LOVE TOXICAL : HOLIN CHAPTER 6

12:25



ยามตะวันทอแสงพาอรุณรุ่งมาเยือนแทนคืนค่ำ คนเจ็บยังคงหลับสนิทมีเพียงกายไหวสะท้านขึ้นลงแรงจากอาการหายใจไม่คล่องด้วยภาพฝันอันโหดร้ายตามหลอกหลอน ขณะที่ผู้อยู่เฝ้าจนเช้ายังคงนั่งตรงเก้าอี้คอยวางมือทาบหน้าผากเป็นครั้งคราวเพื่อยุติอาการเหล่านั้นให้ตามความเคยชิน
 


ฤทธิ์ยาที่ฉีดซ้ำยังผลให้เด็กบนเตียงหลับยาวข้ามวันข้ามคืน  หากผู้มีหน้าที่ปกป้องยังไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน จะมีก็เพียงพักสายตางีบเอาแรงอยู่บ้างไม่กี่สิบนาทีก็จะตื่นขึ้นมาเฝ้าอาการ
 


...ตอนที่เห็นเด็กคนนี้โดนกระทืบต่อหน้าต่อตา เขาโมโหจนหักกระดูกพวกนั้นโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น...
 


ท่ามกลางความเงียบสงัดในห้องที่ปิดหน้าต่างแน่นหนานั้นเองที่พาให้สมองหวนคิดถึงวันวาน ณ วันนั้นเขาได้มีโอกาสจิบชากับสตรีสูงวัยท่วงท่าสง่างามทรงอำนาจในร้านกาแฟที่ร้างผู้คนราวกับร้านลับแล และการเล่าขานถึงตำนานเก่าแก่อันมีนัยยะแฝงให้เขาใจได้โดยพลันนั้นแน่นอนว่าเกี่ยวพันกับคนเจ็บ
 


มีข้อเสนอถูกยื่นมา หากตอนนั้นเขายังคงยึดหลักการทำงานของตนเองไว้เหนียวแน่นอีกทั้งยังมีความเชื่อประการหนึ่งในใจว่า การอยู่อย่างสันโดษโดยเอาตัวเข้าไปกำหนดโชคชะตาชีวิตใครหรือผูกตัวเองเข้ากับใครอีกคือวิถีที่ดีที่สุดต่อการดำรงชีพท้าทายความตาย

 

วินาทีที่เขาผุดลุกจากเก้าอี้หันหลังกลับเพื่อไปตามทางของตัวเอง เสียงจากสตรีผู้นั้นเอ่ยตามหลังยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดคำนึง
 

 

สุ้มเสียงเนิบช้าเจือแววอ่อนละมุนแจ้งความให้ทราบว่า อีกฝ่ายมีข้อมูลเนื้องานของเขาไม่น้อย ทว่าตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้เขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากสตรีผู้นั้นอีกเลย กระนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่ามีการติดตามเฝ้ามองอยู่เป็นระยะและสิ่งยืนยันต่อความแม่นยำของเขาก็คือนกพิราบตัวนั้น
 


...จากการสืบดูไม่พบสายสัมพันธ์...
...เหตุใดถึงอยากได้ตัวไป...
 


ดงโฮจ้องรอยบวมช้ำบนดวงหน้าขาวนิ่งไร้แววความรู้สึก ทว่าส่วนลึกข้างในใจนับจากคืนที่คนบนเตียงเจ็บปางตายนั้นกลับร้อนจากแรงโทสะอยู่แทบตลอดเวลา และในระหว่างนั้นเองที่เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ความห่วงกังวลที่เขาเคยเมินเฉยด้วยคิดว่าเป็นเพียงงานมันได้เพิ่มพูนมากเกินกว่านั้นเสียแล้ว

 

ลมหายใจอุ่นร้อนถูกพ่นแรงออกมาอย่างที่เขาไม่ค่อยจะได้ทำ เนื่องด้วยไม่มีเรื่องอะไรให้ครุ่นคิดหรือทุกข์ร้อนแต่ตอนนี้มีสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับแต่เขาเลือกหันหลังให้พระเจ้ากำลังก่อเกิด
 


ความผูกพันเป็นพิษร้ายแรงต่อคนที่ไม่ประสงค์จะมีชีวิตอยู่ยืนยาว และเขมีหน้าที่ระงับทุกสิ่งไว้ไม่ให้ตนเองถลำลงไปในโคลนตมแห่งความอาทรนี้
 


...รีบส่งตัวไปก็จบ...
 


ทั้งที่พร่ำบอกตนเองให้กระทำเช่นนั้นตลอดมา หากหัวใจมีบางอย่างคอยทัดทานและคอยควบคุมให้ทำทุกอย่างขัดกับความคิด
 


ยามได้นั่งอยู่ตามลำพังเพื่อทบทวนตัวเองก็จะพบใบหน้าอาบยิ้มของเด็กบนเตียงแล่นเข้ามา กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นรอยบาดแผลก็โกรธขึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
 


...ใต้ความเฉยชาจิตใจเขากลับว้าวุ่น...
 


นับแต่ทำงานพวกนี้มาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาทำนอกเหนือจากสิ่งที่ได้รับมอบหมาย และไม่เคยมีสักวินาทีที่เขากลับมาคิดทบทวนการตัดสินใจของตน แม้นอารมณ์ความรู้สึกที่เคยเหือดหายกลับเริ่มมีขึ้นมาซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องระวัง

 

...อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมวลคือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด...

 

ในห้วงสุดท้ายของความคิดเจ้าตัวตัดสินใจหาวิธีทำให้หัวสมองปลอดโปร่งข้างนอกโดยไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องทราบอยู่แล้ว แม้เขาจะไม่ค่อยเชื่อน้ำคำที่ว่าจะไม่ซ้ำให้หนักกว่านี้เท่าไหร่แต่ถ้าไม่ออกไปทำให้หัวโล่งก็จะทำอะไรไม่ได้จึงยอมออกไป
 


สองเท้าเริ่มออกวิ่งจากหน้าบ้านที่ใช้อาศัยชั่วคราวขึ้นไปตามทางทอดสู่เนินเขาสูงอย่างไม่รู้เหนื่อย กระนั้นในสมองยังคงติดค้างอยู่กับความลังเลสงสัยอันเป็นผลจากแท่งโลหะสลักตัวเลขที่ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงกระทั่งถึงจุดหนึ่งสิ่งที่เคยรบกวนจิตใจมาหลายวันก็มีพลังมากพอจะผลักดันให้เขาตัดสินใจหยุดคิดและออกเดินทาง
 


ชายหนุ่มนั่งรถโดยสารสาธารณะต่อด้วยการเดินเท้าจนไปถึงเขตอุตสาหกรรมเก่าของเมืองที่ถูกปิดตายมานานแรมหลายปีซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในแนวป่าบนเนินเขา ห้อมล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แน่นขนัดแทบมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้าง ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้พอจะเห็นโรงงานรกร้างตั้งอยู่กลางความเงียบวังเวง
 


ตัวเลขบนแท่งโลหะแจ้งพิกัดมายังสถานที่แสนเปลี่ยวเสี่ยงต่อการลอบทำร้าย เจ้าตัวเองก็รู้ดีว่ามีโอกาสจะเจอกับดักจึงเพิ่มความระวังตัวมากกว่าเดิม และก่อนจะดันประตูม้วนเหล็กเพื่อเข้าไปในตัวอาคารก็ไม่ลืมจะฟังเสียงตรวจความผิดปกติ
 


วินาทีที่ประตูเหล็กม้วนตัวขึ้นไปจนสุดขอบด้านบน เศษซากความทรุดโทรมของตัวอาคารที่ผุพังกระจายเกลื่อน ฝ้าเพดานรวมทั้งหลังคาหลุดปลิวไปนานปีพาให้ลมเย็นพัดแรงเข้ามาภายในส่งผลให้แมกไม้ที่พันเกี่ยวทั่วอาคารหลังนั้นไหวเอนส่งเสียงแทรกความเงียบเชียบและหอบเอาฝุ่นดินให้ตลบอบอวล
 


มือใหญ่ลูบวัตถุสองชิ้นที่ได้รับมายังคงอยู่ในกระเป๋า โดยตัวเลขบนวัตถุชิ้นแรกเป็นรหัสไม่ซับซ้อนบอกพิกัด ส่วนตัวเลขบนวัตถุชิ้นที่สองเขายังถอดความไม่ได้รู้เพียงว่ามันเป็นตัวส่งสัญญาณอะไรสักอย่างซึ่งความสงสัยระคนไปกับความคาดหวังบางประการในใจทำให้เขายอมเสี่ยงถ่อมาถึงนี่
 

สองเท้าของเขาก้าวไปเรื่อยจนถึงบริเวณห้องที่มีตู้ล็อกเกอร์บุบพังเรียงรายกลับมีเสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟสว่างวาบอยู่ในตู้หมายเลขสี่สิบสี่ซึ่งมีสายเคเบิ้ลตัวล็อคตั้งรหัสคล้องอยู่
 


แรกเริ่มเขาฟังเสียงจากตู้นั้นถึงฉายไฟจากไฟฉายที่ติดตัวลอดผ่านช่องหน้าล็อกเกอร์เข้าไปเพื่อตรวจดูว่ามีสิ่งใดซุกซ่อน น่าแปลกที่ภายในไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า
 


เสี้ยววินาทีนั้นคนตัวใหญ่ขยับจากตู้ล็อกเกอร์กำไฟฉายในมือไว้มั่นพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่พยายามย่องเหยียบพื้นซีเมนต์ปนกรวดจึงถอยเท้าไปยังจุดที่ใกล้กับต้นเสียง ก่อนจะหมุนตัวจับขาของชายฉกรรจ์สวมไอ้โม่งที่ถีบเข้าใส่บิดสุดแรงและดันออก แล้วหันมารับมือกับการจู่โจมของชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่แต่งกายลักษณะเดียวกันซึ่งตามเข้ามาสมทบ
 


