LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 10

23:56


ควันสีขาวจากความร้อนเคล้ากลิ่นหอมฉุยของหมูและเนื้อชั้นเยี่ยมพวยพุ่งจากเตาย่างลอยอวลอยู่ในดงชายล้วนกลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งล้อมวงวุ่นวายอยู่กับการกินปิ้งย่างแกล้มเบียร์วุ้นเป็นอาหารมื้อเย็น ยกเว้นก็แต่ชายหนุ่มผมหยักศกสวมแจ็กแก็ตวอร์มสีดำกับกางเกงกีฬาขาสั้นที่มองโทรศัพท์มือถือมากกว่าจะดื่มเบียร์หรือคีบเนื้อมาห่อเข้าปาก


ปกติยามสังสรรค์ไม่ว่าจะมีเป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายล้วนหรือมีหญิงสาวร่วมด้วย ยงนัมคือคนมีเสน่ห์ที่ทำให้บรรยากาศสนุกสนานเฮฮา หากหลายวันมานี้เจ้าตัวกลับไม่ค่อยพูดค่อยจาตาคอยมองแต่โทรศัพท์เหมือนรอใครสักคนให้โทรหาจนเพื่อนบางคนสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นเข้าจนได้


“ยงนัม...มึงเป็นเหี้ยไรเนี่ย” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเผลอจิ้มนิ้วกลายเป็นกดโทรออกไปหาใครคนหนึ่งที่มีชื่อปรากฏบนหน้าจอว่า เด็กเปรต เข้าพอดี


“ฉิบหาย” เจ้าของชื่อสบถรีบกดวางสายแทบจะทันทีที่เห็นว่าพลาดโทรไปหาใคร


แม้ในใจจะคิดถึงเด็กวุ่นวายจอมกวนประสาทชอบสร้างปัญหาให้ปวดกบาลซึ่งหายหน้าหายตาไปจากชีวิตหลายวัน มีก็เพียงแต่เสียงผ่านโทรศัพท์ให้ได้ยินวันละไม่ถึงห้านาที หากเจ้าตัวกลับไม่ยอมรับหนำซ้ำยังยกเหตุผลสารพัดสารเพมากลบลบความรู้สึกจริงของตนไป


“อะไร...มีอะไร” เพื่อนอีกคนร้องถามเพราะตกใจที่เห็นอีกฝ่ายสบถพร้อมกระวีกระวาดเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อเป็นการใหญ่


“ไม่มีอะไร แค่มือกูลั่นกดโดนอะไรมั่วซั่วแค่นั้นเอง”


“เรื่องแค่นั้นทำมึงตกใจได้ขนาดนี้เลย...หรือว่ามือลั่นกดไปโทรหาแฟนเก่า” เพื่อนผู้ชักพาให้ได้สานสัมพันธ์กับคนรักเก่ารับรู้ถึงการเลิกรามาก่อนหน้าเริ่มเปิดประเด็น


“มือไม่ได้ลั่นโทรไปหาเขา มันไปโดนเบอร์ร้าน ช่วงนี้ไม่มีลูกค้าจองคิวสักอะไรไว้ด้วย โทรไปแบบนี้เดี๋ยวพี่กูนึกว่าอยากมาช่วย โดนเรียกตัวไปอีก”


“แน่ใจ…แล้วไอ้ที่มึงเหม่อเวลาออกมากับพวกกูสามสี่วันนี้ไม่ใช่ว่ามัวแต่คิดถึงเขาหรอกเหรอ ที่จริงมึงน่าจะง้อเขามากกว่านี้หน่อยนะ ไปอธิบายให้ชัดเจน พาเด็กพนักงานร้านมึงไปให้เขาเจอ เดินหน้าง้อเขาเยอะๆหน่อย เดี๋ยวเขาก็หายโกรธแล้ว” อีกคนในกลุ่มสำทับพร้อมให้คำแนะนำเสร็จสรรพ


“กูไม่ได้เหม่อ แค่คิดเรื่องแผนการทำทีมอยู่”


“อ้าว....อะไร แม่งถึงฤดูกาลแข่งแล้วเหรอเนี่ย” พอได้ยินคำตอบทั้งกลุ่มก็คลายสงสัยด้วยเรื่องงานยังคงเป็นเหตุผลให้เพื่อนเหม่อลอยเช่นเคย


“ยัง...อีกประมาณหกเดือนเลยต้องเตรียมตัว ประมาณอาทิตย์หน้าจะเริ่มคัดตัวแล้ว”


“แล้วงานที่โรงเรียนล่ะ ผอ.เขายังโอเคที่มึงต้องหยุดอยู่ใช่ไหม”


“อ้อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง กูตกลงกับทางโรงเรียนทำสัญญาจ้างเปลี่ยนสถานะเป็นครูพิเศษแทนครูประจำ จะไปสอนเฉพาะเวลามีคาบที่เด็กต้องเรียน”


“พอเป็นเรื่องงานละวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แต่เรื่องเมียนี้ปล่อยฟรีสไตล์ตลอด”


“เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะโว้ย ถ้ามันใช่ก็ใช่”


