LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 9

13:02


ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิดไร้เดือนดาวคงมีเพียงแสงไฟทางส่องสว่าง ณ ห้องชุดของอาคารพักอาศัยแห่งหนึ่งในเขตมาโพนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนกอดก่ายกับหญิงสาวใต้ผ้าห่มหลังผ่านสมรภูมิรักอันร้อนแรง ทว่าหลังจากนอนพักเอาแรงได้ไม่ทันไรเขาก็สะดุ้งตื่นลืมตาก่อนนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือจะส่งเสียงร้องเตือนเพียงสามสิบวินาที


มือใหญ่คว้านหาโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วคว้าหมับหยิบมันมาปิดเสียงปลุกพลางดูตัวเลขบนหน้าจอที่บอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี


“ผมต้องกลับแล้วนะ” เสียงแหบลึกกระซิบข้างหูคนข้างตัวบนเตียงก่อนจะยกแขนเรียวซึ่งกอดรัดเอวเขาไว้พ้นจากตัวและผุดลุกจากเตียงเปิดไฟจากโคมหัวเตียงให้พอมองเห็นถึงค่อยหยิบเสื้อผ้าที่กองบนพื้นมาสวมอย่างรวดเร็ว


“มันดึกแล้วนะคะ ไม่ต้องกลับหรอกคะอยู่ค้างที่นี่เถอะ” หญิงสาวผิวขาวผุดผาดผู้มีใบหน้าหวานสวยแม้ไร้เครื่องสำอางอ้อนถามเสียงใสขณะพลิกตะแคงร่างหันมามองฝ่ายที่กำลังติดกระดุมกางเกงยีนส์ด้วยสายตาเว้าวอน


“คืนนี้ผมคงค้างไม่ได้ พรุ่งนี้มีประชุมกับสมาคมนักกีฬาแบดบินตันแต่เช้าน่ะ คุณเองก็มีบินไฟลท์เช้าด้วย นอนพักเอาแรงดีกว่า”


“เช้าแล้วยังไงล่ะคะ คุณสัญญากับฉันว่าจะไปส่งฉันที่สนามบินนี่นา ถ้านอนที่นี่พอเช้าคุณก็ไปส่งฉันที่สนามบินก่อนแล้วคุณค่อยไปประชุมก็ได้นี่”


“ถ้าผมค้าง คิดว่าถุงยางไม่น่าจะพอใช้แล้วนะ” ชายหนุ่มตอบยกยิ้มตรงมุมปากด้วยแววตาแพรวพราวแล้วโน้มตัวลงไปจูบฝากรอยแดงบนเนินอกขาวที่โผล่พ้นผ้าห่มพาให้หญิงสาวบนเตียงกำหมัดทุบไหล่อีกฝ่ายแก้เขิน


“แหม คุณเนี่ยชอบพูดลามกกับฉันอยู่เรื่อยเลย”


“ผมลามกกับผู้หญิงของผมเท่านั้นแหละครับ”


“แต่ดูท่าผู้หญิงของคุณน่าจะมีเยอะ”


“ผมไม่มีคนอื่นหรอก ผมมีแค่คุณเดียว”


“ปากหวานไปเรื่อยหรือเปล่านะ”


“เชื่อผมสิ คุณน่ะสวยเหมือนนางฟ้าขนาดนี้ผมจะมองหาคนอื่นอีกทำไม”


“แน่ใจนะคะ”


“ให้สาบานก็ยังได้”


“แหม...”


“เข้าใจผมนะ ถ้าผมกับคุณไม่มีงานเช้าล่ะก็ผมค้างกับคุณแน่ แต่วันนี้ไม่ได้จริงๆ”


“แต่คุณไม่เคยค้างวันธรรมดาเลยนะ เห็นยอมค้างแค่เสาร์อาทิตย์เอง”


“ผมต้องทำงานนี่ครับ...ถ้าค้างก็อย่างที่บอก คุณกับผมไม่น่าจะได้นอน” เสียงแหบลากยาวมียิ้มพราวเจ้าเล่ห์


“ค่า เข้าใจแล้ว”


“โอเค...งั้นผมกลับก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้ผมจะรีบมารับคุณแต่เช้าเลย”


“ค่ะ มืดแล้วขับรถดีๆนะคะ”


“ครับ แล้วเจอกันตอนคุณกลับมานะ”


ยงนัมผงกหัวรับคำแล้วจูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน แต่พอพ้นจากประตูห้องนั้นมาได้ก็วิ่งพรวดลงบันไดแทนลิฟต์ที่รอเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นมาเสียทีจนมาถึงรถยนต์ของตนเองได้ก็ขับออกจากลานจอดรถของคนรักแทบจะทันที


เมื่อเดือนที่แล้วเขาไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของเพื่อนและได้พบกับแอร์โอสเตสสาวจากสายการบินชื่อดังแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเข้า จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกระทั่งตัดสินใจคบหากันอย่างจริงจังในเวลาอันรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์แบบทางไกลแต่ต่างฝ่ายต่างติดต่อกันด้วยช่องทางโซเชียลตลอดเวลา หากมีเวลาว่างตรงกันเมื่อไหร่ถึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน


การค้างบ้านคนรักเป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้ประสานความรักระหว่างกัน ทว่าปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่สามารถไปค้างคืนที่ไหนในวันธรรมดาได้เว้นเสียแต่จะต้องไปทำงานนอกสถานที่


คืนไหนที่ไม่ได้ไปร้านสักพอใกล้เที่ยงคืนไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่สมองจะสั่งการให้ยุติทุกอย่างแล้วออกไปรับไอ้เด็กเปรตคนหนึ่งกลับบ้าน และไอ้เด็กนั่นก็คือพนักงานพาร์ทไทม์ปากหมาน่าถีบที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสิบปี


ทั้งที่ไม่มีความสำคัญห่าเหวอะไรแถมยังน่ารำคาญคอยกวนใจเขาไม่หยุดหย่อน แต่ความคิดกลับเป็นบ้าอะไรไม่รู้ ถ้าไม่ได้เห็นมันกลับจากร้านมาอย่างปกติสุขมันจะหงุดหงิดงุ่นง่านทำอะไรไม่ได้ไปหมด


ขนาดวันเสาร์อาทิตย์ยังเคยเผลอขับรถมาแถวนี้ คิดดูแล้วกันว่าเหี้ยแค่ไหน...


มือใหญ่กำพวงมาลัยหักเลี้ยวไปตามซอยลัดเพื่อมุ่งหน้าสู่ร้านสักที่ตนเองถือหุ้นด้วยครึ่งหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ ทุกครั้งที่คิดได้ว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนึกคิดหรือการกระทำได้เหมือนเคย ทั้งที่ตลอดมาเขาเป็นคนทำอะไรต้องมีเหตุผลรองรับและลำดับความสำคัญทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แต่พอเป็นเรื่องไอ้เด็กนี้เหมือนเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง


ลำพังแค่ไปรับมันกลับบ้านตอนดึกก็ว่าแย่แล้วนะ แต่เดือนก่อนเสือกโยนกุญแจสำรองแล้วบอกให้มันมานอนบ้านซึ่งไม่เคยให้ใครนอกจากคนในครอบครัวมานอนอีก หนำซ้ำยังต้องปลุกมันตื่น ทำกับข้าวให้มันแดก ถึงมันจะทำความสะอาดบ้านตอบแทนไหนจะแม่ของมันที่คอยโทรมาฝากฝังและฝากของกินมาให้แทนคำขอบคุณอยู่ประจำแต่นั้นมันมากพอให้เขาต้องทุ่มเทกับเด็กเวรนั้นขนาดนี้เชียวหรือ


คิ้วหนาบนหน้าเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด กระทั่งสายตาเหลือเห็นใครคนหนึ่งเสื้อคลุมตัวยาวสีดำมีฮู้ดคลุมหัวยืนเตะลมสลับชะเง้อชะแง้เหมือนรออะไรสักอย่างห่างจากหน้าร้านไปไม่ไกลคิ้วก็คลายตัว พออีกฝ่ายหันควับมาเห็นรถกับป้ายทะเบียนก็รีบวิ่งมาหาก็หลุดยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น


“ช้า” คนตัวอ้วนกลมจากเสื้อผ้าเปิดประตูฝั่งข้างขับได้ก็ว่าใส่ทันที


“ช้าเหี้ยอะไร นี่เพิ่งเที่ยงคืนเอง ทำมาบ่น”


“นาฬิกาบ้านกล้ามปูเสียเหรอไง เที่ยงคืนอะไรเล่า...เลยมาตั้งยี่สิบนาที”


“แค่ยี่สิบนาที ทำมาบ่น รอนิดรอหน่อยจะเป็นไรวะ กูมีธุระบ้างไม่ได้ไง”


“มีธุระก็ให้เรากลับเองเสะ...นั่งรถเมล์จากนี่ไปยังถึงเร็วกว่ารอกล้ามปูมารับเลย”


“บ่นจังเว้ย กูก็มารับอยู่นี่ไง”


“มารับยังไงก็เปลี่ยนความจริงที่ว่ากล้ามปูมาช้าไม่ได้หรอก” ฝ่ายอ่อนกว่าพูดงึมงำขณะก้าวขึ้นมานั่งบนรถ พลันกลิ่นน้ำหอมจากกายของหญิงสาวผู้โดยสารมาก่อนหน้ากลับอวลแรงจนเจ้าตัวถึงกับยกนิ้วบีบจมูกแล้วร้องเสียงหลง “โหย กลิ่นน้ำหอมโครตฉุนเลย กล้ามปูเพิ่งไปส่งแฟนมาปะเนี่ยกลิ่นน้ำหอมถึงหึ่งขนาดนี้”


เสียงบ่นไม่หยุดหย่อนและสีหน้าที่พร้อมจะจามตลอดเวลาทำให้คนขับเหลือบมองผู้โดยสารข้างๆ คล้ายรำคาญหากมือกลับกดปุ่มลดกระจกอีกฝั่งลงเพื่อให้ลมช่วยกระจายกลิ่นฉุนออกไป


“กล้ามปูลดกระจกลงทำไมอะ”


“กลิ่นจะได้หายไง เดี๋ยวไอ้หน้าหมาบ้างตัวมันมาจามในรถ สกปรก”


สิ้นคำนั้นจุนซอที่คาดเข็มขัดหันไปมองฝ่ายคนขับที่พูดจาห้วนๆ สายตาจดจ่ออยู่กับท้องถนนดูท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจผิดกับการกระทำก็อมยิ้มแล้วแกล้งกวนประสาทกลับ


“ว่าเราสกปรกเหรอ อ๋อได้ เดี๋ยวจะจามให้เต็มรถเลย ฮัด...” เพียงแกล้งตั้งท่าจะจามใส่มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ละจากพวงมาลัยมาปิดจมูกกับปากของคนอ่อนกว่าพร้อมสบถใส่ทันที


