LOVE TOXICAL : HOLIN CHAPTER 5

01:19


อาคารสูงสามชั้นฉาบสีน้ำตาลอมแดงมีป้ายการ์ตูนรูปหมูในชุดพ่อครัวถือช้อนจิ้มซี่โครงหมูเรียกได้ว่าเป็นร้านซี่โครงหมูย่างเจ้าอร่อยยอดฮิตของคนในท้องถิ่นกวางหยาง ด้วยรสชาติเข้มข้นชุ่มฉ่ำของน้ำซอสและซี่โครงที่ร่อนร่วนละลายในปากทำให้มีลูกค้าทั้งเข้ามารับประทานในร้านแน่นขนัดและยังมีลูกค้าอีกจำนวนไม่น้อยที่สั่งอาหารนำกลับบ้าน


ชายตัวใหญ่ที่ยืนหิ้วถุงน้อยใหญ่พะรุงพะรังด้วยมือข้างเดียวเข้าไปรับถุงกระดาษประทับตราร้านตามลำดับคิว ก่อนจะเดินลิ่วไปตามเส้นทางที่มีผู้คนพลุ่กพล่าน


แม้ดงโฮจะไม่ชอบการอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากนัก อีกทั้งยังรู้เส้นทางของกวางหยางเป็นอย่างดีด้วยเคยมากบดานที่นี่ระยะหนึ่ง แต่เพราะคร้านจะต่อสู้กับบรรดาคู่อริจากงานอีกทั้งยังใช้เวลากับการซื้อของนานมากแล้วเลยจำใจเดินเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อให้ยากต่อการถูกโจมตี


ความเป็นจริงเขาไม่ต้องลำบากนั่งรถโดยสารประจำทางถ่อมาในย่านการค้าด้วยรู้ดีว่า ชายผู้เรียกง่ายๆว่า นายหน้าจัดหางาน ต้องตุนอาหารไว้ในเซฟเฮ้าส์อยู่แล้ว แต่ไอ้ของประเภทเดียวกับที่ใช้อุดปากเด็กนั่นให้เงียบคงไม่มีแน่นอนเลยจำใจต้องออกมา


ครั้งนี้เขาแค่ตรวจดูว่ามันเป็นขนมนำเข้าที่เจ้าตัวชอบหรือมีส่วนประกอบใกล้เคียงกันก็กวาดซื้อมาหมดแทนที่จะคำนวณปริมานเหมือนทุกที เพื่อลดโอกาสการฟังอีกฝ่ายจ้อไม่หยุดเพราะขนมหมดเช่นตอนอยู่บนเรืออีก


...ถึงจะไม่รู้สึกรำคาญมากเท่าช่วงแรกแต่พอได้ยินมากเข้าก็คร้านจะฟังเหมือนกัน...


ฟ้ามืดม่วงแทรกซ้อนครองพื้นสีแทนสีครามสว่างเจิดจ้ามีประกายแสงแห่งดวงดาวกระจายทั่วดูงดงาม แต่คนตัวใหญ่ไม่คิดจะแหงนมองแค่ก้าวไปยังป้ายประจำทางตามเส้นทางที่เคยคุ้น ทว่าการพัฒนาเมืองในปีสองปีนี้ที่เกิดขึ้นทำให้รอบข้างเต็มไปด้วยไซด์ก่อสร้าง


เขาเดินฝ่าความเงียบเปลี่ยวใต้ไฟทางสลัวไปเพียงลำพัง ยินเสียงฝีเท้าก้าวติดตามจากเบื้องหลังด้วยใจนิ่งสงบก่อนจะเลี้ยวหายเข้าตรอกมืดระหว่างตึก สักครู่ก็มีชายฉกรรจ์สองคนออกจากที่ซ่อนวิ่งตามเข้าไปเจอทางตันแต่ไม่พบใครสักคนก็งงเป็นไก่ตาแตกเลี้ยวไปทั่วโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายใช้มีดยึดปีนข้ามรั้วสูงของด้านหลังอพาร์ทเม้นต์ไปถึงป้ายรถประจำทางเรียบร้อย


ชายหนุ่มยืนรอรถประจำทางร่วมกับหญิงชายคู่หนึ่ง ระหว่างนั้นดวงตายังคงสอดส่ายจับสังเกตรอบตัวอย่างระแวดระวังกระทั่งมีนกพิราบสีเทาตัวหนึ่งบินโฉบมาอยู่เหนือหัวจึงเหลือบมองตามการเคลื่อนไหว ถึงเห็นมันบินมาเกาะแนวขอบกระเบื้องที่ล้อมพุ่มดอกไม้ด้านหลังป้ายรถประจำทาง


ตาคมหรี่ลงอย่างสงสัยด้วยรู้วิสัยของนกพิราบดีว่ายามค่ำคืนนี้คือเวลาหลับนอนของพวกมัน เจ้านกน้อยเกาะอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหนราวกับรอคอยให้ผู้พบเห็นเดินมาใกล้และเมื่อมันเห็นเขากรายใกล้ก็คายบางสิ่งทิ้งไว้แล้วบินจากไป


วัตถุทรงแท่งสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเท่าหลอดกาแฟมีตัวเลขนูนต่ำสลักโดยรอบนอนนิ่ง แต่คนเห็นยังไม่หยิบมันมาดูในทันทีแค่ดึงผ้าเช็ดมีดจากในกระเป๋าออกมาใช้แทนถุงมือคีบมันขึ้นมาดูก็รู้ได้ว่าเป็นการสื่อสารจากฝ่ายไหน แต่เขายังไม่มีเวลาพอจะถอดรหัสเลยเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินกลับไปขึ้นรถประจำทางสายที่กำลังรอแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าเพื่อกลับเซฟเฮ้าส์ตามความตั้งใจเดิม
-----------------------------------------------------
สายลมเย็นพัดมาพาแมกไม้ให้แกว่งไกวส่งเสียงแทรกกลางความเงียบสงัด  ท้องฟ้ายามถูกความหม่นมัวแห่งค่ำคืนโรยตัวลงครอบคลุมทุกตารางนิ้วบนโลกนั้นมืดมิด หากยังดีที่มีแสงไฟจากเสาริมทางที่ช่วยให้มองเห็นสิ่งรอบข้าง


ควานลินยืนอยู่หน้าประตูรั้วข้างรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่ตนใช้โดยสารพลางหันรีหันขวางมองแนวรั้วทอดยาวของบ้านแต่ละหลังในบริเวณนั้นซึ่งบ่งบอกได้ถึงความกว้างของพื้นที่ เส้นทางที่สัญจรสวนไปมาแบ่งกันคนละเลนโดยฝั่งหนึ่งติดริมผาจึงมีราวกั้นกันตกยาวสุดสายตา


เด็กหนุ่มเดินจากหน้าบ้านไปเกาะราวกั้นค่อยๆชะโมงมองลงไปยังเบื้องล่างก็เห็นแสงจากป้ายร้านสะดวกซื้อห่างออกไปไม่ไกลนักเสียแค่ไม่มีบันไดให้เดินลงไปได้โดยตรงต้องอาศัยเดินไปตามทางรถเท่านั้น