การหลบหลีกผสมการโต้ตอบเป็นไปอย่างรวดเร็วเหมือนเครื่องจักรอัตโนมัตินั้นมาจากการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระยะประชิดมานาน ทว่าวิธีการต่อสู้ของคนเหล่านี้เป็นรูปแบบของมืออาชีพที่ต้องอาศัยทั้งทักษะ พละกำลังและกำลังสมอง
 


กว่าจะหลุดจากกลุ่มคนเหล่านั้นมาได้ก็มีร่องรอยตามตัวและแผลแตกเลือดซึมตรงหางคิ้วออกมา เขาทิ้งร่างที่นอนแน่นิ่งเกลื่อนตรงนั้นและรีบออกจากตัวอาคาร กระสุนปืนจากปืนเล็กยาวของกลุ่มชายสวมชุดพรางปิดบังใบหน้าก็ยิงเข้าใส่ทำให้ต้องออกวิ่งหายเข้าไปในแนวป่าเพื่อหาที่กำบัง
 


ความที่เคยกบดานอยู่ที่นี่มาสักพักจึงมีโอกาสสำรวจและใช้ที่แห่งนี้ในการออกกำลังและฝึกฝนการต่อสู้เลยยังจำเส้นทางได้แม่นยำ กายหนาแทรกซ่อนไปตามต้นไม้ใหญ่พลางนับจำนวนคู่ต่อสู้ที่ได้เห็นเมื่อสักครู่แล้วหยิบเอาก้อนหินขว้างออกไปเพื่อเบนความสนใจแล้วรอสักครู่ถึงค่อยเดินอ้อมมาหาศัตรูซึ่งแบ่งกลุ่มกันสามคนย่องไปอุดปากล็อกคอออกแรงกดอากาศจนแน่นนิ่งไปทีละรายอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เร้นกายกลืนหายไปกับแมกไม้เข้าประชิดล็อกคอคนที่เดินอยู่หลังสุดของอีกกลุ่มก่อนจะแย่งปืนยาวในมือมายิงใส่ชายอีกสองคนข้างหน้าจนร่วงลงไปนอนกองบนพื้นตามๆกัน
 


เขายืนมองบรรดาผู้ปองร้ายไม่ถึงนาทีก็เดินพรางตัวไปตามต้นไม้มุ่งหน้าไปให้พ้นจากแนวป่า แต่ช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงนั้นเองศีรษะด้านหลังก็รู้สึกได้ถึงปลายกระบอกปืนที่กดลงมา แขนทั้งสองจึงยกสูงเหนือหัวแล้วฟันศอกปัดปลายกระบอกปืนแล้วหมุนตัวหนีบเหล็กส่วนลำกล้องไว้ใต้แขนแย่งปืนยิงสวนใส่
 


ศัตรูคนสุดท้ายหงายหลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ปลายเท้าของเขายื่นไปเขี่ยร่างนั้นเพื่อเช็กสภาพว่ายังมีลมหายใจหรือไม่ พลันคนบนพื้นก็คว้าเท้ากระชากให้เขาล้มหงายหลังตามด้วยการจะขึ้นคร่อมแต่เขาถีบสวนออกไปสุดแรง
 


ร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นของอีกฝ่ายเซถลาและไม่ทันได้ตั้งหลักก็ถูกเข่าลอยเสยเข้าใส่ตามด้วยหมัดชกเข้าหน้าสุดแรง การต่อสู้ด้วยมือเปล่าของทั้งคู่เริ่มดำเนินต่ออย่างไม่มีการลดละหรือเลิกแล้วต่อกันแต่อย่างใด กระทั่งถึงจังหวะที่จับแขนบิดพลิกทุ่มศัตรูลงไปนอนตามด้วยการกระแทกเข่าเข้ากระเดือกได้ทุกอย่างก็ดูจะคลี่คลายลง
 


ชายหนุ่มสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ยังคงกดเข่าลงน้ำหนักบนอกของฝั่งตรงข้ามที่ตัวใหญ่กว่าเขาพอสมควร มือข้างหนึ่งกำหมัดง้างจะชกเข้าใส่แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจใช้อีกมือดึงผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าให้พ้นทางเพื่อจะได้สัมผัสกับผิวเนื้อศัตรู หากในตอนที่เห็นว่าใต้ผ้าคลุมคือชายหนุ่มชาวต่างชาติผมสีบลอนด์ตาสีฟ้ากำลังฉีกยิ้มทั้งที่หน้าบวมช้ำจากการต่อสู้ก็ผงะด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเพื่อนแท้เพื่อนตายของตัวเองเมื่อนานมา
 


“ร็อบ”
-------------------------------------
สีเหลืองทองอ่อนคลายเจือสีม่วงของฟากฟ้าบ่งบอกว่าราตรีกาลใกล้จะกลับมาเยี่ยมเยือนเป็นเวลาเดียวกับที่คนบนเตียงรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครา สิ่งที่ปรารถนาหลังลืมตาคือการมองหาคนที่ทำให้ใจอุ่นแต่เพียงแค่ขยับตัวอาการปวดร้าวเหมือนถูกของแข็งบดขยี้ที่ยังคงอยู่แม้จะหลับไร้สติด้วยฤทธิ์ยาถึงสองวันเต็ม กว่าจะหันไปข้างตัวจนประจักษ์แก่สายตาว่า คนที่คิดถึงไม่อยู่ ปากก็เป็นแผลมีเลือดซึมจากการกัดเพื่อข่มความเจ็บจากการขยับตัว


 
...หายไปอีกแล้วเหรอ...
...นายหมีหายไปไหนกันนะ...
 


ควานลินถามตัวเองในใจต่อความว่างเปล่าตรงเก้าอี้ข้างเตียงที่ถูกแสงจากนอกหน้าต่างย้อมจนสีขาวกลายเป็นสีแสดเหลือง ก่อนที่เสียงประตูเปิดจะดึงความสนใจของเขาไปหมดด้วยหวังว่าจะเป็นคนที่กำลังถามหา หากคนที่เดินเข้ามาชะโงกหน้าใกล้ๆ กลับเป็นเจ้าของบ้านเสียนี้


 
“หมอจะมาดูคุณ”  ชายผู้เป็นนักรับจ้างแจ้งแล้วหลบทางให้คนข้างหลังขยับมาแทนที่ ฝ่ายคนเจ็บไม่ตอบแค่มองชายสวมเสื้อคอจีนสีขาวมีหูฟังทางการแพทย์คล้องคออย่างเฉยเมย กระทั่งเห็นหน้าชายผู้นั้นชัดเข้า ดวงตาก็เบิกโพล่งด้วยความตกใจ
 


...ทำไมไอ้หมอเถื่อนถึงมาอยู่ที่นี่...


 
ในสมองตั้งคำถามทันที หากในไม่ช้าก็ฉุกคิดได้ว่า หมอเถื่อนคนนี้คือคนเดียวที่เขาขายเลือดและสเต็มเซลล์ให้แล้วจะแปลกอะไรที่จะเจอหมอคนในสถานที่ซึ่งผู้ต้องการตัวเขาสั่งให้มาพักฟื้นชั่วคราว
 


“ไม่เจอกันนานนะ”


 
แพทย์หนุ่มกล่าวทักทายขณะปฏิบัติงานของตนเองด้วยการวัดไข้วัดชีพจรและตรวจสอบร่องรอยบาดเจ็บภายนอกรวมถุงการล้างแผล ส่วนคนเจ็บไม่ตอบรับอันใดแม้จะแค้นแสนแค้นอยู่ในใจแต่อาการบาดเจ็บทำให้ทำได้เพียงนอนนิ่ง กระนั้นสายตาก็ยังมองทุกการกระทำของหมอเถื่อนผู้นี้อย่างระแวดระวัง จวบจนเห็นอุปกรณ์สำหรับเจาะเลือดกับถุงบรรจุซึ่งเขาคุ้นเคยดีถูกหยิบออกมา เจ้าตัวเลยดึงชักแขนข้างที่ต่อกับสายน้ำเกลือมาแนบอก


 
...อย่าบอกนะว่าสภาพขนาดนี้ยังจะเอาเลือดไปอีก...


 
“คุณต้องให้เลือดเขา”

 

ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งยืนกอดอกเงียบอยู่ในห้องด้วยเริ่มเปิดปาก แลตากลมของเด็กตรงหน้าที่ปรายมาหาราวกับจะถามถึงเหตุผลพลางขยับตัวมองหาผู้คอยปกป้องโดยไม่รู้สักนิดเลยว่า ฝ่ายนั้นออกไปข้างตั้งแต่ช่วงสายของวันและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา


 
ถึงแม้การหาตัวของผู้รับจ้างของเขาจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เขาไม่คิดว่าจำเป็นต้องรับรู้ว่าอีกฝ่ายไปไหนทำอะไรขอแค่จบภารกิจที่ดูจะกินเวลายาวนานกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้นี้เสียที ถึงกระนั้นในส่วนลึกของความคิดก็ตระหนักดีว่า ผู้รับจ้างของเขามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง


 
หลายวันมานี้เขาได้รับข้อมูลข่าวสารจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องยังผลถึงอนาคตของเด็กบนเตียง ทว่ามันถูกปัดตกเป็นข้อมูลไร้ค่าในนาทีที่ผู้รับจ้างปฏิเสธการพูดคุย
 


ในแวดวงนี้ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรและไม่มีความอาทรใดต่อสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อตน ยิ่งกับคนที่ดิ้นรนต่อความโหดร้ายต่อโลกจนด้านชาเช่นเขา เด็กคนนี้ไม่มีค่าพอจะช่วยอะไรได้มากกว่าการทำตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง
 


...คนเดียวที่คาดว่าจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เห็นจะมีแค่ผู้รับจ้างของเขา...
 