“ไอ้เด็กเหี้ย กูบอกว่าสกปรกไม่ได้ยินไง”


“อกอาอกอะไอเอ่า” ฝ่ายถูกปิดปากร้องอู้อี้พยายามส่ายหน้าดิ้นไปมาพอปากพ้นจากมือใหญ่ได้ก็ใช้ฟันงับสันมือนั้นเข้าให้


“ไอ้หน้าหมานี่ กัดทำเหี้ยอะไรเนี่ย” เจ้าของมือบ่นอย่างไม่จริงจังขณะดึงมือที่ถูกงับเบาๆเหมือนเวลาสุนัขกัดมือเจ้าของเล่นกลับมาจับพวงมาลัยเหมือนเดิม


“ก็มาอุดจมูกเราทำไม เราหายใจไม่ออก”


“เอ้า ก็มึงจะจามใส่รถกูนี่หว่า”


“พอจะจามละบอกสกปรก ตอนเรากัดมือไม่เห็นว่าเลย”


“กูขับรถอยู่โว้ย รอกูถึงบ้านก่อนมึงโดนแน่”


“โดนไร ไม่เห็นจะเคยโดนไรเลย” คนเป็นเด็กลอยหน้าลอยตาพูดใส่แต่มือกลับคว้านหาทิชชู่เปียกในกระเป๋าหยิบออกมาเช็ดมือตรงที่มีรอยฟันจางๆให้


“อะไรของมึง...ผู้ชายเหี้ยอะไรพกทิชชู่”


“ไม่ได้พกนะ ตอนมาร้านมีคนยืนแจกอยู่เห็นว่าฟรีเลยไปเอามาหรอก”


“โว้ย มึงนี่ก็นะ งกอะไรนักหนา กับทิชชู่ก็ไม่เว้น”


“แล้วไงเล่า เราไปเอามาแค่อันเดียวเอง เอามาก็ได้ใช้กับกล้ามปูเลยเห็นปะ มีประโยชน์จะตาย”


“มึงก็แม่งกูจัง เถียงคำไม่ตกฟากเล้ย”


“ไม่ตกฟากนี่คืออะไร”


“โว้ย แค่นี้ก็ไม่รู้อีก”


“เราจะไปรู้ได้ไง คำโบราณใครจะไปรู้จัก”


“เอ้า ไอ้ห่า จะด่ากูแก่ว่างั้น”


“ก็แก่จริงนี่...อายุสามสิบกว่าแล้วไม่ใช่ไง เราเพิ่งยี่สิบต้นๆเอง”


“แม่งเอ๊ย ถ้าไม่ติดว่าขับรถนะ กูโบกมึงหัวโยกแน่”


“โบกเลยจิ โบกเลย อยากโดนโบกแล้วเนี่ย”  


“โวะ เด็กเวรนี่แม่ง” เสียงแหบสบถออกมาอีกคราพร้อมกับมือที่ปลดจากพวงมาลัยเอื้อมมาดึงฮู้ดคลุมหัวของอีกคนออกแล้วขยี้ผมอย่างแรงจนผมยุ่งเหยิงไปหมดถึงเอ่ยต่อ “ทำไมชอบกวนประสาทกูนักวะ ตอนอยู่ร้านทำตัวกวนตีนแบบนี้กับลูกค้าเปล่าเนี่ย”


“ไม่ทำหรอก เขาเป็นลูกค้า...ลูกค้าคือคนให้ตังค์ ละจะให้กวนเขาได้ไง”


“กูก็ให้เหมือนกันทำไมกวนตีนกูจังวะ”


“กล้ามปูให้ที่ไหนกัน”


“เงินเดือนมึงไง ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าสารพัดค่า มีหน้ามาบอกไม่ได้ให้”


“นั่นพี่นาเรกับพี่ชารุเขาจ่ายให้นี่ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น เราไม่ได้ขอ กล้ามปูออกให้เองนิ”


“เด็กเหี้ย” คำด่าตามมาอีกคราพร้อมกับมือหนาที่ละจากการขยี้ผมกลับไปจับพวงมาลัยเช่นเดิมทำให้สายตาของเด็กที่เอนหลังหันมามองอยู่ตลอดฉายแววเสียดายไออุ่นนั้นอย่างไม่รู้ตัว


“คำก็เหี้ยสองคำก็เหี้ย เราโดนกล้ามปูด่าอยู่คนเดียวแหละ นอกนั้นมีแต่บอกเรานิสัยดี” เจ้าตัวบอกหยิบถุงพลาสติกสีดำที่หิ้วติดตัวมาด้วยวางบนตักพลางแกะโยเกิร์ตพร้อมดื่มมาเจาะหลอดดูด


“มึงเคยทำตัวดีกับกูซะที่ไหน”


“เราทำแล้วกล้ามปูก็ด่าอยู่ดีแหละ”


“ดีจริงกูจะด่ามึงมะ...ละนั่นมึงแดกอะไรอีกเนี่ย” เพราะละสายตามามองแว้บหนึ่งถึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังดูดน้ำจากในขวดผ่านหลอดอยู่


“โยเกิร์ตพร้อมดื่มไง ไม่เคยกินอ๋อ”


“โอโห เดี๋ยวนี้มีพัฒนาการซื้อของแดกด้วยเงินตัวเองเป็นแล้ว”


“เราไม่ได้ซื้อ ลูกค้าเขาให้มา”


“ลูกค้าเนี่ยนะ...ผู้หญิงผู้ชายวะ”


“ถามมาได้ กล้ามปูไม่มาร้านสักล่อสาว แล้วสาวที่ไหนจะมาให้”


“ลูกค้าผู้ชายให้อีกล่ะ...มึงนี่ยังไงวะ ทำไมมีแต่ผู้ชายมาเอ็นดู ผู้ยงผู้หญิงเขาไม่เห็นเขาแลมึงกันเลย”


“เห็นแบบนี้เราก็เคยมีแฟนนะ”


“แฟนแบบไหน...แค่คบไม่ถึงเดือนแถมไม่เคยกระทั่งจับมือเขาไม่เรียกแฟนกันหรอก”


“โหย ตัวเองก็ไม่เคยคบสาวนานสักกะคน ยังจะกล้าว่าคนอื่นอีก”


“ถึงเดือนเดียวกูก็ได้มากกว่าจับมือล่ะวะ”


“แหวะ”


“แหวะเหี้ยอะไร สำลักโยเกิร์ตหรือไง สำลักก็เลิกแดกแล้วเอามาให้กูแดกแทน”


“จะกินเหรอ งั้นรอแป้บเดี๋ยวแกะอันใหม่ให้”


“ไม่ต้อง เอาอันที่มึงแดกอยู่นั้นแหละ”


คนอ่อนกว่ากะพริบตาปริบหลังได้ยินคำขอ ก้มมองฝาขวดโยเกิร์ตที่ถูกหลอดเจาะรูครู่หนึ่งก็หันไปหาเจ้าของรถซึ่งตนโดยสารมาอีกครั้ง


“กินด้วยกันไม่กลัวเหรอ...เป็นไวรัสตับขึ้นมาทำไง”


“เด็กโง่อย่างมึงรู้จักไวรัสตับกับเขาด้วย”


“รู้จักสิ เราก็เรียนหนังสือเหมือนกันนะ”


“เรียนยังไงถึงโง่อยู่วะ” สิ้นคำคนแก่กว่าก็คว้าขวดโยเกิร์ตเจ้าปัญหามาใช้ฟันกัดเปิดฝาฟลอยด์ออกแล้วกระดกโยเกิร์ตที่เหลือลงคอจนหมดขวด


“โหย กล้ามปูนิสัยไม่ดี แย่งเรากิน...แย่งกินแล้วก็แวะG25ตรงซอยบ้านกล้ามปูให้เราด้วยเลย


“ทำไมกูต้องแวะ”


“ก็เรายังไม่ได้กินอะไรเลยอะ พอกินโยเกิร์ตกล้ามปูก็แย่งกินอีก”


“อะไร ยังไม่ได้กินข้าวเลยเหรอ ไม่ได้กินตั้งแต่ตอนไหน”


“ตั้งแต่เที่ยงแล้ว”


“ทำเหี้ยอะไรอยู่ถึงไม่กินข้าววะ”


“เตรียมของไว้จัดบูธงานจบตัวเองอะดิ ตอนจะไปกินข้าวพี่ชารุโทรตามให้มาช่วยขายเสื้อผ้า พอดีพี่นาเรเขาจัดงานลดเสื้อผ้าเที่ยงวันยันเที่ยงคืน ร้านสักก็มีคนอีก เราวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเลยไม่มีเวลากิน”


“แล้วทำไมมึงไม่บอกแต่แรกวะ ไม่แดกข้าวตั้งแต่เที่ยงยันจะตีหนึ่งอยู่แล้วเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอกไอ้ห่า ละนี่ปวดท้องหรือเปล่า แดกนมเปรี้ยวตอนท้องว่างแม่งไม่ดีหรอกนะ” น้ำเสียงและท่าทางร้อนลนถามพลางหันมามองเป็นระยะแสดงออกถึงความกังวลจนดูดุทำให้คนอ่อนกว่าหดคอดึงสายเชือกรูดหมวกฮู้ดไปมา


...ถึงจะชอบกวนประสาทแต่พอเห็นท่าทีขึงขังจริงจังแบบผู้ใหญ่เข้าถึงจะอุ่นใจก็ยังกลัวไปด้วยอยู่ดี...