แม้จะจำคำของชายตัวใหญ่ได้ว่าไม่ควรทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะกลับมาเสียที...เมื่อความหิวบวกเข้ากับความรู้สึกจากการคาดคะเนระยะทางของร้านสะดวกซื้อด้านล่างที่ดูไม่ไกลนัก เลยคิดว่าเดินตามทางรถไปเหมือนตอนเช้าก็คงไม่เป็นอันตรายอะไรเลยตัดสินใจไปต่อ


สองเท้าสวมรองเท้าผ้าใบสีดำเก่าซีดนั้นเลาะเลียบตามทางถนนไปเรื่อยและเมื่อใดที่เจอทางแยกเขาจะยึดแสงไฟจากข้างล่างในการเลือกเส้นทางไปต่อโดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ทางเหล่านั้นนำเขาเข้าไปสู่เขตป่ากว่าจะรู้ว่าหลงทางก็ในตอนที่ยืนอยู่บนลานกว้างหน้าทางสองแพร่งที่มองเข้าไปในแต่ละช่องทางก็มืดมิด


ในตอนนั้นไม่มีกระแสลมหมุนเวียนด้วยรอบด้านถูกภูเขาและไม้ใหญ่หนาทึบล้อม แม้แต่แสงไฟก็ฉายมาไม่ถึงยังจุดที่ยืนอยู่แต่เสียงของการแหวกใบไม้และเหยียบหินบนพื้นดินหลายต่อหลายครั้งที่แว่วใกล้เข้ามาทำให้สัญชาตญาณแจ้งเตือนการถอยหนี แต่ยังไม่ทันจะได้ออกวิ่งร่างผอมกลับถูกแขนใครสักคนล็อกแน่นจากด้านหลัง...ความตระหนกทำให้ลืมวิธีป้องกันตัวเท้าถีบพื้นดิ้นรนสะเปะสะปะ จนรวบรวมสติกลับมาได้ถึงจับแขนและไหล่ของคนล็อคคอแล้วบิดตัวทุ่มอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้น


หมัดลุ่นซัดใส่ลงไปไม่ยั้งตามด้วยการลงส้นเท้ากระทืบย้ำบนตัวคู่ต่อสู้ตามที่เคยร่ำเรียนมา ความที่คิดว่าคงมีผู้ร้ายคนเดียวจึงไม่เฉลียวใจกว่าจะรู้ว่าคิดผิดถนัดก็ตอนที่ถูกถีบเข้ากลางหลัง


กายผอมเซถลาไปข้างหน้าอยู่พักหนึ่งก็ตั้งหลักยืนได้ ในตอนนั้นเองที่หมัดจากใครอีกคนหนึ่งซัดตรงเข้าจมูกอย่างแรง จากนั้นทั้งหมัดและเท้าก็รัวกระหนำเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน เจ้าตัวเลยทำได้แค่ตั้งการ์ดไม่ให้ตนเองถูกทำร้ายในจุดสำคัญโดยไม่ทันระวังอยู่ๆลำคอก็ถูกบางสิ่งคล้ายเชือกรัดแล้วดึงอย่างแรงส่งผลให้ร่างสูงล้มหงายหลังหัวกระแทกหิน


ความมึนแล่นวาบไปทั่วทั้งศีรษะจากนั้นเรือนผมก็เริ่มเปียกชุ่มจากของเหลวที่ไหลริน ทว่าเขาไม่มีโอกาสเอื้อมมือไปสัมผัสเพราะถูกพื้นรองเท้าแข็งกระทืบเข้าใส่อย่างไม่ปราณีปราศรัยเลยได้แต่นอนตัวงอยกแขนที่ชาไปหมดกันหน้าเอาไว้


ความปวดร้าวถาโถมเข้ามาเพียงครู่ก็กลับกลายเป็นชาจนไม่รู้สึกอันใดอีก ช่วงเวลาที่สติเริ่มรางเลือนฝ่าเท้าของคนเหล่านั้นกลับถอยห่างแต่มีเสียงลากของเหล็กแว่วมาแทนที่ ดวงตากลมเผยอตามองฝ่าความมืดก็ไม่เห็นอะไรเลยแปลกที่ใบหน้าของนายหมีในความทรงจำกลับลอยมาพร้อมกับความตายที่คืบคลานเข้ามาให้รู้สึก


ครั้งนี้คนบนฟ้าตั้งใจให้ตายจริงๆแล้วล่ะมั้ง...

เห็นมั้ยล่ะว่าพอไม่มีนาหมีอยู่ใกล้ๆ ความตายก็กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว..

...ถ้านายหมีเห็นศพเข้าในสภาพนี้ต้องโมโหแน่เลยที่อุตส่าห์สอนวิธีป้องกันตัวแต่เขาทำไม่สำเร็จ...


ความคิดเหล่านั้นสะท้อนก้องในใจไปพร้อมกับนัยน์ตาที่หนักอึ้งจนลืมแทบไม่อยู่ ทว่าในวินาทีนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องเอะอะดังขึ้นตามด้วยเสียงฝีเท้าปนเสียงกระแทก ในไม่ช้าเสียงโวยวายก็กลับกลายเป็นเสียงร้องโอดโอยอย่างคนบาดเจ็บสาหัส ช่วงเวลานั้นดำเนินไปกระทั่งได้ยินเสียงเหล็กกระทบพื้นปูนเป็นอย่างสุดท้ายทุกอย่างก็คืนสู่ความเงียบ


เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงการช้อนประคองลำคอตามด้วยอะไรสักอย่างก็กดทับลงมาด้านหลังศีรษะตนเองพร้อมกับฝ่ามือใหญ่จะตบเบาตรงข้างแก้มเพื่อเรียกสติให้คงอยู่


“ได้ยินผมมั้ย”


“อื้อ” คนเจ็บส่งเสียงในลำคอมีรอยยิ้มน้อยๆจากความอุ่นใจผุดขึ้นมา ก่อนจะถูกฉุดให้ลุกจากพื้นและถูกจัดแจงท่าทางจนขึ้นไปคร่อมขี่บนหลังกว้างของผู้ช่วยเหลือได้สำเร็จ


“อย่าหลับ ถึงบ้านค่อยหลับ”  เสียงดุสั่งการพลางย่อตัวลงราวกับกำลังหยิบอะไรสักอย่างบนพื้นแต่ฝ่ายที่เหลือสติรับรู้เพียงไม่มากอ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะรับรู้ ส่งผลให้คนแบกวิ่งขึ้นเนินกลับสู่เซฟเฮ้าส์ด้วยความเร็วสุดฝีเท้า


ดงโฮเดินผ่านประตูเข้าไปในตัวบ้าน ตาคมตวัดจ้องชายหนุ่มที่ยืนกอดอกรออยู่ตรงโถงทางเดินนั้นมีแววอาฆาตเรียกให้มุมปากของฝ่ายถูกมองยกสูงพร้อมกล่าวถึงรถที่จะเข้ามารับ


