LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 20
09:49
แสงสีเหลืองทองส่องผ่านบานกระจกตรงเฉลียงสาดกระทบกับผนังสีขาวภายในห้องนั่งเล่นบอกเวลาแทนนาฬิกาแก่ชายหนุ่มผู้นอนอยู่บนพื้นห้องจ้องเพดานรู้ว่าเช้าวันใหม่ย่างกรายมาถึงแล้ว แต่แทนที่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าใบหน้าเขากลับเครียดเคร่ง
ด้วยความรู้สึกนึกคิดวนเวียนอยู่ระหว่างความรู้สึกผิดและการคาดเดาผลร้ายที่อาจตามมาจากการกระทำขาดสติของตนเอง
...การกระทำที่ขาดสติพาจิตใจให้หวาดหวั่น...
ความกลัวสิ่งที่ดีเหลือเกินจะถูกพรากไปจากชีวิตนั้นทำให้แม้จะข่มตานอนไม่ลงเลยยันเช้าก็ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย
แดฮยอนยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม
ภาพเก่าเมื่อคราวทะเลาะกันประดังประเดเข้ามาจนอยู่ไม่สุข สุดท้ายก็ต้องลุกไปอาบน้ำเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจ
ผิดกับฝ่ายที่นอนอยู่ในห้องซึ่งตื่นลืมตาขึ้นมาความรู้สึกสุขล้นไปทั้งใจ
นิ้วขาวลูบเบาบนริมฝีปากเพื่อจารจำถึงไออุ่นจากสัมผัสที่แนบประทับลงมาพาเอาความขวยเขินแล่นไปทั่ว
ยิ่งคิดได้ว่าเมื่อเจอหน้ากันในเช้าวันใหม่
ถ้าอีกคนพูดถึงเรื่องเมื่อคืนหัวใจคงได้ตื่นเต้นจนแทบระเบิดก็อายเลยหยิบมาห่มมาคลุมหัวแล้วพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างแรงเพื่อข่มใจให้เป็นปกติ
กว่าจะทำใจออกไปเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริงในยามเช้าได้ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง
และด้วยความเพิ่งฟื้นไข้ได้ไม่นานพอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูก็เห็นข้อความจากพ่อคนที่สองสั่งการให้พักผ่อนต่อทั้งอาทิตย์เลยเดินเข้าครัวไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
วินาทีที่เห็นเพื่อนร่วมบ้านกระดกน้ำดื่มอยู่ตรงตู้เย็นระหว่างที่จะเดินผ่านประตูครัวเข้าไป
หัวใจก็สั่นรัว แก้มที่ซีดเซียวจากอาการป่วยไข้มาหลายวันมีสีแดงระเรื่อเจือบนแก้ม
ตากลมสวยสบเข้ากับตาของคนตรงหน้าได้เพียงนิดก็อมยิ้มก้าวเท้าตรงไปยังหน้าเครื่องชงกาแฟเพื่อทำเครื่องดื่มแก้วโปรด
เพราะยังอายเกินกว่าจะสบตาเลยหยิบนู้นจับนี่เพื่อรวบรวมความกล้าเผื่อว่าอีกฝ่ายจะยกเรื่องราวเมื่อคืนขึ้นมาเอ่ยย้ำคำว่ารักให้ฟังอีกครั้ง
ทว่าความเงียบงันไร้การสนทนากลับดำเนินต่อไปอยู่นานหลายนาที
สุดท้ายเจ้าตัวที่เข้าใจไปเองว่าอีกคนก็คงรู้สึกเขินอายแบบเดียวกันเลยเป็นผู้เปิดปาก
“ตื่นแล้วเหรอ”
“อืม”
การตอบรับมีเพียงเสียงในลำคอลอดมาให้ได้ยิน
จากนั้นความเงียบก็กลับคืนมาอีกคราก่อความอึดอัดปรดักประเดิดให้แก่ผู้ยืนอยู่เบื้องหลังตรงหน้าตู้เย็น
หากฝ่ายยังหลงสุขอยู่ในคำหวานล้ำเมื่อค่ำวันวานไม่ทันใดรู้สึกถึงสิ่งนั้นจึงเอ่ยคำด้วยยิ้มเก้อเขินขึ้นอีกครา
“เมื่อคืน...”
เพียงได้ยินประโยคนั้นหลุดจากปากคนที่กัดปากมองอยู่ด้วยความกลัวอย่างสุดแสนอยู่ข้างหลังมาตลอดก็กลั้นใจพูดแทรกออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะที่เมื่อคืนนี้ฉันเมากลับมา ทั้งที่สัญญากับนายแล้วแท้ๆว่าจะไม่ดื่มอีกแต่ก็...คือ
มีพี่ที่ไม่ได้ดื่มด้วยกันนานแล้วมาด้วยก็เลยปฏิเสธไม่ได้น่ะ”
เมื่อหลุดปากแก้ตัวออกไปก็ทำได้แค่สังเกตปฏิกิริยาตอบกลับ
หากความเงียบงันที่เกิดขึ้นตามมานั้นทำให้ผู้พูดกระวนกระวายหนักกัดปากแน่นเสียจนห้อเลือด
“ก็นะ...งานนายมันเป็นแบบนั้นนิจะให้หยุดดื่มเลยก็คงไม่ได้” น้ำเสียงสดใสตอบกลับพอรวมเข้ากับท่าทางการขยับหันมาคล้ายจะเหลือบมองเช่นปกตินั้นบรรเทาความเครียดแก่ผู้หวาดหวั่นตลอดคืนลงได้บ้าง
แม้ในใจอยากจะบอกไปตามความจริงเลยว่า
ทุกคำและทุกการกระทำเมื่อคืนนั้นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกมาโดยตลอด ทว่าความทรงจำถึงการสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งในชีวิตอย่างไม่มีวันกลับถึงสองครั้งสองครา
แม้จะเหลือพี่ชายอยู่ก็ต้องพลัดพรากไม่มีวันได้พบ
และยิ่งหวนคิดถึงอดีตเมื่อครั้งยังอยู่ในบ้านผสมเข้ากับคำปรามาสของชายผู้ให้กำเนิดที่คอยหลอกหลอนเหมือนฝันร้ายมาเนิ่นนานทำให้เขากลัวเกินกว่าจะปริปาก
...ถ้ายองแจไม่เคยคิดเช่นเดียวกัน
หากนั้นเป็นเพียงความใจดีตามประสาเพื่อนเท่านั้น
...เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นความสัมพันธ์ที่แค่เอ่ยคำว่ารัก
ทุกอย่างที่เคยเป็นมาจะพังทลาย
“ฉันดื่มเยอะไปหน่อยเลยจำไม่ได้ว่ากลับมาบ้านได้ยังไง
ตื่นมาอีกทีก็นอนอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วก็มีหมอนกับผ้าห่มคลุมอยู่
นี่ฉันคงทำให้นายตื่นเลยหอบหมอนมาให้นอนอีกแล้วสิ ขอโทษนะ”
คำโกหกทั้งหลายพรั่งพรูจากปากเพื่อกลบเกลื่อนความผิดในใจ
ตาคมมองผู้ฟังที่ยังง่วนอยู่กับการชงกาแฟเป็นกิจวัตรด้วยลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ทว่าเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมบ้านถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยคำเจือแววเสียงโมโหเหมือนทุกทีก็เป่าปากออกมาอย่างโล่งใจ
“เออ น่าเบื่อมาก ทำเสียงดังจนคนเพิ่งฟื้นไข้แบบฉันสะดุ้งตื่น
วันหลังถ้าจะเมาก็ไปนอนบ้านเพื่อนไปไป้ ไม่ต้องกลับมาหรอก”
“ขอโทษนะ วันหลังจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ”
“วันหลังอีกแล้ว...วันหลังของนายไม่มีจริงหรอก แต่ทำไงได้ล่ะ
ในเมื่อนายทำงานแบบนี้จะขอไม่ให้ดื่มเหล้าก็คงไม่ได้”
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ...ฉันรู้ว่าฉันผิดสัญญาแต่ฉันจะพยายามไม่ดื่มจนเมาอีก”
“เออ อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ แล้วนี่ไม่มีงานมีการต้องไปทำหรือไง”
“วันนี้เหรอ...ก็มีประชุมตอนเช้าอยู่นะ แต่ฉันว่าจะออกไปซื้ออะไรให้นายตุนกินก่อนแล้วค่อยออกไปน่ะ”