“ก็...บอก...แล้วนี่ไง”


“มึงแม่งชอบทำอะไรไม่เข้าเรื่องเลย”


“งานมันยุ่งจะให้ทำไงเล่า เราทำไม่คุ้มเงินเดือนกล้ามปูก็ด่าอีก เนี่ยจอดตรงนี้แหละเดี๋ยวเราลงไปซื้ออะไรกินเอง”


“ป่านนี้มันจะเหลืออะไรให้มึงกินวะ”


“รามยอนไง ต้มรามยอนก็ได้ อิ่มเหมือนกัน”


“กินแต่อะไรแบบนี้ไงสมองถึงฝ่อ ไม่ต้องเลย กลับบ้านก่อนเดี๋ยวกูหาอะไรให้แดกเอง”


สิ้นคำเจ้าของรถก็ขับรถผ่านร้านสะดวกซื้อเข้าซอยตรงไปจอดยังลานจอดใต้ดินของอาคารที่ตนเองพักอาศัย ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักโดยคนอ่อนกว่าได้แต่ลากเท้าตามไปนั่งจุมปุ๊กรออีกฝ่ายที่ง่วนกับการทำอาหารด้วยเตาไฟฟ้า


เพียงข้าวผัดกิมจิหมูโปะไข่ดาวหนึ่งฟองวางลงตรงหน้าพร้อมใส่ช้อนส้อมมาเสร็จสรรพ ผู้หิวโหยก็จ้วงเข้าปากปล่อยให้ฝ่ายทำอาหารทั้งที่ไม่ชอบการทำงานบ้านหรืออาหารอย่างมากลากเก้าอี้มานั่งมองพลางถอนหายใจ


“แดกช้าๆก็ได้ ติดคอขึ้นมากูไม่ช่วยนะ”


“ก็หิวนิ” เจ้าตัวกลมเงยหน้าบอกทั้งที่ข้าวเต็มปาก


“เด็กเวร กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดตอนแดก”


“แล้วกล้ามปูจะชวนคุยทำไมล่ะ”


“เด็กห่าอะไรก็ไม่รู้ เถียงอยู่นั้นแหละ ทำห่าอะไรก็ไม่เป็น ไม่มีกูนี่มึงจะอยู่ยังไงวะ” คนตัวใหญ่เท้าคางถามโดยไม่รู้ว่าแววตายามทอดหาเด็กที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอ่อนโยนเพียงใด


“ตอนเราไม่รู้จักกล้ามปู เราก็อยู่ของเรามาได้นะ”


“แล้วมันสบายเท่ากับอยู่กับกูมั้ยล่ะ” 


“มันก็...” คำถามนั้นเรียกให้ผู้ได้ยินเงยหน้าจากจานข้าวตั้งท่าจะยอกย้อน ทว่าพอเห็นแววตาของอีกฝ่ายเข้าก็กลืนน้ำลายรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเลยไม่ยอมสบตาหาเรื่องเฉไฉ


“ไม่สบายเท่าอยู่กับแม่หรอกน่า”


“นั้นปะไร ไอ้เด็กอย่างมึงนี่นะ เด็กประเภทวุ่นวายที่สุดในโลกแบบมึงเนี่ย ใครจะทนมึงได้ตลอดเวลานอกจากแม่มึงกับกูวะ”


“ทำอย่างกะมีคนทนกล้ามปูได้แหละ นอกจากเราแล้วใครจะทน”


“พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง เมียกูไงที่ทน”


“ตัดเมียออกเหอะ ไม่เห็นทนเกินสองเดือนสักคน เนี่ยจะว่าไปทำไมกล้ามปูไม่พาแฟนมาค้างนี่ล่ะ ถ้ามาค้างบ้านนี้ด้วยกันอาจจะคบกันยาวกว่านี้ก็ได้”


“แล้วมึงจะไปนอนไหน”


“บ้านเพื่อนเราสิ เราก็มีเพื่อนนะ”


“เพื่อนที่เวลามึงต้องการตัวไปหาไม่ได้นั้นน่ะนะ เหอะ...พอเลย ไม่ต้องไปทำชาวบ้านเขาวุ่นวายเลย วุ่นวายแค่กับกูคนเดียวก็พอแล้ว”


สุ่มเสียงคล้ายแดกดันหากในทุกคำกลับมีความหมายโดยนัยว่าห่วงนั้นเป็นเหตุให้จุนซอรู้สึกแปลกเริ่มเขี่ยข้าวเล่นแทนการกินไปเสียนี้


ความจริงจุนซอรู้ดีแก่ใจว่าคนแก่ที่นั่งเท้าคางสบายๆมองอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามตนเองเป็นคนประเภทปากร้ายใจดี แต่เมื่อได้มาอาศัยใต้ชายคาเดียวกันบ่อยเข้าถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอบอุ่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเวลาได้ยินคำพูดเสียงห้วนแฝงความห่วงใยหรือได้เห็นแววตาเอ็นดูทั้งที่ปากยังด่าอยู่ก็รู้สึกแปลกไปหมด


...หัวใจมันเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก หูเหอหน้าเหนอแดงแบบคุมไม่อยู่

...ร้ายไปกว่านั้นคือไอ้ความกล้าที่มีมากลับหายไปไหนไม่รู้เลยต้องก้มหน้างุดหลบตาอีกฝ่ายไว้


“ละนี่ใครแม่งบอกมึงวะว่ากูคบกับแฟนไม่เกินสองเดือน”


“ได้ยินพี่ชารุกับพี่นาเรเขาคุยกัน”


“ไอ้เวร...ผู้ใหญ่เขาคุยกันยังกล้าเสือกอีก”


“เราไม่ได้เสือก เราได้ยินเอง” ทั้งที่ปากขยับสวนกลับทันควันแต่เจ้าตัวกลับไม่กล้าเงยหน้าจากจานข้าวเสียที


“ได้ยินเองห่าอะไร ไปยืนฟังสิไม่ว่า ไอ้หน้าหมาขี้เสือกแบบมึงเนี่ย ไม่มีทางได้ยินเองหรอก”


“เนี่ย...กล้ามปูก็ดีแต่ด่าไม่เห็นเคยพูดดีๆด้วยเลย ตอนเราไม่อยู่กล้ามปูอดด่าเรามิลงแดงตายเลยเหรอ”


“ลงแดงอะไร ไม่ต้องด่ามึงเนี่ยสบายกูจะตาย”


“ก็ดี...พอดีเราต้องจัดงานจบคงไม่ว่างไปร้านหรือมาค้างนี่เหมือนกัน”


“เรื่องของมึงเหอะ”


“เราก็บอกไปงั้นแหละ ขืนไม่บอกเดี๋ยวคนแก่แถวนี้มาหาเรื่อง”


“ใครเขาหาเรื่องมึงวะ มีแต่มึงหาแต่เรื่องให้กูเนี่ย...ละนั่นแดกหมดแล้วก็ไปอาบน้ำเลยไป”


“แล้วจานล่ะ”


“เดี๋ยวกูล้างเอง มึงไปอาบน้ำเหอะไป”


“แต่งานบ้านมันหน้าที่เรานะ”


“ถ้างานบ้านเป็นหน้าที่มึง ทำไมไม่ทำกับข้าวให้กูแดกด้วยล่ะวะ”


“ก็เราทำอาหารไม่เป็นนิ”


“ทำห่าอะไรไม่เป็นสักอย่าง จะไปอยู่กับใครเขาได้วะ กะอีแค่ล้างจานกูยัดเข้าเครื่องมันก็ล้างเสร็จละ ไป ไป อาบน้ำกูจัดการเอง”


“ไปก็ได้ แล้ว...พรุ่งนี้กล้ามปูตื่นเช้าเปล่า”


“ทำไม”


“พรุ่งนี้เราต้องไปมหาลัยแต่เช้า ถ้ากล้ามปูตื่นแล้วฝากปลุกเราหน่อยได้ปะ”


“ปลุกมึงแล้วกูได้อะไร”


“แค่ให้ปลุกต้องทวงบุญคุณกันด้วย งก” เมื่อถูกย้อนใส่คนอ่อนกว่าก็เงยหน้ามาโวยใส่ได้ในที่สุด


“อย่างกูเนี่ยนะงก กูนี่ใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรแล้ว...แน่ะ...ไอ้หน้าหมานี่ ยังอีก ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูปลุกเอง”


“แล้วกล้ามปูจะนอนตอนไหน”


“โวะ มึงนี่ กูตรวจงานเสร็จกูก็นอนของกูเองแหละ มึงอะไปได้แล้ว นอนไม่พอตอนเช้ากูปลุกเดี๋ยวก็งอแงอีก”


“งอแงอะไร เราไม่เคยงอแงซะหน่อย”


“ต้องให้กูเปิดกล้องใช่มั้ย”


“ชิ...ไม่ต้อง ไปนอนแล้ว”


“อีกอย่าง อย่าให้กูเห็นว่ามึงแอบลงไปให้อาหารแมวตอนตีสามอีกนะ ถ้าเห็นกูโบกจริงๆ” เจ้าของห้องดักทางหลังจากเคยแอบตามไปเห็นอีกฝ่ายหนีลงไปให้อาหารแมวที่ไม่รู้ว่าจรจัดจริงหรือเปล่าหลายต่อหลายครั้ง


“รู้แล้วน่า”


“เออ...ไปนอนไป” เจ้าของห้องโบกมือไล่แล้วหยิบจานชามแก้วน้ำที่กองอยู่ในอ่างมากวาดเศษอาหารถึงยัดใส่เครื่องล้างจานทำเหมือนไม่รู้ว่าคนอ่อนกว่ายังยืนมองอยู่ข้างหลังอยู่พักหนึ่งก็ถอนใจ


“ไม่ต้องรอ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวโง่กว่าเดิม...ฝันดี ราตรีสวัสดิ์”


แค่ได้ยินคำนั้นลอยมาฝ่ายถูกจับได้ซึ่งยืนอ้อยอิ่งรออยู่ตรงนั้นก็สะดุ้งหน้าแดงรีบผละจากครัวไปทันที


“เด็กเวร” เขาสบถออกมาทั้งที่ปากยิ้มกว้างมือไม้ยังยุ่งกับการเก็บล้างทำความสะอาดทุกอย่างในครัว จากนั้นก็เดินเข้าห้องนั่งเล่นหยิบไอแพดมาตรวจเช็กไฟล์แผนการทำทีมและฝึกซ้อมของนักกีฬาที่ต้องใช้ประกอบระหว่างการประชุมกับทางสมาคมต่อ


เจ้าของห้องใช้เวลาอยู่กับงานถึงตีสามก็เก็บไอแพดลงกระเป๋า เดินผ่านโถงไปยังห้องนอนที่ปิดไฟมืดแทบมองอะไรไม่เห็นแต่ด้วยความไม่อยากปลุกคนบนเตียงเลยต้องอาศัยแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ย่องไปหยิบบ็อกเซอร์ได้ตัวหนึ่งก็ออกไปอาบน้ำ พอกลับเข้ามาอีกทีก็ใช้แสงจากโทรศัพท์เดินไปจนถึงเตียงก่อนจะเปิดไฟจากโคมบนโต๊ะข้างเตียงถึงเห็นว่าตัววุ่นวายนอนแผ่หราผ้าห่มร่นจากตัวลงไปกองอยู่ตรงข้อเท้า


“นอนยังไงของมึงวะเนี่ย” เจ้าของห้องบ่นพลางดึงผ้าห่มตรงข้อเท้ามากองถึงคอของอีกฝ่ายถึงค่อยแทรกตัวลงไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เมื่อเอื้อมปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน


พลันคนที่นอนแผ่กลับพลิกตะแคงขยับแล้วขยับตัวเข้ามาอยู่ตรงอกเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นพ่นรดบนกล้ามอกพาให้เจ้าของร่างกายพร้อมเล็บกุดที่คอยแกะเกาเบาจนสาแก่ใจแขนผอมก็สอดเข้ามากอดรอบเอวสอบตามด้วยใบหน้าที่เข้ามาคลุกซุกไซ้แนบชิด


ทุกคืนเวลาคนอ่อนกว่ามาค้างคืนที่นี่พอหลับไม่ได้สติจะชอบนอนกางแขนกางขาเต็มเตียงแต่ถ้าเขาล้มตัวลงมานอนด้วยเด็กคนนี้จะขยับมากอดแล้วซุกนอนเหมือนลูกหมาโหยหาไออุ่น น่าแปลกตรงที่แม้โดนเช่นนี้เป็นประจำฝ่ายให้ยืมอกซบนอนก็ไม่ชินเสียที


…นอนกับมันเหมือนนอนกับเมีย ซุกเหี้ยอะไรขนาดนี้ จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ ขืนแม่งรู้เข้าหัวเราะกันตายห่า...


