LOVE TOXICAL : NAMSEO CHAPTER 11

12:34


หอศิลป์ซึ่งใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานจบของเหล่านักศึกษาในวันสุดท้ายของงานมีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมน้อยกว่าทุกวัน ยิ่งเหลือเวลาเพียงครึ่งวันจะได้ฤกษ์ปิดฉากลง บรรดาเจ้าของผลงานบางส่วนก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของไม่จำเป็นเตรียมไว้ล่วงหน้า คงมีเพียงชายหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวลายทางน้ำเงินสลับขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่าที่ชะเง้อคอมองหาใครสักคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจนั้นแสนจะหงอยเหงา


จุนซอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดอ่านข้อความที่ตนเองส่งไปหาชายเจ้าของร้านสักเมื่อหลายวันก่อนแต่ไม่มีการอ่านหรือตอบกลับแถมเจ้าตัวก็ไม่เคยมาหาเลยพลอยให้คนคาดหวังสูงห่อเหี่ยวไปหมด


...หลายวันแล้วที่เงียบหายไป
...ไปทำงานหรือไปไหนอีกแล้วนะ
ตอนพี่นาเรกับพี่ชารุโทรมาแสดงความยินดีก็ไม่เห็นพูดอะไร
...โทรไปก็ไม่ปิดเครื่องอีก


หัวใจของคนคอยว้าวุ่นส่งผลให้พฤติกรรมผิดไปจากเดิมทำให้เพื่อนสนิทอย่างจงฮวาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะมีเพื่อนหรือคนรู้จักแวะเวียนมาหาเยี่ยมชมผลงานอีกฝ่ายก็เผลอเหม่อลอยกลางอากาศ แต่พอถามก็จะได้คำตอบว่า รอแม่มาดูงานจบ ซึ่งเขาก็เชื่อตามคำพูดเพื่อนเพราะเห็นแล้วว่าแม่ของเพื่อนที่บอกว่าจะมายังไม่มาเสียที หากส่วนหนึ่งของความคิดก็ยังรู้สึกว่าเพื่อนยังรอใครคนอื่นอยู่ด้วย


...ใครคนนั้นที่เขาไม่กล้าจะถามเพราะกลัวคำตอบจะตรงตามที่คิดไว้...


“คุณป้าเขาโทรมาบอกมึงหรือยังว่าจะมาตอนไหน” ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความห่วงใยมานานเอ่ยขึ้นเรียกให้คนที่จ้องมองทางเข้างานอยู่ตลอดละสายตากลับมาหา


“ไม่รู้เหมือนกัน แม่กูบอกว่ามีงานด่วนจะรีบเคลียร์แล้วจะรีบมาหา”


“งั้นคุณป้าคงใกล้จะมาแล้วดิ”


“ใกล้มาอะไรเล่า กูกลัวแม่มาไม่ทันอยู่เนี่ย นี่ขนาดสัญญากับกูแล้วนะว่าจะมาดูงานจบกูแน่ จนจะโค้งสุดท้ายของงานแล้วแม่กูยังมาไม่ถึงเลย โทรไปก็บอกแค่กำลังมา” น้ำเสียงที่เคยสดใสเป็นอาจิณของคนตอบกลับสลดลง อาการถอนหายใจเฮือกใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกับการหันไปมองชิ้นงานของตนเองที่จัดวางอยู่เบื้องหลัง


ในเสี้ยวนาทีอันเงียบงันความรู้สึกในใจก็เต็มไปด้วยน้อยใจระคนผิดหวัง...ยังพยายามหลอกตัวเองว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งนั้นเป็นเพราะกลัวแม่จะมาไม่ทันงาน ทั้งที่ลึกๆต้นเหตุแห่งความรู้สึกนี้ก็มีผลจากผู้ชายปากร้ายที่หายหน้าหายตาไป


“นอกจากคุณป้าแล้วจะมีใครมาหามึงอีกมั้ย”


“คนรู้จักกูเขามาหากันหมดแล้ว เหลือแต่แม่กูเนี่ยแหละ”


“แล้วพวกพี่ที่ร้านสักล่ะ”


“เมื่อวานกูก็เพิ่งบอกมึงเองนะว่าพี่นาเรกับพี่ชารุโทรมาหาแทนแล้ว”


“น้องชายพี่นาเรล่ะ”


“ไม่มา”


“แต่คืนก่อนจัดงานมึงยังบอกเขาสั่งข้าวมาส่งให้อยู่เลย จะไม่มาแน่เหรอ” คำถามหยั่งเชิงจากชายหนุ่มอกสามศอกกลับมีความกลัวแอบแฝง


“ช่างแม่งเหอะ จะไม่มาก็เรื่องของเขา เกี่ยวอะไรกันที่ไหนล่ะ ละในนี่ทำไมร้อนจังเนี่ย กูออกไปซื้อน้ำกินก่อนนะ ฝากบูธด้วยนะ ถ้ามีใครมาดูก็ให้เขาอ่านสูจิบัตรไปก่อน แต่ถ้าเป็นคนจากบริษัทอะไรสนใจจะทาบทามบอกให้เขารอกูก่อนนะ” ประโยคแทงใจชวนให้ฉุนเฉียวปนมาในน้ำเสียง...ความหัวร้อนนั้นทำให้อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่


“ให้กูไปซื้อแทนมั้ย”


“ไม่ต้องหรอก...กูอยากออกไปเอง แล้วมึงจะเอาไรปะจะได้ซื้อมาเลยทีเดียว”


“เอาน้ำแร่ขวดหนึ่ง”


“โอเค ไปนะเดี๋ยวมา” คนตัวเล็กกว่าบอกพลางผงกหัวก่อนจะผละจากบูธตัวเองเดินผ่านทางออกไป ปล่อยให้เพื่อนสนิทยืนเฝ้าบูธอยู่เพียงลำพัง


เมื่อหลังของเพื่อนลับสายตาไปจงฮวาก็กวาดตามองเรื่อยเปื่อยไปทั่วห้องจัดแสดงจากนั้นก็ย้อนมาก้มมองเสื้อแจ็คแก็ตที่สวมอยู่บนหุ่นไม้ตรงบูธข้างๆ


...เสื้อที่เพื่อนหลายคนบอกกันว่า หลังจบงานมันอาจจะกลายเป็นของขวัญที่จุนซอทำให้เขาเพราะขนาดเสื้อนั้นเท่ากับตัวเขาพอดีแถมยังเป็นผ้าที่เหมาะกับคนเล่นกีฬาอย่างเขาเสียด้วย...


เพียงได้คิดเข้าข้างตัวเองทำให้ริมฝีปากของเขาเหยียดกว้างอย่างสุดล้น ทว่าในนาทีที่หันไปเห็นชายหนุ่มมากวัยกว่ารูปร่างและความสูงอยู่ในระดับเดียวกันสวมกางเกงวอร์มเสื้อยืดสีขาวปักโลโก้ของแบรนด์กีฬาดังบนอกข้างซ้าย ตรงส่วนแขนยาวมีแถบสีดำสามเส้นชายของแขนถูกดึงร่นมากองอยู่ตรงศอกกับกางเกงวอร์มขายาวสีดำแบรนด์เดียวกับเสื้อเดินหันรีหันขวางปะปนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่น


ความรู้สึกสะดุดตาแล่นเข้ามาเป็นอันดับแรก กระทั่งฝ่ายนั้นขยับเข้ามาใกล้จนเห็นหน้าได้ชัดขึ้นก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบมาก่อน


...ใครวะทำไมคุ้นหน้า...