“ไม่ต้องหรอก พี่ฮิมชานเขาขนของกินมาเต็มตู้แล้ว เดี๋ยวฉันอุ่นกินเอง”
“อาหารทำใหม่มันดีกว่าของค้างที่ต้องเอามาอุ่นนะ
ตอนนี้นายเพิ่งฟื้นไข้ด้วย กินของทำใหม่ๆร้อนๆน่าจะดีกว่า”
“ฉันไม่ได้ป่วยครั้งนี้เป็นครั้งแรกซะหน่อย
แล้วฉันก็กินข้าวของพี่ฮิมชานแบบนี้ก่อนนายจะมาอยู่ที่นี่ซะอีก”
“ครั้งก่อนไม่เป็น ครั้งนี้อาจจะเป็นก็ได้นี่”
“โอ๊ย นายนี่คิดเยอะเกินไปล่ะ ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง
สบายใจได้ ถึงฉันจะป่วยตาย ฉันก็ไม่ทำตัวให้เป็นภาระนายหรอก”
“อ้าว...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ฉันจะไม่ห่วงนายได้ไง
เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“เออ...ก็เป็นเพื่อนนั้นแหละ ถ้าเป็นเพื่อน
เวลามีอะไรก็น่าจะพูดกันตรงๆนะ”
“พูดตรงๆ...พูดตรงๆเรื่องอะไรอะ”
“พี่ฮิมชานเขาบอกฉันหมดแล้วว่านายน่ะอยากย้ายออกไปอยู่คนเดียวแต่นายกลัวฉันโกรธก็เลยไม่ยอมบอก
ถ้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วก็บอกมาเหอะ
ฉันเข้าใจว่านายอยู่คนเดียวมันน่าจะสบายกว่าอยู่กับฉัน”
น้ำเสียงในการพูดของคนที่ยังจดจ่ออยู่กับการตั้งค่าบนเครื่องชงกาแฟแต่ละคำบอกชัดถึงความเหนื่อยระอา
“เฮ้ย บ้าแล้ว ฉันไม่เคยบอกพี่ฮิมชานแบบนั้นเลยนะ”
“ถ้านายไม่บอกแล้วพี่ฮิมชานเขาจะพูดกับฉันได้ไง”
“พี่เขามั่วเปล่า
ฉันไม่เคยอยากไปอยู่ที่อื่นแล้วจะไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ไง”
“นายพูดกับพี่เขาตอนออกไปดื่มด้วยกัน”
“ดื่มด้วยกันเนี่ยนะ ฉันไม่ได้ออกไปดื่มกับพี่ฮิมชานเป็นชาติแล้วนะ
ตั้งแต่ก่อนจะมาอยู่กับนายอีก”
“ไม่ก็พูดกับเพื่อนพี่เขา...นายอาจจะบอกกับพี่ซองวอนหรือพี่ฮันเฮตอนเมาๆก็ได้
พวกพี่เขาเลยมาบอกพี่ฮิมชาน”
“ไม่อะ...ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยพูดแบบนั้น”
“จะจำได้ยังไง เวลานายเมาไม่เคยจำอะไรได้สักอย่างเลยนี่”
ประโยคสุดท้ายเปล่งออกมาเบาหวิวเหมือนเหนื่อยเกินกว่าจะมีอารมณ์หงุดหงิด
ภายในห้องครัวเริ่มเงียบขึ้นมาอีกคราแต่ไม่ถึงนาทีฝ่ายเจ้าของบ้านก็ตัดบทจบทุกอย่างด้วยตัวเอง
“ช่างเหอะ...ถ้านายจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
แต่จำไว้แค่ว่าถึงนายย้ายออกไปฉันก็ไม่โกรธหรอก
ฉันอยู่คนเดียวของฉันมาได้ตั้งนานแค่กลับไปอยู่คนเดียวเหมือนเดิมและนายเองก็เป็นเพื่อน...เพื่อนเขาไม่โกรธกันเรื่องแค่นี้หรอก”
“แต่ฉันไม่เคยพูดจริงๆนะ...ไม่เคยพูดแบบนั้นกับใครทั้งนั้น
ฉันน่ะอยากจะใช้ชีวิต...”
พลันเสียงโทรศัพท์ที่เสียบในกระเป๋ากางเกงยีนส์ก็ขัดจังหวะการพูดจนหมดสิ้นเลยจำใจต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาดูชื่อผู้โทรเข้า
เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมงานโทรมาเลยรับสาย
“ฉันไปประชุมก่อนนะ แล้วเราค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้กัน”
“อืม”
“รอนะ ไม่นานหรอก” เขาบอกมองแผ่นหลังที่ขยับคล้ายหยิบจับอะไรต่อมิอะไรตรงหน้าได้ราวนาที...เรื่องราวจากบทสนทนาทำให้เขาหวนคิดถึงคำถามและท่าทางแปลกๆของรุ่นพี่ในสองสามวันที่ผ่านมาและนั่นทำให้ความเครียดระคนขุ่นเคืองปะทุขึ้นมาในใจ
...ทำไมต้องทำขนาดนี้...
“ฉันไม่รู้ว่าพี่ฮิมชานต้องการอะไร แต่ฉันไม่เคยคิดเรื่องจะไปอยู่ที่ไหนไกลจากนายและถ้าฉันจะย้ายออกก็คงมีแค่นายขอให้ออกไป
แต่เชื่อเถอะว่านายเป็นคนเดียวที่ฉันอยากอยู่ด้วยมากที่สุดในชีวิต”
สิ้นคำนั้นเสียงเท้าที่เหยียบก้าวไปบนพื้นก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงสัญญาณและเสียงประตูปิดลงกับกรอบ
ทว่าเจ้าของบ้านยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ ตากลมมองของเหลวสีน้ำตาลอย่างเลื่อนลอยแล้วเกี่ยวหูแก้วขึ้นมาถือด้วยอาการชาวาบที่แล่นไปทั่วร่างโดยเฉพาะใบหน้าที่รู้สึกราวกับถูกของหนักกระแทกใส่อย่างแรง
ทั้งที่น้ำหนักของกาแฟในถ้วยใบโปรดจะเท่าเดิม
หากมือไม้อันสั่นเทานั้นพาให้ถ้วยหลุดร่วงกระทบแตกกระจายบนพื้นไปพร้อมกับของเหลวสีน้ำตาล
เจ้าตัวทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ ก้มเก็บเศษเล็กเศษน้อยของแก้วกระเบื้องบนพื้นมากองไว้ตรงมุมหนึ่งโดยไม่รู้สึกถึงความร้อนของน้ำ
กระทั่งถูกกระเบื้องชิ้นหนึ่งบาดเข้าตรงนิ้วชี้เป็นแผลลึกนัยน์ตาก็เริ่มสั่นระริกเช่นเดียวกับร่างกาย
“เจ็บจัง” คำนั้นหลุดจากปากคล้ายเอ่ยถึงแผลที่เลือดกำลังไหลซึมบนนิ้ว หากแท้จริงมันคือความเจ็บปวดจากภายในที่กินลึกเสียจนน้ำตาแห่งความอดกลั้นรื้นไหลอาบสองแก้มพร้อมกับกำลังขาที่อ่อนแรงจนสะโพกหล่นลงไปนั่งบนพื้น
ขาผอมชันขึ้นมาให้แขนได้กอดรู้สึกเจ็บจนจุก ดวงหน้าก้มลงซบบนเข่าปล่อยให้น้ำตาค่อยๆเพิ่มปริมาณจนท่วมท้นเปียกซึมไปตามเสื้อผ้า
เสียงสะอื้นฮักรุนแรงทำไหล่โยกคลอนติดกันหลายต่อหลายครั้งจนหายใจไม่ออกนั้นแสนทรมาน
หากนั้นกลับเทียบไม่ได้กับหัวใจข้างในที่นับวันมีแต่จะแตกร้าวเพิ่มขึ้น
ในสมองไร้คำถามใดมากมายเช่นเก่าคงมีเพียงคำตอบของตัวเองที่ตอกย้ำให้รู้สำเหนียกได้ในนาทีนั้นเองว่าก้อนหินห้อนน้อยในซอกกำแพงเช่นเขากล้าดียังไงถึงคิดว่าดวงตะวันนั้นจะสาดแสงมาหาตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
ไออุ่นจากสัมผัสของริมฝีปากที่แนบประทับลงมาจนติดค้างในความทรงจำนั้นเป็นผลจากความเมามายไม่ตั้งใจ
เช่นเดียวกับคำว่ารักที่เขาหลงละเมอเพ้อพกไปไกล สุดท้ายก็ไร้ความหมาย
ยองแจรู้ดีว่าสุดท้ายมันจะลงเอยอย่างนี้เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เริ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่ามีหวัง
สุดท้ายมันจะพังทลายลงเสียทุกครั้ง
ยิ่งพยายามตัดใจก็จะถูกความห่วงใยใจดีมารั้งเอาไว้จนกลายเป็นหลอกตัวเอง
...นี่ไงความใจดีที่อยากได้นักหนา...