แม้นอีกฝ่ายจะปฏิญาณว่าจะอยู่อย่างเดี่ยวดายเพื่อท้าทายความตายไปจนถึงวันที่สิ้นชีพ และมือก็เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดจากการคร่าชีวิตผู้คน กระนั่นเจ้าตัวก็เลือกจะกระทำต่อคนในแวดวงค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายแทบทั้งสิ้น
 


ทุกครั้งในการทำงานเขาจะวางแผนเลือกใช้คนให้เหมาะกับงานนั้นเสมอ แต่ครั้งนี้เขาพลาดปล่อยงานง่ายแต่มีผลต่อความรู้สึกแก่ลูกจ้างที่เบื้องลึกยังมีจิตใจของความเป็นมนุษย์ผู้รู้ผิดชอบชั่วดี
 


...เพราะฝีมือทำให้มองข้ามจุดอ่อนสำคัญนี้ไป...
 


คนเจ็บแลดวงตาเรียบสงบที่ยากจะหยั่งถึงอารมณ์ความรู้สึกภายในของเจ้าของบ้านเขม็ง ความไม่ไว้ใจนั้นมีมากถึงขนาดที่ยอมข่มความปวดทั่วร่างเปลี่ยนท่าจากนั่งขึ้นมานั่งกอดอกไม่ให้ใครแตะต้องแขนตนเอง


 
“ถ้าคุณไม่ยอมให้เลือด นายหมีจะลำบากเอานะ”

 

เพียงได้ยินชื่อของผู้คอยปกป้องตายังคงจ้องขณะที่คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเป็นปมด้วยความสงสัยปนหวาดระแวง กระนั้นคนอ่อนวัยที่สุดในห้องกลับไม่ปริปากถาม
 


“คุณก็ดูฉลาดทำไมยังไม่เข้าใจล่ะว่า นายหมีน่ะเขาไม่ได้ทำงานนี้เพื่อการกุศลนะ เขาทำงานรับเงินและเรื่องให้เลือดนี้ก็เป็นงานอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในขอบข่ายที่นายหมีต้องรับผิดชอบ การที่คุณดื้อดึงไม่ยอมทำตาม นายหมีก็จะยิ่งทำงานยากขึ้น อาจถึงขั้นถูกปลดจากงานนี้หรือถ้าแย่กว่านั้นก็อาจถูกฆ่าแทนปลดออกเฉยๆ”


 
สีหน้าเจ้าของบ้านเฉยชาคงเส้นคงวามีก็แค่ริมฝีปากที่เหยียดกว้างเป็นรอยแสยะหยัน ส่วนนายแพทย์ข้างเตียงกลับนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
 


...ชายสองคนที่ดูละม้ายหุ่นยนต์ไร้หัวใจไม่ต่างกัน...

...ส่วนคนเจ็บก็เลือกจะเงียบไว้เช่นเดิม...
 


“นายหมีเขาเป็นมนุษย์นะคุณ ต่อให้เก่งมากขนาดไหนก็ยังมีจุดบอด ยังไงทางนั้นก็หาวิธีฆ่าได้ และถ้าทางนั้นจ้างผม ผมก็ไม่ปฏิเสธนะที่จะหาคนมาฆ่านายหมีของคุณ”


 
“สารเลว” แค่ได้ยินการหว่านล้อมโดยวาจาข่มขู่เอาคนปกป้องเขามาเป็นเครื่องต่อรองก็หลุดสบถออกมาแทบจะทันที หากอีกฝ่ายกลับยิ้มเหมือนไม่รู้ทุกข์ร้อน

 

“แน่ล่ะ...ไม่เลวผมจะทำงานพวกนี้ได้ยังไง แล้วไม่ใช่แค่ผมด้วยนะที่เลว นายหมีของคุณเองก็...”                                                                      
                              
 

“อย่าพูดถึงเขาแบบนั้น” เสียงที่ลอดผ่านไรฟันที่กัดแน่นบ่งบอกถึงความพยายามเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้
 


“เขาเป็นแบบนั้น...หมอก็เป็น ผมก็เป็น ไม่มีใครตรงนี้ปฏิเสธว่าเป็นคนเลวกันหรอก แม้แต่คนจ้างให้เอาตัวคุณไปนั้นก็เรียกว่าเลวเหมือนกัน”

 

ตากลมของคนเป็นเด็กวาวโรจน์ ความคั่งแค้นต่อผู้ว่าจ้างที่สั่งสมมาเนิ่นนานด้วยสันนิษฐานเองว่าต้องเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่ เมื่อผสานเข้ากับการได้ยินถ้อยคำกล่าวหาชายผู้คอยดูแลแม้จะทำตามหน้าที่ใจก็ร้อนเหมือนถูกไฟลนหลุดตวาดออกมาสุดเสียง
 


“ไอ้ชั่วนั่น มันไม่มีความเป็นคนบ้างหรือไง”


 
“ไอ้ชั่ว...โอ้ คำนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เรียกผมนะ โอ๊ะ หรือว่าคุณหมายถึงผู้ว่าจ้าง นี่คุณรู้แล้วเหรอว่าคนจ้างเป็นใคร”

 

“มันจะมีใครที่เลือดกับสเต็มเซลล์จะเข้ากันได้ ถ้าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน”


 
“ก็ไม่เสมอไปนะ” เสียงทุ้มแสนเรียบเย็นเงียบลงตามด้วยยิ้มมุมปากชวนให้พิศวง ทำให้ฝ่ายมองเห็นเข้าชะงักเกิดความลังเลขึ้นมาในใจ

 

“ถ้าไม่ใช่สายเลือดแล้วมันเป็นใคร”


 
“อืม...ผมจำเป็นต้องเล่าด้วยเหรอ”


 
“บอกมาว่ามันเป็นใคร”


 
ฝ่ายตรงข้ามยักไหล่ต่อการถูกเสียงจากแรงโทสะรุนแรงแผดใส่โดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน แถมยังยิ้มขำด้วยพอใจต่อการได้เห็นปฏิกิริยาที่มียามขยี้เรื่องอ่อนไหวของเด็กคนนี้เข้า


 
“เขาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่เผอิญดันป่วย เขาเลยจำเป็นต้องใช้เลือดกับไขกระดูกของคุณเพื่อต่อชีวิต เขามีเงินกับอำนาจมากในระดับที่แค่ดีดนิ้วก็สั่งเป็นสั่งตายคนได้ เพราะงั้นถ้าคุณไม่ทำตามที่เขาต้องการ นายหมีที่ต้องรับผิดชอบไม่มีวันรอดหรอก”
 


ดวงหน้าหล่อเหลาทว่านัยน์ตาแสนเย็นชาในทุกคราที่ขยับปากพูดไม่ชวนให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องโกหก ยิ่งทำให้คนอ่อนวัยและประสบการณ์หน้าซีดเผือดนึกกังวลในความเป็นไปของใครอีกคนขึ้นมา
 


“นายหมีน่ะเขาทำอะไรให้คุณมากกว่าเนื้องานที่ได้รับนะ แล้วคุณจะตอบแทนเขาด้วยความตายเนี่ยเหรอ...ไอ้การไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้มิตร รู้ศัตรู ไม่เอาอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากตัวเองก็เป็นอะไรที่เข้าท่านะ แค่เอาตัวคุณไปส่งอย่างปลอดภัยไม่น่าหาคนอื่นทำยากเท่าไหร่”
 


“อย่ายุ่งกับนายหมี”
 


“ถ้าไม่อยากให้เขามีอันตราย คุณก็ว่าง่ายซะสิ”

 

ถ้อยคำและน้ำเสียงนั้นชวนให้รู้สึกว่าตนเองเป็นรองอย่างมากยิ่งทำให้คนเจ็บแค้นกัดฟันแน่น สายตาที่ปรายยังเจ้าของบ้านซึ่งยังคงยิ้มฉายแววจงเกลียดจงชังเหลือคณา

 

...แค่เป็นเรื่องที่อาจทำให้นายหมีเป็นอันตรายในสมองกลับโล่งไปในบัดดล...

 

ริมฝีปากแตกห้อเลือดเม้มเข้าหากันแน่น ภาพเหตุการณ์เก่าก่อนที่ส่งผลให้ตนเองเจ็บปางตายย้อนมาเป็นเครื่องยืนยันชัดว่าไม่ใช่การพูดล้อเล่นแต่ทำจริงเสมอนั้นก่อความกลัวให้เกิดในความแค้น
 


...การใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอดทำให้เลิกกลัวแล้วว่าจะเป็นหรือตาย

...แต่ความกลัวต่อชีวิตของนายหมีนั้นมีมากกว่าชีวิตตัวเขาเองเสียอีก


 
สุดท้ายคนอ่อนวัยจะยอมยื่นแขนไปข้างเตียงปล่อยให้นายแพทย์ได้ทำการเก็บเลือดของตนเองไปอย่างไร้หนทางขัดขืน ในวินาทีที่รับรู้ถึงสำลีชุบแอลกอฮฮล์ที่เช็ดลงบนข้อพับแขนด้านในก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองคนเดียวอย่างที่เคยเป็นมา


 
...ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...

...ไม่เป็นไร ขอแค่นายหมีปลอดภัยก็พอแล้ว...
 