“ขอโทษนะ รบกวนถามอะไรหน่อยได้มั้ย” เสียงแหบลึกอย่างยิ่งถามขึ้นเรียกให้อีกฝ่ายหลุดจากภวังค์ความคิดตอบรับอย่างสุภาพสั้นๆพร้อมรอยยิ้ม


“ครับ...มีอะไรครับ”


“เจ้าของผลงานตรงนี้เขาหายไปไหนเหรอครับ”


“อา...อ๋อ...เขาไปซื้อน้ำน่ะครับ” เพราะการถามอย่างเจาะจงประกอบกับท่าทางการมองผลงานของเพื่อนสนิทอย่างสนอกสนใจทำให้เปิดปากต่อ “สนใจผลงานนี้เหรอครับ”


“ครับ...สนใจ”


ชายผู้นั้นตอบก่อนเดินวนชะโงกหน้าก้มตัววุ่นวายไปราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์ทีละชิ้นงานที่จัดแสดงอยู่ตรงหน้า หากในนาทีที่ได้ยินเสียงเจ้าของผลงานเข้าเขาก็เหยียดตัวตรงแล้วหมุนเท้าหันไปทางต้นเสียง


ฝ่ายที่หายไปซื้อน้ำข้างนอกมาชะงักเท้าทันทีที่เห็นหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงบูธจัดแสดงผลงานของตัวเอง ดวงตากลมเบิกกว้างจ้องนิ่งชั่วนาทีก็ริมฝีปากก็แย้มพรายสดใส ความคิดถึงระคนคาดหวังเกือบพาน้ำตาให้ไหลแต่โชคดีที่กระพริบตาไล่มันไปได้ทัน


“งานจบตัวเองยังจะอู้อีกนะมึงเนี่ย เด็กเวร” ถ้อยคำด่าไปอย่างนั้นจากคนคุ้นเคย ฝ่ามือใหญ่หนาที่ยื่นมาขยี้ผมจนยุ่งเหยิงทำให้อุ่นใจไปหมดแต่ปากกลับตอบโต้ไปคนละทางกับสิ่งที่รู้สึก


“เราไม่ได้อู้นะ แค่หิวน้ำก็เลยออกไปซื้อเฉยๆ ละนี่มาได้ไง ไหนบอกว่ายุ่งไง” 


“นึกว่ากูอยากมานักหรือไง ว่างหรอกเลยมาดูงานออกแบบของเด็กสมัยนี้หน่อยก็แค่นั้น”


“ถ้าอยากมาดูงานออกแบบก็น่าจะมาตั้งแต่วันแรกๆนะ มาวันท้ายๆผลงานเจ๋งๆบางชิ้นมีคนขอซื้อไปก่อนแล้วจะเหลืออะไรให้กล้ามปูดู”


“กูจะมาได้ไง โดนเรียกตัวไปดูนักกีฬากับสถานที่คัดตัวกะทันหัน เพิ่งจะได้กลับวันนี้เนี่ยแหละ”


ยงนัมสวนกลับทันควันพยายามจะไม่นึกถึงเหตุการณ์หลังจากถูกเรียกตัวไปดูแววนักกีฬาดาวรุ่งและหาสถานที่ในการคัดตัวกะทันหันกว่าจะได้กลับก็วันสุดท้ายของงานจัดแสดง ตอนที่ขับรถกลับมาในหัวคิดแค่ว่ากลัวจะมาไม่ทันไหนจะต้องกลับไปเอาของที่บ้านอีกเลยเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต


...รีบถึงขนาดที่มาทั้งชุดที่ใส่ทำงานตั้งแต่เช้าถอดแต่เสื้อคลุมตัวนอกออกเท่านั้น...


“อ๋อ ไปทำงานนี่เอง มิน่า งานคงยุ่งมากเลยไม่มีเวลาจับโทรศัพท์เลยดิ ส่งอะไรไปก็ไม่ยอมตอบ”


“ที่ชาร์จมันเสียโว้ย กูยืมของโรงแรมแม่งก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนกันชาร์จแม่งทั้งคืนพอมาใช้คุยงานแป้บเดียวก็หมดเลยต้องเอาเครื่องของสมาคมมาใช้ พอโทรหามึงเสือกไม่รับเองนะจะบ่นกูได้ไง”  


“โทรมาตอนไหน ไม่เห็นจะมี”


“มึงไปไล่ดูก่อนไปว่ามีเบอร์แปลกโทรหาแล้วมึงไม่รับกี่รอบ ไอ้เบอร์ที่ขึ้นต้น 013 น่ะ


จุนซอหรี่ตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เชื่อพลางล้วงมือหยิบโทรศัพท์ของตนเองในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดดูก็เห็นเบอร์แปลกขึ้นต้นตามที่ว่าโทรมาหาหลายครั้งแต่เขาไม่รับสายเพราะกลัวจะเป็นเบอร์พวกขายของหรือหลอกลวง


“ก็น่าจะส่งข้อความมาบอกก่อนว่าเป็นเบอร์กล้ามปู โทรมาแบบนี้ใครจะไปกล้ารับเล่า นึกว่าพวกขายตรง”


“โทรศัพท์มันรุ่นโบราณ พิมพ์ยากฉิบหาย ขืนกูส่งข้อความงานการกูไม่ต้องทำกันพอดี”


“ส่งแบบย่อมาสิ พิมพ์ตัวอักษรนิดหน่อยเอง”


“จะให้ย่อยังไงวะ”


“โอ๊ย คำย่อน่ะ ไม่เคยเล่นโซเชียลหรือไง แก่แล้วแก่เลยจริงๆ ”


“อ้าว เด็กเปรต กูอุตส่าห์โทรหา มึงไม่รับสายแล้วยังมีหน้ามาด่ากูกลับอีก”


“ไม่ได้ด่าซะหน่อย ก็กล้ามปูไม่เข้าใจเอง”


“เออๆ กูผิดทุกเรื่องแหละ...ละนี่มึงจะให้กูเอาของมึงวางไว้ไหน ขี้เกียจแบกแล้วนะโว้ย” 


“ของเราเนี่ยนะ...ของอะไร”


“ของที่มึงร่ำร้องอยากจะแดกนี่ไง” สิ้นคำคนแก่กว่าก็หันกระเป๋าเก็บความเย็นที่สะพายบนไหล่มาหาพร้อมรูดซิปให้เนื้อลายหินอ่อนราคาแพงบรรจุในถุงสุญญากาศวางซ้อนกันจนแน่นรวมทั้งไวน์อีกสองขวดที่อยู่ในนั้น


“โห...เนื้อกับไวน์นี่” เพียงเห็นข้าวของทั้งหมดนั้นคนเด็กกว่าก็ตาโตร้องเสียงหลงอยู่พักหนึ่งก็ชะงักเงยไปมองคนที่หอบมาให้ด้วยแววตาสงสัยแล้วว่า “หน้าแบบกล้ามปูนี่ไม่น่าสปอร์ตเลยอะ ของทำเลียนแบบเปล่าเนี่ย”  


