LOVE TOXICAL : HOLIN CHAPTER 4

09:09


กลิ่นคาวเค็มเพียงบางเบาโชยมาหากนั้นเพียงพอให้ผู้นอนนิ่งสูดดมเข้าถึงกับรู้สึกตัวลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยเหงื่อกาฬอาบทั่ว ไหล่บางไหวสะท้านปนเสียงหอบหายใจรุนแรง กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลทั้งคู่ก็เบิกกว้างก็ตื่นกลัวราวกับเพิ่งหลบหนีพ้นจากโลกแห่งฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอน


ควานลินยกมือลูบคลำไปตามเนื้อตัวด้วยยังจำภาพสุดท้ายก่อนสติลางเลือนได้ว่าจมน้ำ หากพอสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าแห้งและอุ่นจึงก้มมองก็พบว่ามีเสื้อคลุมอาบน้ำห่มร่างนั่งอยู่บนเตียงสำหรับนอนได้เพียงคนเดียวและเมื่อมองไปรอบข้างก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องพักสีไข่ไก่ขนาดกะทันรัดที่มีห้องน้ำเล็กในตัว รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้อย่างโต๊ะทำงานและชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขก  


ทว่า ณ ตรงนั้นกลับไม่มีแม้เงาของชายผู้ช่วยชีวิต ทำให้ใจตระหนกร้อนลนห่วงกลัวอีกคนจะเป็นอันตรายจึงลุกจากเตียงตรงไปทางประตูอย่างไม่คิดลังเลแต่เมื่อเห็นลูกบิดกับเครื่องเสียบคีย์การ์ดที่มีปุ่มตัวเลขใส่รหัสได้อยู่ตรงผนังข้างๆนั้นก็รู้ทันทีว่าต้องใช้รหัส จังหวะที่คิดว่าจะลองเสี่ยงกดตัวเลขอะไรสักอย่างก็ยินเสียงสัญญาณปลดล็อกพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก


วินาทีที่เห็นหน้าคนหลังบานประตูแขนทั้งสองข้างก็อ้ากว้างเข้ากอดร่างใหญ่ไว้เสียแน่น ฝ่ายระวังตัวเสมอแม้ถูกกอดโดยไม่ทันตั้งตัวกลับยืนนิ่งจ้องเด็กที่ถอยหน้าจากการซุกแนบบนบ่าขึ้นมามองหาก็เห็นประกายความดีใจเหลือแสนฉายชัด


“นายหมีไปไหนมา ฉันนึกว่าถูกนายหมีทิ้งซะอีก ละนี่นายหมีไม่เป็นไรอะไรใช่มั้ย มีเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คำถามจากความห่วงใยพลั่งพรูออกมา แต่คนถูกถามไม่ตอบอะไรเพียงก้มหน้าส่งสัญญาณให้มองตามมายังอกที่มีเสื้อผ้าคั่นอยู่แล้วเอ่ยสั้น


“เสื้อผ้าคุณ”


อีกฝ่ายพอได้ยินเข้าก็ปลดแขนทั้งสองข้างจากการกอดมารับเสื้อผ้าแทนแล้วหยิบทั้งหมดมาสวมโดยอัตโนมัติระหว่างนั้นสายตายังคงมองแผ่นหลังของชายคนเดิมที่ง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างในตู้ไม้ขนาดเล็กใช้เก็บสัมภาระทั้งหลายเหมือนกลัวว่าจะหายไปอีก


“นี่ ฉันหลับไปนานแค่ไหนเหรอ ที่นี่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย แล้วรถคันนั้นมันเป็นอะไรถึงได้ถอยหลังไปแบบนั้นได้  นายหมีว่ายน้ำเก่งจังไปฝึกมาจากไหนเหรอ ละจากนี้เราต้องไปไหนกันต่อ ต้อง...” การถามชะงักไปในทันทีที่ขนมถุงหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า


“กินซะจะได้เงียบๆ” ประโยคคำสั่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแต่คนได้ยินกลับเผลอยิ้มรีบคว้าขนมเดินไปนั่งกินบนเก้าอี้บุนวมสีเขียวตรงโต๊ะรับแขกพร้อมกับเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามที่ผละไปเก็บอาวุธสำหรับใช้ต่อสู้ระยะประชิดซึ่งถูกทำความสะอาดวางเรียงไว้ใส่ซองตรงเข็มขัดและตามช่องลับของกางเกงจนถึงรองเท้า


“นายหมีไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ปากที่มีขนมอยู่เต็มขยับถาม


ผู้มากวัยกว่าหันกลับมามองเด็กที่นั่งเคี้ยวขนมมองตาแป๋วแทบไม่กระพริบราวกับไม่อยากให้เขาคลาดสายตาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจพลางหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาเผลอตัวเข้าไปยุ่งกับงานที่ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว


ช่วงเวลานั้นเขาคิดอยู่ว่าจะแบกเด็กคนนี้หนีไปหรือจะเอาอย่างไรดี เดชะบุญที่ตัวกลางผู้รับงานส่งข้อความแจ้งว่า มีข้อผิดพลาดของการส่งตัวให้ขึ้นเรือขนสินค้าเพื่อโดยสารต่อมายังอีกประเทศแทนก่อนจะมีเจ้าหน้าที่ประจำเรือมารับตัวขึ้นไปแทบจะทันทีที่เขาได้รับข้อความ


...ปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วบ่งบอกถึงการเฝ้าติดตามตลอดเวลา...
...การติดตามตลอดเวลาย่อมแปลว่าสำคัญ...
...หากสำคัญในแง่ทายาทหรือในแง่ต่อชีวิตนั้นก็ยากจะหยั่งรู้....


“คุณสิเป็น” เขายอมตอบกลับยังคงจำได้ว่าเด็กตรงหน้าละเมอหาเขาตลอดเวลาที่หลับ


ลำพังแค่ส่งขึ้นเรือรอให้ตัวกลางมารับไปก็ทำได้เพราะแต่แรกเริ่มก็ไม่ได้รับงานเพิ่มในกรณีเกิดความผิดพลาด หากเพียงได้ยินเสียงเรียกหาบอกแค่ว่า อย่าทิ้งกันนะ ความอาทรน้อยๆในใจกลับฉุดรั้งให้เขาอยู่ต่อเพื่อจะพาไปให้ถึงฝั่ง


“เป็นอะไรอะ”


นิ้วใหญ่ของคนแก่กว่าชี้ตรงหางคิ้วแทนคำตอบทำให้เจ้าตัวยกมือแตะตามจุดนั้นดูบ้างถึงรู้ว่ามีแผ่นอะไรสักอย่างเหมือนปลาสเตอร์ติดอยู่แล้วจู่ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาเสียดื้อๆ


“โห ตอนไม่บอกก็ไม่เจ็บนะ พอนายหมีบอกปุบก็เจ็บขึ้นมาเลย ละไอ้แผลนี่ฉันได้มายังไงเหรอ”


“กระจกบาด”


“บาดตอนไหนไม่เห็นรู้เลย”


“เพราะคุณสลบ”


“ฉันสลบไปเหรอ สลบนานแค่ไหนอะ แล้วทำไมมีแผลน้อยจัง...แผลน้อยกว่าตอนต่อยกับพวกที่โรงเรียนตั้งเยอะ” คนเป็นเด็กพูดลอยๆ ยังคงหยิบทาร์ตสัปปะรดเข้าปากไม่หยุดด้วยความหิวพร้อมกับถามย้ำสิ่งที่อยากรู้อีกครั้ง “เออ จริงสิ ตอนนี้เราอยู่ไหนเหรอ”


“เรือขนสินค้า”


“เรือขนสินค้า...เรือขนสินค้าเขามีที่พักด้วยเหรอ เออ ก็ต้องมีสิไม่งั้นพวกลูกเรือจะนอนกันยังไง แต่ห้องมันแคบพอๆกะห้องเช่าที่ฉันเคยอยู่เลย...อยู่ห้องแบบนี้ไม่เมาเรือกันบ้างหรือไงนะ เรือลำนี้พอออกจากท่าเรือแล้วจะไปต่อที่ไหนเหรอ”


“คุณรู้แค่ว่าผมจะพาคุณไปส่งในที่ที่ปลอดภัยก็พอ”


“ไปส่งที่ไหนล่ะ”


ครั้งนี้ฝ่ายแก่กว่าเลือกจะปิดปากเงียบพลางหย่อนกายลงนั่งบนโต๊ะทำงานกวาดตามองไปโดยรอบแทนการมองเด็กน่ารำคาญที่ตอนนี้เขายังถามตัวเองว่าคิดผิดหรือถูกที่ยอมถูกความสงสารครอบงำจนรับช่วงต่ออีก


“ก็ได้ๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ ว่าแต่อันนี้เนี่ยนายหมีสัญญาด้วยมั้ย”


คนอ่อนวัยกว่าถามยังคงจ้องยังชายหนุ่มที่แม้ความสูงจะน้อยกว่าเขาแต่สัดส่วนความหนาของมวลกล้ามเนื้อนั้นมากกว่าราวกับหมีพอฝ่ายนั้นละสายตาจากเพดานลงมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแทนการถามเลยขยายความเพิ่มเสียเอง


“ที่ว่าจะไปส่งให้ถึงอย่างปลอดภัยน่ะ...นายหมีสัญญาด้วยหรือเปล่า”