“แจ๊บ...แจ๊บ...ซาลาเปาอร่อย”


จู่ๆคนในอ้อมแขนก็เริ่มละเมอส่งเสียงคล้ายกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่าง สักพักก็ลงฟันครูดกับกล้ามอกหนาแน่นด้วยคิดว่าเป็นซาลาเปาไส้หมูแดงเช่นในฝัน


“อ้วน...มึงฝันถึงของกินอีกแล้วเหรอเนี่ย” ทั้งที่หน้าเข้มขมวดคิ้วไม่ชอบใจแต่ปากกลับกระซิบด่าเพราะไม่อยากปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น มีแค่มือที่ดันหน้าผากไว้ให้อยู่ห่างกว่าเมื่อครู่เล็กน้อยจึงเอ่ยเสริมออกมา “ไม่เอา...ไม่กัด...ไว้พรุ่งนี้เช้ากูจะซื้อให้แดก...ให้สามลูกเลย โอเคมั้ย”


“อื้อ” คนหลับสนิทส่งเสียงในคอขณะละเมอผงกหัวเหมือนรับรู้แล้วขยับกลับเข้าไปซุกกอดอีกฝ่ายดังเก่า


“มึงนี่แม่ง ฝันเรื่องของกินอะไรได้ทุกวัน”


ยงนัมบ่นออกมาอีกคำรบได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา...เวลานอนสำหรับเขาเป็นสิ่งมีค่าเพราะส่วนมากงานยุ่งจึงไม่ค่อยได้นอน พอออกไปค้างบ้านสาวก็ไม่ทำกิจกามอยู่ตลอด พอมีเวลากลับบ้านก็อยากจะนอนให้เต็มอิ่มแต่ไอ้เด็กเปรตกลับขยันละเมอแม่งทุกวี่วัน


...ละเมอห่าอะไรมีแต่ของกิน...


“กล้ามปูกินเปล่า เราจะซื้อไปให้ สิบลูกพอมั้ย ฮิ เยอะไปเหรอ งั้นกี่ลูกดีล่ะ ซื้อไปแล้วกินด้วยกันนะ”


ตอนที่ฝ่ายมีสติกำลังหลับตาก็พอดีได้ยินเสียงละเมอบ่นปนหัวเราะ แขนผอมกอดกระชับแน่นหนาอย่างมีความสุขทำให้เขาเลิกคิ้ววางคางคลึงเบาลงบนกระหม่อมของคนในอ้อมแขนก่อนจะกระซิบฝากคำลอยๆด้วยรอยยิ้ม


“ไม่มีใครเขาทนมึงได้เท่ากูหรอก รู้ไว้ ไอ้หน้าหมา”

--------------------------------------------------------
บานกระจกสั่นไหวจากแรงของพายุฝนหลงฤดูพาให้คนหลับสบายบนเตียงอยู่เป็นนานเริ่มกระสับกระส่ายแต่ยังไม่มีทีท่าจะตื่น แม้จะถูกมือใหญ่ของใครบ้างคนเขย่าตัวไปมาหลายต่อหลายครั้งกระทั่งได้ยินเสียงแหบต่ำเรียกอยู่ข้างหูก็กะพริบตาอย่างงัวเงีย


“ตื่นได้แล้ว” เจ้าของบ้านบอกมองร่างผอมบนเตียงที่สวมเพียงเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นสีมัสตาร์ด ดวงตากลมปรือกึ่งหลับกึ่งตื่น


“นี่กี่โมงอะ” ถึงปากจะถามแต่หน้าเกลือกอยู่กับผ้าห่มนวมราวกับเป็นเพื่อนซี้ที่ขาดไปไม่ได้


“หกโมง”


“โอ๊ย เพิ่งหกโมงเอง เช้าจะตาย มาปลุกเราทำไมเนี่ย” คนบนเตียงนิ่วหน้าโวยวายใส่


“มึงเป็นคนบอกกูเองนะว่าต้องตื่นเช้า”


“ใช่...แต่ใครบอกให้ปลุกเราเช้าขนาดนี้เล่า”


“ถ้าสายกว่านี้กูไม่อยู่ปลุกมึงให้หรอกนะ กูต้องไปรับแฟนพาไปส่งสนามบิน แฟนกูเขาบินไฟลท์เช้า พอส่งเสร็จกูจะได้เลยไปทำงานต่อ”


“งั้นเชิญกล้ามปูไปก่อนเลย เดี๋ยวเรานอนอีกชั่วโมงค่อยไป” พูดจบฝ่ายเด็กกว่าก็กลิ้งไปนอนแผ่อีกรอบ


“นอนห่าอะไรอีก... ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว กูจะให้มึงติดรถกูไปมหาลัย”


“นี่กล้ามปูเป็นไรอะผีเข้าเหรอ ทำมาเป็นจะพาเราไปส่งมหาลัย”


“โถะไอ้เด็กเวร พูดเหมือนกูไม่เคยนั่งรถกูไปมหาลัยตอนเช้าเลยเนาะ”


“อันนั้นเราต้องไปพอดีเลยนั่งไปด้วยหรอก วันนี้เราไปสายได้ กล้ามปูไม่ต้องทำเป็นคนดีหรอก เรานั่งรถเมล์ของเราไปเองได้”

“มึงนี่ลีลาจังเว้ย กูผ่านทางนั้นพอดีหรอก ไม่งั้นจะให้มึงติดรถมาทำเหี้ยอะไร...เร็ว ไปอาบน้ำ”


“ก็เราง่วงนี่”


“ไปนอนเอาที่หอสมุดมหาลัยมึงสิวะ...ไป เดี๋ยวกูสาย”


“โอ๊ยยยยยย รู้แล้ว รำคาญจริงเลย”


หลังถูกเซ้าซี้มากเข้าคนไม่อยากตื่นก็ลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าสะพายหลังที่เขาใช้ใส่เสื้อผ้าข้าวของเวลาจะมาค้างที่นี่ จากนั้นก็เดินโงนเงนไปทำธุระส่วนตัวทั้งหลายในห้องน้ำสวมกางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อกล้ามตามด้วยเสื้อยืดทับด้วยแจ็กแก็ตได้ก็ออกจากห้องน้ำเดินตามหาเจ้าของบ้านมาถึงในห้องนั่งเล่น


“เสร็จแล้วใช่ปะ เอ้า นี่ของมึง อย่าจับก้นถุง จับปากถุงพอ มันยังร้อนอยู่”


จุนซอกะพริบตามองถุงกระดาษที่มีวงชื้นจากไอน้ำซึ่งถูกยืนมาตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงรับมันมาถือก่อนจะเงยหน้าไปยังคนตัวใหญ่ที่วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมเทาพับแขนไว้ตรงศอกชายเสื้อสอดอยู่ใต้เข็มขัดหนังและกางเกงสแลค บนข้อมือซ้ายมีนาฬิกาแบรนด์เนมเรือนทองสวมติด ใบหน้าสะอาดสะอ้านกับเรือนผมดำหยักศกเซ็ตเข้าทรงดูภูมิฐานเป็นการเป็นงานไม่เหลือมาดคนแก่ขี้โวยวายก็รู้สึกแปลกจนไม่กล้าสบตา


“กูไม่ว่างทำข้าวเช้าให้นะ เอานั่นไปแดกแทนก่อน แล้วก็กูเอากระเป๋ามึงมาให้แล้ว เอาไปด้วยจะได้เทียวกลับมาเอาตอนเย็นอีก”


“รู้แล้ว” เจ้าตัวยุ่งตอบรับงึมงำคว้ากระเป๋ามาสะพายหลังโดยไม่มองหน้า


“ละเย็นนี้มึงยังไปร้านอยู่มั้ย” อีกฝ่ายถามขณะก้มไปเช็กเครื่องให้อาหารและน้ำอัตโนมัติของสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ผงกหัวมองเจ้าของตนเองอยู่บนเบาะนอนอย่างสงบเสงี่ยม


“ไป แต่พรุ่งนี้กับอีกสามสี่วันคงไม่ได้ไป”


“เออ วันนี้กูไปดูร้านแทนพี่นาเรกับพี่ชารุพอดี มึงรีบๆมาล่ะ มาช้ากูตัดเงินเดือนนะ”


“โหย พอพี่นาเรไม่อยู่ขู่จะตัดเงินเดือนตลอดเลยน้า คนแก่เนี่ยนิสัยไม่ดีเลย”


“ใครแก่ เดี๋ยวกูตบฟันโยก เนี่ยพอมึงกวนตีนกูเดี๋ยวกูก็ไปสายอีก พ่อไปแล้วนะทิกเกอร์ แล้วเจอกันนะลูก”


เจ้าของบ้านตัดบทก้มไปลูบหัวสัตว์เลี้ยงเสร็จสรรพก็เดินนำออกมาจากบ้านลงลิฟต์ไปยังชั้นลานจอดใต้ดิน จากนั้นก็ขับรถใหม่อายุหนึ่งเดือนกับอีกสิบห้าวันจากจุดจอดประจำไปยังท้องถนนซึ่งไม่ค่อยมีรถราสัญจรด้วยสายฝนยังคงตกหนัก


ผู้โดยสารเกาะสายเข็มขัดนิรภัยเหลือบมองสารถีที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาดดีผิดหูผิดตาอยู่พักหนึ่งก็ก้มหน้ากลับมาเปิดถุงอาหารเช้าที่ได้มาจึงเห็นว่าข้างในนั้นบรรจุไว้ด้วยซาลาเปาอุ่นๆสามลูกด้วยกัน


“กล้ามปูรู้ได้ไงว่าเราอยากกินซาลาเปาอะ นี่กล้ามปูมีญาณทิพย์ใช่ปะถึงรู้ตลอดเลยว่าเราอยากกินอะไร” คนถามมือไม้สั่นหันไปมองคนข้างตัวอย่างตื่นเต้น...ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายซื้อของที่อยากกินมาให้โดยไม่ได้ร้องขอก็ตาม


“ต้องพึ่งญาณทิพย์ทำไม ไอ้เด็กตะกละแบบมึงเนี่ย ซื้อเหี้ยอะไรมาก็อยากแดกหมดแหละ”


“ไม่ซะหน่อย ถ้าวันนี้กล้ามปูซื้อแซนด์วิชมาเราก็จะกินแต่จะไม่พูดว่าอยากกิน”