หากเขาไม่ได้หยุดฟังยังแบกเด็กบนหลังเข้าไปในห้องนอน ค่อยๆวางร่างผอมลงบนเตียงพลางเปิดไฟสว่างถึงดึงเสื้อผ้าที่สวมคลุมร่างผอมออกจนหมด ฝ่ายผู้อ่อนวัยกว่าแม้จะรู้สึกว่าร่างกายถูกสัมผัสจับต้องแต่ความเจ็บปวดจนชาผสมอาการมึนของศีรษะจึงไม่มีเรี่ยวแรงพอจะถามแค่ปล่อยสติให้หลุดลอยไปเพียงเท่านั้น
------------------------------------------
ดวงตะวันสาดแสงแห่งรุ่งอรุณทะลุผ่านหน้าต่างและม่านสีขาวพาให้ทั้งห้องอาบสีเหลืองทองเรืองรอง บนเตียงนอนที่อยู่กลางห้องนั้นมีร่างผอมสภาพสะบักสะบอมนอนอยู่โดยด้านหลังศีรษะที่แนบหมอนมีผ้าพันแผลปิดทับรอยเย็บ ขณะที่ใบหน้าก็ปูดบวมน่วมแม้แต่ริมฝีปากก็มีรอยเลือดแห้งแตกเป็นสะเก็ด เมื่อมองต่ำจากหน้าลงมาจะเห็นแขนข้างขวามีเฝือกอ่อนห่อหุ้ม ส่วนแขนข้างซ้ายที่พรุนไปด้วยรอยเข็มตรงเส้นเลือดบนหลังมือมีเข็มจากสายน้ำเกลือแทงอยู่


เจ้าของบ้านเดินเข้ามากอดอกยืนพิงหลังกับผนังด้านหนึ่งของห้องนอน ตาคมทอดมองไปยังหนึ่งในมือดีของตนเองที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เฝ้าเด็กที่ยังหลับไม่รู้สติด้วยฤทธิ์ยาและอาการบอบช้ำของร่างกายพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบ


การต่อสู้ที่ทิ้งร่องรอยให้วุ่นวายต้องติดต่อทีมเก็บกวาดมาจัดการ อีกทั้งยังต้องเหนื่อยประสานงานเส้นสายส่งเด็กนี่ไปวอร์ดพิเศษของโรงพยาบาลซึ่งเปิดรับรักษาเฉพาะคนไข้กิตติมศักดิ์เงินหนาที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นความลับเพื่อสแกนสมองนั้นช่างน่ารำคาญ ยังดีที่เด็กคนนี้ไม่มีอาการกระทบกระเทือนทางสมองกระนั้นก็ยังมีเรื่องให้คิ้วขมวดอยู่


เมื่อคืนมือดีของเขาอยู่กับเด็กคนนี้ไม่มีห่าง ถึงจะเป็นห้องปลอดเชื้อที่ต้องสวมอุปกรณ์ยุ่งยากก็ยังอุตส่าห์เข้าไปอยู่ดู แม้สีหน้าท่าทางจะเรียบเฉยไร้แววอารมณ์เช่นเคยแต่การปฏิบัตินั้นแตกต่าง  


ทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะแยแสอะไรต่องานที่นอกเหนือจากการตกลงกันไว้แต่แรกเริ่ม...การเฝ้ามองความตายกลายเป็นเรื่องธรรมดา หากในเวลานั้นเขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยแท้จริง


“นอนหน่อยมั้ย” เขาถามขึ้นแล้วสบตากับชายบนเก้าอี้ที่เหลียวหลังมาหา..แววตาของทั้งคู่เหมือนผิวน้ำของมหาสมุทรยามสิ้นคลื่นลมจนไม่อาจหยั่งถึงความนึกคิดที่เก็บซ่อน แต่คนตัวใหญ่มีอาการแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจออกมาผ่านเสียงที่เย็นชา


“ไม่จำเป็น”


“แหม ไร้เยื่อใยจัง”


“การพูดดีด้วยไม่ใช่ข้อตกลงของงาน"


"โธ่เอ๊ย เรื่องนั่นฉันรู้หรอก ที่บอกให้ไปนอนก็แค่กลัวทำงานต่อไม่ไหว"


"ผมไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น"


"ถึงเป็นทหารก็ใช่ว่าจะฝืนร่างกายได้ตลอดนี่"



"คุณอยากให้ผมพักงั้นสิ หึ ผมจะนอนลงยังไง ในเมื่อมีคนพยายามหาความสนุกด้วยการทำให้งานของผมมีปัญหา” เสียงเข้มแต่เย็นเยียบเอ่ยคำตาคมจ้องหน้าคนข้างหลังไม่วางวาย “ถ้าคุณชอบความสนุกนัก งั้นเชิญคุณจ้างคนที่เก่งที่สุดมาเลยเพราะผมจัดการได้แน่ ถ้าคนหน้าเงินอย่างคุณคิดว่าการเสียเงินเพื่อความสนุกมันคุ้มค่าก็เอาไอ้คนที่เก่งที่สุดที่คุณมีมาได้เลยแต่อย่าหวังว่าคุณจะล้มผมได้”


ความราบเรียบบนดวงหน้าคมคายละม้ายรูปปั้นของประติมากรไร้ฝีมือที่ไม่อาจเติมอารมณ์ความรู้สึกกระทบใจผู้ทัศนาทั่วไป ทว่าฝ่ายผู้ผ่านโลกอันหม่นมัวเป็นอาจิณกลับสัมผัสได้ถึงความโกรธขึ้งในทุกถ้อยคำ


...ถึงจะเป็นผู้ว่าจ้างแต่ความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่เคยมีลำดับชั้นจึงไม่มีความเกรงใจแต่อย่างใด...


ชายเจ้าของบ้านกระพริบตาแล้วเหยียดยิ้มตรงมุมปากที่ดูราวกับกำลังแสยะเหยียดเสียมากกว่าไม่ตอบเพียงมองผ่านหน้าคนตัวใหญ่ไปยังผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไสวตามแรงลม


“ทำงานให้ฉันตั้งนาน ยังไม่รู้อีกหรือว่าฉันไม่ทำงานการกุศล”


ถ้อยคำแฝงความนัยจากคนตรงข้ามนั้นหลุดออกมาให้ได้ยิน ส่งผลให้อีกคนชะงักฉุกคิดใคร่ครวญตามคำนั้น กระทั่งสมองตกผลึกอะไรได้ดวงตาของผู้ครุ่นคิดก็ปรายมองยังผู้พูดที่กำลังขยับปากต่อความอีกครา


“คนอย่างฉันกับตาแก่นั่นไม่มีหัวใจหรอก ต่อให้เป็นทายาททางสายเลือด คนรู้จัก คนคุ้นเคยหรือผู้มีพระคุณ ถ้าไม่มีประโยชน์อะไรให้ใช้งานก็ไร้ความหมาย ก็เหมือนเด็กคนนี้ถ้าไม่มีอะไรเหมาะสมเป็นทายาทอย่างมากก็ได้เป็นแค่เครื่องผลิตเลือด”


ตัวกลางผู้รับงานให้เสริมความเพื่อเพิ่มความเข้าใจต่อสถานการณ์แก่ลูกจ้าง ขณะที่ดวงตาจดจ้องอยู่กับเงาของนกที่สะท้อนอยู่บนผ้าม่านด้วยความสงสัยแต่สักพักก็ยิ้มด้วยรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ปริปากพูดต่อ