“โวะ ไอ้เด็กคนนี้ เห็นกูงกมากหรือไง ลืมไปหรือเปล่าว่าทุกวันนี้มึงกินฟรีอยู่ฟรีนี่เงินใคร อุตส่าห์ถ่อเอามาให้ยังพูดมากอีก กูเอากลับไปแดกเองดีกว่า ไปล่ะ” ฝ่ายแก่กว่าโวยกลับพลางรูดซิปปิดกระเป๋าแกล้งทำท่าจะเดินไปทางประตู ทันใดนั้นแขนของเขาก็ถูกคว้าไปกอดไว้แน่น


“ใจเย็นเดะ...คนแก่คนนี้นิ” เจ้าตัวยุ่งบอกด้วยรอยยิ้มกว้างกอดแขนของคนแก่กว่าไว้แนบอกทำราวกับกอดของสำคัญที่กลัวหล่นหาย “เอางี้เห็นแก่ที่วันนี้ใจดี เราจะเรียกกล้ามปูว่าพี่หนึ่งวันล่ะกัน”


“แค่วันเดียวเนี่ยนะ...ปีนเกลียวฉิบหาย”


“ลองพูดกับเราดีๆเหมือนพูดกับน้องกล้ามปูสิ เราจะเรียกพี่ทุกวันเลย”


“กูคุยกับมึงเหมือนเวลาคุยกับน้องกูอยู่แล้วนะ”


“เหมือนกันเลยเหรอ ไมพูดจากับน้องแย่จัง”


“กูพูดดีกับคนที่พูดดีๆกับกูเท่านั้นแหละ”


“ตอนเราพูดดีด้วยไม่เห็นพูดกลับเลยอะ”


“เคยพูดตอนไหนวะ จำไม่เห็นได้”


“ถ้าวันนี้พูดดีด้วยจะพูดดีตอบหรือเปล่าล่ะ”


“อย่างแรกลองเรียกกูพี่ก่อน แล้วจะลองคิดอีกที”  


“พี่ยงนัม...เรียกพี่แล้วนี่ไง โอเคเปล่า”


ยงนัมหลุดยิ้มตรงมุมปากในนาทีที่เจ้าตัวยุ่งเรียกพร้อมเอาคางเกยบนแขนทำหน้าทำตายิ้มแป้นแล้น ความเอ็นดูระคนมันเขี้ยวทำให้เผลอใช้มือข้างที่ว่างขยี้หัวจนผมนุ่มนั้นยุ่งไปหมด หากอีกฝ่ายแทนที่จะโวยวายเหมือนเคยกลับหัวเราะคิกเป็นเด็ก


“ก็เรียกได้นี่หว่า ทำไมอยู่มาตั้งนานไม่เรียกวะ” เขาว่าพลางหัวเราะแต่พอตาเหลือบเห็นเสื้อลายทางที่คนเด็กกว่าสวมอยู่ซึ่งเป็นตัวเดียวกับวันที่เมาหนักเลยโวยเอง “เฮ้ย ทำไมมึงใส่เสื้อตัวนี้อีกแล้วเนี่ย”


“ทำไมอะ ใส่ไม่ได้เหรอ”


“เสื้อคนเมา...ใส่ไปแดกเหล้าเดี๋ยวก็เมาเหมือนหมาอีกหรอก”


“ไม่เมาหรอก เราไม่ได้ใส่ไปดื่มนิ”


“แล้วใส่มาทำไมวะ”


“ก็...แบบว่า...ถ้าใส่เสื้อตัวนี้...กล้าม เอ๊ย พี่จะมาหา...ก็เลยใส่” ฝ่ายกอดแขนเสียแน่นอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง ดวงตาที่จ้องมองชายหนุ่มมากวัยกว่าเต็มตาอยู่นานสองนานในตอนนี้กลับเหไปอีกทาง...อากัปกิริยาแปลกประหลาดนั้นเป็นเหมือนสิ่งยืนยันคำพูดทำให้แววตาและรอยยิ้มของผู้สังเกตเห็นยิ่งอ่อนโยน


“เด็กด๋อยวะมึงเนี่ย”


“เด็กด๋อยแปลว่าอะไร” ศัพท์ประหลาดที่ได้ยินปัดความร้อนที่ก่อตัวอยู่บนแก้มแล้วแทนที่ด้วยความสงสัยเลยกลับมาสบตาได้อีกครั้ง


“อะไร ว่ากูแก่อยู่นั่นแต่คำพวกนี้มึงเสือกไม่รู้จัก”


“ศัพท์คนแก่ใครจะไปรู้ล่ะ” เจ้าตัวยุ่งบึนปากเหลือบมองไปทางอื่นอีกรอบเลยปะทะกับสายตาของเพื่อนสนิทเข้าจึงเริ่มรู้สึกตัวผละจากการกอดแขนมาจับชายแขนเสื้อแทน


“โอ๊ะ ลืมเลย นี่จงฮวา เพื่อนสนิทเราเอง ส่วนคนนี้พี่ยงนัม น้องชายพี่นาเรแล้วก็เป็นเจ้านายด้วย”


จงฮวาที่ถูกปล่อยทิ้งให้ยืนดูความสนิทสนมของทั้งคู่ด้วยความอดทนถึงขั้นต้องซ่อนมือที่กำหมัดแน่นไว้ข้างหลังเมื่อได้รับการแนะนำก็โค้งแล้วฝืนยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้


“สวัสดีครับ ผมอี จงฮวาครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


“อ๋อ...จงฮวาสินะ” ฝ่ายแก่กว่าตอบรับขณะจ้องหน้าหล่อเหลาของคนตรงข้ามด้วยความรู้สึกคุ้นเคย “หน้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเจอกันมาก่อนเลย”


“อาจจะเคยเจอกันผ่านๆ ตอนผมไปสักที่ร้านก็ได้ครับ”


“เคยมาสักที่ร้านด้วยเราะ”


“จงฮวามันเป็นคนแนะนำให้เราไปทำงานที่ร้านแหละ”


“ถ้าแนะนำให้คนไปทำงานได้ก็น่าจะรู้จักพวกพี่เขาระดับหนึ่งเลยนะ งั้นก็ต้องรู้เรื่องที่พี่นาเรคบพี่กับชารุอยู่แล้วสิเนาะ”


คนแก่กว่าเอ่ยปากด้วยท่าทางเรียบเฉยได้แนบเนียนเหมือนไม่มีอะไรเคลือบแฝงในคำถามนั้น แต่ฝ่ายมีชนักติดหลังถึงกับสะอึกยิ่งเห็นเพื่อนสนิทหันมามองด้วยแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ความเงียบครอบคลุมระหว่างคนทั้งสามอยู่ชั่วครู่ก็ถูกเสียงของสตรีผู้หนึ่งแทรกขึ้น


“คุยอะไรกันอยู่เหรอจ้ะ ดูน่าสนุกจัง”


ทั้งหมดหันไปตามเสียงก็พบเข้ากับหญิงเลยวัยกลางคนไม่มากนัก รูปร่างนั้นเล็กสวมสูทกระโปรงสีฟ้าครามดูบอบบาง ใบหน้าระบายยิ้มกว้างใจดีมีริ้วรอยแห่งวัยหากยังคงเค้าโครงความสวยเมื่อครั้งยังสาวสะพรั่ง


“แม่...มาแล้วเหรอ กว่าจะมาได้ ผมนึกว่าแม่จะมาไม่ทันแล้วเนี่ย”