“คบเดือนสองเดือนจะไปรู้ได้ยังไงว่าใช่ไม่ใช่ อายุก็เยอะแล้วนะเว้ย คิดๆเรื่องครอบครัวไว้บ้าง เดี๋ยวขาดคนสกุล พี่สาวมึงเขาท้องก็จริงแต่ลูกไม่ได้ใช้นามสกุลของมึงนะ”


“มีลูกแค่จะไว้สืบสกุล แบบนั้นกูรับเด็กมาเลี้ยงก็ได้ม้าง”


“ลูกคนอื่นจะไปเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขมึงได้ไงวะ”


“เดี๋ยวนะ จุดประสงค์ในการมานี่วันนี้คือสังสรรค์ตามประสาลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ แล้วพวกมึงจะวกไปเรื่องนี้ทำเหี้ยอะไรเนี่ย”


“พวกกูเป็นห่วง แต่งงานกันจนจะหมดแก็งค์แล้ว มึงยังโสดอยู่เลยเนี่ย”


“ห่วงตัวพวกมึงเองก่อนเหอะ ใช้ชีวิตคู่น่ะยากกว่าอยู่เป็นโสดนะโว้ย กูเห็นหย่ากันตั้งกี่คน เอ้า มองงี้คืออะไร กูไม่ได้แช่งพวกมึงนะ แค่เล่าตามสถิติที่ได้รับ...เอาเหอะยังไงก็ช่าง เดี๋ยวกูคงต้องกลับแล้ว ลืมไปว่าพรุ่งนี้ต้องส่งเอกสารรายรับรายจ่ายที่ฟิตเนสให้สำนักงานบัญชี ส่วนค่าแดกโอนใครจ่ายแทนกูก็บอกเดี๋ยวกูโอนให้”


“เออ ไปเหอะ กลับดีๆ”


หลังร่ำลาเพื่อนทั้งกลุ่มแล้วออกมาจากร้านได้ เจ้าตัวก็สตาร์ทรถขับกลับบ้านไปเหมือนเคย หากในนาทีที่ถอดรองเท้าเดินผ่านไปยืนอยู่ตรงโถงทางเดินที่เชื่อมกับทุกห้องในบ้านนั้น บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบเหงาอย่างประหลาด แม้จะเปิดโทรทัศน์เครื่องใหญ่ในห้องนั่งเล่นบรรเทาความเงียบระหว่างหยิบไอแพดมาส่งเอกสารไปหาสำนักงานบัญชีแต่ในใจก็รู้สึกแปลกอยู่ดี


...อยู่บ้านนี้มาคนเดียวกับทิกเกอร์มาตลอดก็ไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่มาตอนนี้ทำไมในใจถึงโหวงเหวงเป็นบ้า


ยงนัมพ่นลมร้อนผ่านปากอย่างไม่เข้าใจตัวเองเพราะความรู้สึกเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองมาก่อน...การอยู่ตัวคนเดียวเป็นสิ่งที่คุ้นชิน ไม่ว่าจะคบหาหรือเลิกรากับใครไปถึงจะเศร้าอยู่บ้าง พอมีงานเข้ามาอะไรต่อมิอะไรก็ไม่อาจสั่นคลอนความรู้สึก หากตั้งแต่ยอมให้เด็กเปรตมาจุ้นจานในชีวิตลามถึงในบ้านเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มาค้างที่นี่ก็เหมือนบางอย่างขาดหายไป


...เวลาที่ความเงียบเหงาเข้าครอบงำมันทำให้เขาหงุดหงิดแต่เพียงได้ยินเสียงเรียกคุณลุงผ่านโทรศัพท์ใจก็สงบลงได้โดยอัตโนมัติ...


“เด็กเหี้ย...โทรหากูหน่อย มันจะตายหรือไง” เขาสบถยินเสียงแจ้งเตือนการส่งไฟล์เสร็จสมบูรณ์จึงหยิบไอแพดมาดูอีกรอบก่อนจะกล่องข้อความแจ้งเตือนล่วงหน้าถึงกำหนดการและสถานที่ในการจัดแสดงงานจบของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่พนักงานพาร์ทไทม์ในร้านจะเด้งหราขึ้นมาบนจอ


พรุ่งนี้แล้วนี่หว่า...


ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะก้มมองทิกเกอร์ที่เพิ่งตื่นวิ่งมาเคล้าเคลียรอบขาต้อนรับจึงอุ้มมากอดแนบอกแล้วเดินไปดูเครื่องให้น้ำและอาหารอัตโนมัติ จากนั้นก็เก็บกวาดสิ่งปฏิกูลตรงส่วนที่จัดไว้เป็นห้องน้ำสุนัขระหว่างนั้นก็ยังคิดเรื่อยเปื่อย สุดท้ายก็ตัดสินใจพาสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเหมือนลูกตัวเองออกไปข้างนอกด้วยกัน
------------------------------
ห้องชุดสตูดิโอที่ไม่มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วนยกเว้นห้องน้ำนั้นเต็มไปด้วยภาพวาดและภาพถ่าย แม้ห้องจะกว้างขวางพอต่อการจัดวางเครื่องเรือนชิ้นใหญ่ทว่าในห้องนั้นกลับมีเพียงโต๊ะไม้ตัวยาวตั้งกลางห้องซึ่งแบ่งส่วนใช้งานได้อเนกประสงค์ กับเตียงนอนที่เป็นเบาะปูด้วยผ้าสีขาววางบนพื้น ถัดออกไปตรงมุมหนึ่งของห้องใกล้หน้าต่างมีขาตั้งเฟรมวาดรูป ถัดออกไปไม่ไกลจัดวางเครื่องไม้เครื่องมือทั้งหลายที่ใช้ในงานดนตรี ขณะที่ผนังใช้ไม้สนยิงทำเป็นชั้นลอยใช้วางข้าวของทั้งหลาย