“ทางนั้นจะให้เลื่อนไฟลท์บินไปสัปดาห์หน้า แต่ระหว่างนี้ฉันไม่รู้นะว่าตาแก่นั่นจะจ้างนอกรอบอะไรอีก เพราะงั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็รู้ไว้ด้วยว่า มันเป็นงานไม่ใช่แค่ความสนุกส่วนตัว อ้อ แล้วอย่าลืมล่ะ จะรับงานจากใครเองก็ได้แต่ตอนลงมือต้องหลังจากส่งตัวเด็กนั่นเสร็จแล้วเท่านั้นนะ”


คนตัวเล็กกว่าย้ำเตือนด้วยรอยยิ้มกว้างแต่แววตากลับนิ่งไม่ยินดียินร้าย ก่อนจะผละถอยจากผนังเดินผ่านประตูห้องออกไปด้านนอก ขณะที่อีกคนหันกลับมามองเด็กบนเตียงในสภาพเจ็บปางตายพลางคิดพิจารณาอะไรบางอย่างในใจไปเพียงลำพัง
--------------------

วันคืนล่วงผ่านไปถึงสองครั้งสองครากว่าที่เด็กหนุ่มบนเตียงจะได้ฤกษ์ฟื้นคืนสติ ชั่วนาทีที่เปลือกตาขยับลืมขึ้นมองเพดานสีขาวที่เปิดไฟสว่างจ้าเลยตาพร่าไปชั่วขณะ ก่อนที่อาการปวดระบมทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกายก็แล่นเข้าใส่เลยไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจ หากความคิดที่วนเวียนอยู่กับผู้คอยช่วยชีวิตจึงกวาดตามองหาแต่เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าใจก็โหวงว่าง กระทั่งได้ยินเสียงบานประตูลั่นเอี๊ยดสองตาถึงได้เห็นคนที่ใจถามหาเดินเข้ามาข้างใน


เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นนั่ง หากพอได้ยินเสียงเข้มสั่งให้นอน หลังผอมก็แนบลงกับเตียงโดยอัตโนมัติ ขณะนั้นสายตาก็เอาแต่จดจ้องอยู่กับการเคลื่อนไหวของชายตัวใหญ่ที่หิ้วถุงใบใหญ่วางลงบนโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ถัดจากปลายเตียงไปไม่ถึงเมตร


ความเงียบงันถูกแทนที่ด้วยเสียงตึงตังสลับกับเสียงถุงพลาสติกเสียดสีอยู่หลายนาทีกว่าที่ชายผู้นั้นจะเดินกลับมาชะโงกมองเขาตรงข้างเตียง


“คุณนอนนาน” เสียงเข้มเอ่ยห้วนเช่นเคยแต่นั่นกลับทำให้คนอ่อนวัยกว่าหลุดยิ้มแล้วถามกลับด้วยเสียงแหบแห้ง


“นานแค่ไหนกันเชียว”


“สองวัน”


“สองวัน สองวันเลยเหรอ นอนตั้งสองวันแต่ไม่ยักรู้สึกเลยว่านอนนานขนาดนั้น นายหมีโกหกฉันหรือเปล่าเนี่ย”


แค่ได้ยินจำนวนวันผู้ฟังก็บ่นออกมาตามประสาโดยไม่ยอมละสายตาจากชายอีกคนที่ไม่ยอมตอบคำถามแค่เดินไปหยิบตะกร้าใส่อะไรบางอย่างก็กลับมายืนข้างเตียงดังเก่า


มือใหญ่หยิบหมอนที่วางกองบนเก้าอี้มาพาดตรงหัวเตียงแล้วสอดแขนเข้าใต้คอและหลังของคนผอมเพื่อประคองให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนอนขึ้นมานั่งตะแคงพิงหมอน เมื่อจัดแจงคนเจ็บให้อยู่ในท่าที่ต้องการถึงเดินอ้อมเตียงไปอีกฝั่งเพื่อทำความสะอาดบาดแผลและตรวจดูความเรียบร้อยของรอยเย็บนั้น


คนอ่อนวัยกว่ารู้สึกได้ถึงความเปียกชุ่มของก้อนสำลีที่เช็ดตรงหลังศีรษะแต่ด้วยความที่มันไม่ได้เจ็บอะไรจึงนั่งนิ่งต่อไปจนได้ยินเสียงเข้มดังข้างหู


“ใครให้คุณออกไป” การถามนั้นมีแววดุแต่คนเป็นเด็กยังไม่ยอมตอบในทันทีเพราะอยากหันไปมองหน้าคู่สนทนาให้ชัดๆเสียก่อน หากคางถูกมือใหญ่ตรึงไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเลยจำใจพูดทั้งที่ไม่เห็นหน้า


“ก็ฉันหิว แล้วนายหมีก็ออกไปตั้งนานไม่เห็นกลับมาซะที”


“มีอาหารให้อยู่แล้วทำไมไม่กิน”


“ก็นายหมีบอกเองว่าไม่ให้ฉันแตะอะไรในบ้าน แล้วเพื่อนนายหมีก็เอาแต่พูดเหมือนใส่ยาไว้ในอาหารแล้วใครจะไปกล้ากิน”


“คุณก็เลยออกไปข้างนอกเองเนี่ยนะ”


“ไม่ได้ออกไปเองนะ เพื่อนนายหมีเป็นคนบอกให้ออกไปได้ ฉันออกไปมองหน้าบ้านเห็นร้านสะดวกซื้อมันอยู่ใกล้ๆ นึกว่าเดินตามทางรถไปตอนเช้าก็น่าจะถึง” เจ้าตัวพยายามอธิบายเสียงอ่อย หากผู้ฟังไม่ได้พูดอะไรนอกจากทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการล้างแผลลงถังขยะพร้อมใช้ไสตะกร้าเปล่าไว้ใต้เตียงแล้วปล่อยมือพ้นจากศีรษะที่จับไว้มั่นให้เป็นอิสระ


“เขาไม่ใช่เพื่อนผม”


“อ้าว...ไม่ใช่เพื่อนนายหมีเหรอ แต่เขาให้นายหมีกับฉันมาอยู่ด้วย แถมยังดูรู้เรื่องนายหมีตั้งเยอะ ไอ้แบบนั้นเขาไม่เรียกเพื่อนเหรอ”


คนเป็นเด็กถามพยายามเขยิบสะโพกพลางใช้มือข้างที่มีสายของเหลวปักคาในเส้นเลือดยันตัวให้หันมาหาฝ่ายตรงข้าม อาการร้าวระบมก็เข้าเล่นงานถึงขั้นที่ต้องกัดฟันในทุกครั้งที่ขยับตัวแต่แทนที่จะห่วงตัวเอง ตากลมยังเอาแต่กวาดมองหารอยแผลของอีกฝ่ายด้วยกลัวว่าจะมีร่องรอยจากการต่อสู้ประทับอยู่


“หยุดมองได้แล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไร”


“ไม่เป็นไรแน่นะ” เจ้าตัวถามย้ำเพียงเห็นตาดุจ้องกลับเท่านั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เพื่อนนายหมีก็คง...อย่าบอกนะว่าเขาเป็นคนจ้างนายหมีให้พาฉันมานะ”


“ไม่”


“เอ้า...ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ ตกลงเขาเป็นใครกันแน่”


“เขาคือนักรับจ้าง”


“นักรับจ้าง...ไอ้นักรับจ้างที่ว่านี่คืออะไรอะ”