การทวงถามคำสัญญาจากผู้ช่วยชีวิตมาหลายครั้งหลายคราคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กที่ถูกผลักไสให้ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวบนโลกใบนี้อุ่นใจ ถึงจะพบเจอกันไม่นานเลยแต่ควานลินกลับเชื่อในคำสัญญาของของคนตรงหน้ามากกว่าตัวเองเสียอีก


ดงโฮแลแววความหวังจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่างเงียบงัน พลันความทรงจำในวันแต่งงานก็หวนกลับมา วินาทีที่เห็นภาพตนสวมแหวนแต่งงานแล้วเงยหน้าเอ่ยคำสัญญาว่าจะดูแลเป็นอย่างดีจนชีวิตนี้จะหาไม่นั้นพาให้ดวงหน้าของหญิงคนรักยิ้มกว้างจนตาหยีด้วยเป็นสุขเหนือใครก่อนภาพจะตัดไปในวันที่เขาทิ้งทุกอย่างเพื่อไปยังโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ระเบิด แล้วก็เจอเข้ากับร่างถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว หากมือที่พ้นจากชายผ้ามีกำไลดอกกุหลาบทำจากคริสตัลและแหวนทับทิมสวมติดนิ้วเปื้อนด้วยเลือด


...วันเวลาพรากพาให้อดีตเลือนลงเช่นเดียวกับความทุกข์ทนที่เสียดแทงหัวใจจนกลายเป็นความชินชา


คำสัญญากลายเป็นหนามแหลมต่อการดำรงตนให้คงอยู่จึงไม่มีปริปากปฏิญาณให้คำมั่นกับใครหรืออะไรอีก ทว่าแววตาของเด็กคนนั้นยามขอคำสัญญามีประกายแห่งความหวังแรงกล้าแทรกกลบแววความชิงชังต่อโลกได้หมดสิ้นนั้นสั่นคลอนตะกอนความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่


“ใช่”


“จริงนะ ถ้างั้นขอสัญญาอีกข้อได้ปะ” พอคำขอเพิ่มหลุดจากปากแววตาเรียบเฉยจากคนตรงข้ามกลับแข็งกร้าวราวกับจะประกาศให้ทราบถึงการล้ำเส้นทำให้ต้องรีบเร่งพูดเสียให้จบ “ไม่ได้จะขอสัญญาอะไรที่ยากๆซะหน่อย แค่ขอให้นายหมีสัญญาว่าจะไม่บาดเจ็บเท่านั้นเอง”


“ผมไม่สัญญาอะไรที่ผมทำไม่ได้” เสียงเข้มดุใส่


“อะไรเล่า นายหมีเก่งออกจะตายไป แค่ทำให้ตัวเองไม่บาดเจ็บนี่ทำไม่ได้เหรอ”


“ผมไม่ใช่ยอดมนุษย์”


“งั้นเอาแค่เจ็บตัวน้อยๆ แบบที่มีแผลติ้ดเดียวตรงคิ้วเหมือนฉันก็ได้”


หนนี้ฝ่ายฟังคำร้องขอถึงกับถอนหายใจอย่างเอือมระอาออกมาให้เห็นต่อหน้าเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กที่ไม่ได้หัวเราะมานานปีให้หลุดออกมา


“ฮ่าๆ...นายหมีถอยหายใจเป็นด้วยแฮะ”


“ถ้าคุณมีแรงพูดเยอะแล้วก็มาเรียนวิธีป้องกันตัวซะ”


“เรียนทำไม ฉันต่อยคนเป็นอยู่แล้ว ต่อยกับไอ้พวกที่มาว่าแม่ออกจะบ่อย”


“อย่างนั้นเป็นแค่การทะเลาะกันตามประสาเด็ก”


“ทะเลาะแบบนั้นมันเด็กตรงไหน เจ็บจริงเหมือนกันนะ”


“ถ้าคุณเรียนวิธีป้องกันตัว คุณจะรู้วิธีให้คุณไม่เจ็บหรือเจ็บน้อยที่สุด”


“จะเรียนไปทำไม อีกเดี๋ยวก็ตายอยู่ล่ะ”


“ผมบอกคุณไว้ว่ายังไง”


“รู้แล้วน่าว่าอยู่กับนายหมีจะไม่ตาย” คนเป็นเด็กบ่นพึมพำหยิบเศษขนมที่หล่นตามตัวมาใส่ปากและบอกต่อ “จะเรียนก็ได้นะถ้านายหมีเป็นคนสอนอะ”


ข้อตกลงอันง่ายดายนั้นทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานลุกเดินมาหาแล้วยกเก้าอี้บุนวมตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเด็กที่ยังกินไม่หยุดขึ้นมาแล้วว่า


“ช่วยผมเคลียร์พื้นที่ แล้วมาเรียนมันซะตอนนี้เลย”

--------------------------------------

ร่างผอมสูงท่วมไปด้วยเหงื่อทิ้งตัวลงนอนแผ่กางแขนขาอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ หากดวงตากลับจดจ้องยังชายหนุ่มตัวใหญ่สวมเพียงกางเกงลายทหารขายาวกับเสื้อกล้ามสีดำเผยมัดกล้ามเนื้อแน่นหนาจากการฝึกฝนกายให้แข็งแกร่งซึ่งไม่มีทีท่าของความเหนื่อยอ่อนหรือแม้แต่เหงื่อเลยสักหยด


ควานลินไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่บนเรือขนสินค้าลำนี้นานแค่ไหนแล้ว หากก็เดาเอาจากการมองสีท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างรวมเข้ากับความยาวนานทางความรู้สึกก็คงเกือบสามอาทิตย์ได้แล้ว


แม้จะเห็นว่าเรือลำนี้เทียบท่าขึ้นฝั่งหลายแห่งแต่เขายังคงอาศัยอยู่บนเรือโดยตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนพ้นจากห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้เลย ทั้งกิน อาบน้ำและนอนอยู่ในห้องนี้อย่างเดียว ส่วนนายหมีถึงจะไม่ค่อยพูดอะไรเหมือนเคยก็พยายามสอนเขาให้เรียนรู้วิธีป้องกันตัวยามถูกทำร้ายและการเอาตัวรอดจากข้าวของที่ติดตัวมา ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีสักครั้งเลยที่เขาจะสามารถเอาชนะนายหมีเวลาสวมบทบาทเป็นคนร้ายเข้าหาในระยะประชิดได้สักที


...เรียนวิธีป้องกันตัวจากนายหมีก็สนุกดีหรอก แต่จะดีกว่านี้ถ้าชนะได้บ้าง...


“สู้กับนายหมีแบบนี้คงได้ตายก่อนได้ไปสู้จริงแหง่”


“คุณไม่พยายามเอง” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเคย


“ก็นายหมีตัวใหญ่กว่าฉันตั้งเยอะจะล้มยังไงล่ะ...ถึงฉันจะสูงแต่ฉันผอมจะตาย แค่กล้ามแขนนายหมีก็หนักล่ะ ใครมันจะไปล้มได้ โอ๊ย เรียนเยอะก็หิวอีก นายหมีมีอะไรให้กินบ้างมั้ย แบบที่อร่อยๆกว่าไอ้ข้าวที่เรากินทุกวันน่ะ ละนี่เราอยู่บนเรือกันกี่วันแล้วนะ เราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนเหรอ”


“อีกไม่นานหรอก”


“นายหมีก็พูดเงี้ยตลอดเลย ไอ้ไม่นานของนายหมีมันกี่วันกันแน่”


ผู้ถูกโอดครวญมองเด็กที่นอนแผ่บนพื้นพลางส่ายหัวไปมาอย่างระอาแต่ไม่ทันไรก็ถูกตัดพ้อใส่อีก


“ถ้าจะให้อยู่นานขนาดนี้ก็น่าจะให้ฉันออกไปดูวิวข้างนอกบ้างนะ อุดอู้อยู่ในนี้น่าเบื่อจะตาย”


“ผมจะไปเอาอาหาร”


ชายหนุ่มตัดบทไม่แยแสต่อการประท้วงเท่านั้นก็คว้าชุดช่างซ่อมสีส้มปักสัญลักษณ์ตรงอกคล้ายยูนิฟอร์มมาสวมทั้งตัวแล้วหันหลังผ่านประตูออกไปข้างนอกโดยไม่ลืมสอดส่องความเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างระแวดระวัง แม้เรือลำนี้จะเป็นเรือจากตัวกลางรับงานส่งมาก็ใช่จะไว้ใจด้วยเขาตระหนักดีถึงความไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนอกจากเงินของผู้เป็นตัวกลางรับงานดี


การสั่นสะเทือนของบางสิ่งในกระเป๋ากางเกงดึงให้มือใหญ่ล้วงมันขึ้นมาลอบอ่านตัวเลขอันเป็นรหัสตัวเลขที่มีเพียงเขากับตัวกลางผู้ส่งเท่านั้นจะเข้าใจในความหมาย เมื่อทราบความเรียบร้อยก็เก็บมันเดินผ่านพนักงานประจำเรือไปยังห้องเครื่องเพื่อรับถุงอาหารพร้อมทานสีน้ำตาลจำนวนหนึ่งจากในตู้ลับซึ่งจะมีคนนำมาไว้ทุกต้นสัปดาห์สำหรับใช้รับประทานได้เจ็ดวัน


แม้ในห้องเครื่องจะมีพนักงานประจำการอยู่ ทว่าความกว้างของพื้นที่รวมทั้งเครื่องจักรกลทั้งหลายอันมากมายทำให้มีซอกมุมให้หลบหลีก


เขาเดินกลับมาโดยซ่อนอาหารสำเร็จรูปจำนวนหกชุดที่จะไปรับได้ในตอนเย็นเท่านั้น เมื่อเปิดประตูเข้ามาอีกคราก็เห็นเด็กคนเดิมนั่งจุ้มปุ๊กรออยู่บนพื้นว่างกลางห้องซึ่งเฟอร์นิเจอร์อื่นยกเว้นเตียงถูกยกไปตั้งกองกันไว้ในตรงมุมหนึ่งเพื่อจะได้มีพื้นที่ในการเรียนวิธีป้องกันตัว


...ทั้งที่เคยเห็นเด็กคนนี้แอบมองการกดรหัสประตูจนน่าจะรู้ตัวเลขอยู่แล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าจะหนี...