“กูไปวิ่งกับทิกเกอร์ผ่านร้านอาหารจีนเห็นเขาเปิดพอดีก็เลยซื้อมาให้มึงแดกก็แค่นั้นเอง”


“กล้ามปูไปวิ่งตรงไหนถึงผ่านร้านอาหารจีนได้เนี่ย ละแวกนั้นไม่เห็นมีร้านอาหารจีนเลย”


สิ้นคำคนขับที่เหลือบตามองกระจกข้างเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเปลี่ยนเลนถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกแต่ทำนิ่งกลบเกลื่อน


“มันมีแต่มึงไม่รู้ไง มึงไม่ได้อยู่แถวนั้นนานเท่ากูนะเว้ย”


“ละนี่ได้ซื้อให้แฟนกล้ามปูด้วยเปล่าอะ”


การถามรอบนี้ทำเอาตาคมของผู้ถูกตั้งคำถามกลอกตา...เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตอนออกไปวิ่งออกกำลังกายกับทิกเกอร์ ระหว่างนั้นเขาก็ค้นหาร้านอาหารจีนที่เปิดตอนเช้ามืดจนเจอก็เลยวิ่งไปซื้อมาให้โดยลืมคิดถึงแฟนสาวไปสนิท


“ผู้หญิงเขาไม่กินอาหารแป้งๆ ตอนเช้าหรอก”


“จริงอะ...แต่เพื่อนผู้หญิงที่คณะเราไม่เห็นมันเลือกกินเลย”


“เพื่อนมึงเขาเป็นนักศึกษา แฟนกูเป็นแอร์โฮสเตส เขาต้องรักษาหุ่นโว้ย”


“แต่มันมีตั้งสามลูกเลยนะ”


“สามลูกมึงก็แดกคนเดียวหมด เชื่อกูดิ”


“ลูกใหญ่ขนาดนี้กินสามลูกยังไงหมดเล่า เออ จะว่าไป กล้ามปูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนิ งั้นแบ่งเราไปกินด้วยดิ”


“ตอนเช้ากูแดกแต่กาแฟ มึงก็เห็นตลอดไม่ใช่ไง”


“กินแค่กาแฟมันจะไปพออะไร...กินซาลาเปาลูกสิถึงจะอยู่ท้อง” คนอ่อนกว่าหยิบซาลาเปาออกมาแกะกระดาษรองออกแล้วยื่นไปจ่อตรงปากคนขับ


“อะไรของมึงเนี่ยอ้วน”


“กินข้าวเช้าไง”


“กินห่าอะไรตอนกูขับรถ”


“ก็รู้ว่าขับรถไงถึงได้ป้อน”


“กูไม่กินเดี๋ยวเสื้อมันเลอะ กูต้องไปประชุมต่ออีกขืนเสื้อเลอะทุเรศตายห่า”


“กลัวเลอะเหรอ งั้นแป้บนึง” ผู้โดยสารไม่ลดละความพยายามหยิบผ้าเช็ดหน้ามายัดใส่คอเสื้ออีกฝ่ายแทนผ้ากันเปื้อนก่อนจะยื่นซาลาเปาไปโดยมีมือรองกันเศษอาหารร่วงอีกที “ทำแบบนี้ก็ไม่เลอะแล้ว”


“มึงนี่นะกูพูดอะไรไม่เคยฟังสักอย่าง”


“กาแฟแก้วเดียวมันไม่อิ่มหรอก น่า...กินครึ่งหนึ่งก็ได้”


“ทำไมกูต้อง...”


ฝ่ายคนขับได้ยินการขยั้นขยอมากเข้าก็นิ่วหน้าละสายตาจากถนนท้องมากะจะดุเสียหน่อยแต่พอเห็นหน้าขาวยิ้มแฉ่งก็ถอนหายใจยอมกินซาลาเปาจากมือนั้นจนได้


“เย้ หมดแล้ว กล้ามปูเก่งมากเลย” เมื่อซาลาเปาลูกใหญ่ถูกทยอยกัดเข้าปากจนหมดชิ้นคนป้อนก็ร้องดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แถมปรบมือให้อีกต่างหาก


“ปรบมือทำเหี้ยอะไร”


“ปรบแทนคำชมไง ตอนเราทำพาร์ทไทม์ที่โรงเรียนอนุบาล ถ้าเด็กคนไหนกินข้าวหมดจานเราจะปรบมือให้”


“แล้วกูใช่เด็กอนุบาลมั้ย...กวนส้นตีนจริงๆ”


“ก็เราเป็นเด็กเปรตนี่...เด็กเปรตก็ต้องกวนประสาทคนอื่นสิ”


“กวนไม่รู้เวล่ำเวลา...ไม่เคยรู้กาลเทศะ”


“เราก็กวนกล้ามปูแค่คนเดียวแหละ” เจ้าตัวยุ่งก้มหน้างุดพึมพำเบาเลยไม่เห็นว่าคนขับละสายตามามองตนเองอย่างเอ็นดูมากกว่าจะโกรธ


“ถึงมหาลัยแล้วนะ มึงจะลงตอนไหนวะ”


จุนซอเงยหน้าจากถุงกระดาษบนตักทันทีที่ได้ยินเสียงแหบถาม ตากลมมองสภาพอากาศภายนอกผ่านกระจกหน้ารถก็เห็นฝนยังลงเม็ดหนาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


“เวรล่ะ ลืมร่ม” เจ้าตัวร้องทำตาโตทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เอาร่มมาด้วย


“กูคิดแล้วว่ามึงต้องลืม” สารถีส่ายหัวอย่างเอือมระอาเอื้อมไปหยิบร่มตรงช่องใส่ของหลังเบาะนั่งของตนออกมาก่อนจะเปิดประตูกางร่มเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารสบตากับเด็กที่เบิ่นเงยหน้ามาหาเข้าพอดีจึงออกคำสั่ง “ลงมา”


ฝ่ายอ่อนกว่าปลดสายเข็มขัดนิรภัยก้าวลงจากรถมายืนประจันหน้ากับคนตัวใหญ่กว่าใต้ร่มคันใหญ่...เม็ดฝนร่วงหล่นตกกระทบลงบนร่มเกิดเสียงเป็นจังหวะ ทั้งคู่ยืนฟังเสียงนั้นอยู่ไม่ถึงนาทีมือใหญ่ก็คว้ามือขาวขึ้นมาให้จับด้ามร่มแทนตัวเอง


“ไปได้ล่ะ เอาร่มนี้ไปด้วย”


“แล้วกล้ามปูล่ะ เอาร่มที่ไหนใช้”


“ไม่เป็นไรกูมีร่มอีกคันอยู่ในรถ รีบไปได้แล้ว”


“ละกล้ามปูจะขึ้นรถได้ไง เดี๋ยวก็เปียกหรอก”


“มึงก็อ้อมมาส่งกูสิวะ”


“โอเคๆ”


ท้ายสุดทั้งคู่ก็ต้องเดินอ้อมหน้ารถกลับมายังฝั่งคนขับ...พอกลับขึ้นรถได้ผู้มากวัยกว่าก็โบกมือค่อยๆเคลื่อนรถออกไปช้าเพราะกลัวน้ำกระเด็น โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังยืนถือร่มมองรถของตนเองด้วยรอยยิ้มจนมันลับหายจากสายไปถึงยอมขยับตัวเดินผ่านประตูเข้ามหาวิทยาลัยไป
------------------------------------------
ท้องฟ้าหลังฝนตกหนักเต็มไปด้วยความสดใส หมู่เมฆขาวสะอาดราวปุยนุ่นลอยล่องท่องผืนฟ้าสีคราม ทว่าบรรยากาศภายในรถของยงนัมภายหลังส่งเจ้าตัวยุ่งถึงมหาวิทลัยและมารับหญิงสาวคนรักไปส่งสนามบินกลับเต็มไปด้วยความอึดอัด


ทั้งที่เมื่อคืนก็ยังอารมณ์ดีแต่วันนี้ไม่ว่าเขาจะชวนคุยหรือเปิดเพลงสร้างบรรยากาศยังไง เจ้าหล่อนกลับพยักหน้ารับรู้โดยไม่พูดไม่จาไม่ยิ้มเอาแต่จัดชุดเครื่องแบบของตนเองกับผมเผ้าอย่างเดียว


ความเงียบงันไม่รู้สาเหตุของหญิงสาวผู้แสนสดใสดำเนินไปกระทั่งเขามาถึงสนามบินอินชอน..จังหวะที่เขากำลังยกกระเป๋าเดินทางลงจากหลังรถส่งให้นางฟ้าประจำสายการบินญี่ปุ่นนั้นก็เห็นใบหน้าสวยหวานนั้นดูขุ่นเคืองอะไรเป็นพิเศษ


“คุณมีอะไรจะบอกฉันมั้ยคะ”


“บอกอะไรครับ” แม้จะเห็นว่าแฟนสาวมีสีหน้าท่าทางโกรธแต่เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไปจึงถามกลับ


“ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังกล้าทำไม่รู้ไม่ชี้อีกเหรอคะ”


“ผมทำอะไร” พอถามเพิ่มเจ้าหล่อนก็ตัวสั่นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดบางอย่างก็ยื่นหน้าจอให้ดู โดยสิ่งที่ปรากฏคือภาพของใครคนหนึ่งเกาะขอบประตูชะโงกเข้าไปในรถซึ่งเห็นเลขทะเบียนชัดว่าเป็นของเขาเอง


“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมวันธรรมดาเราถึงเจอกันไม่ได้ เพราะคุณต้องไปรับแฟนของคุณอีกคนใช่ไหมล่ะ ถ้าคุณมีแฟนอยู่แล้วก็น่าจะบอกกันก่อนนะคะ ไม่ใช่หลอกฉันแบบนี้”


“เดี๋ยวนะ...คุณเข้าใจผิดแล้ว เด็กคนนั้นน่ะมัน...”