“คนที่รับทำงานทุกอย่างถ้าเงินถึง เขาเป็นทั้งนายหน้าคนกลางที่จัดสรรคนให้ไปจัดการงานตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง และนักล็อบบี้ยิสต์ที่ต่อรองเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเอง เขาอันตรายกว่าคนที่ปองร้ายคุณหลายเท่า เรามีพันธะกันแค่เรื่องงานและผลประโยชน์ที่ผมต้องได้ นอกนั้นเขาคือแปลกหน้า...เหมือนผมกับคุณ”


“ไม่เหมือนกันนะ...นายหมีไม่ใช่คนแปลกหน้าของฉันสักหน่อย” จากประโยคข้างท้ายที่ได้ยินเข้าเมื่อครู่ทำให้เจ้าตัวโต้กลับทันที


“คุณไม่รู้กระทั่งชื่อผม”


“งั้นก็บอกชื่อนายหมีมาสิ”


“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”


“เนี่ย...ไอ้ไม่จำเป็นต้องรู้กลับมาอีกล่ะ”


“ในเมื่อรู้ ทำไมต้องให้ผมย้ำบ่อยๆ”


“เออๆ ฉันไม่ถามชื่อนายหมีก็ได้ แต่ว่านะ ถ้าการรู้ชื่อแปลว่ารู้จักกัน งั้นฉันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าของนายหมีสิ เพราะนายหมีรู้ชื่อ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน แถมยังรู้ด้วยว่าถ้าฉันอยู่กับนายหมีจะไม่ตาย”


“คุณคืองาน...ไม่ใช่คนรู้จัก”


“งานงั้นเหรอ” คนอ่อนวัยทวนถามขณะจ้องเงาสะท้อนของตนในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามนิ่งราวนาทีก็เอ่ยต่อ“แต่งานของนายหมีมีแค่ส่งตัวฉันให้ถึงมือนายจ้างให้ปลอดภัย แล้วทำไมถึงสอนวิธีป้องกันตัวให้ฉันล่ะ”


ชายหนุ่มแลคิ้วเรียวเข้มที่เลิกสูงบนดวงหน้านวลที่เต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างอย่างสงสัยใคร่รู้ถึงเบื้องลึกของจิตใจที่ซ่อนไว้มิดเม้น ความเงียบเกือบจะครอบงำบรรยากาศภายในอีกคราแต่คนอ่อนกว่าชิงส่งเสียงขึ้นมาก่อน


“แต่สอนก็ดีแล้วแหละ วันนั้นน่ะฉันสู้กับคนพวกนั้นได้ด้วยนะ สู้ด้วยวิธีเดียวกับที่นายหมีสอนฉันเป๊ะเลย”


“โดนกระทืบปางตายแบบนั้นเรียกสู้ได้ที่ไหน”


“ก็มันมากันตั้งหลายคนนี่ นายหมียังไม่เคยสอนฉันสู้กับพวกหมาหมู่มาก่อนด้วย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษนายหมีแหละที่ไม่ยอมสอนให้”


“คุณไม่ต่อยอดเอาเอง”


“เรียนแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็เจอของจริงเนี่ยนะจะให้ต่อยอดอะไรได้” เด็กช่างจ้อไม่ลดละพลางนึกถึงสิ่งที่สงสัยก็เอ่ยต่อ “แล้วนี่นายหมีรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ตรงนั่นอะ”


สิ้นคำนั้นคนตัวใหญ่เลยหยิบบางสิ่งในกระเป๋ากางเกงโยนมาบนตัก พอก้มมองก็เห็นเครื่องติดตามที่เคยสวมติดข้อมือมาตลอดอยู่ตรงนั้น


“โหย ไอ้เราก็นึกว่านายหมีมีตาทิพย์ ที่ไหนได้หาเจอเพราะเครื่องติดตามนี่เอง...เออ...แล้วไอ้พวกที่มาทำร้ายฉันมันเป็นไงบ้าง ถ้ามีคนมาเจอเรื่องจะถึงตำรวจหรือเปล่า”


“มีคนเก็บกวาดให้แล้ว”


“คนเก็บกวาด...คนเก็บกวาดนี่คือพวกเดียวกับที่ฉันเคยเห็นในหนังปะ...แบบตอนที่มาเฟียฆ่าคนตายก็จะให้ทีมเก็บกวาดมาจัดการเช็ดล้าง ทำลายหลักฐานน่ะ”


“ใช่...แต่มันไม่ได้ง่ายเหมือนในหนังขนาดนั้นหรอกนะคุณ”


“ในหนังก็ดูไม่เห็นง่ายเลย กว่าจะลบรอยเลือด กว่าจะลากศพไปทิ้ง...เออ ลากศพ ไอ้แล้วพวกนั้นมีใครตายมั้ย”


“ไม่”


บทสนทนายืดยาวจบลงในตอนที่คนตัวใหญ่ตอบคำห้วนใส่แล้วเดินออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตา แม้จะร้องเรียกหาก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะได้ยินหรือสนใจเลยทำได้แค่นั่งรอกระทั่งอีกฝ่ายยกข้าวต้มและยาใส่ถาดมาวางให้บนตัก


“กินข้าวแล้วกินยาซะ”


เมื่อถูกสั่งเจ้าตัวก็หลุบตามองชามข้าวสลับกับแขนทั้งสองข้างของตัวเองอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก็เงยหน้ามองผู้ที่อุตส่าห์ยกอาหารเข้ามาให้ตาละห้อยแล้วโอดครวญเสียงแหบแห้ง


“มือแบบนี้จะให้ตักข้าวยังไงอะ”


อีกฝ่ายมองคนเจ็บบนเตียงที่ยกมือข้างใส่เฝือกกับอีกข้างที่ถูกเข็มเจาะจนเนื้อขาวเขียวเป็นจ้ำให้ดู แต่ความที่ไม่อยากดูแลเจ้าตัวในตอนที่ได้สติด้วยลึกๆในใจเริ่มตระหนักได้ถึงความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นระหว่างกันเลยนิ่งเสีย


“ฉันไม่ได้อยากให้นายหมีป้อนหรอกนะ แต่มือข้างที่ขยับได้มันมีเข็มคาอยู่ ถ้าตักข้าวแล้วเลือดมันดันเข็มออกมาในสายมันต้องไล่เลือดอีก ถ้าไล่เลือดไม่ออกก็ต้องเจาะใหม่ ไอ้เจาะใหม่มันวุ่นวายแถมเจ็บด้วย” ฝ่ายต้องการความช่วยเหลือมองความเงียบงันอยู่พักหนึ่งก็ยกเอาประสบการณ์ที่เคยได้รับจากการขายเลือดมาใช้ต่อรอง


ทว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นตามความคาดหวัง ความเงียบยังเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับเลยคิดได้ว่าที่มาเวลาตนเองเจ็บก็ไม่เห็นต้องพึ่งพาใครและจะเป็นภาระให้อีกฝ่ายตลอดก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อจนใจเพราะกลัวถูกรำคาญเข้าให้ เจ้าเด็กช่างจ้อเฉพาะกับคนตรงหน้าเลยหยิบช้อนมาตักข้าวเอาเองแต่ความเจ็บมีผลให้มือสั่นเลยทำช้อนร่วงอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า


สุดท้ายฝ่ายมองอยู่นานก็ถอนใจทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพลางยกถาดอาหารของคนป่วยมาวางบนตักตนและจับช้อนคนข้าวต้มในชามไปมาเพื่อคลายความร้อนก่อนจะตักข้าวยื่นมาจ่อถึงริมฝีปาก


“ถ้าพูดระหว่างกิน ผมจะกรอกข้าวทั้งหมดนี้ใส่ปากคุณ” คำสั่งปนข่มขู่ดูเย็นชาเหลือรับ กระนั้นคนเป็นเด็กก็หากลัวไม่กลับมองคนดุพลางยิ้มแต้จนตาหยีอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อนนอกจากแม่ผู้ล่วงลับ


...ถึงจะไม่อยากเป็นภาระ แต่เวลานายหมีตอบรับการร้องขอก็เหมือนมีน้ำเย็นรดรินในหัวใจที่แห้งแตกให้ชุ่มชื้น...