ช่วงเวลาที่เด็กคนหนึ่งต้องทนทุกข์อย่างเดี่ยวดายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น อีกฟากฝั่งหนึ่งของเมืองนั้นผู้รับหน้าที่บอดี้การ์ดส่งตัวกลับนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่ริมหน้าผาด้านหลังโรงงานร้างอย่างเดี่ยวดาย ปล่อยให้ใบหน้าและร่างกายอาบแสงสุดท้ายของวันจนกลายเป็นสีเหลืองทองอร่าม ภาพของดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำจนลับหายนั้นช่างงดงาม หากก็อยู่เพียงไม่นานเพราะรัตติกาลได้คืบคลานเข้ามาจนโอบล้อมไว้ด้วยความมืด
 


ดงโฮใช้เวลาครุ่นคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังจากได้พบเพื่อนตายผู้เกิด เติบโต เรียนหนังสือกระทั่งรับราชการทหารในหน่วยเดียวกัน


 
โรเบิร์ต สมิทธ์ หรือที่เขาเรียกขานสั้นๆว่า ร็อบ คือเพื่อนคนเดียวที่อยู่ในทุกเหตุการณ์ของชีวิต ก่อนที่ความสูญเสียจะทำให้เขาตัดขาดทุกคนและทุกอย่างในอดีตเพื่อมาใช้ชีวิตท้าความตายเช่นนี้ ช่วงเวลาที่นั่งรับฟังเพื่อนเล่าขานเรื่องราวชีวิตจวบจนถึงการลาออกจากราชการทหารเพื่อมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยแก่องค์กรรวมถึงรายบุคคลนั้น เขาก็ทำได้เพียงรับฟังอย่างเงียบงันไม่ยินดียินร้ายหรือคิดหวนกลับไปหาอดีตราวกับหัวใจได้ปิดตายสายสัมพันธ์ต่อผู้คนไปหมดสิ้น
 


ส่วนการมาของเพื่อนในครั้งนี้เกิดจากผู้มีพระคุณมอบหมายงานมาทดสอบความสามารถในการต่อสู้ของเขา โดยกลุ่มคนที่ส่งมาล้วนเป็นลูกน้อง ส่วนกระสุนทั้งหมดก็เป็นเพียงกระสุนยาง ซึ่งเขาก็รับฟังผ่านหูไปอย่างไม่ตั้งใจกระทั่งได้ยินข้อเสนอที่กระตุ้นตะกอนในใจให้เกิดความรู้สึกเดิมขึ้นมา
 

 
คำสุดท้ายของเพื่อนแทนการอำลายังอยู่ในห้วงความคิดคำนึง ยิ่งสายลมหอบความเย็นมาปะทะกายก็เสมือนเข้ามาปัดเอาตะกอนใจแห่งความลังเลให้ฟุ้งตลบซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
 


ความสงสาร...ความรู้สึกนี้เองที่แทรกตัวเข้ามาสั่นคลอนความมั่นคงในใจให้อ่อนแอลงและเขาปล่อยให้ความสงสารมีอิทธิพลต่อวิถีที่เขาเลือกไม่ได้
 


...แต่เสียงหนึ่งของใจยังคัดค้าน...
 


ในเวลาปกติเขาคงจะตอบปฏิเสธไปอย่างหนักแน่นเช่นทุกครา หากครั้งนี้แค่จะปริปากยังรู้สึกหนักอึ้งคำตอบจึงมีเพียงความเงียบงัน
 


ดงโฮสูดลมหายใจลึกเข้าปอดด้วยไม่เข้าใจเหตุผลในความต้องการตัวเองก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนอยู่ตรงนี้นานเกินไปเสียแล้ว จึงผุดลุกจากโขนหินเดินย่ำดินฝ่าความทะมึนมืดของค่ำคืนและความเงียบสงัดของแนวป่ากลับสู่ถิ่นพำนักชั่วคราว
----------------------------------------------
กายใหญ่หนาของชายผู้สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนส์ขาวยาวนั้นเปรอะไปด้วยเศษดินเศษหญ้านั้นเดินขึ้นเนินตามทางเดินรถมาอย่างไม่รีบร้อนจนมาถึงหน้ารั้วบ้านที่เคยมีรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่จอดเพียงลำพังแต่บัดนี้กลับมีรถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งจอดอยู่

 

เพียงมองปราดเดียวผู้มาถึงเลยยังไม่ทราบว่าเป็นใคร กระทั่งพบชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งหิ้วกล่องเก็บความเย็นใบหนึ่งก้าวพ้นจากประตูรั้วออกมาและเมื่อสบสายตากันเข้าฝ่ายนั้นไม่มีอาการตระหนกแค่เปิดประตูหลังขึ้นรถไปอย่างเงียบงัน


 
วินาทีนั้นลางสังหรณ์ของใจแจ้งเตือนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ชายหนุ่มเลยสาวเท้าก้าวพรวดเข้าไปในบ้านอย่างรีบร้อนและเมื่อเห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกพิงผนังอยู่ตรงโถงทางเดินก็ปรี่เข้าไปประชิด
 


“เขาเจ็บอยู่” เสียงเข้มเน้นทีละคำอย่างเชื่องช้าแต่ดุดัน นัยน์ตาคมเยือกเย็นเช่นสีหน้าจ้องลึกยังตาของอีกฝ่ายเฉกเดียวกับเวลาลงมือสังหารแลน่ากลัวจับจิต หากคนคุ้นชินกับความตายราวกับเพื่อนสนิทเพียงยิ้มกว้าง


 
…นานปีที่ทำงานร่วมกันยังไม่เคยเห็นความโกรธขึ้งเหนือการควบคุมจากอีกฝ่ายเลยสักทีจนมีเรื่องเด็กคนนี้เข้า


 
“ฉันไม่ใช่คนสั่ง” เสียงทุ้มสวนกลับยังคงยิ้มปั่นประสาทได้คงเส้นคงวา


 
“ถึงไม่สั่ง คุณก็ควรบอกทางนั้นว่าเขาไม่พร้อม”


 
“มันไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องบอกว่าพร้อมไม่พร้อม ขนาดหมอยังไม่ว่าเลย”
 


“ถ้าเขาตายจะทำยังไง”
 


“ก็จบงานแบบง่ายๆไง”
 


สิ้นคำนั้นหมัดลุ่นก็ชกเข้าผนังเฉียดหน้าเจ้าของบ้านไปเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้นแววตาจากเจ้าของหมัดเองก็มีความโกรธขึ้งแผ่ขยาย แรงโทสะโมหะทั้งหลายคุกรุ่นอยู่ภายในอย่างห้ามไม่ได้นั้นดูอันตรายต่อชีวิตยิ่งนักแต่อีกคนกลับคงสีหน้าเดิมไว้ไม่แปรเปลี่ยน
 


“ผมเตือนคุณแล้วว่า อย่าขัดขวางงานผม”


 
“ฉันเนี่ยเนะขวาง...ใครกันแน่ ฉันน่ะอุตส่าห์เสนอทางเลือกสบายๆให้แท้ๆ แต่นายกลับโยนทิ้ง ผลลัพธ์มันก็เป็นแบบนี้”


 
ประโยคแฝงนัยยะพาให้ตาคมหรี่ลงพลางใคร่ครวญถึงวันวานที่ถูกเสนอให้ไปพบเพื่อคุยงานกับผู้ว่าจ้างอีกหลายซึ่งเขาเลือกปฏิเสธไปและเมื่อรวมเข้ากับเหตุการณ์ในวันนี้ก็คะเนได้ทันทีว่าเกี่ยวเนื่องกัน
 


“คุณรู้อะไรมากันแน่”


 
“ฉันรู้เท่าที่อยากรู้”

 

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”


 
“คนไหน”

 

“คนที่ติดต่อมาเพื่อให้ผมไปพบ”



คราวนี้เจ้าของบ้านหุบยิ้มจ้องลึกลงมาในดวงตาของผู้รับจ้างกลับอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นก็เหยียดมุมปากคล้ายจะหยันออกมาแทนที่


 
“นายก็รู้ว่าเธอเป็นใคร...คนระดับนั้นไม่มีทางที่นายจะไม่รู้จักหรอก”

 

“เธอมาเกี่ยวได้ยังไง”


 
“มันก็มีบางอย่างที่ฉันไม่รู้”

 

“อย่างคุณเนี่ยนะ”
 


“เธอไม่ใช่นักธุรกิจแบบเดียวกับนายใหญ่ของเออร์ซัส...คนเก่งแต่เก็บตัวหาข้อมูลเชิงลึกเล่นงานยากนะ ลองเป็นพวกเลวๆเหมือนเราๆ แค่คลิกเดียวฉันก็รู้หมดแล้ว”


 
คนตัวใหญ่กว่าเบือนหน้าไปอีกทางพลางสูดลมหายใจลึกเข้าปอดเหมือยพยายามกดกลั้นความร้อนลนลงไปใต้ความเฉยชาดังเดิมก่อนจะผละถอยเกือบจะหันเดินไปแล้วแต่โดนมือแข็งราวกับคีมเหล็กจับรั้งไว้ก่อน
 


“ฉันไม่รู้นะว่านายไปฟัดกับหมาที่ไหนมา แต่ไปอาบน้ำล้างตัวก่อน ขืนเข้าไปทั้งอย่างนั้นเด็กนั่นติดเชื้อตายพอดี” ซองอูบอกเสียงเรียบไม่มีการฟื้นฝอยถึงความเกรี้ยวกราดของลูกจ้างเฉพาะกิจหรือใคร่รู้ถึงเรื่องราวซึ่งเขาไม่ได้นั่งมอนิเตอร์ติดตามดู

 

ปกติเขาจะไม่ก้าวก่ายวิธีการทำงานของผู้ที่ตนว่าจ้าง อยากไปไหน ทำอะไรก็ตามสบายแค่งานสำเร็จเป็นพอ

 

ฝ่ายตรงข้ามยักไหล่ในเชิงเห็นด้วยก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำชำระล้างคราบดินและเหงื่อไคลให้หมดสิ้นพร้อมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นถึงหายเข้าไปห้องคนเจ็บที่หลับสนิทอยู่บนเตียงแทบไม่ไหวติงทั้งที่โคมไฟตรงเพดานยังเปิดสว่างโร่

 

ดวงหน้าเซียวซีดไร้สีเลือดมีเจือสีจากร่องรอยของการถูกทำร้ายกระจายทั่วยามจมในห้วงนิทราดูราวกับคนป่วยใกล้ตาย แขนข้างที่ไม่ถูกดามเฝือกหงายแนบอยู่ใกล้ลำตัวเผยให้เห็นรอยเขียวช้ำโผล่พ้นสำลีที่ปิดไว้ตรงข้อพับทำให้คนมีสติดีเผลอกำหมัดแน่น

 

...อาการหนักขนาดนี้ยังทำได้ลง...
 