“ตอนแรกเพื่อนฉันเขาก็เตือนกันว่าคุณน่ะมันเสือผู้หญิง คบกับใครไม่เคยจริงจังเลย แต่ฉันไม่เชื่อ ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นอย่างนั้นจริงๆ”


“อย่าเพิ่งโมโหสิ คุณกำลังเข้าใจผิดนะ เด็กคนนั้นมันไม่ใช่แฟนผม เขาเป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านผมเฉยๆ”


“เป็นแค่พนักงานทำไมคุณถึงต้องรับกลับบ้านไปด้วยทุกคืนเลยล่ะ”


“ฮะ...อ๋อ...บ้านมันไกลแต่มหาลัยมันอยู่แถวบ้านผม ผมเลยให้มันมาค้าง”


“คุณยอมให้คนอื่นไปค้างบ้าน ทีฉันขอไปคุณไม่เห็นให้”


“มีแร...ใจเย็นๆได้มั้ย ช่วยฟังผมอธิบายก่อน”


“คุณเห็นฉันโง่มากหรือไง...เพื่อนฉันเขาเล่าให้ฟังหมดแล้วว่าคุณน่ะไปรับแฟนคุณทุกคืน ขนาดเมื่อคืนคุณบอกฉันว่าต้องกลับบ้านไปนอนเพราะมีงานเช้า แต่คุณกลับวนไปรับเด็กอะไรนั่นของคุณกลับบ้านคุณเนี่ยนะ” แอร์โฮสเตสสาวยืนตัวสั่นพยายามข่มใจไม่ให้พูดเสียงดังแม้ในใจนั้นจะอยากตะโกนด่าเต็มที


“เดี๋ยว...ไอ้เด็กที่คุณพูดถึงอยู่น่ะมันเป็นผู้ชาย”


“คุณเลิกโกหกเถอะคะ หลักฐานมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว”


“ผมไม่ได้โกหกและไม่เคยโกหกด้วย” เสียงแหบเอ่ยอย่างหนักแน่น สีหน้าท่าทางที่นิ่งสุขุมเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่งนั้นทำให้หญิงสาวเม้มริมฝีปากเริ่มลังเลแต่ความหวั่นไหวในใจทั้งความสัมพันธ์ระยะไกลกับคำพูดของใครต่อใครเล่าขานกิตติศัพท์คนตรงหน้า อีกทั้งหลักฐานภาพถ่ายซึ่งเพื่อนส่งมานั้นรวมถึงความทรนงว่าตนยังสวยเกินกว่าจะจมปลักกับคนไม่จริงใจนั้นมีมากกว่า




“ฉัน...เชื่อ...ไม่ลงค่ะ”



“มีแร...” ชายหนุ่มเรียกอย่างใจเย็น เอื้อมมือไปหมายจะจับแขนอีกฝ่ายไว้ให้ตั้งสติรับฟังแต่กลายเป็นฝ่ามือที่สวนเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณของนักกีฬาทำให้เอนตัวหลบทันควันเล่นเอามือตบนิ่งอึ้งคิดไม่ทันคิดว่าจะเจอการเบี่ยงตัวเช่นนี้ พอรู้สึกตัวก็เม้มริมฝีปากกำหมัดแน่นจนตัวสั่นอยากจะซัดให้หายโมโหแต่เมื่อหันไปเห็นเพื่อนร่วมงานลากกระเป๋าเข้ามาใกล้ก็เชิดหน้าคว้ามือจับกระเป๋าเดินทางเอาไว้แทน


“เราเลิกกัน”


ประโยคบอกเลิกสั้นและกระชับหลุดจากปากได้ สาวเจ้าก็หันหลังเดินลากกระเป๋าจากไป ฝ่ายเพิ่งถูกทิ้งหมาดๆ ยืนนิ่วอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา


...หนนี้นึกว่าจะนานกว่านี้ซะอีก...


เขาบอกกับตัวเองในใจ มุมปากเริ่มยกขึ้นเป็นรอยแสยะนึกสมเพชตัวเองอยู่นิดๆที่ไม่เคยประคับประคองความสัมพันธ์กับใครได้นานเลยสักคน ชั่วขณะนั้นความคิดที่ว่าตัวเขาเหมาะจะอยู่คนเดียวมากกว่าจะก็ลอยเข้า ก่อนภาพจะตัดไปที่ใบหน้ายิ้มแฉ่งของเด็กกวนประสาทแทนเสียนี้


สำหรับเขานั้นภายหลังจากได้เลิกรากับใครสักคนเข้า มันมักจะมีตะกอนความเศร้าเกาะกุมในใจ ถึงจะบอกใครต่อใครว่าไม่รู้สึกอะไรตกเย็นก็ต้องออกไปให้เหล้าช่วยล้างเศร้าสักอาทิตย์อยู่ดี ทว่าในตอนนี้แค่นึกหน้าจอมวุ่นวายที่สุดในโลกของเขาขึ้นมาทุกสิ่งในใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง


“ทำไมต้องคิดถึงแม่งด้วยวะ”  เขาบ่นอย่างไม่เข้าใจตัวเองก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เพียงเห็นตัวเลขบนนั้นก็หยุดทุกความฟุ้งซ่านกลับขึ้นรถขับออกจากสนามบินไปทันที


...แค่เดือนเดียวจะเอาอะไรกับมันนักล่ะ...

...ถึงยังไงเรื่องงาน ครอบครัวและเพื่อนก็มาก่อนเรื่องรักใคร่ที่จบลงไปแล้วอยู่ดี...

----------------------------------------------------------
แผ่นหลังกว้างหนาของชายหนุ่มตัวใหญ่เอนพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการใช้สายตา สมาธิ ความคิดและมือไปกับการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนเรือนร่างของลูกค้า จังหวะที่เท้าเหยียดพื้นทำให้ล้อของเก้าอี้เลื่อนหมุนเลยไปโดนเข้ากับใครคนหนึ่งที่โผล่เข้ามาพอดี


ยงนัมขยับตัวกลับมาเหยียดหลังตรงมองพนักงานพาร์ทไทม์ของร้านเดินถือถุงกระดาษมาวางบนโต๊ะ หมวกฮู้ดที่คลุมปิดหัวปิดหน้ามาตลอดทางหล่นลงไปกองตรงคอถึงได้เห็นใบหน้านวลอันบูดบึ้งเหมือนอีกฝ่ายไปกินรังแตนจากไหนมาก็ไม่อาจทราบได้


“เป็นอะไรของมึงอีกวะ” เขาถามทั้งที่ยังสวมผ้าปิดปากอยู่


ตอนแรกยังเห็นเด็กตรงหน้าทำความสะอาดเก็บนู้นเก็บนี่ในร้านอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ พอใช้ไปซื้อกาแฟเข้าหน่อยกลับมาก็ทำหน้าเป็นตูดอีกแล้ว


“ไหนกล้ามปูบอกเราว่าโทรไปเคลียร์ให้แล้วไง โทรยังไง เพื่อนพี่เจ้าของร้านเขาถึงมองแรงแถมยังว่าเราอีกอะ” อีกฝ่ายเปิดประเด็นสนทนาขึ้นมาทันที


“ฮะ...ใครว่า”


“เพื่อนพี่เจ้าของร้านกาแฟคนนั้นไง คนที่เวลาเราไปเจอทีไรเขาก็ทำไม่พอใจพูดกระทบใส่เรานั่นอะ เมื่อกี้ตอนเราไปซื้อพี่เขามองเราแบบไม่พอใจ ลากเรามาหน้าร้านไม่พอยังด่าอีกว่า เราพูดไม่รู้ฟัง บอกเป็นร้อยครั้งแล้วให้มาก่อนเวลาปิดร้าน พ่อแม่เลี้ยงยังไงเป็นแบบนี้ ถ้าโตกว่านี้จะอยู่ในสังคมยังไงด้วย”


คนอ่อนกว่าร่ายยาวพลางเบิ่นปากเป็นระยะด้วยความโกรธ ทว่าความรู้สึกนั้นยังไม่มากเท่ากับความร้อนใจของผู้ฟังที่เพียงได้ยินเรื่องเล่าไม่ทันจบดีก็ผุดลุกจากเก้าอี้ตามด้วยถุงมือที่ถูกกระชากถอดโยนไปนอนกองในถังขยะแล้วเดินออกไปล้างไม้ล้างมือในห้องน้ำทันที


“พี่...เดี๋ยวผมมานะ” ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปบอกพี่เขยที่กำลังใช้น้ำยาเช็ดรอยสักบนแขนของลูกค้าเสร็จก็จับมือคนอ่อนกว่าที่ยืนหน้ามุ่ยให้เดินตามตนเองมา


“เฮ้ยยยยยย กล้ามปู...กล้ามปูจะพาเราไปไหน” เสียงเจ้าตัวป่วนร้องในนาทีที่ถูกลากออกจากร้านเดินไปตามทางเท้า หากเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมเลยไม่กล้าประท้วงอะไรแค่เดินตามไปโดยดี


...เวลากล้ามปูอยู่ในโหมดเงียบขรึมจริงจังเป็นผู้ใหญ่ต่างจากปกตินั้นมันให้ความรู้สึกเกรงขามต้องเชื่อฟัง...


ชายหนุ่มลากเด็กในร้านตนเองมาจนถึงหน้าร้านกาแฟซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในนาทีที่ผลักประตูร้านตรงดิ่งไปถึงตัวชายหนุ่มตัวสูงผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลทองสว่างสวมเสื้อยืนสีดำกับกางเกงยีนส์ อีกสองชีวิตที่ง่วนกับการเก็บกวาดก็หยุดมือหันมามองเป็นตาเดียว


“มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงนักวะ แดฮยอน วันก่อนก็คุยกันแล้วไม่ใช่ไง” ประโยคหาเรื่องจากผู้มาเยือนเปิดไปก่อน ตามด้วยการร่ายด่าอีกชุดใหญ่


“วันนี้เกิดเป็นเหี้ยอะไรขึ้นมาอีก มึงเลิกทำเหมือนยองแจมันเป็นเด็กสามขวบซะทีเหอะ ลำพังแค่ฮิมชานมันคอยห่วงคอยดูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงยองแจมันก็กลุ้มจะแย่ล่ะ แต่กูก็พอเข้าใจการกระทำมันอยู่หรอกเพราะฮิมชานมันดูแลยองแจยิ่งกว่าลูกมาตั้งนานแล้ว ครอบครัวก็สนิทกัน ส่วนมึงนี่เป็นห่าอะไรกับเขา...คนซื้อข้าวใช่มั้ย แค่ซื้อข้าวให้แดก แม่งเล่นใหญ่ยังกะเป็นแฟนแล้ว ไว้มึงบอกเหตุผลให้กูรู้ได้ว่ายองแจมันสำคัญกับมึงมากพอจะห่วงเกินเบอร์ได้เมื่อไหร่ วันนั้นกูจะหยุดให้อ้วนมาซื้อกาแฟร้านยองแจเอง”


สิ้นคำด่าทั้งมวลความเงียบงันครอบคลุมไปทั่วทั้งร้าน รังสีความร้อนจากแรงอารมณ์คุกรุ่นน่ากลัวพาให้เจ้าของร้านกาแฟกับพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านยืนห่อไหล่ด้วยความกลัวที่แล่นเข้ามาในใจ ผิดกับผู้ถูกเจาะจงมาโดนด่าโดยเฉพาะที่เพียงแค่กะพริบตาปริบๆเท่านั้น


...แกร๊ง...