ชายหนุ่มเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอกเฝ้ามองดอกกุหลาบในกระถางที่แขวนกับราวเหล็กใต้แสงสลัวจากไฟรอบข้างนิ่งนาน กระทั่งได้ยินเสียงกริ่งดังต่อเนื่องเหมือนจงใจกวนประสาทถึงกลับเข้าสู่ภายในห้องแล้วไล่เปิดไฟให้สว่างด้วยรู้แล้วว่าผู้มาเยือนดึกดื่นครั้งนี้คือใคร


“มีอะไร” เสียงแหบต่ำถามอย่างเย็นชาในทันทีที่เปิดประตูไปเห็นหน้าของชายหนุ่มผู้มีส่วนละม้ายคล้ายกันตามประสาฝาแฝดหากก็ยังมีบางส่วนที่ผิดแผกพอให้แยกออกได้


“ทำไม กูมาเยี่ยมมึงไม่ได้หรือไง” อีกฝ่ายเลิกคิ้วถามกลับ


“คนอย่างมึงเนี่ยนะจะมาเยี่ยมกู โอ๊ะ ทิกเกอร์ลูกพ่อ มาหาพ่อมา” เพียงสายตาเหลือบเห็นลูกรักสวมชุดหมีกระดิกหางดุ๊กดิ๊กแสดงออกถึงความดีใจ แฝดผู้น้องก็ก้มไปอุ้มมากอดไว้แนบอกพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


“อาทิตย์หน้ากูไม่อยู่บ้าน ฝากทิกเกอร์ด้วย”


“คัดตัวนักกีฬาอีกแล้วสิ”


“เออ”


“แล้วนี่มึงจะเข้ามามั้ย ถ้าไม่เข้าก็กลับไปได้ล่ะ”


“พูดจาเย็นชาฉิบหาย ไม่ทันไรจะไล่ล่ะ ลืมไปหรือเปล่าว่ากูเป็นพี่มึงนะ”


“ถ้าจะเข้ามาช่วยหุบปากด้วย รำคาญ” เจ้าของบ้านตอบกลับแล้วผละจากประตูกลับสู่ภายในปล่อยให้แฝดผู้พี่ปิดประตูถอดรองเท้าเดินตามหลัง


ยงนัมทรุดลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ไม้กลมโบราณตรงหน้าโต๊ะไม้ขนาดความยาวเกือบเท่าความกว้างของห้องชุดแบ่งที่ถูกกั้นแบ่งส่วนหนึ่งไว้ใช้แทนครัววางเตาไฟฟ้า เครื่องทำน้ำร้อนกับตู้เก็บความเย็นสั่งทำพิเศษที่แช่ได้ทั้งของสดและไวน์ อีกส่วนก็ใช้งานตามอัชฌาศัย


“มึงนี่แม่ง มีอะไรให้รำคาญตั้งเยอะเสือกไม่รำคาญ ดันมารำคาญใส่กู”


“อะไรที่มึงว่าน่ารำคาญ” แฝดผู้น้องเปรยอย่างเรียบเฉยขณะวางทิกเกอร์ให้เดินเล่นไปบนพื้น


“เมียเด็กมึงไง...เด็กน่ารำคาญขนานแท้”


“เบบี้โรสเขาน่ารักมีแต่มึงกับฮิมชานนั้นแหละที่อคติ”


“กูกับฮิมชานมันพวกดวงตาเห็นธรรม ไม่ใช่แบบมึงนิ หลงเด็กจนหน้ามืดตาบอด”


“รำคาญเบบี้โรสแต่ไม่รำคาญอ้วนน้อย...เออดี...โครตสองมาตรฐาน”


“ใครว่ากูไม่รำคาญ...กูรำคาญแม่งจะตายแต่กูสงสารแม่มันต่างหาก เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวทำงานงกๆ มีลูกกับเขาคนเดียวก็ดันโง่อีก”


“สงสารมากก็แต่งเลยมั้ย อ้วนน้อยมันจะได้เป็นลูกมึง”


“เหี้ย...กูไม่เคยคิดเลวๆอะไรกับคุณน้าเขานะโว้ย แต่เขาฝากฝังไอ้อ้วนกับกูจะให้กูทำไงล่ะ”


“แม่เขาฝากให้มึงช่วยดูแลอ้วนน้อย มึงก็เลยยอมให้มันมานอนค้างที่บ้าน ทั้งที่ไม่ยอมให้เพื่อนหรือแฟนไปค้างด้วยเลยสักคนเนี่ยนะ”