...เจ็บขนาดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง
ร่างผอมเปียกชุ่มด้วยน้ำตาได้แต่กอดตัวเองร้องไห้หนักอย่างคนหมดหนทาง
ความทุกข์ทรมานยังคงวนเวียนตีกระทบให้หัวใจบอบช้ำจนไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้
สิ่งเดียวที่ตระหนักได้คือการหนี
...หนีไปไหนก็ได้ให้ไกลพอที่หัวใจจะจำเสียทีว่า
เขาไม่เคยรักเราเกินกว่าเพื่อนเลย...
-----------------------------------------------------
ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลขยับเปลี่ยนไปเรื่อยโดยไม่หยุดพักอยู่ในสายตาของแดฮยอนแทบตลอด
มือใหญ่ถือโทรศัพท์มือถือซึ่งหน้าจอแสดงการบันทึกเสียงไว้ด้วยรู้ตัวว่าไม่มีสมาธิเพราะยังยึดติดอยู่กับเรื่องราวอันเป็นเท็จที่ถูกนำมาเป็นบทสนทนาและท่าทางของเพื่อนร่วมบ้านซึ่งแปลกไปจากในตอนแรกที่เข้ามาในครัว
...การแกล้งเมาทำจำไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลที่ก่อไว้เมื่อคืนแต่เขาไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องอื่นมาซ้ำอีก
ความจริงเขาอยากจะอยู่คุยกันให้รู้เรื่องเพราะเรื่องงานในเวลานี้ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าความเข้าใจผิดที่อาจก่อให้เกิดการทะเลาะกัน
แต่เพราะเขาขอกับบอสไว้ว่าจะรับงานช่วงสิ้นปีแลกกับการหยุดยาวเลยจำเป็นต้องมา
...เพราะสัญญาว่าจะไปสวีเดนด้วยกันให้ได้
เขาถึงยอมทำงานหนักในเวลาที่คนอื่นอยากหยุดพัก...
ในตอนแรกเขาคิดว่าการประชุมจะไม่กินเวลานานมากนัก
หากพอมาถึงกลับต้องนั่งรอรุ่นพี่ที่เป็นพนักงานไม่ประจำซึ่งถูกบริษัทเรียกตัวมาให้ช่วยคุมงานแสดงขององค์กรต่างที่จ้างมา
อีกทั้งเนื้อหาการประชุมก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายกว่าจะได้ฤกษ์ประชุมกันเสร็จก็ลากยาวไปจนเย็น
หลังเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าตัวเลือกจะปฏิเสธคำชวนกินข้าวของพวกรุ่นพี่
แล้วตรงดิ่งกลับบ้านระหว่างนั้นก็พยายามโทรศัพท์และส่งข้อความไปไปหาเพื่อนร่วมบ้านแต่ไม่มีการตอบสนอง
ชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์เดินตรงไปเสียบคีย์การ์ดพร้อมกดรหัสเพื่อเข้าไปในบ้าน
หากในตอนที่ถอดรองเท้าอยู่นั้นก็เห็นเงาของบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าและเมื่อเงยมองไปก็เห็นเจ้าของบ้านสวมเสื้อผ้ากันหนาวเต็มยศเดินลากกระเป๋าเดินทางมาวางอยู่ตั้งพื้นต่างระดับใกล้ทางออกของประตู
ตาคมจ้องกระเป๋าเดินทางล้อลากใบใหญ่เพียงครู่ก็แลสูงขึ้นมายังใบหน้าของอีกฝ่ายที่ดูซีดขาวกว่าตอนเช้า
อีกทั้งดวงตาที่ซ่อนหลังแว่นตาใสนั้นก็ดูบวมอย่างเห็นได้ชัด
“หน้าซีดจัง ไม่สบายอีกแล้วเหรอ”
คำถามจากความเป็นห่วงเริ่มขึ้นก่อนแล้วตามด้วยคำถามจากความสงสัย “แล้วนั่น...ลากกระเป๋ามาแบบนั้นนายจะไปไหนอะ”
คนตรงข้ามยืนนิ่งเหลือบตามองหน้าเพื่อนร่วมบ้านได้เพียงนิดก็หันก้มไปยังกระเป๋าเดินทางข้างตัว
ค่อยๆถอนหายใจออกมาทีละน้อยถึงตอบกลับด้วยเสียงอ่อนระโหย
“ฉันลืมบอกว่าคืนนี้ฉันจะบินกลับบ้าน”
“กลับบ้าน...กลับสวีเดนอะนะ...แต่นี่เพิ่งวันที่ยี่สิบเองนะ
ปกตินายบินก่อนวันคริสต์มาสวันสองวันเองนี่”
“ปีนี้พ่อแม่ฉันอยากให้กลับเร็วหน่อยน่ะ พอดีเจอไฟลท์บินคืนนี้พอดีก็เลยจองไป”
“แต่เราสัญญากันแล้วนะว่าปีนี้เราจะไปด้วยกัน”
“จะไปด้วยกันได้ยังไง ในเมื่อนายมีงานต้องทำ”
“มีงานก็จริงแต่พอจบงานนี้ฉันขอบอสลาหยุดยาวไว้แล้ว
รอถึงสิ้นปีแล้วค่อยไปด้วยกันสิ”
“สิ้นปีมัน...มันนานเกินไป พ่อแม่ฉันคงดูเจ้าแสบกันสองคนไม่ไหวหรอก”
“ถ้านายจำเป็นต้องกลับจริงๆ งั้นฉันจะตามนายไปทีหลังแล้วกันนะ”
“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับตอนไหน บางทีถ้านายตามไป
ฉันอาจจะกลับมาแล้วก็ได้”
“ก็นัดกันก่อนได้นิ โทรศัพท์เราก็มี”
“คือ...ที่สวีเดนน่ะ แบบว่าพี่ฉันเขาจะไปฮันนีมูนกับพี่สะใภ้กันน่ะ
ฉันต้องเป็นคนดูหลานๆคงไม่มีเวลารับโทรศัพท์หรือตอบข้อความหรอกนะ”
“ทำไมอะ...ครั้งก่อนตอนนายกลับบ้าน
นายบอกฉันว่าไม่ค่อยว่างแต่นายยังตอบข้อความฉันได้อยู่เลย
ละทำไมครั้งนี้ถึงบอกว่าตอบข้อความฉันไม่ได้ล่ะ”
“ก็บอกแล้วว่าต้องดูหลาน”
“ต้องดูหลานทั้งวันเลยเหรอ”
“อืม”
“เวลาแค่ห้านาทีสิบนาทีก็ไม่มีเลยเหรอ แล้วเราจะคุยกันยังไง”