“คุณวางยาเขาหรือไง” ด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนตามเข้ามาในห้องก็เปิดปากถาม

 

“เปล่า”

 

“แล้วเขา...ยอมให้เลือดคุณได้ยังไง”

 

“ก็แค่บอกว่า นายจะโดนสั่งฆ่าก็ให้เลย”

 

คำตอบจากเบื้องหลังมีแววเยาะหยันในน้ำเสียง แต่ชายอีกคนไม่แยแสต่อสำเนียงเพียงรับฟังทุกถ้อยคำอย่างเงียบงัน เวลานั้นแววแข็งกร้าวของดวงตาเมื่อก่อนหน้ายามทอดหาคนเจ็บกลับลดทอนกลายเป็นความห่วงกังวล
 


เจ้าของบ้านจ้องมองทุกอากัปกิริยาของผู้รับจ้างด้วยสีหน้าราบเรียบยากต่อการคาดเดาถึงความคิดที่ซ่อนลึกอยู่ข้างในและอึดใจต่อมาเขาก็ได้ฤกษ์เปิดปากบ้าง
 


“นายนี่มัน...คนดีจริงๆเลยนะ”
 


การเปรยออกมาเช่นนั้นเรียกให้ไหล่หนาขยับพร้อมเหลียวกลับมาหาต้นเสียง นัยน์ตาคมของทั้งคู่ประสานกันอีกคราแม้นดูเย็นชาก็สื่อสารถึงความนัยที่มีต่อกันได้

 

“ถ้านายยังเป็นแบบนี้ มันจะไม่มีงานต่อไปอีกแล้วนะ”


 
เจ้าของบ้านทิ้งท้ายแล้วผละออกจากห้องไป ทิ้งให้ผู้รับจ้างมองตามจนแผ่นหลังลับหายจากสายตาจึงดึงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนไปกลับมาข้างเตียงใหม่ ดวงหน้าคมหันหาคนเจ็บคอยเฝ้ามองไว้ไม่ห่างสายตาพลางขบคิดเรื่องราวมากมายตามลำพังอย่างเงียบงันกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวของร่างบนเตียงจึงหยุดคิด
 


ควานลินหายใจสะดุดเป็นห้วงอยู่หลายคราก่อนเปลือกตาจะค่อยลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า ความอ่อนเพลียจากการเสียเลือดแม้ถูกเติมด้วยการฉีดยาบำรุงและน้ำเกลือก็ทดแทนกำลังไปไม่ได้มากแต่ฝันร้ายพาให้กึ่งหลับกึ่งตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้


 
แสงจากหลอดไฟตรงเพดานสว่างจ้าทำให้ตาพร่าอยู่สักครู่ก็ปรับสภาพให้พอมองเห็นชัดขึ้น ตอนนั้นเองที่คนบนเตียงได้เห็นหน้าของชายผู้คอยปกป้องชะโงกมาใกล้ เพียงดวงตาแข็งกระด้างสีสนิทเหล็กที่คุ้นเคยประจักษ์แก่สายตาเรียกรอยยิ้มให้ผุดพราย
 


เพราะรู้แก่ใจว่าการได้เห็นผู้พิทักษ์ชั่วคราวในระยะใกล้เป็นไปได้ยากจึงเชื่อว่าเป็นความฝัน ริมฝีปากยังเหยียดกว้างเช่นนั้นจนตาเห็นรอยถลอกปนรอยช้ำเป็นแนวยาวตรงข้างแก้มอีกคนเข้ากายก็ไหวสะท้าน
 


“ไม่...ไม่นะ...อย่า...อย่าฝันแบบนี้” เขาเพ้อออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด ความห่วงระคนกลัวแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจพาให้เสียงสั่นเครือพลางยกมือข้างที่เจาะสายระโยงระยางค์ยกขึ้นปัดอากาศราวกับจะขับไล่ฝันร้ายไปเสียให้พ้น
 


“ไอติม” ชายหนุ่มพยายามเรียกพร้อมรวบมือของคนเจ็บไว้ไม่ให้ขยับมากจนเลือดย้อนขึ้นสายให้ของเหลวทั้งหลาย กว่าจะอีกฝ่ายจะได้สติขึ้นมาก็ตอนที่นิ้วเรียวสัมผัสความร้อนของผิวเนื้อตรงใบหน้าคนตรงข้ามเข้า


 
“คุณไม่ได้ฝัน” เสียงเข้มดุดันกล่าวคำเรียกสติคนอ่อนล้าให้สำเหนียกตนว่าไม่ได้ฝัน ตากลมกระพริบตาอย่างอ่อนล้านิ่งงันชั่วขณะก่อนจะแปรเป็นเศร้าหมองพลางกระซิบคำถามเบาแสนเบา
 


“ทำไม...ถึง...ไม่รักษาสัญญา”
 


“สัญญาอะไร”

 

“เขาว่า...จะไม่ทำร้ายนายหมี...ถ้าให้เลือดไป...เขาจะ...ไม่ทำ”

 
“ใคร”


 
“คนจ้าง...นายหมี”


 
ฝ่ายบอดี้การ์ดจำมองดวงตากลมที่ฉายแววกังวลและเจ็บปวดไว้โดยไม่พูดตอบอันใดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงวางมือเย็นเฉียบที่จับไว้มั่นพักใหญ่ละจากหน้าลงมาวางบนเตียง


 
“พักเถอะ”

 

“ไม่เอา...หรอก”

 
“ทำไม”


 
“ก็...นายหมี...ยัง...ไม่ตอบ”


 
“ตอบอะไร”


 
“ที่...ถาม...ไป”


 
“พอคุณตื่นผมจะตอบ”


 
“จริง...เหรอ”


 
“อืม”
 


“สัญญานะ” ทั้งที่อ่อนแรงจนลืมตาไว้แทบไม่ไหวก็ยังฝืนด้วยต้องการสิ่งเดียวที่ยึดไว้เป็นสรณะ เมื่อเห็นความนิ่งเฉยก็ไม่ยอมละสายตายังจ้องไว้อย่างนั้นจนอีกฝ่ายอ่อนใจ


 
“ผมสัญญา”


 
“อื้อ”
 


หลังได้คำมั่นเด็กหนุ่มก็คลายใจส่งเสียงในลำคอเท่านั้นก็หลับไป กระนั้นก็ยังมีบางคราที่เจ้าตัวเผลอกัดฟันด้วยฝันร้าย เดือดร้อนผู้ใหญ่ซึ่งเฝ้าอาการต้องคอยวางมือทาบบนหน้าผากถ่ายไออุ่นของตนสู่ความเย็นของผิวเนื้ออีกฝ่ายไว้

 
นัยน์ตาคมจับยังดวงหน้าขาวแทบไร้สีเลือดและริมฝีแตกระแหงมีเลือดแห้งกรังนิ่งงันรอกระทั่งแน่ใจว่าอีกคนจะไม่เพ้อละเมอออกมาอีกถึงละมือกลับมากอดอกพลางครุ่นคิดตริตรองหลายต่อหลายสิ่งจนหมดสิ้นความต้องการพักผ่อน ผู้พิทักษ์ชั่วคราวอยู่โยงเฝ้าอาการเป็นนานอาจจะมีลุกออกไปบ้างก็เพียงเข้าห้องน้ำก่อนลงท้ายด้วยการหยิบหนังสือสารคดีติดเข้ามาอ่าน
 


ด้วยปริมาณยาประกอบกับอาการบาดเจ็บทำให้กว่าเด็กบนเตียงจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้งก็ช่วงค่ำของอีกวัน โดยสิ่งแรกที่เขาทำคือการมองหาชายผู้อนุมานได้ว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว
 


ควานลินกระพริบตาขึ้นลงอย่างเชื่องช้ามองหนังสือที่ถูกถือปิดหน้าปิดตาชายคนนั้นไว้ ความห่วงกังวลอัดแน่นไปทั้งใจ...อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงเพื่อยืนยันคำตอบว่า เหตุการณ์และบทสนทนาแสนสั้นก่อนหน้านั้นจะเป็นเพียงความฝัน
 


...เขาภาวนาว่า นายหมีจะไม่มีรอยแผลบาดเจ็บ...


 
เด็กหนุ่มรวบรวมพละกำลังอยู่นานถึงเปล่งเสียงแหบเรียกออกไป ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบรับว่าได้ยินแค่ปิดหนังสือวางบนเก้าอี้ลุกไปรินน้ำเกลือแร่ใส่แก้วตามด้วยหลอดยกมาให้จิบ
 


ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสสังเกตเห็นรอยถลอกและฟอกช้ำบนหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัดตา บัดดลหัวใจก็กระตุกแรงพร้อมกับอาการชาก็วาบขึ้นมาเล่นงานทั่วทั้งตัวให้หายใจแทบไม่ออก


 
...ความกลัวจุกแน่นตรงอก...