“กูเวทนามันหรอกถึงให้มาอยู่”


“ที่คอยขับรถไปรับไปส่ง หาข้าวหาปลาให้มันแดกตั้งแต่เช้ายันมืด ออกค่านั่นค่านี่ให้ทุกอย่าง วันที่อ้วนมันเมาก็ไปแบกมันกลับบ้าน นัดแดกข้าวกับครอบครัวหลังลงเขาเก็บตัวก็ไม่ไป ไอ้แบบนี้แถวบ้านมึงเขาเรียกเวทนาสิเนาะ” การเน้นน้ำหนักเสียงในทุกคำเหมือนคลื่นไฟฟ้าจี้ให้คนได้ยินกลืนน้ำลายเฮือกพาเหงื่อเม็ดเป้งให้ผุดขึ้นเต็มหน้าผากก่อนจะแก้เก้อเสียงดัง


“เสือกล่ะมึงเนี่ย”


“แบบกูไม่เรียกเสือกหรอก ต้องเรียกว่าความห่วงใยจากคนในครอบครัว”


“ถุย...มึงนี่แหละตัวขี้เสือกเลย”


“งั้นมึงก็คงเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ”


“ปากไม่ตรงกับใจเหี้ยอะไร”


“คนอย่างมึงพูดไปก็เหนื่อยเปล่า” แฝดผู้น้องบอกพลางส่ายหัวอย่างระอาสักครู่ก็ถามต่อ “ล่ะนี่มึงว่างมากหรือไง ว่างมากทำไมไม่ไปหาแฟนมึงล่ะ”


“เลิกกันแล้ว”


“หึ...มึงนี่คงคอนเซ็ปต์คบไม่เกินสองเดือนไม่เปลี่ยนเลยเนอะ ครั้งนี้ใครบอกเลิก...มึงหรือเขา”


“เขา”


“เลิกกันเพราะอะไร”


“ทำไมมึงต้องอยากรู้รายละเอียดด้วยวะ รู้แค่เลิกกันไม่ได้ไง”


“จะบอกเองหรือจะให้กูโทรไปถาม”


“มึงจะโทรไปถามใครเขาได้”


“อย่าดูถูกพลังเสือกของกูน่า ไม่มีอะไรที่กูอยากรู้แล้วไม่ได้รู้หรอก” คนอ่อนกว่าเพียงสองนาทีกอดอกพูดหน้าตาย


“สัตว์เอ๊ย...เวรกรรมอะไรของกูถึงได้มึงเป็นน้องวะเนี่ย”


“เล่ามา”


“โว้ย อะไรของมึงนักเนี่ย เซ้าซี้ฉิบหาย มันก็แค่...เขาคิดว่ากูคบซ้อนเท่านั้นเอง” เพราะสายตาคาดคั้นจับผิดผสมเข้ากับความรำคาญทำให้สุดท้ายเจ้าตัวก็เปิดปาก


“คบซ้อนเลยเหรอ...ทำไมมึงเหี้ยจัง”


“ไอ้เวร กูไม่ได้คบซ้อนโว้ย เขาแค่เข้าใจผิด”


“เข้าใจผิดยังไง”


“เพื่อนเขาแม่งเห็นกูตอนไปรับไอ้อ้วนที่ร้านเลยถ่ายรูปมาให้เขาดูเสร็จสรรพ แล้วก็ใส่สีตีไข่ว่ากูแม่งคบคนอื่น”


“อธิบายหรือยัง”


“อธิบายแล้วเขาฟังกูที่ไหนล่ะ”


“แล้วมึงให้อ้วนน้อยโทรไปอธิบายแทนหรือยัง”


“จะให้มันโทรไปทำห่าอะไรเล่า”


“โทรไปเล่าความจริงไง...ให้อ้วนอธิบายเขาอาจจะเชื่อกว่าก็ได้”


“ทำไมเขาต้องเชื่อมันมากกว่ากูด้วยวะ”


“คือ...ตอนนี้ชื่อเสียงมึงทางผู้หญิงไม่ค่อยดีน่ะสิ พวกคนที่มึงเคยคบมาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนมึงกันทั้งนั้นพอคบๆเลิกๆบ่อยเขาก็คุยกันว่ามึงเป็นเสือผู้หญิง”


“กูก็คบทีละคนนะไม่เคยคบซ้อนเหี้ยอะไรเลย ที่เลิกกันไปก็ขอเลิกก่อนทั้งนั้นจะให้กูทำไงวะ”


“มึงก็พยายามมากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่เอะอะก็ไม่อธิบายปล่อยให้เลิกไปดื้อๆ กับคนล่าสุดนี้ลองให้อ้วนมันโทรไปคุยดูเผื่อจะกลับมาคบกันได้”


“ช่างเหอะ...ไอ้อ้วนมันทำเรื่องจบอยู่ไม่อยากยุ่งกับมัน เดี๋ยวแม่งเรียนไม่จบ”