“ฉันบอกไม่ได้หรอก อีกอย่างเวลาของที่นี่กับที่นู้นก็ไม่เหมือนกันด้วย
ตอนฉันว่างนายอาจจะนอนหรือทำงานอยู่ก็ได้”
“นอนหรือทำงานอยู่แล้วจะคุยกันไม่ได้เลยหรือไง”
“ฉันไม่อยากรบกวนตอนนายยุ่งๆน่ะ”
“มันไม่ได้รบกวนอะไรฉันเลยนะ ถ้าเป็นนาย ต่อให้โทรมาตอนตีสามฉันก็รับ”
“แต่นายก็เคยไม่รับสายฉันนะ” เจ้าของบ้านตอบกลับเสียงเนือยพร้อมดันแว่นตาให้แนบกับใบหน้ามากเท่าที่จะมากได้เพื่อปิดบังความสั่นของดวงตา
และนั่นทำให้ฝ่ายมีชนักติดหลังซึ่งนิ่งงันไปสังเกตเห็นปลาสเตอร์ที่พันรอบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้า
“นั่นนิ้วนายไปโดนอะไรมา”
เมื่อถามมือใหญ่ก็เอื้อมไปหมายจะคว้ามืออีกคนมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่อีกคนกลับสะดุ้งโหย่งรีบเบี่ยงหลบในทันที
แดฮยอนชะงักให้กับปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นและเมื่อมองคนตรงหน้าก็สังเกตเห็นความตกใจอยู่เช่นกัน
นั่นเป็นเหตุให้ความเงียบแสนอึดอัดเข้าแทรกระหว่างคนทั้งสอง
“ฉันทำแก้วกาแฟแตกน่ะก็เลยโดนบาด”
“โดนตอนไหน...ทำไมไม่บอกฉันล่ะ
ตอนฉันส่งข้อความมาหาก็ไม่ตอบ”
“แค่แก้วบาดเองไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“ไม่ใหญ่ได้ไง บาดตั้งสองนิ้วเลยนะ บาดขนาดนี้เจ็บแย่เลย”
“ไม่หรอก แผลแค่นี้เอง...มีอะไรให้เจ็บกว่านี้อีกเยอะ” ผู้พูดกล่าวคำยอมสบตาด้วยเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ละหนีไปมองทางอื่น
ภาษากายนั้นบ่งบอกชัดว่ามีอะไรเก็บงำมากมายในใจแค่ไม่ยอมเผยออกมาให้ได้รู้
แต่คนสังเกตเห็นไม่ทันได้ถามเพราะถูกพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ฉันจะไปสนามบินแล้วนะ
ฝากดูแลบ้านด้วย”
“จะไปแล้วเหรอ...งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง” เพราะดูแล้วว่าทัดทานอะไรไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์เลยอาสาทำสิ่งที่ทำได้
“ไม่ต้องหรอก...ฉันมีคนพาไปส่งแล้ว” การปฏิเสธนั้นมีรอยยิ้มเจือมาแต่ยังไร้การสบตาเช่นเดิม
“ใคร...พี่ฮิมชานเหรอ”
“พี่ยงกุกน่ะ”
“คุณยงกุกมารับเหรอ”
“อืม ตอนนี้ก็น่าจะ...”
คำพูดเงียบหายไปด้วยเสียงกริ่งตรงหน้าประตูก่อนที่เจ้าของบ้านจะขยับเดินผ่านรูมเมทไปเปิดประตูต้อนรับชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มสวมเสื้อคอเต่าสีดำกับโค้ทตัวยาวสีกรมท่าทับให้เข้ามาภายใน
แดฮยอนก้มศีรษะเอ่ยทักทายเล็กน้อยขณะที่อีกฝ่ายก็ผงกหัวรับอย่างเงียบๆ
พลางยกกระเป๋าเดินทางออกไปตั้งหน้าประตูด้านนอก
“เราเช็กกระเป๋าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
ผู้อาวุโสหันมาถามน้องเหมือนไม่แยแสใครอีกคนที่ยังยืนอยู่
“ครับ”
“ไม่ได้ลืมเอาอะไรไปใช่มั้ย”
“ไม่ครับ”
“แล้วเรื่องที่ต้องจัดการล่ะ...ถ้ามีก็จัดการซะนะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับอะไรหรือใครที่ไม่มีค่าควรจะให้เหนื่อย”
“ไม่มีอะไรแล้วครับ...ผมจัดการทุกอย่างหมดแล้ว”
“จัดการแล้วแน่เหรอ”
“อื้อ”
“ถ้าเราตัดขาดได้ก็ดีแล้วล่ะ...ใส่รองเท้าซะ...เราจะได้ลงไปข้างล่างพร้อมกัน”
คนเป็นน้องพยักหน้าตอบรับพลางหยิบรองเท้าผ้าใบจากบนชั้นมาวางเพื่อจะสวมโดยไม่รู้สึกสะดุดใจต่อความนัยที่เคลือบแฝงอยู่ในคำพูดของผู้เป็นพี่
หากกับผู้ไม่เกี่ยวข้องในการสนทนาเข้าใจทันทีเลยว่า ถ้อยคำเหล่านั้นจงใจกระทบตน
ครั้งแรกที่ได้พบหน้าหลังจากได้สอนเปียโนให้กับเด็กในปกครองของชายผู้นี้ก็รู้เลยว่า
เขาเป็นชายผู้ผ่านโลกอันเลวร้ายมามากพอจะอ่านใจใครต่อใครได้ขาดและวางอำนาจให้คนเกรงใจได้เพียงใช้สายตาเท่านั้น
“ผมขอติดรถคุณไปส่งยองแจที่สนามบินด้วยได้มั้ยครับ”
การร้องขอนั้นทำให้ยงกุกที่หิ้วกระเป๋าเดินทางน้องข้ามประตูบ้านมาด้านนอกเหลือบตามองชายซึ่งเคยมีข้อพิพาทกันเล็กน้อยเมื่อนานมา
นัยน์ตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาอย่างดุดันราวกับกำลังอ่านทุกสิ่งที่เก็บซ่อนทว่าสีหน้าอีกฝ่ายกลับราบเรียบไร้แววหวาดกลัวใด
สายตาอันน่ากลัวเยี่ยงสัตว์ร้ายหมายเอาชีวิตของเขานั้น ยามได้จดจ้องใครเข้าผู้นั้นเป็นต้องกลัวลนลาน
หากเวลานี้เขากลับไม่เห็นความรู้สึกใดฉายออกมาทางสีหน้าหรือแววตาของคนตรงข้ามซึ่งได้ยินมามากต่อมากว่าขี้ขลาดกลัวไปเสียทุกอย่างเลยแม้แต่น้อย
...ผู้ชายคนนี้มีเบื้องหลังเช่นที่เขาคิดมาตลอด...