ในนาทีนั้นเสียงช้อนกาแฟตกกระทบพื้นกลับกังวานแทรกแทนที่ จุนซอถึงรู้สึกตัวละสายตาจากการจ้องนิ้วเรียวของคนตัวใหญ่ซึ่งสอดประสานจับมืออ้วนป้อมของตัวเองไว้แน่นจนชื้นเหงื่อแล้วเงยไปมองหน้าเพื่อนเจ้าของร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


“เป้ง...ยกที่หนึ่ง” เพราะลืมตัวทำให้หลุดปากพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ หากนั้นกลับเป็นการช่วยเรียกสติฝ่ายโกรธขึ้งให้คลายความตึงเครียดลงและเมื่อก้มไปมองเด็กในร้านของตัวเองที่เงยหน้ามายิ้มแหยงๆให้ ส่วนมือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมก็ดึงแขนเสื้อของเขาไว้


...แค่ได้เห็นตากลมโตฉายแววกลัวน้อยๆในใจก็อ่อนยวบลงอย่างประหลาด...


“กวนตีนละ” เพราะความรู้สึกแปลกที่ก่อตัวขึ้นทำให้เผลอด่าออกไปอีก


“ก็...มัน...เหมือนเสียง...ระฆังมวย” เจ้าตัวยุ่งบอกเสียงอ่อย


“เฮ้อ...มึงนี่แม่ง” คนมากวัยที่สุดในกลุ่มส่ายหัวแล้วหันไปมองหน้ารุ่นน้องของตนอีกทีจึงเอ่ยต่อ “โอเคนะ ถ้าอ้วนมันมาซื้อน้ำแล้วมึงยังด่ามันอีก ครั้งหน้ากูไม่แค่เดินมาด่ามึงแล้วนะ”


“อา...ครับ” ฝ่ายถูกด่าตอบรับจ้องมือของคนทั้งสองตรงหน้าก็เม้มปากพลางก้มหัวอย่างรับรู้


“ก็แค่เนี่ย”


สิ้นคำผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มก็ลากเด็กในร้านตัวเองออกจากร้านกาแฟเดินกลับไปตามทางเก่าโดยให้ตัวเองเป็นฝ่ายอยู่ติดริมถนนเอง ระหว่างทางใกล้ถึงร้านสักเจ้าตัวยุ่งก็ยืนนิ่งรั้งให้อีกคนต้องหยุดเดินตามก่อนจะหยิบลูกอมช็อกโกแลตในกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้


“อะไร” เสียงแหบต่ำนั้นถามขึ้น


“เคยได้ยินหมอบอกว่าเวลาหงุดหงิดถ้ากินช็อกโกแลตแล้วจะดีขึ้น”


“ใครบอกมึงว่ากูหงุดหงิด”


“ไม่ต้องบอกก็รู้ เมื่อกี้ตอนตะคอกใส่พี่คนนั้นน่ะ กล้ามปูน่ากลัวจะตาย”


“ช่วยไม่ได้ เสือกพูดไม่รู้เรื่องเอง”


“เวลากล้ามปูด่าว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นกล้ามปูโหดขนาดนี้เลย”


“ก็มันด่ามึง ด่าลามไปแม่มึงด้วย”


“หู้ย...พูดเหมือนตัวเองไม่เคยด่าเรางั้นแหละ”


“มันไม่เหมือนกัน”


“ไม่เหมือนยังไง”


“เพราะคนที่มีสิทธิ์ด่ามึงได้มีแค่กูคนเดียว...จำไว้”


ยงนัมบอกออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหยิบลูกอมช็อกโกแลตจากมืออ้วนมาได้ก็ใช้ฟันแกะมันยัดเข้าปากโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ถ้อยคำเมื่อครู่นั้นแฝงความหวงมากเสียจนคนไม่ทันคิดอะไรได้ยินเข้ายังรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า


“มิน่าถึงด่าเอาด่าเอา” เสียงอ่อนบ่นพึมพำเริ่มก้าวเท้าตามการจูงมือไปของคนแก่กว่าด้วยหน้าที่ก้มงุดมองพื้น


เมื่อทั้งคู่กลับเข้ามาในร้านสักมีลูกค้าชายวัยกลางคนนั่งรออยู่ มือใหญ่ก็ปลดออกจากมือขาวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจด้วยลืมไปว่าจับมือเด็กเปรตที่ตัวเองด่าทุกวันไปไหนต่อไหนในพื้นที่สาธารณะ...ชั่วโมงแห่งการทำงานเริ่มดำเนินต่อไปกระทั่งถึงเวลาร้านปิด โดยหลังเก็บกวาดทำความสะอาดภายในร้านเรียบร้อย ชารุที่ต้องอยู่จัดการกับระบบบัญชีของร้านเลยไล่ให้ทั้งคู่กลับไปก่อน


“มึงขับรถดีๆล่ะ” คนเป็นพี่เอ่ยปากแต่ตากลับปรายไปทางพนักงานพาร์ทไทม์ของตัวเอง “ถ้าพี่ว่างพี่จะพานาเรกับเจ้าตัวเล็กในท้องไปดูงานจบของเรานะ”


“ไม่ต้องลำบากไปก็ได้ครับ...พี่นาเรกำลังมีน้องไปเจอคนเยอะๆ เดี๋ยวไม่สบายเอา”


“ก็ถ้าไปได้พวกพี่จะไป แต่ถึงพวกพี่ไม่ได้ไปก็คงมีคนอื่นมันไปแทนอยู่แล้ว” อีกฝ่ายว่าเหล่ไปทางคนที่หยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าเตรียมจะสูบ...พอเจ้าตัวเห็นเข้าก็ย่นหน้าผากรีบปฏิเสธทันที


“อะไร พี่มองผมทำไม ผมไม่ว่างไปดูงานจบมันหรอก เมื่อเช้าเพิ่งประชุมเรื่องเก็บตัวนักกีฬาไปเองเนี่ย”


“อ้าว...มึงต้องไปเก็บตัวกับนักกีฬาอีกแล้วเหรอ ไปเมื่อไหร่ พรุ่งนี้หรือไง”


“มันไม่เร็วขนาดนั้นหรอกพี่...มันต้องทำเรื่องนู้นนี่ ผ่านกระบวนการอีกหลายอย่าง”


“แล้วพูดซะยังกะจะไปวันนี้พรุ่งนี้ เออ แฟนใหม่มึงเขาเป็นแอร์สายการบินญี่ปุ่นใช่มั้ย ถ้าไงกูฝากซื้อของให้นาเรเขาหน่อยได้ปะ”


พอถูกถามถึงเรื่องคนรักคนล่าสุดเข้า ฝ่ายถูกทิ้งหมาดๆ ก็เลียปากกลอกตาไปมาอยู่พักหนึ่งคล้ายลำบากใจจะพูดแต่สุดท้ายก็เปิดปากบอก


“คงไม่ได้แล้วอะพี่”


“ทำไมวะ”


“ก็...เลิกกันแล้ว”


“เลิกกันแล้ว...เมื่อไหร่วะ” ฝ่ายพี่เขยเลิกคิ้วถาม


“เมื่อเช้า”


“ตอนมึงไปส่งเขาที่สนามบินน่ะเหรอ...ไปทำอะไรเขาเข้าวะนั้น”


“ผมไปทำอะไรเขาที่ไหนล่ะ...เขาแค่เข้าใจผิด”


“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”


“เขาคิดว่าผมคบซ้อน พอดีเพื่อนเขาถ่ายรูปตอนผมมารับไอ้อ้วนมันไปให้เขาดูแล้วเขาก็...เชื่อเพื่อนก็แค่นั้น”


“อ๋อ...อืม” หลังทราบเหตุผลอีกฝ่ายก็พยักหน้า...ไม่รู้สึกแปลกอะไรต่อการเข้าใจผิดของคนอื่น


เมื่อเดือนก่อนเขาได้ยินคนรักพูดถึงเรื่องที่ยงนัมให้จุนซอไปค้างบ้านของตัวเองซึ่งเป็นบ้านหลังที่ไม่เคยยอมให้ใครนอกจากคนในครอบครัวไปเหยียบ แถมยังบอกให้เลิกทำอาหารเย็นเพราะจะหาให้กินเอง แถมยังขับรถมารับถึงร้านแม้วันนั้นจะไม่คิวงานต้องสักเลยก็ตาม


จำได้ว่าวันไหนที่จุนซอค้างบ้าน มันจะไม่ไปค้างที่ไหน ต่อให้แฟนชวนไปก็ไม่ไป เป็นใครก็เข้าใจผิด...


“เดี๋ยวนะ คือผมเพิ่งเลิกกับแฟนมา พี่แค่อืมให้ผมเนี่ยนะ” คนถูกทิ้งทักท้วง


“แล้วจะให้พูดว่าไง”


“ให้กำลังใจหน่อยก็ได้มั้ง”


“เดือนหน้ามึงก็มีใหม่ จะปลอบใจไปเพื่อไรวะ”


“โห พี่...ผมก็เสียใจเป็นนะ”


“เสียใจแต่ไม่ง้อเขาเลยนะ”


“ผมก็อยากง้ออยู่หรอก แต่พอมานั่งคิดถึงเหตุผลที่เขาบอกเลิกก็รู้ล่ะว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ไหนผมมีงานต้องทำตั้งเยอะ คบกันแล้วมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็คิดเอาเองไปหมดแบบนั้นน่ะ ผมคงอยู่ด้วยไม่ได้”


“นั่นปะไร ผิดจากที่ยงกุกมันพูดไว้ที่ไหน”


“อะไรพี่...ยงกุกมันว่าอะไรอีกอะ”


“ปากมึงบ่นว่าเสียใจแต่ไม่เคยง้อเพราะมีเหตุผลซัพพอร์ตตลอด...มูฟออนไวเหี้ยขนาดเนี่ยจะเอาตรงมาเสียใจ”


“โอโห ไอ้น้องเหี้ย ไม่เคยจะเห็นใจกูหรอก” เมื่อได้ยินการถ่ายทอดคำพูดของน้องชายฝาแฝดเข้าก็ฮึดฮัดทันที


“แต่ยงกุกมันก็ถูกนี่หว่า”


“แม่งเอ๊ย...นี่ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องไปประชุมแต่เช้านะ ผมจะไปด่าแม่งถึงบ้านเลย”


“โทรไปด่าก็พอม้าง”


“มันไม่เหมือนด่าต่อหน้าหรอกพี่”


“อารมณ์คงเหมือนตอนจุนฮงมันด่ามึงดิ...ด่าตอนไหนก็ไม่สะใจเท่าด่าต่อหน้า”


“โว้ย...ถ้าจะพูดถึงเด็กยงกุกนี่ ผมไม่คุยแล้วนะ ขอกลับก่อนเลย”


“เออจะไปไหนก็ไปเหอะ...ขับรถดีๆแล้วกัน”


“บายพี่”


ยงนัมยกมือขึ้นในเชิงอำลาพร้อมเก็บบุหรี่ที่ตั้งใจจะสูบในตอนแรกใส่กระเป๋ากางเกง...เกือบจะเดินออกจากร้านอยู่แล้วแต่นึกอะไรบางอย่างได้จึงเหลียวหลังกลับมามองจอมวุ่นวายที่ยังไม่ยอมตามมาเลยร้องเรียก