ในตอนนั้นที่รอยยิ้มที่บ่งบอกความสุขอย่างเปิดเผยของเด็กตรงหน้าปรากฏแก่สายตา ความรู้สึกที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเกิดขึ้นยามได้เห็นหญิงคนรักแย้มยิ้มกลับบังเกิดขึ้นในหัวใจ


น่าแปลกที่เขาไม่ยักเห็นเงาแห่งความทรงจำถึงภรรยาซ้อนทับกับเด็กตรงหน้า ทั้งที่ตลอดมาเวลาเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นในอดีตโดยมีใครอื่นทำให้หวนคิดถึงวันเก่าเป็นต้องเห็นคนรักอยู่แทนที่ และต่อให้หน้าไม่เหมือนกันเลยก็ยังจินตนาการว่าใครคนนั้นเป็นเธอเสมอ ทว่ากับคนที่มีใบหน้าละม้ายกันตรงนี้กลับไม่ทำให้เขาเผลอคิดว่าเป็นคนเดียวกันเลยสักที


...หรือจะเป็นเพราะทั้งคู่ต่างมีเบื้องหลังที่ต่างกันอย่างมากอยู่...


เด็กหนุ่มงับช้อนที่มีข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวทีละคำอย่างเชื่องช้า ขณะที่ตากลมเอาแต่มองคนป้อนไม่วางวาย แม้จะเป็นการป้อนอาหารจากอย่างไร้จิตวิญญาณและแข็งกระด้างต่างจากคราวที่แม่ป้อนข้าวให้ตอนเจ็บป่วย ถึงอย่างนั้นในใจกลับรู้สึกอุ่นอวลราวกับมีมวลแห่งความสุขเข้าสมานรอยรั่วจากความทุกข์


สำหรับเด็กที่เคว้งคว้างอยู่ในโลกใบใหญ่จนด้านชา เพียงได้น้ำใจคอยประโลมไว้ก็เริ่มมีชีวิตชีวา ทุกครายามอยู่ใกล้ชายคนนี้กลับรู้สึกปลอดภัยเหมือนไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ต้องหวั่นกลัว แม้จะรู้แก่ใจดีว่า อีกไม่นานต้องลาก็ยิ่งอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีนายหมีเอาไว้ให้มากที่สุด


....เพราะชีวิตของเขาในชาตินี้อาจไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของตามปรารถนา ก็ขอเพียงได้มีความทรงจำให้นึกถึง


“ที่นี่มีห้องพยาบาลด้วยเหรอ” หลังกินข้าวหมดชามเงียบๆตามคำสั่งไม่ทันไรก็เปิดปากถามขึ้นมาอีก


“ไม่”


“ไม่มี แล้วไอ้สายน้ำเกลือพวกนี้มาจากไหน”


“โรงพยาบาล”


"โรงพยาบาล...นี่พาฉันไปโรงพยาบาลมาก่อนเหรอ แล้วเขาไม่ถามแย่เลยเหรอว่าฉันโดนอะไรมา"


"เขาจัดการให้"


"จัดการให้นี่คือยังไง เคลียร์กับตำรวจแล้วก็ให้รักษาตัวเงียบๆได้ไรงี้ปะ แบบว่ามีวอร์ดพิเศษสำหรับคนแบบเราๆไรงี้"


"คุณน่ะดูหนังเยอะเกินไปแล้ว"


"แต่มันมีจริงมั้ยล่ะ"


"มี"


"เห็นมะ...ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างในหนังจะไม่จริงซะหน่อย เออ ละวันนั้นที่นายหมีบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักพักนั้นน่ะ นายหมีไปไหนมาเหรอ ลงเรือล่องจากน่านน้ำเกาหลีไปไหนหรือไงถึงไปนานขนาดนั้น” เด็กที่ไม่ชอบความรู้สึกอ้างว้างยามต้องรอคอยคนตัวใหญ่กลับมาหาทวงถามเช่นทุกครา หากฝ่ายตรงไม่ตอบแค่ลุกจากเก้าอี้เดินไปหิ้วถุงใบใหญ่จากบนโต๊ะมาวางให้บนตัก


ควานลินขมวดคิ้วอย่างสงสัยค่อยๆใช้มือแหวกปากถุงเพื่อดูว่ามีสิ่งใดอัดแน่นจนถุงพลาสติกแทบขาด แต่เมื่อเห็นขนมที่นายหมีเคยซื้อมาให้กินตอนอาศัยในห้องนายหมีเข้าก็รู้สึกได้ถึงความตีบตันในลำคอ ยิ่งรื้อไปเจอไอศครีมวัฟเฟิลของโปรดที่เคยกินทุกวันหลังอาหารเย็นเข้ามือก็สั่นขึ้นมา


“ของที่ทำให้คุณเงียบมันหายาก” เสียงเข้มเอ่ยอย่างเรียบเฉยเช่นสีหน้าดังเคย ทว่าถ้อยคำนั้นกลับทิ่มแทงตรงจุดแห่งความอ่อนแอที่ซ่อนลึกในใจทำให้ดวงตาของคนอ่อนวัยที่เงยมองหน้าเขาอยู่เริ่มแดง ขณะเดียวกันนั้นมือซึ่งช้ำบวมจากการต่อสู้และน้ำเกลือก็คีบห่อไอศกรีมวัฟเฟิลออกมา


“นายหมีไปหาซื้อมาให้ฉันเหรอ”


“มีซี่โครงหมูอบด้วย แต่คุณนอนนานเลยเหลือแค่นี้”


“ซี่โครงหมูที่ว่าคือซี่โครงหมูอบซอสแพงๆพวกนั้นปะเหรอ"


"ใช่"


"โหย ละทำไมนายหมีไม่ปลุกเล่า ฉันน่ะชอบซี่โครงหมูอบมากเลยนะ ตอนแม่อยู่ปีหนึ่งจะได้กินสักที ยิ่งนายหมีซื้อมาด้วยเนี่ย ไอ้ซี่โครงนั่นมันต้องอร่อยมากแน่ๆ โอ๊ย ทำไมไม่ปลุกกันนะ” จากที่ซึ้งน้ำใจอยู่ตะกี้พอรู้ว่ามีของอร่อยอื่นอีกแต่อดกินก็โวยลั่นแทบลืมเจ็บ หากคนซื้อทำหูทวนลมแทรกถามไปแทนเสียนี่