“คุณอยากติดรถมาด้วยหรือครับ” เขาถามพร้อมยกมุมปากเป็นยิ้มที่เป็นมิตรเพียงผิวเผิน
“วันนี้ผมไม่ได้ขับรถคันใหญ่มาแล้วผมก็พาจุนฮงเขามาด้วย มีกระเป๋าเดินทางอีกใบรถก็เต็มแล้ว
แต่ถ้าคุณโอเคที่จะนั่งเบียดๆไปจนถึงสนามบิน ก็เชิญครับ เชิญเลย”
“นั่งเบียดในรถไม่ใช่ปัญหาครับ...ผมนั่งได้ ส่วนขากลับผมคงไม่รบกวน
จะเรียกแท็กซี่กลับมาเอง”
การหยั่งเชิงคล้ายท้าทายภายใต้ท่าทางสงบนั้นก่อความร้อนให้เกิดในใจ หากเสียงคัดค้านจากเจ้าของบ้านกลับแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องไปหรอก”
“ทำไมอะ”
“พี่ยงกุกเขาก็บอกแล้วว่ารถมันเล็ก”
“รถเล็กก็นั่งได้”
“แต่ฉันไม่อยากนั่งเบียด มันอึดอัด”
“งั้นฉันนั่งแท็กซี่ตามไปก็ได้”
“จะนั่งไปให้เสียค่ารถอีกทำไมเล่า”
“ก็ฉันอยากไปส่ง”
“เมื่อก่อนนายก็ไม่เคยไปส่งฉันที่สนามบินนะ...ปีนี้จะมาอยากไปส่งทำไมกัน”
“ตอนนั้นฉันติดงาน”
“แล้วจะไปเพื่ออะไรเล่า...นายจะไปหรือไม่ไปฉันก็เดินทางได้อยู่ดี
งานการมีเยอะก็นอนพักเอาแรงอยู่นี่ดีกว่าอีก”
“ทำไม กับอีแค่อยากไปส่งนายที่สนามบินนี่มันเป็นปัญหาอะไรมากขนาดนั้นเลย
ทั้งที่ฉันบอกนายแล้วว่าเวลานายไม่อยู่บ้านมันทรมานขนาดไหน
ทั้งที่สัญญาว่าจะไปด้วยกันแต่นายก็หนีไปก่อน
สวีเดนนะไม่ใช่อินชอนฉันถึงจะนั่งรถไฟไปหาได้ทันที ละนี้นายจะไปกี่วันก็ยังไม่รู้
ขอโทรหาหรือส่งข้อความก็ไม่ได้ จะตามไปหาก็ไม่ให้ไป
ฉันขอแค่ไปส่งนายที่สนามบินแค่นี้ก็ไม่ได้อีกเหรอ” ฝ่ายตั้งใจจะไปร่ายยาวออกมาด้วยแววตาและน้ำเสียงที่แสดงออกชัดถึงความอัดอั้น
บรรยากาศแห่งความคับข้องหมองใจเข้าครอบคลุมคนทั้งคู่ไว้ แต่แทนที่ผู้มากวัยกว่าจะจัดการปัญหาให้กลับขอตัวออกไปรอข้างนอกและปล่อยให้น้องลองจัดการปัญหาของความรู้สึกซึ่งเขาเคยเตือนด้วยตัวเอง
...เขาไม่เหมือนฮิมชานถึงจะได้กางปีกปกป้องน้องทุกเรื่อง...
...เมื่อเตือนแล้วยังไม่เชื่อก็ต้องปล่อยให้ลองเผชิญหน้าเองดูบ้าง...
และทันทีที่บานประตูปิดลงอีกครั้ง
ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบด้วยผู้ต้องตอบคำถามไม่ยอมเงยหน้าสบตากับได้แต่ถูกนิ้วที่มีพลาสเตอร์พันกันไปมาคล้ายกำลังตกผลึกคำพูดของตนเองอยู่
“นายอยากเจอจุนฮงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฮะ” การถามกลับด้วยคำที่คาดไม่ถึงทำให้หลุดเสียงออกมาได้เท่านั้น
“ถ้านายอยากเจอจุนฮงนัก ฉันยอมนั่งเบียดๆไปก็ได้”
“มันเกี่ยวอะไรกับจุนฮง”
“ก็เมื่อกี้พอพี่ยงกุกบอกว่าจุนฮงมาด้วย
นายก็ตื้ออยากจะไปส่งฉันที่สนามบินอย่างเดียวเลยนี่...ฉันก็รู้อยู่หรอกว่านายเคยชอบจุนฮงมากแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดที่ฉันพูดอะไรก็ไม่ฟังอะ”
“เฮ้ย...นายคิดว่าฉันอยากไปส่งนายแค่เพราะฉันอยากเจอจุนฮงงั้นเหรอ”
“แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นหรือไง”
“แม่งไม่เกี่ยวกันเลย ที่ฉันไปเพราะฉันอยากไปส่งนาย แค่นั้นเอง”
“แต่ปีก่อนตอนฉันบอกนายว่าไม่ให้ไป นายก็ไม่เห็นจะตื้อแบบนี้เลย”
“ถ้าฉันตื้อแล้วจะให้ไปส่งเหรอ...ถ้าฉันทำแบบนั้นนายจะให้ฉันไปใช่มั้ย”
“มันก็...ไม่รู้สิ”
“อีกแล้วนะ พูดว่าไม่รู้อีกแล้ว
เพราะนายไม่รู้อยู่แบบนี้ฉันถึงไม่กล้าตื้ออะไรนาย นายรู้มั้ย ฉันน่ะกลัวมากเลยนะ กลัวว่าถ้าฉันเผลอทำอะไรที่นายไม่ชอบแล้วนายโกรธจนหายไปอีก
ฉันจะทำยังไง ทุกวันนี้ฉันถึงพยายามไม่ให้เราต้องทะเลาะกันอีก”
“นายเลิกทำเหมือนห่วงฉันทั้งที่ไม่ได้ห่วงอะไรจริงจังซะทีเถอะ”
ประโยคจากความเจ็บปวดที่กัดกร่อนมาตลอดเลยเผลอตัวตะโกนความในใจออกไปสุดเสียง...ดึงการโต้เถียงระหว่างกันเมื่อครู่ให้ตกสู่ความเงียบขึ้นมาอีก
“ทำไมถึง...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
ถ้อยคำคล้ายจะกล่าวหาว่าแสแสร้งมาตลอดจากเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านทิ่มแทงใจเสียจนถามออกมาได้เท่านั้น
“ฉันรู้ว่านายใจดีแต่ไม่ต้องใจดีกับฉันมากนักหรอก...ฉันน่ะอยู่คนเดียวมาก่อนนะ
แต่พอนายมาฉันก็เลยชินกับการมีคนคอยทำอะไรให้ แต่ไม่ต้องทำแล้วนะ ฉันอยากซ้อมเอาไว้
เผื่อวันไหนนายไม่อยู่ที่นี่แล้วจะได้ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะอยู่ได้มั้ย”
ความพยายามพูดแก้ตัวทั้งที่เจ็บปวดและน้อยใจเหลือเกินทำให้ทุกคำสั่นเครือ
“เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ...ฉันสาบานได้เลยนะว่าฉันไม่เคย...ไม่เคยพูดกับพี่ฮิมชานเรื่องอยากย้ายออกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ว่าจะเมาหรือไม่เมาก็ไม่เคยพูด เพราะอะไรฉันถึงมั่นใจรู้มั้ย
เพราะคนเมามันไม่พูดในสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดหรือจิตสำนึกหรอก”
“นายมั่นใจได้ยังไงว่าไม่ได้พูด ในเมื่อนายไม่เคยจำอะไรตอนเมาได้สักอย่าง”
เพราะใช้ความเมาเป็นข้ออ้างในการโกหกกลายเป็นเครื่องมือที่ย้อนกลับมาทำให้คนโป้ปดสะอึกเถียงไม่ออก
และความเงียบชั่วขณะนั้นเองที่มีเสียงถอนหายใจจากผู้พูดดังตามมา
“ขอโทษนะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้นายรู้สึกไม่ดี
ก็แค่ไม่อยากให้นายห่วงเกินไปเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องไปส่งที่สนามบินน่ะไม่ต้องไปหรอก นายอยู่ดูแลบ้านดีกว่า
แล้วตอนที่ฉันไม่อยู่อย่างน้อยก็อย่าเอาที่นี่เป็นโรงแรมพาใครต่อใครมาค้างล่ะ...อืม...ฉันไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ยงกุกรอนาน”