เพียงคิดมุมปากก็ขยับนิดก่อนจะเดินมานั่งขัดสมาธิบนพื้นใกล้กับคนที่นั่งอยู่ก่อนพลางกองถุงอาหารทั้งหมดลงตรงนั้นถึงค่อยเขยิบตัวไปนั่งพิงหลังกับเตียงไม้เช่นทุกคราที่นำอาหารเข้ามาให้


“นายหมีไม่กินเหรอ”


“ยัง”


“นายหมีกินข้าวบ้างมั้ยเนี่ย ฉันไม่เคยเห็นนายหมีกินข้าวเลยซะที”


“ถามอีกแล้ว ไม่เบื่อหรือไง”


“ก็ถามแล้วนายหมีไม่ตอบสักที รำคาญก็ตอบๆมาซี จะได้เลิกถาม”


“ผมกินตอนคุณหลับ”


“กินมื้อเดียวเองอะนะ ไม่หิวเหรอ”


“ผมกินรวมกันทีเดียว”


“เอาของสามมื้อมากินรวมกันทีเดียวเลยเหรอ...ไอ้ของกินกันตายไม่เห็นจะอร่อยแบบนี้ นายหมีกินเยอะๆลงด้วยเหรอ ขนาดฉันหิวยังต้องฝืนกินถึงหมดนะนั่น”


“อาหารทหารก็แบบนี้”


“นี่คืออาหารที่ทหารเขากินกันเหรอ” คำอธิบายสั้นทำให้ตาสีน้ำตาลเบิกโตเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน “ทหารเขากินกันแบบนี้กันจริงดิ โหย ออกไปรบล่ะต้องกินของแบบนี้จะมีแรงกันยังไง ตอนฉันอยู่ห้องเช่าถึงจะกินแต่บะหมี่ก็ยังรสชาติโอเคกว่านี้เลยนะ”


MRE พวกนี้ กินเพื่อเอาพลังงาน ความอร่อยคือของแถม


MRE คืออะไร”


อาหารพร้อมกินของทหารภาคสนาม


“ของทหารแต่เฉพาะทหารภาคสนามถึงจะได้กินเหรอ โอ๊ะเดี๋ยวนะ นายหมีรู้ได้ไงว่านี่อาหารของทหารภาคสนามอะ นายหมีเป็นทหารเหรอ” ฝ่ายอ่อนวัยกว่าถามทำตาโตอย่างตื่นเต้นแต่คนตรงข้ามกลับไม่ตอบอะไรเพียงทอดสายตาข้ามไปยังบานหน้าต่างมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ด้านนอกอย่างเงียบงันเลยก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ


หุ่นแบบนี้เป็นทหารก็ไม่น่าแปลก...


หลังกลืนข้าวคำสุดท้ายผ่านคอลงตามด้วยน้ำดื่มเรียบร้อยก็ได้ยินอีกฝ่ายเริ่มออกคำสั่งต่อไป


“กินข้าวเสร็จเสร็จก็อาบน้ำแปรงฟันแล้วนอนซะ”


“สั่งให้นอนอีกล่ะ ไม่มีอะไรให้ทำก่อนนอนบ้างเลยเหรอ”


“ไม่มี”


“หนังสือสักเล่มหรือไพ่ก็ได้ ฉันลงไพ่นกกระจอกเก่...”


“นอน” เสียงดุแทรกกลางลำทั้งที่ยังเอ่ยคำไม่จบ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามบึนปากยอมจำนน


“ก็ได้ๆ นอนก็ได้”


ชายหนุ่มมองเด็กที่พยักหน้าตอบรับด้วยเสียงในคอครู่หนึ่งก็ลุกจากพื้นเตรียมออกไปข้างนอก ทำให้คนข้างหลังถามออกมาอีกหน


“นายหมี...นายหมีไม่นอนเหรอ”


“ยัง”


“นายหมีเคยนอนบ้างมั้ยเนี่ย ถามทีไรก็บอกยังทุกทีเลย”


“ผมนอนตอนคุณหลับ” เพียงเหลียวกลับไปตอบเท่านั้นก็เห็นแววตาสงสัยและริมฝีปากที่บิดคว่ำ


“นอนตอนฉันหลับอะไรกัน ฉันตื่นทีไรก็เห็นนายหมีนั่งลับมีดไม่เห็นหลับซะที”


“คุณนอนนานจะเห็นยังไง”


“นอนนานตรงไหน ไม่รู้สึกเลยว่านอนนาน ตื่นมาทีไรก็ปวดหัวแล้วก็ง่วงอยู่ดี”  


พอถูกเซ้าซี้มากเข้าก็ชักอยากให้ตัวเองซื้อขนมที่อีกฝ่ายชอบติดมามากว่านี้ เสียดายที่ซื้อมาให้กินพอไม่กี่วัน เวลาต้องการความเงียบเลยไม่มีอะไรอุดปาก สุดใจทนรำคาญไม่ไหวก็ต้องตอบ


“แปดชั่วโมงของผมคือนาน”


“แปดชั่วโมงจริงเหรอ...โม้แล้ว นายหมีไม่มีนาฬิกาจะมารู้ว่าฉันนอนแปดชั่วโมงได้ไง”


“ผมไม่เคยพูดสิ่งที่ไม่เป็นจริง”


“แล้วรู้ได้ไง”


“ข้างนอกมีนาฬิกา”


“ข้างนอก...นายหมีดูเวลาตอนออกไปข้างนอกห้องเหรอ อะอะ โอเค แปดชั่วโมงก็แปดชั่วโมงแต่ในหนังสือเขาบอกว่าแปดชั่วโมงมันเป็นระยะเวลาเหมาะสมในการนอนนะ เพราะงั้นแบบฉันเขาไม่ถือว่านอนนานซะหน่อย”


“ก็นอนซะสิ”


“นอนไม่หลับหรอก”


“ทำไม”


“นอนโดยไม่รู้ว่านายหมีออกไปไหน ฉันจะนอนหลับยังไง”


“ทุกทีก็หลับได้”


“ไม่ได้หลับนะ...แค่แกล้งหลับหรอก”


“แต่คุณกรน”


“ก็นายหมีไปตั้งนาน กว่าจะกลับมาฉันก็เผลอหลับดิ”


“แบบนั้นคือหลับ”


“หลับแป้บเดียวเองนะ สักพักก็ตื่น...ตื่นมาทีก็เห็นนายหมีนั่งเช็ดปืนลับมีดอยู่ตรงหน้าต่างทุกที ถ้าต้องอาศัยแสงไฟข้างนอกก็เปิดไฟในห้องเหอะ ฉันนอนทั้งที่มีแสงได้”


“ผมไม่เสี่ยง”


“เสี่ยงอะไร”


“เสี่ยงเปิดไฟให้คุณตื่นมาพูดไม่หยุดเหมือนตอนนี้”


“โธ่ ฉันไม่พูดหรอก...ถ้าบังเอิญตื่นขึ้นมาจะแกล้งหลับให้ นายหมีจะได้ไม่ต้องลับมีดในที่มืดๆ ลับมีดแบบนั้นเดี๋ยวก็ถูกมีดบาดเอา”


"ผมชินแล้ว"


"แต่ฉันไม่ชินด้วยนี่...ลับมีดมืดๆ ออกไปข้างนอกตอนมืดๆ ออกไปทีก็นาน ถามทีไรก็ไม่ยอมบอกว่าไปไหน" เด็กขี้สงสัยบอกเสียงอ่อยมีแววละห้อยฉายชัดบนดวงตาอย่างเป็นห่วงระคนกลัวถูกรำคาญ ทำเอาคนแก่กว่าเม้มริมฝีปากยอมผละจากประตูเดินไปหยิบตุ๊กตาหมีจากบนเตียงมาวางลงบนตัก


“นอนคุยกับมันไปก่อน เดี๋ยวมา”


“เดี๋ยวมาของนายหมีนี่กี่นาที”


“ตอบไม่ได้”


“มันนานมากมั้ยล่ะ”


“สักพัก” สิ้นคำเจ้าตัวก็ผละออกจากห้องไป ทิ้งให้คนเป็นเด็กนั่งมองตุ๊กตาหมีที่ใช้กอดตอนนอนตลอดอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดซึ่งใช้ใส่นอนซ้ำกันมาสองวันแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยมีตุ๊กตาหมีตัวเดิมอยู่ในอ้อมแขน