“จะกินมั้ย”


“กินอะไร...กินซี่โครงหมูเหรอ ว้าว นายหมีจะออกไปซื้อมาให้ฉันกินใหม่เหรอ เอาสิ เอา" 



“ผมหมายถึงของในมือคุณ”



“อ้อ...หมายถึงไอ้นี่อะนะ...ฉันกินได้เหรอ”


“กินแล้วเงียบจะให้กิน”


“งั้นกินนะ” เด็กหนุ่มตอบรับต่อข้อต่อรองรีบฉีกซองกัดไอศกรีมเข้าปากคำใหญ่แบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้น


ความตะกละตะกลามยัดเข้าปากเหมือนหิวโหยคล้ายลืมสิ้นถึงความเจ็บของร่างกาย เล่นเอาฝ่ายช่วยป้อนข้าวให้มาก่อนหน้าอ่อนใจ


“ทีอย่างนี้กลับไม่กลัวเลือดย้อนเข้าสายน้ำเกลือ”


“ไอศกรีมมันไม่เหมือนข้าวต้มนิซะหน่อย ของเย็นๆมันไม่ลวกมือ ไม่ต้องคอยเกร็งมือด้วย” ทั้งที่ยังเคี้ยววัฟเฟิลเสียเต็มปากก็ยังเถียง


“ไหนว่ากินแล้วจะเงียบ”


“ก็นายหมีพูดเหมือนฉันโกหก”


“หยุดเถียงแล้วกินเข้าจะได้กินยานอน”


“กินแล้วนอนเลยได้ไง อาหารไม่ย่อยกันพอดี”


“ทุกทีก็นอนเลย”


“เพราะนอนเลยนี่แหละตอนเช้าฉันถึงปวดท้องตลอด ถ้าไงขอฉันออกไปแปรงฟันกับดูทีวีข้างนอกให้อาหารมันย่อยสักหน่อยสิ”


“คุณคิดว่าคุณมาเที่ยวหรือยังไง ถึงได้เที่ยวทำอะไรตามใจไปหมด” เสียงนั้นเอ่ยเรียบแต่ฟังเย็นเยียบจับใจ


เด็กช่างจ้อชะงักมองหน้าคมอันเฉยเมยแต่แววตากระด้างแข็งเฉกเดียวกับที่เคยได้เห็นเวลาเรียกร้องอะไรมากเกินไปเลยหดหัวห่อไหล่ปิดปากเงียบ ฝ่ายผู้ใหญ่แม้จะรำคาญแต่เห็นท่าทางหงอยเหงาคล้ายลูกหมาโดนดุนานเข้าก็ลอบถอนหายใจ


...เด็กคนนี้นี่มันจริงๆเลย...


“อยากแปรงฟันนักก็จะเอาเข้ามาให้แปรง”


“เอามาแปรงในนี้เผลอทำน้ำหกไม่แย่เหรอ เดี๋ยวต้องมาเปลี่ยนผ้าปงผ้าปูอีก ให้ออกไปแปรงข้างนอกระหว่างดูทีวีดีกว่านะ” ถึงจะทำท่ากลัวก็ยังไม่หยุดหาเรื่องออกไปจากห้องนอนแถมยังแบมือขอยากับน้ำเข้าให้


“คุณเดินไม่ไหวหรอก”


“รู้ได้ไงว่าไม่ไหว ให้ลองดูก่อนมั้ยล่ะ”


การท้าทายอย่างมั่นใจนั้นทำให้ชายหนุ่มคร้านจะทัดทานต่อความดื้อด้าน กายใหญ่ก้าวถอยไปตรงราวเหล็กแขวนน้ำเกลือปล่อยคนเจ็บให้อวดเก่งปีนจากเตียงลงมาเอง หากในเสี้ยวนาทีที่ยังเหยียบพื้นไม่เต็มเท้าอาการปวดระบมก็เข้าเล่นงานคนอ่อนวัยจนแข้งขาอ่อน โชคดีที่อีกคนเดาเหตุการณ์นี้ไว้เลยเอื้อมไปคว้าตัวไว้ได้ทัน


“ผมเตือนคุณแล้วนะ” เสียงเข้มเอ็ดใส่ “กลับขึ้นเตียงไป”


“ขอไปห้องน้ำก่อนไม่ได้เหรอ ปวดจะแย่แล้ว” สุดท้ายเจ้าตัวก็เฉลยสิ่ง


“ฮะ”


“ฉันปวดฉี่...ขอเข้าห้องน้ำอย่างเดียวก็ได้”


สุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมเฉลยถึงสาเหตุที่อยากออกไปข้างนอก คนแก่กว่าถึงขั้นขบกรามเพื่อสะกดความรำคาญไว้ไม่ให้แสดงออกมากเท่าที่ใจรู้สึกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากหยิบถุงน้ำเกลือบนมาถือไว้ถึงย่อตัวสอดสองแขนใต้ข้อพับและรอบเอวผอมแล้วอุ้มจนตัวลอยจากพื้น


วินาทีนั้นคนเจ็บตกใจถึงขั้นสะดุ้งตัวเกร็งแต่ไม่กล้าดิ้น สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเก็บแขนทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ห้อยถ่วงน้ำหนัก...ตากลมเหลือบหนวดเขียวของไรหนวดบนหน้าคมในระยะประชิดไม่วางตา โดยทุกครั้งที่ร่างใหญ่เคลื่อนไหวก็รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้ออันแข็งแรงใต้เสื้อยืดจึงไม่กลัวการตกหล่น


ความร้อนผ่อนถ่ายสู่ผิวเนื้อเย็นเฉียบลงลึกถึงหัวใจภายในให้รู้สึกอุ่นขึ้นทีละน้อย กระทั่งเข้ามาถึงห้องน้ำและเห็นสภาพปางตายมีเสื้อตัวยาวชายคลุมถึงเข่าปกปิดก็เกิดหน้าร้อนขึ้นมา


...ข้างล่างไม่มีกระทั่งบ็อกเซอร์สวมอยู่เลยด้วยซ้ำ...

...ก็ว่าทำไมถึงรู้สึกโล่งนัก...

แล้วทำไมต้องอาย ก็ผู้ชายเหมือนกัน...