คำขอโทษนั้นมาพร้อมการตัดบทจบ จากนั้นผู้พูดก็เอื้อมมือจับลูกบิดหมายจะเปิดประตูออกไป
หากในวินาทีนั้นกลับถูกคำถามจากคนข้างหลังรั้งเอาไว้
“เกลียดฉันแล้วเหรอ”
ถ้อยคำกล่าวด้วยเสียงแสนเศร้านั้นพาให้เจ้าของบ้านยืนนิ่งรู้สึกได้ถึงความตีบตันของลำคอและจมูกจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออกก่อนจะเงยหน้ามองเพดานห้องพยายามรวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อใช้ในการฝืนปั้นหน้าให้แลเป็นปกติ
กระทั่งคิดว่าเพียงพอแล้วจึงกล้าหันกลับไปหา
ตากลมหลังแว่นใสที่หลบเลี่ยงใม่ให้เห็นมาตลอดในตอนนี้กลับกล้าจะสบประสานและเป็นครั้งแรกที่ร่องรอยบวมช้ำจากการร้องไห้และเช็ดถูดวงตาอย่างแรงนับครั้งไม่ถ้วนเผยออกมาให้เห็น
“ไม่หรอก...ฉันเกลียดนายไม่ได้หรอก ทั้งชีวิตฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเกลียดนายได้หรือเปล่าเลย”
สิ้นคำริมฝีปากอิ่มก็แย้มกว้าง
นัยน์ตากลมละจากการจับจ้องคนตรงข้ามแล้วกระพริบถี่ราวกับจะไล่สิ่งที่เตรียมจะเอ่อล้นออกมา
ขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นตั้งใจจะเอื้อมไปแตะบ่าคล้ายต้องการยืนยันว่าไม่เป็นไรแต่อาการสั่นเกร็งของมือทำให้ต้องวางมันกลับลงข้างลำตัวแล้วเค้นยิ้มออกมาแทนที่
ฝ่ายได้รับคำตอบเบิกตากว้างต่อการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางจากเพื่อนร่วมบ้านที่พยายามแสร้งทำเป็นปกติ
หากไม่อาจซุกซ่อนความเจ็บปวดของหัวใจไว้ได้มิดนั้นพาให้ความเย็นวาบแล่นไปทั่วร่างจนคิดทำอะไรไม่ถูก
ชั่วขณะที่อีกฝ่ายเปิดประตูจะก้าวเท้าพ้นไปจากบ้าน
สัญชาตญาณพาให้มือขยับเคลื่อนไปด้วยต้องการจะคว้าตัวไว้ไม่ให้ไปแต่คำขอร้องเจือแววสั่นของน้ำเสียงเลยชะงัก
“อย่าตามมาล่ะ...ถ้าตามมาฉันจะโกรธนะ”
ร่างผอมใต้เสื้อผ้ากันหนาวหนาผ่านประตูไปสู่ด้านนอกซึ่งมีพี่ชายต่างสายเลือดยืนรอรับอยู่แล้วทั้งคู่ก็เดินจากไปด้วยกัน
คนในบ้านนิ่งงันปล่อยบานประตูให้เคลื่อนปิดลงตรงกรอบเหมือนทำอะไรไม่ถูกกระทั่งตั้งสติได้ถึงกระชากประตูรีบวิ่งลงบันไดตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่าบนพื้นที่ลานจอดใต้อาคารกลับไม่พบการเคลื่อนไหวของรถยนต์คันใด
หนำซ้ำเมื่อวิ่งต่อมายังหน้าอพาร์ทเม้นต์ก็มีเพียงความว่างเปล่า
“แม่งเอ๊ย” แดฮยอนสบถพลางยกเท้าเตะลมอย่างแรง
มือไม้เสยผมไปมาจนยุ่งเหยิงยังคงหมุนตัวมองไปมาโดยรอบจนวิ่งออกไปหน้าปากซอยเพื่อจะโบกเรียกแท็กซี่แต่ประโยคสุดท้ายที่ถูกขอไว้เลยทำได้แค่ทุบกำแพงใกล้ตัวเต็มแรงและในสมองก็มีเพียงคำถามเดียววนเวียน
...ทำไมทุกอย่างถึงลงเอยแบบนี้...
-------------------------------------------------------------------
ท้องฟ้าในยามเหมันต์ฤดูของเมืองลุนด์เป็นสีครามใสสะอาดไร้มวลเมฆบดบังเมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศโดยรอบของเมืองกลับชวนให้รู้สึกแจ่มใส
แม้เมืองแห่งนี้จะมีอาณาเขตไม่กว้างเท่าเมืองอื่นในสวีเดนแต่ก็เป็นเมืองเก่าแก่ที่ออกแบบผังเมืองได้เป็นอย่างดี
มีสถาปัตยกรรมยุคเก่าอันสวยงาม
ส่วนอาคารบ้านเรือนก็มีขนาดกะทัดรัดสูงเพียงสองชั้นอีกทั้งยังห้อมล้อมด้วยต้นไม้
มีสวนและพื้นที่สาธารณะให้ทำกิจกรรมตามแต่ใจชอบ
รวมถึงระบบคมนาคมก็สะดวกสบายทำให้ที่นี่เป็นเมืองอบอุ่นรวมทั้งจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่มาสวีเดนด้วยเช่นกัน
เด็กฝาแฝดชายหญิงหน้าตาบ่งบอกถึงเชื้อสายเอเชียอย่างชัดเจนจับมือชายคนหนึ่งไว้ด้วยกันคนละข้างออกเดินไปตามทางปูพื้น
ผ่านผู้คนและรถจักรยานที่สัญจรไปมาก่อนทั้งสามจะเข้ามาพักตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่
“อายองแจ...ผมไปเล่นดอกไม้กับเยริที่ตรงนู้นได้มั้ย” เด็กชายวัยห้าขวบผิวขาวแก้มยุ่ยน่ารักร้องถามพลางกระตุกชายแขนเสื้อของผู้เป็นอาแล้วชี้นิ้วไปทางพุ่มไม้เลื้อยตรงพื้นสวนที่มีดอกไม้สีม่วงแซมประดับซึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงสองเมตร
“จะเล่นก็เล่นกับดอกที่ร่วงบนพื้นล่ะ แต่อาไม่อนุญาตให้ยองฮุนเด็ดดอกออกจากต้นนะ
เยริก็ด้วย”
“ทำไมถึงเด็ดไม่ได้ล่ะคะ” เด็กหญิงหน้าตาละม้ายกันต่างเพียงผมที่ยาวกว่าเอ่ยอย่างสงสัย
“เพราะดอกไม้ที่อยู่บนต้นเป็นดอกไม้เด็กแบบหนูไง มันกำลังชวนเพื่อนดอกไม้ให้งอกจากต้น
ถ้าหนูไปดึงดอกไม้เด็กออกมามันก็ชวนเพื่อนออกมาไม่ได้
สุดท้ายต้นไม้นี้ก็จะไม่มีดอกออกมาอีกเลย”
“แล้วดอกไม้ที่ตกลงพื้นล่ะฮะ”
“อันนั้นเป็นดอกไม้แก่มากแล้ว
เขาทำหน้าที่ของเขาหมดแล้วเลยได้เวลากลับสวรรค์ของดอกไม้ หนูเลยเอามาเล่นได้ยังไงล่ะ”
ฝาแฝดฟังคำอธิบายเสร็จก็พยักพเยิดวิ่งไปนั่งบนพื้นหินเก็บดอกไม้ร่วงตรงพื้นมาเล่นกันตามประสาก่อนที่สายลมหนาวจะพัดมาพาให้แมกไม้ทั้งหลายในสวนแกว่งไกว
ผู้เป็นอานั่งมองหลานทั้งสองด้วยรอยยิ้มพลางหยิบใบไม้ที่ร่วงบนตักมาพลิกดูพร้อมกับความคิดที่ล่องลอยไป
หลังจากวันที่หนีหน้าเพื่อนร่วมบ้านมาเกาหลีก็ราวอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว
ยองแจยังจำวันนั้นได้ดีว่าตัวเองร้องไห้หนักขนาดไหนกว่าจะรวบรวมสติจองเที่ยวบินและโทรบอกพี่ชายต่างสายเลือดที่เปรียบเหมือนพ่ออย่างฮิมชานว่าจะกลับบ้านเพื่อจะได้มาพร้อมกันแต่เพราะโรงงานของพี่มีปัญหาเลยปลีกตัวมาไม่ได้
สุดท้ายเลยส่งพี่ที่เขาเคารพอีกคนมาแทน
...เรื่องที่ว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ไปเที่ยวเลยต้องรีบกลับไปดูหลานนั้นคือการโกหกทั้งเพ...