“แม่บอกแล้วว่าจะมาก็ต้องมาสิ” มือเรียวเล็กของผู้เป็นแม่ยื่นไปลูบผมลูกชายแล้วสวมกอดด้วยความรัก และเมื่อผละจากการกอดมองผลงานลูกพลางถาม จากนั้นก็หันมาเริ่มถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและชื่นชมผลงานของเพื่อนสนิทลูกอยู่ครู่เดียวก็กลับมาให้ความสนใจกับชายอีกคน


“คุณ...คุณบังใช่มั้ยคะ” แค่มองปราดเดียวเธอก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้แต่งกายด้วยชุดกีฬาซึ่งโค้งทักทายอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร


“ครับ แต่เรียกผมว่ายงนัมดีกว่าครับ”


“ดิฉันเป็นแม่ของจุนซอนะคะ เคยได้ยินแต่เสียงมาตลอดไม่คิดว่าจะได้พบตัวจริงวันนี้ ขอบคุณที่ช่วยดูแลแกนะคะ”


“คุณน้าไม่ต้องพูดเป็นทางการกับผมหรอกครับ คุยเหมือนตอนที่โทรศัพท์มาดีกว่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มและจากจุดนั้นเองก่อให้บรรยากาศการสนทนาของคนทั้งคู่ดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง


ถึงจะสวมชุดกีฬาหากมาดยามเจรจาพาทีกับผู้อาวุโสกลับนิ่งสงบดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือ ในความผ่อนคลายวางตัวตามสบายนั้นก็ยังคงความสุภาพทำให้การถามตอบหลายสิบนาทีนั้นไหลลื่นราวกับทั้งสองเป็นญาติสนิทกันก็ไม่ปาน


“เราน่ะเรียนจบแล้วก็เอาอย่างพี่เขานะ...จะได้มีอนาคตที่ดีเหมือนพี่เขา” ผู้เป็นแม่วกมาหาลูกชายที่ยืนมองตาแป๋ว ทำให้เจ้าตัวมองไปทางคนที่แม่อยากให้เอาเป็นต้นแบบแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เลยถูกมือใหญ่เอื้อมมาขยี้หัวแรงๆอีกหน


ผู้เป็นแม่ใช้เวลากับการพูดคุยก่อนจะให้ลูกชายพาไปทำความรู้จักและชมผลงานของเพื่อนร่วมเอกที่จัดแสดงอยู่โดยชวนให้เจ้านายลูกตามไปด้วย


“วันนี้จะกลับบ้านมั้ย แม่จะได้รอกลับพร้อมเรา” เมื่อกลับมาถึงบูธลูกได้ก็เริ่มถาม


“ผมยังไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมั้ยอะ...งานมันเลิกตอนสองทุ่มก็จริงแต่ต้องเก็บของกับเคลียร์สถานที่อีก เสร็จแล้วก็อาจจะไปกินข้าวด้วยกันทั้งเอกด้วย”


“อย่างนี้ก็เหนื่อยแย่เลยสิ”


“ไม่เหนื่อยหรอก แม่เหนื่อยกว่าผมตั้งเยอะ พรุ่งนี้ต้องไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศลูกค้าอีกหรือเปล่า”


“ไปสิ แต่พรุ่งนี้แม่ไปกับลูกน้องเลยนั่งรถบริษัทไป” 


“ต้องไปเช้ามั้ย”


“ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง”


“โหย ถ้าเช้าขนาดนั้นแม่กลับบ้านก่อนเหอะ ตรวจเอกสารที่มีแต่ตัวเลขเยอะแยะขนาดนั้น นอนน้อยด้วยเบลอ”


“คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะ...ขอโทษนะที่แม่มาดูงานเราช้าแถมยังอยู่รอกลับบ้านพร้อมเราไม่ได้อีก”


“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”


“ไว้เรากลับบ้าน แม่จะพาเราไปฉลอง ไปกินหมูย่างตรงร้านคุณปู่ที่หัวมุมกันนะ”


“รอเงินเดือนผมออกก่อนสิ...ผมจะได้เลี้ยงแม่ได้”


“อะไรกัน เราเรียนจบนะจะให้เรามาเลี้ยงแม่ได้ยังไง”


“ได้สิทำไมจะไม่ได้ แล้วแม่จะกลับเลยมั้ย เดี๋ยวผมออกไปเรียกแท็กซี่ให้”


“ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ เดี๋ยวพี่ไปส่งคุณน้าให้เอง” ยงนัมขันอาสาแม้จะถูกทัดทานด้วยความเกรงใจจากสองแม่ลูกในตอนแรก หากท้ายที่สุดก็ได้ทำหน้าที่สารถีสมความตั้งใจ 


เมื่อแม่กับเจ้านายตนเองเดินหายจากสายตาไปก็เป็นเวลาใกล้จะได้เวลาสิ้นสุดการจัดแสดงผลงาน จงฮวาที่รู้สึกอึดอัดกับการมาเยือนของชายเจ้าของร้านก็เอ่ยปากระบายความสงสัยระคนน้อยใจออกมา


“ไหนมึงเคยบอกกูว่าไม่ชอบพี่เขาเพราะเขาชอบหาเรื่อง แต่เท่าที่กูเห็นพี่เขาก็ดีนิ ถึงขนาดให้ไปค้างบ้าน แถมยังเอาเนื้อกับไวน์มาให้อีก” 


“นั่นมันตอนแรกๆไง ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเขาแค่ปากร้ายเฉยๆ”


“ตอนนี้ก็เลยสนิทกันแล้วสินะ”


“สนิทบ้างไม่สนิทบ้าง ผีเข้าผีออกแบบนี้แหละ ว่าแต่มึงเหอะเรื่องนั้นน่ะ คงไม่ได้รู้มาก่อนหรอกเนาะ”


เมื่อถูกถามกลับฝ่ายน้อยใจหนักที่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเก็บพรอบตรงบูธตัวเองก็ชะงักหยุดมือกะทันหัน แต่ไม่ทันจะได้อธิบายอะไรก็ถูกแทรกขึ้นมาก่อน


“แต่ถึงจะรู้มาก่อนก็ไม่เป็นไรหรอก มึงเป็นเพื่อนสนิทกู เป็นคนที่รู้จักกูดี ถ้ามึงไม่ยอมบอกก็ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างและถ้าไม่ได้มึงกูก็คงไม่มีปัญหาหางานพิเศษที่มีเจ้านายใจดีแบบนี้หรอก อีกอย่างกูหัวรั้นด้วยถ้าเกิดมึงรู้แล้วบอกมาก่อนกูอาจจะไม่เชื่อก็ได้ จริงปะ”


ถ้อยคำไม่ถือโทษโกรธเคืองพรั่งพรูออกมาจากเพื่อนพร้อมสัมผัสจากมืออุ่นที่ตบลงมาบนหลังทำให้ความหึงหวงเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดไปโดยพลัน


“อืม”


“เอาล่ะ เก็บของต่อดีกว่า” คนตัวเล็กกว่าตัดบทจบเรื่องด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินกลับไปเก็บข้าวของตรงบูธตัวเองโดยไม่ได้สังเกตแววตาของอีกฝ่ายที่มองด้วยความเศร้าราวกับกำลังเล่าถึงสาเหตุให้ปิดปากเงียบ


เพราะรักถึงกลัว
...เพราะรักถึงคาดหวัง
...เพราะรักถึงคิดว่าวิธีนั้นจะทำให้ตัดใจได้ง่าย
...เพราะรักแต่บอกไปไม่ได้จึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่นั้นเอง