 
โลกอันมืดมิดของเขาเหมือนมีชายผู้นี้เป็นดั่งแสงสว่าง ยามได้เห็นสายตาเย็นชาเรียบเฉยเขาไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยรู้ว่านั้นเป็นปกติวิสัยของนายหมี แต่พอเห็นเขามีบาดแผลอย่างที่ไม่เคยเห็นใจกลับเจ็บยิ่งกว่าตัวเองที่ถูกกระทืบแถมเอาเลือดไปเสียอีก
 


“ผมไม่ได้เจ็บ” แค่เห็นสายตาจ้องเขม็งแทบไม่กระพริบ คนแก่กว่าก็ปริปากบอกความจริงผสมคำลวงเพื่อคลายความวิตกให้พ้นไป “แล้วก็ผมไม่ได้ถูกใครทำร้าย ผมวิ่งไปเกี่ยวโดนกิ่งไม้”


 
แม้จะได้ยินคำอธิบายแต่ไม่อาจสร้างความเชื่อแก่คนเป็นเด็กได้สักนิด ตากลมฉายแววห่วงใยอย่างยิ่งยังคงจ้องอยู่อย่างนั้นพาลให้ฝ่ายตรงข้ามต้องหาคำโกหกมาสำทับ


 
“ผมไปวิ่งแถวเขตอุตสาหกรรมเก่า มันเป็นป่าอยู่บนภูเขา ตอนวิ่งผ่านป่าเลยโดนกิ่งไม้เกี่ยวเอา”
 


“ทำไม...ต้องไป...วิ่งด้วย” เพราะไม่เชื่อเลยถามต่อด้วยท่าทางที่ยังอ่อนแรงเต็มที


 
“คุณนอนนาน...ผมเลยไปออกกำลัง”


 
“ที่ตื่นมาไม่เจอ...เพราะแบบนี้เหรอ”


 
“ใช่”


 
“ไปนาน...จัง”


 
“ไม่นานเท่าคุณนอนหรอก”


 
“นานสิ....นานมาก”  เสียงที่ลากยาวเจือความเหงาระคนเศร้าเช่นเดียวกับดวงตาอย่างเปิดเผย ทำให้ร่างใหญ่ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมหยิบหนังสือขึ้นมาวางบนตักแล้วเบี่ยงประเด็น


 
“เจ็บมั้ย”
 


คนเจ็บเหลือบตามองตามสายตาของฝ่ายตรงข้ามไปแขนข้างที่ถูกเข็มแทงเข้าเส้นเพื่อให้ของเหลวและเพิ่งถูกเอาเลือดไปเมื่อคืนวานก็เข้าใจความหมาย


 
“เจ็บ...แต่ฉันกลัวมากกว่า”


 
“กลัวอะไร”


 
“กลัว...นายหมี...ตาย” ประโยคที่เปล่งทีละคำนั้นมาพร้อมแววตาละห้อย


 
“ผมไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้น”


 
“แต่...ก็...ตายได้...นี่”


 
“ตายได้แต่ยังไม่ตายตอนนี้หรอก”


 
“งั้น...อย่าเพิ่งนะ...อยู่...นานๆล่ะ”


 
“การมีชีวิตยืนยาวไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตผม”


 
“ถ้างั้น...ก็ตาย...หลังฉันตายก็ได้”
 


การร้องขอแสนเบาหวิวผ่านมาให้ได้ยินราวกับเสียงลมอ่อนโชยผ่าน ทว่าสิ่งยืนยันต่อคำขอคือแววตามุ่งมาดประกาศความต้องการของตนเอง


 
“ถ้าดูจากวันก่อนๆ คุณได้ตายก่อนผมแน่”


 
“ฉัน...ไม่เคยเจอ...นักฆ่าอาชีพ”


 
“เดี๋ยวจะได้เจออีกเยอะ”


 
“แล้ว...นักรับจ้าง...คนนั้น...เขาอยากให้ฉัน...ตายมั้ย”


 
“เขาอาจปล่อยคุณเจ็บตัวแต่ไม่ปล่อยคุณตายหรอก...นอกจากจะมีคนจ้าง”


 
“งั้น...วันก่อน...ก็ถูกจ้าง...มาเหรอ”


 
“บางงานก็ไม่ต้องจ้าง...ถ้าเขาอยากสนุกก็จะหาเรื่องให้คนรับงานไปทำงานลำบากขึ้น”
 


“อย่างฉัน...เขาถือว่า...เป็นงานยาก...หรือง่าย”


 
“ง่าย”


 
“ถ้าง่าย...อีกเดี๋ยวก็จะไม่ได้เจอนายหมีแล้วเหรอ”


 
“ใช่”


 
“อ้อ” ผู้อ่อนวัยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่คิดอะไร ผิดกับอาการทางดวงตาที่สั่นระริกอย่างเป็นทุกข์ ถึงจะรู้ดีว่าอีกไม่นานต้องลาจากก็ยังเศร้าในทุกคราที่คิดถึง


 
...ถ้านายหมีไม่อยู่ข้างๆแล้วต้องให้ผู้ชายสารเลวนั่นรีดเลือดไปใช้ ไม่เขาก็มันนั้นแหละต้องตายกันไปข้าง

และถ้าเขาล้มผู้ชายที่เกลียดถึงกระดูกดำได้ ตอนนั้นเขาคงมีเงินพอจ้างนายหมีให้มาอยู่ด้วย

...ถึงวันนั้นนายหมีจะลืมเขาแล้วหรือเปล่านะ


 
“หิวจัง...มีอะไร...ให้กินมั้ย” คนเป็นเด็กเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเพราะไม่อยากให้ความขมขื่นกลืนกินตัวเอง อีกทั้งรู้สึกว่าพอจะมีแรงแล้วต้องหาอะไรเติมกระเพาะเพื่อไม่ให้เหมือนคนใกล้ตายไปกว่านี้
 


ฝ่ายที่ได้ยินเลยเดินออกไปยกสำรับอาหารจากในครัวยกเข้ามาให้จากนั้นถึงประคองร่างผอมให้ลุกขึ้นนั่ง เด็กหนุ่มมองชามข้าวต้มในถาดสลับกับยาในถ้วยแก้วก็ถอนใจแต่ครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้เรียกร้องอะไรแค่จะหยิบช้อนมาตักข้าวแต่ถูกแย่งไปเสียก่อน
 


“กิน” คำสั้นแสนห้วนนั้นมีขึ้นพร้อมกับการยื่นช้อนมาตรงหน้า แม้สีหน้าคนป้อนจะเย็นชาเหลือรับแต่การเป่าคลายถึงส่งมาให้กินบ่งบอกถึงความใส่ใจ
 


ควานลินกินข้าวหมดชามอย่างว่าง่ายก็เอนหลังพิงหมอนมองผู้ดูแลเดินไปหยิบตะกร้าตรงโต๊ะปลายเตียงมาทำอะไรกับสายน้ำเกลือ สักพักมือขาวก็ถูกมือใหญ่ฉวยเอาไว้เลยสะดุ้งจ้องหน้าคมไว้แทบไม่กระพริบตา
 


เกือบจะหลุดปากถามแต่ก็เงียบในทันทีที่เห็นว่า คนแก่กว่าง่วนอยู่กับการหยิบของในตะกร้าปฐมพยาบาลมาไล่เลือดและฟองอากาศออกจากสายน้ำเกลือให้ด้วยท่าทางชำนาญเหมือนกับเคยทำงานด้านนี้มาก่อน


 
“จะได้ไม่ต้องเจาะใหม่” เสียงเข้มบอกห้วนไม่เปลี่ยนแปลงแต่นั่นกลับทำให้ผู้อ่อนวัยเม้มปาก
 


...ในความเฉยชานายหมีกลับจำทุกคำที่เขาพูดได้...

...เพราะอย่างนั้นเขาจึงมักเผลอคิดว่านายหมีจะยอมทำให้ทุกอย่างที่ต้องการ

...ทั้งที่ความจริงยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการที่นายหมีทำให้ไม่ได้...


 
“นายหมีเคยเป็นหมอมาก่อนเหรอ” แม้เลี่ยงไม่ได้ที่จะเศร้าแต่เขาก็พยายามเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยเปื่อย
 


“ไม่”


 
“แล้วทำไมถึงไล่เลือดออกจากสายน้ำเกลือได้ล่ะ”


 
“หัดเอา”


 
“หัดเองเหรอ...หัดเองได้ด้วย...งั้นวันหลังนายหมีสอนฉันได้มั้ย” พอร่างกายเริ่มฟื้นพอจะมีเรี่ยวแรงเรื่องที่ได้ยินจากนายหมีก็กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นให้อยากซักไซ้ไม่หยุดตามความเคยชิน
 


...เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้เขาไม่กลัวที่จะแสดงความอ่อนแอหรือเผยความเป็นเด็กตามอายุ
 


“ไม่”


 
“ทำไมอีกล่ะ”


 
“สอนไปคุณก็ไม่ต่อยอด...เสียเวลา”


 
“นี่นายหมียังไม่จบกับเรื่องวันก่อนอีกเหรอ...ฉันโดนกระทืบตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลยนะ จะเอาเวลาไหนไปต่อยอด”


 
“ผมไม่ได้อยู่กับคุณตลอด ถ้าอยากรู้อะไรก็หัดเอาเอง”


 
“แต่ตอนนี้นายหมียังอยู่นี่ ละฉันก็สภาพแบบเนี่ย จะให้ไปหาความรู้มาหัดเอาเองยังไง”


 
เด็กหนุ่มไม่ยอมลดละแต่แค่เห็นสายตาดุมองกลับก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหรี่ตาลงในนาทีที่เห็นสร้อยคอห้อยล็อกเก็ตทรงกลมหลุดจากคอเสื้อของผู้มากวัยกว่าออกมา


 
“นายหมีใส่สร้อยเหมือนของฉันเลย” เมื่อเอ่ยปากมือขาวข้างที่ไม่ใส่เฝือกมีเข็มเจาะคาอยู่ก็ดึงสายสร้อยจากในเสื้อออกมาอวด “เนี่ย...สร้อยเส้นนี้มันเคยเป็นของแม่ฉันมาก่อน ตอนแรกแม่ใส่รูปฉันไว้แล้วก็สวมติดตัวตลอดเลย พอแม่เสียฉันก็เลยเอามาใส่รูปแม่แล้วสวมไว้แทน”