คืนนั้นเกิดการถกเถียงกันระหว่างเขากับเพื่อนร่วมบ้านก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องหนีออกมาก่อน
ยังดีที่เขาอดทนไม่ร้องไห้ออกมาระหว่างอยู่ในรถ กระทั่งขึ้นเครื่องมาได้และต้องอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงโดยไม่มีอะไรให้ทำมากนักชวนให้คิดถึงเรื่องราวเจ็บปวดทั้งหลายทำให้น้ำตารื้นถึงขั้นหยิบผ้าพันคอมาคลุมหน้าคลุมตาไว้เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารข้างๆตกใจ จนมาถึงบ้านได้นอนสักตื่นพร้อมถูกหลานทั้งสองคอยป่วนถึงสบายใจขึ้น
ส่วนโทรศัพท์ก็ปิดเครื่องเก็บไว้ในลิ้นชักเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นอะไรให้ช้ำใจเพื่อจะได้กลับไปเป็นปกติได้
การกลับบ้านในปีนี้ทำให้เขาเห็นว่าพ่อแม่แก่ลงไปมาก โดยเฉพาะพ่อที่หลังเกษียณจากงานมารับแปลเอกสารอยู่บ้านนอกจากจะมีรูปลักษณ์ล่วงเลยตามวัยแล้วความเคร่งเครียดจริงจังเป็นนิสัยก็ดูผ่อนคลายลง
จากที่ไม่ค่อยได้คุยอะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องสุขภาพ
มาบัดนี้พ่อเริ่มถามสารทุกข์สุกดิบกระทั่งเรื่องกิจการรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับมาอยู่ที่นี่แทนเกาหลีอย่างถาวร
“ที่พ่อเขาเข้มงวดเพราะเขาเป็นห่วง
กลัวเราคิดฝันอะไรเกินไปแล้วเลี้ยงตัวเองไม่ได้จะลำบากแต่ตอนนี้พ่อเขาเห็นแล้วว่าเราดูแลตัวเองได้
ถึงยังงั้นก็อยากให้กลับมาอยู่บ้าน เกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่ต้องลำบากฮิมชานอีก”
คำของแม่ที่บอกระหว่างเข้ามาช่วยเก็บห้องนอนของเขานั้นทำให้เริ่มเข้าใจในความกดดันของพ่อและถึงแม้เขาจะไม่มีความคิดอยากกลับมาอยู่สวีเดนมาก่อนนับจากลุงเสียไปมาก่อน
หากพอเจออะไรต่อมิอะไรประดังประเดเข้ามาให้ใจเจ็บไม่หยุดหย่อนก็เริ่มคิดจะย้ายกลับบ้านขึ้นมาบ้าง
...บั้นปลายถ้าต้องตาย
กลับมาตายที่นี่คงดีเหมือนกัน...
“ยองฮุน เยริ...มานี่มา กลับบ้านเรากันดีกว่า”
ยองแจลุกขึ้นยืนพลางกวักมือเรียกหลาน
รอกระทั่งเด็กแฝดทั้งคู่ลุกจากพื้นวิ่งมาหาถึงจับมือทั้งคู่เดินฝ่าลมเย็นกลับเข้ามารับไออุ่นในบ้าน
ระหว่างถอดเสื้อโค้ทขึ้นแขวนก็ได้ยินสองแสบเถียงกันว่าใครรักเขามากกว่าต่อหน้าพี่สะใภ้ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา
“คุณอามาไม่กี่วัน นี่พากันแย่งคุณอาใหญ่
ขนาดไม่ซื้อน้ำส้มเจ้าประจำมาฝากยังรักคุณอามากเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มผมหนาใบหน้าเป็นมิตรที่แม้จะเป็นพี่แต่มีความสูงน้อยกว่าน้องเดินเข้ามาแซว
“นายก็เข้ากับเด็กได้ดีออกนะ ไม่คิดอยากแต่งงานมีลูกบ้างหรือไง”
“ไม่อะ...ผมไม่เคยคิดเลย”
“จริงดิ...อยู่เกาหลีนี่ไม่เจอคนถูกใจบ้างเหรอ”
“ถูกใจแต่ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่เอาไว้จะได้อะไรล่ะ”
“โห อะไรจะน่าสงสารขนาดนั้น
เอางี้มั้ยล่ะเดี๋ยวพี่นัดสาวมาให้นายเผื่อคุยกันถูกคอจะได้คบกันไปเลย ดูอย่างเคท
แฟนเก่านายสิ ตอนแรกก็ว่าจะไม่แต่งงาน พี่แนะนำหนุ่มให้เขาไป
เป็นไงล่ะคบปีเดียวแต่งงานเลย”
“อย่าเลย...ไม่มีใครเขาอยากจะเสียเวลามาคบกับคนป่วยซ้ำซากที่ไม่รู้จะตายเอาวันไหนแบบผมหรอก”
“รู้ได้ไงวะ
มันต้องมีใครสักคนที่เขาพร้อมจะอยู่กับนายไม่ว่านายจะเป็นยังไงบ้างแหละน่า แล้วไอ้มะเร็งไทรอยด์ของนายก็รักษาแล้วนะ
เหลือแค่กระดูกพรุนกับเลือดจางแค่นี้เองไม่ตายง่ายๆหรอก”
“แค่นี้เองเหรอ...ถ้าแค่นี้พี่ลองมาเป็นดูมั้ยล่ะ”
“โถเอ๊ย พี่รู้หรอกน่า ยังจำตอนแทบสิงโรงพยาบาลช่วงนายป่วยตอนนั้นได้ดีเลยว่ามันแย่ขนาดไหน
แต่ว่านะ พี่ก็อยากให้เรามีใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน ดูแลซึ่งกันและกัน
นายจะรอให้ฮิมชานมันดูแลอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ มันก็ต้องมีชีวิตของมัน”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะพึ่งพี่เขาอย่างเดียวซะหน่อย”
“หรือถ้านายคิดว่า ชีวิตนี้จะไม่มีใครแล้วจริงๆ
ก็กลับมาอยู่บ้านเราเหอะอยู่ตัวคนเดียวมันเหงาจะตาย...กลับมาอยู่สวีเดนกับครอบครัวพอมีอะไรก็จะได้ดูแลกัน
ถ้ายังอยากเป็นบาริสต้าก็มาทำงานกับเพื่อนพี่ที่นี่ก็ได้” พี่ชายแนะนำแนวทางชีวิตให้ด้วยลึกๆก็หวังเช่นคนอื่นที่อยากให้น้องกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแทนที่จะอยู่เพียงลำพังในเกาหลี
...เจ็บป่วยขึ้นมาอีกจะได้ช่วยกันทัน...