------------------------------------------------------------------------
การจราจรบนท้องถนนในวันพฤหัสค่อนข้างคล่องตัว จะมีติดขัดอยู่บ้างก็เฉพาะเวลาต้องหยุดรอสัญญาณไฟตรงสี่แยกเพียงไม่กี่นาที อีกทั้งผู้โดยสารก็คอยชวนคุยและเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟังทำให้ฝ่ายสารถีไม่รู้สึกเกร็งหรือเคร่งเครียดกับการเดินทาง


จากการได้เป็นฝ่ายฟังยงนัมรู้สึกเลยว่า แม่ของเด็กวุ่นวายเป็นผู้หญิงมีอายุที่มีความรู้กว้างขวางและหัวสมัยใหม่กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หากพอได้ฟังชีวิตความเป็นมาก็เข้าใจได้


“เมื่อก่อนน้าอยู่ที่ออสเตรเลียน่ะ ครอบครัวน้าย้ายไปอยู่นั้นตั้งแต่น้ายังเล็ก...พอเรียนจบมีคนรู้จักชวนไปทำงานบัญชีให้บริษัทเครื่องสำอางที่ลอนดอนก็เลยไป ช่วงหน้าร้อนของปีแรกที่ไปทำงานน้าก็ได้เจอกับพ่อของจุนซอ...เขาเป็นอาจารย์สอนภาษาตะวันออกที่วุลเวอร์แฮมป์ตัน ก็คบหาดูใจกันมาพอเห็นว่าใกล้จะสี่สิบกันแล้วก็เลยแต่งงานกัน แต่พอคลอดจุนซอออกมาได้ประมาณแกสองขวบได้ พ่อเขาไปตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งตับระยะสามแล้ว ก็พยายามรักษาทุกทางแต่ไม่เป็นผลสุดท้ายก็เสีย น้ามารู้ทีหลังว่าตระกูลเขาพวกผู้ชายนอกจากจะเป็นศาสตราจารย์แล้ว ยังแต่งงานมีลูกช้าแถมป่วยเป็นมะเร็งกันเสียส่วนมาก อย่างลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเสียไปไม่กี่ปีก่อนก็เพราะมะเร็งเหมือนกัน”


เพียงได้ยินถึงตรงนี้คิ้วของคนขับก็แทบขมวดพาลคิดถึงเรื่องครอบครัวเมียเด็กของน้องฝาแฝดขึ้นมา ยิ่งผนวกเข้ากับสถานที่เกิด ความละม้ายกันของใบหน้าระหว่างเด็กกุหลาบกับไอ้ตัวแสบรวมถึงนามสกุล สุดท้ายก็เอ่ยปากถาม


“ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขามีลูกมั้ยครับ”


“มีลูกชายคนหนึ่งแต่ยังเด็กอยู่เลยจ๊ะ เขาค่อนข้างสันโดษ ภรรยาเองก็เสียไปตอนคลอดลูกไม่กี่เดือนเอง”


“แล้วเขาไปอยู่ไหนแล้วล่ะครับ”


“ได้ยินว่าไปอยู่กับผู้ปกครองที่เป็นลูกศิษย์ของเขาน่ะ แต่น้าก็ไม่ค่อยได้ยินข่าวเขาหรอกนะ พอย้ายมาอยู่เกาหลีก็ห่างๆกันไป อาศัยถามเอาตอนบินไปไหว้หลุมศพสามีแล้วแวะเจอญาติๆน่ะจ๊ะ”


“คุณน้ารู้จักชื่อของเด็กคนนั้นมั้ยครับ”


“เอ...ชื่อภาษาอังกฤษน้าจำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าชื่อเกาหลีก็ ชเว จุนฮง” พอชื่อถูกเฉลยออกมาก็เผลอกัดกรามพลางสบถในใจ


...ไอ้ห่าเอ๊ย ก็ว่าทำไมหน้าคล้ายกัน ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน...


“น้าเคยเห็นเขาตอนยังเล็กมากหน้าคล้ายจุนซอเลย แต่น่าจะซนไม่เท่าหรอก”


“จุนซอเขาซนมากเหรอครับ”


“ก็ซนตามประสาเด็กแหละจ๊ะ แต่แกรู้นะว่าน้าต้องทำงานเลยไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วย แกสงสารน้าน่ะเพราะแบบนั้นพอแกเลยพยายามทำงานพิเศษเก็บเงินไว้ใช้จ่าย สะสมไว้สำหรับเรียนมหาวิทยาลัย อ้อ จุนซอน่ะตอนม.ต้นน่ะ แกเคยเอามอไซด์เพื่อนไปขับเลยล้ม กระดูกขาซ้ายแตกต้องผ่าเอาเหล็กด้ามขา รู้มั้ยว่าตอนนั้นแกไม่ร้องไห้เลยสักแอะ แล้วยังบอกอีกนะว่าทำตัวเอง เจ็บเอง ต้องไม่ร้องไห้เองได้ด้วย”


ผู้ฟังหลุดยิ้มออกมาให้กับเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่และยังทำหน้าที่นั้นเป็นอย่างดีกระทั่งขับรถมาส่งผู้โดยสารหน้าอาคารกลางเก่ากลางใหม่สูงเพียงแปดชั้นตามคำบอก


“ขอโทษนะจ๊ะที่ต้องรบกวนเราให้มาส่ง ทางก็ไกลยังมีน้ำใจมาส่ง”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ...ให้คุณน้ากลับคนเดียวผมก็ไม่สบายใจ จุนซอเขาก็คงเป็นห่วง ผมมาส่งเลยน่าจะดีกว่า”


“ใจดีจัง...เราน่ะเป็นเจ้านายที่ดีมากนะ มีน้ำใจกับลูกน้องแล้วยังเผื่อแผ่มาถึงครอบครัวอีก”


“จริงๆแล้ว ผมทำเพราะอยากทำน่ะครับ”


“นี่ยังไง...น้าถึงบอกว่าเราน่ะใจดี” ฝ่ายผู้อาวุโสกว่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากนะสำหรับความเอื้อเฟื้อที่เรามีให้ และขอโทษที่คอยรบกวนให้ช่วยดูแลจุนซอ ถึงแกจะดื้อแต่แกไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะคะ”


“เรื่องนั้นผมรู้ครับ คุณน้าไม่ต้องคิดมากนะครับ”


“บางทีแกอาจจะทำตัววุ่นวายกับเรา...ก็อย่าถือโทษโกรธเลยนะ จุนซอน่ะถึงจะเป็นคนเฟรนด์ลี่แต่ไม่ใช่ว่าจะวุ่นวายกับทุกคนหรอกนะคะ แกจะวอแวเป็นเด็กๆเฉพาะกับคนแกคิดว่าสำคัญกับแกเท่านั้นแหละ”


“ครับ”


“น้าขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ แล้วจะทำอาหารฝากไปให้นะ เดินทางปลอดภัยจ๊ะ”


ผู้อาวุโสกว่ายิ้มรับการโค้งแทนคำลาแล้วเดินหายเข้าไปในอาคารตรงหน้า ขณะที่ฝ่ายรับหน้าที่สารถีก็กลับขึ้นรถมาด้วยความรู้สึกประหลาดในใจจนนึกอยากจะโทรไปหาไอ้ตัวยุ่งแต่โทรศัพท์มือถือที่ไม่มีเวลาชาร์ตตายสนิทเลยทำได้แค่รีบขับรถวนกลับไปยังสถานที่จัดแสดงงานอีกครั้ง