แค่ได้ยินคำตอบฝ่ายที่กำลังจะจรดแก้วเพื่อจิบกาแฟก็หลุดยิ้มตรงมุมปากออกมาด้วยจับได้ว่า ตอนนี้พนักงานพาร์ทไทม์ในร้านดูจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกคิดของพี่ชายฝาแฝดมากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้า


“เป็นห่วงอ้วนน้อยแต่ไม่ห่วงความรู้สึกแฟน...กูล่ะยอมมึงเลยวะ”


“ห่วงอะไร กูไม่...” การโต้ตอบยุติลงทันทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นและเมื่อหยิบออกมาเห็นชื่อผู้โทรเข้านิ้วใหญ่ก็สไลด์รับแทบไม่ต้องคิด


“กล้ามปู โทรมามีไรปะเนี่ย” เสียงสดใสจากปลายสายดังลอดมาทำให้คนที่รอจะได้ยินเสียงมาทั้งวันแต่ฟอร์มจัดหลุดยิ้มออกมาโดยลืมไปเลยว่าตรงนั้นมีน้องชายฝาแฝดยืนจิบกาแฟสังเกตอยู่


“อะไร...ใครจะโทรหามึง กูแค่กดผิดหรอก”


“งั้นวางล่ะ เปลืองตังค์” พอปลายสายบอกเท่านั้นคู่สนทนาก็สบถใส่ทันควัน


“เฮ้ย ไอ้ห่านี่ จะรีบวางไปไหน”


“เรายุ่ง ไม่ได้ว่างเหมือนกล้ามปูนะ...ถ้ารู้ว่าโทรผิดเราไม่โทรกลับหรอก เสียเวลา”


“เด็กเวร พูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ได้ไงวะ”


“ก็จริงมั้ยล่ะ เรากำลังยุ่งๆ กล้ามปูก็มากวน”


“พูดจากับผู้ใหญ่แต่ละทีไม่เคยมีหางเสียง ละนี่มึงแดกข้าวหรือยังเนี่ย”


“ยัง”


“ทำไมยังไม่กินอีกวะ...นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะโว้ย”


“เราไม่ว่างกินหรอก พรอบที่จะใช้จัดแสดงส่วนงานของเรายังไม่เสร็จเลย”


“ไม่เสร็จได้ไง เมื่อวานมึงเพิ่งบอกกูเองนะว่าทำเสร็จแล้ว”


“ก็เรามีชิ้นงานจัดแสดงเพิ่มเข้ามาเลยต้องจัดพรอบใหม่”


“งานจบมึงนี่ธีมเหี้ยอะไรถึงต้องมีพรอบเยอะนัก”


“งานออกแบบสไตล์สตรีทสปอร์ตแวร์ไง เราบอกกล้ามปูตั้งกี่รอบละไม่หัดจำเล้ย”


“โวะ ไอ้เหี้ย ดูพูดเข้า แล้วนี่อยู่ที่หอศิลป์กันกี่คน”


“สี่ห้าคน แต่ไม่รู้จะมีกลับบ้านกันไปก่อนอีกมั้ย”


“แล้วมึงจะกลับไปนอนบ้านเพื่อนหรือเปล่า”


“วันนี้คงไม่ได้กลับ งานยังไม่เสร็จเลย”


“เออๆ ตั้งใจแล้วกัน ทำให้ดี เดี๋ยวมึงเรียนไม่จบขึ้นมาแม่มึงเสียใจตายห่า”


“รู้หรอกน่า แค่นี้นะกล้ามปู บาย”


ยงนัมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กลับคืนสู่หน้าจอหลังวางสายอยู่เช่นนั้นพักหนึ่งด้วยความคิดยังติดตรึงอยู่กับเรื่องอาหารการกินของปลายสายกว่าจะรู้สึกตัวว่าหมกมุ่นกับความห่วงใยเด็กกวนประสาทมากเกินไปก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอลอดมาให้ได้ยิน


“ยงกุก...มึงขำอะไรของมึงวะ”


“ขำคนปากไม่ตรงกับใจ”


“มึงหมายถึงใคร”


“มีกันอยู่แค่สองคนกูจะพูดถึงใครได้วะ”


“อ้าว พูดงี้กับพี่มึงได้ไงวะ กูไปปากไม่ตรงกับใจตอนไหน”


“ทุกตอนแหละวะ โดยเฉพาะตอนอยู่กับอ้วนน้อย มึงไปสุดมาก”


“ไปสุดห่าอะไร”


“มึงก็รู้อยู่แล้วว่ากูพูดถึงอะไรยังทำเป็นใสไร้เดียงสาไม่ยอมรับความจริงอยู่ได้”


“กูไม่รับความจริงเหี้ยอะไร กูไม่ได้คิดอะไรกับไอ้อ้วนเลยนะ แค่เวทนามันหรอก”


“เออ มึงจะเอาไงก็เอาเหอะ เรื่องของมึง นี่เดี๋ยวกูต้องนอนพักเอาแรงหน่อยแล้วนะ ถ้ามึงแค่มากวนตีนไม่ได้มาค้างก็กลับบ้านไปได้แล้วไป”