เวลาแห่งราตรีกาลล่วงผ่านไปกับการหลับใหล ทว่าวินาทีที่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงการเขย่าตัวอยู่เหนือผืนผ้าห่มเลยสะดุ้งลืมตาขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นคนก็ถอนใจ แต่ไม่ทันจะได้ถามไถ่ก็มีเสื้อตัวใหญ่ถูกคลุมลงมาพร้อมกับมือหนาที่ฉุดแขนให้เดินตามไป


แสงไฟระหว่างทางเดินสว่าง หากความงัวเงียทำให้เจ้าตัวไม่ทันใส่ใจสังเกตสังกาอะไรนอกจากเดินไปตามแรงลากของคนข้างหน้ากว่าจะรู้สึกตัวตื่นเต็มตาได้ก็ในตอนที่ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงานดังสนั่นและเมื่อมองไปโดยรอบก็รู้ว่าตนเองกำลังเดินอยู่ตรงช่องว่างระหว่างตู้คอนเทนเนอร์เรียงตัวสูงท่วมหัว


เท้าทั้งสองก้าวตามแรงดึงไปเรื่อยกลางความมืดอย่างไม่รู้ทิศทางกระทั่งหลุดออกมาปากทางยังกราบเรือ


สายลมรุนแรงหอบความเย็นจากท้องน้ำก็แล่นมาปะทะกายราวกับจะมีพายุลูกใหญ่ ทว่าผืนฟ้ากว้างกลับปลอดโปร่งไร้มวลเมฆใดบดบัง คงมีเพียงพระจันทร์ดวงกลมทรงกลดคอยถักทอแสงสีรุ้งสรรเป็นรัศมีเรืองรองแผ่กระจายราวกับมีจันทร์ยอแสงอีกดวงล้อมรอบ และในยามแสงเจิดจรัสนั้นส่องกระทบผิวมหาสมุทรก่อประกายพราวระยับเฉกหมู่ดาวโรยตัวหยอกล้อระลอกคลื่น


ความงามแห่งธรรมชาติตรงหน้าเกินกว่าจะพรรณนาและเรียกรอยยิ้มให้แก่คนที่ถวิลหาอากาศภายนอกมาเนิ่นนาน ดวงตาสีน้ำตาลสวยสะท้อนเงาของภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก็ละสายตามายังชายหนุ่มตัวใหญ่ในชุดช่างด้วยความรู้สึกอุ่นในใจ


ทุกวันเขาจะบ่นว่าอยากออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่นายหมีทำเฉยไม่แต่สุดท้ายก็พาออกมาจนได้


...นายหมีเป็นคนละเอียดอ่อนกว่าภาพลักษณ์ภายนอก...


ความจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการวางใจในตัวผู้ชายคนนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ชินกับการอยู่ในสังคมฉ้อฉลที่ไว้ใจใครไม่ได้เลยสักคน การจะได้รับน้ำใจจากใครสักคนโดยไม่หวังผลเป็นเรื่องยากเย็น แม้แต่ถ้อยคำสวยหรูจากผู้คนใกล้ตัวก็ล้วนซ่อนความหลอกลวงไว้ ทว่าในหัวใจกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างของผู้ชายคนนี้ แม้จะเคยกลัวแทบตายมาก่อนก็ตาม


“พระจันทร์สวยเนาะ แต่ตรงนี้ไม่เห็นเหมือนในหนังเลยอะ...ฉันน่ะเคยดูหนังเรื่องไททานิคที่โรงเรียน มันจะมีฉากที่นางเอกกับพระเอกไปยืนซ้อนกันตรงหัวเรือแล้วกางแขนแบบเนี่ยๆ นายหมีเคยดูปะ” เสียงตื่นเต้นร้องถามพลางกางแขนสาธิตท่าที่เคยชมจากในภาพยนตร์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง


“ตรงนี้ไม่ใช่จุดชมวิว” อีกฝ่ายตอบห้วนขณะมองไกลไปยังแสงไฟลิบๆตรงสุดขอบทะเลนั้น


“แล้วไมไม่พาไปตรงนั้นล่ะ”


“ไปไม่ได้”


“ทำไมอีกล่ะ”


“นี่เรือขนสินค้าไม่ใช่เรือสำราญ”


“รู้แล้วว่าเรือขนสินค้า คอนเทนเนอร์เพียบขนาดนี้จะเป็นเรือท่องเที่ยวได้ไง”


“รู้ก็เงียบซะ”


“เงียบได้ไง นายหมีอุตส่าห์ให้ออกมาสูดอากาศทั้งที พาไปที่ที่มองเห็นวิวได้รอบเรือหน่อยก็ไม่ได้”


“ไปไม่ได้...ในเรือไม่เหมือนบนบก”


“ไม่เหมือนยังไงล่ะ”


“ทะเลมันกว้าง...กว้างจนทิ้งใครสักคนลงไปตายก็ทำได้ง่ายๆ”


“นายหมีคงไม่ได้คิดจะโยนฉันลงทะเลหรอกใช่ปะ”


เพียงได้ยินคำถามสวนมา ชายหนุ่มก็ละสายตากลับมายังเด็กที่เกาะกราบเรือชะเง้อคอดูเกลียวคลื่นบนพื้นน้ำรอบลำเรือก่อนมุมปากจะเผลอยกขึ้นและยุติลงแทบจะทันที


“คุณว่ายน้ำได้ ต้องหาของหนักถ่วงก่อนถึงโยนได้”


“รู้ได้ไงว่าว่ายน้ำได้ ในประวัติมีบอกเหรอ โห ใครเป็นคนหาข้อมูลให้เนี่ย หาโครตละเอียดเลย แต่จะว่าไปในน้ำก็มีฉลามนิ โยนไปให้ฉลามกินก็ไม่ต้องถ่วงน้ำแล้ว”


“เรื่องในหนังไม่ใช่ข้อเท็จจริง”


“รู้ได้ไงว่าจำมาจากหนัง”


“ฉลามไม่จู่โจมมนุษย์ ยกเว้นกรณีพิเศษ”


“กรณีพิเศษแบบไหน”


“ถ้ามันเห็นคุณเป็นเหยื่อ เป็นผู้บุกรุก มีเลือดออกมาก มันถึงจู่โจม”


“ถึงตายมั้ย”


“ไม่”


“จริงเหรอ แต่ฉันเคยเห็นในหนังมันกัดคนขาดสองท่อนเลยนะ”


“เชื่อหนังอีกแล้ว”


“ก็แล้วจะให้ทำไงเล่า ฉันไม่มีประสบการณ์ขึ้นเรือออกทะเลมาก่อน เห็นในหนังเป็นงี้นี่ก็นึกว่าเรื่องจริง แต่ยังไงก็เหอะ ถ้านายหมีจะให้ฉันตายก็ขอตายแบบสบายๆหน่อยนะ”


“หูมีปัญหาหรือไงถึงพูดอะไรไม่จำ”   


“เปล่านะ ฉันไม่ได้หูมีปัญหาสักหน่อย ฉันแค่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ถึงนายหมีจะบอกว่า ถ้าฉันอยู่กับนายหมีจะไม่ตาย แต่คนอื่นก็อยากให้ตายใช่มั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มแว้ดขึ้นทันทีที่แว่วเสียงเข้มจากคนข้างกายก่อนจะเงียบวางแขนทั้งสองข้างทบกันบนราวเหล็กตรงกราบเรือแล้วเกยคางลงไปจ้องสายน้ำถึงเอ่ยต่อ  “เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันอยากอยู่กับแม่สองคนอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง พอแม่จากไปฉันก็คิดแค่ว่าจะอยู่เพื่อทำลายผู้ชายที่ทำให้แม่ลำบาก แต่ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าจะถูกใครตามฆ่า ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังดีใจที่เรื่องพวกนี้ทำให้ฉันได้เจอนายหมี ถึงฉันจะไม่รู้ว่าไว้ใจตัวเองได้มากแค่ไหน หรือนายหมีจะคิดว่าฉันเป็นแค่งานๆหนึ่งแต่นายหมีก็ทำให้ฉันรู้สึกมีค่าอยู่ดี”


ดงโฮรับฟังด้วยอย่างเงียบงัน นัยน์ตาคมแลผมเผ้าอันยุ่งเหยิงของคนอ่อนวัยกว่าที่ถูกลมเย็นพัดแรงเข้าใส่ เสี้ยวหน้าขาวด้านข้างมีความละม้ายคล้ายสตรีผู้เคยเป็นคู่ชีวิตนั้นปลุกเสียงหนึ่งในความทรงจำให้แว่วผ่าน


คุณทำให้ฉันรู้สึกมีค่ามากกว่าใครทั้งหมดที่ฉันเคยได้พบมา ฉันอยากอยู่กับคุณให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ถ้าวันหนึ่งฉันอยู่เคียงข้างคุณไม่ได้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันก็ขอให้คุณได้เจอใครสักคนที่เขาทำให้คุณรู้สึกมีค่าและคุณก็เห็นเขามีค่าเช่นกัน


...ครานั้นรอยยิ้มจากหญิงคนรักแย้มพรายด้วยความสุขสงบ ผิดกับเด็กคนที่อยู่ข้างเขาตรงนี้โดยสิ้นเชิง
...พินิจโดยละเอียดแล้วระหว่างทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนอกจากความคล้ายคลึงของใบหน้า...