ชายหนุ่มจอดรถเดินตามแสงจากเสาไฟในหอศิลป์ตรงไปยังอาคารส่วนจัดแสดงผลงานนักศึกษาถึงเห็นว่าปิดไฟมืด เมื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ได้ความว่ากลับกันหมดแล้วเลยขับรถกลับบ้านรีบไปชาร์ตโทรศัพท์ทันที


หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเวลาเพียงสิบนาทีเขาก็กลับมาเปิดโทรศัพท์ เพียงเข้าถึงโหมดใช้งานปกติเสียงแจ้งเตือนข้อความก็เด้งรัวโดยข้อความส่วนใหญ่เป็นการแจ้งมิสคอลและข้อความของไอ้ตัวยุ่งที่บ่น



“ไอ้บ้าเอ๊ย” เขาสบถหลุดยิ้มออกมาแล้วกดโทรออก


ช่วงเวลาที่แต่เสียงรอสายให้ฟังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างประหลาด กระทั่งได้ยินเสียงจอมแสบทักขึ้นท่ามกลางเสียงคนจ้อแจ้เหมือนกำลังสังสรรค์กันอยู่


“อยู่ไหนวะ”


“เราสิต้องเป็นคนถามว่ากล้ามปูอยู่ไหน เห็นแม่โทรมาบอกว่าถึงบ้านตั้งนานแล้ว ทำไมกล้ามปูเพิ่งถึงบ้านอะ”


“รู้ได้ไงว่ากูเพิ่งถึงบ้าน”


“ก็กล้ามปูบอกเองว่าแบตหมด ถ้าชาร์ตได้ก็ต้องถึงบ้านแล้วสิ หรือว่าไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง...อยู่บ้านแฟนเหรอ ถ้าอยู่บ้านแฟนก็วางสายเหอะ ไม่อยากกวน”


“จะอยู่บ้านแฟนได้ไง ในเมื่อกูไม่มีแฟน”


“อ้าว...ไม่ใช่ว่าหาใหม่ได้แล้วหรอกเหรอ”


หาใหม่เหี้ยอะไรไวปานนั้น”


“ไม่มีใหม่ เพราะยังเสียใจอยู่เหรอ โห ไม่น่าเชื่อ"


“กูก็คนนะโว้ย เสียใจเป็น แต่ตอนนี้ไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว มีงานต้องทำอีก”


“โหย กล้ามปูเนี่ย...เย็นช้าเย็นชา”


“เย็นชาบ้านพ่องมึงสิ...ละนี่ยังไง ไหนบอกจะเรียกกูพี่หนึ่งวัน นี่ยังไม่จบวันเลยเรียกเหมือนเดิมอีกล่ะ”


“ไม่อยากเรียกแล้ว”


“กูว่าแล้ว เด็กเปรตอย่างมึงคงพูดดีกับกูได้ไม่เกินครึ่งวันหรอก แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน”


“มาประชุมงานที่ร้านกาแฟ”


“ยังประชุมอยู่ปะ”


“เพิ่งเลิกเมื่อกี้นี้เอง”


“แล้วต้องไปทำอะไรอีกมั้ยเนี่ย”


“ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจมีเขียนสคริปท์ที่จะพรีเซนต์งานจัดแสดงนี่อะ”


“ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็กลับมานอนนี่ได้ล่ะ ไปวุ่นวายบ้านคนอื่นตั้งนาน เขาปวดหัวกันตายห่า” หลังไถ่ถามเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักก็ถึงเป้าหมายหลักของผู้โทรหาได้เสียที


“คนปวดหัวก็มีแต่กล้ามปูคนเดียวแหละ”


“ก็แสดงว่ามึงวุ่นวายแต่กับกูคนเดียวไง”


“คำก็วุ่นวาย สองคำก็เด็กเวร ไม่เคยชมเราเลย มาดูงานเราก็ไม่ชมสักนิด”


“กลับบ้านสิ...แล้วจะชมให้ฟัง” ถ้อยคำอ่อนโยนเช่นเดียวกับน้ำเสียงหลุดจากปากไปทำให้ผู้ฟังเงียบไปโดยพลัน แต่ผู้พูดก็ยังไม่รู้ตัวยังบอกต่อ “อย่าลืมเก็บของที่กูให้มาด้วยล่ะ แล้วไวน์น่ะกูให้มึงคนเดียวนะ ไม่ต้องเสือกเอาไปให้จงฮวาเพื่อนซี้มึงล่ะ ถ้ากูรู้ว่ามึงเอาไปให้นะจะโบกให้”


“รู้แล้ว” ปลายสายตอบเสียงอ่อย “โอ๊ะ เพื่อนเรียกแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”


“เออ ไปเหอะ”


ยงนัมวางสายจากเด็กวุ่นวายเสร็จก็ล้มตัวนอนแผ่บนโซฟาพลางกวาดสายตามองห้องนั่งเล่นเลยไปจนถึงนอกระเบียง ความเงียบแห่งย่างกรายเข้ามาภายในลึกมาถึงหัวใจให้รู้สึกโหวงท้องไปหมด


...อาจจะหิวข้าวเพราะแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยทั้งวัน...


ทั้งที่เบื้องลึกนั้นก็รู้ว่าเวลากลับมาบ้านโดยไม่เห็นไอ้ตัวแสบป้วนเปี้ยนจะต้องรู้สึกแบบนั้นทุกครั้งไปก็ตามแต่เขาก็เลือกจะไม่ยอมรับแค่ก้มหน้าก้มตาต้มรามยอนและกินมันลงกระเพาะ กระนั้นความว่างเปล่าก็ยังคืบคลานเลยตัดสินเดินเข้าห้องนอนเก็บเสื้อผ้าเก่าจากในกระเป๋าเดินทางออกและจัดเสื้อผ้าใหม่สำหรับการเดินทางครั้งใหม่อีกสามวันข้างหน้าต่อ


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกับการสั่นสะเทือนบนพื้นเรียกความสนใจให้ละจากสิ่งที่ลงมือทำไปรับสายแต่พอเห็นชื่อแฝดผู้น้องหราอยู่ก็กลืนน้ำลายเฮือกเพราะมีความผิดโทษฐานยืมมาโดยไม่ขอติดตัวอยู่


“มึงจะโทรมาทำเหี้ยอะไรดึกดื่น” เจ้าตัวชิงโวยวายใส่


“กล้าขึ้นเสียงแถมพูดเหี้ยใส่คนที่มึงทำทีเป็นมายืมหนังสือแต่เสือกขโมยไปด้วยเหรอวะ..คนอย่างมึงนี่ด่าเลว กูยังว่าเบาไปเลย”


“โธ่เว้ย แค่ยืมไวน์ขวดสองขวดต้องด่าขนาดนี้เลย”


“รู้ได้ไงว่าโทรมาด่า กูจะโทรมาอวยพรต่างหาก ตั้งใจจะโทรมานานละแต่มึงเสือกปิดเครื่อง” เสียงแหบต่ำตอบกลับอย่างเรียบเย็น


“อวยพรเหี้ยอะไร”


“ให้มึงได้กับอ้วนน้อยไว”


“สัตว์...กูจะไปได้กับมันทำเหี้ยอะไร”