 
อีกฝ่ายมองหญิงวัยกลางคนผมหยักศกสั้นยิ้มแย้มใจดี แม้ดวงหน้าจะสวยละมุนทว่าเค้าโครงเหมือนจะไม่ใคร่ได้ถ่ายทอดมาถึงลูกชายนัก หนำซ้ำยังดูคลับคล้ายคลับคลาใครสักคนซึ่งเขานึกไม่ออกว่าเป็นใคร


 
“มันก็ตลกเหมือนกันนะ ทั้งที่ฉันไม่เชื่อในศาสนาหรือเรื่องชีวิตหลังความตายอะไรนั้น แต่ใจหนึ่งฉันกลับเชื่อว่า ถ้าใส่สร้อยที่มีรูปแม่ไว้ แม่จะได้ไม่ไปไหนไกล” เสียงแห้งเงียบหายในนาทีที่นิ้วลูบสัมผัสล็อกเก็ต “แล้วนายหมีล่ะ...ที่สวมสร้อยเส้นนั้นไว้เพราะคิดแบบฉันหรือเปล่า ผู้หญิงในล็อกเก็ตนั่นคงเป็นคนสำคัญของนายหมีใช่มั้ย”


 
นั่นเป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบระหว่างกันขึ้นมา โดยชายมากวัยกว่าคนเดิมยืนนิ่งไม่ตอบสนองอะไรเลยจนคนถามคิดว่าคงไม่ได้อะไรเหมือนทุกทีเลยก้มหน้ามองเฝือกตัวเอง


 
“เธอเป็นภรรยาผม” เสียงเข้มเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่ฝ่ายไม่คาดคิดมาก่อนกลับตกใจแทบสำลักข้าว
 


“นะ...เดี๋ยวนะ นี่นายหมีแต่งงานแล้วเหรอ โห ไม่อยากจะเชื่อ...ละมาทำงานเสี่ยงตายแบบนี้เมียไม่ห่วงแย่เหรอ”
 

“เธอไม่อยู่แล้ว”

 
“ไม่อยู่...ไอ้ไม่อยู่ที่ว่านี่...หมายถึงหย่ากันแล้วน่ะเหรอ”

 
“เปล่า”
 

“แล้วเธอไปไหนซะล่ะ”

 
 
คราวนี้ผู้ถูกถามนั่งนิ่งเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องราวในอดีต ทำให้คนเจ็บที่ตะกี้โพล่งพูดไปแบบไม่คิดปิดปากสนิทเพราะกลัวว่าจะไปสะกิดแผลในใจเข้า
 


“เธอไปหาเพื่อนเลยโดนลูกหลงจากระเบิดไปพร้อมกับลูกในท้อง” เจ้าของเรื่องรวบรัดเล่าสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นสีหน้าดังกับบาดแผลลึกในอดีตนี้เป็นเพียงเรื่องราวธรรมดาในชีวิต ผิดกับคนฟังที่รู้สึกไม่สบายใจพูดออกมาได้แค่ขอโทษอย่างเดียวเท่านั้น              
                                                                   
 

“ขอโทษจริงๆนะ...ฉันไม่รู้...ไม่น่าถามเลย ขอโทษ”

 

ดวงตากลมโตฉายแววรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม หากฝ่ายตรงข้ามยังคงไม่ปริปากแค่ลุกจากเก้าอี้เดินไปหยิบเวเฟอร์คาราเมลเคลือบช็อกโกแลตจากในถึงเสบียงมาวางให้บนตัก

 

แม้นความตายของเมียและลูกจะเป็นสิ่งที่ตามหลอกหลอนให้ทรมานเป็นครั้งคราว แปลกที่การได้เห็นสีหน้าหมองหม่นของเด็กคนนั้นเป็นเหตุผลให้เขาเปลี่ยนบทสนทนาหาใช่เพราะต้องการเลี่ยงการสะกิดแผลในใจเหมือนอย่างเคย

 

“กินซะ...แต่ครั้งนี้ไม่มีการออกไปดูทีวีอีกแล้ว เข้าใจมั้ย”
 


“ถึงไม่บอกก็ไม่ออกไปหรอก...เบื่อหน้าหมอนั่นจะแย่”

 

“อีกอย่าง...จากนี้ไปคุณห้ามเชื่อใจใครนอกจากผม จะทำอะไรให้ถามผม อย่าฟังคำคนอื่นแล้วคุณจะปลอดภัย”

 

“ไอ้ไม่เชื่อใจใครฉันทำได้นะ แต่ที่ว่าให้ถามนายหมีน่ะจะถามยังไงได้ ในเมื่อนายหมีออกไปข้างนอกตลอด แถมยังไม่ค่อยตอบเรื่องที่ฉันอยากรู้อีก”

 

“แต่ที่ถามๆไปนั้นก็จำเป็นหมดแหละ”
 


“เรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องจำเป็น”

 

“มันไม่จำเป็นกับนายหมีแต่มันจำเป็นกับฉันนี่”
 


“เพราะแบบนี้ไงผมถึงอยากเย็บปากคุณ...คุณจะได้เงียบๆ”

 

คำขู่ที่คุ้นเคยดีนั้นเล่นเอาเด็กบนเตียงบึนปากพลางหยิบขนมที่ถูกแกะเปลือกให้แล้วมากินต่อและเมื่อได้ลิ้มรสเข้าไปคำแรกก็อุทานในใจด้วยรสชาติหวานกลมกล่อมละมุนลิ้นก็แทรกซึมไปทั่วปากอันเป็นรสชาติละม้ายกับขนมชนิดเดียวกันนี้ที่ได้กินในบ้านเกิด

 

“นายหมีซื้อของกินเก่งเนาะ ซื้ออะไรมาก็อร่อยไปหมด”

 

“กินเงียบๆ”
 


“อยากรู้จังว่าซี่โครงที่ฉันอดกินนั่นจะอร่อยแบบนี้หรือเปล่า...ไว้วันหลังเราไปกินด้วยกันนะ” ทั้งที่ได้ยินก็ยังแกล้งทำหูทวนลมพูดไพล่ไม่รู้ไม่ชี้
 


“ผมเพิ่งพูดไปเองนะ”
 


“พูดอะไรล่ะ”
 


“ถามแต่เรื่องจำเป็น”
 


“อันนี้ก็จำเป็น”
 

“ตรงไหน”
 


“ก็...เผื่อว่านายหมีจะใจดีพาฉันไปซื้อของบ้างไง”
 


“ลงจากเตียงยังไม่ได้ จะเดินไปซื้ออะไรไหว”
 


“ถ้าฉันเดินได้ นายหมีจะให้ไปซื้อของด้วยเหรอ”
 


“ไม่”
 


“โห...นายหมีจะไม่คิดก่อนตอบหน่อยเหรอ” เสียงแหบแห้งนั้นโอดครวญเช่นเดียวกับอาการตาลุกวาวอย่างตื่นเต้นก็หดหายเหลือเพียงไหล่ที่หดลู่ หากสิ่งที่ได้แทนคำปลอบใจกลายเป็นกระปุกยากับแก้วน้ำมีฝาปิด
 


“กินยาแต่อย่าเพิ่งนอน” พูดจบคนตัวใหญ่ก็ยกถาดอาหารกลับออกไปหน้าตาเฉย ปล่อยคนเจ็บให้กินยาเพียงลำพังและยังนั่งในท่าเดิมอย่างนั้นจนเห็นชายคนเดิมเดินเข้าห้องพร้อมถือถังพลาสติกใบเล็กที่มีแก้วใส่น้ำกับแปรงปาดยาสีฟันติดตัวมาด้วย
 


“นี่นายหมีกลัวฉันฟันผุเหรอ” พอเห็นของที่นำเข้ามาเด็กบนเตียงก็ถามพลางขำพรืดแทบลืมเจ็บและถึงจะไม่ได้คำตอบก็ยังรับมันมาแปรงฟันแล้วบ้วนปากคายน้ำลงถังอย่างว่าง่าย
 


“นอนซะ”

 

“แล้วนายหมีล่ะจะนอนมั้ย” ปากถามมือก็ส่งคืนแปรงสีพันในถังใบนั้นกลับไปหาฝ่ายที่หิ้วมันเข้ามาให้

 

“ยัง...ผมมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”


 
“ทำที่นี่ได้มั้ย”


 
“ไม่ได้”

 

สิ้นคำเจ้าเด็กช่างจ้อก็ออกอาการไหล่ลู่คอตกเหมือนลูกสุนัขพลัดหลงกับเจ้าของและปล่อยให้ตัวเองถูกประคองลงนอนอย่างไม่มีข้อต่อรองแค่มองอีกฝ่ายหยิบตุ๊กตาหมีมาให้กอดและดึงผ้าขึ้นมาห่มให้เงียบๆ ก่อนที่แสงไฟในห้องจะดับมืดลงพร้อมกับความเงียบที่ย่างกรายเข้ามา

 

“คนที่จ้างนายหมีน่ะ...เขาเป็นคนเลวสินะ” นาทีที่คนตัวใหญ่กำลังหันหลังจะเดินออกมาเพื่อปล่อยให้คนเจ็บพักผ่อนก็มีคำถามฝากมาอีก
 


“คุณคิดว่ายังไง”
 


“ต้องเลวอยู่แล้ว เพราะถ้าเป็นคนดีเขาคงไม่รู้จักขบวนการขายเลือด ขายอวัยวะหรอก...ถ้าเป็นคนดีคงไม่มีศัตรูรายล้อม ถ้าเป็นคนดีคงไม่เอาเลือดฉันไปทั้งที่รู้ว่าสภาพฉันกับเลือดที่ผ่านการให้ยามันไม่มีคุณภาพพอจะใช้งาน และถ้าเป็นคนดีเขาคงจะเข้ามาหาฉันแล้วก็รับฉันไปเลี้ยง จริงมะ” ถ้อยคำเหยียดยาวบรรยายถึงความรู้สึกที่มีต่อชายผู้ว่าจ้างแต่แรกเริ่ม
              