ควานลินกระพริบตาจ้องระลอกคลื่นที่สะท้อนเงาของพระจันทร์พยายามกล้ำกลืนก้อนความทุกข์ทนที่จุกแน่นในอกไว้ไม่ให้แสดงออกด้วยคิดว่ามันคือความอ่อนแอที่ตนต้องขจัดออกไป หากดวงตาทั้งคู่กลับไม่อาจซ่อนความหม่นเศร้าของหัวใจไว้ได้


พลันบนศีรษะกลับสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของบางสิ่งที่วางลงมาและเมื่อหันมองไปก็เห็นมือของผู้มากวัยกว่าตบลงบนหัวเขาเบาๆ แม้สีหน้าจะแสนเย็นชาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นวิธีปลอบใจ


“พรุ่งนี้ผมจะพาคุณขึ้นฝั่ง”


“ขึ้นฝั่ง...ขึ้นฝั่งที่ไหนอะ”


“เดี๋ยวคุณก็รู้” สิ้นคำตอบเขาก็ชักมือที่ยื่นไปตบเบาบนหัวทุยของคนเป็นเด็กกลับมา


“นายหมีไปด้วยหรือเปล่า”


“ขึ้นอยู่กับนายจ้าง”


“บอกให้เขาจ้างนายหมีไปส่งฉันถึงจุดหมายเลยไม่ได้เหรอ”


เด็กหนุ่มย้อนถามหากครั้งนี้ผู้ช่วยชีวิตหลายคราไม่ตอบคำถามเพียงแหงนหน้าปล่อยให้แสงแห่งจันทร์อาบใบหน้า วินาทีนั้นความโหวงว่างก็แล่นมาในหัวใจให้รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนแผลตรงหางคิ้ว


“อยู่กับมันแทนผมแล้วกัน” อีกฝ่ายกล่าวลอยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนฟังย่นหน้าผากอย่างไม่เข้าใจสักพักก็เบิกตากว้างแล้วยิ้มออกมา


“นายหมีหมายถึงไอ้ตุ๊กตาหมีนั่นอะนะ”


“อยู่กับมันตอนผมไม่อยู่ก็เหมือนอยู่กับผม”


“ฮ่าๆ...เหมือนอยู่กับนายหมีเพราะมันพูดไม่ได้อะเหรอ โธ่เอ๊ย แบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก ถึงนายหมีจะไม่ค่อยพูดแต่ก็มีเลือดเนื้อไม่เหมือนตุ๊กตาซะหน่อย” เสียงพูดปนหัวเราะของคนอ่อนวัยช่างสดใส หากเพียงครู่ก็มีเสียงถอนหายใจตามมาด้วยการพูดต่อ “แต่ถ้านายหมีไปด้วยไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ มีตุ๊กตาที่นายหมีซื้อให้ก็ยังดีกว่าไปคนเดียว”


ถ้อยคำเจือยิ้มหากสะเทือนถึงความเศร้าลึกภายใน ดวงตากลมจ้องมองพระจันทร์ทรงกลดวดสวยไว้อย่างเงียบงันเช่นเดียวกับชายหนุ่มที่รับฟังทุกประโยคนั้นโดยไม่ปริปาก เพียงปล่อยให้คลื่นลมทำหน้าที่ของมันท่ามกลางความงามอันแสนเศร้าต่อไป
-------------------------------------

เสียงหวูดลั่นสนั่นเป็นสัญญาณแห่งการเทียบท่า เรือขนสินค้าลำใหญ่รอนแรมมาไกลค่อยเคลื่อนสู่ฝั่งอย่างเชื่องช้าขณะที่เด็กหนุ่มสวมชุดช่างประจำเรือได้แต่มองภาพเหล่านั้นผ่านบานหน้าต่างอยู่ในห้องพัก กระทั่งเห็นชายตัวใหญ่สวมชุดเดียวกันกลับเข้ามาเดินไปเปิดตู้หยิบกระเป๋าสะพายหลังที่มีข้าวของเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งและซองเอกสารอีกซองยื่นให้เท่านั้น


“ตามผมมา” เสียงเข้มออกคำสั่ง


คนเป็นเด็กแม้จะใจหายแต่ก็ยอมเดินตามไประหว่างทางคอยสำรวจภายในลำเรือเผื่อว่าจะมีโอกาสได้เห็นครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทั้งคู่ก็ขึ้นไปสมทบกับเจ้าหน้าที่อื่นตรงลานว่างบนลำเรือทำเสมือนเป็นหนึ่งในลูกเรือก่อนจะได้ฤกษ์ลงมาสู่ภาคพื้นเตรียมผ่านเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองสาธารณรัฐเกาหลี


“เอกสารของคุณอยู่ในซอง”


ผู้มากวัยกว่าตอบทำให้อีกฝ่ายรีบเปิดซองหยิบของในนั้นออกมา พอเห็นบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตของตัวเองก็ตกใจเพราะจำได้ว่าทิ้งบัตรประชาชนไว้ในห้องเช่า ส่วนพาสปอร์ตก็ไม่เคยทำมาก่อนเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่และคอยเดินตามหลังคนข้างหน้าที่นำทางไปต่อจนถึงรถเอสยูวีกลางเก่ากลางใหม่สีเทาจอดเทียบอยู่ยังจุดรับส่งโดยมีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำตาลสลับแดงและกางเกงยีนส์ สวมแว่นตาเลนส์ใสยืนยิ้มแป้นรออยู่


“โอ โอ้...มากันแล้วเหรอครับ” ชายแปลกหน้าผู้นั้นเอ่ยทักทายพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อขอเช็กแฮนด์แต่ไม่มีใครยอมจับมือด้วยจนสุดท้ายต้องชักมือกลับแต่ยังไม่หยุดปาก “คุณคงจะเป็นคุณไล ควานลินสินะครับ เป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบ”


ท่าทางแย้มยิ้มจนตาหยีไม่หยุดและไร้อาการสั่นกลัวต่อความเกรงขามของชายตัวใหญ่ดูราวกับสติไม่ค่อยเต็มสักเท่าไหร่ หากเด็กหนุ่มไม่วางใจเลยส่งสายตาไม่เป็นมิตรตอบกลับไป ทำให้ชายผู้นั้นผงกหัวไปมาเหมือนคิดอะไรได้บางอย่างก็หันไปเปิดประตูผายมือเชิญให้ขึ้นไป


“เชิญขึ้นรถเลยครับ ผมจะพาคุณไปส่งที่พัก” คนแปลกหน้าเชื้อเชิญทำให้คนอ่อนวัยสุดตรงนั้นหันไปหาพร้อมส่งสายตาละห้อยในเชิงถามว่าจะให้ไปหรือไม่ยังชายตัวใหญ่ที่อยู่ข้างๆ


“ขึ้นรถ” เสียงดุสำทับ แลแววตาคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปสบตากับสารถีที่กอดอกรออยู่ด้วยรอยยิ้มเหยียดที่มิใช่ยิ้มด้วยมิตรภาพ จึงจับกรอบประตูรถด้านหลังที่เปิดค้างไว้แล้วค่อยบอก “ผมยังไม่ไป”


“จริงเหรอ ยังไม่ไปแน่นะ” น้ำเสียงที่ร้องถามและดวงตากลับมีความหวังขึ้นมาล้นเปี่ยม


“ขึ้นรถ”


“ก็ได้”


คำสั่งที่ออกมาครั้งนี้ทำให้ผู้รอรับบัญชากุลีกุจอขึ้นไปนั่งเบาะหลัง พอเข้ามาถึงด้านในจึงได้รู้ว่ามีกระจกใสกั้นระหว่างคนขับและผู้โดยสารด้านหลัง โดยชายแปลกหน้ากับนายหมีที่เขาเรียกขานเลือกจะนั่งอยู่ด้านหน้าด้วยกัน  


เด็กหนุ่มเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาระหว่างคนทั้งคู่อยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีการพูดจาสนทนากันเลยเกิดความสงสัยนานาประการขึ้นมา


...ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน
...คงไม่ใช่ผู้ว่าจ้างเพราะผู้ชายคนนี้ดูไม่ค่อยมีฐานะพอจะจ้างอะไรใครมาทำงานแบบนี้ได้
...อาจจะเป็นคนขับรถ
...แล้วจะขับพาไปไหนกันล่ะ


คำถามมากมายผุดพรายในหัวอยู่อย่างนั้น หากไม่นานเจ้าตัวก็ชักเบื่อเลยผินหน้ามองออกไปยังทิวทัศน์ของพื้นที่ด้านนอกที่เขาไม่อาจรู้เลยว่าเป็นส่วนใดในเกาหลีเพราะอ่านตัวอักษรซึ่งเห็นตามทางไม่ออกแต่เท่าที่ดูจากสภาพแวดล้อมก็เดาได้ว่าที่นี่ต้องเป็นเมืองท่าและเมืองอุตสาหกรรมไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างที่เห็นในโทรทัศน์