“เชื่อกูดิ...ไม่เกินสามเดือนหรอก”


“สามเดือนบ้านมึงสิ...ไอ้น้องเลว...กูไม่ได้คิดอะไรกับมันเลย”


“เออ ทำปากแข็งไปเหอะ...ทั้งไวน์ทั้งเนื้อ แพงฉิบหายเสือกซื้อไปให้คนที่ไม่ได้คิดอะไรด้วย กับเมียเก่าเคยให้ขนาดนี้มั้ย”


“ให้เหอะ...ให้แพงกว่าที่ให้อ้วนมันอีก”


“แล้วมีคนไหนที่มึงยอมให้มานอนบ้าน หาข้าวให้กิน ขับรถไปรับไปส่ง ซื้อของใช้เผื่อมาให้ปะล่ะ”


“นั่นกูให้เพราะสงสารแม่มันหรอก”


“ลงท้ายก็อีหรอบนี้ เบื่อจะคุยกับพวกไม่ตรงกับใจซะจริง”


“เบื่อก็วางสายแล้วส่งค่าไวน์มึงมาในคาทกให้ด้วย”


“ไม่ต้องจ่าย...กูให้...เห็นแก่อนาคตที่สดใสระหว่างมึงกับอ้วน ได้กันไวๆล่ะ แค่นี้”


“ไอ้เหี้ย...น้องชั่ว แม่งเอ๊ย กวนส้นตีน” เพราะถูกตัดสายไปดื้อๆและโทรกลับไปไม่ติดทำให้เจ้าตัวหลุดสบถยาวเหยียดก่อนจะเงียบเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นไม้แว่วมา ในวินาทีที่หันไปมองตามเสียงบานประตูห้องนอนก็เปิดพรวดออกมาพอดี


เด็กวุ่นวายที่สุดในโลกคนเดิมเพิ่มเติมที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นเสื้อยืดแขนยาวสีดำตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นพร้อมนอนกอดเสื้อแจ๊กแก็ตตัวที่ใช้จัดแสดงงานยืนอยู่ตรงนั้นด้วย


“ไปนอนบ้านเพื่อนมาแล้วนอนไม่หลับ...เลยกลับมา ละนี่กล้ามปูจัดกระเป๋าทำไม จะไปไหนอีกอะ” ไม่ต้องรอให้ถามผู้มาอาศัยก็ชิงตอบพร้อมถามกลับไปเสียอีก


“ไปต่างจังหวัด” ฝ่ายเจ้าของบ้านว่าไม่มีทีท่าตกใจแต่ยิ้มให้แทนเสียนี้


“จะไปต่างจังหวัดแต่ให้เรากลับบ้านเนี่ยนะ กลับมาตัวเองก็ไม่อยู่ ละนี่ทิกเกอร์ไปไหน”


“กูไปฝากยงกุกมันดูแทน”


“ให้เรามาเฝ้าบ้านทั้งทีเอาทิกเกอร์ไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้ แล้วกล้ามปูจะไปเมื่อไหร่”


“อีกสามวัน...เอ้า แล้วนั่น จะไปไหนของมึงอีกวะ” แค่ได้ยินเท่านั้นอีกฝ่ายก็พรวดพราดจากหน้าประตูหายไปพักหนึ่งก็กลับเข้ามาในห้องนอนยัดถุงผ้าใบเล็กบรรจุอะไรสักอย่างยัดไว้ในช่องว่างด้านข้างของกระเป๋าเดินทางเลยเอื้อมมือไปหมายจะจับพลางร้องด่า


“เด็กเวร เอาอะไรมายัดใส่กระเป๋ากูเนี่ย”


“ที่ชาร์ตแบต แก่แล้วชอบหลงๆลืมๆ เอาใส่ไว้ก่อนเลยจะได้ไม่ลืมอีก” คนอ่อนวัยกว่าที่ย่อตัวลงมานั่งขัดสมาธิข้างๆบอกเสร็จก็ทำหน้างอใส่


“เอาของใครเขามาให้กูอี้ก”


“ของเราเอง...ใช้ไอโฟนรุ่นเดียวกันชาร์จได้อยู่แล้วนิ”


“เอาของมึงมาให้กูแล้วมึงจะเอาที่ไหนชาร์จ”


“เรามีสองอัน”


“กลัวกูลืมที่ชาร์จขนาดนั้น...ทีตอนโทรหาล่ะเสือกไม่รับ”


“ก็เราไม่รู้นี่ว่าเป็นกล้ามปู”


“จะให้กูส่งข้อความไปบอกมึงก่อนเนี่ยนะ เกิดเจอเครื่องโบราณอีกกูจะพิมพ์หายังไง”


“งั้นก็คิดตัวเลขหรืออะไรขึ้นมาสิ เวลาจะเอาเบอร์แปลกโทรมาก็จะส่งรหัสนี้มาแทน”


“จะให้กูคิดตอนนี้เนี่ยนะ ใครจะไปคิดออก”


“คิดๆมาเหอะ กล้ามปูเกิดวันไหน เอาเลขวันเกิดกล้ามปูก็ได้”


“31 มีนา”


“งั้นเอาเป็นสามหนึ่งสี่มะ”


“ไม่...กูไม่ชอบให้มีเลขสามนำหน้า ใช้นำหน้าเลขตัวอื่นทีไรกูแข่งอะไรแพ้ทุกที สี่ก็ไม่เอา มันออกเสียงเหมือนคำว่าตายในภาษาจีน”


“เกลียดเลขสามหรือสี่มากกว่ากันล่ะ”


“สาม”


“ก็ต้อง หนึ่งสี่สามแล้วแหละ” คนอ่อนกว่าสรุปความแล้วฉุกคิดได้ว่าสมัยยังคบกับแฟนเก่านั้น เจ้าหล่อนเคยส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทตนเองซึ่งภายหลังเพื่อนได้บอกถึงความหมายแฝงของเลขสามตัวนี้เลยถามใหม่ “จะใช้สามตัวนี้จริงเหรอ ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนได้นะ”


“หนึ่งสี่สามนี้แหละง่ายดี จำไม่ยากด้วย”


“ก็เห็นบอกไม่ชอบสามกับสี่”


“มีหนึ่งนำก็โอเค หนึ่งสี่สามก็จำง่ายดี” คนที่พับเสื้อลงกระเป๋าบอกด้วยท่าทางแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความหมายของตัวเอง ฝ่ายคนรู้เลยได้แต่ถอนหายใจ


“กล้ามปูนี่นะ...แก่แล้วแก่เลยจริงด้วย”


“เอ้า อยู่ๆก็มาด่ากูแก่เฉย”


“ก็จริงนิ...อะไรที่วัยรุ่นเขาใช้กันก็ไม่รู้สักอย่างแต่พอด่าเรานะขุดมาด่าไปหมด วันนี้ไปดูงานเราก็คุยกับแม่ ไม่เห็นบอกเลยว่าผลงานเราเป็นยังไง”


น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนระคนเสียงถอยหายใจ ทำให้เจ้าของบ้านเงยหน้าจากการพับเสื้อมองหน้าเด็กที่นั่งห่อไหล่ก้มหน้ายังเสื้อแจ็กแก็ตบนตักทำปากบึนอีกตามเคยก็หลุดหัวเราะออกมา


“ที่นอนไม่หลับเพราะรอกูชมหรอกเหรอ”