“อ้วน ทำเหี้ยอะไรอยู่ รีบๆตามมาดิวะ”


“ตามไปทำไม วันนี้ผมไม่ได้ไปค้างบ้านกล้าม เอ๊ย บ้านพี่ซะหน่อย พี่ลืมเหรอ” เมื่ออยู่ในสายตาผู้ใหญ่คนอื่น...คนเป็นเด็กเลยใช้สรรพนามกับอีกฝ่ายตามความเหมาะสม


“ไม่ลืม”


“ถ้าไม่ลืมก็กลับไปก่อนเล้ย ผมจะเอาขยะไปทิ้งก่อนค่อยขึ้นรถเมล์ไปบ้านเพื่อนต่อ”


“ปล่อยเด็กสมองทึบแบบมึงไปรอรถเมล์ดึกๆดื่นๆ โดนโจรดักตีหัวขึ้นมาแม่มึงได้เป็นห่วงมึงตายห่า เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่บ้านเพื่อนให้เอง”


“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”


“โวะมึงนี่  แต่ติดรถกูไปมันจะตายหรือยังไง”


“ก็มันไม่ไกล นั่งรถไปไม่กี่ป้ายก็ถึง”


“ถ้ามันไม่ไกล มึงติดรถกูไปแทนรอรถเมล์มันไม่ง่ายกว่าเหรอ แม่มึงเขายิ่งเป็นห่วงเวลามึงไปไหนมาไหนดึกอยู่ด้วย ”


“คำก็แม่สองคำก็แม่ เราเป็นผู้ชาย ไปไหนตอนกลางคืนมันไม่อันตรายหรอกน่า”


“เอ้า มึงรู้ได้ไง เกิดมึงเจอจิ๊กโก๋ดักตีไถตังค์ทำไง กูไม่ได้ว่างตระเวนดูมึงตลอดนะ”


“เออๆ เข้าใจแล้ว ไปด้วยก็ได้” หลังถูกเซ้าซี้อ้างแม่มากเข้าสุดท้ายก็ยอมเดินตามคนตัวใหญ่ที่นำหน้าไปก่อน โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าของร้านผู้อาวุโสสุดพยายามกลั้นขำพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ข้อความรายงานเหตุการณ์เมื่อครู่ส่งไปหาหญิงคนรัก


หลังแจ้งจุดหมายปลายทางจุนซอก็ก้าวขึ้นรถได้ก็ดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะหันไปมองสารถีที่เพิ่งสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ยังไม่เหยียบคันเร่งออกตัวไปจากหน้าร้าน ในหัวยังครุ่นคิดถึงเรื่องราวการเลิกราอันมีสาเหตุมาจากตัวเองของอีกฝ่ายจนสุดท้ายก็เก็บความรู้สึกผิดไว้ไม่อยู่


“คุณลุง” เจ้าจอมยุ่งขานสลับสรรพนามในการเรียก


“ไร” ถึงจะไม่ชอบสรรพาที่ถูกเรียกเลยสักอย่างแต่ด่าไปหลายทีก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลยปล่อยเลยตามเลย


...เวลาปกติเรียกกล้ามปู ส่วนเวลาอยากได้อะไรสักอย่างหรือรู้สึกไม่ค่อยดีเขาจะถูกเรียกเป็นญาติผู้ใหญ่ตลอด


“เราโทรไปบอกแฟนลุงให้มั้ยว่า เราเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้าน พอดีว่าบ้านไกลก็เลยติดรถกลับบ้าน”


“โทรไปก็เท่านั้น”


“ไม่หรอก ถ้าโทรไปอธิบายดีๆ แล้วคุณลุงง้อเธออีกหน่อย บินไปหา ซื้อของไปให้อะไรแบบนี้ เธอน่าจะหายโกรธ”


“มึงเห็นกูว่างมากไง จะให้บินไปหา งานจะกินกบาลกูอยู่แล้วนะโว้ย”


“ไม่ว่างก็โทรหาก่อนได้...ให้เราอธิบายก่อนเสร็จแล้วคุณลุงก็พูดหวานๆกับเธอหน่อย มันก็ดีเอง”


“ง้อผู้หญิงมันไม่ง่ายอย่างมึงพูดหรอกนะ ใช้พลังงานเยอะฉิบหาย”


“ถ้าทะเลาะกันแล้วเลิกเลย เขาไม่เรียกคู่รักนะ...เขาเรียกคู่นอน”


“ทีกูด่ามึงฉิบหาย ไม่เห็นมึงหนีไปไหนเลย” ถ้อยคำเรียบเรื่อยลอยผ่านปาก แววตายามปรายมาหามีแววเอ็นดูพาบรรยากาศแห่งความเงียบให้มาเยี่ยมเยือนรวมทั้งก่อความรู้สึกแปลกแก่ใจผู้ได้ยินมันเข้า


“ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่หว่า” ท้ายสุดคนอ่อนกว่าก็อ้อมแอ้มพูดออกมาทั้งที่ยังก้มหน้าแกะเล็บเล่น “ยังไงก็เหอะ เราขอเบอร์แฟนคุณลุงหน่อยสิ”


“ช่างมันเหอะ...มึงเอางานจบมึงดีกว่า หล่อๆแบบกูเนี่ยเดี๋ยวก็หาใหม่ได้”


“ถ้าไม่ได้ล่ะ...”


“โหย ดูถูกกูเกินไปล่ะ ระดับกูนี่ไม่มีหาไม่ได้หรอก...เอ้า นั่น ไอ้ตึกที่มึงบอกกูเมื่อกี้อยู่นี่ไง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเพราะขับมาใกล้กับอาคารชุดซึ่งถูกแจ้งเป็นจุดหมายในตอนแรกเข้าพอดี


จุนซอก้มมองความสูงของอาคารผ่านกระจกหน้าพลางคว้ากระเป๋ามาสะพายหลังถึงหันไปหาเจ้าของรถที่ส่งสายตาให้ลงอีกครั้งก็เปิดประตูเดินอ้อมหน้ารถมาหยุดยืนตรงประตูฝั่งขับพลางเคาะเรียกคนในรถให้ลดกระจกลงมาคุย


“มีไร”


“เราจะไม่อยู่หลายวันนะ”


“เออ”


“คุณลุงอย่าเหงาล่ะ”


“ใครจะเหงาวะ มึงก็เวิ่นเว้อเรื่อยเปื่อย ไปทำงานของมึงเหอะไป”


“ถ้าว่างจะโทรมากวนประสาทก็ได้นะ โทรมาก่อนให้เราโทรก่อนตลอดเลย”


“กูเสียเงินให้มึงตั้งเยอะ มึงจะเสียค่าโทรศัพท์โทรหากูบ้างจะเป็นไรไป”


“มันเปลือง”


“เค็มฉิบ”


“ไปละนะ แค่นี้แหละ” คนอ่อนกว่าทิ้งท้ายจ้องมือที่โบกไล่ของอีกฝ่ายอยู่สักพักก็หันหลังเตรียมจะก้าวไปยังประตูทางเข้า ทว่ามือใหญ่กลับตบเบาลงบนศีรษะอยู่สองสามครั้งจึงเปลี่ยนเป็นขยี้ผมจนยุ่งเหยิง


“พยายามเข้าล่ะ มีอะไรแก้ไม่ได้โทรมา ยังไงก็แล้วแต่เอาให้จบนะ ขืนมึงเรียนไม่จบแม่มึงได้ร้องไห้ตายห่า”


“เรารู้แล้ว”


“ไม่มีกูอยู่ก็นอนให้หลับด้วยล่ะ อย่าละเมอไปถีบหน้าเพื่อนมึงล่ะ เข้าใจมั้ยไอ้อ้วน”


“อืม”


“ไปไป้ ไปได้ล่ะ”


หลังฝากฝังทุกอย่างที่คิดออกไปเรียบร้อย ยงนัมก็ยกมือพ้นจากผมอันยุ่งเหยิงปล่อยให้คนเป็นเด็กขยับเท้าเดินต่อ ช่วงขณะที่เห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาใครสักคนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง


“อ้วน...กูลืมบอก” เขาตะโกนหา เพียงเห็นเจ้าของฉายาหมุนตัวกลับมาก็ว่า “ราตรีสวัสดิ์”


จุนซอยืนนิ่งจ้องเจ้าของรถที่ส่งเสียงห้วนๆตามประสามาหาด้วยรอยยิ้มกว้างและแววตาใจดี ขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบกไปมาในเชิงอำลา แม้อากาศรอบข้างในยามค่ำจะเย็นหากหัวใจกลับอุ่นซ่านจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางกระซิบเอ่ยคำฝากลมโดยหวังว่ามันจะลอยไปถึงผู้รับ



 “ฝันดีนะ...คุณลุง”



--------------------------------------แวะคุยกันก่อน----------------------------

ขอตัดมาลงก่อน ไม่รู้ส่วนที่ตัดไปจะเขียนจบตอนไหน เพราะงั้นอ่านแล้วมีความในใจคอมเม้นที
เจอกันที่เดิม #ficlovetoxical ฮือ






You Might Also Like

1 Comments

  1. มันก็ยิ้มไม่สุดอ่ะ แงงงงทำไงดีอ่ะมะไหร่จะลงเอยมันอึนๆ การกระทำทุกอย่างมันบ่งบอกมากเลยนะว่าหลงเด็กมากๆและเด็กเองก็เริ่มมีใจแล้วแต่อิกล้ามปูนั่นแหละคำนินทาจากคนรอบข้างมันค้ำคอ5555 ชอบตอนลากอ้วนไปด่าอิกากกกกก ทางนั้นก็ห่วงคนของตัวเองทางนี้ก็หวงคนของตัวเองห้ามใครด่าด่าได้คนเดียว อาการก็จะคล้ายๆกัน หน่วงเล็กๆจากการกระทำของกล้ามปูที่ทำกับอ้วนนะ ถ้าอ้วนมันคิดไปไกลถึงไหนๆแล้วแต่กล้ามปูไม่ชัดเจน ฮึกกลัวอ้วนน้อยเสียใจอ่ะ นี่แค่ถึงตรงที่เค้าจะไม่ได้ค้างด้วยกันแค่นั้นรู้สึกเลยว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันแน่ๆ รีบบอกรักอ้วนได้แล้วกล้ามปูไม่ต้องกลัวคนแซวหรอกไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่เอาแบบกากนะเอาแบบน้องแฝดตัวเองอ่ะ แบบนั้นแหละ ละจะรู้ว่าสุขจนล้นอกมันเป็นยังไง ขอบคุณไรท์ที่อดทนกับความเมื่อยความเหนื่อยมาแต่งให้ได้อ่านนะคะ รออยู่เสมอ 😘

    ตอบลบ