“จะรีบนอนไปไหนวะ มึงไม่ต้องโทรไปกล่อมไอ้เด็กกุหลาบก่อนนอนหรือไง”


“เขาหลับแล้ว และถ้าจะปากหมาอะไรกับเขา เชิญไสหัวออกจากบ้านกูไปได้เลย กูไม่ต้อนรับ”


“สัตว์ กูยังไม่ทันพูดเหี้ยอะไรเลยนะ หวงเมียฉิบหาย”


“เออ หวง ละตกลงมึงมาหากูนอกจากมาฝากทิกเกอร์แล้วมีธุระห่าอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็กลับไปได้”


“กูว่าจะมายืมหนังสือมึงด้วย”


“หนังสืออะไร”


“กูจำไม่ได้ว่าจะมาเอาหนังสืออะไร เดี๋ยวกูดูเอง เจอเมื่อไหร่กูจะนั่งอ่านที่นี่แหละไม่ยืมกลับ...มึงจะไปนอนก็ไปซะ กูปิดล็อกห้องให้เอง”


“เรื่องของมึงเหอะ”


แฝดผู้น้องตอบเท่านั้นก็ฉวยแก้วกาแฟหายเข้าไปในห้องน้ำอยู่พักใหญ่จากนั้นก็กลับเข้ามาปิดไฟในส่วนห้องนอนแล้วอุ้มทิกเกอร์มากอดค่อยล้มตัวลงนอนบนเตียง


ฝ่ายแฝดผู้พี่ที่มีเป้าหมายอื่นนอกเหนือจากแค่จะเอาสัตว์เลี้ยงแสนรักมาฝากก็แกล้งหยิบหนังสือจากบนชั้นมาพลิกไปมาอยู่นานจนคิดเอาเองว่าเจ้าของห้องคงหลับแน่แล้วถึงเก็บหนังสือกลับตามเดิมก่อนจะด้อมๆมองๆหน้าตู้เก็บไวน์ตรงใต้โต๊ะ


ในตอนนั้นภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งจอมวุ่นวายเมาอาละวาดร้องจะดื่มไวน์เสียให้ได้ก็ผุดขึ้นมาในหัว...ใจเลยอยากจะเอาไปให้มันได้ลองสักหน่อย ทว่าโดยส่วนตัวเขาไม่ใช่นักสะสมไวน์เพียงแค่พิสมัยในรสสัมผัสของไวน์ในระดับที่แยกออกมาว่า ไวน์แบบไหนชั้นเลิศ แต่การคิดจะให้ไวน์เป็นของขวัญที่กะทันหันเกินไปทำให้หาซื้อตอนนี้คงไม่ทัน อีกทั้งพรุ่งนี้มีเวลาแค่ช่วงเย็นกลัวว่าไปหาซื้อคงไม่ทัน สุดท้ายเลยต้องมาขอยืมไวน์จากน้องชายฝาแฝดนักสะสมไวน์มือฉมัง...


ยืมก่อนค่อยมาจ่ายให้ทีหลัง...


ชายหนุ่มเลือกไวน์ในตู้อย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงขวดแก้วกระทบกันด้วยกลัวจะปลุกเจ้าของห้องให้รู้ตัวเสียก่อน พอเจอไวน์สำหรับผู้เริ่มดื่มได้ก็หยิบออกมาด้วยกันสองขวดถึงค่อยย่องออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมปิดไฟและล็อกประตูห้องให้


สายลมเย็นยามค่ำคืนยังคงพัดโชยเป็นระลอกพาให้มวลไม้ตามข้างทางไหวสั่น หากยงนัมยังเที่ยวเดินเข้าเดินออกร้านอาหารที่เปิดไฟสว่างเพียงเพื่อจะหาร้านที่มีบริการส่งอาหาร กระทั่งเจอก็จัดแจงสั่งอาหารพร้อมเขียนที่อยู่กับโน้ตใบหนึ่งติดไปด้วยถึงยอมเดินกลับไปเอารถขับกลับบ้านในที่สุด
-------------------------------
ภายในพื้นที่กว้างขวางของหอศิลป์ซึ่งใช้จัดวางผลงานทางศิลปะหลากหลายแขนงอันเป็นการแสดงผลงานจบของเหล่านักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ถูกปิดไฟมืด คงเหลือเพียงมุมในสุดของส่วนจัดแสดงที่ไฟยังเปิดสว่างเพื่อให้นักศึกษาได้นั่งทำงานกันต่อ


ใครคนหนึ่งวิ่งกระหือกระหอบวิ่งเข้ามาพร้อมเสื้อแจ็กแก็ตสำหรับออกกำลังกายตัวหนึ่งมาสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งกันอยู่ เพียงได้ยินเสียงหอบหายใจจงฮวาก็เงยหน้าจากพรอบในมือขึ้นมามองด้วยความเป็นห่วง


“จุนซอ...มึงไปไหนมาเนี่ย” แจจุนหนึ่งในเพื่อนสนิทร่วมแก๊งค์เดียวกันซึ่งจัดงานส่วนตัวเองเสร็จแล้วมาอยู่คอยให้กำลังใจเอ่ยถาม