“ไม่ได้รอสักหน่อย เรารู้อยู่แล้วว่ากล้ามปูไม่ชมเราหรอก เราทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่างอยู่แล้วนิ”


“ก็เห็นอยู่ว่าตั้งใจมาก งานมันเลยออกมาดีสมความตั้งใจ จะให้กูชมอะไรอีก” สิ้นคำเจ้าตัวยุ่งก็เหลือบตาทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กไม่ได้ดังใจ มือใหญ่เลยเอื้อมไปตบแล้วลูบหัวเบาแล้วว่า “เก่งจ้า...ตัวแค่นี้แต่ทำงานละเอียด เอาใจใส่ หาข้อมูลด้านกีฬากับแฟชั่นมาดี เสื้อแจ็กแก็ตที่อยู่บนตักมึงนั่นก็สวย”


“ประชดเปล่าเนี่ย”


“เห็นมะ พอกูชมมึงก็ไม่เชื่ออีก”


“ก็กล้ามปูชอบแซะเรานี่”


“อันนี้ชมจริงไม่ได้ประชด”


“ถ้าชมจริงก็โอเค เพราะคนอื่นก็บอกว่าเสื้อเราสวย มีคนมาขอซื้อตั้งหลายคน”


“แล้วทำไมไม่ขายไปวะ”


“ไม่ได้ทำไว้ขายนิ”


“ถ้าไม่ขายงั้นกูขอแล้วกัน...ให้กูฟรีได้ใช่มะ”


“โหย เราทำมาตั้งแพงจะมาขอเฉยๆได้ไง อย่างน้อยต้องเอาอะไรมาแลก บัตรสะสมแต้มร้านน้ำพี่ยองแจที่ปั๊มครบแล้วก็ได้” แม้ตอนแรกจะไม่ได้ตั้งใจทำมาให้แต่นานวันเข้าก็เผลอออกแบบโดยมีเขาเป็นแรงบันดาลใจรวมทั้งการตัดเย็บยังคะเนตามขนาดตัวอีกฝ่ายไปอีก แต่พอถูกร้องขอก็หมั่นไส้ไม่อยากให้ง่ายๆ


“แม่งเอ๊ย เขี้ยวเกินไปล่ะนะมึงเนี่ย แดกน้ำก็ฟรี ยังจะเอาบัตรสะสมแต้มกูไปอีก”


“ก็กล้ามปูไม่ใช้จะเอาไปทำไม”


“ใครบอกกูไม่ใช้”


“พี่ยองแจบอก


“ทำไมมึงถึงเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่ากูที่ให้ข้าวให้น้ำมึงวะ”


“โอ๊ย ทวงบุญคุณอยู่นั้นแหละ...อยากได้ก็บอกขอบคุณก่อนสิแล้วเราจะให้” ความต้องการในท้ายประโยคนั้นทำให้เจ้าตัวรู้สึกร้อนผ่าวแปลกๆ เลยไม่กล้าสบตาได้แค่จ้องพื้นที่กำลังใช้นิ้วเขี่ยไปมา


“ใครจะขอบคุณมึง” คนแก่กว่ายีหัวจอมแสบเต็มแรงและเสริมว่า “มึงเอาบัตรสะสมแต้มไปล่ะกัน เดี๋ยวกูวางไว้ให้บนโต๊ะพรุ่งนี้เช้า”


“วางบนโต๊ะให้เลยนะ ห้ามผิดคำพูดล่ะ”


เจ้าของผลงานย้ำสัญญาแล้วยื่นเสื้อแจ็กแก็ตที่หลังคดหลังแข็งทำขึ้นมาให้ อีกฝ่ายรับมันมาได้ก็ลองสวมทับแล้วมองเงาสะท้อนช่วงบนของต้นตรงกระจกยาวหน้าตู้เสื้อผ้า...รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวและสบายใจเลยหันไปขยี้ผมเด็กวุ่นวายอีกที


“ขอบใจ”


จุนซอแลใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มระบายอบอุ่น นัยน์ตาคมดุยามมองกลับมาฉายแววอ่อนโยน ยิ่งมือใหญ่เปลี่ยนจากการยีผมเป็นลูบเบาๆ เหมือนเอ็นดูรักใคร่ก็พาให้ใจเต้นรัวสั่นกลัวว่ามันจะทะลุออกจากอก...ความผิดปกติทางร่างกายนั้นค่อนข้างแปลกแต่ใช่ว่าจะเป็นความรู้สึกใหม่เพราะมันเคยเกิดขึ้นทุกคราที่รสัมผัสถึงความละมุนจากผู้ชายปากร้ายคนนี้


“เราง่วงแล้ว ขอนอนก่อนนะ” พูดจบก็ลุกจากพื้นตรงดิ่งมาที่เตียงรีบหยิบผ้าห่มคลุมตัวแล้วตะแคงหันหน้าหนีทั้งความรู้สึกและชายที่ยังนั่งจัดกระเป๋าอยู่ด้านหลัง


เวลาผู้ชายปากร้ายใจดีคนนั้นกลายสภาพเป็นผู้ใหญ่สุขุมนุ่มลึกเช่นตอนที่คุยกับแม่ หรือตอนที่มองเขาด้วยแววตาและรอยยิ้มเอ็นดูมันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปไกลเพราะกลัวเสียงหัวใจจะดังจนทะลุออกมาให้ได้ยิน


...ความรู้สึกแปลกๆนี่มันมาจากไหนกันนะ
...กับคนอื่นไม่เห็นจะเคยเป็นเลย
...แต่พอกล้ามปูยิ้มให้แบบนั้นใจก็สั่น
...ที่ผู้หญิงเข้าหาเยอะเพราะแบบนั้นสินะ


คนเป็นเด็กพยายามข่มตาหลับแต่สมองก็ยังคิดไปสะระตะกว่าจะรู้ว่าใช้เวลาไปกับการหาเหตุผลนานเกินไปก็ตอนที่ทุกอย่างมืดสนิทและเตียงกว้างนั้นก็ยุบลงตามน้ำหนักของผู้ที่ขึ้นมานอนร่วมเตียง และด้วยการตะแคงตัวไปอีกทางต่างจากทุกทีที่พอขึ้นเตียงจะพลิกมากอดทำให้เจ้าของบ้านซึ่งถอดเก็บแจ็กแก็ตและเสื้อยืดตัวในก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับเลยขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วตบหัวเบาๆ


“เหนื่อยแล้วก็นอนซะอ้วน ราตรีสวัสดิ์” สิ้นคำคนตัวใหญ่ก็พลิกตัวนอนหงายแต่ไม่ได้หลับ รอกระทั่งฝ่ายที่นอนคุดคู้อยู่อีกทางถูกความง่วงครอบงำจนพลิกกลับขยับมากอดซุกอกเหมือนทุกคืน


“ฝันดี ไอ้เด็กวุ่นวาย”


ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกล่าวคำสุดท้ายแผ่วเบาพลางวางคางคลึงกระหม่อมคนบนอกก็หลับตา...ความรู้สึกโหวงว่างถูกเติมเต็มให้หลับสบายได้อีกครั้ง

--------------------แวะคุย---------------

ขอบคุณประชากรอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลือ กำลังคิดว่าจะเขียนต่อดีมั้ย
แต่ก็อยากเห็นมันจนจบจัง รหัส 143 น่าจะรู้กันเนาะว่ามันแปลว่าอะไร ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ


You Might Also Like

0 Comments