กายป่วยก็ทุกข์จะแย่นี่ยังมีปัญหาหัวใจอีก ละยิ่งตอนหน้าจะไปถามละอิกากบอกแค่เมา โอ๊ยไม่อยากจะคิด คงได้ร้องไห้จนตาบวมอีกแน่ๆ สุขได้ไม่ทันจ้ามวัน โอ๊ยยยย หน่วงหัวใจ ฮือออ
ตอบลบ