“ไปเอาเสื้อมาน่ะ” ฝ่ายเพิ่งมาสมทบชูเสื้อแจ็กแก็ตสีดำเหลือบลายสีเทาสลับทองเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าลายทั้งหมดนั้นแท้จริงเป็นการสกรีนและปักลายข้อความคำคมของนักกีฬาซ้อนในเนื้อผ้าด้วยมือ


“โห แจ็กแก็ตมึงนี่นึกว่าไม่มีอะไรที่ไหนได้ งานโครตละเอียด” มินจุนเพื่อนร่วมเอกเดียวกันที่ใกล้จะเสร็จงานแล้วร้องขณะดึงชายเสื้อมาส่องดูกับแสงไฟ “ตอนแรกเห็นมึงทำแค่หมวก ถุงเท้า ผ้าพันข้อมือกับกระเป๋าคาดนิ มาเพิ่มเสื้อเอาตอนไหนวะเนี่ย”


“กูทำแต่แรกแล้วแต่ตอนเสนออาจารย์กลัวทำไม่ทันก็เลยมาแค่นี้ โชคดีที่รุ่นน้องคณะสิ่งทอเขาเร่งงานให้เลยเสร็จทัน” จุนซอว่าพลางคิดไกลไปถึงคนแก่ปากร้ายผู้หลงรักอาชีพและกิจกรรมด้านกีฬามากกว่าสิ่งใด


เดิมทีเขาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอิทธิพลของแฟชั่นที่มีอิทธิพลกับวงการกีฬาจึงเชื่อมโยงมันเข้ากับผลงานที่ใช้จัดแสดงโดยไอเดียของชิ้นงานทั้งหลายมีแรงบันดาลใจจากคุณลุงปากร้ายแทบทั้งสิ้น ยิ่งเฉพาะกับเสื้อคลุมตัวนี้ทุกกระบวนการตั้งแต่ออกแบบ วางแผน ลงมือทำจนได้ออกมาใช้การได้นั้นในความคิดล้วนมีแต่เขาคนนั้น


“เอามาใช้ไม่บอกอาจารย์ที่ปรึกษาเดี๋ยวโดนด่าหูช้าหรอก”


“กูให้อาจารย์ดูล่วงหน้าแล้ว วันก่อนก็เกริ่นกับเขาไว้ว่าถ้าทำเสื้อทันจะเอามาจัดแสดง”


“โหย ซุ่มนะมึงเนี่ย แต่จะว่าไปเสื้อแม่งดูใหญ่กว่าตัวมึงเยอะเลย นี่มึงทำเผื่อไว้ให้ใครด้วยเปล่า”


คำถามจากเพื่อนในกลุ่มดึงความสนใจให้จงฮวาละสายตาจากเสื้อคลุมตัวมองหน้าเพื่อนรักที่แสดงอาการอึกอักขึ้นมาให้เห็น


“เปล่า กูทำไว้ใส่เอง”


“โธ่ ไอ้กูก็นึกว่าทำให้ซี้มึงใส่ซะอีก...ไซส์จงฮวามันเลยนะนั้น”


“โห เสื้อตัวนี้มันไม่ใช่ถูกๆนะโว้ย ไอ้ขั้นตอนออกแบบไม่เสียเงินแต่ค่าวัสดุ กระบวนการผลิตแพงฉิบหาย เงินเก็บจากงานพิเศษกูเกือบหมดเพราะเสื้อตัวนี้เลยนะ”


“เออๆ เรื่องของมึงเหอะ รีบทำงานต่อดีกว่า กูเบื่อโต้รุ่งแล้ว”


สุดท้ายทั้งหมดก็แยกย้ายไปทำงานที่คั่งค้างของตัวเองกันต่อ ระหว่างที่จัดการพรอบประกอบการแสดงผลงานด้วยความเงียบเป็นนาน จงฮวาที่จัดของอยู่บูธข้างกันก็เริ่มเปิดปากถาม


“มึงชวนใครมางานจบมึงบ้างปะเนี่ย”


“ชวน...ชวนแม่มา”


“คนอื่นล่ะ”


“จะชวนใครได้อีกล่ะ...เพื่อนคนอื่นที่กูสนิทสมัยเรียนประถมหรือมัธยมก็เพื่อนมึงหมด มึงชวนมันมาแล้วจะให้กูชวนซ้ำอีกทำไม พวกรุ่นพี่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกับใครเป็นพิเศษ ส่วนรุ่นน้องที่พอรู้จักมันก็มาของมันอยู่แล้ว”


“มึงไม่ได้ชวนคนที่ร้านสักมาเหรอ”


“ชวนแล้วแต่ไม่มีใครว่างมาหรอก...พี่นาเรเขากำลังท้องอยู่ พี่ชารุต้องดูแลพี่นาเรกับร้านอีกจะเอาเวลาไหนดูงานจบกูวะ”


“แล้วน้องชายพี่นาเรล่ะ”


“รายนั้นอะนะ...โอ๊ย ไม่มาหรอก ไม่ได้สนิทกันซะหน่อย”