“ไว้ผมจะเก็บไปคิดดู”
“แล้วตอนห้าโมงเย็น คุณสตีฟ
เจ้านายพ่อเขาชวนพวกเราไปกินข้าว แต่งตัวหน่อยก็ดีนะ ได้ยินว่าหลานเขาสวย”
“นั้นไง...จะจับคู่ให้อีกจนได้”
“ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้าดิ พี่ล้อเล่นน่า แต่ถ้าได้ขึ้นมาก็ดี”
“จริงๆเล้ย”
คนเป็นน้องรับคำมองหน้าเปื้อนยิ้มอุ่นของพี่ที่สักพักก็ผละเดินไปหยอกล้อภรรยากับลูก
โดยมีพ่อแม่ของเขายืนพูดคุยเคล้าด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยทั้งสอง
ภาพครอบครัวแสนสุขตรงหน้าพาให้ริมฝีปากเหยียดกว้าง หากในช่วงนาทีใบหน้าของพี่ชายกลับถูกซ้อนด้วยหน้าของชายผู้เปรียบดังดวงตะวันในใจมาเนิ่นนานและทุกการเคลื่อนไหวในเวลานั้นเป็นเสมือนภาพจำลองอนาคตของเพื่อนคนนั้นทำเอาลมหายใจอุ่นทอดยาวพร้อมกับคำถามที่พรั่งพรู
...คนอย่างเขามีสิทธิ์สร้างครอบครัวแสนสุขอย่างพี่ชายได้จริงหรือ
...คนอย่างเขาจะมีสิทธิ์พบใครที่เขารักและรักเขาตอบได้เหมือนคนอื่นบ้างหรือเปล่า
...เมื่อไหร่จะทำใจได้ว่าไม่มีวันครอบครองดวงตะวันดวงนั้นได้
...และถ้าเขาเกิดเจ็บปวดจากคาดหวังขึ้นมา
ครั้งนี้เขาอาจจะตายไปจากโลกโดยไม่เป็นภาระใครอีก
--------------------------------------------------------------------------
เบียร์กระป๋องจำนวนหนึ่งวางกองอยู่บนโต๊ะหน้าร้านสะดวกซื้อโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งดื่มอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังท่ามกลางความมืดหม่นของค่ำคืนและความหนาวเย็นของอากาศตามฤดูกาล โดยในมือนอกจากถือเบียร์รอดื่มแล้ว
มืออีกข้างก็กำโทรศัพท์ไว้แน่น
นิ้วเรียวกดหน้าจอโทรศัพท์สลับกันระหว่างวอทแอพกับคาทกด้วยรอการติดต่อกลับของใครคนหนึ่งอยู่
แต่การแจ้งเตือนในทุกครั้งกลับเป็นคนอื่นเสมอ
เขาเฝ้ารออยู่ตรงนั้นสักพักก็กระดกเบียร์ในมือพรวดเดียวลงคอแล้วลุกขึ้นเดินออกมา
ภายในบ้านอันมืดมิดและเงียบเชียบไม่หนาวเหน็บเช่นข้างนอกด้วยมีฮีตเตอร์ฝังอยู่
แปลกที่แดฮยอนกลับรู้สึกว่าทุกอย่างรอบกายนั้นเย็นเยียบ
เพียงถึงห้องนั่งเล่นก็ไถลลงไปนอนหงายกองบนพื้นอย่างหมดท่าพลางหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกอีกรอบ
...หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
เสียงตอบรับอัตโนมัติลอดผ่านโทรศัพท์เช่นนั้นเป็นร้อยครั้งทำให้ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงข้างตัวพลางถอนหายใจต่อการหายไปไร้การติดต่อกลับจากเจ้าของบ้านถึงเจ็ดวันด้วยกัน
วันคืนแห่งความทรมานคืบคลานเข้ามาเพราะไม่มีเจ้าของบ้านอยู่ด้วยในช่วงใกล้ปีใหม่
แม้จะเป็นปีที่สามแล้วแต่ความอ้างว้างซึ่งเกิดขึ้นในใจไม่มีวันเคยชิน
หนำซ้ำปีนี้ยังเป็นปีแรกที่เกิดสถานการณ์อึมครึ้มโดยไม่มีการได้เคลียร์ใจอย่างชัดเจนระหว่างกัน
ในคืนนั้นเขายอมขัดคำขอตามไปถึงสนามบินแต่การไม่รู้รายละเอียดเที่ยวบิน
อีกทั้งรุ่นพี่อย่างฮิมชานกับยองแจเองก็ไม่ยอมรับสายเลยทำได้แค่วิ่งวุ่นหาเหมือนคนบ้า
และหลังจากวันนั้นเขาก็ใช้ชีวิตผ่านไปทีละนาทีอย่างทรมาน
พยายามโหมงานหนักเพื่อไม่ให้มีเวลาได้คิดถึง
ยิ่งเดินทางไปต่างจังหวัดมีรุ่นพี่ห้อมล้อมก็บรรเทาอาการหน่วงในใจลงไปได้บ้าง
หากพอกลับถึงบ้านความกังวลระคนโหยหาก็ประทุขึ้นมาให้รู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจไว้ให้เจ็บ
คนบนพื้นถอนหายใจออกมาอีกคำรบก่อนจะลุกเดินไปยืนรับลมตรงระเบียงห้องพักพร้อมปิดประตูกระจกให้สนิทถึงควักบุหรี่ซึ่งพกติดตัวอยู่ตลอดออกมาจุดสูบ
...เขาไม่เคยสูบบุหรี่ต่อหน้ายองแจเลยสักครั้ง...
เพราะรู้ว่าควันบุหรี่นั้นอันตรายและเหล้าเองก็เคยถูกขอให้ไม่ดื่มหลายครั้ง แต่เมื่อความเครียดเข้าครอบคลุม
จะให้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่เพื่อบรรเทาทุกข์ เขาไม่เกี่ยงทั้งนั้น
เพียงแค่เขาจะไม่สูบหรือดื่มให้มีกลิ่นติดในบ้าน
รสชาติของความคิดถึงแต่ไม่อาจล่วงรู้ความเป็นไปได้เป็นสิ่งที่คุ้นเคยดี
ทว่าคนที่คิดถึงในตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกเดียวกันแค่อยู่กันคนละฟากโลกเป็นความทรมานที่ต่างออกไป
ควันสีเทาเจือกลิ่นนิโคตินผสมกลิ่นเย็นของเมนทอลพวยพุ่งผ่านปากปะปนไปในอากาศ
มือใหญ่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดถ่ายรูปท้องฟ้ายามค่ำคืนส่งเข้าห้องแชทที่มีข้อความของเขาคนเดียวส่งไปหา
กระทั่งเห็นเวลาบนหน้าจอถึงดับบุหรี่กลับเข้ามาล้มตัวลงนอนบนโซฟาที่มีหมอนกับผ้าห่มวางไว้พร้อม
แดฮยอนปิดไฟให้ทั้งห้องกลับสู่ความมืดค่อยล้มตัวลงนอนหลับตาคลุมผ้าห่มบนโซฟาเพื่อให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ของเบียร์ที่ดื่มต่างน้ำไปในปริมาณมากช่วยให้ข่มตาหลับ
หากใบหน้าและแววตาของยองแจในคืนนั้นยังติดตาจนไม่อาจหลับได้ลง
ความเศร้ากัดกร่อนมากเกินกว่าจะเก็บกลั้น...ความเจ็บปวดที่คาดเดาเอาเองว่าคงเป็นเพราะตัวเขาทำให้รู้สึกเหนื่อยและเบื่อระอาไม่รู้สิ้นสุด
สติหลุดถึงขั้นล่วงเกิน
แม้ความต้องการของหัวใจประกาศก้องบอกรัก
หากความขลาดกลัวต่อการสูญเสียมาตลอดทั้งชีวิตทำให้กล่าวคำลวงออกไปทั้งหมดสิ้น
สุดท้ายเมื่อต้องอยู่เดี่ยวดายความคิดกลับกระจัดกระจายฟุ้งซ่านแทบจับต้องไม่ได้
กระนั้นก็ยังมีความปรารถนามุ่งมาดอยู่ไม่กี่ประการที่เขาตระหนักรู้
...อยากบอกว่าขอโทษ
...อยากบอกว่าคิดถึง
...อยากจะเสี่ยงบอกว่ารักด้วยอีกครั้งหนึ่ง
...แต่ถ้าบอกออกไปแล้วมองหน้ากันอีกไม่ได้ขึ้นมา
...ถ้าทำให้ลำบากใจแล้วอยู่ด้วยกันอีกไม่ได้
...แล้วเขาจะพูดมันออกไปได้อย่างไรกัน
-------------------------------แวเะคุยกันก่อน---------------------------
มันคือดราม่าอะ มันดราม่าแบบบางๆ ก่อนจะมาโครมใหญ่ จะพยายามไม่ลากดราม่าหลายบทเกิน 555555 แค่นี้ก็ไม่มีคนอ่านแล้วอะ แต่ความสัมพันธ์คนถ้ามันไม่มีปัญหามันจะเดินหน้าไปยังไง
จบจากดราม่าก็เกียมน้ำตาลขึ้นตาได้เลย กากมันรักก็รักเหลือเกินแหละ อดทนหน่อยนะ
จบจากดราม่าก็เกียมน้ำตาลขึ้นตาได้เลย กากมันรักก็รักเหลือเกินแหละ อดทนหน่อยนะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ฝากคอมเม้นและติกแท็ก #ficlovetoxical หน่อย อ่านทุกคอมเม้นค่ะ อย่างน้อยขอสักสองคนอยู่กับแดแจไปจนจบกับเราด้วย ฮืออออออออออออออออออออออ
0 Comments