“จัดการเอาเองล่ะ”


“อืม” ครั้งนี้คนเจ็บรับคำรวดเร็ว เมื่อถูกปล่อยตัวลงพื้นโดยมีมือจับประคองไหล่ไว้ก็หันไปมองดูก่อน พอเห็นว่าอีกคนหันหน้าไปอีกทางถึงกล้าจัดแจงทำธุระส่วนตัวแม้จะทุลักทุเลไปหน่อยก็ตาม


“เสร็จแล้ว”


“นั่ง” ผู้คอยประคองดันร่างผอมให้นั่งบนชักโครกแล้วหันไปรองน้ำจากก๊อกตรงอ่างล้างหน้าใส่แก้วและหยิบสบู่มาล้างมือให้อย่างเบามือจนสะอาดถึงค่อยรองน้ำบีบยาสีฟันใส่แปรงใหม่เอี่ยมยื่นมา เด็กหนุ่มก็รับแปรงสีฟันมาแปรงฟันอยู่เป็นนานกว่าจะกลั้วคอบ้วนปากลงพื้นกระเบื้อง


หลังจากส่งคืนอุปกรณ์ทั้งหมดคนแก่กว่าก็หยิบมันไปล้างทำความสะอาด คิดชั่งใจระหว่างคว่ำแก้วตรงอ่างถึงคำขอก่อนหน้าอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก


“ผมจะให้คุณดูถ้าคุณเงียบ”


“ให้ดู...ดูทีวีอะเหรอ”


“ใช่”


“ให้ดูจริงดิ”


“ข้อแม้คือเงียบ...ทำได้มั้ย”


“โหย เรื่องนั่นง่ายออก ปกติฉันก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้ว"



"ไม่ชอบพูดแต่คุณพูดกับผมไม่หยุดปากซะที" 



"ฉันไม่ได้พูดกับทุกคนสักหน่อย อย่างผู้ชายคนนั้นฉันก็ไม่พูดด้วย ฉันพูดมากแค่กับนายหมีคนเดียวนั้นแหละ แต่ถ้านายหมีให้ดูทีวีนะ เดี๋ยวฉันรูดซิปปากให้เลย รับรองจะไม่ให้มีเสียงสักแอะ” คนเจ็บยืนยันพลางยกมือทำท่ารูดซิปปิดปากตัวเองทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหันกลับมาหา


“ถ้าผมได้ยินเสียงคุณอีกผมจะเอาผ้ายัดปากคุณแทน”


“อื้อ” เสียงในคอตอบรับอย่างกระตือรือร้นก่อนทั้งตัวจะลอยจากพื้นจากการถูกอุ้มด้วยชายคนเดิม


เสียงฝีเท้าเหยียบบนพื้นเรียกให้เจ้าของบ้านละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านมองไปยังต้นเสียง เพียงเห็นผู้อาศัยชั่วคราวทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็เลิกคิ้วสูงแต่ไม่พูดจาอันใด เช่นเดียวกับคนเจ็บที่พอเห็นว่ามีใครนั่งตรงนั้นอยู่ก่อนเลยแหงนหน้าหาคนอุ้มมาตาละห้อย


“ไม่ต้องกลัว ผมทำคุณเจ็บขนาดนี้ผมไม่ซ้ำจนตายหรอก”


แม้บอกออกไปเช่นนั้นแต่ร่างผอมยังพยายามกระเถิบตัวถอยหนี เจ้าของบ้านเลยยักไหล่ไม่ถามอะไรเพิ่มแค่หยิบรีโมทมากดหาช่องภาษาจีนจนเจอเข้ากับช่องที่ฉายาภาพยนตร์กำลังภายในเก่าเข้าเรื่องหนึ่งเลยเปิดทิ้งไว้ให้ ส่วนตัวเองก็ลุกไปหาลูกจ้างเฉพาะกิจ


“ทางนั้นอยากคุยด้วย” บทสนทนาภาษาเกาหลีถูกนำมาใช้แทนภาษาจีนที่ใช้สื่อสารเหมือนทุกทีด้วยมีจุดประสงค์ไม่ให้เด็กตรงโซฟารับรู้


“นั่นหน้าที่คุณ”


“คนที่อยากคุยด้วยไม่ใช่ตาแก่นั่นหรอกนะ”


“งานนี่คุณรับมา...ไม่ใช่ผม”


“จะปฏิเสธอย่างนั้นสิ”


“ข้อตกลงนอกรอบเป็นหน้าที่คุณ”


“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นผลประโยชน์ของเด็กคนนี้น่ะเหรอ”


“ใช่”  


“ได้” คำตอบรับต่างสั้นห้วน หากเจ้าของบ้านกลับยกมุมปากอย่างมีเลศนัยแอบแฝง กระนั้นผู้สังเกตเห็นกลับปล่อยผ่านแทนการถามและเตือนตัวเองให้เพิ่มความระมัดระวังกับงานครั้งนี้ เพราะรู้จักชายตรงหน้าดีว่าต่อให้เป็นผู้ป้อนงานให้มานานหลายปีจะมีปฏิสัมพันธ์ฉันท์มิตรใดให้วางใจ


...โลกของคนเลวนั้นทะมึนมืดเกินกว่าความภักดีจะมีค่าเทียบอำนาจเงิน

...ความแตกต่างระหว่างเขากับคนเหล่านี้คงอยู่ตรงที่ว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยใหญ่ที่สุดของชีวิต

...การได้ท้าทายพระเจ้าโดยใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันคอยล้างผลาญพวกรกโลกต่างหากคือเป้าหมาย


เสียงกรนบ่นพึมพำจากใครคนหนึ่งดึงเขาให้หลุดจากภวังค์ก้มมองหาต้นเสียงถึงเห็นว่า เด็กบนโซฟาถูกฤทธิ์ยาครอบงำจนเผลอหลับก็พ่นลมผ่านปากอย่างเอือมระอาแล้วอุ้มพาทั้งร่างผอมและขวดเจาะสายน้ำเกลือกลับเข้าห้อง


เมื่อวางคนเจ็บลงบนเตียงได้ก็ดึงผ้าห่มคลุมกาย จากนั้นจึงวางหลังมือทาบบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิคนเจ็บว่าไม่มีไข้จึงชักมือกลับ จังหวะนั้นเองที่เขาเห็นบางสิ่งวูบไหวอยู่นอกหน้าต่างจึงหันไปหาถึงเห็นนกพิราบสีขาวสะอาดปล่อยบางสิ่งจากกรงเล็บลงบนขอบหน้าต่าง


นิ้วใหญ่หยิบชิ้นส่วนคล้ายข้อต่อพลาสติกขนาดเท่าหลอดน้ำมีตัวเลขสลักรอบเช่นชิ้นส่วนวันก่อนที่เขาถอดรหัสตัวเลขได้ว่าเป็นรหัสสำหรับใช้เข้าสู่ระบบของเครือข่ายอะไรสักอย่างซึ่งเขายังไม่รู้แน่ชัด


หากคราวนี้ตัวเลขเหล่านั้นดูเหมือนเป็นพิกัดสถานที่เลยลากเก้าอี้ไปนั่งตรงโต๊ะทำงานเพื่อจะพินิจพิเคราะห์มันให้ถี่ถ้วนอีกทีโดยไม่ลืมหยิบตุ๊กตาหมีไปสอดใต้แขนให้เด็กที่หลับพริ้มกอดนอนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา


------------------แวะคุยกันก่อน-----------------------

ขอตัดตอนมาลงก่อนเพราะยาวมาก ฮือ มีคนอ่านตั้งสามคนแสนแฮปปี้ 5555555 เราจะอยู่กันไปจนจบเลยใช่มั้ยคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ รบกวนคอมเม้นหรือติดแท็ก #ficlovetoxical ในทวิตสักนิดนึงจะได้รู้ว่าอ่านอยู่ แล้วก็
ชีวิตของไอติมน่ะมันสลับซับซ้อนกว่าที่คิดนะ แต่ใช่ว่าจะไม่มีแสงสว่างรออยู่ที่ปลายอุโมงค์ เพราะติมมีนายหมีไงล่ะ 



You Might Also Like

0 Comments