รถยนต์เลี้ยวเข้าไปในละแวกที่มีอาคารพักอาศัยตั้งเรียงราย แล้วเลี้ยวเข้าไปในทางลาดสู่ชั้นใต้ดินข้างอาคารแห่งหนึ่งถึงทะลุขับขึ้นไปยังแหล่งชุมชนที่สร้างอาศัยอยู่บนเนินจนมาถึงหน้าประตูรั้วไม้แห่งหนึ่งจึงจอดรถ เมื่อผ่านรั้วเข้าไปก็ได้พบกับบ้านสีขาวชั้นเดียวหลังใหญ่ที่ค่อนข้างเก่าเพียงลำพังบนพื้นดินไร้ร่มเงาของต้นไม้


เด็กหนุ่มย่นหน้าผากต่อวิธีการเข้าบ้านของชายแปลกหน้าที่แค่กดรหัสธรรมดาก็เปิดประตูได้ จนเข้ามาถึงในตัวบ้านยิ่งรู้สึกประหลาดใจเพราะการตกแต่งรวมทั้งการเลือกใช้เครื่องเรือนก็ดูเหมือนบ้านคนปกติทั่วไป หน้าต่างทุกบานก็เปิดม่านให้แสงผ่านเข้ามาเหมือนไม่มีความลับใดให้ปกปิด ต่างจากห้องของนายหมีที่ทั้งมืดและไม่มีเครื่องไฟฟ้าอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตสักเท่าไหร่ลิบลับ


“คุณถอดชุดช่างออกแล้วพับไว้ตรงโซฟาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมคุยงานเสร็จจะมาเก็บให้ แล้วก็ห้องนอนของคุณอยู่ด้านในสุดนะครับ และถ้าอยากสำรวจบ้านก็เชิญนะครับ ตามสบายเลย” ชายเจ้าของบ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มและเดินล่วงหน้าหายเข้าไปในห้องหนึ่งในบ้านโดยมีคนตัวใหญ่ตามหลัง


จังหวะที่มือหนาจับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิดตามเข้าห้องไป กลับมีบางอย่างทำให้เขาหยุดหันไปหาเด็กที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น


“แค่เดินน่ะได้แต่อย่าแตะของอะไรในบ้านนี้โดยที่ผมไม่อยู่”


“อื้อ” อีกฝ่ายตกปากรับคำมองแผ่นหลังกว้างที่ลับสายตาไปถึงกวาดตาหันมองไปรอบบ้าน เกือบจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาแต่นึกถึงคำเตือนขึ้นมาเลยได้แต่ยืนนิ่งอย่างคนไม่รู้ว่าจะทำยังไงได้มากกว่านี้อีก


เสียงบานประตูไม้ปิดลงกรอบดังขึ้นพร้อมกับห้องปูด้วยพรมทอลายสีสันแปลกตาปิดพื้นไม้จนหมด ส่วนกลางห้องนั้นมีเพียงแล็บท็อปเครื่องหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยสีเข้มเกือบดำก็ปรากฏแก่สายตาผู้มาเยือน จากนั้นชายเจ้าของห้องชิงนั่งบนพื้นหน้าแล็บท็อปพลางมองอีกคนที่นั่งลงทีหลังซึ่งเอาแต่มองผนังเหมือนจับความผิดปกติได้ก็ยิ้มพราว


“ที่นี่แค่ไว้ทำงานชั่วคราว สัญญาเช่าแค่รายปี ผนังนั่นก็งานประกอบอย่างดีแต่จบงานก็รื้อง่าย ไม่ทิ้งร่องรอย” เจ้าของบ้านเอ่ยตอบแม้ไม่มีการถามด้วยเสียงเรียบเฉยต่างจากเมื่อครั้งยังมีเด็กผู้เป็นงานอยู่ด้วย และเมื่อนิ้วเรียวดึงแว่นถอดพับลงบนโต๊ะก็เผยให้เห็นนัยน์ตาไร้แววอารมณ์เสมือนหุ่นยนต์กำลังมองตรงมายังคนตรงข้าม


ดงโฮแลมาดสุขุมนุ่มลึกหากแฝงเร้นความอันตรายไว้เต็มอัตราศึก...การพบกันระหว่างเขากับคนตรงหน้าไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แค่หลังจากภรรยาเสียชีวิตเขาก็มุ่งหน้ารับทำงานเสี่ยงตายจากภาครัฐอย่างคนไร้นาม กระทั่งวันหนึ่งชายคนนี้ก็เดินเข้ามาหาในบาร์พร้อมยื่นข้อเสนอในการทำลายแก็งค์ฆ่ายาเสพติดที่แอฟริกามาให้ด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีพิษภัย


ผมมีงานที่คุณชอบรออยู่เพียบเลย ถ้าคุณรักการเสี่ยงตายและเงินจำนวนมหาศาล ผมและทีมงานฟรีแลนซ์อีกหลายชีวิตยินดีต้อนรับ เราจะไม่ครอบงำหรือบรรจุสังกัดใดให้ คุณมีอิสระที่จะรับงานจากใครก็ได้แต่ถ้ารับจากผมคุณไม่มีสิทธิพลาด เพราะถ้าพลาดนั่นหมายถึงผมจะเอาชีวิตคุณไปแทน


ชายผู้แจ้งนามแก่เขาว่า อง ซองอู ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้านี้คือนักล็อบบี้ยิสต์มือฉมังและนายหน้าตัวกลางคอยรับงานทั้งผิดและถูกกฎหมายโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ขอเพียงมีเงินว่าจ้างก็พร้อมจะทำทุกอย่างแก่นายจ้างตามความประสงค์


แม้จะเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในโลกสีดำ ทว่าแทบไม่มีประวัติเบื้องลึกอะไรของชายคนนี้ให้สืบเสาะสิ่งเดียวที่ค้นพบคือความอัจฉริยะที่ทำให้ไม่มีฝ่ายไหนกล้าต่อกรและไม่ยอมให้ถูกสังหาร


...หากเขาตายไวรัสบางตัวที่ปล่อยเลี้ยงมันในระบบของทุกประเทศจะกระจายหลักฐานการการกระทำความผิดและแผนการลับของแต่ละฝ่ายสู่ศัตรูและประชาชนผู้ถูกปิดหูปิดตาทันที


“งานส่งตัวนี้น่าเบื่อนะ...นายคงเบื่อมากแล้วสิ ถ้าไงรับงานอื่นไปมั้ย ฉันมีให้ทำ” ข้อเสนอใหม่ถูกหยิบยื่นมา ทว่าอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยเสียงเรียบเย็น


“ผมไม่รับงานคั่นงานที่ยังทำไม่สำเร็จ”


“งานนั้นมันจบตั้งแต่ที่ท่าเรือแล้ว...ที่นายช่วยเด็กคนนั้นขึ้นเรือมาถึงนี้ มันนอกเหนือจากงานที่รับไป”


“ถ้ามันจบแค่นั้นคุณคงไม่ให้เรือขนสินค้าของคุณที่ออกจากท่าไปแล้ววกกลับมาหรอก...คนอย่างคุณไม่ยอมเสียค่าปรับฟรีๆให้ใครอยู่แล้ว จริงมั้ย”


“นั่นแค่ขอความร่วมมือ นายจะไม่ทำก็ได้ แต่นายก็เลือกพาเด็กนั่นมาถึงนี่”


“ผู้ว่าจ้างต้องการให้เด็กคนนี้ปลอดภัย”


“ใช่ แต่นายไม่จำเป็นต้องตามขึ้นเรือมาด้วย ไอ้ส่วนนั้นน่ะไม่ได้เงินหรอกนะ”


“ผมไม่ได้ทำงานกับคุณเพราะเงิน”


“ไม่ทำเพราะเงิน ทำเพราะอยากเสี่ยงตาย...ไอ้เรื่องนั้นน่ะฉันรู้อยู่แล้ว แค่ผิดคาดนิดหน่อยที่นายอยากตามมาถึงนี่ ปกตินายไม่ทำงานอะไรที่ไม่ได้ดีลไว้แต่แรก ต่อให้เพิ่มเงินขนาดไหนก็ไม่ทำ...ทำไมอยู่ๆถึงยอมพาเด็กคนนี้มา หรือเพราะได้ทำงานกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค้ายาด้วยเป็นครั้งแรกเลยสงสาร หึ...ก็ว่าไม่ได้นะ เด็กคนนั้นดูเผินๆเหมือนเมียนาย จะผูกพันขึ้นมาก็ไม่แปลก ไอ้แบบนี้ดูท่าจะไม่ดีสักเท่าไหร่แล้วสิ”


ถ้อยคำพาดพิงถึงหญิงสาวผู้เป็นที่รักทำให้ดวงตาของชายตัวใหญ่กระตุกและวาวโรจน์ ขณะที่มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันจนแน่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธไว้ไม่ให้ปะทุ


“อย่าเพิ่งโกรธสิ...ฉันถามเฉยๆเองนะ”


“ผมเคยบอกก่อนรับงานแล้วนะว่า...งานต้องเสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าทำไม่ได้ ผมจะไม่รับงาน”


เจ้าของบ้านเลิกคิ้วสูงต่อสีหน้าเรียบเฉยแต่การตอบกลับตั้งใจเอ่ยเน้นทีละคำคล้ายจะฝังมันให้ลึกถึงสมองของผู้ฟังก็ยิ้มออกมาอีก


“ตอนนี้งานมันจบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ต้องขอบคุณที่นายสละเวลามาส่งโดยไม่รับเงิน แต่ต่อจากนี้ฉันจะหาคนอื่นมารับงานแทน จะหาใครมาทำแทนดีน้า” เขางอนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมากัดทำท่าคิดหนักอยู่พักหนึ่งถึงเหล่ตาหาคู่สนทนา “นายอยากทำต่อมั้ยล่ะ”


แม้จะแน่แก่ใจดีว่าชายตรงข้ามไม่มีวันทิ้งงานนี้ด้วยสังเกตเห็นสายตายามจ้องไปยังเด็กคนนั้นมีความอ่อนโยนแทรกตัวอยู่ในความเฉยชาก็ยังแกล้งถาม ทว่าเพียงเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบอันใดเพียงจ้องหน้าเขาไว้ด้วยสีหน้าทมึนทึงเลยหัวเราะร่วนออกมา


...นั่นปะไร...