“แต่เขาให้มึงไปค้างบ้านนะ จะไม่สนิทกันได้ไง” คำถามที่มีจุดประสงค์เพื่อหยั่งเชิงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิทกับชายหนุ่มเจ้าของร้านสักนั้น แต่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งงันก้มมองกระดาษที่กำลังตัดในมือด้วยความรู้สึกโหวงในใจขึ้นมาอย่างประหลาด


...หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ไปค้างแถมยังไม่ได้เห็นหน้าใครคนนั้น

...แม้จะมีข้อความส่งมาหาถามไถ่แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายโทรมาหาต้องให้เขาโทรกลับตลอด

ในอินสตาแกรมก็มีแต่รูปไปสังสรรค์เหมือนว่างทุกวัน แบบนี้มันเรียกสนิทกันที่ไหนละ


“เขาสงสารที่กูบ้านไกลเฉยๆ”


ความน้อยใจพาให้เสียงตอบกลับแปร่งแปลก ยิ่งออกอาการถอนหายใจต่อท้ายบอกให้เพื่อนซี้สังเกตความผิดปกตินั้นได้แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหอศิลป์ก็เดินนำชายคนหนึ่งซึ่งถือข้าวของเต็มไม้เต็มมือเข้ามาเรียกถาม


“ในนี้มีคนชื่อชเว จุนซอบ้างไหมครับ”


เจ้าของชื่อเงยหน้าจากการตัดกระดาษก็ชูมือขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยกับชายแปลกหน้าที่พอเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าฝ่ายนั้นสวมเสื้อกั๊กปักชื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วย


“ผมเองครับ มีอะไรเหรอครับ”


“ผมมาส่งอาหารตามที่สั่งไว้ครับ” ชายแปลกหน้าเผยตัวว่าเป็นคนส่งอาหารยื่นถุงกระดาษใบใหญ่บรรจุอาหารหลายกล่องมาตรงหน้า


“สั่งอาหารไว้เหรอ...แต่ผมยังไม่ได้สั่งอะไรเลยนะ”


“มีคนสั่งที่ร้านให้มาส่งครับ ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว จะให้ผมวางตรงไหนดีครับ”


“อา...เดี๋ยวผมหิ้วไปเองครับ ขอบคุณครับ” เจ้าของชื่อบอก พอรับถุงมาได้ก็พลิกดูโดยรอบก็เห็นกระดาษโน้ตเขียนข้อความด้วยลายมือหวัดๆ ไว้เพียงว่า


...เด็กเวร แดกเข้าจะได้หายโง่ แล้วอย่าลืมเผื่อเพื่อนมึงด้วยล่ะ...


ข้อความเป็นห่วงแบบห่ามที่ๆฝากมาโดยไม่มีการลงท้ายชื่อผู้เขียน ทว่าเจ้าตัวรับรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนสั่ง หัวใจที่เงียบเหงาเมื่อครู่กลับลิงโลดหลุดยิ้มกว้างรีบหิ้วข้าวกลับไปตรงดงเพื่อนฝูงที่เหลืออยู่


“เฮ้ย จุนซอ มึงสั่งข้าวมาเหรอเนี่ย” เพื่อนในวงร้องถามทันทีเจ้าของชื่อหยิบข้าวจากในถุงออกมาแจกเรียงคนโดยไม่ลืมแยกกล่องข้าวของตัวเองออกมาวางไว้ใกล้บูธจัดแสดงผลงานตนเอง


“พี่ที่ทำงานพิเศษซื้อมาให้...มึงแดกกันไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกูมา” เจ้าตัวบอกเท่านั้นก็เดินหลบมุมออกมาโดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนสนิทที่ฉายแววเศร้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด


จุนซอกดโทรศัพท์ไปหาเจ้ามือมื้อค่ำแต่ไม่มีการตอบรับใดจากปลายสาย แม้จะเพียรโทรไปหลายรอบก็ไม่เกิดการตอบสนองใดนอกจากให้ฝากข้อความเลยคิดเปลี่ยนวิธีติดต่อเป็นจังหวะเดียวกับที่มีข้อความจากฝ่ายตรงข้ามเด้งขึ้นมาให้กดอ่านพอดี




หลังพิมพ์ข้อความกลับไปก็ไม่มีการตอบโต้ใดคืนมาคนอ่อนกว่าเลยได้แต่มองจอโทรศัพท์พลางบึนปากถึงเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนด้วยความรู้สึกคาดหวังว่าจะได้พบอีกฝ่ายในวันรุ่นขึ้นแม้จะไม่มีหลักประกันใดเลยก็ตาม




You Might Also Like

1 Comments

  1. แงงงง คิดถึงขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน555ยงนัมนี่ตลกอ่ะยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งเข้าทางยงกุกไปหมด นี่ถึงกับไปขโมยไวน์ยงกุกใาให้อ้วนน้อยชิมนี่ก็ไม่ธรรมดาละ แอบหวิวตอนอ้วนน้อย น้อยใจให้คุณก้ามปู คิดว่าเค้าไม่สนใจตัวเองเองที่ไหนได้ส่งข้าวส่งน้ำ น่ารัก ยังติดตามผลงานยุนะคะ รอค่ะรอ 😘

    ตอบลบ