เดิมทีเขาคิดเพียงว่าผู้ว่าจ้างคงต้องการให้เขาเป็นธนาคารเลือดส่วนตัว แต่นานวันเขาเข้ากลับสงสัยว่า ชายคนนั้นจะเป็นคนเดียวกันกับชายที่ทิ้งแม่กับเขาไปอย่างเลือดเย็น แม้คืนก่อนเจ้าของบ้านจะเยาะหยันต่อคำถามให้ไขว้เขว้ กระนั้นเขาก็ยังเชื่อว่าต้องใช่
 


ในภาวะร่างกายบาดเจ็บหนักและยังมีสารแปลกปลอมอยู่ในกระแสเลือดทำให้เลือดไม่พร้อมต่อการใช้งาน ทว่าการที่เขายังถูกบังคับปันเลือดไม่สมบูรณ์ไปให้ย่อมแปลว่าเลือดไม่ได้ส่งไปเพื่อการช่วยชีวิต
 


...หรือบางทีชายคนนั้นคงต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของสายเลือดตัวเอง

สายเลือดที่ไม่เคยได้รับความอาทรหรือเป็นธรรม

...สายเลือดที่ชิงชังชายผู้ให้กำเนิดถึงขั้วหัวใจ

 

ความคับแค้นข้องใจอัดแน่นอยู่ภายในแทบระเบิดเลยเผลอกัดปากแรงจนเลือดซิบ นัยน์ตากลมยามทอดฝ่าความมืดของห้องผ่านบ้านหน้าต่างออกไปยังทิวเขาไกลลิบวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเกลียดชังเหลือประมาณ

 

“นายหมีอยากให้ฉันอยู่กับเขาจริงๆเหรอ” เสียงแหบถามผ่านไรฟันที่กัดแน่น สายตาจากคนตัวผอมยังคงจับนิ่งอยู่กับแสงไฟตรงขอบฟ้าด้านนอกพร้อมกับความเงียบที่ยังดำเนินต่อไปประหนึ่งว่า อีกฝ่ายไม่มีคำตอบต่อคำถามนี้ทำให้เขาเค้นยิ้มออกมาอย่างอดสู
 


...สำหรับนายหมีเขาเป็นแค่งานจริงๆหรือ... 

...ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ได้รับเป็นแค่งานจริงๆอย่างนั้นหรือ...
 


“ถ้าฉันบอกนายหมีว่าฉันไม่อยากอยู่กับเขา...นายหมีจะพาฉันหนีไปได้มั้ย” ครั้งนี้คนเจ็บพูดออกมาด้วยความขมขื่นอยู่ในใจ...ให้เวลากับความเงียบอีกพักหนึ่งก็หัวเราะเบากลบเกลื่อน “กะแล้ว...ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
 


สิ้นคำเจ้าตัวก็ดึงผ้าห่มด้วยมือข้างเดียงคลุมมาถึงคอก่อนปิดตาเก็บความเศร้าหมองทุกข์ทนที่กัดกร่อนใจตนลึกล้ำยาวนานไว้ในความมืดของราตรีกาล หากในตอนได้ยินเสียงเท้าเปล่าเหยียบลงบนพื้นคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังจะออกไปเข้าอีก ความอ้างว้างซึ่งติดตัวมาตลอดแค่ไม่เคยเปิดเผยแต่ในคืนนี้มันกลับผลักให้เขาเอ่ยความในใจออกมา
 


“ถ้าฉันหลับไปแล้วตื่นมาใหม่ นายหมีอย่าหายไปไหนอีกได้มั้ย ถ้าจะหายไปอีกล่ะก็ ขอให้ไปตอนที่ฉันตื่นอยู่นะ...ให้ฉันบอกลาก่อนแล้วค่อยไป”
 


ความเงียบยังคงดำเนินไปอีกหลายนาทีก่อนที่จะมีเสียงตอบรับที่พอทำให้ใจคนเจ็บชื้นขึ้นมาได้บ้าง
 


“ผมยังไม่ไปไหนตอนนี้หรอก”

 

“ตอนนี้ของนายหมีคือคืนนี้หรือหมายถึงวันอื่นด้วย” เสียงแหบย้อนถามอีก
 


“แค่วันที่ผมยังทำงานส่งตัวคุณอย่างปลอดภัยอยู่”
 


“อีกนานมั้ย”
 


“ผมตอบคุณไม่ได้”
 


“งั้นสัญญาได้มั้ย...สัญญากับฉันว่าทุกครั้งที่ฉันลืมตา นายหมีจะไม่หายไปไหน” เพราะคำสัญญาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวหัวใจไว้ให้ไกลจากความเจ็บปวดได้จึงทวงถาม
 


“ผมสัญญาได้แค่ตอนนี้”
 


“ไม่เป็นไร...แค่ถึงตอนที่นายหมีทำงานอยู่ก็ได้...ราตรีสวัสดิ์นะนายหมี”
 


ผู้อ่อนเยาว์กล่าวลาพยายามข่มความทุกข์เศร้าเพื่อให้ตัวเองหลับแต่มันไม่ง่ายเลยกับการฝืนหลับโดยไม่มีฤทธิ์ยาแรงที่เคยถูกฉีดมาก่อนหน้าช่วยเหลือ ยิ่งได้ยินเสียงนาฬิกาในห้องเดินไปเรื่อยก็ฟุ้งซ่าน ต่อให้คุ้นชินกับความเดี่ยวดายและการมีชีวิตอย่างไร้ความหวังมากเพียงใดก็ยังต้องการใครสักคนเป็นหลักยึด
 


...และหลักที่เขาอยากจะยื้อไว้สุดหัวใจมีแค่นายหมีเท่านั้น...

...แต่ดูท่าจะไม่มีทางเป็นไปได้...

 

ความทรมานของใจพาลให้ทุกส่วนในร่างกายที่บอบช้ำโดยเฉพาะศีรษะเกิดอาการปวดสาหัญ ณ ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มรับรู้ถึงไออุ่นจากมือใหญ่ที่วางทาบลงมากลางกระหม่อมของหัวที่หนุนหมอน ตามด้วยเสียงเข้มซึ่งเอ่ยถามสิ่งที่เขาไม่รู้เลยว่ามีจุดประสงค์อันใดแน่

 

“คุณเชื่อใจผมมั้ย”

 

“ทั้งโลกนี้ฉันเชื่อนายหมีแค่คนเดียว” คนเจ็บตอบรับโดยไม่มีอิดออด

 

“ดีแล้ว...นอนซะ” ประโยคตอบรับต่อความจริงใจนั้นห้วนเสียจนคนเกือบคาดหวังว่าจะมีอะไรพิเศษถอนใจส่งเสียงในคอกลับไปแทนการพูด

 

“อื้อ”
 


“ผมไม่ไปไหนหรอก และพรุ่งนี้คนแรกที่คุณจะได้เห็นตอนคุณตื่นคือผม เพราะงั้นนอนไปเถอะ แล้วก็...ฝันดีด้วยล่ะ”
 


ถ้อยคำปิดท้ายที่เปล่งออกมาให้ได้ยินช่างเรียบเย็นราวกับผู้พูดไร้อารมณ์ความรู้สึก ทว่าฝ่ามือหนาที่ขยับลูบเรือนผมแผ่วเบาดังลมอ่อนกำลังพาดผ่านกลับถ่ายโอนไออุ่นได้ถึงผิวเนื้ออันเย็นเฉียบและหยั่งลึกแทรกสู่ความหนาวเหน็บเจ็บปวดของหัวใจ

 

“ถ้าคืนนี้ฉันเกิดฝันขึ้นมาล่ะก็ ขอให้ฉันฝันว่านายหมีกำลังยิ้มให้ฉันแล้วกัน”

 

ควานลินเอ่ยความปรารถนาที่เป็นยิ่งกว่าการขอพรและคืนนี้คงจะเป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่เขานอนหลับสนิทได้โดยไม่ถูกฝันร้ายหลอกหลอนหรือต้องยอมให้ร่างกายเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อจะข่มตาหลับลงอีกต่อไป

 
******* แวะคุยกันก่อน ******
เขียนนานมากเลยบทนี้ มันมีหลายอย่างต้องไปทำค่ะแต่ไม่ทิ้งเรื่องนี้นะ แง แม้จะอ่านด้วยกันคนเดียวก็ตามเพราะมันจบได้แน่ๆ แค่ช้า 555555 ขอบคุณที่เช้ามาอ่าน ติชมได้นะคะ คอมเม้นหรือติดแท็ก ficlovetoxical ไว้ด้วยก็ดีจะได้รู้ว่ายังอ่าน เจอคำผิดบอกด้วยนะคะ หวังว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้จะไม่โหดร้ายไปกว่านี้ = =" (เหรอ) แล้วก็ช่วยสนับสนุนตัวจริงของพี่และยัยน้องด้วยนะคะ 



You Might Also Like

1 Comments

  1. กว่าจะได้มาอ่าน ฮืออออ สงสารน้อง ไอติม ความที่ไม่มีใครดิ้นรนเอาตัวรอดใช้ชีวิตคนเดียวมานาน พอมีนายหมีเข้ามาเลยติดเป็นธรรมดาเนาะ อ้อนนายหมีเยอะๆสิ แต่คิดว่าตอนนี้นายหมีเองก็คงเข้าใจตัวเองแล้วมั้งว่ารู้สึกยังไง แค่พยายามปัดๆมันออกไปเพราะกลัวจะเป็นปัญหา แต่การกระทำของนายหมีมันอบอุ่นมากๆเลยอ่ะ ชอบที่นายหมีบอกว่าจะเย็บปากน้อง555 ก็เด็กเนาะเจอคนถูกใจก็ช่างจ้อเป็นธรรมดา เฮ้อไม่อยากจะคิดตอนที่จะต้องแยกกัน เตรียมทิชชู่

    ตอบลบ