“อยากทำต่อก็ดี ตาแก่หนังเหนียวเขี้ยวลากดินนั้นน่ะยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อให้นายรับงานส่งตัวต่อเชียวนะ...แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องการเด็กคนนี้ไปเพื่อวางตัวเป็นทายาทหรือแค่จะใช้ต่อชีวิตตัวเองเฉยๆกันแน่ ยิ่งตอนนี้ทายาทแต่ละคนก็หนีหายไม่อยากสานต่อกิจการ อาจจะใช้ทั้งต่อชีวิตและให้ทำหน้าที่ทายาทไปด้วยก็ได้ อย่างน้อยก็มีสายเลือดเออร์ซัสอยู่ในตัว”


ผู้สืบข้อมูลเพื่อใช้ในประโยชน์ส่วนตัวเปรยอย่างมีนัยยะ ดวงตาสบประสานกับตาเฉยชาของชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามจากนั้นจึงยื่นซองเอกสารสีเลือดหมูฉบับหนึ่งให้


“ของที่เด็กคนนั้นต้องใช้ตอนเข้าสหรัฐกับรายละเอียดสถานที่ส่งตัว แต่ไม่อ่านมันหรอก เขาต้องการให้นายพาเด็กคนนั้นไปส่งที่สนามบินในไมอามี่”


คนตัวใหญ่กว่ารับซองแล้วเทสิ่งของข้างในออกมาดูก็เห็นธนบัตรเงินสดสกุลวอน และดอลล่าร์สหรัฐมัดรวมกันไว้ปึกใหญ่ นอกจากนั้นก็เป็นตั๋วเครื่องบินสองใบระบุวันเดินทางอีกสามวันข้างหน้า พาสปอร์ตสหรัฐและเอกสารสำคัญอีกไม่กี่ฉบับ


“ควรเป็นเวกัส”


“ปกติก็ควรเป็นที่นั่นแต่ตาแก่เออร์ซัสเพิ่งเปลี่ยนสถานที่รักษาตัว เห็นว่าปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ที่เอาจากเด็กคนนั้นในโรงพยาบาลที่เวกัสไม่สำเร็จแต่ที่ไมอามี่เหมือนจะมีหมอคนหนึ่งเชี่ยวชาญทางนี้มาก คงกะเอาตัวไปถึงที่แล้วค่อยปลูกถ่ายจะได้สำเร็จซะที”


การคาดคะเนจากตัวแทนผู้รับงานไม่เคยมีความผิดพลาด นั่นทำให้ตาของคนฟังนิ่งเกิดกระตุกเสียเฉยๆ


“เฮ้อ...งานอะไรก็ไม่รู้น่าเบื่อเป็นบ้า ไอ้ฝ่ายตรงข้ามก็งกไม่เข้าท่า ไม่กล้าทุ่มเงินซะที ใช้แต่ลูกน้องตัวเอง ฝีมือรึก็แสนกระจอก ถ้าใจป้ำยอมทุ่มเงินอีกหน่อย ฉันจะได้หาคนเก่งๆมาเล่นนายซะหน่อย แต่ก็เอาเถอะ นานๆถึงจะมีงานสบายให้นายทำ เพราะงั้นช่วยปิดงานไวๆหน่อยล่ะ เดี๋ยวงานที่รับมาให้นายจะกลายเป็นหมันเอา”


“แค่นี้ใช่มั้ย”


“ใช่”


ชายหนุ่มผงกหัวต่อการตอบรับอย่างไร้อารมณ์เก็บของทั้งหมดใส่ซองตามเดิมแล้วลุกจากพื้นก้มมองเจ้าของบ้านที่ยังนั่งอยู่หน้าแล็บท็อปค่อยเปิดปาก


“ผมจะออกไปข้างนอก”


“อ้อ จะออกไปเหรอ เอาสิ นายเองก็ไม่ได้มาเกาหลีนานแล้วนิ ไปเปิดหูเปิดตาดูบ้านเกิดของปู่หน่อยก็ดี เดี๋ยวฉันดูเด็กคนนั้นให้” อีกฝ่ายว่าพลางยิ้มพรายอีกคราราวกับมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในใจ แต่ก่อนจะปล่อยผู้รับงานออกจากห้องไปก็เอ่ยทิ้งท้าย


“กับยายคนที่นายไปคุยด้วยวันนั้นน่ะ ถ้าอยากรับข้อเสนอล่ะก็ รอส่งตัวเด็กคนนั้นถึงมือเออร์ซัสก่อนค่อยรับแล้วกัน...อย่ารับงานซ้ำซ้อนมันเสียเครดิต”


ถ้อยคำแฝงความนัยซ่อนในน้ำเสียงสะกิดใจแก่คนที่เดินพ้นจากห้องเตรียมปิดประตู ดวงตาคมหรี่ลงแต่มิได้นึกสงสัยในการล่วงรู้เหตุการณ์ด้วยเป็นธรรมดาที่ชายผู้นี้จะเสาะหาทุกอย่างที่อยากรู้ หากสิ่งที่ติดในใจอยู่คงเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีนัก


ดงโฮกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วย่นหน้าผากนิดตอนเห็นว่าเด็กตัวสูงน่ารำคาญยังยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม กระทั่งตากลมของเด็กคนนั้นเหลือบมาเห็นเขาเข้าก็อธิบายเสียงอ่อยออกมาคล้ายเสียท่าอย่างไรอย่างนั้น


“นายหมีบอกเองนิว่าอย่าแตะอะไรก็เลยไม่กล้าแตะอะ” ผู้อ่อนวัยกว่าโอดครวญกลับเป็นเด็กสมวัยไม่เหลือท่าทางกระด้างแข็งเช่นครั้งแรกที่พบกัน และนั่นมีผลพอให้มุมปากด้านหนึ่งของคนฟังเผลอยกสูงคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเรียบตึง


“ผมจะออกไปข้างนอก”


“นายหมีจะออกไปไหนอะ ฉันไปด้วยได้เปล่า”


“ไม่”


“ทำไมล่ะ”


“ผมต้องไปคนเดียว”


“ไปคนเดียวเหงาออก มีฉันไปด้วยคนจะได้ไม่เหงาไง” คนเป็นเด็กเสนอแต่พอเห็นความดุทางสายตาก็ถอนใจส่งเสียงอ่อย “จะไปนานมั้ย”


“สักพัก”


“สักพักอีกล่ะ...สักพักของนายหมีนี่นานเป็นชาติทุกที บอกเป็นเวลานาทีได้ปะ”


“เดี๋ยวมา”


“ไอ้เดี๋ยวมาก็นานเหมือนกันแหละ เดี๋ยวอะไรไม่รู้ไปโครตนาน...ทำไมไม่บอกว่าไปนานล่ะจะได้จบเรื่อง”


“เข้าใจก็ดี” เขาตอบขณะถอดชุดช่างที่สวมทับมาตลอดออกเหลือเพียงเสื้อยืดแขนสั้นสีดำกับกางเกงยีนส์ จากนั้นก็พับมันไว้บนโต๊ะตรงโทรทัศน์แล้วเดินออกไปจนเกือบจะพ้นห้องนั่งเล่นอยู่แล้วถึงปริปาก


“โซฟานั้นน่ะนั่งได้ ไอ้พวกของตกแต่งหรืออะไรแปลกตานั้นล่ะอย่าได้แตะเชียว”


“ละทำไมไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้ยืนขาแข็งอยู่ได้...นี่...นายหมีออกไปข้างนอกก็อย่ามีแผลกลับมาล่ะ”


ควานลินบ่นไล่หลังได้แต่มองแผ่นหลังกว้างจนลับสายตาถึงยอมนั่งบนโซฟาไม่กล้าแตะต้องอะไรเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่ในห้องลับที่บ้านเกิด แต่การไม่มีอะไรให้ทำเลยระหว่างรอเจ้าตัวเลยขยับเปลี่ยนท่าไปนั่งหันเข้าหาพนักพิงแล้วชะเง้อคอมองบรรยากาศด้านนอกเพียงลำพัง


...การรอคอยช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเกินกว่าจะทำใจให้ชิน...


ฟากฟ้าผันสีตามเวลาที่ล่วงผ่าน จากฟ้าครามค่อยแซมแทรกด้วยสีแดงและแสดเหลืองตามด้วยสีม่วงหม่นมัว พลิกกลางวันสู่ค่ำคืนอย่างหมด ชั่วพริบตาแสงไฟจากโคมตรงรั้วและภายในบ้านก็สว่างวาบ กระนั้นคนเป็นเด็กก็ยังนั่งเท้าแขนกับพนักของโซฟามองข้างนอกรออยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาถึงหันควับกลับเข้าสู่ตัวบ้านถึงเห็นว่าเจ้าของบ้านถือรีโมทอยู่หน้าโทรทัศน์เครื่องเก่าในห้อง


ภาพบนหน้าจอปรากฏเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้า เมื่อเขม่นมองให้ละเอียดก็เห็นว่ามันเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องเดียวกับที่นายหมีเคยเอาให้ดูก็ระแวงขึ้นมาทันที


...ทำไมถึงเป็นหนังเรื่องนี้...
...ผู้ชายคนนี้ไม่น่าไว้ใจเลย...


“ผมไม่ค่อยชอบหนังการ์ตูน คุณเองก็ดูไม่เหมือนเด็กที่ชอบดูอะไรพวกนี้นะ แต่หมอนั่นกลับเลือกเรื่องนี้มา รสนิยมประหลาดจริงๆเลยเนาะ” ชายแปลกหน้าบอกพลางพลิกด้านหลังกล่องบรรจุแผ่นดีวีดีมาอ่านเรื่องย่อและกล่าวต่อ “ผมไม่ได้อยากรู้หรอก แต่เห็นเอง ละนี่ก็ค่ำแล้วคุณคงหิวล่ะสิ ผมจะเอาอาหารเย็นมาให้”


สิ้นคำฝ่ายนั้นก็เข้าครัวสักพักก็ยกถาดที่มีสเต็กเนื้อราดซอสแกรวี่ชุ่มฉ่ำเคียงด้วยมันบด ด้านข้างมีซุปครีมเห็ดสีขาวและตะกร้าหวายใบเล็กใส่ขนมปังบาแก็ตที่หั่นเป็นแผ่นพอดีคำกับเนยสด รวมทั้งน้ำผลไม้สีแดงสดในแก้วทรงสูงมาวางลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟา


ผู้อ่อนวัยกว่าปรายตามองเจ้าของบ้านสลับกับอาหารปรุงสุกส่งกลิ่นหอมฉุยตามไอความร้อนที่ลอยสูงเรียกเสียงในกระเพาะให้ร้องประท้วงด้วยความหิว หากความหวาดระแวงต่อผู้แปลกหน้าอันเป็นนิสัยติดตัวเพิ่งจะมายกเว้นให้เพียงนายหมีเลยนั่งเฉย


“ไม่กินเหรอ...อาหารพวกนี้...อร่อยนะ ผมสั่งเชฟมือหนึ่งปรุงมาให้...สูตรทุกอย่างเป็นความลับ ขนาดเครื่องปรุงยังเป็นความลับเลย”


อีกฝ่ายจ้องรอยยิ้มกว้างนั้นเขม็ง แม้จะหิวจนไส้กิ่วก็ไม่ยอมเขยื้อนมือออกไปหยิบอาหารแม้สักชิ้น เจ้าของบ้านกอดอกมองอยู่พักหนึ่งก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางเลื่อนนิ้วมือทำคล้ายจะหยิบขนมปังจากในตะกร้าขึ้นมาแต่สุดท้ายก็ชักมือกลับมา


“อยากชิมอยู่นะ แต่ไม่เอาดีกว่า มันไม่ได้ถูกเตรียมมาเพื่อผม” ผู้มากวัยสุดในบ้าน ณ ตอนนี้ยิ้มกริ่มถอยหลังไปยืนกอดอกอยู่ข้างโซฟาแล้วว่า “นี่ ผมไม่ค่อยชอบให้บ้านเงียบเท่าไหร่นะ พูดกับผมสักหน่อยจะเป็นไรไป ถามอะไรที่คุณอยากรู้มาก็ได้ ถ้าผมตอบได้ผมจะตอบ หรือนายหมีเขาสั่งคุณห้ามคุยกับผม โถ ผมไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า นายหมีน่ากลัวกว่าเยอะ”


การหว่านล้อมนั้นเมื่อประกอบกับท่าทางภาษากายก็ไม่ใคร่จะเป็นไปอย่างฉันท์มิตรนัก กระนั้นความสงสัยในหลายสิ่งก็ผุดขึ้นมาแต่ไม่มีเรื่องไหนใหญ่พอจะอยากรู้เท่าชื่อของนายหมีเลย


“บอกชื่อจริงเขาสิ” หลังชั่งใจอยู่พักนึงก็ถามออกมาคำหนึ่ง


“ชื่อ…จะให้ผมบอกชื่อคนที่คุณเรียกนายหมีน่ะเหรอ โอ้ ผมนึกว่าคุณจะถามอะไรอย่างอื่นซะอีก โอเค อย่าทำตาขวางขนาดนั้น ผมจะบอกให้ก็ได้...ชื่อจริงเขาก็คือ 201323311”


เพียงคำตอบเป็นตัวเลขหลุดจากปาก เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วจ้องหน้าเจ้าของบ้านเขม็งอย่างไม่พอใจด้วยรู้สึกเลยว่าตนเองกำลังถูกหลอกอยู่


“โธ่ อย่าทำหน้าตาอย่างนั้นสิครับ นั่นเป็นชื่อจริงของเขาในทางตัวเลขที่ผมจำได้ ส่วนชื่อทางตัวอักษรน่ะ คงต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้จำ” ผู้แก่กว่าแถลงไขด้วยรอยยิ้มกว้าง “นี่ ท้องคุณร้องเสียงดังมาก ถ้าหิวแต่กลัวว่าผมจะใส่ยาในอาหาร จะออกไปซื้อของกินข้างนอกมั้ยล่ะ ร้านมันอยู่หน้าตึกที่เราขับรถลอดมาน่ะ เดินไปไม่ถึงสิบนาทีหรอก ขืนรอ 201323311 กลับมาคุณได้หิวตายพอดี”


ข้อเสนอนั้นมีเงินสดและกระดาษโน้ตเขียนรหัสประตูบ้านส่งมาให้ ยิ่งเห็นคนอ่อนกว่ายังนิ่งก็ยักไหล่ยกถาดอาหารจากโต๊ะขึ้นมาถือเดินเข้าครัว แต่ยังตะโกนบอกออกมาให้ได้ยิน


“โอเค...ตามใจ คุณจะรอเขากลับมาก็รอล่ะกัน ผมไปดีกว่า”



เด็กหนุ่มมองเงินสดกับกระดาษเขียนตัวเลขด้วยลายมือบนโต๊ะอยู่นานสองนานเพื่อชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดีเพราะไม่เห็นวี่แววว่านายหมีจะกลับมาเสียทีแถมท้องก็หิวจนปวดไปหมดด้วยยังไม่มีอะไรเลยตกถึงท้องเลยตั้งแต่ช่วงสาย สุดท้ายก็ตัดสินใจรวบทุกอย่างบนโต๊ะที่ได้รับมายัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินออกไปใส่รองเท้าแล้วออกจากบ้านไป

---------------------แวะคุยกันก่อน---------------------------

กลับมาเขียนแล้วหลังจากไม่คิดว่าจะเขียนต่อ แต่ตั้งใจว่าจะเขียนไม่กี่บทจบก็เลยเอาเสียหน่อย เวลาอยากอ่านจะได้มีอ่าน ขอบคุณคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปก็คอมเม้นไว้สักนิดนึง หรือติดแท็กในทวิต #ficlovetoxical ถึงแม้เราจะคิดว่าตัวเองอาจต้องอ่านคนเดียว เพราะไม่มีใครอ่านฟิคบรรยายหันไปหาฟิคแชทกันหมด แต่เราก็ยังอยากเขียนฟิคที่เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์ และหวังว่าจะเขียนบท 5 มาลงได้ในเร็ววัน


You Might Also Like

3 Comments

  1. เอ็นดูควานลิน ตอนเถียงนายหมีนี่คงปากงุ้ยๆนายหมีไม่​อยากบีบปากน้องบ้างเลยเหรอ ทางนี้อ่านไปเอ็นดูไป แล้วไหนบอกไม่สนใจแต่ดูแลเขาดียิ่งกว่าอะไรเลยนะ
    พิองก็ชอบปั่นรู้อยู่​ว่าน้องระแวงยังจะแกล้งอีก
    ตอนนายหมีอยู่กับคนอื่นกับตอนนายหมีอยู่​กับน้องมันคนละฟีลกันเลย ตอนทำงานนิ่งๆน่ากลัวๆแต่ตอนอยู่กีบน้องนี่เห็นถึงรังสีความเอ็นดูแผ่ออกมา

    ตอบลบ
  2. คิดถึงนายหมี 🥺

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ10/3/63 14:14

    สงสารน้อง นับวันยิ่งจะผูกพันกับนายหมี ทำเป็นเข้มแข็ง แต่ในใจนี่เปราะบางมากๆนะ ที่ถามนายหมีว่าจะไปไหน กลับตอนไหน นั่นคือในใจไม่อยากห่างจากเค้าเลยสินะเอ็นดู ละนั่นหนูจะออกไปไหน นายหมีมาไม่เจอจะทำยังไง แต่ก็แอบอยากเห็นน้องโดนนายหมีดุ จะกลัวบ้างมั้ยรึจะเจื้อยแจ้วใส่จนนายหมีรำคาญ รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณไรท์ที่กลับมาต่อ ดีใจมากกกกกก

    ตอบลบ